xs
xsm
sm
md
lg

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 17

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 17

ปัฐวีทำความสะอาดเช็ดโต๊ะโซฟาอยู่ในล็อบบี้โฮมสเตย์ได้พักหนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องชะงัก เพราะดุจเดือนมาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ยืนยิ้มให้อยู่

“สวัสดีค่ะ เห็นแล้วว่างานยุ่งจริงๆ”
“ดุจมาทำไม”
ดุจเดือนอึ้งไปนิด กับคำถามเสียงห้วนๆ นั้นของเขา
“ก็มาหาปัฐนั่นแหละ ดุจสงสัยว่าทำไมไลน์มาแล้วปัฐไม่ตอบ ทั้งๆ ที่อ่านแล้ว”
“เห็นแบบนี้แล้วเข้าใจหรือยัง กลางวันผมก็ยุ่งทั้งวัน กลับถึงบ้านก็เหนื่อย ได้แต่อ่านผ่านๆ แล้วก็นอน”
ดุจเดือนมองหน้าปัฐวีนิ่งงันไป อึ้งได้อีกกับคำว่าอ่านผ่านๆ “แค่อ่านผ่านๆ เหรอปัฐ”
ปัฐวีรู้ตัวว่าพูดแรงไป “ผมเหนื่อยจริงๆ ดุจ”
ดุจเดือนยิ้มให้ “ทำไมปัฐไม่ให้ดุจมาช่วยล่ะ”
“มันไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกนะ งานมันหนัก ถามเด็กๆ ของผมซี เวลาถูกผมดุ พวกเขารู้สึกยังไง ผมไม่ใช้งานดุจเหมือนเป็นคนงานของผมหรอก เข้าใจบ้างซี”
ดุจเดือนนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง จึงบอกว่า “บางทีถูกดุบ้าง ก็ดีกว่าไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยซักคำ”
ปัฐวีอึ้งไป ดุจเดือนมองปัฐวีครู่หนึ่งเจ็บปวดจนน้ำตาไหล หันกลับจะเดินออกไป ปัฐวีอดสงสารไม่ได้จับมือน้องสาวไว้ ดุจเดือนหันหน้ามามองมือถูกจับเงยหน้ามองอย่างตัดพ้อ
“ผมขอโทษนะ” ปัฐวีค่อยๆ ปล่อยมือ
ดุจเดือนเดินหอบน้ำตาออกไป ปัฐวีทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้รับรองลูกค้า รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินแล้วกับเรื่องนี้

ดุจเดือนกลับถึงบ้านก็ขังตัวเองอยู่บนเตียงจนค่ำ ตาบวมช้ำ เพราะร้องไห้หนักมาก จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงก้องภพดังเข้ามา
“พ่อนะลูก หลับหรือยัง”
ดุจเดือนลุกขึ้นนั่งปาดเช็ดน้ำตา ปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด
“ยังค่ะ”
ประตูเปิด ก้องภพเข้ามาในห้อง
“นอนดึกนี่วันนี้”
“มันยังไม่ง่วงน่ะค่ะ”
ก้องภพมองหน้าดุจเดือน เห็นตายังบวมฉึ่ง พอเดาออกว่าไม่ใช่แค่ยังไม่ง่วง
“ถ้านอนไม่หลับ ก็ลงไปนั่งดูทีวีข้างล่างก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงง่วง” ดุจเดือนเงียบไปครู่หนึ่ง “พ่อคะ ทำไมพ่อถึงรักแม่มากคะ แม่ทำอะไรให้พ่อบ้าง”
“แม่เขาก็ทำเหมือนที่ภรรยาที่ดีควรทำให้สามี ไม่ได้ต่างจากคนอื่นหรอก”
“ไม่มีอะไรพิเศษเหรอคะ”
“ความรักมันเป็นเรื่องแปลก สำหรับพ่อ พ่อถือว่าพ่อโชคดีที่ได้แต่งงาน และใช้ชีวิตร่วมกับแม่ของลูก และก็มีลูกเกิดขึ้นมา เป็นเหมือนของขวัญตอบแทนความรักที่พ่อมอบให้แม่”
ดุจเดือนทอดถอนใจ “ทำไมดุจถึงไม่โชคดีอย่างพ่อกับแม่บ้าง”
ก้องภพลูบหัวลูก “อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นซีลูก ช่วงนี้ปัฐเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องงานที่บ้านของเขาก็ได้ แล้วยังไงพ่อจะลองถามอาปกป้องเขาดู”
ดุจเดือนพยักหน้ารับ แม้รู้ว่าคงหวังอะไรไม่ได้เท่าไหร่

เช้านี้ ปานดาวนั่งดูเอกสารที่โต๊ะกินข้าวในบ้าน ภาคีเดินเข้ามาหา ร้องทักขึ้น
“สวัสดีครับน้องป่าน”
“มาแต่เช้าเลย”
“มันค่อนข้างด่วนน่ะครับ คืองี้ วันก่อนพี่เอาฤกษ์มาให้คุณแม่น้องป่านเลือก วันที่ท่านเลือกมันก็อีกไม่นาน”
ปานดาวงง “เดี๋ยวค่ะ ฤกษ์อะไรคะ”
“ฤกษ์วันแต่งของเราไงครับ”
“เมื่อไหร่คะ”
“เดือนหน้าครับ”
ปานดาวตกใจ “อะไรนะคะ นี่ยังไม่ทันสู่ขอ ก็ได้ฤกษ์แต่งมาแล้วเหรอคะ แล้วถ้าเกิด...เกิดป่านไม่แต่งด้วยล่ะ”
ภาคีอึ้งไปนิด แล้วหัวเราะออกมา คิดว่าปานดาวพูดเล่น “แหม มุกนี้...พี่เกือบช็อกแน่ะ พี่เป็นคนแบบนี้ล่ะครับ รอบคอบ เตรียมอะไรให้มันเป๊ะไว้ก่อน”
ภาคีพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่ปานดาวเริ่มคิดเครียด
“กลับมาเรื่องของเราต่อ ทีนี้ถ้าเราแต่งเดือนหน้า พี่ก็คงต้องรีบให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ก็น่าจะภายในอาทิตย์นี้”
“อาทิตย์นี้”
“ครับ เรื่องอื่นๆ พี่ให้ลูกน้องคุณพ่อเตรียมให้หมดแล้ว เรื่องการ์ด เรื่องถ่ายรูป พรี เว้ดดิ้ง เรื่องโรงแรมจัดเลี้ยง เหลือเรื่องเดียวที่สำคัญที่สุด คือเรื่อง...”
ปานดาวขัดขึ้น “ป่านจะแต่งด้วยไหม”
ภาคีชะงักแล้วหัวเราะออกมาอีก “นั่นแน่ๆ มุกอีกแล้ว ไม่ใช่ครับ เรื่องแหวนหมั้น พี่ก็เลยจะมาพาน้องป่านไปเลือกแหวนกับพี่วันนี้”
“แต่...” ปานดาวสับสนหนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าจะแต่งด้วยไหม “วันนี้ป่านไม่ว่างเลยค่ะ ต้องเคลียร์งานโฮมสเตย์”
ภาคีผิดหวัง “งั้นเหรอครับ”
พอดีปานวาดกับปัฐวีเดินลงมาจากชั้นบนพอดี
“สวัสดีค่ะพี่ภาคี”
“สวัสดีครับน้องปอ คุณปัฐ”
ปานดาวสบโอกาส เลยยกพี่ๆ มาอ้าง
“ป่านไปกับพี่ภาคีไมได้จริงๆ ไม่เชื่อถามพี่ปอกับพี่ปัฐซีคะ วันนี้ป่านงานยุ่งมากใช่ไหมพี่ ต้องเคลียร์งานกันน่ะ”
ปานดาวแอบขยิบตาให้พี่ทั้งสอง
“ใช่ค่ะ วันนี้งานเยอะมาก ต้องปิดงบ แล้วเตรียมเอกสารไปยื่นภาษีอีก”
ปานวาดรับลูกแล้วศอกกระทุ้งปัฐวีให้เออออไปด้วย
“ครับ จะครบกำหนดแล้ว เดี๋ยวจะถูกปรับ”
ดาวรายออกจากบ้านมาเห็นพอดี ยิ้มทักว่าที่ลูกเขย
“อ้าว คุณภาคี”
ภาคีรีบหันไปไหว้ว่าที่แม่ยายที่ยิ้มแก้มแทบแตกรับไหว้
“ฤกษ์ที่เลือกไป ไม่มีปัญหานะคะ”
“ตอนแรกก็ไม่มีครับ แต่ว่าตอนนี้”
ภาคีหยุดพูดไปเฉยๆ เล่นเอาดาวรายงง “ทำไมคะ มีอะไร”
สามศรีพี่น้องมองหน้ากัน ปานวาดกับปัฐวีทำหน้าเป็นเชิงบอกน้องสาวว่าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“วันนี้ผมว่าจะพาน้องป่านไปดูแหวนหมั้น แต่น้องป่านไม่ว่าง ต้องเคลียร์งานโฮมสเตย์ ผมเสียดายแหวนชุดใหม่กำลังเข้ามาน่ะครับ เราจะได้เลือกที่ดีที่สุดก่อนคนอื่น”
“โอ๊ย เรื่องโฮมสเตย์ให้พี่ๆ เขาจัดการได้ค่ะ” ดาวรายหันมาบังคับปานดาวกลายๆ “ไปกับพี่เขานะลูก ใกล้จะถึงวันงานแล้ว เอ๊ะ แม่บอกลูกเรื่องฤกษ์แต่งงานหรือยัง”
ปานดาวเบื่อโลกไปเลยทีนี้ “ยังค่ะ แต่ป่านรู้แล้ว”
ดาวรายบอกเชิงสั่งปานวาดกับปัฐวีว่า “น้องจะแต่งเดือนหน้านะ เตรียมชุดไว้ด้วยล่ะ”
สองคนอึ้งไปมองปานดาวเป็นคำถาม อีกฝ่ายได้แต่ยักไหล่
“แล้วมาแต่เช้านี่กินอะไรมาหรือยังคะ”
“ดื่มกาแฟมาแก้วเดียวเองครับ”
“งั้นไปกินมื้อเช้าที่โฮมสเตย์กันค่ะ” ดาวรายหันไปบอกปานดาวอีก “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซีลูก เดี๋ยวจะได้ไปกับพี่เขา แม่ก็จะไปด้วยนะ แหมเรื่องเพชรนี่ไม่ได้เลย แม่ต้องช่วยดูให้”
ดาวรายเดินนำพาภาคีออกไปที่โฮมสเตย์ ปานดาวเบื่อโลกสุดๆ

สามพี่น้องย้ายมานั่งคุยกันในห้องรับแขก
“นี่ตกลงยังไงน่ะป่าน จะแต่งกับพี่ภาคีแน่เหรอ” ปานวาดถามนำก่อน ตามด้วยคำถามจากภาคี
“พี่ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลย”
“ยังกะป่านรู้งั้นแหละ แม่จัดการเองหมดแล้ว”
“แล้วเอาไง รักเขาหรือเปล่า ถ้าไม่รักก็ควรจะบอกให้เขารู้”
ปัฐวีงง “เขานี่ใคร”
“ป่านเขารู้ ตกลงเอาไง”
ปานดาวไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันไดไปเลย ปานวาดบ่นบ้าตามหลังไปว่า
“เฮ้อ ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ควรจะรีบบอกเขา ทำอย่างนี้ก็เท่ากับซื้อเวลาไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายคนที่เสียใจ ก็คือคนที่รอเก้อ”
ปัฐวีอึ้งไป คิดตามที่ปานวาดพูด

ปัฐวีออกมานั่งเหม่อลอยสีหน้าเศร้าอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำข้างบ้าน คิดทบทวนอะไรอยู่ คำพูดปานวาดดังก้องในหู
“เฮ้อ...ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ควรจะรีบบอกเขา ทำอย่างนี้ก็เท่ากับซื้อเวลาไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายคนที่เสียใจ ก็คือคนที่รอเก้อ”
เขายังคิดถึงคำพูดดุจเดือนเมื่อวานนี้
“บางทีถูกดุบ้าง ก็ดีกว่าไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยซักคำ”
ปัฐวีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ตัดสินใจกดโทร.หาดุจเดือน

ฟากดุจเดือนนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก โทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งอยู่ โดยสไตลิสต์สาวสวยไม่ได้สนใจดู จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดุจเดือนรีบหยิบขึ้นมาดูหัวใจพอโต เพราะเป็นสายจากปัฐวีรีบกดรับทันควัน
“สวัสดีค่ะ”
“วันนี้ว่างไหม”
ดุจเดือนยิ้มดีใจจนไม่สังเกตน้ำเสียงอีกฝ่าย “ว่างอยู่แล้ว”
“อยากคุยด้วยหน่อย”
“ได้เลย ที่ไหน กี่โมง”
“ที่เดิมครับ อีกชั่วโมงไหวไหม”
“ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ดุจเดือนทะแม่งๆ กับคำขอบคุณแต่ไม่ติดใจ
“แล้วเจอกัน”
ดุจเดือนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้นกดรีโมทปิดทีวี หันไปเรียกหามาลัย
“แม่คะ”
มาลัยออกมาจากหลังบ้าน
“มีอะไรลูก”
“ดุจไปข้างนอกหน่อยนะคะ”
“ไปออฟฟิศเหรอ”
“เปล่าค่ะ ไปหาปัฐ เขาอยากคุยด้วย”
มาลัยอึ้งไปนิด “ไปนานไหมล่ะลูก”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ อาจจะไปต่อที่อื่น”
ดุจเดือนเดินเริงร่าออกจากบ้านไป มาลัยเดินไปที่ประตูมองตาม รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย

ที่ศาลาในสวนหย่อมกลางสวนสาธารณะที่ถูกบรรยากาศเงียบสงบปกคลุม เพราะไม่ค่อยมีคน ปัฐวีนั่งดื่มกินความเศร้าอยู่ที่สักครู่หนึ่งแล้ว มีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างๆ
ไม่นานนักดุจเดือนก็เดินเข้ามาในสวน กวาดสายตามองหาไปทั่วๆ จนเห็นปัฐวีนั่งอยู่ ดุจเดือนยิ้มกับตัวเอง วาดหวังว่าปัฐวีจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ดุจเดือนสูดลมหายใจเต็มปอด แล้วเดินตรงไปหา
“สวัสดีค่ะ”
ปัฐวีหันไปมองพอเห็นดุจเดือนก็ชะงัก แล้วรีบลุกขึ้นยืน สองคนมองตากันครู่หนึ่ง ปัฐวีรู้สึกอัดอั้นมาก พูดอะไรไม่ออก
“มีอะไรอยากคุยกับดุจเหรอ”
“ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง”
“อืม..งั้นเริ่มที่...” ดุจเดือนยิ้มหวานสร้างบรรยากาศ ทั้งที่ในใจก็หวั่นๆ “คิดถึงนะ”
ปัฐวีมองนิ่ง จนดุจเดือนค่อยๆ หุบยิ้ม “ผมคิดว่าเรื่องของเรา...มันควรจบได้แล้ว”
ดุจเดือนตกใจ คาดไม่ถึง
“อะไรนะปัฐ ปัฐพูดอะไรออกมา”
“ผมไม่อยากให้ดุจต้องมาผูกติดกับผม ผมอยากให้ดุจมีอิสระ...ที่จะเลือกรักใครก็ได้”
“ดุจไม่เข้าใจ ที่ปัฐพูด วันนี้ดุจเลือกแล้วที่จะคบกับปัฐ ดุจไม่ได้อยากเป็นอิสระ”
ปัฐวีสวนคำอย่างเร็ว “แต่ผมอยากมีอิสระ”
“ทำไม ดุจทำอะไรผิดเหรอปัฐ บอกมาซี ถ้าดุจทำอะไรไม่ดี ดุจจะได้หยุด ไม่ทำให้ปัฐต้องไม่สบายใจ หรือไม่มีความสุข” ดุจเดือนช็อก น้ำตาคลอหน่วย
“ดุจไม่ได้ทำอะไรผิด แต่...”
“แต่อะไร”
“ความรู้สึกผม มันเปลี่ยนไปแล้ว” ปัฐวีสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
“ดุจไม่เข้าใจ พ่อแม่ปัฐไม่ยอมให้เราคบกันใช่ไหม เราจะไปแคร์เขาทำไม เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคน เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราตัดสินใจเองได้”
“ไม่ เราทำอะไรไม่ได้ เรา...” ปัฐวีเสียงดังใส่ แล้วหลบตาวูบ ด้วยน้ำตาเริ่มจะไหล
ดุจเดือนอึ้ง “หรือปัฐ...มีคนอื่น”
“พอเถอะดุจเดือน เลิกถามหาเหตุผลได้แล้ว เราคบกันไม่ได้ มันก็เท่านั้น”
ทั้งสองเงียบกันไปครู่หนึ่ง ดุจเดือนยื้อสุดชีวิตใช้มือทั้งสองจับมือปัฐวีไว้ข้างหนึ่ง
“ปัฐรู้มั้ย ว่าดุจรักปัฐมาก ขอร้องเถอะอย่าทำกับดุจแบบนี้เลย”
ปัฐวีแกะมือดุจเดือนออก “วันนี้ผมรักดุจได้แบบ น้องสาวเท่านั้น”
ดุจเดือนร้องไห้โฮออกมาเหมือนคนใจจะขาด “ปัฐใจร้ายมาก ดุจไม่ต้องการเป็นน้องสาวปัฐ ดุจรักปัฐ แบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักผู้ชายได้”
ปัฐวีตวาดเสียงดัง “ไม่ได้ ผมไม่ได้รักดุจอีกแล้ว มันจบแล้ว ดุจต้องออกไปจากชีวิตผม”
“ถ้าปัฐต้องการอย่างนั้น ดุจก็จะไป ถ้ามันทำให้ปัฐมีความสุข”
ดุจเดือนหัวใจสลายวิ่งร้องไห้ออกไปเลย
ปัฐวีร่วงลงกับพื้น ระเบิดร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง
“ผม...ไม่มี...ความสุข...หรอก”

ปัฐวีนั่งจมกองน้ำตาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

อ่านต่อหน้า 2

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 17 (ต่อ)

ทางฝ่ายดุจเดือนวิ่งร้องไห้เข้ามาในบ้าน มาลัยนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นลูกวิ่งร้องไห้เข้ามาก็ตกใจ

“ดุจ เป็นอะไรลูก”
ดุจเดือนไม่ตอบหอบน้ำตาวิ่งขึ้นบันไดไปเลย มาลัยลุกตามไปอย่างร้อนใจ
เมื่อเข้าห้องนอนมา ดุจเดือนปิดประตูล็อกขังตัวเองอยู่ในห้อง
มาลัยตามขึ้นมาเคาะประตูเรียก
“ดุจ มีอะไรลูก”
มาลัยจะเปิดประตู แต่พบว่าห้องล็อกจากข้างใน
“ดุจ เปิดประตูให้แม่นะลูก มีอะไรเล่าให้แม่ฟังก็ได้”
ไม่มีเสียงตอบจากดุจเดือน มาลัยถามตัวเองเบาๆ
“ปัฐวีพูดอะไรกับลูกดุจนะ”
ดุจเดือนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนมีเสียงมาลัยเคาะประตูเรียกดังเข้ามา
“ดุจ เปิดประตูให้แม่หน่อย แม่อยากคุยด้วย”
ดุจเดือนยังคงนอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมลุกไปเปิดประตูให้มารดา

สามคนเพิ่งกลับจากข้างนอก ภาคี ดาวราย และปานดาว เดินเข้ามาในโฮมสเตย์
“เดี๋ยวเชิญคุณภาคีไปพักดื่มน้ำในบ้านก่อนนะคะ”
“ได้ครับ”
“ป่านยังไม่เข้าบ้านนะคะ จะแวะดูว่างานเรียบร้อยไหม”
ปานดาวรีบเดินเข้าไปทางบ้านพักสำนักงาน ภาคีมองตามตาละห้อย ดาวรายรีบบอก
“เชิญที่บ้านค่ะคุณภาคี”
“ครับๆ”
ภาคีตามดาวรายออกไป

ภาคีนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ไม่นานนักดาวรายก็ถือถาดแก้วน้ำเข้ามา ภาคีลุกรับน้ำจากดาวรายมาดื่ม แล้วนั่งลงคุยกัน
“ขอบคุณมากครับ คุณแม่ครับ ไม่รู้ช่วงนี้น้องป่านเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ วันนี้ดูเขาไม่ค่อยมีความสุขเลย เงียบๆ ซึมๆ ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลยนะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นเพราะทำงานหนักน่ะค่ะ เครียดงานก็เป็นแบบนี้”
“ผมเห็นแล้วก็สงสาร ไม่รู้คุณแม่จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าหลังจากแต่งงานกันแล้ว ผมอยากให้น้องป่านเลิกทำงาน”
“แกจะเบื่อแย่น่ะซีคะถ้าอยู่ว่างๆ ลูกป่านน่ะชอบทำงาน”
“ เรื่องว่างน่ะคงไม่ว่างหรอกครับ คือผมกะจะ...” ภาคียิ้มกระหยิ่มคิดหาคำพูด “รีบๆมีลูก หัวปีท้ายปีเลยน่ะครับ น้องป่านคงจะยุ่งดูแลลูกมากกว่า มาทำงานที่นี่ครับ”
ดาวรายหัวเราะลั่นชอบใจใหญ่ “แหม คุณภาคี หัวปีท้ายปีเลยเหรอ ดีค่ะ แม่ก็อยากอุ้มหลานเร็วๆ จะแย่อยู่แล้ว”

พ่อแม่ลูกทานมื้อค่ำพร้อมหน้ากันในห้องทานอาหาร พันลือเอ่ยถามชยพลขึ้นว่า
“ตอนนี้ที่โรงงานเป็นไงบ้างพล”
“ก็โอเคแล้วครับ ทุกอย่างเข้าที่แล้ว”
“ยังไงธุรกิจของครอบครัวก็ต้องสำคัญที่สุดนะ พ่อมอบให้ลูกบริหารแล้ว ก็ต้องดูแลให้เต็มที่ เรื่องอื่นไม่มีอะไรสำคัญกว่า”
ชยพลรู้ว่าพันลือหมายถึงเรื่องอะไร
“เรื่องงานไม่ควรเอามาคุยในโต๊ะอาหารนะพี่” มาลาติง
“เวลาอื่นก็ไม่ค่อยเจอตัว” พันลือเถียง
มาลากระทบสามีบอกกับลูกคนเล็กว่า
“วันหลังก็ทำรายงานส่งพ่อเขาทุกวันซี”
ทั้งชยพลและชลกรพยักพเยิดขำไปกับแม่ แต่พันลือมองตาขุ่น
“มาลา”
มาลายิ้มขำ โบกมือทำนองช่างเหอะไม่พูดเรื่องนั้นแล้ว “เออ ลูก พรุ่งนี้วันเกิดยายบัวผัน ยายคิดถึงหลานๆ มาก เราไปเยี่ยมตากับยายกันนะลูก” มาลาหันมาทางพันลือ “ขออนุญาตท่านซีอีโอด้วยนะคะ”
“ไปเหอะ แต่พี่ไม่ไปด้วยนะ ขี้เกียจฟังพ่อแม่มาลาบ่น”
“เห็นไหม ไม่มีใครชอบคนบ่นหรอก” มาลาเหน็บอีกดอก พลางหันมาหาลูกๆ “ว่างใช่ไหม ไปกันนะ”
“ได้ครับ ผมก็คิดถึงตากับยายอยู่”
“ถ้าพ่ออนุญาตแล้วผมก็ไม่มีปัญหา”
แม่ลูกแอบยิ้มให้กัน แต่พันลือไม่ยิ้มด้วย

ก้องภพกลับจากทำงานเดินหิ้วกระเป๋าเอกสารเข้ามาในบ้าน เห็นมาลัยเดินเข้ามาจากหลังบ้าน มองหาดุจเดือนแต่ไม่เจอ
“ลูกดุจล่ะ”
“อยู่ในห้องเขา”
ก้องภพพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไร
“เขาขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่กลางวัน แต่คราวนี้มาลัยไม่ได้ทำอะไรเขานะ”
ก้องภพตกใจประสมไม่สบายใจ “ทำไมล่ะ”
“มาลัยรู้แต่ว่า เขาออกไปพบปัฐวีมา”
ฟังแล้วก้องภพใจหายวับ รู้สึกห่วงลูกขึ้นมาทันทีรีบขึ้นบ้าน

ก้องภพตรงมาที่หน้าห้องดุจเดือน เคาะประตูเรียก
“ดุจ นี่พ่อนะลูก เปิดประตูให้พ่อหน่อย”
ก้องภพเคาะเรียกอยู่ครู่หนึ่ง ประตูห้องจึงเปิดออก ดุจเดือนถลาเข้ากอดก้องภพร้องไห้โฮๆ ก้องภพตกใจแต่พอเดาออก ยกมือลูบหัวลูกปลอบใจ

ขณะเดียวกันนี้ ชลกรนั่งอยู่ที่โต๊ะสนาม เหม่อมองท้องฟ้า ครู่หนึ่งมาลาเดินเข้ามายืนใกล้ๆ
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังคิดถึงใคร”
ชลกรหันมาท่าทีเขินๆ “แหม แม่ก็”
มาลานั่งลง “พ่อเขาบอกว่าลูกไม่ได้ไปเที่ยวทะเลกันแค่สองคน แต่นัดไปเจอกับลูกสาวดาวรายที่นั่นด้วย จริงหรือเปล่า”
ชลกรนิ่งไปนิด “ครับ”
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็ โอเคครับ”
“คู่ไหนโอเค คู่ไหนไม่”
ชลกรหัวเราะหึๆ “แม่นี่รู้ไปหมดเลย”
“ไม่งั้นจะเป็นแม่ได้ยังไง ให้แม่เดานะ คู่ของพลน่าจะยังมีปัญหาอยู่”
“ก็เจ้าพลมันทำเขาไว้เยอะ”
“ทำอะไร”
ชลกรชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรพูด “ก็แบบ...ร้ายกับเขาน่ะครับ”
“พลน่ะใจร้อนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนกับพ่อ เวลาใจเย็นก็น่ารัก ลูกต้องช่วยเตือนเรื่องนี้กับน้องมากๆ”
“บางทีเขาก็ไม่ฟังผม”
“ก็ต้องให้เวลาเขา แล้วคู่ของลูกล่ะ ไปเที่ยวครั้งนี้ โอเคขนาดไหน”
ชลกรหันมามองแม่ มาลายิ้มให้เหมือนจะรู้ใจกัน
“โอ๋ย แม่อ่ะ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”
“จริงนะ”
“เรารู้ว่ายังไม่ถึงเวลา”
“ดีแล้วล่ะลูกที่รู้จักคิด รู้จักทำอะไรให้มันถูกต้องตามธรรมเนียม ผู้หญิงเขาก็ไม่เสียหาย” มาลาคิดบางอย่างได้ “นี่ พรุ่งนี้ที่จะไปเยี่ยมตายายน่ะ ชวนหนูปอเขาไปด้วยซี”
“เปิดตัวเลยเหรอครับ”
มาลายิ้มให้ลูก “ใช่ซี ถ้าทุกคนชอบหนูปอ เรื่องของลูกก็ยิ่งลงตัวเร็วขึ้น”
ชลกรยิ้มแต้ “ได้ครับ เดี๋ยวจะโทร.ไปถามเขา”

ดุจเดือนนั่งซบหน้าสะอื้นไห้อยู่กับบ่าก้องภพเป็นนานสองนาน สองคนนั่งอยู่ริมเตียง ดุจเดือนได้เล่าเรื่องที่ปัฐวีบอกเลิกกับเธอให้ก้องภพรู้แล้ว ซึ่งก้องภพไม่พอใจมาก
“พ่อไม่อยากเชื่อเลย ว่าปัฐวีจะบอกเลิกลูกง่ายๆ อย่างนั้น”
ดุจเดือนพูดไปสะอื้นไป “ดุจถามว่า เพราะอะไรเขาก็ไม่ยอมบอก”
“ไม่บอกเหตุผลเลยเหรอ”
“ดุจถามว่าดุจผิดตรงไหน ก็ไม่บอก ถามว่ามีคนอื่นหรือเปล่า ก็ไม่พูดอีก บอกแต่ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อะไรเปลี่ยนก็ไม่อธิบาย ดุจไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะพ่อ”
“ถึงยังไงมันก็ต้องมีสาเหตุ”
ที่หน้าห้องนอนดุจเดือนตอนนี้ มาลัยแนบหูกับประตูแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ อึ้งไปเมื่อฟังที่ก้องภพพูด
ก้องภพได้แต่ปลอบดุจเดือน
“สงบใจก่อนนะลูก พ่อเชื่อว่าคนอย่างปัฐวีเป็นผู้ใหญ่พอ เขาต้องมีเหตุผลแน่ๆ ถ้าเขาไม่บอกลูก เขาก็ต้องบอกกับพ่อ”
ก้องภพมั่นใจว่าจะทำให้ปัฐวีพูดให้ได้
มาลัยซึ่งฟังอยู่รู้สึกใจคอไม่ดีกลัวว่าปัฐวีจะหลุดปากพูดเรื่องเป็นพี่น้องคนละพ่อกับดุจเดือน
“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”
“ยังค่ะ มันกินไม่ลง”
“ไม่กินอะไรจะยิ่งแย่ ลงไปดูก่อน พอกินอะไรได้ก็ต้องรองท้องไว้”

มาลัยรีบย่องลงไปก่อนเงียบๆ มาทำทีเป็นว่า ขลุกอยู่ข้างล่างมานานแล้ว
ก้องภพเดินลงบันไดมาก่อน เดินตรงเข้ามามาลัยพูดบอกเบาๆ
“เพราะปัฐจริงๆ ด้วย แต่มาลัยอย่าพูดอะไรซ้ำเติมลูกนะ”
มาลัยพยักหน้ารับเอาคำ เห็นดุจเดือนลงบันไดมา ก้องภพทำเป็นถามมาลัยว่า
“ลูกกินอะไรไม่ค่อยลง มีอะไรกินบ้างล่ะ”
“มีซุปไก่ ซดง่ายๆ ลองดูไหม”
“อืม น่าจะดีนะ”
มาลัยนึกได้ “เออ เมื่อกลางวันป้ามาลาโทรมาบอก พรุ่งนี้วันเกิดคุณยาย เขาว่าจะพาลูกๆ ไปอวยพรคุณยาย แม่ก็จะไปด้วย ดุจไปกับแม่นะ บ้านสวนอากาศดี แล้วได้เจอญาติๆ ด้วย เผื่อจะรู้สึกสบายใจขึ้น”
“ก็ดีเหมือนกันนะ ไปกับแม่นะลูก”
“ก็ได้ค่ะ”
“พี่ไปกับมาลัยใช่มั้ย”
“มาลัยไปกับลูกนะ พี่มีงานสำคัญต้องทำน่ะจ้ะ”
มาลัยอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ ก้องภพหันชวนดุจเดือนว่า
“ตอนนี้เราไปชิมซุปไก่ของแม่ก่อน จะได้สดชื่นขึ้น”
พร้อมกับว่าก้องภพโอบไหล่ดุจเดือนพากันไปที่ห้องทานอาหาร
มาลัยมองตามไป สีหน้าเป็นกังวลไม่หาย สุดท้ายสลัดความคิดทิ้งเดินตามสองคนไป

ค่ำวันเดียวกันนี้ ชยพลนั่งเอกเขนกอยู่บนเตียง เหม่อคิดอะไรอยู่ แล้วนึกสนุกขึ้นมา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดไลน์คุยกับปานดาว
ปานดาวหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน เสียงไลน์ดังขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นสติ๊กเกอร์ทักน่ารักๆ ตามด้วยข้อความจากชยพล
สองคนส่งไลน์ตอบโต้กันไปมา ชยพลดูแฮปปี้มีความสุขมาก ในขณะที่ปานดาวหมั่นไส้ ค้อนควักเอากับมือถือด้วยท่าทีน่าขัน
“หลับหรือยังเอ่ย”
“หลับแล้ว”
“แสดงว่าละเมอมาตอบ”
“ใช่เลย กำลังฝันร้ายด้วย”
“ฝันถึงนายภาคีแน่นอน”
“ฝันถึงนายชยพลต่างหาก”
“ดีใจจัง สาวฝันถึงด้วย”
“ไม่มีอะไรทำเหรอ เที่ยวรบกวนคนอื่น”
“มันนอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับ ก็หาอะไรทำซี”
ถึงตรงนี้ข้อความของชยพลหายไปเฉยๆ ปานดาวนั่งรออยู่ครู่หนึ่ง เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ปานดาวสะดุ้งเมื่อเห็นชื่อชยพล นิ่งชั่งใจไปชั่วขณะหนึ่งจึงกดรับสาย
“โทร.มาทำไม
“ก็คุณบอกให้หาอะไรทำ”
“ฉันหมายถึงอ่านหนังสือ หรือดูทีวี”
“แต่ผมอยากทำอย่างนี้มากที่สุด อยากฟังเสียงคุณ แล้วจะได้นอนหลับฝันดี”
“ฉันว่าจะฝันร้ายมากกว่านะ”
“บางทีสิ่งที่คิดว่าร้าย ถ้าลองทนไปอีกซักนิด อาจจะรู้ว่า โอ นี่มันสวรรค์แท้ๆ”
ปานดาวหมั่นไส้ “กำลังจะเริ่มลามกหรือเปล่า”
“อุ๊ย ไม่ใช่ ผมหมายถึงตัวผม ที่คุณคิดว่าเป็นฝันร้าย แต่ถ้าคบกันไปนานๆ แล้วคุณจะรู้ว่า คุณจะมีแต่ความสุขเมื่ออยู่ใกล้ๆ ผม”
ปานดาวยิ่งเซ็ง “เฮ้อ เบื่อคนหลงตัวเอง”
“จริงๆ ที่ผมหลงคือคุณต่างหาก” ชยพลหยอดหวาน
“อย่างนั้นเรียกหลงผิด”
“ไม่จริงหรอก ผมหลงถูกคนเลยละ ผมเชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อกันและกัน”
“คุณนี่เพ้อเจ้อจริงๆ รู้บ้างไหม”
“รู้ซิ เพ้อหนักมากกกกเลยละ นี่เป็นความผิดของคุณด้วยนะ ที่ทำให้ผมเพ้อได้ขนาดนี้”
“โยนความผิดให้ฉันซะอีก”
“ก็ไม่รู้ละ ใครอยากให้น่ารักล่ะ”
ปานดาวอึ้งไป ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฉันง่วงแล้ว”
“ฝันดีนะครับ ส่วนผมพอจะมีข้อมูลให้เก็บไปฝันหวานบ้างแล้ว”
“โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์นะ ถ้าคราวหน้านอนไม่หลับอีก ให้ทำตามฉันบอก”
“ทำไง”
“โทร.เบอร์ 1669 เรียกรถพยาบาลมารับ”
“รับไปไหน”
“เอาคุณไปส่ง ศรีธัญญาไง โอเค แค่นี้นะ กวนใจจริงๆ”
ปานดาวกดวางสายไป ส่วนชยพลถือโทรศัพท์ค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลดโทรศัพท์ลง ยิ้มกริ่มกับตัวเอง
“ก็น่ารักซะขนาดนี้”

ชยพลนึกถึงตอนเขาจูบปานดาวที่ริมทะเล แล้วยิ้มตาเยิ้มฟินเวอร์อยู่อย่างนั้น

อ่านต่อหน้า 3

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 17 (ต่อ)

วันรุ่งขึ้น บ้านบัวผันคึกคักแต่เช้า มาลีเดินพามาลาและชยพลเข้ามาในบ้าน ชยพลหิ้วถุงขนมเค้กมาด้วย

“พ่อ แม่ พี่มาลามาแล้วนะ”
บัวผันกับเทศออกมาจากทางหลังบ้าน
“มาแล้วเหรอลูก”
มาลาไหว้บัวผันกับเทศ ชยพลวางถุงไว้ที่โต๊ะ แล้วไหว้บัวผันกับเทศด้วย บัวผันกับเทศก็รับไหว้มาลาและชยพล ระหว่างนั้น มาลีถอยไปยืนที่ประตูเข้าบ้าน
บัวผันเข้ามาสวมกอดมาลา
“สบายดีนะลูก”
“สบายดีค่ะ แม่ล่ะคะ”
“ก็ตามวัยล่ะลูก มีปวดเมื่อยไปเรื่อยๆ”
ชยพลหันไปหยิบถุงขนมเค้กมา
“ผมเอาเค้กมาแฮปปี้เบิร์ธเดย์คุณยายด้วยครับ”
บัวผันรับถุงมา “ขอบใจจ้ะ”
เทศมองหาหลานชายคนโต “นี่ แล้วศิลปินหนุ่มไม่มาเหรอ”
“ชลน่ะเหรอพ่อ เดี๋ยวเขาตามมา จะพาใครมาเซอร์ไพร้ส์ด้วย”
มาลีมองมาลา สงสัยว่าสาวที่ไหน
“เฮ้ยๆ เอาสาวมาอวดล่ะซี เออ เข้าท่าว่ะ จะได้เป็นตาทวดแล้วเหรอเนี่ย” ทศเย้าบัวผัน “ว่าไงยายทวด”
“จริงหรือเปล่ามาลา”
มาลาขำพ่อกะแม่ “ยังไม่ได้เป็นทวดง่ายๆ หรอก อย่าเพิ่งรีบดีใจ แหม ยังไม่ทันได้แต่งเลย”
มาลีได้ยินเสียงรถ มองออกไปข้างนอกแล้วยิ้มดีใจ
“พี่มาลัยมาแล้ว”

มาลัยกับดุจเดือนลงรถเดินเข้ามาที่หน้าเรือน สองคนหิ้วถุงอาหารมาเยอะพอทานหลายคน มาลีออกมาต้อนรับก่อนใคร บัวผันกับเทศตามออกมา ปิดท้ายด้วยมาลากับชยพล ดุจเดือนไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทุกคน สีหน้าเศร้าๆ ไม่ยิ้มแย้มเอาเลย
“นั่นหิ้วอะไรมาเยอะแยะ” บัวผันถาม
“กับข้าวน่ะแม่ เอามาเลี้ยงวันเกิดแม่ไง”
“โอ๊ย นี่ใจคอจะไม่ให้แม่แสดงฝีมือทำกับข้าวเลยหรือไง”
“ดีแล้วล่ะ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” มาลาหันมาทางชยพล “ไปลูก ไปช่วยน้าหิ้วอาหารหน่อย”
ชยพลเข้าไปรับถุงจากมาลัย และช่วยดุจเดือนด้วย
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่หิ้วเอง”
ชยพลอ่านออกว่าดุจเดือนดูเศร้าๆ บัวผันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากชยพล ทั้งหมดพากันเข้าไปในบ้าน

ทุกคนทยอยเดินเข้ามาในบ้าน มีโต๊ะยาวจัดไว้สำหรับเป็นที่ทานอาหารตรงมุมหนึ่ง
บัวผันบอกหลานๆ “เอาของไปวางไว้ที่โต๊ะเลยลูก”
ชยพลกับดุจเดือนเดินเอาถุงอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะ ดุจเดือนวางของเสร็จจะเลี่ยงออกไป บัวผันจับแขนหลานไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก ยายถามหน่อย หนูไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าตาไม่ค่อยมีความสุขเลย”
ดุจเดือนอึดอัดอึกอัก หันไปมองแม่ให้ช่วย มาลัยเดินเข้ามาบอกบัวผันหน้าตาเฉยว่า
“เพิ่งถูกผู้ชายทิ้งค่ะแม่”
ดุจเดือนทักท้วง “แม่”
ทุกคนมองไปที่ดุจเดือนเป็นตาเดียว โดยเฉพาะมาลีมองดุจเดือน แล้วมองไปที่มาลัยอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ที่นี่มีแต่คนในครอบครัวเราทั้งนั้น” มาลัยบอกกับบัวผันว่า “เขาสนิทกับปัฐวี ลูกชายของพี่ป้องกับดาวรายน่ะค่ะ”
บัวผันโมโห “อะไรนะ ทำไมยายไม่เคยรู้ คบกันนานแค่ไหนแล้ว”
มาลัยมองดุจเดือน ทำนองจะบอกว่า เห็นไหม แม่เคยบอกแล้ว “หลายเดือนแล้วค่ะ มาลัยไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แต่หลังๆ ผู้ชายเริ่มมีปัญหา ก็หลายอาทิตย์แล้วล่ะ ที่สุด เมื่อวานเขาบอกเลิกกับยัยดุจ”
ดุจเดือนเข้ามาพูดกับแม่เบาๆ “แม่คะ พอเถอะ”
“ยายบอกแล้วทำไม ไม่ฟังกันบ้าง มันก็เหมือนไอ้ปกป้องพ่อมันนั่นแหละ”
พร้อมกับว่า บัวผันปรายตามาทางมาลา ทุกคนหันไปมองมาลาเป็นตาเดียว แต่มาลานิ่งแล้ว เพราะเข้าใจว่าอะไรทำให้ปกป้องเปลี่ยนไป
“หน็อยหลานตาเช้า กับครูบานชื่น มาหักอกหลานสาวข้าเหรอเนี่ย เจ็บใจโว๊ย” เทศฮึดฮัด
ชยพลเดินมาใกล้มาลา แล้วพูดกระซิบเชิงถาม
“แม่ให้พี่ชลพาพี่ปอมา ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า”
มาลาขยิบตาไม่อยากให้คิดในแง่ร้าย “จะได้รู้ๆ กันไป”
มาลีมองมาลัย แล้วพูดโพล่งขึ้นมา
“เลิกกันก็ดีแล้วนี่ ทุกคนน่าจะสบายใจ จะไปโมโหเขาทำไมกัน โดยเฉพาะพี่มาลัย น่าจะสบายใจที่สุด”
ดุจเดือนมองมาลีไม่เข้าใจความหมาย มาลัยเองก็แปลกใจที่น้องสาวพูดแบบนั้น
บัวผันเข้ามาหาดุจเดือน
“อย่างที่น้าเขาพูดนั่นแหละถูกแล้ว คนบ้านนั้นไม่เหมาะสมกับลูกหรอก เขาเลิกกับเรา แสดงว่าเขาสู้บุญของเราไม่ได้ เขาถึงถอนตัวออกไปไง”
“ฟังคุณยายไว้นะลูก” มาลัยว่า
บัวผันบอกต่อว่า “แล้วผู้หญิงสวยน่ารักอย่างลูกเนี่ยนะ ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีผู้ชายมาสนใจ”
“คอยดูซี หัวกระไดบ้านมาลัยไม่แห้งแน่” เทศเสริม
“ดุจเข็ดผู้ชายแล้วล่ะค่ะ ไม่เอาอีกแล้ว”
ชยพลงงคำพูดตา ไม่รู้จักความหมายเรื่องหัวกระไดไม่แห้ง
“ทำไมกระไดถึงไม่แห้งล่ะแม่”
“แล้วจะอธิบายให้ฟัง” มาลามองดุจเดือนที่ยังดูเศร้าๆ อยู่ “คอยปลอบใจให้กำลังใจพี่เขาด้วยนะลูก”
ชยพลพยักหน้ารับเอาคำมารดา

ดุจเดือนกับชยพลอยู่ในครัว กำลังจัดจานและถ้วยสำหรับใส่ทานอาหาร
“แย่หน่อยนะครับ”
“แม่ไม่น่าพูดเลย”
“แต่ทุกคนอยู่ข้างพี่นะครับ พวกเราเห็นใจพี่กันทั้งนั้น”
“ก็คงมีแต่แม่พี่นี่แหละที่ดูมีความสุข ที่ลูกสาวถูกผู้ชายทิ้ง”
ชยพลอึ้งไปนิดๆ “ผมเข้าใจครับว่าน้ามาลัยไม่ชอบบ้านโน้นจริงๆ แต่เชื่อผมซิ น้ามาลัยก็เป็นห่วงพี่มาก”
“แล้วเรื่องของพลกับป่านล่ะ”
ชยพลยิ้มเนือยๆ “ก็ไม่ค่อยดีนักครับ เดี๋ยวมีหวัง เดี๋ยวหมดหวัง”
“น่าจะยังดีกว่าพี่นะ”
“บางทีให้มันจบๆ ไปเลยอาจจะดีกว่า ไม่ต้องหวังอะไรอีก”
ดุจเดือนอึ้งไป
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น”
“ไม่เป็นไร”
“พี่ต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้ เชื่อผมซิครับ”
ดุจเดือนพยักหน้ารับ “พี่รู้ถึงมันจะยาก พี่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้”
ดุจเดือนแอบเช็ดน้ำตาอีก ชยพลมองดุจเดือนอย่างสงสารและเห็นใจ ได้เห็นถึงความเจ็บปวดของผู้หญิงที่ต้องผิดหวังในรัก

มาลีออกมานั่งที่มุมหนึ่งในบ้าน มาลัยเดินเข้ามาหา
“มาลี ที่พูดเมื่อกี้น่ะ ดูไม่ค่อยดีนะ ที่บอกว่าพี่สบายใจน่ะ”
“แล้วพี่สบายใจจริงหรือเปล่าล่ะ”
“แต่พูดแบบนั้น จะทำให้ลูกดุจไม่พอใจพี่”
“จริงๆ มาลีสงสารหลานมากกว่านะ ที่อยู่ดีๆ ก็ถูกลูกพี่ป้องบอกเลิก”
“ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้”
มาลีจ้องหน้าพี่สาวเขม็ง “ทำไมพี่ไม่บอกความจริงให้ดุจรู้ จะได้เสียใจน้อยลง”
มาลัยชะงัก อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “ความจริงอะไร เธอรู้เรื่องอะไร”
“รู้ว่ายังไงลูกชายพี่ป้องกับดุจเดือน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้น่ะซิ เพราะเขามีพ่อคนเดียวกัน”
มาลัยตกใจมาก มองซ้ายแลขวาว่ามีใครมองอยู่หรือได้ยินไหม แล้วถามเบาๆ ว่า
“มาลีรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“รู้นานแล้ว”
“พี่ขอร้องนะ อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร ยังไงเรื่องของดุจเดือนกับปัฐวีก็จบแล้ว”
“หวังว่ามันจะจบจริงๆ นะ”
มาลีเดินออกไปหน้าบ้าน มาลัยไม่สบายใจเอาเลย

มาลีออกจากบ้านมาหยุดยืนอยู่หน้าเรือน รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องของดุจเดือน แล้วมาลีก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชลกรกับปานวาดเดินควงกันเข้ามาท่าทางกะหนุงกะหนิง
ชลกรยิ้มทักไหว้น้าสาว ส่วนมาลีรับไหว้ค้างอยู่
ชลกรแนะนำปานวาด “ปอครับ นี่น้ามาลี น้องคนเล็กของแม่”
ปานวาดไหว้มาลี “สวัสดีค่ะ”
มาลีรับไหว้ งงๆ อยู่
“น้ามาลีรู้จักปอไหมครับ ปอเขาเป็น...”
มาลีสวนออกไปว่า “ลูกสาวพี่ป้องกับพี่ดาวราย น้าเห็นมาตั้งแต่เขาเล็กๆ แล้ว อยู่ตลาดบางน้ำผึ้ง”
“งั้นก็ไม่ต้องแนะนำตัวกันมากแล้ว”
มาลีเข้ามาดึงแขนชลกรออกมาห่างจากปานวาด แล้วพูดกระซิบถามเบาๆ ท่าทางตกใจมากกว่าไม่พอใจ
“พามาทำไม”
“แม่ให้พามาครับ คนอื่นมากันครบหรือยังครับ จะพาปอไปไหว้คุณตาคุณยาย”
“นี่หมายความว่า ผู้หญิงที่พี่มาลาพูดถึงคือ...” มาลีมองไปยังปานวาด
ชลกรยิ้ม แปลกใจ “แม่พูดอะไรไว้ครับเนี่ย ดูน้ามาลีตกใจมาก”
ชลกรยิ้มบอกปานวาด
“ไป เข้าไปในบ้านกัน”
ชลกรพาปานวาดเดินเข้าบ้านไป มาลีรีบตามไป

ชลกรกับปานวาดเข้ามาในบ้าน มาลีตามเข้ามาด้วย คนอื่นๆ กำลังจัดโต๊ะเตรียมกินอาหาร โดยเฉพาะบัวผันกับเทศสั่งลูกๆ หลานๆ ให้จัดโน่นนี่ หันหลังให้ประตูเข้าบ้าน
มาลาหันไปเห็นชลกร รีบเดินเข้าไปหา ปานวาดไหว้ มาลารับไหว้
“เดี๋ยวนะลูก แม่จะพาไปไหว้ตากับยาย ถ้ามีอะไรผิดปกติ ไม่ต้องกลัวนะลูก”
ชลกรงง “อะไรผิดปกติเหรอแม่”
“แม่คาดผิดไปหน่อยน่ะ แต่ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
มาลาเหลือบมองไป เห็นมาลีมองนิ่งมาที่ตน กลับคิดแค่ว่ามาลีคงกลัวพ่อกับแม่เรื่องปานวาด มาลาพาชลกรกับปานวาดมาหาบัวผันกับเทศ
“แม่ พ่อ ชลพาเพื่อนมารู้จัก”
ทั้งยายบัวผันและตาเทศหันมา กำลังนึกครึ้มที่จะได้เจอหลานสะใภ้ แต่พอทั้งสองเห็นปานวาด ต่างก็ชะงัก ปานวาดไหว้บัวผันกับเทศ เป็นการไหว้ที่ดูสวยงามชดช้อยมากๆ
“สวัสดีค่ะ”
ชลกรไหว้ตาม “สวัสดีครับคุณตาคุณยาย”
บัวผันและเทศมัวแต่มองปานวาด โดยไม่มีใครรับไหว้เด็กทั้งสอง
บัวผันถามมาลาหน้าตึง “ยังไงเนี่ยมาลา นี่มันลูกนายปกป้องใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วปล่อยให้มาคบกับหลานแม่ได้ยังไง”
ปานวาดหันมามองชลกรงงๆ ชลกรแอบยื่นมือไปกุมมือปานวาดไว้ให้กำลังใจ
“ลูกก็รู้นี่ว่าบ้านเรากับบ้านครูบานชื่นน่ะไม่ถูกกัน” เทศเสียงขุ่น
“ฟังมาลาอธิบายก่อนนะคะ เรื่องบาดหมางกันตั้งแต่สมัยก่อนน่ะ มาลาไม่สนใจอีกแล้ว มาลาอยากให้พ่อกับแม่ลืมมันด้วย”
บัวผันไม่ยอม “ลืมเหรอ เพิ่งมีเรื่องสดๆ ร้อนๆนี่เอง หลานชายมันทำร้ายจิตใจหลานสาวแม่เนี่ย จะให้ลืมได้ยังไง”
คราวนี้มาลัยกลายเป็นคนรู้สึกแย่ซะเอง และอดเหลือบมองมาลีไม่ได้ มาลีเองก็จ้องมาที่เธอแล้วส่ายหน้า
ชลกรงงหันมาถามมาลา “เรื่องอะไรเหรอแม่”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” มาลาพูดขอร้องแม่กับพ่อดีๆ “แม่คะ พ่อคะ วันนี้เป็นวันมงคลของแม่ เป็นวันที่แม่ควรจะมีความสุขที่สุด ถ้ามาลากับลูกทำให้แม่ไม่สบายใจ มาลาก็ต้องขอโทษ มาลาจะกลับแล้ว”
ปานวาดเกรงใจและไม่สบายใจ “คุณน้าคะ ถ้าปัญหาเกิดจากตัวปอ ปอจะกลับเองค่ะ ไม่เป็นไรเลย ปอเข้าใจดี คุณน้าอยู่ต่อดีกว่าค่ะ”
“หนูไม่ได้เป็นคนผิดนี่ น้าชวนหนูมาเอง” มาลาบอก
เทศตัดบท “เอาล่ะๆ ไหนๆวันนี้เป็นวันดีของยายบัวผัน เราก็ไม่ควรจะมาโกรธเคืองกัน มาลาลูกไม่ต้องกลับไปไหนหรอก จะมาอวยพรวันเกิดแม่ใช่ไหมล่ะ ก็ต้องอยู่ให้มันจบงานซี” เทศหันไปพยักพเยิดกับบัวผัน “นะแม่นะ”
“พร้อมแล้วก็กินกันเลย แม่หิวแล้ว”
บัวผันเข้าไปนั่งที่โต๊ะ คนอื่นๆก็ทยอยเข้าไปนั่ง
ชลกรถามมาลาว่า “แม่ครับ ตกลงเรื่องทำร้ายจิตใจอะไรน่ะ มันเป็นยังไง”
มาลากวักมือเรียกลูกคนเล็ก ชยพลเดินมาหา
“กินข้าวเสร็จแล้วเล่าเรื่องดุจเดือนกับปัฐวีให้พี่ชลฟังหน่อย”
ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวกัน บัวผันยังคงหน้าตึงอยู่ ปานวาดเองก็เกร็งๆ ดุจเดือนเศร้าๆ มาลีมองทุกคนว่าจะเอายังไงดี

ปานวาดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“พี่ปัฐบอกเลิกพี่ดุจเดือนเหรอ เมื่อไหร่คะ”
ชยพล ชลกรและปานวาดคุยกันอยู่หน้าบ้าน
“พี่ดุจบอกเมื่อวานครับ แต่พี่ปัฐก็มีท่าทางแปลกมาซักพักแล้ว”
“ยังไงอ่ะ ทำไมถึงเลิกกัน” ชลกรถามย้ำกับปานวาด “ปอไม่รู้เรื่องเหรอ”
ปานวาดส่ายหน้า “เห็นแต่พี่ปัฐเขาซึมๆ ไป แต่เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย”
“พี่ดุจก็บอกว่าพี่ปัฐไม่ยอมบอกว่าเพราะอะไรถึงเลิกกัน” ชยพลบอก
“มิน่า คุณยายถึงได้โมโห ปอว่า ปอกลับดีกว่า”
“จะดีเหรอ ยายแกยอมให้อยู่แล้วนะ ถ้าปอกลับ แกจะคิดอะไรอีกก็ไม่รู้ คนแก่เข้าใจยาก” ชลกรบอก
มาลาออกมายืนเรียกสามคนที่ประตู
“มาลูก เข้ามาถ่ายรูปหมู่กัน คุณยายอารมณ์ดีขึ้นแล้ว”
“แน่นะแม่” ชลกรไม่เชื่อนัก
“มาเถอะน่า”

ชลกรพยักหน้าให้ปานวาด ทั้งสามคนตามมาลากลับเข้าไปในบ้าน
 
อ่านต่อหน้า 4

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 17 (ต่อ)

ตาเทศกินมะม่วงอย่างเอร็ดแอร่ม

“แหม กินมะม่วงทีไร มันทำให้นึกถึง ตาเช้ากับครูบานชื่นทุกที”
ปานวาดเดินเข้ามาถึงกับชะงัก บัวผันมองปานวาดตาขุ่นพูดกระทบผัว
“นึกถึงก็ไม่ต้องไปกินมันซิ”
มาลารีบพูดขัดขึ้น “พ่อน่ะกินไม่หยุดอยู่คนเดียว ยังไม่อิ่มอีกเหรอคะ”
“นั่นซี เดี๋ยวก็ท้องแตก” มาลีว่า
“เห็นแม่พวกแกหน้าบูดไม่ยอมยิ้ม ก็พูดขำๆ ไป” เทศบอก
“ขำแย่ละ ที่พ่อพูดออกมาน่ะ”
เห็นบัวผันลุกขึ้น มาลัยรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวซิแม่ จะไปไหน”
“จะไปพักผ่อน ไปเดินเล่นในสวน”
“แล้วเค้กของพี่มาลาล่ะแม่”
“เอาไว้ก่อน กินไม่ไหวแล้ว”
บัวผันจะเดินออกไปให้ได้ มาลารีบลุกเข้ามาหา
“แม่คะ ก่อนไปขอถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะคะ นานๆ จะมากันครบแบบนี้”
เทศรีบบอก “ไม่ต้องขอ จะถ่ายก็ถ่ายเลย เอ้า หนุ่มๆ จัดที่นั่ง”
“ผมลืมเตรียมกล้องมาเลย” ชลกรบอก
“มือถือน่ะแหละพี่ชล ฝีมือระดับนี้ กล้องอะไรถ่ายก็ออกมาดีหมดแหละ” ชยพลว่า
หลานๆ ทั้งสี่คนช่วยกันจัดเก้าอี้ มีมาลัยคอยบอก เป็นเก้าอี้ให้ผู้ใหญ่นั่ง 5 ตัว และเด็กทั้งสี่คนยืนแถวหลัง ทุกคนเข้าประจำที่ ชลกรจัดมือถือของเขาบนขาตั้ง ตั้งเวลาถ่ายไว้ แล้ววิ่งเข้าไปยืนข้างๆ ปานวาดแถวหลัง สิ้นแสงแฟลชสว่างวาบ ภาพหมู่ของครอบครัวบัวผันปรากฏขึ้นและบันทึกอยู่ในมือถือชลกร
เมื่อถ่ายรูปเสร็จ บัวผันก็ลุกขึ้นเทศรีบเข้ามาหา
“กินเค้กด้วยเถอะแม่”
“มันอิ่ม” บัวผันอ้าง
“ก็กินเป็นพิธีนิดนึง” เทศบอก
“ก็ได้ แต่ไม่ต้องจุดเทียนนะ”
เทศรีบบอกกับทุกคนว่า “เอ้า ทุกคน ยายยอมกินเค้กแล้ว แต่ไม่ยอมเป่า กลัวน้ำหมากกระเด็นใส่เค้ก”
ยายบัวผันตีแขนตาเทศเข้าให้ ท่าทางเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“เดี๋ยวมาลีจัดการให้จ้ะ”
ลูกๆ หลานๆ เริ่มหัวเราะกันได้ เว้นแต่ดุจเดือน กับ ปานวาด มาลาเดินมาหาชลกร
“ส่งรูปเข้ามือถือแม่หน่อย”
“ได้ซิครับ แม่อยากเก็บไว้เหรอ”
“แม่จะส่งไปให้พ่อลูกดู”
ชลกรชะงัก “อะไรนะครับ”
“ส่งรูปมาให้แม่เถอะ”

เสียงไลน์ดังจากโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในบ้าน ครู่หนึ่งพันลือจึงเดินเข้ามาหยิบขึ้นมาเปิดดูรูปที่มาลาส่งมา แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นภาพหมู่ซึ่งถ่ายบ้านบัวผันในนั้นมีปานวาดด้วย
“บ้าเอ๊ย”

มาลาพูดโทรศัพท์กับพันลืออยู่หน้าบ้านพ่อแม่
“เห็นรูปแล้วใช่ไหมพี่ ครอบครัวอบอุ่นไหม”
พันลือนั่งหน้าตึงพูดสายอยู่ในบ้าน สองคนคุยสายกัน
“ทำไมลูกสาวดาวรายไปอยู่ที่นั่น”
“มาลาให้ชลพามาเองแหละ”
“แล้วพ่อกับแม่มาลาไม่โวยวายแย่เหรอ”
“ก็มีนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะยอมรับหนูปอได้แล้ว”
“แต่ยังไงก็ไม่ควรจะพาไป”
“ทำไมล่ะพี่ ผู้ใหญ่จะได้รู้จักว่าที่หลานสะใภ้ไว้ พี่คิดเรื่องเตรียมหาผู้ใหญ่ไปสู่ขอให้ด้วยนะ แค่นี้ก่อนนะพี่ ต้องไปกินเค้กแล้ว”
มาลากดวางสาย ยิ้มกับตัวเอง ส่วนพันลือวุ่นวายใจ แทบคลั่ง

ดาวรายอยู่ที่ห้องรับแขกบ้าน หยิบโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าดังขึ้นมาดู พอเห็นชื่อพันลือก็กดรับสาย
“มีอะไรพี่”
วางสายจากมาลาพันลือรีบโทร.หาดาวรายทันที สีหน้าร้อนรุ่มใจมาก
“เกิดเรื่องแล้ว มาลาพาปานวาดไปบ้านพ่อตาแม่ยายพี่”
“บ้านยัยบัวผันน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซิ เขาไปเลี้ยงวันเกิดยาย พี่เพิ่งรู้ว่าปานวาดไปอยู่ที่นั่นด้วย มาลาส่งรูปมาให้พี่ดู”
ดาวรายด่าด้วยความโมโห “แล้วปล่อยให้ไปได้ยังไง”
พันลือยัวะ “เธอน่ะซีปล่อยให้ไปได้ยังไง ลูกสาวเธอนะ”
“แต่เมียพี่พาไป ทำไมพี่ไม่ห้ามเมีย”
“ก็บอกว่าเพิ่งรู้ นี่ แล้วมาลายังบอกให้พี่เตรียมหาผู้ใหญ่ไปสู่ขอปานวาดจากเธอด้วยนะ”
“จะบ้าเหรอ”
“บ้าอีกแล้ว พี่โทร.มาปรึกษาว่าจะทำยังไงดี”
“พี่ก็พูดกับเมียพี่ให้มันชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้”
“พี่พูดไม่ได้ เขาไม่สนใจหรอก”
“พี่ทำไม่ได้ งั้นดาวก็จะทำเอง”
“ทำอะไร”
“ก็ไปพาลูกกลับบ้านน่ะซี พอกันที”
ดาวรายกดวางสาย แล้วเดินหุนหันไปที่บันได ส่วนพันลือได้แต่อึ้ง ไม่รู้จะทำยังไงดี

ดาวรายเดินมาที่ตีนบันไดบ้าน ตะโกนเรียกปานดาว
“ป่าน ป่านอยู่ไหนลูก
ปานดาวเดินลงมาจากข้างบน
“อยู่นี่ค่ะ”
“ขับรถพาแม่ไปข้างนอกหน่อย”
“ไปไหนคะ”
“บ้านยายบัวผัน ปอไปอยู่ที่นั่น แม่จะไปลากคอกลับบ้าน”
“แม่ ทำไมพูดแรงอย่างนั้น ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”
“มันเย็นไม่ไหวแล้ว พี่สาวแกมันทำเกินไป ไปเร็วเข้า”

งานเลี้ยงในบ้านบัวผัน บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น มาลานำพวงมาลัยซึ่งเตรียมมาขอขมาและอวยพรแม่ออกมา บัวผันนั่งอยู่ที่เก้าอี้เดี่ยว มาลาเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าแม่ ลูกหลานคนอื่นๆ ยกเว้นเทศ ก็มานั่งคุกเข่ารวมกัน
“มาลาขอโทษที่ทำให้แม่ขุ่นเคืองใจนะคะ พวกเราทุกคนอยากเห็นแม่มีความสุข ขอสิ่งศักดิ์ดลบันดาลให้แม่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกเราไปนานๆ”
“อยู่ถึงเลี้ยงวันเกิด 120 ปีเลยนะแม่” มาลัยว่า
“โอย ถ้าอยู่ถึงขนาดนั้นก็อยู่คนเดียวนะ ฉันไปก่อนแน่ นึกถึงภาพแล้วสยอง” เทศเย้าหยอก
ทุกคนหัวเราะกันครืน บัวผันหันไปแยกเขี้ยวใส่ผัว ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก
“พ่อก็อยู่ด้วยกันซี” มาลาว่า
“พวกแกก็มาเฝ้าตะบันน้ำให้ฉันกินละกันนะ”
ทุกคนหัวเราะกันอีกคืนใหญ่
“แม่อวยพรให้ลูกหลานหน่อยค่ะ” มาลาบอก
“แม่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ” บัวผันว่า
“ไม่ศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง แม่น่ะชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้อยู่แล้ว”
ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศดีขึ้นจริงๆ ชลกรยิ้มให้ปานวาดแอบกุมมือให้กำลังใจ ปานวาดยิ้มรับ
“เอาๆ อวยพรก็ได้” ลูกๆ หลานๆ ทุกคนพนมมือรับพร “ขอให้ลูกหลานมีความสุขความเจริญ จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ตั้งอยู่ในธรรม ไม่มีมารมากล้ำกราย คิดดีทำดี มั่งคั่งมั่นคงนะลูกนะ”
“สาธุ”
ทุกคน “สาธุ” พร้อมๆ กัน และยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้น จู่ๆ ดาวรายก็พรวดพราดเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงดังแหลมเข้ามา
“ปอ กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”
ทุกคนตกใจหันไปมอง เห็นดาวรายยืนจังก้าหน้าตาเอาเรื่องอยู่ที่ประตู ปานวาดลุกขึ้น ทั้งแปลกใจและตกใจ
“แม่คะ”
“แม่บอกให้กลับบ้านกับแม่”
บัวผันไม่พอใจลุกขึ้น “นี่เธอ เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งใครในบ้านฉันนะ”
“เงียบไปเลยอีแก่” ดาวรายแว้ดใส่
บัวผันชะงักกึก ทุกคนก็ตกใจเหมือนกัน ปานวาดรีบเข้ามาห้ามดาวราย
“แม่ ทำไมพูดยังงั้น”
“แม่จะพูดยังไงก็ได้ ไป กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ ปอจะอยู่ที่นี่”
ดาวรายโมโห “ปอ”
ทุกคนรู้สึกทึ่งในตัวปานวาด โดยเฉพาะมาลากับบัวผัน แต่มาลีหน้าเสียนิดๆ รู้สึกไม่ดีเลย
“ขอโทษค่ะ แม่กลับไปก่อนเถอะ”
“ปอ แม่ไม่ยอมให้ลูกยุ่งเกี่ยวกับนายชลกรนั่นเด็ดขาด”
“แม่ไม่มีสิทธิ์มาห้ามปอไม่ให้รักใคร”
“มีซิ มานี่เลย”
ดาวรายจับแขนปานวาด จะลากตัวออกจากบ้านบัวผัน
“ดาวราย อย่านะ”
มาลาจะตามไปห้าม มาลีจับตัวมาลาไว้
“พี่ ปล่อยเขาเถอะ”
“พี่ยอมให้ทำอย่างนี้ไม่ได้”
มาลาไม่ฟัง รีบตามไป

ขณะที่พันลือเดินมาถึงหน้าบ้านบัวผัน ก็ต้องชะงักเมื่อเจอปานดาวยืนรอดาวรายอยู่ที่นั่น ปานดาวเองก็ชะงักรู้ว่าเป็นพ่อของชยพล ปานดาวไหว้ทักอีกฝ่ายรับไหว้
“แม่หนูล่ะ”
“อยู่ในบ้านค่ะ”
ปานดาวพูดไม่ทันขาดคำ ดาวรายก็ลากตัวปานวาดออกมาจากในบ้าน ปานวาดขืนตัวไว้
“แม่ ปล่อยปอนะ”
“ไม่ได้ ปอต้องกลับกับแม่”
คนอื่นๆ ตามออกมาหน้าบ้านเป็นโขยง มาลีพยายามอยู่ใกล้มาลาไว้ ไม่อยากให้พี่ไปขวางดาวราย ชยพลกับปานดาวสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ปานดาวจะหันหน้าหนีไป
มาลากับชลกรเห็นพันลือก็แปลกใจ
“แม่ พ่อมาด้วย”
มาลาแปลกใจ แต่ไม่ได้สนใจทักถาม เพราะเป็นห่วงปานวาดมากกว่า
ดาวรายดึงตัวปานวาดจะพาไป แต่ปานวาดยื้อไว้ ไม่ยอมไป
“ปอไม่ไปกับแม่ ปล่อยปอนะ”
“ไม่ได้ แกต้องไป”
“ไม่ไป”
“ปอ”
โดยไม่มีใครคาดคิด ดาวรายโกรธถึงขีดสุด ตบหน้าปานวาดสุดแรง ปานวาดผงะจับแก้มตัวเอง
บัวผันทนดูไม่ไหวร้องบอกกับมาลัยว่า
“ไปพาเด็กนั่นออกมา”
มาลัยเข้าไปขวางระหว่างปานวาดกับดาวราย จะพาปานวาดกลับเข้าบ้าน
“มาหนู มาทางนี้”
แต่ดาวรายเข้าไปกระชากแขนมาลัยออก สองคนปะทะคารมกันเหมือนสมัยสาวๆ
“แกมาเสือกอะไรด้วย”
“ฉันไม่ยอมให้แกทำกับลูกแบบนี้หรอก”
“มันลูกฉัน แกไปให้พ้นเลย”
“แต่นี่บ้านฉัน แกน่ะซีไปให้พ้น”
ดาวรายเข้าไปผลักมาลัยออก
“ฉันจะพาลูกกลับบ้าน”
ดาวรายจะเข้าไปเอาตัวปานวาดเลยถูกมาลัยผลักจนล้มลงกับพื้น ปานดาวตกใจถลาไปช่วยดาวราย
“กลับไปคนเดียวเลย” มาลัยด่าซ้ำ
ดาวรายโกรธมาก ลุกขึ้นมาจะเล่นงานมาลัย ปานดาวดึงตัวดาวรายไว้
“แม่ อย่าเลย”
มาลัยก็จะเข้าไปจัดการดาวราย แต่มาลีเข้ามาขวาง
“พี่มาลัย ปล่อยให้เขาพาลูกเขากลับไปเถอะ”
มาลัยขัดใจนัก “อะไรของเธอ”
“ชลไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับปอ”
มาลาเข้ามาอีกคน
“มาลี ทำไมพูดแบบนี้”
มาลีทนเก็บความลับไว้คาอกไม่ไหวแล้ว
“พี่ไม่เข้าใจ พวกเขารักกันไม่ได้”
มาลัยโมโห “อย่าบ้าน่า ทำไมจะรักกันไม่ได้”
“เพราะสองคนเป็นพี่น้องกัน”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าแต่ละคน ทุกคนพากันชะงักตะลึงตะไลในอาการต่างกันไป
ชลกร และปานวาด ช็อกสุดๆๆ
พันลือตกใจ หันไปมองดาวราย
“พูดอะไรน่ะมาลี” มาลาถามขึ้นในความเงียบงันนั้น
มาลีหันไปมองหน้าพันลือนิ่งๆ “พี่พันลือ คงจะตอบได้ดีที่สุด”
มาลาเหลียวขวับไปมองสามี พันลือทำหน้าไม่ถูก มาลาหันไปมองดาวราย พบว่านางดาวร้ายประจำบางน้ำผึ้งก็หยุดอาละวาด หน้าถอดสี มาลารู้แล้วว่าที่น้องพูดเป็นเรื่องจริง
ชลกรช็อกไม่หาย มองปานวาดซึ่งฝ่ายนั้นเองก็ตกใจไม่ต่างกัน

ปัฐวีนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะในบ้าน มีแก้วกาแฟวางอยู่ ในใจรู้สึกว่างเปล่าหลังจากที่บอกเลิกดุจเดือนไปแล้ว
ด้านปานดาวขับรถมาตามถนน ดาวรายนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ ทั้งสองเงียบมาตลอดทาง โดยที่เบาะหลัง ปานวาดนั่งร้องไห้หัวใจสลายอยู่ลำพัง สับสนในหัวเกือบทำผิดมหันต์ ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องนี้กับชีวิตตัวเอง ดาวรายหันไปมองพยายามจะปลอบลูก
“ปอ”
ปานวาดเมินหน้าหนีไปมองนอกรถ น้ำตาไหลเป็นสาย
“แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะ”
ดาวรายไม่กล้าพูดอะไรอีก
ปานดาวมองปานวาดผ่านกระจกมองหลัง รู้สึกสงสารพี่สาวมากๆ
“แล้วป่านล่ะคะแม่ ลูกใคร”
ดาวรายมองปานดาว แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าว่าลูก
“ป่าน ทำไมถามแม่แบบนี้แค่นี้แม่ก็ทุกข์ใจจะแย่อยู่แล้ว”
ปานดาวถอนใจอย่างเหนื่อยล้า

ฝ่ายพันลือนั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทุกๆ คน เว้นมาลายืนอยู่ห่างออกไป
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง” ชลกรเอ่ยขึ้น
“ฉันถึงพยายามห้ามไม่ให้แกกับปอคบกันไงล่ะ”
มาลาเดินเข้ามา หยุดตรงหน้าพันลือ สีหน้าท่าทางโกรธถึงขีดสุด
“พี่ทำลายความนับถือที่ฉันเคยมีให้พี่ไปหมดแล้ว พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง”
“พี่ขอโทษนะมาลา”
มาลาร้องไห้โฮออกมา “พี่มีลูกกับเขาจนโตเป็นสาวขนาดนี้ แต่พี่ไม่เคยบอกมาลา เลยสักคำพี่ใจร้ายมาก”
มาลามองจ้องหน้าพันลือ แววตาแข็งกร้าวครั้งนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่เธอจะให้อภัยง่ายๆ มาลาเดินหนีออกไปทางครัว มาลัยกับมาลีลุกตามไปดูและปลอบพี่
ชลกรมองหน้าพันลือ ทั้งโกรธและแค้นเคืองใจ สุดท้ายลุกเดินออกไปทางหน้าบ้าน ชยพล และดุจเดือนลุกตามไป

ชลกรหนีออกมานั่งสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน รู้สึกแย่มากๆ ดุจเดือนกับชยพลตามมานั่งคุยด้วย
“ผมพอเข้าใจความรู้สึกของพี่ ทุกอย่างเหมือนกำลังจะดี แต่แล้วมันก็พังทลายลงต่อหน้า”
ชลกรตาแดง น้ำตาคลอหน่วย “พ่อน่าจะบอกพี่ ปล่อยให้เลยเถิดมาจนขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
“คงกลัวแม่จะโกรธมั้ง แต่ตอนนี้ ผมเดาไม่ได้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับเขาสองคน ดูท่าทางแม่คงจะไม่ให้อภัยพ่อ”
ดุจเดือนช่วยปลอบ “ดุจอยากจะบอกชลว่า ให้พยายามทำใจกับมัน แต่ดุจก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
“เขาใจร้ายกับทุกคนจริงๆ”
ชยพลโอบไหล่พี่ชายให้กำลังใจ
“อย่างน้อยชลก็มีดุจเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกคนนะ”
ดุจเดือนมองชลกรอย่างเห็นใจ ตบมือเขาเบาๆ เชิงปลอบ

ปัฐวียังคงนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร จู่ๆ ปานวาดก็เดินร้องไห้เข้าบ้านมาแล้วขึ้นบันไดไปเลย ปัฐวีมองตามด้วยสีหน้าแปลกใจ จนเห็นดาวรายกับปานดาวตามเข้ามา
ปัฐวีหันไปถามน้องสาว “มีอะไรเหรอป่าน”
“เกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดน่ะซิพี่ปัฐ”
ปานดาวถอนใจเฮือกใหญ่ ส่วนปัฐวีคิดว่าจะมีเรื่องอะไรเลวร้ายกว่าเรื่องของเขากับดุจเดือนอีก

ด้านมาลาหลบมานั่งทำใจอยู่ในครัว มาลัยตามมานั่งข้างๆ กอดพี่เอาไว้ ส่วนมาลียืนห่างออกไป
“เขายังอยู่หรือเปล่า”
“ใคร พี่พันลือน่ะเหรอ”
มาลีถามพลางเดินไปชะโงกหน้ามองไปในห้องโถงใหญ่ แล้วกลับเข้ามา
“ไม่อยู่แล้ว”
“กลับบ้านพี่คงมีเรื่องต้องคุยกันเยอะ” มาลัยว่า
“หรือไม่ ก็ไม่ต้องคุยอะไรกันเลย”
มาลัยตกใจ “จะเลิกกันเลยเหรอ”
“คิดถึงเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันมาด้วยนะพี่” มาลัยให้ข้อคิด
“พี่ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ลำพังตัวพี่ มันอาจจะไม่สำคัญเลย แต่พี่สงสารชล ต้องมาเจอกับบาปที่พ่อเขาก่อไว้ พี่โกรธที่สุดก็ตรงนี้แหละ เขาทำให้ลูกต้องเจ็บปวด มันมากเกินไป”
มาลายังคงสับสน ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจกับเรื่องนี้อย่างไร

สองพี่น้องออกมาคุยกันนอกบ้าน ปัฐวีได้รู้เรื่องของปานวาดกับชลกรแล้วจากปานดาว
“สองคนเป็นพี่น้องกันงั้นเหรอ”
“พ่อเดียวกัน แต่คนละแม่”
ปัฐวีอึ้งไป เข้าใจและรู้สึกสงสารปานวาดมาก เขาเองก็ไม่ต่างจากน้องสาวที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมจากบาปที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ก่อไว้
“มันแย่ตรงไหนรู้ไหมพี่”
“ตรงไหน”
“คนที่ทำให้พี่ปอต้องเจ็บปวด คือแม่ของเราเอง แม่คือคนที่เราควรจะรักเขามากที่สุด ไม่ใช่หรือพี่ปัฐ”
“เราเกลียดพวกเขาไม่ได้หรอก เราได้แต่ยอมรับชะตากรรมให้ได้”
“พวกเขาเหรอ” ปานดาวสะดุดหู ทวนคำพี่ชายเชิงถาม
ปัฐวีนิ่งไป ไม่ตอบสิ่งที่น้องถาม แล้วลุกขึ้น
“พี่จะไปคุยกับปอหน่อย”
ปัฐวีเดินเข้าบ้านไป ปานดาวมองตามไป

ปานวาดนอนร้องไห้อยู่บนเตียง จนมีเสียงเคาะประตูแล้วปัฐวีเปิดเข้ามาในห้อง
“พี่เองนะปอ”
ปานวาดลุกขึ้นนั่งที่เตียง ปัฐวีเข้ามานั่งข้างๆ ปานวาดโผเข้ากอดปัฐวีร้องไห้
“ชลเป็นพี่น้องกับปออ่ะพี่ปัฐ
ปัฐวีลูบหลังปลอบ “พี่รู้แล้ว”
“ปอไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะคิดอะไร มันแย่มากๆ เลย ปอรักชล เราเกือบจะ... แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เรารักกันไม่ได้แล้วอ่ะพี่”
“ได้ซี ปอยังรักเขาต่อไปได้ รักเหมือนพี่ชายของปอคนนึงไง”
ปานวาดสะอื้น “ไม่ พี่ ปอทำไม่ได้ ปอทนไม่ได้หรอก”
“พี่เข้าใจ” ปัฐวีกอดแน่นขึ้น “พี่เข้าใจปอจริงๆ พี่อยากให้ปอรู้ไว้ ไม่ใช่ปอคนเดียวหรอกที่มีปัญหา”
ปานวาดไม่ได้ใส่ใจ คิดเพียงว่าปัฐวีพูดเพื่อปลอบตนเท่านั้น
สำหรับปัฐวีแล้วเขารู้ว่าน้องสาวต้องเจ็บปวดมากเพียงไหน เพราะเขาเพิ่งผ่านมันมาหมาดๆ

ดาวรายเดินมาจากทางหลังบ้านเข้าแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นปานดาวยืนพิงผนังมองมายังตนเขม็ง
“ทำไมมองแม่อย่างนั้น”
“ป่านแค่อยากรู้ว่า แม่ทนได้ยังไง”
“ทนอะไร”
“ก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับมายี่สิบกว่าปี แล้วยิ่งตอนหลังแม่รู้ว่าพี่ปอรักกับพี่ชล แม่ก็ยังไม่พูดอะไรซักคำ”
“แม่ก็พยายามห้ามพวกแกไง”
“โดยไม่บอกความจริง” ปานดาวสวนออกมา
ดาวรายทำเป็นโมโห “จะมาคาดคั้นอะไรกับแม่นักป่าน”
“ป่านไม่มีสิทธิ์คาดคั้นอะไรแม่หรอกค่ะ แต่อยากรู้ว่า ถ้าคนที่มีสิทธิ์เขารู้เรื่องนี้ เขาจะว่ายังไงดาวรายอึ้งๆ”
“แม่คิดจะบอกให้พ่อรู้ไหมคะ”

ดาวรายมองปานดาวนิ่งๆ ด้วยรู้ว่าถ้าบอกไปก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ สุดท้ายหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาลูก

อ่านต่อตอนที่ 18
กำลังโหลดความคิดเห็น