เพลิงนรี ตอนที่ 9
ธีภพพาตัวเองมายืนอยู่หน้าเตา เขากำลังลงครัวทำข้าวต้มให้พริริสา เทผักที่สาวจอมโกหกหั่นทิ้งไว้และไข่ที่ตีค้างไว้ลงไปในหม้อ คนเข้ากันจนกลายเป็นข้าวต้มไข่น้ำหน้าตาดีจัดดูน่ากินมาก ธีภพเทข้าวต้มใส่ชาม ยิ้มมองดูผลงานตัวเองอย่างพอใจ
จากนั้นธีภพยกข้าวต้มและยาเข้ามาในห้อง ปลุกพริริสาและประคองให้ลุกขึ้นนั่ง
“ริสาทานอะไรหน่อย คุณจะได้ทานยา”
พริริสาแทบไม่มีแรง แต่ก็พยายามลุกขึ้น
“แต่ฉันไม่หิว กินยาเลยก็ได้”
“แต่คุณยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน กินสักหน่อยเถอะ ที่สำคัญผมทำมาแล้ว คุณต้องกิน”
ธีภพยกชามข้าวต้มมาตักจะป้อนให้
“ฉันกินเองได้”
“คุณมือเจ็บผมป้อนให้น่ะดีแล้ว”
พริริสาไม่มีแรงจะดื้อ ยอมให้ธีภพป้อนข้าวต้มแต่โดยดี
“อร่อยไหมล่ะ”
พริริสาพยักหน้ายอมรับว่าอร่อย ธีภพยิ้มออกเวลาพริริสาไม่ดื้อแบบนี้ทำให้ดูน่ารักขึ้นไปอีก
ที่กรุงเทพฯ คณินลงมานั่งรอการมาถึงของใครบางคนที่นัดไว้ ในร้านอาหารใต้ตึกบูรพเกียรติ พนักงานเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แล้วเดินออกไป คณินนั่งครุ่นคิดเรื่องที่คุยกับศจีเมื่อกลางวัน
โดยศจีเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คณินฟัง
“ศจีก็ยังงงไม่หายนะคะ ว่ามีข้อความส่งไปหาริสาจากเบอร์ของศจีได้ยังไง คุณภพก็เลยรีบตามไปหาริสา แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นศจีก็ไม่รู้เลยนะคะ”
“ข้อความจากมือถือคุณเหรอ”
คณินนั่งจมอยู่ในความคิด และเริ่มสงสัยว่ากานดาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า ไม่นานนักอธิรุธก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
“คุณคณิน”
“ผู้กอง เชิญ ขอบคุณมากที่มา”
อธิรุธนั่งลง “คุณคณินอยากพบผมเรื่องอะไรหรือครับ”
“ผมเป็นห่วงริสากับธีภพ ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้น”
“ผมเองก็ยังติดต่อเจ้าภพไม่ได้เลย”
“ได้ยินมาว่าผู้กองได้เห็นกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
อธิรุธชั่งใจว่าควรจะเล่าให้คณินฟังดีหรือไม่
ระหว่างนี้ องครักษ์ของคามินแอบตามอธิรุธมา และยืนหลบมุมดูอธิรุธและคณินคุยกันโดยไม่ได้ยินอะไร
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ คณินจึงเดินออกมาหน้าร้านพร้อมอธิรุธ
“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง”
“เรื่องนี้มันยังคลุมเครืออยู่มาก แล้วก็มีคนร้ายหลายกลุ่ม ยังไงคุณคณินอย่าเพิ่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลยนะครับ”
“ผมเข้าใจ ถ้ามีอะไรคืบหน้าช่วยบอกผมด้วย ผมก็เป็นห่วงธีภพกับริสาไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆเหมือนกัน”
“ครับ”
คณินเดินออกไป
อธิรุธเดินตามหลังจะกลับเช่นกัน แต่จู่ๆ มิราก็เดินมายืนดักหน้าไว้ก่อน อธิรุธงงใช่น้อย
“คุณมาได้ไง”
“คุณคุยอะไรกับคุณคณิน เรื่องริสาหรือเปล่า”
อธิรุธมองไป และเห็นองครักษ์คนหนึ่งของคามินเดินหลบออกไปอีกด้าน ก็ถึงบางอ้อ
“แหม...ส่งคนมาประกบผมแบบนี้ ไม่เอาเครื่องดักฟังมาติดที่ตัวผมด้วยเลยล่ะจะได้รู้ว่าผมคุยอะไรกับคุณคณินบ้าง”
“ความปลอดภัยของริสาสำคัญมากนะ ถ้าคุณรู้ว่าคุณภพพาริสาไปไหน หรือมีความคืบหน้าอะไรคุณควรจะบอกฉัน”
“ไหนนายไคซัจองครักษ์เจ้าชายคามินว่าจัดการเองได้ไง”
“คุณไม่ต้องทำเป็นประชดประชันเลย”
“งั้นคุณบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณริสาเป็นใครกันแน่ ดูจะมีความสำคัญกับเจ้าชายคามินเหลือเกิน”
“ยังไม่ถึงเวลาที่คุณต้องรู้”
อธิรุธเดินเข้าไปใกล้มิรา รุกไล่ คาดคั้นจ้องตาเขม็ง
“คุณไม่บอกผมเรื่องคุณริสาก็ได้ งั้นคุณบอกมาว่าคุณ เกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์ไทรจีส แล้วเป็นอะไรกับนายไคซัจนั่น”
“ไคซัจมาเกี่ยวอะไรด้วย ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แน่ใจ”
“นี่ ถามแบบนี้ทำไม” มิราหงุดหงิด
“ผมจะได้สบายใจไง ว่าไม่ได้ยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว”
เจอดอกนี้เข้าให้ มิราถึงกับเขินหน้าแดงแจ๋ “พูดบ้าอะไรของคุณ”
“ผมจริงจังนะคุณ คนเรามอบความจริงใจให้ใครสักคน เขาก็ต้องอยากได้ความจริงใจจากอีกฝ่ายกลับคืนมาด้วยเหมือนกัน คราวนี้บอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณเป็นใคร คุณมิรา”
อธิรุธส่งสายตาเว้าวอนสุดชีวิตมาให้ อยากรู้ตัวตนจริงๆ ของคนที่ตัวเองชอบ
“ฉัน...”
มิรากำลังจะใจอ่อนกับสายตาลึกซึ้งและคำพูดหวานเชื่อมของอธิรุธ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์อธิรุธดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน อธิรุธอย่างเซ็งว่าใครโทร.มาตอนนี้ หยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็ประหลาดใจที่อยู่ผู้การเอกสิทธิ์ก็โทร.มา
“ผู้การ” เขารีบขอตัวกับมิรา “เดี๋ยวผมมานะคุณ เจ้านายผมโทร.มา”
อธิรุธเดินหลบไปคุยสาย มิราได้แต่มองตาม สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ว่าจะเอายังไงต่อไปดีเรื่องตามหาพริริสา
ที่บ้านพักของอธิรุธ ธีภพนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานไม่ได้สีหน้าเซ็งๆ พยายามลองเปิดดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่ติด ธีภพถอนใจโยนมือถือลงบนโซฟาข้างตัว ไม่มีประโยชน์จะเก็บไว้
ธีภพมองนาฬิกาข้อมือเห็นได้เวลาให้พริริสากินยาลดไข้อีกครั้ง จึงเดินไปหยิบยาและน้ำเพื่อเอาไปให้พริริสาที่ห้อง
ธีภพถือยาลดไข้และน้ำเข้ามาในห้อง เห็นพริริสายังหลับอยู่ เขาใช้หลังมือแตะหน้าผากดูไข้
“ยังมีไข้อยู่เลย” ธีภพเรียกปลุก “ริสา ได้เวลากินยาแล้ว”
พริริสาปรือตาเหมือนเด็กๆ ที่ไม่อยากตื่น
“เพิ่งกินเองนี่คะ”
“นี่ครบ 6 ชั่วโมงแล้ว แต่ไข้ยังไม่ลดเลย กินยาอีกรอบนะ”
พริริสากินยาอย่างว่าง่าย
“คุณฝันร้ายอีกหรือเปล่า”
พริริสาชะงัก “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันฝันร้าย”
ธีภพถอนใจยังไงก็อยากให้พริริสาเปิดใจพูดความจริงกับเขา
“เมื่อกลางวันคุณเพ้อ พูดถึงพวกคนใจร้าย ที่ทำร้ายคุณกับแม่”
พริริสาตกใจที่รู้ว่าตัวเองเพ้อเพราะพิษไข้ ธีภพจับข้อมือพริริสาข้างที่มีรอยแผลเป็นขึ้นมา
“ทั้งหมดเกี่ยวกับรอยแผลนี้ของคุณใช่ไหม ใครเป็นคนทำ ใครที่ต้องการทำร้ายคุณ”
พริริสานึกทบทวนถึงเหตุการณ์วันที่มีคนมาจับตัวตน
ขณะที่เธอจะกดรับสายจากธีภพจู่ๆ มือของนักเลง 1 คนของกานดายื่นมากระชากโทรศัพท์มือถือไป พริริสาตกใจ
“พวกแกเป็นใคร”
นักเลง 2 หยิบปืนออกมาจี้ที่ด้านหลังพริริสา
“ไม่อยากตายตามพวกเราไปดีๆ”
ความคิดพริริสานำเธอย้อนกลับไปสมัยเด็ก นักเลงลูกน้องกานดาใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่บริเวณขมับพีรดาอย่างแรง เป็นผลให้พีรดาล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น เลือดไหลจากแผลตรงขมับเป็นทาง
พริริสาจำนักเลงทั้ง 2 คนได้ มั่นใจแล้วว่า ต้องเป็นกานดาที่หลอกตนไปที่นั่น แหละให้คนมาจับตนไป
“ถ้าคุณรู้ คุณคงไม่เชื่อ เขาเคยทำร้ายฉันกับแม่มาแล้วครั้งนึง แล้ววันนี้ทำไมพวกเขาจะทำอีกไม่ได้”
“คุณบอกผมมาสิว่าคนพวกนั้นเป็นใคร บางทีผมอาจช่วยคุณได้”
พริริสานิ่งไม่ยอมตอบแววตาชิงชังพวกบูรพเกียรติอย่างชัดเจนก่อนทิ้งตัวลงนอนไม่สนใจธีภพอีก
ธีภพไม่เซ้าซี้ต่อ แต่อยากรู้ให้ได้ว่าพวกที่พริริสาพูดถึงเป็นใคร
ที่ตึกบูรพเกียรติ เช้าวันต่อมา
โรซี่ ชนิตา และบุษกร เดินมาตามทางจะเข้าออฟฟิศ มีพนักงานคนอื่นๆ เดินสวนไปมา โรซี่เดินไปก็กดโทรศัพท์มือถือส่งไลน์ไปหาพริริสา แต่ไม่มีการเปิดอ่าน
“คุณภพกับริสาหายไปสองวันแล้วนะ” ชนิตาปรารภ
“แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนสงสัยได้ยังไงว่าหายไปด้วยกัน” บุษกรว่า
“นั่นสิ” ชนิตาเป็นห่วงทั้งคู่
กานดาเดินเข้ามา ชนิตาและบุษกรพากันเบรกกะทันหัน โรซี่เอาแต่กดโทรศัพท์มือถือไม่ได้มองข้างหน้า จึงเดินชนชนิตาและบุษกรแทบเสียขบวน
“จะหยุดทำไมไม่บอกกันบ้างยะ” โรซี่เงยหน้ามาเห็นกานดาก็ตกใจ “อุ๊ย! คุณกานดา”
“พวกเธอไม่ต้องสงสัยเรื่องสองคนนั้นหรอก ธีภพกับแม่ริสาเขาหายไปด้วยกันนั่นละ”
สามสาวพากันตกใจ พนักงานคนอื่นๆ ที่เดินผ่านมาพากันหลบมุมแอบฟัง
“นั่นไง” ชนิตาพยักพเยิด
“มิน่าฉันส่งข้อความไปเยอะแยะริสาไม่อ่าน ไม่ตอบอะไรเลย”
กานดาเห็นมีพนักงานคนอื่นๆ แอบฟังอยู่ด้วย จึงจงใจพูดให้ทุกคนได้ยิน
“หายกันไปหลายวันหลายคืนแบบนี้ คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าหายไปไหนไปทำอะไรกัน”
สามสาวมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ ป้องปาก อุทานลั่น
“คุณพระ”
กานดายิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจปล่อยข่าวเรื่องเสียๆ หายๆ ระหว่างธีภพและพริริสา
ฝ่ายศจีหยิบยาคลายเครียดมากิน กำลังจะดื่มน้ำตาม จู่ๆ โรซี่ ชนิตา บุษกร ก็โผล่พรวดเข้ามาหาที่โต๊ะเรียงหน้าสลอน ร้องทักพร้อมกัน
“พี่ศจี”
ศจีเม้ง เกือบสำลักน้ำ กลืนยาแทบไม่ทัน
“โอ๊ย! โผล่พรวดมาแบบนี้จะให้ฉันสำลักยาตายหรือไง”
“ยาอะไรคะเนี่ย” บุษกรถาม
“ยาแก้เครียด ฉันเครียดจะแย่อยู่แล้วเนี่ย ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องคุณภพกับริสา”
ชนิตาจ้องหน้าคนค้นความจริง “แสดงว่าพี่ศจีก็รู้แล้วใช่ไหมคะว่าสองคนนั้นเขาหายไปด้วยกันจริงๆ”
ศจีตกใจ “นี่ พวกเธอพูดอะไร”
“ก็มีคนมาคอนเฟิร์มข่าวแล้วน่ะสิคะ พวกเราเลยรีบมาบอกพี่ศจี” โรซี่บอก
“ใครคอนเฟิร์มอะไร”
คณินเดินกลับมาที่ห้องทำงานพอดี ชะงักหยุดฟัง
“ก็คุณกานดาไงคะคุณพี่ มาบอกว่าคุณภพกับริสาหายไปด้วยกัน พูดเหมือนหนีตามกันไปสวีตสองต่อสอง”
คำพูดของโรซี่ทำเอาศจีกุมขมับ ยิ่งปวดหัวหนัก คณินเดินเข้ามา เอ็ดเอา
“นี่มันได้เวลาทำงานแล้ว ไม่ไปทำงานกันหรือไง”
สามสาวเห็นคณินก็พากันตัวลีบ เดินถอยหลบออกไป
คณินถามกับศจีว่า “คุณกานดามาใช่ไหม”
“ค่ะ แต่ออกไปไหนแล้วไม่ทราบค่ะ”
คณินพยักหน้ารับรู้ สายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือศจีวางอยู่บนโต๊ะทำงาน พลางนึกถึงวันที่เห็นกานดาไปยืนป้วนเปี้ยนอยู่ที่บริเวณนั้น
คณินเดินออกมาจากห้อง เห็นกานดายืนป้วนเปี้ยนอยู่ที่โต๊ะทำงานศจีก็แปลกใจ
“กานดา”
กานดาสะดุ้งเล็กน้อย แต่พยายามเก็บอาการเหมือนไม่มีอะไร
“ศจีก็ยังงงไม่หายนะคะ ว่ามีข้อความส่งไปหาริสาจากเบอร์ของศจีได้ยังไง”
คณินมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเดินเข้าห้องไป สามสาวรีบเดินกลับไปที่โต๊ะศจี อ้าปากจะคุยต่อ
ศจีเสียงเข้ม “หยุด!”
สามสาวขาเม้าท์อ้าปากค้าง
“กลับไปทำงาน ก่อนที่จะไม่มีงานให้ทำ”
ศจีเอาจริง สามสาวเลยทำหน้าเซ็ง เดินบ่นกระปอดกระแปดออกไป ศจีหยิบยาแก้เครียดมากินเพิ่ม
ฝ่ายคณินกลับมานั่งที่โต๊ะ รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบกล่องที่ซ่อนไว้ด้านในสุดออกมาเปิดออก มีรูปเก่าๆ ของพีรดาและรูปพริริสาวัยเด็กที่เคยแอบถ่ายเก็บไว้
คณินดูรูปพีรดาและพริริสา พูดกับภาพสีหน้าเศร้าๆ
“ถ้าคุณกับลูกอยู่ด้วยตอนนี้ก็คงดี”
คณินถอนใจ หันไปเห็นกระเป๋าของกานดาวางอยู่ที่โซฟาในห้อง คณินจ้องกระเป๋ากานดาเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
กานดาเดินกลับเข้ามา ทันเห็นคณินกำลังเก็บรูปพีรดาและพริริสาเข้ากล่องก็โกรธจัด ตรงมากระชากรูปนั้นจากมือคณินไป
“แอบซุกนังสองแม่ลูกนี้ไว้ทุกซอกทุกหลืบเลยใช่ไหมคุณคณิน เมื่อไหร่คุณเลิกฝันล้มๆ แล้งๆ ว่าจะได้เจอพวกมันสักที เพราะถึงยังไงฉันกับคุณแม่ของคุณก็ไม่มีวันยอม”
คณินดึงรูปกลับเก็บใส่กล่องและลิ้นชักโต๊ะตามเดิม
“เลิกเอาแม่ผมมาอ้างสักที”
“ทำไมฉันจะอ้างไม่ได้ ในเมื่อคุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าแม่คุณเกลียดนังสองแม่ลูกนั่นขนาดไหน แล้วที่พวกมันหายไปจากชีวิตคุณได้ คุณก็น่าจะเดาออกว่าเป็นเพราะใคร”
“คุณไม่ต้องมาบอก ผมรู้จักแม่ผมว่าท่านเป็นยังไง พอๆ กับที่ใช้เวลานอนร่วมเตียงกับคุณมายี่สิบกว่าปี จนรู้จักคุณดีแล้วเหมือนกัน ว่าคุณมันร้ายกาจแค่ไหน”
กานดาโกรธถึงขีดสุด “คุณคณิน”
คณินล็อคกุญแจโต๊ะทำงานแล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อเป็นการตัดบท
กานดาขบกรามแน่นมองตามอย่างเคียดแค้น
“คุณยังไม่รู้หรอกว่า ฉันร้ายกาจได้มากกว่าที่คุณคิด คุณคณิน”
ฟากพริริสาลุกขึ้นจากเตียงจับหน้าผากตัวเองดู รู้สึกได้ว่าไม่มีไข้แล้ว อาการดีขึ้นจึงลงจากเตียง เดินออกไปจากห้อง
พริริสาเดินรอบบ้านแต่ไม่เห็นธีภพก็แปลกใจ ว่าธีภพหายไปไหน
ที่แท้ธีภพเดินเลาะริมลำธารไปเรื่อยๆ ในมือถือกิ่งไม้ยาวเพื่อหารีโมตกุญแจรถที่ตกน้ำหายไป พลางนึกถึงเรื่องของพริริสาว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี
พริริสาเดินตามมามองหา จนเห็นธีภพเดินอยู่ที่ริมลำธารก็รีบเข้าไปหา
ธีภพหันมาเห็น “ริสาคุณออกมาตากลมตากแดดทำไม”
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไม่มีไข้แล้วด้วย”
ธีภพเดินเข้ามาใช้มืออังที่หน้าผากพริริสา พบว่าไม่มีไข้แล้วก็ดีใจ
พริริสารับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของธีภพที่มีต่อตน อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
“หายดีแล้ว คุณอยากจะข้ามลำธารหนีไปอีกไหมล่ะ”
พริริสาอมยิ้มได้แป๊บเดียวก็ต้องหน้าตูมใส่ธีภพอีก
“ถ้าเรื่องหนีคุณไม่ต้องห่วง ฉันหนีแน่ แล้วจะไม่ยอมให้ตัวเองลำบากแบบเมื่อวานอีก”
“จะออกไปจากที่นี่ไม่มีทางไหนไม่ลำบากหรอกคุณ โชคดีหน่อยก็เดินแค่สิบกิโลอาจจะได้เจอใครบ้าง”
“แล้วมือถือคุณล่ะ”
“ถูกทิ้งตากฝนนานขนาดนั้นคงเปิดติดหรอก ผมถึงต้องมาหารีโมตรถเนี่ย ถ้ามันไม่เจ๊งไปซะก่อนนะ”
“งั้นก็รีบหาสิคุณ”
พริริสาเดินไปชะโงกดูที่ริมลำธารว่ารีโมทกุญแจรถตกอยู่ตรงไหน
ในเวลาเดียวกัน ที่กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย อธิรุธมารายงานตัวกับผู้การเอกสิทธิ์ในห้องทำงานท่านผู้การ
“ผู้การเรียกตัวผมมามีเรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”
“มีภารกิจสำคัญที่ผมอยากให้คุณช่วยดูแล”
“ภารกิจสำคัญ!”
“งานนี้ผู้ใหญ่สั่งมาขอร้องให้เก็บเป็นความลับ ที่สำคัญคุณติดต่อธีภพได้หรือเปล่า”
อธิรุธแปลกใจ “ทำไมเหรอครับ งานนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าภพด้วย”
“ก็ทางวีไอพีน่ะสิ ขอมาอยากให้เขามาช่วยงานนี้ด้วย แต่ผมติดต่อไม่ได้เลย”
อธิรุธฟังแล้วยิ่งแปลกใจ “ผู้การพูดขนาดนี้ผมชักอยากจะรู้แล้วล่ะครับว่าภารกิจสำคัญที่ว่ามันคืออะไร”
เอกสิทธิ์นิ่งขึง ยังไม่ยอมบอกว่าเป็นภารกิจอะไร
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงนรี ตอนที่ 9 (ต่อ)
ด้านคามินยืนหน้าตึงอยู่ในสวนสวยหลังสถานทูต คุยโทรศัพท์กับบิดาที่ไทรจีส หลังรู้เรื่องที่ราอิลจะให้ตำรวจไทยเข้ามาอารักขา และไม่ชอบใจเอาเลย
“ท่านพ่อจะให้ตำรวจไทยมาอารักขาลูกกับน้อง ไม่จำเป็นเลยพะยะค่ะ”
ราอิลถือรูปจากหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ที่ขยายจนเห็นอาซิสอยู่ในมือ
“พวกของราห์มานตามลูกไปถึงที่นั่น พ่อรู้เรื่องหมดแล้ว”
คามินเหลียวขวับไปทางไคซัจทันที ไคซัจก้มหน้ารับผิด ทำไปเพราะห่วงความปลอดภัยของคามินและพริริสา
ราอิลรู้ทัน “ไม่ต้องไปว่าไคซัจ ท่านทูตเองก็ส่งรูปที่อาซิสติดตามลูกจนเกือบถึงตัวมาให้ พ่อจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์อะไรรุนแรงกับลูกและน้องเด็ดขาด”
“แต่อีกไม่กี่วันเรื่องที่ลูกกับริสาต้องจัดการก็จะเสร็จ ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องให้ตำรวจมาช่วยดูแลเลย”
“คามินอย่าบ่ายเบี่ยง ตอนนี้เรื่องความปลอดภัยของลูกกับริสาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยังไงก็ต้องให้ตำรวจไทยมาช่วย นี่เป็นคำสั่ง”
ราอิลวางโทรศัพท์สีหน้าไม่สบายใจ อดเป็นห่วงลูกทั้งสองคนไม่ได้
คามินกดวางสายจากบิดา เดินไปจ้องหน้าไคซัจอย่างเอาเรื่อง
“กระหม่อมยินดีรับผิดทุกอย่าง แต่ที่ทำไปก็เพราะ...”
คามินพูดแทรกอย่างรู้ทัน “ห่วงความปลอดภัยของฉันกับริสา ทำไมนายไม่โปรแกรมคำสั่งอื่นในหัวบ้าง เช่นเชื่อฟังคำสั่งฉันคนเดียว”
“กระหม่อมเชื่อฟังคำสั่งเจ้าชายเสมอ ยกเว้นบางเรื่อง”
คามินได้แต่ทำหน้าเซ็งใส่ไคซัจ เพราะสุดท้ายก็ทำอะไรไคซัจไม่ลงอยู่ดี
“แล้วเรื่องตามหาริสาไปถึงไหนแล้ว”
“คุณมิราพยายามตามให้อยู่พะยะค่ะ”
คามินเป็นห่วงพริริสา แม้จะรู้ว่าอยู่กับธีภพคงปลอดภัย แต่ด้วยความไม่ชอบหน้าธีภพเป็นทุนเดิมจึงอยากได้ตัวพริริสากลับคืนมาให้เร็วที่สุด
ทางด้านมิราเดินเข้ามาในโถงกองกำกับการฯ มองหาไปรอบๆ ว่าอธิรุธอยู่ไหน จนมีนายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแสดงความมีน้ำใจ
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ฉันมาหาผู้กองอธิรุธค่ะ”
“อ้อ ผู้กองคุยงานอยู่กับผู้การครับ จะให้ผมไปบอกให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอแถวนี้ก็ได้”
มิราเดินไปหาที่นั่งแถวนั้น ตำรวจนายนั้นยิ้มให้แล้วเดินออกไป
อธิรุธพยายามโทรติดต่อธีภพ แต่ก็ไม่สำเร็จเหมือนเคย
“ว่าไงผู้กอง ติดต่อได้ไหม”
“ติดต่อไม่ได้เหมือนเดิมล่ะครับ ผู้การช่วยบอกผมเลยได้ไหมครับว่าวีไอพีที่ว่าเป็นใคร”
เอกสิทธิ์เห็นอธิรุธติดต่อธีภพไม่ได้ คงต้องให้อธิรุธรับเรื่องไปก่อน จึงหยิบแฟ้มเอกสารส่งให้
“งานนี้เราต้องอารักขาเจ้าชายคามิน กับเจ้าหญิงพริริสาจากไทรจีส”
อธิรุธประหลาดใจมาก “เจ้าชายคามินติดต่อขอมาเหรอครับ”
“กษัตริย์ราอิลเป็นคนขอมา รายละเอียดอยู่ในแฟ้มหมดแล้ว”
อธิรุธเปิดแฟ้มอ่านรายละเอียดพลางซักด้วยสีหน้าสงสัย
“เรื่องเจ้าชายคามินเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์เพื่อติดต่อเรื่องธุรกิจผมก็รู้อยู่นะครับ แต่เจ้าหญิงพริริสานี่ ทำไมผมไม่เห็นรู้เลย”
“เห็นว่า เจ้าหญิงพริริสามาประเทศไทยก่อนเจ้าชายคามินอีกนะ แต่ไม่ได้บอกใคร มาเงียบๆ เป็นการส่วนตัว”
อธิรุธพลิกหน้าเอกสารเห็นรูปคามินในชุดเจ้าชายเต็มยศ พอพลิกหน้าต่อไปเจอรูปพริริสาในชุดเจ้าหญิงก็ตาเหลือกตกใจสุดขีด รีบยื่นให้เอกสิทธิ์ดูถามเมกชัวร์
“นี่เจ้าหญิงพริริสาเหรอครับผู้การ
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าหญิงราชกุมารี พริริสา รวีวุธ อไมร์คาน แห่งไทรจีส ทำไม”
อธิรุธอึ้งตะลึงงันไปเหมือนปลาช่อนนาถูกแม่ค้าทุบหัว ความสงสัยที่มีมาตลอดกระจ่างชัดขึ้นในทันที บ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเองว่า
“ไอ้ภพซวยแล้ว”
“บ่นอะไรผู้กอง”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
อธิรุธมีสีหน้ากลัดกลุ้มหนักใจว่าธีภพเอาตัวเจ้าหญิงพริริสาไปอยู่ที่ไหน ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าแต่ ทำไมเจ้าหญิงพริริสา มีชื่อกลางเป็นภาษาไทยล่ะครับ” อธิรุธอ่านทวน “เจ้าหญิงพริริสา รวีวุธ...”
เอกสิทธิ์บอกว่า “เป็นนามสกุลเดิมของเธอกับแม่ ก่อนที่แม่ของเธอจะแต่งงานเป็นพระชายาของท่านราอิล”
“พริริสา รวีวุธ”
อธิรุธทวนชื่อเบาๆ เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในใจ มีเรื่องให้ต้องค้นหาความจริงอีกเรื่องแล้ว
อธิรุธเดินลงบันไดตึกมาอย่างร้อนใจ
“ไอ้ภพเอ๊ย! เอาตัวเจ้าหญิงไปไว้ไหนเนี่ย ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยนะเฮ้ย”
เสียงโทรศัพท์มือถืออธิรุธดังขึ้น เขารีบรับสาย
“ลุงสน ว่าไงครับ โทร.มาหาผมมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
อธิรุธเดินไปคุยโทรศัพท์ไป
อธิรุธเดินออกมาที่โถงตึกกองกำกับการฯ พลางคุยโทรศัพท์กับลุงสนด้วยสีหน้าลิงโลดดีใจเหมือนถูกหวยกระนั้น จนไม่ได้สังเกตว่ามิรานั่งรอตนอยู่ที่มุมหนึ่งและกำลังมองอยู่
“ขอบคุณมากนะลุงที่โทร.มาบอก ลุงกับป้าสร้อยพักอยู่กับหลานได้เต็มที่เลย ไม่ต้องรีบกลับหรอก ไอ้ภพกับเลขาเขาอยู่กันได้ เดี๋ยวผมก็จะตามไปหาเขาสองคนที่บ้านพักเหมือนกันลุงไม่ต้องห่วงนะ”
มิราได้ยินที่อธิรุธคุยโทรศัพท์ก็ยิ้มออก ไม่เสียเที่ยวมาตามอีตาผู้กองจอมกะล่อนมาถึงที่นี่
อธิรุธวางสายดีใจยกใหญ่ที่รู้ว่าธีภพอยู่ที่ไหน ตั้งใจจะรีบไปหา มิรารีบเดินมาขวางหน้าไว้
“คุณมิรา”
“ท่าทางคุณจะรู้แล้วใช่ไหมว่าคุณภพกับริสาอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ...คือ...”
มิราคาดคั้นเสียงแข็ง “บ้านพักที่คุณว่าอยู่ที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
อธิรุธอึกอักเพราะหากบอกไปงานนี้ธีภพโดนคุกแน่ๆ
คามินเดินรีบร้อนไปขึ้นรถที่หน้าตึก มีท่านทูตเดินตามมาพยายามทัดทาน
“เจ้าชายไม่ควรออกไปนะพะยะค่ะ ยิ่งออกไปนอกกรุงเทพฯ แบบนี้ด้วย ควรรอให้ทางตำรวจไทยประสานมาก่อนนะพะยะค่ะ”
คามินไม่สนใจ ขึ้นรถที่องครักษ์ขับมาจอดรับ ไคซัจปิดประตูรถให้เจ้าชาย ก่อนจะหันมาหาท่านทูต
“ยังไงเจ้าชายก็ต้องไปรับเจ้าหญิงครับ แล้วผมจะประสานกลับมาเป็นระยะ ไม่ต้องห่วงนะครับ”
ไคซัจรีบไปขึ้นรถด้านข้างคนขับ องครักษ์1ขับรถออกไป ท่านทูตได้แต่มองตามอย่างไม่สบายใจ
หลังบอกที่อยู่บ้านพักที่ธีภพพาพริริสาไปซ่อนตัวแล้ว อธิรุธก็ถูกกักตัวไว้ที่ห้องพักพริริสา มีองครักษ์ที่แยกจากเพื่อนอีกคนซึ่งตอนนี้ดูแลเจ้าชายคามิน มาอยู่เฝ้าพร้อมกับดูแลมิรา
อธิรุธทำท่าจะเดินออกไป แต่องครักษ์กางมือกั้นไว้ไม่ให้ออก อธิรุธไม่พอใจ ทำฮึดฮัดยืดอกใส่พร้อมจะมีเรื่องกับองครักษ์ มิราเดินมาลากแขนอธิรุธให้กลับไปนั่งที่โซฟา
“อยู่เฉยๆ เหอะน่าคุณ”
“บอกเลยนะ ถ้าผมจะไปจริงๆ ต่อให้องครักษ์เจ้าชายมาเฝ้าสิบคนก็เอาผมไม่อยู่”
มิรามองค้อน “ค่ะผู้กองคนเก่ง ฉันเชื่อ แต่ตอนนี้อยู่ในความสงบเลย จนกว่าเจ้าชายคามินจะได้ตัวริสากลับมา”
“ผมบอกที่อยู่บ้านพักผมให้คุณแล้ว คุณยังทำกับผมแบบนี้อีก ใจร้ายใจดำอำมหิตที่สุด นี่ละนะผู้หญิง ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ”
มิราหมั่นไส้ “ถ้าฉันอำมหิตจริง ตอนนี้คุณไม่ได้มายืนว่าฉันฉอดๆแบบนี้หรอก”
“แต่คุณก็ใจร้ายหลอกผมสารพัด ที่แท้คุณก็เป็นพระสหายเจ้าหญิงพริริสา ปลอมตัวกันมา ถามจริงๆ เหอะพวกคุณนึกสนุกอะไรกัน แถมยังให้เจ้าหญิงไปทำงานเป็นเลขาเจ้าภพอีก”
“ฉันกับริสาไม่ได้มาเล่นสนุกกัน”
“ถ้าอย่างงั้นก็มีแผนร้ายอะไรแน่ๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคุณบอกผมมาเหอะน่า”
มิรามีสีหน้าอึดอัดเต็มทน อยากบอกแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้แผนของพริริสาใกล้สำเร็จเข้าไปทุกที
คามินนั่งใจร้อนเป็นไฟอยู่ในรถที่แล่นมาตามทาง แทบอยากจะบินไปให้ถึงบ้านพักของอธิรุธโดยเร็วที่สุด
“ขับให้มันเร็วๆ หน่อย เราต้องได้ตัวริสากลับมาวันนี้ อย่าให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว”
“พะยะค่ะ” องครักษ์รับเอาคำ
ไคซัจคุยโทรศัพท์อยู่ และปิดสายหันมาถามคามิน
“ทางบูรพเกียรติติดต่อมาพะยะค่ะ เรื่องนัดวันเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้น”
“บอกไปว่าอีกสองวันให้จัดแถลงข่าวได้เลย เรื่องจะได้จบๆ สักที”
“พะยะค่ะ”
ไคซัจคุยสายต่อแจ้งกลับไปเรื่องที่คามินสั่ง
พริริสาช่วยธีภพเดินตามหากุญแจรถไปตามริมลำธาร แต่เหมือนมาเดินเล่นกันมากกว่า พริริสาเริ่มเหนื่อย จึงเดินไปนั่งพักแช่เท้าในน้ำอย่างสบายใจ ธีภพเดินตามมานั่งข้างๆ
“ตกลงคุณไม่อยากรีบกลับแล้วใช่ไหม”
“ใครว่า”
“ก็ดูคุณสิ ไหนว่ามาช่วยหาของ ผมว่าเหมือนคนมาเดินเล่นมากกว่า แต่จะว่าไปพรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ก็ได้ ผมมีเวลาอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”
“แต่ฉันไม่มีเวลาอยู่กับคุณด้วยหรอก”
“คุณจะรีบกลับไปหาเจ้าชายคามินสิท่า” มีวี่แววตัดพ้อเจืออยู่ในน้ำเสียงธีภพ
พริริสาแกล้งยั่วเล่นๆ “ใช่”
ธีภพโกรธจริงๆ “งั้นก็คงยากหน่อยล่ะ คุณอาจจะต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นวัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์กับคนที่คุณไม่ได้อยากอยู่ด้วย”
พริริสาทำเมินไม่อยากฟัง ผินหน้ามองออกไปที่ริมลำธาร สายตาเห็นรีโมตกุญแจรถตกอยู่ตรงซอกโตรกหินกลางลำธาร พยายามมองให้แน่ใจพลางชี้
“คุณภพ ดูตรงนั้นสิ ใช้รีโมตรถคุณหรือเปล่า”
ธีภพมองตามคิดว่าใช่ รีบเดินข้ามโขดหินไปดู พริริสาดีใจเดินตามไปด้วย
รถคามินทะยานมาตามทางด้วยความเร็วราวกับจะบิน รถเริ่มแล่นเข้าสู่เส้นทางตัดจากถนนใหญ่เข้าสู่ทางคดเคี้ยวตรงไปยังบ้านพักใกล้น้ำตก
สีหน้าคามินเคร่งเครียด คิดหนักว่าจะจัดการยังไงกับธีภพที่พาพริริสาหนีมาในที่ห่างไกลผู้คนเพียงสองต่อสองแบบนี้ ในขณะที่ไคซัจอดเป็นห่วงพริริสาไม่ได้ เพราะการมาถึงของเจ้าชายคามินคงไม่ต่างอะไรกับพายุเข้า
พริริสาข้ามโขดหินตามธีภพมาติดๆ
“คุณจะตามมาทำไม เดี๋ยวก็ตกน้ำไปอีกหรอก”
ธีภพรีบยื่นมือไปให้พริริสาจับประคองเดินตามไป
“ก็ฉันเป็นคนเห็นนี่” พริริสาอ้างเอาความชอบ
“คุณนี่ทำเป็นเด็กๆ ไปได้ ใครเห็นก่อนเป็นของคนนั้นหรือไง”
ธีภพจำใจพาพริริสาไปด้วย สองคนค่อยๆ เดินข้ามโขดหินไปจนถึงกลางลำธาร ธีภพก้มลงหยิบกุญแจรถขึ้นมา
พริริสายิ้มกว้างดีใจ “ในที่สุดก็เจอจนได้”
“ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“งั้นก็ลองไปเปิดที่รถดูสิคะ”
ธีภพรู้ทัน “ฉลาดนักนะคุณ อยากรู้ล่ะสิว่าผมเอารถไปจอดไว้ที่ไหน”
พริริสาอมยิ้มเจ้าเล่ห์
ธีภพพาพริริสาเดินมาตามทางริมลำธารตรงไปยังที่ซ่อนรถ พริริสาอารมณ์เบิกบาน ขึ้นเดินไปตามทางโดยไม่บ่น ธีภพเพิ่งสังเกตเห็นว่าพริริสาไม่งอแงบ่นบ้าก็แปลกใจ
“คุณนี่เปลี่ยนอารมณ์ได้วันละหลายรอบจริงๆ เมื่อกี้บ่นว่าเมื่อย ตอนนี้เดินยิ้มร่าเริงไม่บ่นสักคำ”
“แม่ชอบบอกว่าฉันเหมือนสายลมที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง”
“พวกอารมณ์แปรปรวนนี่เอง” ธีภพเหน็บ
พริริสาค้อนควัก “นี่คุณ”
“ก็จริงไหมล่ะ วันไหนท้องฟ้าสดใส ปลอดโปร่ง คุณก็เป็นสายลมอ่อนๆ นำพาความเย็นสดชื่นมาให้แต่ถ้าวันไหนมีพายุ คุณกลายเป็นลมที่พร้อมจะพัดกระหน่ำใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า”
พริริสายักไหล่ไม่ปฏิเสธคำเปรียบเปรยนั้น ธีภพส่ายหัวขำๆ
“ร้ายจริงๆ”
“ถ้าฉันเป็นสายลมแล้วคุณล่ะเป็นอะไร”
“คุณเป็นสายลมที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ผมก็จะเป็น...พื้นดินที่มั่นคง เพราะต่อให้เจอลมพายุแรงแค่ไหน ก็ทำอะไรความมั่นคงของพื้นดินไม่ได้”
ขณะพูดสายตาธีภพแสดงความรู้สึกในใจที่ต่อพริริสาอย่างชัดเจน
พริริสารู้ว่าในใจธีภพคิดยังไงกับตน แต่เสพูดออกไปอีกอย่าง
“คุณจะบอกว่า คุณเก่งกว่าฉันงั้นสิ”
“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ ยังไงผมก็ต้องเก่งกว่าคุณอยู่แล้ว”
“คนหลงตัวเอง”
พริริสามองหมั่นไส้คร้านจะทะเลาะ เดินนำไปอย่างอารมณ์ดี ธีภพเดินตาม มองดูแม่สายลมเริงร่าด้วยความสุขใจ
ทั้งคู่เดินมาจนถึงบริเวณที่รถธีภพจอดหลบอยู่ใต้ต้นไม้มุมลับตาคน พริริสาเห็นรถก็ดีใจ
“เอามาจอดไกลขนาดนี้นี่เอง มิน่าฉันวิ่งหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”
“เพราะผมเดาไว้แล้วว่าคุณจะทำอะไรบ้าง
พริริสาลอบค้อนธีภพที่รู้ทันเธอไปเสียทุกเรื่อง ธีภพลองเปิดประตูรถ รีโมตยังใช้งานได้
“ยังใช้งานได้”
พริริสาดีใจเข้าไปยื้อแย่งรีโมตรถจากมือธีภพมาได้
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันก็จะไปจากที่นี่ไง”
“คิดว่าผมจะให้คุณไปง่ายๆ หรือไง”
ธีภพเข้าไปตะครุบตัวพริริสาแย่งรีโมตรถคืน กลายเป็นภาพที่ทั้งคู่กำลังกอดรัดยื้อยุดแย่งกันอยู่เป็นที่มุ้งมิ้งแก่ผู้พบเห็น
รถคามินแล่นเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว คามินก้าวลงจากรถพร้อมไคซัจและองครักษ์ เห็นธีภพเหมือนกำลังกอดรัดพริริสาอยู่ ก็โกรธมาก ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ปล่อยมือจากริสาเดี๋ยวนี้”
พริริสาตกใจอุทานกับตัวเองเบาๆ “พี่คามิน”
ธีภพเห็นคามินตามมาถึงที่นี่ก็ชะงักงัน ปล่อยมือจากพริริสา ในขณะที่พริริสาตกใจมากกว่าดีใจเมื่อเห็น คามินตรงเข้าไปกระชากพริริสาออกมาอย่างกราดเกรี้ยว ชี้หน้าด่าธีภพ
“นายบังอาจมาก รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังล่วงเกินใครอยู่”
ธีภพตอบคามินแต่สายตามองจ้องที่พริริสา “ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่ตรงหน้าเป็นใคร”
คามินยิ้มเยาะหยามหยัน พริริสาเริ่มหวั่นใจกลัวคามินจะพูดความจริงออกไป ส่งสายตาขอร้องไม่ให้พูด แต่คามินกำลังโกรธไม่สนใจสายตานั้น
“ถ้านายไม่รู้ ฉันก็จะบอกให้เอาบุญ จะได้รู้ฐานะตัวเองและเจียมตัวเอาไว้”
พริริสาใจหาย สะบัดมือออก “เจ้าชายหยุดเถอะเพคะ”
คามินโกรธ พูดแทบเป็นตวาด “พอได้แล้วริสา เลิกเล่นสนุกจนเลยเถิดขนาดนี้สักที นึกถึงฐานะตัวเองบ้าง ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้คงเสียใจมาก ที่เราถูกทำให้เสื่อมเสียเกียรติขนาดนี้”
พริริสาโกรธเช่นกัน “ไม่มีใครทำอะไรให้ริสาเสื่อมเสียเกียรติทั้งนั้น”
ธีภพเริ่มเครียดว่าแท้จริงแล้วพริริสาเป็นใครกันแน่
“แล้วที่เห็นเมื่อกี้มันไม่ใช่อีกหรือไง”
คามินหันไปมองไคซัจและองครักษ์ ทั้งคู่รู้งานเข้าไปล็อกตัวธีภพเอาไว้
ธีภพไม่พอใจ “เจ้าชายคิดจะทำอะไร”
“ก็ลงโทษคนที่มันบังอาจไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไงล่ะ”
คามินชักปืนออกมา พริริสาตกใจ รีบเข้าไปกางแขนป้อง และใช้ตัวบังธีภพเอาไว้
“อย่านะ”
“ริสาหลบไป”
“ไม่”
ธีภพโกรธคามินกรุ่นๆ “ริสาคุณหลบไป คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้อง โดยเฉพาะผู้หญิง”
พริริสาหันไปมองธีภพอย่างเป็นห่วง
“คุณภพ”
คามินเข้าไปดึงพริริสาให้หลบไป
“ก็ดี อย่างน้อยนายก็ยังมีศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายหลงเหลืออยู่บ้าง”
ธีภพจ้องคามินสายตาแน่วนิ่ง “ผมเป็นลูกผู้ชายพอ กล้าทำก็กล้ารับและพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกเรื่องโดยไม่ต้องพึ่งใครให้เสียศักดิ์ศรี”
คามินขบกรามแน่นรู้ว่าธีภพเหน็บแนมตนว่าใช้ไคซัจและองครักษ์รุม
“ปล่อยเขา”
ไคซัจและองครักษ์ปล่อยตัวธีภพ คามินโยนปืนไปที่พื้นอีกด้าน ถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อธีภพ
“งั้นมาตัดสินกันแบบลูกผู้ชาย ว่านายกับฉันใครจะไปถึงปืนกระบอกนั้นก่อนกัน แต่ถ้าฉันถึงก่อน ฉันไม่รับรองความปลอดภัยของนาย”
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
องครักษ์ยังยืนยามเฝ้าประตูห้องพักพริริสาไม่ขยับไปไหน อธิรุธนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแก้เบื่อ ส่วนมิราเดินไปเดินมาเป็นห่วงพริริสา เพราะจนป่านนี้ยังไม่มีใครติดต่อมาบอกข่าว
“ป่านนี้แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ” มิราหันไปหาอธิรุธ “นี่คุณ”
อธิรุธถามโดยไม่ยอมเงยหน้าจากจอมือถือ
“คุณเปลี่ยนใจจะเล่าความจริงให้ผมฟังแล้วใช่ไหม”
มิราหงุดหงิดที่อธิรุธทำท่าไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย
“เปล่า ฉันแค่สงสัยคุณไม่ห่วงเพื่อนคุณบ้างหรือไง เอาแต่นั่งเล่นเกม
“ผมไม่ห่วงหรอก คนอย่างเจ้าภพ ไม่มีใครทำอะไรได้ง่ายๆ ต่อให้เป็นเจ้าชายก็เหอะ”
อธิรุธมั่นใจมาก ตรงข้ามกับมิราที่ไม่แน่ใจ เพราะรู้จักเจ้าชายคามินดี
คามินเงื้อมือขึ้นต่อยใส่ธีภพก่อน ธีภพหลบหมัดนั้นได้ คามินพุ่งเข้าไปเล่นงานซ้ำ ธีภพไม่อยากทำร้ายคามิน จึงได้แต่หลบและปัดป้องหมัดที่พุ่งเข้าใส่
พริริสามองดูทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างเป็นห่วง ไคซัจและองครักษ์คอยดูพร้อมจะเข้าช่วยคามินหากมีคำสั่งหรือข้อผิดพลาด
สายตาธีภพมองจ้องไปยังปืนที่พื้นอีกด้าน คามินอ่านสายตานั้นออก จึงคว้าแขนธีภพไว้ ธีภพเหวี่ยงหมัดไปเพื่อให้คามินหลบและปล่อยมือ ธีภพพุ่งไปหาปืนที่พื้น คามินพุ่งตาม
มือของคามินและธีภพพุ่งมาคว้าปืนที่พื้น แต่ธีภพไวกว่าคว้าปืนไปได้ก่อน เขายืนขึ้นโดยเร็วจ่อปืนไปที่คามิน ไคซัจและองครักษ์รีบชักปืนพร้อมปกป้องคามิน
แต่พอเห็นธีภพหันปลายกระบอกปืนคว่ำลงเป็นการบอกว่าพร้อมจะคืนปืนให้ ไคซัจและองครักษ์จึงลดปืนลง พริริสายิ้มออกที่ธีภพชนะ แถมยังไม่คิดทำร้ายคามิน
“ต้องขออภัยเจ้าชายด้วย”
คามินคว้าปืนกลับมานึกแค้นใจที่แพ้ธีภพ หันไปสั่งไคซัจ
“พาริสาขึ้นรถ”
ไคซัจและองครักษ์โค้งให้พริริสาเพื่อพาไปที่รถ พริริสาละล้าละลัง คามินมองออกว่าพริริสาเริ่มมีใจให้ธีภพแล้ว จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย
“อ้อ...นายอยากรู้สินะว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร”
พริริสาชะงัก ไม่ต้องการให้คามินบอกความจริง
ธีภพรอฟังความจริงที่เขารอคอยมาตลอดด้วยหัวใจเต้นระทึก
“ผู้หญิงคนนั้นก็คือ...เจ้าหญิงราชกุมารี พริริสา อไมร์คาน แห่งไทรจีส”
ขาดคำนั้นคามินก็เดินตรงไปรถ บังคับให้พริริสาขึ้นรถไปด้วยกัน
ธีภพรู้ความจริงว่าคนที่เขาพร้อมจะมอบหัวใจให้กลายเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ความรู้สึกที่เขามีต่อพริริสาเหมือนมีคนมากระชากหลุดลอยไป
ความผิดหวังแล่นเป็นริ้วๆ เข้ามาจับขั้วหัวใจ ตรึงธีภพให้ได้แต่ยืนนิ่ง มองตามรถคามินที่แล่นออกไปอย่างเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ
ในรถที่แล่นห่างออกมา พริริสาหันไปมองธีภพที่ยืนมองตามรถคามินมาด้วยสายตาผิดหวังและเจ็บปวด
ความรู้สึกผิดที่โกหกธีภพมาตลอด แล่นเข้ามาจับใจ เจ้าหญิงรัชทายาทนึกโทษและโกรธเจ้าชายคามินที่บอกความจริงธีภพไปแบบนั้น ตัดพ้อต่อว่าคามินกลับอย่างอัดอั้น
“ทำไมต้องบอกเขาว่าริสาเป็นใคร บอกทำไม พี่คามินบอกทำไม”
“มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องรู้ความจริง”
“แต่ไม่ใช่แบบนี้”
“แล้วแบบไหน บอกพี่สิว่ามันต้องเป็นแบบไหน”
พริริสาสะบัดหน้าไปอีกด้าน แสดงชัดเจนว่าทั้งโกรธทั้งเสียใจต่อการกระทำของอีกฝ่าย
คามินชักเริ่มโมโห “ริสารักนายธีภพใช่ไหม ถึงได้โกรธพี่ขนาดนี้”
พริริสาเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ไม่ตอบ และไม่ยอมหันมา ความรู้สึกเสียใจและกลัวธีภพจะโกรธเกลียดตนผลุดขึ้นกลางใจ จนเผลอร้องไห้ออกมา พริริสารีบปาดน้ำตากลัวว่าคามินจะเห็นและรู้ว่าตนคิดยังไงกับธีภพ
ไคซัจแอบหันไปมอง เห็นท่าทางพริริสาเศร้าซึม ก็รู้ว่าพริริสารักธีภพเข้าแล้วจริงๆ เจ็บลึกๆ แต่ก็รู้ตัวว่าทำได้แค่มองพริริสาอย่างเห็นใจเท่านั้น
ธีภพกลับเข้าบ้านพัก ยืนมองผ่านหน้าต่างห้องโถงออกไปด้วยหัวใจที่สับสนและปวดร้าวสุดจะคณานับ นึกถึงตอนดูแลพริริสาที่นอมเพ้อเพราะพิษไข้ กุมมือเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“คุณรู้ไหม ทำไมผมถึงอยากรู้ให้ได้ว่าคุณเป็นใคร เพราะผมจะได้รู้ว่าตัวเองกำลังรักใครอยู่ และจะรักคุณได้หมดหัวใจไหม”
ธีภพค่อยๆ โน้มหน้าก้มลงจูบที่หน้าผากพริริสาอย่างแผ่วเบา มองดูพริริสาที่นอนนิ่งไม่กระสับกระส่ายกับฝันร้ายอีกแล้ว
คำพูดคามินกระแทกเข้าหน้าธีภพจังๆ
“ผู้หญิงคนนั้นก็คือ...เจ้าหญิงราชกุมารี พริริสา อไมร์คาน แห่งไทรจีส”
ธีภพรู้สึกผิดหวังรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
อนิจจา ภาพฝันในใจกับความจริงที่ซ่อนอยู่ และเผยออกมาแล้วว่าพริริสาคือเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ มันคือสิ่งที่เกินเอื้อม และเขาคาดไม่ถึงจริงๆ
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงนรี ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในรถที่แล่นมาตามทาง บ่ายหน้าเข้ากรุงเทพฯ เห็นพริริสานั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถสีหน้าเศร้าสร้อย ไม่ยอมพูดจาตลอดทาง ยิ่งทำให้คามินมั่นใจว่าน้องสาวมีใจให้ธีภพไปแล้วจริงๆ แหละความไม่พอใจในตัวธีภพยิ่งทบทวี
มิราเดินมาส่งอธิรุธหลังรู้ข่าวว่าคามินกำลังพาพริริสากลับมาที่นี่
“ขอโทษนะคุณที่ต้องทำแบบนี้ ตอนนี้ริสากลับกรุงเทพฯพร้อมเจ้าชายคามินก็หมดเรื่องแล้ว”
อธิรุธแค่นยิ้ม แดกดัน “ไม่เป็นหรอกครับ อย่าให้ถึงคราวผมบ้างก็แล้วกัน ไว้ผมจะกักตัวคุณเอาไว้บ้าง แต่จะกักไว้ที่ไหนดีนะ”
“นี่คุณ”
อธิรุธเก๊กขรึมมาดเข้มทำทีเป็นโกรธจัดได้แป๊บเดียว ก็เปลี่ยนมาเป็นกรุ้มกริ่มตามเดิม
“ในหัวใจผมดีไหม”
มิราหมั่นไส้ฟาดแขนอธิรุธอย่างแรง “คุณนี่ไม่ตลกสักวันจะได้ไหม”
อธิรุธกลับมาจริงจัง “แล้วนี่เจ้าภพคงรู้แล้วใช่ไหมว่าคุณริสา ไม่สิ เจ้าหญิงเป็นใคร”
มิราพยักหน้ารับ อธิรุธถอนใจเฮือกใหญ่
“เรื่องนี้ล่ะที่ผมห่วงมากกว่า ไม่รู้มันจะใจสลายแหลกเหลวเป็นผุยผงขนาดไหน”
“นี่คุณจะบอกว่าคุณธีภพเขา...”
มิราพอจะเดาออกว่าธีภพมีใจให้เจ้าหญิงแต่ไม่กล้าพูดออกมา อธิรุธยักคิ้วเป็นการยืนยันความคิดดังกล่าว
ธีภพกลับมาใช้ชีวิตตามเดิม เช้าวันนี้เขามาซ้อมยิงปืนเพื่อปลดปล่อยความผิดหวังที่อยู่ในใจ ยิงไปตามสัญชาตญาณมากกว่าจะตั้งใจยิง กระสุนที่เป้าดูกระจัดกระจายไม่แม่นยำเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ธีภพยังคงยิงต่อไปอย่างคนไม่มีสมาธิ
เวลาเดียวกันนี้ พริริสานั่งมองตุ๊กตาแกะที่ธีภพให้มาอย่างเศร้าๆ เป็นห่วงความรู้สึกของธีภพตอนนี้ เจ้าหญิงรัชทายาทเอื้อมหยิบตุ๊กตาแกะมากอดไว้ หวังลึกๆ ว่าธีภพคงจะไม่โกรธตนมากนัก
ฟากธีภพยิงปืนจนกระสุนหมด วางปืนลง ไม่มีจิตใจจะยิงต่อแล้ว ระหว่างนี้อธิรุธถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามาหา มองปราดเดียวก็ดูออกว่าธีภพไม่มีสมาธิ ยิงไม่แม่นเหมือนที่ผ่านมา
“เป็นบุญตาของฉันมากเลยว่ะ ที่เห็นนายมือตกได้ขนาดนี้ ท่าทางหัวใจนายคงไม่ได้อยู่แถวนี้แน่ๆ”
ธีภพไม่ขำด้วย เดินไปอีกมุม อธิรุธเดินตามมา
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะเพื่อน ใครจะคิดว่าคุณริสาจะกลายเป็นเจ้าหญิงของประเทศไทรจีส แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้หรอกใช่ไหม”
“นายหมายความว่ายังไง”
อธิรุธยื่นแฟ้มเอกสารให้ธีภพ
“ก็เจ้าหญิงพริริสา มีชื่อเดิม พริริสา รวีวุธ เป็นนามสกุลของแม่เธอ ฉันไปสืบมาแล้ว แม่ของเจ้าหญิงพริริสา คือ คุณพีรดา รวีวุธ ตอนนี้เป็นพระชายาคนปัจจุบันของท่านราอิล กษัตริย์ของไทรจีส”
“พริริสา...พีรดา รวีวุธ”
ธีภพทวนสองชื่อนี้ สนใจขึ้นมาทันที เพราะเคยได้ยินมาก่อน เขานึกปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เริ่มจากคำพูดคณิน ในวันที่ชวนเขาไปเลี้ยงเด็กๆ ที่บ้านเด็กกำพร้า
คณินส่ายหน้าเมื่อถูกเขาถาม “อาพยายามตามหาพวกเขา แต่พีรดาก็พาลูกหนีไปอีก อาจนปัญญาไม่รู้จะตามหาพวกเขาที่ไหน อาคงไม่มีวาสนาจะได้เจอหน้า...พริริสา”
“พริริสา”
“ลูกสาวของอาอีกคนชื่อ พริริสา ตอนนี้อายุก็น่าจะพอๆ กับยัยเกรซกับริสานั่นล่ะ”
ธีภพถึงกับนิ่งงันไปเลย รู้แล้วว่าพริริสา คือลูกสาวอีกคนของคณิน แต่ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“อ้อมีอีกเรื่อง ผู้การเอกสิทธิ์อยากให้นายกลับมาช่วยงานสำคัญ แต่ฉันไม่แน่ใจว่านายอยากจะรับงานนี้หรือเปล่า”
ธีภพแปลกใจว่างานอะไร
ธีภพเดินมาอีกด้านของสนามยิงปืน อธิรุธเดินตามมา
“ผู้การเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ฉันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรด้วย”
“ถ้าเป็นงานอารักขาปกติ ผู้การคงไม่ยอมให้นายเข้าทีมแน่ ยิ่งถ้ารู้ว่านายกับเจ้าหญิง...”
ธีภพขึงตาไม่พอใจมาให้ อธิรุธรีบกลืนคำที่จะพูดลงคอไป
“แต่นี่มีการขอมาจากไทรจีสว่าอยากให้นายร่วมทีม”
ธีภพไม่อยากเจ็บปวดหัวใจอีก จึงปฏิเสธออกไปทันควัน
“ฉันขอปฏิเสธ ฉันลาออกจากตำรวจแล้ว ฉันคงไม่เหมาะกับงานนี้”
พร้อมกับว่าธีภพเดินออกไปเลย อธิรุธตะโกนไล่หลัง
“อ้าว เฮ้ย ไม่ลังเลสักนิดเลยเหรอวะ ไอ้ภพ”
อธิรุธได้แต่ถอนใจระอา แม้จะเข้าใจหัวอกเพื่อนก็เถอะ
คามินและไคซัจมาถึงห้องพักพริริสาสักครู่แล้ว มิรายืนรับหน้าคามินอย่างไม่สบายใจ
“เก็บของกันเสร็จหรือยัง”
มิราอึกอัก “ยังเพคะ”
คามินหงุดหงิด “ทำไม”
มิรามีสีหน้าลำบากใจมาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คามินรู้ว่าน้องสาวดื้อแพ่ง ต้านทานคำสั่งก็นึกโกรธ เดินตรงไปที่ห้องนอนของพริริสา
ไคซัจเป็นกังวลรีบบอกมิรา “รีบตามไปดูเถอะครับ”
มิรารีบตามไปทันที
พริริสาหยิบเสื้อผ้าที่มิราเก็บใส่กระเป๋าออกมาเก็บเข้าตู้ตามเดิม คามินเดินเข้ามาเห็น หยุดมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ริสาเก็บของ เราต้องไปอยู่ที่ๆ ปลอดภัยที่สุด”
“ริสาบอกแล้วไงว่าไม่ไป ริสาจะอยู่ที่นี่จนกว่าทุกอย่างจะจบ”
“อย่าดื้อกับพี่”
คามินเข้าไปคว้าเสื้อในมือพริริสาโยนกลับไปที่กระเป๋า พริริสาทั้งโกรธทั้งน้อยใจที่ถูกคามินบีบบังคับทุกสิ่งอย่าง
“ริสาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
คามินโกรธจัด “ไม่ยอมทำตามที่พี่บอก เพราะโกรธพี่เรื่องนายธีภพอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ ริสาโกรธพี่คามิน ไหนว่าจะช่วยริสา ทำไมต้องทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด”
“แย่ตรงที่นายธีภพมันต้องฝันสลายเพราะเราคือเจ้าหญิงราชกุมารีแห่งไทรจีส ที่สามัญชนคนธรรมดาอย่างหมอนั่นไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมใช่ไหม”
คามินพูดจี้ใจดำ ยิ่งทำให้พริริสาน้ำตาไหลออกมาไม่โดยรู้ตัว คามินยิ่งโมโหเพราะมันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรแล้วว่าพริริสาดื้อรั้นต้านทานตนเพราะยังโกรธ และเศร้าใจ เสียใจ เรื่องธีภพอยู่
มิรายืนละล้าละลังฟังการทุ่มเถียงอยู่หน้าประตู อีกสักครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเข้าไปห้ามทัพ
“ไว้มิราจะคุยกับริสาให้เองนะเพคะ”
คามินเดินผลุนผลันออกไปจากห้อง พริริสาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้กอดตุ๊กตาแกะใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเศร้าลง มิราได้แต่มองอย่างเป็นห่วง
ที่บ้านธีภพ สาวใช้ยกชาร้อนและของว่างมาให้ วิวรรณหมกมุ่นครุ่นคิด กังวลใจอยู่แต่เรื่องธีภพยกชาขึ้นจิบปากก็บ่น
“ทำไมชามันร้อนแบบนี้ล่ะ”
สาวใช้รู้ทัน “ที่ร้อนคงไม่ใช่ชามั้งคะ แต่เป็นใจคุณผู้หญิงมากกว่า”
วิวรรณมองดุ “ไม่ต้องทำเป็นรู้ดีเลย จะไปไหนก็ไปเลยไป”
สาวใช้เห็นวิวรรณอารมณ์ไม่ดีก็รีบเดินหลบไป
ธีภพหอบความเครียดกลับเข้าบ้านมา วิวรรณหันไปเห็นลูกชาย ก็ทำหน้ามึนตึงใส่รอเอาเรื่องอยู่
“ภพ ตั้งแต่เมื่อวานลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยนะว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วหายไปไหนกับเลขาสองต่อสองเป็นวันเป็นคืนขนาดนี้”
ธีภพตอบสีหน้าเนือยๆ “ผมไปบ้านพักของเจ้ารุธมาน่ะครับ”
“บ้านพัก นี่เรายอมรับแล้วใช่ไหมว่าเรากับแม่เลขานั่น...”
“มันไม่มีอะไรหรอกครับคุณแม่ ยังไงผมกับริสา...มันก็คงเป็นไปไม่ได้”
ธีภพจุก หยุดคำพูดไว้เท่านั้น เพราะระหว่างเขากับพริริสายิ่งห่างไกลกันออกไปทุกที
วิวรรณชะงัก เห็นสีหน้าลูกชายหมองเศร้าไม่เหมือนที่ผ่านมาก็แปลกใจ ความโกรธมลายไปกลายเป็นห่วงใยขึ้นมาแทนที่
“ภพ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าลูก”
ธีภพพยายามสลัดความเศร้าในใจออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
ธีภพเดินหลบออกไปทางหลังบ้าน คุณวิวรรณได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง
ธีภพเดินหลบมานั่งเงียบๆ ใช้ความคิดอยู่ในสวนสวยหลังบ้าน สับสนในใจ ว่าเขาควรจะหยุดกับเรื่องของพริริสาเท่านี้ หรือจะเดินต่อไปให้สุดทาง แม้ที่ปลายทางจะมีเจ็บปวดใจมากแค่ไหนรออยู่ก็ตาม
ธเนศเดินดูต้นไม้มาเรื่อยๆ จนเห็นลูกชายนั่งไหล่ตกอยู่ ก็พอจะรู้ว่าลูกชายกลุ้มใจเรื่องอะไร
“ผู้การเอกสิทธิ์โทร.มาหาพ่อเรื่องงานอารักข้าเจ้าหญิงของไทรจีส...”
ธีภพตัดบทออกไปทันที “ผมบอกเจ้ารุธไปแล้วครับ ว่างานนี้ผมคงทำไม่ได้ ผมลาออกจากตำรวจก็เพื่อมาช่วยงานคุณพ่อ มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว คงกลับไปรับงานนั้นไม่ได้”
“ถ้านี่เป็นคำตอบตามหน้าที่ของลูก แล้วคำตอบจากหัวใจเราล่ะ อยากจะรับหน้าที่ปกป้องเจ้าหญิงหรือเปล่า”
ธีภพอึ้งไป ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
อีกฟากหนึ่ง ตำรวจชุดอารักขายืนเรียงแถว แสดงการเคารพต่อเจ้าชายคามินที่อยู่กับเอกสิทธิ์ในสนามหญ้าหน้าตึกทำการสถานทูตไทรจีสประจำประเทศไทย มีท่านทูต ไคซัจ องครักษ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูต ยืนอยู่ด้านหลัง
เอกสิทธิ์แนะนำ อธิรุธ หมวดทัด และตำรวจชุดอารักขา คามินเข้าไปจับมือกับทุกคนเป็นการทักทายตามมารยาท
ต่อมาคามินนั่งฟังผู้การเอกสิทธิ์อธิบายเรื่องแผนการเข้ามาอารักขาของตำรวจไทย อยู่ในห้องรับรองของสถานทูตไทรจีส คามินไม่ค่อยอยากให้ตำรวจไทยมาวุ่นวายแต่ขัดคำสั่งราอิลไม่ได้ จึงนั่งฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้สนใจนัก
“พรุ่งนี้จะมีการแถลงข่าวของเจ้าชายกับบริษัทบูรพเกียรติ งานนี้กระหม่อมได้ให้ทีมอารักขาเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
“ผมขอยืนยันนะผู้การ ว่าไม่อยากให้มันเอิกเกริก และอยากให้การอารักขาครั้งนี้เงียบที่สุด”
ไคซัจเสริมว่า “เจ้าชายไม่ต้องการให้พวกกบฏรู้ตัวว่าทางเรามีตำรวจไทยคอยให้ความช่วยเหลืออยู่”
“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ส่วนเจ้าหญิงพริริสา กระหม่อมได้เตรียมชุดอารักขาพิเศษอีกชุดไปดูแลที่พักใหม่แล้วพะย่ะค่ะ” เอกสิทธิ์กล่าว
“ขอบคุณผู้การมาก”
คามินไม่ได้เอะใจอะไรเกี่ยว ชุดอารักขาพิเศษ ที่ไปดูแลพริริสา
สุดท้ายมิราก็กล่อมจนพริริสายอมย้ายมาอยู่ที่บ้านพักซึ่งคามินจัดไว้ให้ เวลานี้มิราเดินสำรวจบ้านพักไปด้วยคุยโทรศัพท์กับไคซัจไปด้วยอย่างพึงพอใจกับที่พักใหม่
“มาถึงแล้ว ไม่ต้องห่วงนะไคซัจ มีอะไรจะรีบติดต่อไป”
มิราวางสายมองขึ้นไปด้านบนนึกเป็นห่วงพริริสา
มิราเดินเข้ามาหาพริริสาในห้องนอน อีกฝ่ายกำลังวางตุ๊กตาแกะไว้ที่หัวเตียง
“ริสา”
พริริสาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า “เขาคงไม่อยากเจอหน้าฉันแล้วล่ะมิรา”
“ความจริงถ้าเธอกับคุณภพจะลองเปิดใจพูดความจริงต่อกัน มันอาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ”
“ความจริงที่ฉันกำลังทำอะไรอยู่น่ะเหรอ เธอคิดว่าคุณภพเขาจะรู้สึกยังไงกับฉัน”
“งั้นเรา...”
“แต่ฉันก็หยุดไม่ได้หรอกนะมิรา อีกแค่นิดเดียว สิ่งที่ฉันลงทุนไปทั้งหมดก็จะสำเร็จ”
พริริสาฝืนใจแม้จะเศร้าแค่ไหนแต่ก็ยังไม่ลืมเป้าหมายตัวเองที่จะเล่นงานบูรพเกียรติ
ตึกบูรพเกียรติคึกคักแต่เช้า เพราะวันนี้ มีงานแถลงข่าวการร่วมทุนระหว่างบริษัทจิวเอลรียักษ์ใหญ่ของไทย บูรพเกียรติ กับบริษัทข้ามชาติของเจ้าชายคามิน รัชทายาทแห่งไทรจีส
บรรดานักข่าวสายเศรษฐกิจ และไฮโซ เซเลบ เข้ามาเตรียมตัวในห้องแถลงข่าวบนตึกบูรพเกียรติแต่เช้า หน้าห้องและรอบบริเวณมีการวางกำลังตำรวจชุดอารักขานอกเครื่องแบบยืนเฝ้าระวังอยู่เต็มอัตรา
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ทหารกบฏ ลูกน้องของอาซิส แฝงตัวปลอมเป็นนักข่าวยืนปะปนกับนักข่าวคนอื่นๆในงาน เฝ้าสังเกตการณ์เพื่อหาช่องทางจัดการคามินตลอดจนหาทางหนีทีไล่ในการหลบหนีไปในตัว
ทันทีที่เห็น คณินและกรนันท์เดินเข้ามาในล็อบบี้ นักข่าวที่จับกลุ่มอยู่รีบกรูเข้าไปหาถ่ายรูปและสัมภาษณ์
ทหารกบฏในคราบนักข่าว เข้าไปรวมกลุ่มถ่ายรูปคณินและกรนันท์ พลางสังเกตกลุ่มอารักขาในชุดสูทเท่ที่ยืนปะปนอยู่ตามจุดต่างๆ มองออกว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานธรรมดา
“ใกล้ได้เวลาแล้วนะคะ เดี๋ยวเกรซไปดูเจ้าชายให้นะคะคุณพ่อ”
คณินพยักหน้ารับ กรนันท์เดินออกไปทางหนึ่ง
ทหารกบฏได้ยินก็หูผึ่งรีบเดินเลี่ยงหลบแอบตามไปห่างๆ ปะปนกับพนักงานและทีมงานที่เดินไปเดินมาเพื่อตระเตรียมงาน
ทางด้านคามินนั่งอ่านทบทวนเอกสารสัญญาอีกรอบฆ่าเวลา ก่อนจะออกไปแถลงข่าว ไคซัจมองนาฬิกาข้อมือรอเวลา
กรนันท์ออกจากลิฟต์ เดินนวยนาดไปตามทางเดินตรงไปยังห้องรับรอง ประตูลิฟต์ข้างๆ อีกตัว เปิดออกเห็นทหารกบฏในคราบนักข่าวเดินออกมา แอบตามหลังกรนันท์ไปเงียบๆ
ใกล้เวลาแล้ว ไคซัจหันมาหาคามิน
“กระหม่อมจะออกไปดูความเรียบร้อยด้านนอกอีกรอบพะย่ะค่ะ”
“แล้วริสาจะมาที่งานนี้ด้วยหรือเปล่า”
“เจ้าหญิงกับคุณมิราจะไปจัดการงานที่เหลืออยู่พะย่ะค่ะ”
“นึกว่าจะล้มเลิกความตั้งใจไปแล้วซะอีก”
“เจ้าหญิงคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ หรอกพะย่ะค่ะ ที่เจ้าหญิงลงแรงไปมากมายก็เพื่อบรรเทาความทรงจำที่โหดร้ายให้เบาบางลง”
คามินค้าน “นายแน่ใจเหรอไคซัจว่ามันจะเบาบางลง หรือมันจะทำให้เจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมกันแน่”
ไคซัจเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
พริริสาและมิราเดินออกมาที่หน้าบ้านพัก มีองครักษ์คนเดิมยืนรออยู่พร้อมรถที่มารับ
“ไหนไคซัจว่าตำรวจไทยส่งคนมาอารักขาที่นี่ ไม่เห็นมีสักคน”
“ก็ดีแล้วนี่ เราทำอะไรจะได้ไม่มีใครมาวุ่นวาย พวกบูรพเกียรติจะได้ไม่รู้ตัวก่อน”
พริริสาและมิราขึ้นรถไป
อีกฟากไคซัจออกมาที่หน้าห้องรับรองเพื่อออกไปตรวจดูความเรียบร้อย เห็นกรนันท์เดินมาพอดี
“ฉันมาเชิญเจ้าชายไปที่งานแถลงข่าว”
“ผมก็กำลังจะออกไปดูความเรียบร้อยก่อนที่เจ้าชายจะออกไป”
กรนันท์คุยโต ไม่รู้ตัวว่าหล่อนพาผู้ร้ายมาด้วย “ก็เรียบร้อยดีทุกอย่างนี่ ฉันเป็นคนดูแลจัดงานนี้เองจะมีอะไรไม่เรียบร้อยได้ยังไง”
“ผมหมายถึงความปลอดภัยน่ะครับ”
ขณะพูดสายตาไคซัจเหลือบไปเห็นเงาสะท้อนจากประตูกระจกแถวนั้น มั่นใจว่ามีคนหลบมุมอยู่ก็เตรียมพร้อม จับปืนที่เอว
กรนันท์ตกใจ “จะทำอะไรน่ะ”
ไคซัจตรงที่บริเวณดังกล่าว ทหารกบฏหลบมุมแนบตัวชักปืนออกมาเตรียมพร้อม และฉวยโอกาสกระโจนเข้าไปแย่งปืนจากมือไคซัจก่อน ทั้งคู่ยื้อยุดกัน
กรนันท์วิ่งหลบเป็นที่วุนวาย นางร้องกรี๊ดแตก
“แอร๊ยย”
คามินและองครักษ์อีกคน ได้ยินเสียงร้องของกรนันท์ก็แปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
คามินจะออกไปดู องครักษ์รีบตามไปประกบห้ามไว้
“อย่าเพิ่งออกไปเลยพะย่ะค่ะ”
“ออกไปแค่นี้จะเป็นอะไร”
คามินไม่สนใจออกไปจากห้อง องครักษ์รีบตามออกไปคุ้มครอง
ไคซัจและทหารกบฏ ต่อสู้แย่งปืนกันปืนในมือสองคนแกว่งไปวาดมาอย่างน่าหวาดเสียว กรนันท์เอาแต่ยืนกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัว
คามินเดินออกมาจากห้อง ตกใจเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทหารกบฏเห็นคามินตัดสินใจเตะไคซัจกระเด็นออกไปพร้อมกับชักปืนออกมาจ่อเล็งไปที่คามินยิงเปรี้ยง องครักษ์ดึงตัวคามินหลบกระสุนไว้ได้ทันท่วงที
“แอร๊ย”
กรนันท์กรี๊ดรีบวิ่งหลบไปทางคามิน
เสียงปืนเรียกให้ชุดอารักขา 2 คนวิ่งเข้ามาสมทบ ทหารกบฏเห็นมีคนเข้ามามากขึ้นจึงรีบวิ่งหลบออกไปไคซัจรีบตามไป
ชุดอารักขาเข้ามาประกบคามินไว้
กรนันท์อกสั่นขวัญผวา ยังไม่รู้ตัวอีกว่า นางนั่นเองที่พาผู้ร้ายขึ้นมาบนนี้
“นี่มันอะไรกันคะเจ้าชาย”
คามินรู้และมั่นใจว่าเป็นฝีมือพวกกบฏ แต่ไม่ยอมพูดอะไร
อ่านต่อตอนต่อไป
เพลิงนรี ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทหารกบฏลูกน้องอาซิสวิ่งหนีลงบันไดไป ไคซัจวิ่งไล่ตามมาติดๆ คอยชะโงกดูด้านล่างเห็นทหารกบฏ กำลังวิ่งหนีลงไปยังชั้นล่างจึงรีบวิ่งตาม ไคซัจเร่งความเร็วหวังจะตามให้ทัน แต่เมื่อชะโงกหน้าลงไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่าทหารกบฏหายไปแล้ว
ไคซัจวิ่งลงมาชั้นล่าง พบว่าประตูทางหนีไฟชั้นนั้นเปิดอ้าอยู่จึงรีบเปิดออกไปดู ครู่เดียวไคซัจก็วิ่งพรวดออกมาจากประตูหนีไฟ ทำเอาพนักงานที่เดินผ่านมาตกใจ ไคซัจพยายามมองหาทหารกบฏ
“พวกคุณเห็นใครแปลกหน้าผ่านไปบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เห็นค่ะ”
ไคซัจรีบเดินออกไปตามหาทหารกบฏต่อ
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง กรนันท์ยังนั่งหวาดผวาเหมือนกลัวไม่หาย และฉวยโอกาสจับมือคามินอยู่ในห้องรับรอง ไคซัจเพิ่งกลับเข้ามาหลังคว้าน้ำเหลวในการล่าทหารกบฏ องครักษ์ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“นี่มันอะไรกันคะเจ้าชาย ทำไมจู่ๆ ก็มีคนร้ายบุกเข้ามา มันจะทำร้ายเกรซ ทำร้ายเจ้าชาย แถมองคักษ์เจ้าชายก็ยังจับมันไม่ได้อีก”
กรนันท์ปรายตามองไคซัจอย่างตำหนิที่จับคนร้ายไม่ได้ คามินเอือมระอากรนันท์เหลือแสน แต่ก็ต้องทำทีเหมือนไม่มีอะไร
“คงเป็นโจรที่แอบเข้ามา”
“แต่ที่นี่ไม่เคยมีโจรหรือหัวขโมยเข้ามาเลยนะคะ”
“อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้นี่ครับ เหมือนกับเรื่องงานแถลงข่าววันนี้ ที่บูรพเกียรติต้องแบ่งหุ้นออกขาย”
กรนันท์ทำทีเป็นเออออตามน้ำเห็นงามไปกับคามิน
“ก็จริงนะคะ เหมือนกับเกรซที่ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสได้พบกับเจ้าชาย แต่เราก็ได้พบกัน”
กรนันท์ส่งตาหวานให้เจ้าชายรัชทายาท
“ผมหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ จะไม่มีการพูดออกไปนะครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ เกรซสัญญา วันแถลงข่าวแบบนี้ด้วย ถ้าสื่อรู้ว่ามีโจรบุกเข้ามาบริษัทเราเสียชื่อแย่เลย”
คามินโล่งใจที่อย่างน้อยกรนันท์ยังคิดได้ และจะไม่ปากโป้งพูดเรื่องนี้ออกไป
พริริสาและมิราลงจากรถหน้าตึกหลังหนึ่ง เดินเข้าไปด้านใน ที่นี่เป็นออฟฟิศบริษัทของประสาน หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบูรพเกียรติที่มักคุ้นกับพริริสา องครักษ์ที่มาคอยคุ้มกันขับรถวนไปจอดที่ลานด้านหลังตึก พอลงจากรถ ทหารกบฏลูกน้องอาซิสอีกคนซึ่งซุ่มรออยู่ ก็เดินตรงเข้ามาที่ด้านหลังเล่นงานก่อนทันที
องครักษ์ล้มลงจะชักปืนยิง ทหารกบฏไวกว่าชักปืนออกมายิงใส่องครักษ์แน่นิ่งไปไม่รู้เป็นหรือตาย จากนั้นทหารกบฏก็เข้าไปค้นตัว ได้โทรศัพท์มือถือและกุญแจรถมา
ที่ตึกบูรพเกียรติ งานแถลงข่าวเริ่มแล้วและดำเนินไปอย่างราบรื่น คามินและคณินนั่งคู่กันที่โต๊ะแถลงข่าว ต่างเซ็นสัญญาคนละฉบับ แล้วแลกกันเซ็นลงนาม ทั้งคู่ลุกขึ้นจับมือกัน นักข่าวถ่ายภาพไม่หยุด กรนันท์สบช่องรีบเดินเข้ามาไปร่วมเฟรมถ่ายรูปด้วย ไคซัจยืนอยู่กับองครักษ์ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคามินและคณินที่กำลังจับมือกันส่งไลน์ไปให้มิรา
พริริสาและมิราเดินออกมาที่หน้าตึกบริษัทของประสาน มิราได้ยินเสียงข้อความไลน์เข้ามาในโทรศัพท์มือถือ เปิดดู เห็นภาพการแถลงข่าวเรื่องเซ็นสัญญาที่ไคซัจส่งมาให้ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีก็รีบบอกพริริสา
“ไคซัจส่งข่าวมา เรื่องงานแถลงข่าวเซ็นสัญญาร่วมทุนผ่านไปด้วยดี”
“ฝากบอกไคซัจด้วยว่าทางนี้ก็ผ่านไปด้วยดีเหมือนกัน”
มิราพิมพ์ข้อความส่งกลับไป
ระหว่างนี้รถของพริริสาแล่นเข้ามาจอดเทียบ ทั้งสองสาวไม่ทันสังเกตว่าคนขับรถไม่ใช่องครักษ์คนเดิม แต่เป็นทหารกบฏคนของอาซิส ทั้งคู่ขึ้นรถไป
ทหารกบฏก้มหน้าก้มตามีพิรุธ และกำลังจะออกรถ พริริสาตาไวมองไปที่กระจกมองหลังเห็นใบหน้าคนขับรถรู้ทันทีว่าไม่ใช่คนของคามิน
“แกเป็นใคร คนของพี่คามินไปไหน”
มิราตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
พริริสาและมิราทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ ทหารกบฏควักปืนออกมาขู่
“ใครลงจากรถตาย”
พริริสาและมิราพากันชะงัก จู่ๆ ประตูรถด้านคนขับก็ถูกกระชากออกอย่างแรง
เป็นฝีมือของอธิรุธ เขากระชากตัวลูกน้องอาซิสลงจากรถ ทหารกบฏเล่นงานอธิรุธยิงใส่ก่อน จังหวะนี้เองธีภพก็แสดงตัวเข้ามาเล่นงานทหารกบฏ แย่งปืนไปได้ ตำรวจอีกกลุ่มถือปืนเข้ามาล้อมกรอบทหารกบฏเอาไว้ พริริสาและมิราลงจากรถด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
พริริสานั้นทั้งดีใจและประหลาดใจที่เห็น “คุณภพ”
อธิรุธเข้าไปล็อกกุญแจมือทหารกบฏเอาไว้ ปล่อยให้ตำรวจคุมตัวไป
พริริสาและธีภพจ้องตากันนิ่งนาน แววตาเต็มไปด้วยความสับสนในใจทั้งคู่ พริริสาตัดสินใจเข้าไปหาธีภพใกล้ๆ
“คุณภพ”
ทว่าธีภพกลับถอยห่างออกมา โค้งคำนับให้พริริสา
“ปลอดภัยดีใช่ไหมพะย่ะค่ะเจ้าหญิง”
พริริสานิ่งงันไปกับคำพูดคำจาเหินห่างของเขา
มิรากับอธิรุธยืนมองธีภพและพริริสาอย่างเห็นใจ เหมือนมีกำแพงทะมึนกั้นกลางระหว่างสองคนเอาไว้
คามินนั่งหน้าตึงอยู่ในห้องพักพริริสา ไม่พอใจมากๆ เมื่อรู้ว่าพวกกบฏตามไปจับตัวพริริสา และธีภพกลายมาเป็นหน่วยอารักขาพิเศษ แถมตามไปช่วยพริริสาเอาไว้อีกต่างหาก
“โชคดีที่ตำรวจไทยช่วยคนของเราไว้ได้ทัน แต่อาการก็สาหัสอยู่พะย่ะค่ะ” ไคซัจรายงาน
พริริสาและมิราที่นั่งฟังอยู่ด้วยต่างโล่งใจ
“จัดการให้คนของเราได้รับการรักษาอย่างเต็มที่จนกว่าจะหายดี”
“พะย่ะค่ะ”
“แล้วนายธีภพกับผู้กองอธิรุธโผล่มาได้ยังไง”
พริริสาและมิราเองก็รอฟัง สองสาวอยากรู้เหมือนกัน
“เขาสองคนเป็นหน่วยอารักขาพิเศษของเจ้าหญิงที่ผู้การเอกสิทธิ์จัดมาพะย่ะค่ะ”
พริริสาและมิราลอบยิ้ม คามินชักสีหน้าไม่พอใจทันที
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ธีภพและอธิรุธหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ประดามีออกมา เป็นพวกกล้องวงจรปิด สัญญาณเตือนภัย เพื่อเตรียมพร้อมในการอารักขาพริริสา มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งคู่มองหน้ากัน
“ฉันไปเปิดเอง”
ธีภพเดินไปเปิดประตู เผชิญหน้ากับคามินและไคซัจที่ยืนอยู่ตรงประตู อธิรุธเดินตามมาดูเห็นคามินก็ประหลาดใจ
ธีภพและอธิรุธโค้งคำนับให้คามิน
คามินมองธีภพตาขวาง แสดงออกชัดแจ้งว่าไม่พอใจ ขณะเดินเข้ามาในห้อง
ไคซัจเดินตามมา มองไปรอบๆ ห้อง เห็นการเตรียมพร้อมที่จะอยู่อารักขาพริริสาที่นี่
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเปลี่ยนอาชีพจากนักธุรกิจมาอยู่ทีมอารักขาให้น้องสาวผม”
เสียงอธิรุธแหลมเข้ามา “ธีภพเป็นอดีตนายตำรวจฝีมือดีที่...”
“ผมไม่ได้ถามคุณ”
อธิรุธหน้าเสีย หุบปากลงทันที
“ผมต้องการเปลี่ยนทีมอารักขาของพริริสา” คามินบอกเสียงเข้มโดยไม่มองหน้าใคร
อธิรุธและธีภพ ไม่พอใจที่อยู่ๆ คามินลุแก่อำนาจ ทำอะไรตามใจแบบนี้
คามินหันไปสั่งไคซัจ “ติดต่อผู้การเอกสิทธิ์เดี๋ยวนี้ไคซัจ”
“พะย่ะค่ะ”
ไคซัจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
กลับมาถึงห้องรับรองที่สถานทูตไทรจีส คามินถึงกับทุบโต๊ะด้วยความโมโหถึงขีดสุด เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเอาธีภพออกจากทีมอารักขาพริริสาได้
“ท่านพ่อเป็นคนขอมาโดยตรงงั้นเหรอ”
“พะย่ะค่ะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นหมอนั่นด้วย”
“คุณธีภพเป็นลูกชายของอดีตผู้บัญชาการตำรวจหน่วยพิเศษ ที่เคยเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ที่ประเทศไทรจีสช่วงที่มีการก่อการกบฏ เมื่อ17 ปีก่อนพะย่ะค่ะ ที่สำคัญตอนคุณธีภพรับราชการตำรวจก็เป็นนายตำรวจฝีมือดี แต่ที่ยอมออกจากราชการเพราะเรื่องสุขภาพของอดีตผู้บัญชาการ ท่านราอิลคงเชื่อมั่นในสายเลือดนายตำรวจผู้กล้าของครอบครัวนี้”
“ที่แท้ก็เป็นลูกชายของคนที่เคยช่วยท่านพ่อไว้นี่เอง”
พอได้รู้ว่าธีภพเป็นใครคามินก็มีท่าทีอ่อนลงไปบ้าง แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากให้พริริสาได้ใกล้ชิดธีภพ เพราะพริริสาควรได้คนที่คู่ควรมากกว่านี้
“ยังไงฉันก็ไม่ชอบหน้าหมอนั่นอยู่ดี”
“แต่เจ้าหญิงคงไม่คิดแบบนั้นหรอกพะย่ะค่ะ”
คามินมัวแต่คิดกังวลเรื่องธีภพ เลยไม่ได้สังเกตสีหน้าไคซัจที่ยามนี้หมองลงไปอย่างถนัดตา
สองหนุ่มกลับถึงเซฟเฮ้าส์ บ้านพักหลังใหม่ของพริริสา ธีภพนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องนอน อธิรุธเดินกลับเข้ามาในห้อง เอ่ยขึ้นว่า
“ป่านนี้เจ้าชายคามินคงหัวเสียที่เอานายออกจากทีมไม่ได้”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก”
“ไม่สนได้ไง ทำงานแล้วถูกเขม่น มันจะทำงานอย่างเต็มที่ได้ยังไง โดยเฉพาะแก”
“ฉันก็แค่ทำหน้าที่ของฉันไป ยังไงนายก็ติดตั้งกล้องกับสัญญาณตามจุดที่ฉันวางไว้ให้ครบก็แล้วกัน”
พร้อมกับว่า ธีภพจะเดินออกไป อธิรุธงง
“อ้าวเฮ้ย จะไปไหนไอ้ภพ”
“ฉันมีเรื่องที่ต้องเคลียร์อีกหลายอย่าง นายอยู่จัดการทางนี้ไปก่อนแล้วกัน”
“แน่ใจนะว่านายจะไปเคลียร์เรื่องที่สงสัย ไม่ใช่คิดจะหลบหน้าเจ้าหญิง” อธิรุธดักคอ
ธีภพไม่ตอบเดินออกไป อธิรุธมองตามส่ายหน้าเข้าใจหัวอกเพื่อน
ต่อมา ขณะที่อธิรุธกะลังปีนบันไดติดกล้องวงจรปิดที่บริเวณหน้าประตู โดยมีหมวดทัดคอยช่วยจับบันไดให้ พริริสารีบร้อนออกมาที่หน้าบ้าน ตั้งใจจะมาหาธีภพ
“คุณภพ”
หมวดทัดเห็นพริริสาก็รีบปล่อยบันไดหันไปทำความเคารพ
“เจ้าหญิง”
อธิรุธร้องลั่น เกือบตกบันได
“เฮ้ย”
หมวดทัดตกใจหันกลับไปจับบันไดไม่ให้ล้ม
“ขอโทษครับผู้กอง”
“ระวังหน่อยสิหมวด”
อธิรุธรีบลงจากบันไดมาทำความเคารพพริริสา
“เจ้าหญิงมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้พะย่ะค่ะ”
“เราทำตัวปกติเหมือนที่เคยเจอกันก็ได้ค่ะผู้กอง”
มิราเดินตามออกมาแกล้งแหย่อธิรุธ “แต่หม่อมฉันว่าอย่าดีกว่าเพคะ คนบางคนให้ความสนิทสนมมาก เดี๋ยวจะลืมตัว”
“อ้าวไหงพูดงั้นล่ะคุณ” อธิรุธเซ็ง
พริริสาหยิกแขนมิราที่พูดแบบนั้นใส่อธิรุธแบบนั้น
“โอ๊ย! ริสาก็ ฉันพูดเล่นหรอกน่า”
อธิรุธยิ้มแต้ “งั้นผมค่อยสบายใจหน่อย”
“แล้ว...คุณภพล่ะคะ”
พริริสาเมียงมองไปแถวนั้นเผื่อธีภพจะอยู่แถวนี้
“เจ้าภพไม่อยู่หรอกครับ มันสั่งงานผมไว้ แล้วก็ออกไป”
พริริสามีสีหน้าผิดหวังที่ไม่ได้เจอธีภพ
ธีภพมารายงานตัวกับเอกสิทธิ์ที่ห้องทำงานผู้การในกองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย เวลานี้ผู้การตบบ่าธีภพเป็นเชิงขอบใจ
“ขอบคุณมากที่คุณยอมรับงานอารักขาเจ้าหญิง”
“ความจริงผม...”
ธีภพท่าทางยังสองจิตสองใจกับการรับหน้าที่ เอกสิทธิ์มองออกรีบพูดดักคอ
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีปัญหาอะไรกับทางเจ้าชายคามินหรือเจ้าหญิงพริริสา แต่ในเมื่อคุณตัดสินใจช่วยงานนี้ ผมก็โล่งใจ ผมเชื่อในตัวคุณ แล้วไม่ใช่แค่ผมหรอกนะ ท่านราอิลเองก็เจาะจงตัวคุณมา จนเจ้าชายคามินทำอะไรไม่ได้”
“ทำไมต้องเป็นผม เพราะคุณพ่อเหรอครับ”
“นั่นก็ด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเพราะท่านราอิลเชื่อว่าคุณจะปกป้องเจ้าหญิงพริริสาได้”
“เชื่อทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเจอผมเลยเหรอครับ”
“ใครบอก ท่านราอิลบอกว่าเคยเจอคุณแล้วนะ”
ธีภพแปลกใจ พยายามนึกทบทวน ก่อนจะนึกขึ้นได้ ในวันหนึ่งเขาถูกธเนศโทร.ตามมาพบที่ร้านอาหาร ขณะเลือกซื้อของอยู่กับพริริสา
หลังพริริสาชิ่งขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้ว ธีภพเดินตรงมาที่โต๊ะ ธเนศแนะนำเขาให้รู้จักกับเพื่อนว่า “ลูกชายผมเอง ธีภพ นี่...คุณอาราอิล”
“สวัสดีครับ คุณอา”
ธีภพไหว้ทัก สายตามองสังเกตในร้าน พบว่ามีคนแต่งตัวเหมือนบอร์ดี้การ์ดปะปนอยู่ก็รับรู้ได้ว่าราอิลไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักหลานชาย”
ธีภพเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วว่า ทำไมราอิลถึงได้เลือกตนเองมาอารักขาพริริสา
“ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันเรื่องตัวคุณ ก็เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยธีภพ”
“ครับผู้การ แล้วเรื่องคนร้ายจากไทรจีสที่เราจับตัวได้”
“หมอนั่นยังไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ไม่ต้องห่วงยังไงเราก็ต้องตามกลิ่นพวกที่เหลือได้แน่”
เอกสิทธิ์บอกด้วยสีหน้ามั่นใจ
ที่แหล่งกบดานแห่งหนึ่ง อาซิสโยนปืนให้ทหารกบกฎคนที่เหลือรอดอยู่ด้วยกัน พร้อมหยิบปืนตัวเองเก็บที่ด้านหลัง
“เราต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกตำรวจไทยจะมาถึงที่นี่”
อาซิสหันกลับมาโยนเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นลงเป้ที่อยู่บนเตียง
ระหว่างนี้ ตำรวจหน่วยอรินทราชพร้อมอาวุธวิ่งขึ้นบันไดมาตรงไปยังห้องพักของอาซิส
อาซิสและลูกน้อง เก็บของเสร็จ รูดซิบกระเป๋าเป้
ประตูถูกเปิดออกอย่างแรงเห็นตำรวจบุกเข้ามา แต่อาซิสและลูกน้องไม่อยู่แล้วทั้งห้องว่างเปล่า ตำรวจเจอร่องรอย พบว่าหน้าต่างห้องพักถูกเปิดทิ้งไว้
ไม่นานต่อมา เอกสิทธิ์ได้รับโทรศัพท์รายงานการตามจับพวกอาซิสไม่สำเร็จ ผู้การส่ายหน้าผิดหวัง ก่อนจะวางสายไป
“เป็นยังไงบ้างครับผู้การ” ธีภพรีบถาม
“พวกมันหนีไปได้ก่อน ยังไงคุณก็ต้องระวัง พวกมันคงกลับมาปองร้ายเจ้าชายคามินกับเจ้าหญิงพริริสาอีกแน่”
ธีภพลองถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสิทธิ์
“ทำไมเจ้าชายคามินกับเจ้าหญิงพริริสาไม่รีบกลับไทรจีสไปล่ะครับ ในเมื่อเรื่องธุรกิจของเจ้าชายคามินก็เรียบร้อยดีแล้ว”
“ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลหรอก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปรับรู้ คุณมีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยของเจ้าหญิงแค่นั้นก็พอ”
ธีภพนิ่งไม่ตอบอะไร ในใจไม่คิดเหมือนเอกสิทธิ์ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าพริริสากำลังจะทำอะไรต่อไป
ที่เซฟเฮาส์ มิราตามมาดูอธิรุธตรวจสัญญาณเตือนภัยที่หน้าต่าง
“ติดตั้งให้ดีๆ นะคุณ ความปลอดภัยของเจ้าหญิงสำคัญแค่ไหนคงไม่ต้องให้บอกหรอกใช่ไหม ไม่ใช่ปล่อยให้คนร้ายเข้ามาถึงตัวแล้วค่อยตามมาช่วยเหมือนวันนี้”
อธิรุธหมั่นไส้ “นี่คุณ ผมน่ะตำรวจมืออาชีพนะครับ ไม่อย่างงั้นจะรู้เหรอว่าพวกคุณไปที่บริษัทของคุณประสาน หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบูรพเกียรติ”
มิราตกใจ “คุณรู้”
“พวกเราตามคุณกับเจ้าหญิงตั้งแต่ออกจาก บ้านนี้แล้ว แค่ไม่รู้ว่าพวกคุณไปที่นั่นทำไม”
อธิรุธจ้องหน้าคาดคั้น มิรารีบชิ่ง
“งั้นคุณก็ทำงานของคุณไปเถอะนะ ฉันไม่กวนแล้ว”
มิราเดินหนี อธิรุธเดินมาขวางหน้าไว้ไม่ยอมให้ไป
“ไม่อยู่ดูผมทำงานต่อล่ะคุณ ผมมีเรื่องอยากชวนคุณคุยเยอะแยะเลย”
มิรารีบร้อนถอยหลังหนี จนสะดุดกล่องอุปกรณ์จะล้ม
“ว้าย”
อธิรุธคว้าเอวมิราเอาไว้ทัน
“ระวังหน่อยสิคุณ กลัวที่ต้องตอบคำถามผมหรือไง”
มิราเขินที่ถูกโอบไว้ ผละออกแล้วเดินหนีไป อธิรุธบ่นบ้าตามหลังไป
“พวกผู้หญิงความลับเยอะกันเหลือเกิน”
ฝ่ายพริริสารวบรวมเอกสารสัญญาทั้งหมดใส่ซอง มิราเข้ามาหาอย่างร้อนใจ
“ริสาแย่แล้ว”
“มีอะไรแย่กว่านี้อีกหรือไงมิรา”
“คุณภพกับผู้กองเขาสงสัยเรื่องที่เราไปหาคุณประสาน”
พริริสาชะงักไป ใจหนึ่งกลัวธีภพจะรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ยังไงก็ต้องดำเนินแผนการของตนต่อไป
“เขาสงสัยแล้วจะทำอะไรได้”
“แต่แค่เรื่องที่เธอปิดบังฐานะตัวเอง ดูคุณภพเขาก็ผิดหวังมากแล้วนะ ถ้าเขารู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร เขาอาจจะ...”
พริริสาพอเดาออก “เขาคงเกลียดฉันใช่ไหม”
มิราจับมือพริริสาอย่างเห็นใจ “ริสา”
พริริสาสายตาเศร้าขึ้นมาทันที หันไปหยิบซองจดหมายสีขาวมาส่งให้มิรา
“ให้คนเอาจดหมายนี้ไปส่งที่บูรพเกียรติทีนะ”
“จดหมายอะไรน่ะ”
“จดหมายลาออก ต่อไปจะไม่มี ริสา ฉันทพัฒน์ ที่นั่นอีก”
มิรารับจดหมายรู้ว่ายังไงพริริสาก็ไม่มีทางล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจไว้
ทางด้านวิวรรณเข้ามาเก็บเอกสารบนโต๊ะในห้องทำงานธีภพ จัดวางจนเรียบร้อย สีหน้าดูออกว่าไม่สบายใจนัก ทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้ง จนธเนศเดินเข้ามาเห็นสีหน้าภรรยาก็รู้ว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร
“คุณมาจัดเอกสารของลูกแบบนี้ เดี๋ยวเจ้าตัวกลับมาหาอะไรไม่เจอจะทำยังไง”
“กว่าตาภพจะกลับมาจัดการ วางทิ้งไว้คงได้ฝุ่นเกาะกันพอดี ลูกไปทำภารกิจอะไรกันแน่คะ ออกจากตำรวจแล้วแต่ยังต้องไปช่วยงานอะไรอีก”
“ผมพูดอะไรมากไม่ได้หรอกคุณ เอาเป็นว่างานสำคัญก็แล้วกัน”
“ตาภพถูกเรียกตัวหายไปแบบนี้ ทางโน้นเขาก็ยิ่งได้โอกาส”
ธเนศฉงน “ทางโน้น ทางไหนของคุณ”
“ก็พวกบูรพเกียรติน่ะสิคะ” คุณวิวรรณยังเคืองกานดาไม่หาย “ที่สมาคมฉันเขาพูดกันไม่หยุดว่าตอนนี้หนูเกรซไปมาหาสู่เจ้าชายคามินเปิดเผยน่าดู ไม่เกรงใจแหวนหมั้นที่สวมไว้เลย”
“สมัยนี้แค่แหวนหมั้นมันไม่ใช่เครื่องการันตีความรัก หรือเป็นเครื่องหมายผูกมัดของคนได้หรอกคุณ ถ้าใจจะเขาจะเปลี่ยน ต่อให้มีทะเบียนเขาก็ไม่สนใจ”
วิวรรณถอนใจอีกเฮือก “ฉันยิ่งรู้สึกผิดที่บังคับลูกให้หมั้น ฉันควรจะทำยังไงดีคะคุณ”
ธเนศไม่ทันได้พูดอะไร สาวใช้ก็เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน
“มีโทรศัพท์ของคุณผู้ชายค่ะ จากคุณบรรทัดค่ะ”
สาวใช้ส่งโทรศัพท์ให้ ธเนศรับมาด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเดินออกไปคุยอีกด้านหนึ่งในบ้าน
ธเนศคุยโทรศัพท์อยู่กับ 1 ในกรรมการบริหารบริษัทบูรพเกียรติ สีหน้าเครียด
“ไม่นี่ครับ ไม่มีใครมาคุยกับผม งั้นเหรอครับ ถ้าได้รายละเอียดยังไงคุณบรรทัดช่วยบอกผมด้วย”
วิวรรณเดินตามมา เห็นธเนศวางสายด้วยสีหน้าไม่สู้ดี จึงถามว่า
“คุณบรรทัดโทรมามีเรื่องอะไรเหรอคะ ทำไมคุณต้องทำหน้าเครียดด้วย”
“เขาโทร.มาบอกผมว่าวันนี้มีคนของเจ้าชายคามินไปคุยกับคุณประสาน แล้วไม่ใช่คุณประสานคนเดียวนะผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ก็มีคนของเจ้าชายคามินเข้าไปคุยด้วย”
วิวรรณได้ยินชื่อคามินยังจำความร้ายกาจ ลุแก่อำนาจของอีกฝ่ายได้ดี
“แล้วเขาไปคุยกับพวกผู้ถือหุ้นทำไมคะ”
“เขาไปขอซื้อหุ้นบูรพเกียรติ”
วิวรรณตกใจมาก
ธีภพตัดสินใจแวะมาหาคณินถึงที่บ้านบูรพเกียรติ เขานั่งอยู่กับเจ้าบ้านที่มุมหนึ่งของบ้าน สาวใช้ยกน้ำมาเสิร์ฟและเดินออกไป
“ทำไมจู่ๆ ถึงได้จะลาพักกะทันหันแบบนี้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า หรือจะเป็นเรื่องริสา”
ธีภพพูดไม่ได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
“เรื่องนี้ผมคงพูดอะไรมากไม่ได้หรอกครับคุณอา”
“ไม่ใช่อาไม่รู้อะไรเลยนะภพ อาเองก็มีเรื่องสงสัยหลายอย่างที่กำลังให้คนตามสืบอยู่เหมือนกัน”
ธีภพแปลกใจ “สืบ...เรื่องอะไรครับ”
คณินนิ่งไป มีสีหน้าอึดอัด ลำบากใจที่จะบอกว่าตยสงสัยกานดา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาทำเรื่องเลวร้ายอยู่
“เรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อพีรดา รวีวุธหรือเปล่าครับ”
คณินชะงัก ไม่คิดว่าธีภพจะเอ่ยชื่อของพีรดาออกมา
ขณะที่สาวใช้เดินถือถาดเข้ามาในครัว เจอกานดาที่เดินสวนมาพอดี
“ใครมา”
“คุณภพค่ะ กำลังคุยอยู่กับคุณผู้ชาย”
สาวใช้เดินเลี่ยงไป กานดาแปลกใจว่าธีภพมาหาคณินทำไม
ธีภพซักถามต่ออีกว่า
“ถ้าผมจำไม่ผิด พีรดา รวีวุธ คืออดีตคนรักของคุณอา”
“ใช่ เธอรู้จักพีรดา” คณินเริ่มมีความหวังขึ้นมานิดๆ “หรือว่าเธอเจอเขา หรือว่าเจอ พริริสา ลูกสาวของอา ภพบอกอาทีพวกเขาอยู่ที่ไหน”
ธีภพนิ่งไป เขายิ่งมั่นใจว่าพริริสาคือลูกสาวของคณินจริงๆ
กานดายืนแอบฟังอยู่ถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ฟัง กลัวว่าสองแม่ลูกนั่นจะกลับมาจริงๆ
“ว่าไงภพ ถ้ามีอะไรเกี่ยวทั้งคู่บอกอามาเถอะนะ”
“เรื่องนี้...”
เสียงโทรศัพท์ธีภพดังขัดขึ้นก่อน
“ขอโทษนะครับ”
ธีภพเห็นชื่อพ่อโทร.มาก็แปลกใจ รีบรับสาย
“ครับคุณพ่อ ได้ครับ ผมจะลองไปตามเรื่องดู” ธีภพวางสาย “ต้องขอโทษจริงๆ ครับคุณอา ผมมีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนครับ”
ธีภพรีบร้อนออกไปที่รถ คณินลุกตามเรียกไว้
“เดี๋ยวสิภพ”
กานดาแสดงตัวออกมาขวางหน้าคณินเอาไว้ มองสามีด้วยแววตาเจ็บช้ำเคืองแค้น
“คุณคิดจะทำอะไรคุณคณิน คุณจะพยายามรื้อฟื้นอดีตที่มันย้อนกลับมาไม่ได้อีกทำไม”
“พีรดากับลูกสาวผมไม่ใช่อดีต พวกเขายังอยู่ และจะต้องกลับมาสักวัน”
“ที่แท้คุณก็รอให้พวกมันกลับมาอยู่ทุกวัน”
“เรื่องพีรดาผมทำใจนานแล้วว่าเราคงไม่มีวาสนาต่อกัน แต่ลูกสาวผม ยังไงเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของบูรพเกียรติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม สักวันผมจะต้องเจอเขาให้ได้”
คณินเดินตามธีภพออกไปโดยไม่แยแสผู้เป็นภรรยา
กานดาโกรธจัดอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ทำได้แค่กำมือแน่นจนเล็บจิกแทงเข้ากับเนื้อ
อีกฟากโลก ที่โถงวังไทรจีส พีรดาจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่กับหญิงรับใช้ หน้าหมองเป็นห่วงลูกๆ
“ทำไมคามินกับริสาเงียบไป ไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลย”
“เจ้าชายกับเจ้าหญิง คงกำลังยุ่งกับธุรกิจใหม่ที่ประเทศไทยกระมังเพคะ”
“ทำไมต้องเป็นประเทศไทยด้วยนะ”
พีรดามองออกไปนอกหน้าต่างใจคอไม่ดี กังวลเรื่องที่พริริสาคิดแค้น ไม่เคยลืมอดีตสมัยเด็กๆ
สายตาพีรดามองไปเห็นท่านนายพลพอลเดินอยู่กับองครักษ์ท่าทีร้อนใจ ดูออกว่ากำลังจะไปเข้าเฝ้าราอิล
“นั่นนายพลพอลใช่ไหม”
“เพคะ” หญิงรับใช้นึกได้ มีสีหน้าดีใจ “นี่พระชายาเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้นแล้วสิเพคะ”
พีรดาพยักหน้าแทนคำตอบ แต่สายตายังมองตามนายพลพอลและองครักษ์ อยากรู้ว่ามีเรื่องสำคัญอะไร
ไม่นานนัก หญิงรับใช้เดินถือแจกันดอกไม้ที่เพิ่งจัดเสร็จ ทำทีเอาไปวางที่โต๊ะบริเวณหน้าห้องประชุม มีองครักษ์ยืนยามเฝ้าที่หน้าประตู
หญิงรับใช้สอดส่องสายตาไปที่ประตูห้องประชุม ยังไม่ยอมไป ทำเป็นจับดอกไม้ให้เข้าที่เข้าทาง จนกระทั่งองค์ราอิลและนายพลพอลเดินออกมาจากห้อง
“ยังไงให้คนประสานกับทางตำรวจไทยไว้ ยังไงเรื่องความปลอดภัยของคามินกับพริริสาต้องสำคัญที่สุด”
“พะย่ะค่ะ”
“ส่วนเรื่องพวกบูรพเกียรติ...”
ราอิลมองไปเห็นหญิงรับใช้ของพีรดายืนจัดแจกันอยู่ก็ชะงักหยุดพูด หญิงรับใช้หันมาเห็นราอิลรีบทำทีย่อตัวทำความเคารพแล้วเดินออกไป
หญิงรับใช้รีบกลับมารายงาน พีรดารีบถามอย่างร้อนใจ
“ว่ายังไง”
“ได้ยินแค่นิดหน่อยเท่านั้นเพคะ”
“ได้ยินอะไรบ้าง”
“เรื่องความปลอดภัยของเจ้าชายกับเจ้าหญิงเพคะ”
พีรดาพยักหน้ารับรู้ เข้าใจว่าราอิลคงเป็นห่วงลูกทั้งสองที่อยู่ประเทศไทย
“แล้วก็...อะไรสักอย่างเกี่ยวกับบู...” หญิงรับใช้นึกแล้วนึกอีก “บูรพเกียรติ เพคะ”
ราชินีแห่งไทรจีสได้ยินชื่อนี้ถึงกับหน้าถอดสี สังหรณ์ใจโดยประหลาดว่า บูรพเกียรติ ต้องเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปเมืองไทยของพริริสาเป็นแน่
อ่านต่อตอนที่ 10