ดอกซ่อนชู้ ตอนที่ 13
ภายในห้อง ลำเจียกเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเหลือแต่กระโจมอกอยู่หลังบังตา ส่งเสื้อผ้าให้อึ่งที่รอรับอยู่ เสียงเคาะประตู ดีง ปังๆ
"แม่ลำเจียก เปิดประตูซิ ฉันมีเรื่องจะคุย"
อึ่งสบตาลำเจียกอย่างตื่นๆ ลำเจียกชักสีหน้า ยังงอนไม่หายที่โดนด่า
"คุณพี่จะมาหาเรื่องด่าฉันอีกน่ะสิ แกไม่ต้องไปเปิด ไปล็อกประตูเลย ฉันไม่อยากคุยด้วย"
อึ่งถลันจะไปปิดล็อก แต่หลวงปกรณ์พรวดเข้ามาพอดี อึ่งเบรกแทบไม่ทัน
หลวงปกรณ์สั่งหน้า
"ออกไปก่อนนังอึ่ง"
"ไม่ต้องนังอึ่ง มาช่วยฉันผลัดผ้า ฉันจะอาบน้ำ"
อึ่งละล้าละลัง หลวงปกรณ์เสียงเข้มขึ้น ตวาดแรง ด้วยความโกรธอันเกิดจากฤทธิ์เมายาสมุนไพร
"กูบอกให้ออกไป !"
"เจ้าค่ะๆ"
คราวนี้อึ่งลนลานเตลิดเปิดเปิงจากห้องแทบไม่ทัน หลวงปกรณ์หันมามองลำเจียกหลังฉากกั้น ตาวาว ด้วยอารมณ์โมโหผสมหื่นๆ
ลำเจียกจะเดินหนี หลวงปกรณ์ผลักบานไม้บังตาที่ขวางอยู่ล้มครืน แล้วตรงไปคว้าแขนไว้
"น้องจะไปอาบน้ำ"
"จะรีบล้างคราบไคลให้มันหมดตัว ฉันจะได้จับไม่ได้ว่าหล่อนไปเกลือกกลั้วกับใคร ที่ไหนมา ใช่ไหม"
ลำเจียกตะลึง น้อยใจที่ถูกดูหมิ่น ยิ่งเกิดลูกฮึดประชดขึ้นมา
"น้องคงไม่กล้าตบตาคุณพี่หรอกค่ะ เพราะยังไงคุณพี่ก็รู้อยู่แล้วว่าน้องไปกับใครมา"
"แม่ลำเจียก !"
ลำเจียกเชิดหน้าอย่างถือดี เหมือนจะท้าทายหลวงปกรณ์ยิ่งขึ้น
สร้อยทองซึมอยู่ในห้อง ศรีตามเข้ามา
"นังอึ่งมันบอกว่า คุณหลวงตะเพิดมันออกมาจากห้องเจ้าค่ะ"
สร้อยทองเซ็งเพราะรู้ว่า หลวงปกรณ์กินยาเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลำเจียก
"ฉันผิดเองที่พูดเรื่องแม่ลำเจียกขึ้นมาให้คุณพี่หงุดหงิด"
"คุณจะไม่ไปขวางหน่อยหรือเจ้าคะ เผื่อว่า..."
"ไม่ล่ะ ถ้าคุณพี่ผลุนผลันไปหาแม่ลำเจียกเพราะอารมณ์หึงหวง ก็แปลว่ายังรักแม่ลำเจียกอยู่มาก ฉันเข้าไปสอดก็เท่ากับเป็นส่วนเกินเท่านั้นเอง"
สร้อยทองสีหน้าเศร้าสลด ดูว่าใจเสียอยู่เหมือนกัน ศรีได้แต่มองนายอย่างสงสาร
ลำเจียกพยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมของคุณหลวง
"ปล่อยน้องนะคะ คุณพี่"
หลวงปกรณ์หน้ามืดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามฤทธิ์ยา
"ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวกับฉัน แต่ทีกับไอ้เจ๊กนั่นหล่อนไปนอนแบมากี่ครั้งกันแล้วล่ะ"
"คุณพี่"
ลำเจียกเงื้อมือจะตบ แต่หลวงปกรณ์คว้ามือไว้ ลำเจียกเลยสะบัด
"ถ้าคิดว่าน้องสกปรกโสมมถึงขนาดนั้น ก็อย่ามาแตะต้องน้องให้แปดเปื้อน"
"ทำไมฉันจะแตะต้องเธอไม่ได้แม่ลำเจียก ในเมื่อเธอยังมีฐานะเป็นเมียของฉันอยู่"
ยิ่งลำเจียกดีดดิ้น หลวงปกรณ์ก็ยิ่งเกิดแรงปรารถนา กระชากผ้านุ่ง ลำเจียกร้องวี๊ดอย่างตกใจ หลวงปกรณ์รวบตัวเข้ามากอด
"ให้ฉันดูซิว่าไอ้เจ๊กไหลมันฝากรอยเอาไว้ที่ไหนบ้าง ฉันจะลบรอยมันให้หมด หล่อนจะได้มีสติไม่วิ่งแร่ไปหาชู้อย่างมันอีก"
หลวงปกรณ์พูดพลางจูบซุกไซ้ ลำเจียกดีดดิ้น ทุบตีหลวงปกรณ์ ไม่มีอารมณ์ปรารถนาไปด้วย
แต่เมื่อหลวงปกรณ์รุกไล่หนักๆ เข้า มือไม้ของลำเจียกที่พยายามทุบถองผลักหลวงปกรณ์ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เพราะลึกๆ แล้วลำเจียกก็ปรารถนารสรักของหลวงปกรณ์เหมือนกัน
ฝ่ายสารภียืนมองเจ๊กหลีที่กำลังตรวจตรายาสมุนไพรที่เอามาให้ดูอย่างละเอียด
"ดูจนตาจะหลุดแล้ว รู้หรือยังละเฮียว่ามันเป็นยาอะไร" พิศว่า
เจ๊กหลีเงยหน้าถามสารภี
"ลื้อไปเอามาจากไหน"
"จากไหนก็ช่างเถอะน่า ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นยาอะไร"
เจ๊กหลีมองยา แล้วตอบออกมา
"เขาเรียกว่ายากำหนัด"
พิศ/สารภีโพล่งพร้อมกัน "ยากำหนัด"
"มันเป็นยาสำหรับผู้หญิงผู้ชายร้างคู่ใช้กัน พอกินยานี้เข้าไป จะเกิดอารมณ์ปรารถนารุนแรง อยากจะหาคู่สู่สมไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย"
พิศกับสารภีตาโตมองหน้ากัน นึกไม่ถึงว่าสร้อยทองจะมียาแบบนี้
เจ๊กหลียังหยิบผงยาต่างๆ มาดูอย่างสนใจ
"จริงๆ แล้วละแวกนี้ ไม่น่าจะมีใครปรุงได้นอกจากอั๊วนะ ถึงได้ถามไงว่าพวกลื๊อไปเอามาจากไหน"
สารภีกับพิศยังไม่ตอบ เพราะมัวแต่ตะลึงอยู่
สารภีกับพิศเดินเดินเข้ามาในบ้าน โกสุมเดินออกมา
"ไปไหนกันมาค่ำมืดดึกดื่น"
"สารภีออกไปทำธุระที่ตลาดมาค่ะ กว่าจะออกไปก็เย็นแล้วกลับค่ำนิดๆหน่อยๆไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย"
"นั่นสิคะ ทีเมื่อก่อนคุณสารภีกลับดึกกว่านี้อีกนะคะเวลาออกไปเที่ยวคลับน่ะค่ะ"
สารภีหันมองพิศตาขวาง
"อุ่ย !! พิศขอตัวก่อนนะคะ"
พิศส่งถุงเสื้อผ้าให้สารภีแล้วออกไป โกสุมมองที่ถุง
"แล้วนั่นอะไรซื้ออะไรมาอีกล่ะ"
"ก็เสื้อผ้าไงคะ"
เพิ่มพูนเดินเข้ามา
"ขยันซื้อขยันหาเสียจริงนะ มีเงินมีทองก็หัดรู้จักเก็บบ้างเถอะ มาช่วยพ่อแม่ใช้หนี้ ใช้สินก็ยังดี"
เพิ่มพูนจะพูดต่อโกสุมปรามไว้
"พอเถอะค่ะคุณ ลำพังเงินแค่นี้จะไปพอใช้หนี้ได้ที่ไหนกัน ถ้ามันมีเงินได้สักเสี้ยว ของบ้านนี้ถึงค่อยไปด่าไปว่าลูกถึงจะถูก"
"ให้ท้ายกันเข้าไป หนี้ท่วมหัวจนจะดิ้นไม่หลุดอยู่แล้ว ไม่ยักจะมีใครสนใจ เบื่อ โว๊ย!"
เพิ่มพูนโมโหเดินออกไป โกสุมเดินตาม
"เดี๋ยวมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน คุณว่าใครไม่สนใจ หนี้สินฉันก็ช่วยคุณคิดช่วยคุณ หาอยู่นี่ไงสารภีมองดูพ่อแม่ คิดแค้นใจในโชคชะตา
"ทำไมชีวิตฉันถึงได้ตกอับแบบนี้"
สารภีแค้นใจ
สารภีเดินงุ่นง่านอยู่ในห้อง พยายามคิดหาทางจับเทพไท
"คนเดียวที่จะฉุดฉันออกจากนรกต่ำตมที่นี่ได้ก็คือ พี่เทพ"
พิศหยิบห่อยาที่ขโมยจากสร้อยทองขึ้นมา
"ก็แล้วทำไมไม่ใช้ยานี้ให้เป็นประโยชน์ล่ะคะ อุตส่าห์หยิบติดมือมา"
"ฉันไม่เชื่อไอ้ยาผีบอกแบบนี้หรอก เอาไปกินแล้วเป็นบ้าเป็นบอขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ แกเอาไปทิ้งซะเถอะ"
"วุ้ย เสียดาย คุณไม่เอา พิศเอาเอง" พิศหยิบจับห่อยาแล้วยิ้มกริ่ม "งานนี้แหละอีพิศจะมีผัวกับเขาซักที ฮิฮิ"
สารภีมองท่าทางพิศ เริ่มเสียดาย
"แกกล้าใช้เหรอ นังพิศ"
"ก็ถ้าคนอย่างคุณสร้อยทองกล้า ทำไมพิศจะไม่กล้าล่ะค้า"
พิศหัวเราะชอบใจ สารภีครุ่นคิด ชักอยากจะลองใช้ดูเหมือนกัน
เช้าวันใหม่ บรรยากาศหน้าบ้านคึกคักไปด้วยคนงานที่ขนข้าวของเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยง
สารภีแต่งตัวสวยเดินออกมากับพิศ ตรงไปหาเชตที่กำลังเช็ดรถอยู่ เชตยิ้มดีใจ
"ว่างอยู่ใช่ไหมนายเชต ขับรถให้ฉันหน่อย"
เชตจะรับคำ แต่เสียงศรีดังมาก่อนตัว
"คุณสารภีจะไปไหนเหรอคะ"
"ฉันจะไปซื้อของ ต้องรายงานแกก่อนหรือยังไง"
"ไม่ต้องมารายงานอิฉันหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณจะใช้รถ ก็ควรจะไปเรียนให้คุณๆ ทราบก่อน"
"คุณหลวงทราบแล้วถึงให้เงินฉันมาซื้อของ" สารภีควักเงินออกมาโชว์ "หรือแกจะให้ฉันไปเรียนใครอีก มีใครที่ใหญ่กว่าคุณหลวงอีกไหม"
สารภีเชิดหน้าท้าทาย ศรีนิ่ง พิศสะใจ
"ไปกันเถอะค่ะคุณสารภี เสียเวลา"
พิศเปิดประตูรถให้ ศรีเสียงเข้ม
"แต่แกต้องอยู่ที่นี่ นังพิศ งานในครัวมีออกมากมาย จะลอยไปลอยมาตามเจ้านายไม่ได้ เป็นแค่ผู้อาศัย หัดทำตัวให้มีประโยชน์เสียบ้าง !" ศรีจงใจว่าเหน็บสารภี
"เอ๊ะ ฉันก็จะไปช่วยคุณสารภีหิ้วของ"
"นายเชตมันก็มีมือ จะแห่กันไปทำไมมากมาย"
พิศทำท่าจะโต้ สารภีรำคาญ ตัดบท
"ฉันไปคนเดียวได้นังพิศ"
สารภีปึงปังขึ้นรถ เชตขับรถออกไป
พิศค้อนขวับมองศรีที่ขัดความสุข แต่ก็เดินกระแทกเท้าตามศรีไปทำงาน
หลวงปกรณ์นอนกอดลำเจียกอยู่บนเตียง ฝ่ายลำเจียกยังคงตระแหน่แง่งอน คุณหลวงจูบไหล่ "หายโกรธฉันหรือยัง แม่ลำเจียก"
ลำเจียกเห็นหลวงปกรณ์ยังนัวเนียเอาใจ ก็แอบยิ้มมีความสุข
"น้องก็ไม่ได้โกรธคุณพี่ซักหน่อยนี่คะ"
"แน่นะ"
"น้องจะโกรธสามีที่เป็นเจ้าชีวิตของน้องได้ยังไงล่ะคะ"
ลำเจียกเข้ากอดซุกหลวงปกรณ์ แสดงความสนิทเสน่หาเต็มที่ หลวงปกรณ์พอใจที่เมียว่าง่าย
"งั้นเราอย่าทะเลาะกันอีกเลยนะ ฉันก็ไม่อยากพูดจาให้แม่ลำเจียกเสียน้ำใจ แต่แม่ลำเจียกก็ควรจะรักษาน้ำใจฉันบ้าง"
ลำเจียกยิ้มอ่อน สบายใจขึ้น
"ค่ะ น้องสัญญาว่าน้องจะไม่ทำอะไรให้คุณพี่ไม่สบายใจอีก"
หลวงปกรณ์ยิ้มพอใจ ดึงลำเจียกมาจูบหน้าผาก ลำเจียกกำลังเคลิ้ม แต่อยู่ๆ หลวงปกรณ์ก็รีบลุกขึ้น
ลำเจียกงง
"คุณพี่จะไปไหน นอนต่ออีกซักหน่อยสิคะ"
"ลืมไปแล้วหรือไงว่าเช้านี้บ้านเรามีงาน ฉันจะไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน เดี๋ยวจะได้ไปดูแลแม่ดอกแก้ว หล่อนก็ลุกขึ้นจัดแจงเถอะ"
หลวงปกรณ์สั่งแล้วก็ออกไปอย่างไม่มีเยื่อใย ลำเจียกเซ็งที่พลอดรักกันอยู่ดีๆ ก็ถูกทิ้งให้ค้างเติ่งเพราะคุณหลวงห่วงดอกแก้ว
เชตขับรถพาสารภีกลับมาที่ตลาด แล้วจอดลงแถวๆ หน้าร้าน
"ไม่ยักรู้นะครับว่าคุณสารภีชอบมาเดินตลาดแถวนี้จริงๆ"
"ฉันจะชอบหรือไม่ชอบมันก็เป็นเรื่องของฉัน แกเป็นคนขับรถก็มีหน้าที่มาส่งก็เท่านั้น"
เชตแอบจ๋อยที่สารภีข่ม แต่ก็ยังพยายามต่อ
"งั้นจะให้ผมไปช่วยถือของไหมครับ นังพิศไม่ได้มาด้วย ผมจะได้ช่วยคุณได้"
"แกไม่ต้องตามฉันไปถือของหรอก ไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย ไปจอดรอใต้ต้นไม้โน่นไป"
"เออ แต่..."
"ฉันบอกไม่ต้องไง นายเชต"
เชตยอม
"ครับคุณสารภี"
สารภีลงจากรถ เดินหันรีหันขวาง แล้วรีบตรงไปที่ร้านขายยาอย่างรวดเร็ว
สารภีตรงเข้ามาหาเจ๊กหลีด้วยท่าทางร้อนรน
"เมื่อวานเฮียบอกว่า ปรุงยากำหนัดแบบที่ฉันเอามาให้ดูได้ใช่ไหม"
"ใช่ ลื้อจะทำไม"
"ฉันอยากได้อีกชุดนึง"
สารภีพูดพลางควักเงินวางบนตู้กระจก
"บ๊ะ แล้วไอ้ที่ลื้อเอามาให้ดูเมื่อวาน ใช้หมดแล้วเหรอ"
"ยัง แต่ฉันอยากได้ของดีมีคุณภาพ ที่ใช้แล้วมันเห็นผลแน่นอนมากกว่า"
สารภีทำสีหน้าหมายมาด เอาจริง
"ไอ้หยา ลื้อยังสาวยังแส้ จะเอาไปใช้กับใคร"
"ไม่ต้องถาม ! บอกมาคำเดียวว่าทำได้หรือไม่ได้"
เจ๊กหลีมองท่าทางสารภีอย่างประเมิน เห็นว่าสารภีอยากได้จริงๆ
"อั๊วทำได้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะเอาแบบได้ผลชะงัด เริงรักกันจนลืมวันลืมคืน ลื้อก็ต้องจ่ายแพงหน่อย"
สารภีเปิดกระเป๋า หยิบเงินเพิ่มวางทับลงไปเงินที่จ่ายไปแล้ว
"แพงเท่าไรฉันก็ยอม"
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดอกซ่อนชู้ ตอนที่ 13 (ต่อ)
สร้อยทองดื่มยาบำรุงสุขภาพ แล้วส่งแก้วให้ศรีเก็บ
"พวกข้างล่างจัดเตรียมงานพร้อมหรือยัง"
"เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณลำเจียกก็เพิ่งลงครัวไปดูเรื่องอาหารเลี้ยงแขก"
สร้อยทองพยักหน้า แล้วทำท่าจะเอนหลัง
"คุณก็แต่งตัวเถอะค่ะ อีกประเดี๋ยวแขกก็คงจะมากันแล้ว"
สร้อยทองสีหน้าเจ็บช้ำ
"ถ้าฉันไม่ลงไปก็คงไม่เป็นไร เพราะยังไงงานนี้ก็เป็นงานของแม่ดอกแก้ว ไม่ใช่งานของฉัน"
"โถ คุณขา" ศรีจับมือสร้อยทองอย่างเห็นใจ "คุณอุตส่าห์เชิญหม่อมดุจเดือนกับคุณหญิงรัศมีดารามา จะปล่อยให้เธอยืนเก้อในงานได้หรือคะ"
สร้อยทองนิ่งไป นึกได้ว่าตั้งใจจะให้เทพไทกับรัศมีดาราใกล้ชิดกัน
"จริงสิ หม่อมกับคุณหญิงจะมา ฉันมีภารกิจต้องทำนี่นะ"
ดอกแก้วยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดูแขกเหรื่อที่ทยอยกันเข้ามาที่บ้านด้วยสีหน้าเฉยๆ
เอี้ยงถือเสื้อผ้าสองชุดที่ใส่ไม้แขวนไว้ มาให้ดอกแก้วเลือก
"คุณดอกแก้วจะเลือกชุดไหนดีคะ เดี๋ยวจะได้แต่งตัวลงไปข้างล่างกัน"
"เอาชุดไหนก็ได้ เอื้ยงหยิบมาเถอะ"
ดอกแก้วหันมามองเสื้อผ้าด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย จนเอี้ยงเห็นใจ
"วันนี้เป็นวันที่คุณต้องทำหน้าที่ภรรยาเคียงข้างคุณหลวงท่าน ทำหน้าเศร้าอย่างนี้ไม่สวยเลยค่ะ"
ดอกแก้วได้สติ เศร้าหนักกว่าเดิม
"นี่คือละครฉากแรกที่ฉันต้องแสดงในฐานะภรรยาของคุณหลวงปกรณ์ราชกิจใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ ถึงเวลาที่คุณดอกแก้วต้องร่วมแสดงไปกับคุณสร้อยทองและคุณลำเจียกแล้ว"
ดอกแก้วสลดใจ เมื่อนึกว่า...ไม่มีใครเลยที่มีความสุขอย่างแท้จริงในฐานะนี้
แต่เมื่อเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ ดอกแก้วฝืนยิ้ม เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการออกไปสู่ละครฉากใหญ่
เทพไทนั่งเศร้าซึม ดูรูปถ่ายของดอกแก้วที่ถ่ายเอาไว้ นึกถึงความหลังเมื่อครั้งอยู่ที่บ้านแพ้ว...
ดอกแก้วเงยหน้าเอียงอาย ก้มหลบ
"ถ่ายไปทำไมกันจ้ะ คนบ้านนอก ไม่สวยไม่งามหรอก"
"สวยสิครับ สวยมากด้วย สวยที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา"
ดอกแก้วหน้าร้อนวาบ รีบหลบหน้าหลบตา
"ขอโทษนะครับที่ถ่ายรูปคุณโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน"
"ไม่ต้องขอโทษหรอกจ้ะ แล้วก็ไม่ต้องขอด้วย ฉันก็แค่แม่ค้าคนหนึ่งในตลาดน้ำนี้ เป็นเหมือนเรือ เหมือนสายน้ำ ไม่ได้สำคัญเลย แม้แต่น้อย"
เทพไทช่วยดอกแก้วขึ้นมาจากน้ำ แล้วพยายามช่วยชีวิต, ดอกแก้วกับเทพไทเดินคุยกันที่ริมแม่น้ำ หวานชื่น, เทพไทช่วยดอกแก้วขายของที่งานวัด
เทพไทเศร้าใจ เอามือลูบภาพของดอกแก้วอย่างอาลัยอาวรณ์
"วันนี้แล้วสินะ ที่ใครๆ จะจำคุณในฐานะภริยาอีกคนของหลวงปกรณ์ราชกิจ ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องปล่อยมือจากคุณเสียที ดอกแก้ว"
เทพไทมองรูปเศร้าสลด แต่เสียงเปิดประตูดังขึ้นเลยสะดุ้ง รีบเก็บรูปดอกแก้วไว้ใต้หมอน
สร้อยทองแต่งตัวเสร็จแล้วเดินเข้ามาพอดี ศรีเดินตามมา
"ยังไม่แต่งตัวอีกหรือพ่อเทพ"
เทพไทยิ้ม กลบเกลื่อน
"กำลังจะแต่งครับคุณแม่"
"เร็วๆ เข้าเถอะลูก เดี๋ยวคุณน้าดุจเดือนกับคุณหญิงรัศมีมาแล้วไม่เจอใคร เธอจะว่าเอาว่าเราไม่ต้อนรับ มาเดี๋ยวแม่ช่วย"
สร้อยทองพยักหน้าให้ศรีไปเอาเสื้อผ้าของเทพไทมา
ช่วงเย็น ที่สนามหน้าบ้านนพรัตน์คึกคักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแขกเหรื่อมากันเต็ม จับกลุ่มยืนพูดคุยกัน บ่าวไพร่ในบ้านเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มต้อนรับแขกไปทั่วบริเวณ
อีกมุมหนึ่งด้านหน้า หลวงปกรณ์ยืนต้อนรับ ทักทายแขกที่มาใหม่ สร้อยทองพาเทพไทตามมาสมทบ หลวงปกรณ์ไม่สนใจ แต่เอ่ยปากถามถึงดอกแก้ว
"ดอกแก้วหล่ะ ยังไม่ลงมากันอีกหรือ"
สร้อยทองสีหน้าน้อยใจ
สร้อยทองเสียงแข็งขึ้นนิดๆ
"แม่ดอกแก้ว น้องก็ยังไม่เห็นเหมือนกันคะ"
"จะให้ผมไปช่วยตามมั้ยครับคุณแม่" เทพไทถาม
"ไม่ต้อง! ฉันจะไปตามดอกแก้วเอง มันเป็นหน้าที่ที่ผัวต้องไปตามเมีย แกรับแขกแทนฉันอยู่ที่นี่หล่ะ"
เทพไทสะอึก หลวงปกรณ์ผละไป อย่างรวดเร็ว สร้อยทองมองตาม หมั่นไส้ที่หลวงปกรณ์จดจ่ออยู่กับดอกแก้ว
สารภีแต่งตัวสวยออกมาจากห้อง เตรียมเข้าไปร่วมงาน โกสุมกับเพิ่มพูนในชุดธรรมดา โกสุมยืนเกาะระเบียงมองไปทางงานเลี้ยง ขณะที่เพิ่มพูนนั่งเอกเขนกอ่านหนังสือพิมพ์
"อ้าว คุณพ่อคุณแม่ จะไปงานทั้งอย่างนี้เหรอคะ อายเขาจะตาย"
"ใครว่าฉันจะไป"
"นั่นน่ะสิ เขาเชิญเราหรือก็เปล่า ... แกอยากจะตากหน้าเข้าไปก็เชิญไปคนเดียวเถอะย่ะ แต่ถ้าโดนไล่ตะเพิดออกมาก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน"
"แต่คุณหลวงให้เงินสารภีไปซื้อเสื้อผ้าแต่งมางาน ถ้าไม่เรียกว่าเชิญแล้วจะเรียกว่าอะไรคะ"
โกสุมสะบัดเสียง
"งั้นเขาก็เชิญแกคนเดียว แต่ไม่เชิญพวกฉัน"
"อย่าถือยศถือเกียรตินักเลยค่ะคุณแม่ ตอนนี้เราอยู่บ้านนี้ ยังไงก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพคนนึง เราต้องไปแสดงตัว"
"ฮึ เป็นเจ้าภาพแต่เนื้อตัวซอมซ่อ เสื้อผ้าดีๆ กับเขาก็ไม่มีแต่ง จ้างให้ฉันก็ไม่โผล่ไปให้อายคน แกจะไปก็ไปเถอะ"
โกสุมเดินไปกระแทกนั่งเก้าอี้ อารมณ์ไม่ดี
"งั้นก็ตามใจละกันค่ะ"
สารภีสะบัดสะบิ้งลงจากเรือนไป
เอี้ยงรอจนดอกแก้วแต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อย จนอยู่ในเสื้อผ้าสวยงามที่เตรียมใส่ออกงาน
หลวงปกรณ์เปิดประตูเข้ามา พอเห็นดอกแก้วแต่งตัวพร้อมแล้วก็ดีใจ พยักหน้าไล่เอี้ยงออกไป
"ทำไมยังไม่ลงไปอีกล่ะดอกแก้ว ฉันก็อยู่"
ดอกแก้วอึกอัก ลังเล พยายามต่อรอ
"แก้ว...แก้วกลัวคนน่ะค่ะ"
หลวงปกรณ์หัวเราะ
"กลัวใคร พวกฝรั่งหรือ"
"ทั้งฝรั่ง ทั้งไทยนั่นแหละค่ะ เขาคงมองแก้วกันแปลกๆ"
หลวงปกรณ์ยิ้มเอ็นดู เชยคางดอกแก้ว
"เขาก็ต้องมองอยู่แล้ว ภรรยาของฉันสวยขนาดนี้ ฉันตื่นเต้นอยากจะอวดใครๆ จะแย่อยู่แล้ว"
"แต่แก้วกลัวว่าจะทำให้คุณหลวงขายหน้า ถ้าแก้วทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป"
"ฉันจะดูแลปกป้องเธอไม่ให้ใครมาหัวเราะเยาะเธอได้ อย่ากลัวไปเลย" คุณหลวงจับมือดอกแก้วมาเกาะที่แขน "ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นหน้าที่ของฉัน ที่จะดูแลทุกข์สุขของเธอไปชั่วชีวิต"
หลวงปกรณ์กุมมือดอกแก้ว ยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะพาดอกแก้วออกจากห้อง
หม่อมดุจเดือนจูงรัศมีดาราเข้ามาทักทายสร้อยทองกับเทพไท
"ขอบพระคุณนะคะหม่อมที่ให้เกียรติมาร่วมงาน"
"งานสำคัญแบบนี้ จะพลาดได้ยังไงล่ะคะ นี่หญิงรัศมีเขาก็ตื่นเต้น อยากมาดูผลงานลูกศิษย์จะแย่"
"คุณดอกแก้วน่ะค่ะ หญิงตื่นเต้นแทน อยากจะให้กำลังใจเธอซักหน่อย ไม่ทราบอยู่ที่ไหน"
"ยังไม่ลงมาเลยครับ"
"พ่อเทพพาน้องไปรับของว่างข้างในงานก่อนเถอะลูก เดี๋ยวจะหิว เชิญตามสบายนะคะ คุณหญิง"
รัศมีดารายกมือไหว้ขอบคุณสร้อยทอง แล้วเดินตามเทพไทเข้างานไป
สร้อยทองกับดุจเดือนมองตามลูกทั้งสอง ยิ้มๆ พอใจที่จัดให้ไปอยู่ด้วยกันได้
"แล้วนี่คุณหลวงกับแม่ลำเจียกก็ยังไม่มาหรือคะ"
"เอ่อ คุณหลวงไปรับแม่ดอกแก้วค่ะ ส่วนแม่ลำเจียกคงดูอาหารการกินในครัว เชิญหม่อมทางนี้ดีกว่าค่ะ"
สร้อยทองพาดุจเดือนแยกไปอีกทาง ไม่ให้ไปขัดจังหวะเด็กๆ
บรรยากาศในครัวก็คึกคัก บ่าวไพร่ตำน้ำพริก เด็ดผัก หั่นเนื้อกันไม่หยุดหย่อน ลำเจียกง่วนอยู่หน้าเตาจนหน้ามันแผล็บ เหงื่อออก หมอนเห็นแล้วสงสาร
"เดี๋ยวบ่าวจัดการต่อเอง คุณลำเจียกไปที่งานเถอะค่ะ คนจะถามหา"
"ไม่เป็นไรหรอก ช่วยๆ กันจะได้เสร็จพร้อมกัน แขกคงจะหิวกันแล้ว"
"ใช่ ! หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว"
ทุกคนในโรงครัวชะงัก หันไปมองพร้อมกัน เห็นโกสุมเดินเข้ามา
"นังพิศ ! มาสุมหัวอยู่ที่นี่เอง ไม่รู้จักหน้าที่เลยนะ ปล่อยให้ฉันกับคุณเพิ่มพูนหิ้วท้องได้เป็นนานสองนาน"
พิศสะบัดหน้าไปทางศรี แล้วถือโอกาสฟ้อง
"พิศปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ งานล้นมือไปหมด"
"หน้าที่เธอหรือถึงมาทำครัว ก็ไหนเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้มาเหยียบเขตแดนเขายังไงล่ะ" โกสุมว่า
พลางปรายตามองเย้ยลำเจียก ศรีทนไม่ไหว
"อิฉันเป็นคนเรียกให้นังพิศมันมาช่วยเอง เพราะคนไม่พอ"
"โอ๊ย ลิ้นจระเข้อย่างนังพิศมันจะช่วยอะไรได้ เดี๋ยวกับข้าวเขาหมดอร่อยกันพอดี งานเลี้ยงต้อนรับเมียคนใหม่ของคุณหลวงแบบนี้ ก็ให้เมียเก่าเขาทำเองซิ กินรสชาติเดียวกัน ก็น่าจะรู้ว่ารสไหนที่มันถูกปาก"
โกสุมพูดจบ ลำเจียกก็เอาทัพพีตักน้ำสาดโครม โกสุมตกใจร้องวี๊ดว้ายกระโดดหนี
"รำคาญเสียงหมาเห่าในครัวจริงๆ เลย เอาไม้ตีไล่มันไปซิ นังอึ่ง ปล่อยให้มันเห่าหอนอยู่ได้ เดี๋ยวน้ำลายก็หกลงกับข้าวคนหมด ถ้ามันหิวมากนักก็หากระดูกให้มันแทะ"
โกสุมยัวะ รู้ว่าลำเจียกว่าเหน็บ อึ่งยิ้มเย้ย
"ค่า คุณลำเจียก เอาไปเอ้า"
อึ่งหยิบกระดูกหมูชิ้นใหญ่ที่เพิ่งเลาะเนื้อเสร็จ โยนใส่โกสุมทันที
"อีอึ่ง !"
"อุ๊ย ลืมไปว่ามีอยู่สองตัว" แล้วอึ่งก็โยนกระดูกไปอีกชิ้ " เอ้า เผื่อมันจะคาบกับไปฝากไอ้ตัวผู้ด้วย"
โกสุมร้องกรี๊ด ตรงเข้ามาจะตบอึ่ง หมอนกับศรีตกใจรีบคว้าตัวไว้
"อย่านะคะคุณ นังพิศ ! มาช่วยกันสิ"
พิศถือโอกาสทิ้งงานวิ่งถลามา รีบพาโกสุมออกไป โกสุมดิ้นอยากจะเข้าไปถีบ อึ่งลอยหน้าลอยตา
เทพไทยืนคุยกับรัศมีดาราอยู่ที่มุมหนึ่ง ซักพัก...รัศมีดาราหันไปเห็นดอกแก้ว ทำเสียงตื่นเต้น
"คุณดอกแก้วมาแล้วล่ะค่ะ"
เทพไทหันไปมองตาม หลวงปกรณ์ควงคู่มากับดอกแก้ว ท่ามกลางสายตาของแขกที่มองอย่างชื่นชม
หลวงปกรณ์ดูปลาบปลื้มใจ ที่ได้อยู่เคียงข้างดอกแก้ว แล้วพาไปแนะนำตัวกับแขกผู้ใหญ่
ดอกแก้วไหว้คุณพระกับภรรยาอย่างเรียบร้อย พอหลวงปกรณ์หันไปแนะนำดอกแก้ว
กับแขกฝรั่ง ดอกแก้วก็ทักทายแล้วยื่นมือให้จับอย่างถูกธรรมเนียมเช่นกัน
รัศมีดารามองชื่นชม
"ลูกศิษย์รัศมีเรียนรู้เร็ว น่าปลื้มใจจริงๆ"
หลวงปกรณ์พาดอกแก้วเดินทักทายแขกเหรื่อ โดยมีดอกแก้วเกาะแขนไม่ห่าง เทพไทมองแล้วรู้สึกเจ็บใจ
เทพไทประชด
"ใช่ครับ คุณดอกแก้วเธอเป็นงาน"
รัศมีดารายังไม่รู้ว่าเทพไทหึงหวง เทพไทกระดกเครื่องดื่มในมือจนหมดแก้ว
"เครื่องดื่มคุณเทพหมดแล้ว เดี๋ยวรัศมีไปเอาให้นะคะ"
รัศมีดาราแยกไป ขณะที่สายตาเทพไทยังคงมองตามดอกแก้วไปตลอดทาง
อีกมุมหนึ่งสารภีเดินเข้ามา เห็นสายตาเทพไทก็เจ็บช้ำ หึงหวง ชะงัก ไม่พอใจ
แขกเหรื่อจับกลุ่มรวมตัวกันที่สนาม พิธีกรยืนอยู่กลางวง
"และในช่วงนี้ ผมต้องขอกราบเรียนเชิญ คุณหลวงปกรณ์ราชกิจ ท่านเจ้าภาพของงานและภริยาให้เกียรติเป็นเจ้าภาพเปิดฟลอร์เต้นรำด้วยครับ"
พิธีกรปรบมือนำแขกเหรื่อ แล้วถอยตัวกลับไปอยู่ด้านข้าง
วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงจังหวะเร็วๆ หลวงปกรณ์หันไปหาดอกแก้ว
"เต้นรำกับฉันนะดอกแก้ว เธอเต้นเป็นใช่ไหม"
ดอกแก้วประหม่า
"แก้ว...เอ่อ"
"ไม่ต้องกลัว ฉันจะนำเธอเอง เราจะเต้นไปด้วยกัน"
หลวงปกรณ์จับมือดอกแก้วแล้วโค้ง ก่อนจะพาออกไปเต้นรำ ท่ามกลางเสียงปรบมือ
ดอกแก้วเกาะเอวหลวงปกรณ์ พยายามเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง แต่สีหน้าดูตื่นเต้น เกร็งๆ ขณะที่หลวงปกรณ์วาดลวดลายคล่องแคล่วกว่า
"มองหน้าฉันสิ อย่าใจลอย"
ดอกแก้วจำต้องเงยหน้ามองหลวงปกรณ์ พยายามตั้งสติ นึกถึงคำของรัศมีดารา
วันนั้น... รัศมีดาราเข้ามาจับคู่ให้ดอกแก้วเต้นกับเทพไท
"การก้าวเท้าใช้การก้าวเท้าไปข้างหน้าและการถอยเท้าไปข้างหลังฝ่าเท้าถึงพื้นก่อนวางราบลงเต็มเท้า เท้าที่รับน้ำหนักตัว เข่าจะเหยียดตึง เท้าที่กำลังก้าวเข่าจะงอสลับกันไปมาสะโพกบิดอย่างเป็นธรรมชาติ และสวยงามจากการถ่ายน้ำหนักลงที่เท้า ศีรษะตรง ลำตัวนิ่ง"
ดอกแก้วก้มหน้ามองเท้าตัวเอง พยายามนึกถึงคำสอนของรัศมีดาราแล้วเต้นไปตามสเต็ป จนเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น
"ดีมากดอกแก้ว"
ดอกแก้วชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง คู่เต้นของดอกแก้วกลายเป็นเทพไทไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ดอกแก้วตะลึง
"เธอเต้นได้ดีแล้ว อย่ากลัวไปเลย"
ดอกแก้วค่อยๆ คลายความกังวลลง เต้นไปตามจังหวะ แล้วมองหน้าเทพไทไปด้วยเหมือนก้าวเข้าสู่ความฝันไปชั่วขณะ จนมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า
ดอกแก้วเต้นรำอย่างมีความสุขมากขึ้น พร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ เพราะเผลอไผลคิดไปว่าคู่เต้นเป็น
เทพไท จนกระทั่งเสียงหลวงปกรณ์ดัง
"ยิ้มอะไรหรือดอกแก้ว"
ดอกแก้วสะดุ้ง ภาพเทพไทตรงหน้าเลือนหายไปเป็นหลวงปกรณ์ เหมือนฝันสลาย ดอกแก้วชะงัก ปรับสีหน้าไม่ทัน
"ฉันถามว่ายิ้มอะไรรึ"
"เอ่อ ปะ เปล่าค่ะ"
ดอกแก้วก้มหน้างุด แต่ยังเต้นรำกับหลวงปกรณ์ต่อ ไม่กล้าสบตาแล้ว อารมณ์รื่นเริงหายวับไปทันที
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดอกซ่อนชู้ ตอนที่ 13 (ต่อ)
แขกเหรื่อบางคู่ทยอยเข้าไปร่วมเต้นด้วย สร้อยทองยืนอยู่กับดุจเดือน ใกล้ๆ กับแขกอีกกลุ่มที่ยังมองคู่หลวงปกรณ์เต้นอยู่
แขก1บอก "แหม สเต็ปคุณหลวงแกยังปรู๊ดปร๊าดอยู่เลยนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะอายุมากแล้ว"
แขก2 บอก "อ้าว มีเมียสาวนี่คะ ก็ต้องทำตัวย้อนวัยหน่อย จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นผัวคราวพ่อ"
แขก1บอก "แหม ก็หลอกได้แต่ตัวเองเท่านั้นแหละ ใครๆ ก็ดูออกทั้งนั้นว่าไม่สมกันซักนิด วัยต่างกันคนละรุ่น นี่อุตส่าห์จัดงานเลี้ยงอวดแขกฝรั่งมังค่า คงนึกว่าโก้ แต่เขาก็คงจะขำกันไปเท่านั้นว่าแก่แล้วยังไม่เจียมสังขาร"
แขกหัวเราะต่อกระซิกกัน โดยไม่รู้ว่าสร้อยทองมองอยู่ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
สร้อยทองถอนสายตากลับมาก็เห็นดุจเดือนหน้าแหยๆ เหมือนสงสาร สร้อยทองอับอายแทน
"หม่อมอยู่ตรงนี้ซักครู่นะคะ ฉันจะไปดูความเรียบร้อยในครัวซักประเดี๋ยว"
สร้อยทองเดินข่มอารมณ์จากไป อีกด้านหนึ่งในงาน เทพไทยืนอยู่กับรัศมีดารา แต่ไม่สนใจรัศมีดาราเลย มัวแต่มองไปที่ดอกแก้วเต้นรำกับพ่อ
รัศมีดารามองตามสายตาเทพไท
"พี่เทพไทอยากเต้นรำเหรอคะ เห็นมองไม่วางตาเลย"
เทพไทได้สติ หันมองหน้ารัศมีดาราแล้วฝืนยิ้ม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
"อยากเหมือนกันครับ คุณหญิงรัศมีพอจะให้เกียรติผมซักเพลงได้ไหม"
รัศมีดารายิ้มเอียงอาย แต่ก็ยื่นมือให้เทพไทควงเข้าไปในฟลอร์
เทพไทจูงรัศมีดาราไป หมายจะเข้าไปใกล้คู่ของดอกแก้วกับหลวงปกรณ์มากที่สุด
ดนตรีคึกคักเมื่อซักครู่เปลี่ยนจังหวะเป็นโสลว์ หวานซึ้ง
อีกมุมสารภีเดินตามหาเทพไทมา แล้วมองไปเห็นเทพไทกำลังประคองกอดกับรัศมีดาราอยู่กลางฟลอร์
"นังรัศมีดารา"
ลำเจียกนั่งเหม่ออยู่ในเรือนครัว เห็นบ่าวไพร่บางตาเพราะทำอะไรเสร็จแล้ว สร้อยทองเดินเข้ามาหา
"แม่ลำเจียก"
ลำเจียกหันไปมองสร้อยทอง แล้วตอบเมินๆ อย่างน้อยใจ
"งานเริ่มแล้วใช่ไหมคะคุณพี่ คุณหลวงคงมีความสุขมากสินะคะ"
สร้อยทองรู้ว่าลำเจียกงอนหลวงปกรณ์ ก็ทำเป็นเอาใจ
"คุณหลวงคงมีความสุขกว่านี้ ถ้ามีเมียออกงานครบทั้งสามคน"
"เจ้าของงานเขาไม่อยากให้น้องออกไป เขาแค่อยากให้น้องทำหน้าที่แม่ครัวเฉยๆ"
"อย่าคิดมากเลยแม่ลำเจียก"
"ฮึ ควงเมียใหม่ทั่วบ้าน จนลืมไปแล้วว่าเมียอีกคนวุ่นวายอยู่ในครัว ไม่ต่างอะไรกับคนรับใช้"
ลำเจียกตัดพ้อ น้ำตาปริ่มๆ สร้อยทองมองสาสมใจอยู่ลึกๆ แต่ก็จี้ใจดำอีก
"เอาเถอะน่า หล่อนเองก็เคยมีงานอย่างนี้มาแล้ว ใช่ว่าคุณพี่จะไม่เคยจัดการให้ซะเมื่อไร ทีนี้ก็เป็นคราวของแม่ดอกแก้วบ้าง"
"น้องนับถือน้ำใจคุณพี่จริงๆ ที่ทนได้ เพราะน้องทำไม่ได้จริงๆ แต่ก็นั่นแหละ มันคงเป็นเวรกรรมของน้องเองที่เหยียบย่ำหัวใจของคุณพี่มาก่อน ใช่ไหมคะ"
สร้อยทองทำเป็นแตะมือลำเจียก ปลอบใจ แต่ยิ้มด้วยตาลึกๆ
ที่ฟลอร์เต้นรำ ดอกแก้วกับหลวงปกรณ์เต้นรำคู่กันจนเพลงใกล้จบ ไม่ทันสังเกตว่าเทพไทเข้ามาเต้นอยู่ใกล้ๆ จนจังหวะเพลงเปลี่ยนจำต้องเต้นสลับคู่ต่างฝ่ายต่างไม่ทันตั้งตัว กลายเป็นเทพไทมาคู่กับดอกแก้ว ทั้งสองตะลึงงัน หลวงปกรณ์ก็เลยมาจับคู่กับรัศมีดารา
หลวงปกรณ์เมื่อเห็นดอกแก้วคู่เทพไทก็ไม่พอใจจะผลักตัวออก แต่รัศมีดาราดึงไว้
"ปล่อยให้ครูกับลูกศิษย์เขาเต้นกันหน่อยเถอะคะ นี่ถ้าไม่ได้พี่เทพมาช่วยรัศมีสอนคุณดอกแก้วเต้นรำละก็ วันนี้คุณดอกแก้วต้องเต้นรำกับคุณลุงไม่ได้แน่ๆเลยนะคะ"
หลวงปกรณ์พูดไม่ออกเลย แต่เหมือนกับว่าคู่ของคุณหลวงกับรัศมีดารายิ่งเต้นรำกลับเริ่มห่างจากคู่เทพไทและดอกแก้วขึ้นเรื่อยๆ
เทพไทบอก
"ไงครับคุณดอกแก้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าจะไม่เคยเต้นรำมาก่อน หัดแค่วันเดียวยังเท่าไฟขนาดนี้"
ดอกแก้วมองหน้าเทพไทเจื่อนๆ รู้ว่าถูกเหน็บ
ฝั่งหลวงปกรณ์พยายามมองทางเทพไทและดอกแก้วอย่างกังวล รัศมีดาราจึงทัก
"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคะ ดูสิคะ คนมองคู่นั้นทั้งงานเพราะได้คู่เต้นที่ดีด้วยมั้งคะ คุณดอกแก้วก็เลยทำได้ดี"
หลวงปกรณ์ราชกิจพูดไม่ออก เทพไทดึงดอกแก้วเข้ามาจับมือไว้แน่น ทั้งสะใจและสมใจ
เทพไทกระซิบ
"ผมอาจจะไม่เต้นเก่งเท่าคุณพ่อ แต่ก็เคยทำให้คุณเพลิดเพลินมาแล้ว จำได้หรือเปล่า"
ดอกแก้ววาบหวามเมื่อเห็นสายตาเทพไท ไม่กล้าสู้หน้า แต่ยังคงเต้นรำต่อไป เขาถือโอกาสค่อยๆ ชิ่งพาดอกแก้วห่างจากหลวงปกรณ์ไปเรื่อยๆ หลวงปกรณ์รู้สึกหวง แทบจะไม่สนใจคู่เต้นอย่างรัศมีดาราเลย
"คุณลุงเหนื่อยหรือเปล่าคะ ถ้าอยากพักเรากลับไปนั่งกันก่อนก็ได้ค่ะ ปล่อยเขาสองคนให้สนุกกันต่อไป"
หลวงปกรณ์ได้สติว่าไม่สนใจรัศมีดารา รีบถอนสายตากลับมา
"เปล่าจ้ะ ลุงยังไหว แต่ห่วงว่าดอกแก้วจะทำเปิ่นเต้นเหยียบเท้าตาเทพเท่านั้นเอง" คุณหลวงหัวเราะกลบเกลื่อน
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณลุง คุณเทพกับคุณดอกแก้วเธอซ้อมเต้นด้วยกันมา เข้าขาเชียวค่ะ"
รัศมีดาราเล่าอย่างไม่คิดอะไร แต่ทำให้หลวงปกรณ์สีหน้าเจื่อนไปทันที ยิ่งหันไปมองเทพไทอย่างระแวง แต่ทั้งคู่ก็อยู่ไกลจนเข้าไปขัดจังหวะไม่ได้แล้ว
สารภีเดินวนมองหาเทพไทอย่างไม่ยอมแพ้ จนเห็นเทพไทจับคู่อยู่กับดอกแก้ว
"พี่เทพ ! นี่เปลี่ยนคู่อีกแล้วเหรอ"
สารภีเดือดดาลอยากจะเข้าไปขัดจังหวะ เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูงกันออกจากฟลอร์ ก็เข้าไปดึงผู้ชายมาหน้าตาเฉย
"ขอยืมคู่เต้นเดี๋ยวนะคะคุณ"
หญิงชายงงๆ มองหน้าสารภี สารภีไม่สนใจ จูงชายกลับเข้าไปเต้นในฟลอร์ แล้วพยายามเข้าใกล้เทพไท ชายตั้งตัวไม่ติดเมื่อถูกสารภีลากไป
กลางฟลอร์ ดอกแก้วกับเทพไทเต้นรำใกล้ชิดกัน เหมือนห่างจากคนอื่นๆ ออกมาราวกับอยู่กันในโลกใบเล็กๆ ของทั้งคู่
เทพไทมองดอกแก้วด้วยแววตาซึ้ง แต่ดอกแก้วก้มหน้าไม่มอง
"เวลาเต้นคุณควรจะมองหน้าคู่เต้น ผมเคยสอนแล้วไม่ใช่เหรอ"
เทพไทเชยคางดอกแก้วขึ้น ดอกแก้วตกใจ รีบเอามือปัด
"อย่าทำอย่างนี้ค่ะคุณเทพ"
"คุณพ่อไม่เห็นหรอกน่า"
"ถึงใครไม่เห็น คุณก็ไม่ควรจะทำแบบนี้ เพราะฉันมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของคุณ ให้เกียรติฉันด้วย"
เทพไทหัวเราะ
"ในฟลอร์เต้นรำมันมีแค่เรื่องของผู้ชายกับผู้หญิงที่เป็นคู่เต้นกัน จะอยู่ในฐานะอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าคุณอยากให้ผมให้เกียรติ คุณควรจะให้เกียรติผมด้วย อย่าทำเหมือนรังเกียจที่ต้องเต้นกับผม"
เทพไทกระชับมือ และโอบเอวดอกแก้วแน่นขึ้น
ดอกแก้วดิ้นไม่หลุด จำต้องปล่อยให้เทพไทประคองเต้นต่อไป
อีกมุมหนึ่งเห็นสารภีเต้นอยู่กับชายคู่เต้น พยายามจะตรงเข้ามาหาเทพไท จนไม่สนใจคู่เต้น เลยเผลอเหยียบเท้า
"โอ๊ย เจ็บนะคุณ เหยียบเท้าอยู่ได้ ผมไม่เต้นกับคุณแล้ว"
"นี่ เดี๋ยวก่อนสิ"
ชายเดินหนีสารภีออกไปหาแฟนตัวเอง สารภียืนคว้าง เจ็บใจ แต่ก็ไม่กล้าลุยเดี่ยวไปหาเทพไท เลยต้องกระแทกเท้าเดินตามออกมา
เพลงเต้นรำเพลงสุดท้ายดำเนินมาถึงตอนจบ พร้อมกับเสียงปรบมือของทุกคน ก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไป
เทพไทเดินกลับมาที่รัศมีดาราพร้อมกับดอกแก้ว
"คุณพ่อไปไหนแล้วล่ะครับ ผมพาคู่เต้นมาส่งคืน"
"คุณลุงคุยกับแขกอยู่ทางด้านโน้นน่ะค่ะ" รัศมีดาราบอก
รัศมีดาราพูดพลางนั่งลง หยิบพัดในมือออกมาโบก เทพไททำเป็นเอาใจ หาเก้าอี้ให้นั่ง
"คุณรัศมีคงจะเหนื่อย นั่งก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเอาเครื่องดื่มมาให้"
"ขอบคุณค่ะ"
เทพไทจะไปแล้วนึกได้ หันมาหาดอกแก้วแบบยั่วๆ
"ผมทราบแต่เครื่องดื่มที่คุณรัศมีชอบ ส่วนของคุณดอกแก้ว ผมเดาใจไม่ถูก คงต้องรอให้คุณพ่อมาจัดการนะครับ"
เทพไทยิ้มเยาะแล้วเดินจากไป ดอกแก้วหน้าตึง น้อยใจที่เทพไทใจดำใส่
เทพไทเดินออกมาที่บริเวณโต๊ะอาหาร ตักเครื่องดื่มใส่แก้วให้ตัวเองกับรัศมีดารา สารภีตามมา
"เจ๊กลากไปไทยลากมาจนหมดเรี่ยวหมดแรงเลยเหรอคะพี่เทพ"
"เธอหมายถึงอะไรสารภี"
"ก็สารภีเห็นพี่เทพไปเป็นคู่เต้นให้คนนั้นทีคนนี้ที อย่างว่าล่ะนะคะ งานแบบนี้ พวกผู้หญิงหน้าด้านก็คงรอโอกาสอยู่แล้วที่จะได้เข้าถึงตัวพี่เทพ โดยที่ไม่มีใครครหาได้
"เหมือนที่เธอเข้ามายืนพูดกับพี่อยู่ตอนนี้หรือเปล่า"
สารภีตกใจ "พี่เทพ"
"อย่าเอาความคิดของตัวเองมาดูถูกคนอื่นแบบนี้อีก สารภี เพราะมันไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นเลยซักนิด มีแต่จะยิ่งแย่ลง"
สารภีโกรธ
"สารภีจะไปฟ้องคุณลุงคุณป้า ว่าพี่เทพหาว่าสารภีหน้าด้าน"
"เธอพูดของเธอเองนะ เหมือนที่เธอพยายามจะใส่ความคุณหญิงรัศมีดารากับคุณดอกแก้วว่าหน้าด้าน เพราะความอิจฉาริษยา"
สารภีอึ้ง ที่โดนเทพไทตอกกลับ
"และไอ้ความคิดแบบนี้แหละ ที่ทำให้พี่ไม่สามารถคิดกับเธออย่างที่เธออยากให้คิดได้ เพราะพี่รังเกียจ"
"พี่เทพ"
เทพไทถือแก้วเครื่องดื่มเดินหนีสารภีไปอย่างรวดเร็ว สารภีแค้นจัด
ดึกมากแล้ว หลวงปกรณ์ยืนส่งแขกเหรื่อที่ทยอยกันลากลับ สร้อยทองเดินคุยกับดุจเดือนและรัศมีดาราออกมา
"หม่อมกับคุณหญิงรัศมีจะกลับแล้วค่ะคุณพี่ อิฉันสั่งให้นายเชิดเอารถไปส่งที่วัง"
"ลานะคะ คุณหลวง"
ดุจเดือนกับรัศมีดาราไหว้ลา แล้วตาเชิดไปขึ้นรถที่จอดรออยู่
สร้อยทองยืนส่งแขกที่เป็นเพื่อนหลวงปกรณ์ ซักพักแขกผู้ใหญ่ระดับรัฐบาลก็พาทูตฝรั่งมา
ลากลับ จับไม้จับมือกับหลวงปกรณ์
หลวงปกรณ์ยื่นมือให้จับแล้วสัมผัสได้ว่ามีกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ทูตฝรั่งพับยัดใส่มือมาตอนจับมือกันด้วย หลวงปกรณ์ชะงัก แต่พยายามไม่แสดงพิรุธ
แขกผู้ใหญ่ที่ตามออกมากระซิบบอกหลวงปกรณ์
"ท่านทูตได้โทรเลขด่วนจากฝั่งสัมพันธมิตรคงจะเป็นเรื่องสงครามทางยุโรป"
หลวงปกรณ์พยักหน้ารับรู้ กระซิบตอบ
"คืนนี้ผมจะรีบแปลแล้วให้คนเอาเนื้อความไปส่งท่านคุณพระที่จวนนะครับ"
แขกผู้ใหญ่พยักหน้า ทำทีตบไหล่ลาหลวงปกรณ์แล้วออกไปพร้อมกับคณะ
"แม่สร้อย ไปตามตาเทพมาหาฉันที"
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดอกซ่อนชู้ ตอนที่ 13 (ต่อ)
เทพไทเดินเข้ามาหาหลวงปกรณ์ทื่ยืนหลบมุมรออยู่หน้าบ้าน ท่าทางร้อนใจ ในใจเทพไทคิดว่าหลวงปกรณ์คงจะเรียกมาต่อว่าเรื่องเต้นรำดอกแก้ว
"คุณพ่อมีอะไรกับผมรึเปล่าครับ ถ้าเป็นเรื่องคุณดอกแก้ว"
หลวงปกรณ์รีบยื่นกระดาษที่ได้รับจากทูตฝรั่งให้
"แกช่วยแปลภาษาฝรั่งให้ฉันหน่อย รู้สึกจะเป็นโทรเลขเกี่ยวกับการสงคราม"
อีกมุมหนึ่ง สารภีเดินออกมาจากมุมบ้าน เห็นเทพไทยืนคุยกับหลวงปกรณ์อยู่ก็แอบมอง
ว่าคุยอะไรกัน
เทพไทตกใจจึงอ่านเร็วๆ แล้วพับเก็บ "ครับ"
"รอเช้าจะไม่ทันการณ์ พรุ่งนี้ฉันต้องรีบไปหาคุณพระนิวัติแต่เช้า เเกทำให้เสร็จซะคืนนี้เลยนะ"
"งั้นเดี๋ยวแม่ให้คนเอาน้ำขิงขึ้นไปให้จิบ จะได้ตาสว่างนะลูก"
"ครับ"
เทพไทพับโทรเลขใส่กระเป๋าแล้วเดินเข้าบ้าน หลวงปกรณ์กับสร้อยทองแยกไปอีกทาง
สารภีโผล่หน้ามองตาม นึกถึงที่สร้อยทองพูดนิ่งคิดแล้วยิ้มร้าย
สารภียืนรอ กระวนกระวายอยู่ อึดใจเดียวพิศก็ถือแก้วน้ำขิงร้อนๆ มีฝาปิดมาให้
"มาแล้วค่า น้ำขิงร้อนๆ ของคุณสารภี"
"แกบอกใครหรือเปล่าว่าฉันขอ"
"เปล่าค่ะ ว่าแต่ทำไมต้องหลบซ่อนๆ ด้วยล่ะคะ"
"ช่างฉันเหอะน่า แกมีอะไรก็ไปทำไป๊ ฉันจะกลับเรือน"
สารภีเดินหนีไป พิศงง แต่ก็ไม่ติดใจอะไร
สารภีเดินหลบมายังมุมที่ไม่มีใครเห็น รีบเปิดกระเป๋าหยิบห่อยาจากเจ๊กหลีออกมา แล้วก็เทใส่แก้วน้ำขิงด้วยสีหน้าร้ายกาจ
"วันนี้แหละพี่เทพต้องเป็นของฉัน"
ดอกแก้วเดินอยู่ที่สนามงานเลี้ยงที่ร้างคน เห็นแต่คนงานเก็บข้าวของ แต่ใจดอกแก้วลอยนึกถึงความใกล้ชิดกับเทพไทในตอนเต้นรำ
ดอกแก้วกับเทพไทเต้นรำใกล้ชิดสนิทแนบกันมาก ดอกแก้วเผลอเอามือลูบเอวที่ถูกเทพไทโอบ อด รู้สึกตราตรึงกับสัมผัสนั้นไม่หาย จนกระทั่งหลวงปกรณ์เดินเข้ามา
"ง่วงหรือยังดอกแก้ว ฉันจะไปส่งที่เรือน"
ดอกแก้วอึกอัก ไม่อยากอยู่ตามลำพังกับหลวงปกรณ์ กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ
"คุณพี่คะ !
ดอกแก้วโล่งใจที่สร้อยทองเข้ามาขัดจังหวะพอดี
"คุณพี่น่าจะไปดูแม่ลำเจียกซักหน่อย"
"แม่ลำเจียกเป็นอะไรอีกหรือ"
"ก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่น้อยใจ วันนี้ทั้งวันหมกอยู่แต่ในครัว"
หลวงปกรณ์เริ่มรำคาญ
"ใครมีหน้าที่อะไรก็รู้กันอยู่แล้วทั้งนั้น"
"แม่ลำเจียกอุตส่าห์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำอาหารทั้งวี่ทั้งวัน เธอก็คงอยากได้ความสำคัญบ้างกระมังคะ"
อึ่งช่วยเก็บของผ่านมาได้ยินสร้อยทองพูดพอดี ก็หยุดฟังห่างๆ
"เอาๆ เดี๋ยวฉันจะไป ขอไปส่งดอกแก้วก่อน"
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณหลวงไปดูคุณลำเจียกเถอะค่ะ แก้วกลับไปกับเอี้ยงได้"
ดอกแก้วพยักเพยิดไปทางเอี้ยงที่ช่วยบ่าวเก็บของอยู่
"งั้นก็ตามใจ"
อึ่งแอบมองยิ้มพอใจที่หลวงปกรณ์จะไปหาลำเจียก รีบวิ่งล่วงหน้าไปก่อน
"แต่ขอฉันขึ้นไปตรวจงานกับพ่อเทพก่อน แม่สร้อยวานให้แม่ศรีเอาน้ำขิงขึ้นไปให้ฉันอีกซักแก้วนะ"
หลวงปกรณ์สั่งแล้วเดินขึ้นตึกไป ดอกแก้วค้อมตัวให้สร้อยทองแล้วรีบเดินไปหาเอี้ยง
ฝ่ายลำเจียกนั่งซึมกระทืออยู่ในห้อง หน้าหมองเศร้า อึ่งวิ่งโครมครามขึ้นมา จนลืมเคาะประตู
"คุณลำเจียกเจ้าขา"
"นังอึ่ง ! ที่นี่ไม่ใช่ท้องนาบ้านเอ็ง จะโหวกเหวกหาสวรรค์วิมานอะไร"
อึ่งรีบยกมือไหว้
"ขอโทษเจ้าค่ะ อึ่งลืมตัว มัวแต่ดีใจแทนคุณ"
"ดีใจเรื่องอะไรอีกล่ะ"
"ก็คุณหลวงกำลังจะขึ้นมาหาคุณลำเจียกน่ะสิเจ้าค่ะ รีบล้างหน้าล้างตา ปะพรมน้ำอบเถอะเจ้าค่ะ แล้วก็ทำหน้าทำตาให้แจ่มใสหน่อย คุณหลวงท่านคงจะมาตบรางวัลคุณลำเจียกแน่เจ้าค่ะ"
ลำเจียกได้ฟังก็ยิ้มชื่น หายจิตตก
เทพไทนั่งเครียดแปลเอกสารอยู่ในห้องทำงานของพ่อ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนสารภีจะถือแก้วน้ำขิงเข้ามา
"ขึ้นมาทำไมสารภี"
สารภีทำหน้ารู้สึกผิด ขยับเข้ามาใกล้
"เห็นบ่าวมันบอกว่าจะเอาน้ำขิงมาให้พี่เทพ สารภีก็เลยอาสาค่ะ อยากคุยกับพี่เทพ"
"พี่ไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ พี่จะทำงาน"
สารภีตีหน้าเศร้า
"สารภีทราบค่ะว่าพี่เทพกำลังโกรธ ก็สมควรแล้ว เพราะสารภีคิดไม่ดี พูดไม่ดี ลามปามไปถึงคนอื่น"
เทพไทแปลกใจที่อยู่ๆ สารภีก็มาสำนึกผิดใส่
"สารภีละอายใจค่ะที่ความใจร้อนของตัวเองทำให้พี่เทพโกรธ สารภีสัญญานะคะว่าจะไม่พูดจาดูแคลนใครแบบนั้นอีกแล้ว"
เทพไทมึนตึง
"ถ้าเธอทำได้มันก็ดีกับตัวเธอ"
"พี่เทพจะยกโทษให้สารภีได้ไหมคะ"
เทพไทเมินหน้าหนี ไม่ได้โกรธแต่ไม่ตอบ
"ถ้าพี่เทพไม่ยกโทษ สารภีคงนอนไม่หลับแน่ๆ เพราะสารภีไม่อยากให้พี่เทพเกลียดสารภี" แล้วก็จงใจบีบน้ำตา "ได้โปรดเถอะนะคะ ถึงพี่เทพจะไม่คิดกับสารภีเป็นอื่น แต่ขอให้เรายังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมก็ยังดี"
"เอาเถอะ พี่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนักหรอก ถ้าเธอคิดได้แล้วพี่ก็อภัยให้"
สารภียิ้มทั้งน้ำตา
"จริงๆ นะคะ"
เทพไทพยักหน้า
"จริง พี่ไม่ติดใจอะไรแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ พี่จะทำงาน"
"เอ่อ แล้ว..." สารภีจะคะยั้นคะยอให้กินน้ำขิง
"วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่กินเอง"
เทพไทก้มหน้าทำงานต่อ สารภียังไม่ไว้ใจ กลัวเทพไทไม่ดื่ม เลยทำเป็นตีหน้าเศร้าเดินออกจากห้อง แต่แอบมองอยู่นอกประตู
เทพไทยังคงก้มหน้าแปลเอกสารอย่างเครียดๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำ
สารภียิ้มแอบมองลุ้น
เทพไทตายังอ่านหนังสือ ยกแก้วมาจรดริมฝีปาก ทำท่าจะดื่ม แต่จู่ๆ ไฟบนตึกก็กะพริบถี่ๆ แล้วดับพรึ่บลงพร้อมกัน
สารภีตกใจที่ไฟดับ เลยไม่รู้ว่าเทพไทดื่มหรือยัง
"โอ๊ย ไอ้ไฟบ้าเอ้ย"
สารภีหันรีหันขวางแล้วจะเดินไป ชนกับเข็มที่ถือแก้วน้ำขิงมาเสิร์ฟดังโครม ทั้งสองร้องวี๊ดออกมาพร้อมกัน
"ใครเนี่ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ"
สารภีรีบเอามืออุดปาก ไม่อยากให้เทพไทรู้ว่ายังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น
"ฉันถามว่าใคร นังอึ่งหรือ"
สารภีกลัวคนรู้ว่าเป็นตัวเอง รีบหลบออกไป
สารภีวิ่งหลบไปอีกห้องนึง ปิดประตู แล้วเอามือแตะๆ ตัวเองที่เปียกโชกอย่างโมโห อยากจะกรี๊ดแต่ไม่กล้าส่งเสียง
เทพไทจุดเชิงเทียนเดินลงมาข้างล่าง คนงานกำลังขนของเข้าบ้านท่ามกลางความมืด
"เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟดับ"
"สงสัยจะไฟตกน่ะครับ วันนี้บ้านเราปั่นไฟใช้ตั้งแต่เช้า"
"แล้วมีใครไปดูหรือยัง"
"ยังครับ ลุงเชิดกับไอ้เชตออกไปส่งแขกยังไม่กลับ คุณเทพไทรอซักครู่นะครับ"
"ไม่รอแล้ว เดี๋ยวฉันไปดูเอง นายเอาอุปกรณ์ตามฉันมา"
เทพไทเดินนำคนงานชายไป
ไฟในบ้านยังคงติดๆ ดับๆ ต่อเนื่อง หลวงปกรณ์เดินเข้ามาในห้อง ไฟสว่างวาบขึ้นมา
"เทพไท อ้าว"
หลวงปกรณ์แปลกใจที่เทพไทไม่อยู่ในห้อง เห็นแต่งานวางไว้บนโต๊ะ ข้างๆ มีแก้วน้ำขิง
ที่ยังไม่ได้จิบวางอยู่ด้วย
หลวงปกรณ์เดินเข้าไปหยิบเอกสารที่เทพไทแปลทิ้งไว้ นั่งลงอ่าน แล้วหยิบน้ำขิงในแก้วมาจิบ ทันทีที่น้ำขิงไหลเข้าสู่คอ ลงไปในร่างกาย หลวงปกรณ์ก็เกิดอาการร้อนรุ่นขึ้นมา จนต้องปลดกระดุมคอเสื้อ แต่ยังคงอ่านเอกสารที่เทพไทแปลต่อไปอย่างสนใจ
ทันใดนั้นไฟดับพรึ่บลงอีก
"แล้วกัน ! โธ่เว้ย ยิ่งร้อนๆ อยู่"
หลวงปกรณ์หงุดหงิดเดินไปเปิดหน้าต่าง ชะโงกมองเห็นไฟดับมืด แสดงว่าไฟดับทั้งแถบชุมชนด้านนี้ พลันรู้สึกกระสับกระส่าย มึนงงจนแทบจะยืนไม่อยู่ เลยเซซังกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน
หลวงปกรณ์เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ทอดศีรษะลงพัก เหมือนจะกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่ได้ยินเสียงคนเดิน เข้ามาในความมืด
สารภีที่ค่อยๆ ย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศเงียบกริบ จนสารภีได้ยินเสียงลมหายใจ เป็นสัญญาณว่ามีคนอยู่ในห้อง
สารภีพึมพำ
"พี่เทพ"
สารภีย่องเข้าไปใกล้โต๊ะ หลวงปกรณ์หมุนเก้าอี้หันหลังให้ประตูห้อง สารภีหยิบแก้วน้ำขิงขึ้นมา ถึงเห็นว่าเป็นแก้วน้ำเปล่าๆ ไม่มีน้ำเหลือแล้ว ก็ยิ้มพอใจ ขยับเข้าไปใกล้เก้าอี้ที่หันหลัง ค่อยๆ ไล้มือจับไปที่บ่าของคนที่นั่งอยู่ เพราะคิดว่าเป็นเทพไท แล้วก้มหน้าลงกระซิบเสียงแผ่ว
"พี่เทพ...เหนื่อยเหรอคะ สารภีนวดให้นะคะ"
หลวงปกรณ์กำลังมึนเพราะฤทธิ์ยา ไม่ได้ยินเสียงกระซิบของสารภี รู้สึกได้แค่มีสัมผัสเบาๆ เลื้อยจากไหล่มาที่ต้นคอ พร้อมกับลมหายใจหอมๆ อยู่ใกล้กับข้างแก้ม
หลวงปกรณ์รู้สึกรัญจวนกับสัมผัสนั้น จนเผลอเอามือสองข้างยกขึ้นลูบไล้มือที่จับไหล่อยู่
สารภียิ้มพอใจ คิดว่าเทพไทเคลิ้ม ค่อยๆ ก้มหน้า ฝังริมฝีปากลงที่แก้มของหลวงปกรณ์ แล้วคลอเคลียไล่ไปตามซอกคอ ด้วยอารมณ์เพริดไม่ต่างกัน
ลำเจียกนั่งพัดวีอยู่ในห้อง มีเพียงแสงจากตะเกียงที่ส่องวับแวม หันไปด้านข้างก็เห็นอึ่งนอนเฝ้าอยู่ที่พื้น ลำเจียกเริ่มหงุดหงิดที่หลวงปกรณ์ไม่มา
"นังอึ่ง"
อึ่งนอนเงียบ ลำเจียกหันไปยันที่ก้น
"นังอึ่ง"
อึ่งงัวงีย
"เจ้าขา"
"เอ็งบอกคุณหลวงจะมา จนป่านนี้ยังไม่โผล่ ไปดูหน่อยซิ"
อึ่งง่วงมาก ขี้เกียจลุก
"เดี๋ยวก็มาเจ้าค่ะ"
อึ่งงึมงำแล้วพลิกตัวนอนต่อไม่สนใจ ลำเจียกหงุดหงิด ตัดสินใจจะไปดูเอง เลยลุกขึ้นคว้าตะเกียงออกไปจากห้อง
ภายในห้องทำงานหลวงปกรณ์ แสงจันทร์สาดส่องริมหน้าต่าง ที่พื้นห้องเห็นเสื้อผ้าชุดชายหญิงกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง ทั้งสองคนเคลื่อนไหวอยู่บนเก้าอี้ นัวเนีย โรมรันพันตูในความมืดนั้น
ลำเจียกถือเทียนเดินมาตามทางที่มืดสนิทเพราะไฟยังดับอยู่ จนมาถึงหน้าห้องทำงานหลวงปกรณ์ แต่พอจะเดินผ่านก็ได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเก้าอี้ดังมาจากในห้อง
ลำเจียกชะงักหยุดฟัง แต่เสียงสั่นไหวของเก้าอี้ยังคงดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ลำเจียกจะเคาะประตูแต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เปลี่ยนใจ ตัดสินใจผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือที่สุด
ภายในเห็นเงาร่างของสารภีกับหลวงปกรณ์ยังคงเคลี่อนไหวอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ลำเจียกยืนมองจากบานประตูที่แง้มด้วยความตกตะลึง ฉับพลันไฟฟ้าก็สว่างพรึ่บขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ลำเจียกเห็นภาพนั้นเต็มตา สีหน้าช็อก ตะเกียงในมือหล่นโครม
"ไม่จริง"
อ่านต่อตอนที่ 14