รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3
มุกรินหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เธอถูกกดดันอย่างหนัก ขณะเดินไปตามทางเดินในศาล เมื่อวันพิจารณาคดี หน้าตาครุ่นคิดหนัก
“ชีวิตมนุษย์ตั้งอยู่บนความเสี่ยงกันทุกคน ทุกเพศทุกวัย ไม่มีข้อยกเว้น”
นิ้วนางข้างซ้ายของมุกริน ยังเห็นแหวนหมั้นสวมอยู่ที่นิ้วมือนั้น
“เสี่ยงมาก หรือ เสี่ยงน้อย แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์”
ขณะเดียวกัน ธาดายืนอยู่ในแถวนักโทษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลเข้าไปรับพาตัวเดินไปยังห้องพิจารณาคดี
“เรื่องที่สำคัญที่สุด ย่อมมีความเสี่ยงมากที่สุด เป็นธรรมดา”
ส่วนที่วัดวันนี้ เป็นวันเผาศพวิมลรัตน์
รูปวิมลรัตน์ตั้งอยู่หน้าเมรุ คิมหันต์เดินเข้ามายืนนิ่งหน้ารูปนั้น ก่อนวางดอกไม้จันทน์
“หลายคนนึกถึงการเสี่ยงชีวิต...ก็คงไม่ผิด”
มุกรินยืนอยู่หน้าประตูเข้าห้องพิจารณาคดี
“แต่บางเรื่อง แม้ไม่ถึงกับชีวิต แต่ผลได้เสียนั้น เสี่ยงมากที่สุดไม่แพ้กัน เช่นเรื่องที่ฉันกำลังเสี่ยงอยู่ในขณะนี้”
มุกรินก้าวเข้าไปในห้องพิจารณาคดีอย่างมาดมั่น
กลางดึกคืนนี้ ชุมสายก้าวเข้ามาในล็อบบี้โรงพยาบาล พูดโทรศัพท์พร้อมกับเดินก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องฉุกเฉิน
“ฉันมาถึงโรงพยาบาลแล้วนะ ตอนนี้แกอยู่ไหน หมอเขาว่าไง อืม โอเค ถึงแล้ว”
ชุมสายกดวางสายเมื่อเดินมาถึงประตูห้องฉุกเฉิน เขาเปิดประตูนั้นเข้าไป เห็นคิมหันต์นอนอยู่บนเตียงคนไข้ สภาพของคิมหันต์ผ่านการทำแผลมาเรียบร้อยแล้ว ชุมสายถอนใจหนึ่งทียาวๆ
“สนุกมั้ยเพื่อน”
“ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ”
“ดีกว่ายังไงวะ อยู่เฉยๆ ไม่เจ็บตัวมันจะแย่กว่ามานอนให้หมอเย็บแผล ล้างแผลตรงไหน”
“จิตใจเว้ย ฉันจะรู้สึกดี ถ้าได้ทำอะไรเพื่อพี่มลบ้าง”
“ไอ้บ้า มันมีวิธีดีกว่านี้ตั้งหลายวิธี ทำไมแกไม่เลือก”
“แล้วมันได้ผลมั้ยล่ะ ไอ้วิธีดีๆ ของแกน่ะ”
สารวัตรที่ชุมสายและคิมหันต์คุ้นเคยเดินเข้ามาสมทบในนั้น พร้อมกับหมอและเจ้าหน้าที่อื่นๆ
“คุณคิมหันต์ครับ ท่านรองอาณัติกำชับให้ผมมาดูแลคุณคิมหันต์อย่างดีที่สุด”
“ขอบคุณครับ”
“ท่านฝากถามด้วยว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ยครับ”
“ผมไม่กล้ารับปาก”
“งั้นผมก็คงรับปากไม่ได้เหมือนกัน ว่าคราวต่อไปคุณจะถูกดำเนินคดีรึเปล่า”
คิมหันต์ไม่สน “เอาเลยครับ เต็มที่เลยครับ”
“สำหรับวันนี้ผมจะลงบันทึกประจำวัน เปรียบเทียบปรับ ข้อหาสร้างความวุ่นวาย ส่วนค่าเสียหายที่ร้าน คุณก็ให้ทนายเพื่อนคุณตามเรื่องเอาแล้วกันนะครับ ลุกจากเตียงได้แล้วช่วยตามมาให้ผมสอบปากคำ หน่อยนะครับ”
ตำรวจเดินออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ชุมสายเอ่ยขึ้น
“ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ว่ะ คิม”
“ห่วงฉันเหรอ”
ชุมสายส่ายหน้า “คู่หมั้นแก”
“ฉันมีทางออกให้เขาอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้แกคอยดู”
คืนเดียวกัน มุกรินวางแก้วกาแฟบนโต๊ะธาดานั่งอยู่ตรงนั้น หน้าตาของเขามีริ้วรอยตามสมควร
อุปกรณ์เช็ดแผลวางให้เห็นอยู่แล้ว ใกล้ๆกัน
“มันบ้า คู่หมั้นมุกมันบ้ามากๆ...มันจะเอาพี่ถึงตาย ดีนะที่มีผู้หวังดีช่วยพี่ไว้”
“พี่ใหญ่ไปพูดจายั่วยุเขารึเปล่า”
“พี่จะทำอย่างนั้นทำไม ไหนๆ มลเขาก็ตายไปแล้ว แทนที่เราจะทำอะไรดีๆ เพื่อระลึกถึงมล มันกลับทำเหมือนกับว่าพี่เป็นฆาตกรงั้นแหละ”
“เขาคิดว่าพี่เป็นจริงๆ น่ะสิคะ”
มุกรินยกอุปกรณ์ล้างแผลไปเก็บ ธาดาตัดสินใจเอ่ยปากพูด
“มุก พี่จะหาบ้านใหม่อยู่นะ ไอ้หมอนั่นมันคงไม่ยอมให้พี่เข้าบ้านพี่มลแน่ๆ”
“พี่ก็กลับมาอยู่ที่นี่สิคะ ไม่เห็นต้องหาบ้านใหม่ให้เปลืองตังค์ทำไม”
“แต่ถ้าพี่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ มุกอย่างนี้ พี่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมุกกับคิมจะไปไม่รอดนะ”
มุกรินนิ่งงันไป เธอเห็นด้วยอยู่ลึกๆ
“ก็แล้วแต่พี่ใหญ่แล้วกันค่ะ”
มุกรินเดินไปทิ้งตัวลงนั่งนิ่งบนเตียงนอนอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออก รอเสียงจากปลายสาย ทว่า เสียงที่ดังขึ้นมากลายเป็นเสียงบอกให้ฝากข้อความ เธอตัดสินใจ เอ่ยปากพูดกับโทรศัพท์
“คิม มุกพูดนะ มุกเพิ่งรู้จากพี่ใหญ่ว่า มีเรื่องกันที่บาร์ แต่ไม่รู้ว่าคิมเป็นไงบ้าง มุกเป็นห่วงนะคิม เท่านั้นแหละ”
มุกรินวางโทรศัพท์ลง นั่งเหม่อมองผ่านผนังห้องออกไปไกล เท่าที่สายตาจะมองไปถึง
อีกฟาย ภายในรถที่แล่นมาตามถนน ชุมสายเป็นคนขับรถ มีคิมหันต์นั่งข้างๆ ใบหน้าของคิมหันต์มีผ้าพันแผลปิดตามตำแหน่งสำคัญ พร้อมด้วยผ้าคล้องไหล่ที่แขนข้างหนึ่ง เขาถือโทรศัพท์แนบหู สักพักจึงวางโทรศัพท์ลง
“คุณมุกโทร.มาเหรอ”
“อืม...เขาฝากข้อความไว้”
คิมหันต์ตอบเพื่อนเรียบๆ เหมือนไม่ให้ความสำคัญ
“ฝากว่าไง”
“ไม่รู้ เสียงมันซ่าๆ ฟังไม่รู้เรื่อง” คิมหันต์เลี่ยงไป
“แกก็โทรกลับไปหาเขาสิ”
คิมหันต์ส่ายหน้า “ไม่มีสัญญาณ”
ชุมสาย ส่ายหน้าบ้าง
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเมืองสวรรค์กรุงเทพมหานคร
บริเวณหน้าบ้าน ใต้ป้าย “คิมหันต์ แกลลอรี่” มีกระดาษสีขาวติดไว้ เขียนข้อความกำกับไว้ว่า “ปิดกิจการไม่มีกำหนด”
รถพักตราแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ใกล้ๆ กันนั้นมีรถกระบะหนึ่งคันจอดอยู่แล้ว พร้อมลังสัมภาระเต็มกระบะหลัง พักตราลงจากรถมายืนมอง แปลกใจ ถวิลและไสว เดินแบกกล่องอื่นๆ มาที่รถกระบะคันนี้
“คิมหันต์ไม่อยู่เหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วนี่ขนอะไรกันเนี่ย”
ไสวตอบว่า “คือว่า คุณคิมแกจะไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ แกจะย้ายไปอยู่บ้านคุณมล เรือนหลังเล็กที่คุณมลสร้างไว้ให้น่ะครับ”
“เหรอ...นี่มาขนของให้คิมเหรอ”
“ครับ”
“มาฉันช่วยเอง ฉันจะไปหาเขาพอดี อันไหนของใช้ส่วนตัวของเขา”
ถวิลกับไสวมองหน้ากัน ท่าทางอึดอัดไม่น้อย
“เป็นความลับด้วยเหรอ”
“นี่ครับ อุปกรณ์กล้องกับหนังสือพิมพ์วันนี้ แกฝากซื้อครับ”
“เอามา ฉันจัดการเอง”
พักตราคว้าของกล่องนั้นเดินตรงไปที่รถของเธอ ถวิลและไสว มองตาม
“แกนี่ก็บอกเขาซะหมดทุกเรื่องเลยนะ ถามบ้างมั้ย” ถวิลด่าผัวทันที
“ไม่บอกเดี๋ยวเขาก็ถามอยู่ดีนั่นแหละ”
“ถามฉันน่ะ หมายถึงถามฉันก่อนบ้างมั้ย ทำอะไรนึกถึงใจคุณมุกบ้าง ไอ้แก่”
ในรถพักตราที่จอดอยู่ริมถนน พักตราก้าวเข้ามาในรถ วางสัมภาระเหล่านั้นที่เบาะข้างๆ ตัว
มีกระดาษแผ่นแทรกหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์ร่วงลงมา พักตราหันไปมอง สักพักเธอก็หัวเราะอย่างชอบใจออกมา
กระดาษแผ่นนั้น เป็นโฆษณาบนกระดาษเนื้อดี ตัวหนังสือสวย ใจความบนหัวเรื่อง เขียนว่า “ ประกาศการถอนหมั้น “ มีเสียงของคิมหันต์ดังขึ้นตามตัวหนังสือหล่านั้น
“ประกาศการถอนหมั้น นายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ มีความประสงค์จะประกาศให้ทราบทั่วกันว่า...”
มุกรินเดินไปตามทางเดินในบริษัทฟาสต์ แทร็ค รอบๆ ตัวเธอ มีพนักงานรุมกันอ่านแผ่นแทรกในหนังสือพิมพ์ คนเหล่านั้นเหลือบมองมุกริน พร้อมกับซุบซิบนินทา เสียงคิมหันยังคงดังต่อเนื่อง
“ขอยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างตนและนางสาวมุกริน คุรุรัตน์อย่างเป็นทางการและถาวร ด้วยเหตุที่พฤติกรรมของนางสาวมุกริน ไม่เหมาะสมที่ชายใดจะยอมร่วมหัวจมท้ายด้วยได้ เธอไม่มีความน่าภาคภูมิใจที่ผู้ใดควรจะร่วมสร้างครอบครัวกับเธอ”
หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะพนักงาน มีคลิปคิมหันต์ประกาศถอนหมั้น ปรากฏอยู่ในหน้าจอนั้น เป็นภาพถ่ายของมุกรินหลายๆ ช่วงเวลา มันถูกทับซ้อนด้วยกราฟฟิกที่แสดงถึงความน่ารังเกียจ และมีข้อความ เดียวกับเสียงที่ได้ยิน ค่อยๆ เลื่อนเพื่อให้อ่านตามได้
“อีกทั้งคดีความระหว่างพี่ชายของเธอกับคนในตระกูลสุริยะศักดิ์ ยังคงต้องต่อสู้กันในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สัมพันธภาพของความเป็นคู่หมั้นสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริงของเธอ”
มุกริน หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเธอ เปิดจอคอมพิวเตอร์หน้าโต๊ะทำงาน
สีดาเพื่อนพนักงานเดินเข้ามาหา
“มุก…อ่านหนังสือพิมพ์วันนี้รึยัง”
มุกรินส่ายหน้า “เราอ่านข่าวจากในเว็บน่ะ ไม่ได้ซื้อหนังสือพิมพ์อ่านนานแล้ว”
“วันนี้อย่าอ่านเลยนะ ขอร้อง จะในเว็บหรือนอกเว็บก็เหอะ เชื่อฉันนะ”
พอสีดาเดินพ้นไป มุกรินเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่ที่โต๊ะข้างๆ จึงเอื้อมมือไปคว้ามันมา แผ่นแทรกโฆษณาประกาศถอนหมั้นใบนั้นหล่นลงมาจากหนังสือพิมพ์ มุกรินหยิบขึ้นมาอ่าน หน้าเธอซีดทันที
“จึงขอแยกทางจากกันโดยเด็ดขาด และจะไม่ขอเจอะเจอคนอย่างนี้อีกต่อไป หากมีบุญใดที่ทำร่วมกันมา ข้าพเจ้าจะขออุทิศผลบุญและกุศลนั้นให้กับนางวิมลรัตน์...”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ของมุกริน ก็มีคลิปประกาศถอนหมั้นเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ มุกรินเงยหน้ามองจอนั้น แล้วจึงหันไปดูที่โต๊ะข้างๆ
จอคอมพ์ที่โต๊ะข้างๆ ก็เห็นคลิปนั้นถูกเปิดอยู่ ภาพและเสียงต่อเนื่องจากที่เราได้ยิน
“หากมีกรรมใดที่ก่อร่วมกันมา ขอกรรมนั้นจงตามไปชดใช้เอาคืนกับมุกริน คุรุรัตน์ นานชั่วกัปชั่วกัลป์ อย่าได้มีละเว้น เลยแม้แต่น้อย อนึ่ง การแยกทางกันครั้งนี้ หาใช่การจากกันด้วยดีแต่อย่างใด แต่อยู่บนความขัดแย้ง อย่างรุนแรง จึงต้องประกาศสู่ธารณะ เพื่อให้ผู้ที่รู้จักคู่กรณีทั้งสองเข้าใจตรงกันด้วยประการฉะนี้...ลงชื่อ นายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ ผู้แจ้ง และผู้เสียหาย”
มุกรินยืนเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางสำนักงาน พนักงานคนอื่นๆ ค่อยๆ ถอยตัวออกไปยืนมองมุกรินอยู่ห่างๆ ในจังหวะที่พักตราเดินเข้ามาในออฟฟิศ อ้าปากส่งเสียงดังลั่น เหมือนต้องการประจานชัดแจ้ง
“มุก มุกริน คุรุรัตน์ เช้านี้ เธออ่านข่าวบ้างหรือเปล่า หนังสือพิมพ์ทุกเล่มทุกฉบับ ทุกยี่ห้อ มีใบแทรกประชาสัมพันธ์เหมือนกันหมด เท่านั้นยังไม่พอนะ...ยังมีคลิปแฉ แชร์ไปทั่วเมือง ทั้งfacebook ทั้ง line ทั้งinstagram เต็มไปหมดเลย”
“ฉันเห็นแล้ว”
“น่าสงสารเธอจังเลยมุก ถ้าเป็นฉันโดนคู่หมั้นทำอย่างนี้ ฉันต้องตายแน่ๆ”
“ฉันก็เกือบแล้วละ”
“เธอคงต้องทำใจนะมุก แต่ก็ต้องเข้าใจคิมด้วย พี่สาวเขาทั้งคน”
“แต่ก็ไม่เห็นต้องประจานกันอย่างนี้นี่พักตร์” มุกรินโมโหกรุ่นๆ
“นั่นสินะ...ฉันถามเขาว่าทำทำไม เขาก็ไม่บอก”
มุกรินมองหน้าพักตรา แปลกใจ
“เธอไปเจอคิมมาแล้วเหรอ”
พักตราพยักหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“เมื่อเช้าฉันแวะไปเยี่ยมเขามา ไม่รู้โดนนักเลงที่ไหนซ้อมซะน่วมเลย”
มุกรินอึ้ง ซึม น้อยใจมากขึ้นอีก พักตราแสดงท่าทีปลอบโยนด้วยความห่วงใย
“ฉันเข้าใจว่าเธอรู้สึกยังไง มันก็คงไม่ต่างจากวันที่เขามาบอกฉัน ว่าจะหมั้นกับเธอนั่นแหละ ทำใจซะเถอะนะ มุก”
มุกริน นิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากเธอ
“ชีวิตมันเอาแน่อะไรไม่ได้อย่างนี้แหละ นี่ถ้าหากคิมเขากลับมารักกับฉัน เธอจะมาว่าอะไรฉันไม่ได้นะเพราะมันเป็นเรื่องของโชค ชะตา”
พักตราเดินจากไปเฉยๆ
ชุมสายโยนหนังสือพิมพ์ลงบนพื้นโถงบ้านหลังเล็กของวิมลรัตน์ ทางทางโมโหใช่ย่อย
“แกทำอะไรลงไปเนี่ยะไอ้คิม...แกบ้ารึเปล่า”
คิมหันต์นั่งอยู่เบื้องหน้าชุมสาย
“ไม่รู้ว่ะ”
“ไม่รู้ แกทำไปโดยไม่รู้ตัวงั้นเหรอ”
“ฉันรู้ทุกอย่างที่ฉันทำ แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันบ้ารึเปล่า”
ชุมสายถอนหายใจแรง
“แกไม่นึกถึงหัวอกผู้หญิงบ้างเลยเหรอ อย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่แกรักมาก คนที่แกกำลังจะแต่งงานด้วย”
“ก็ตอนนี้ไม่คิดจะแต่งแล้ว”
“แล้วทำไมต้องทำให้เขาอับอาย ขายหน้าผู้คน อย่างนี้ด้วย”
“มันก็ขายหน้าด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ ฉันไม่ได้เอาเปรียบเธอซักหน่อย”
“ถ้าฉันรู้ว่าแกจะทำอย่างนี้กับคุณมุกนะ ฉันจีบคุณมุกเองตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว”
คิมหันต์เหยียดยิ้ม “เชิญ…ตอนนี้ก็ยังทัน เธอยังไม่มีอะไรชำรุด”
ชุมสาย ถอนหายใจแรงมากขึ้นอีก
“ฉันขี้เกียจเถียงกับแกอีกแล้ว...แกมันบ้าชัดๆ”
“ก็คงงั้นแหละ”
“ฉันขอบอกให้แกรู้นะ ที่ฉันเป็นทนายความให้แก ช่วยแกทุกอย่าง นอกจากเพราะแกเป็นเพื่อนฉันแล้ว ฉันทำเพื่อพี่มล ที่ฉันเคารพ แต่ถ้าแกไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้ วันนึงฉันอาจจะถอนตัว และจะไม่ยุ่งกับแกอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”
“มันยังไม่ถึงวันนั้นใช่มั้ย”
“เออ”
คิมหันต์ลุกขึ้นเดินไปหยิบซองเอกสารสำคัญส่งให้ชุมสาย
“งั้นวันนี้...แกดูเรื่องนี้ให้หน่อย”
“อะไร”
“พินัยกรรมของพี่มล ฉันเพิ่งเจอในตู้หนังสือ ดูให้ทีว่าฉันยึดอะไรคืนจากมันได้บ้าง”
ชุมสายถอนใจอีก “ปล่อยวางบ้างเถอะเพื่อน”
“ไม่มีวัน พี่กูทั้งคนนะเว้ย”
ถวิลเดินเข้ามา
“คุณคิมคะ...คุณมุกมาค่ะ”
คิมหันต์วางท่านิ่งเฉย ไม่ให้ความสำคัญ
“เหรอ”
“เธอให้มาถามว่า คุณคิมจะยอมให้เธอพบมั้ยคะ”
“เห็นมั้ย ไอ้ชุม ผู้หญิงเขาก็รู้ได้เอง ว่าระหว่างเรามันมีระยะห่างมากขึ้น มันไม่มีวันเหมือนเดิม”
“คุณคิมจะให้บอกว่าไงคะ”
“พาเขาไปรอผมที่บ้านใหญ่...ห้องพี่มล”
ถวิลเดินนำมุกรินไปถึงหน้าห้องนอนวิมลรัตน์
“คุณคิมให้คุณมุกรอที่นี่ค่ะ”
“นี่ห้องพี่มลใช่มั้ย”
“ค่ะ…”
ถวิลเดินออกไป มุกรินมองไปรอบๆ สักพักคิมหันต์เดินเข้ามาจากด้านหลัง บอกเสียงเรียบ
“ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่เคลื่อนย้ายอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว อยากเห็นข้างในมั้ย”
คิมหันต์เดินนำเข้าไปในห้อง มุกรินยืนรออยู่หน้าห้อง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาดูห้องพี่มลนะคิม”
“ไม่อยากเห็น หรือไม่กล้า”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณเป็นคนส่งข่าวหนังสือพิมพ์ เป็นคนทำคลิป เป็นคนแชร์คลิปนั้นเองใช่มั้ย”
ดูเหมือนคิมหันต์จะไม่สนใจคำถามของมุกริน เขายังเดินย่ำรอยเหตุการณ์ในห้องคืนนั้น และพูดทวนเหตุการณ์ออกมาให้มุกรินฟัง
“พี่มลถูกบีบคอตรงนี้”
“ฉันอยากได้ยินจากปากของคุณ ว่าคุณต้องการถอนหมั้นฉันจริงๆ”
“แล้วพี่มลก็ถูกลากมาถึงห้องน้ำ ถูกจับศีรษะกระแทกอ่างอาบน้ำที่นี่”
“คิมคะ...” มุกรินคุมแค้นถึงที่สุด
“พี่มลนอนตายตรงนี้สามวันเต็มๆ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น”
“คิม..อย่าทำอย่างนี้กับฉันเลย ได้โปรด”
คราวนี้เขาตอบ “แล้วคุณทำอย่างนี้กับผมทำไม...ทำกับพี่มลได้ยังไง”
“มันเป็นอุบัติเหตุนะคะคิม...ศาลก็บอกว่า...”
“ศาลไม่ได้บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ เพียงแต่ยังหาหลักฐานได้ไม่เพียงพอ และคุณก็คือหนึ่งในตัวการที่ทำให้ข้อเท็จจริงถูกเบี่ยงเบนไป เพราะการให้การเท็จของคุณ”
“นี่คือการแก้แค้นของคุณใช่มั้ยคะคิม...”
“คุณคิดว่าผมจะแต่งงานกับคนที่ข้องเกี่ยวกับการตายของพี่มลได้มั้ยล่ะ”
“คุณพูดกับมุกดีๆก็ได้นี่นา...ทำไมต้องประจานกันอย่างนี้”
“ไม่พอครับ...ผมต้องการพูดกับทุกคนในโลกนี้ว่า ผมไม่รักคุณอีกต่อไปแล้ว”
มุกรินจ้องหน้าคิมหันต์ น้ำตาไหลพราก
“ดีซะอีก จะได้ไม่ต้องมีใครมาคอยถามกันทีละคนสองคน รู้พร้อมๆ กันซะทีเดียว เผื่อใครอยากจีบคุณ จะได้ไม่กระดาก”
มุกรินกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล สูดลมหายใจลึกๆ
“ค่ะ เช่นเดียวกันค่ะคิม ถ้าคุณจะมีใครก็ไม่ต้องกระดาก หวังว่าพักตราคงจะดีใจนะคะ”
มุกรินเดินออกไป คิมหันต์รีบพูดสวน
“ถอดแหวนออกซะด้วยนะ”
มุกรินหยุดยืนนิ่ง เธอไม่อยากหันไปมองหน้าผู้ชายร้ายกาจคนนี้อีก
“ข้าวของต่างๆ ที่เป็นของคุณผมรวบรวมไว้หมดแล้ว อยู่ในลัง เดี๋ยวน้าไสวจะขนไปให้ที่รถ”
น้ำตามุกรินไหลออกมาอีกครั้ง ขณะที่มือของมุกริน ค่อยๆ ดึงแหวนหมั้นเลื่อนผ่านปลายนิ้วออกมา
“จำไว้ด้วยว่า คุณเป็นคนเลือกเอง มุก คุณและพี่ชายคุณเลือกวิถีชีวิตนี้ด้วยตัวของตัวเอง ส่วนผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็เท่านั้น”
มุกรินค่อยๆ ก้าวเดินออกจากห้องนี้ น้ำตาท่วมใจเธอไปแล้ว
มุกรินขับรถนิ่ง มองตรงไปข้างหน้า แววตาล่องลอย ไร้จุดหมาย น้ำตาของเธอค่อยๆไหลนองเต็มใบหน้า
เบาะข้างๆ ตัวเธอ เต็มไปด้วยลังสิ่งของที่คิมหันต์รวบรวมคืนให้
ของในกล่อง ในลังเหล่านั้น ล้วนเป็นของที่ระลึกและบันทึกความรักระหว่างเธอกับคิมหันต์ อาทิ รูปคู่ โปสการ์ดต่างๆ และอื่นๆ รวมทั้ง รูปคู่ ที่เคยเห็นในห้องนอนของคนทั้งสอง รูปนั้นทำให้มุกรินสะท้อนใจ เมื่อนึกถึงที่มาของมัน
ณ สถานที่อันสวยงาม เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
คิมหันต์และมุกริน ยืนพิงกันอยู่ในมุมสวยงามที่เดียวกับในรูปมีกล้องถ่ายรูปตั้งอยู่ข้างๆ คิมหันต์ เพื่อรอถ่ายพระอาทิตย์ตก มุกรินค่อยๆ เอ่ยปากพูด เสียงสดใส
“คิมเคยคิดมั้ยว่า คนเราจะรักกันได้มากที่สุดแค่ไหน”
“มันไม่มีที่สุดหรอกมุก ถ้าใครบอกว่าสุด แปลว่าเขาหยุดรักแล้ว”
“คิมรักมุก สุด รึยัง”
“ยัง…ยังได้อีกเยอะ”
“แน่ใจ”
“ถ้ามุกไม่เบื่อคิมซะก่อน”
“คิมมีอะไรน่าเบื่อ”
“ขี้หึง”
“สู้มุกไม่ได้หรอก”
“ขี้งอน”
“มุกงอนกว่าเยอะ”
“ขี้น้อยใจ”
“ไม่เป็นไร มุกชอบง้อ”
“ขี้โมโห”
“อันนี้ขอได้มั้ย...มุกกลัว”
“ไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มุกทำให้คิมผิดหวัง คิมจะอาฆาตแค้น จองเวรไปจนวันตายเลย”
คิมหันต์ทำท่าทางเหมือนปีศาจร้ายจะขยุ้มเธอ มุกรินรีบลุกขึ้นวิ่งหนี
“งั้นมุกไม่เอาด้วยแล้ว ไปดีกว่า”
“อย่าหนีนะมุก กลับมาเดี๋ยวนี้เลย...กลับมา...”
คิมหันต์วิ่งไล่ตามมุกริน
“ไม่…มุก กลัว”
คิมหันต์กระโจนใส่มุกริน จนสองคนล้มกลิ้งไปด้วยกันทั้งคู่ คิมหันต์กดรีโมต ลั่นชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปตัวเองแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มันคือที่มาของภาพหวานปานจะกลืน ภาพนั้น
ยิ่งนึกถึง ทำนบน้ำตามุกรินก็ไหลพราก ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ มากกว่าเพลงรักหวานเศร้า ผิดหวัง ดังกังวานในใจเธอไปด้วยเป็นแน่
เช้าวันนี้ความโศกเศร้า หม่นหมอง ยังปกคลุมไปทั่วบริษัท Molly
ธาดาขยับลงนั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งเคยเป็นของวิมลรัตน์ พลางยกโทรศัพท์สื่อสารไปยังพนักงานด้านนอกห้อง
“มีใครอยู่ตรงนั้นบ้างน่ะ...ซาร่าอยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“งั้นใครก็ได้ที่แผนกการเงินเอาสมุดเช็คเข้ามาให้ฉันหน่อย”
พนักงานชื่อกบ ค่อยๆ เดินก้าวเข้ามาในห้องนี้ ธาดาเงยหน้ามอง
“เธอเองเหรอ ยายกบ”
กบวางสมุดเช็คลงตรงหน้าธาดา
“คุณธาดาจะเซ็นเช็คจ่ายใครเหรอคะ”
“อย่ายุ่ง ฉันจะเซ็นให้ใคร มันก็เรื่องของฉัน”
ธาดาก้มหน้าเขียนเช็คฉบับนั้น กบแอบชะเง้อดู
“โอ้โฮ เงินเยอะขนาดนี้ จ่ายค่าทนายแหงเลย ใช่มั้ยคะ”
“ใครบอกแก”
“เดาเอา ก็ขนาดหนูอยู่เฉยๆ หนูยังได้เป็นแสนเลย”
“ทำอะไรวะ อยู่เฉยๆ”
“อยู่เฉยๆ ก็คือไม่ให้พูด ไม่ให้ทำอะไรไงคะ แล้วหลายล้านอย่างนั้นจะให้ลงบัญชีว่าค่าอะไรคะ”
“ฉันยืมบริษัทก่อน จะค่าอะไรก็ลงไปเหอะ ไม่เห็นแปลก”
“ค่ะ”
กบรีบเดินออกจากห้องนี้ไปทันที
อ่านต่อหน้า 2
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตกตอนเย็น ที่สำนักงานทนายความบูรพา ชุมสาย กำลังอ่านพินัยกรรมของวิมลรัตน์ อยู่กลางห้องประชุมในสำนักงานทนายความของเขา
“ข้าพเจ้าได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้เพื่อแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรม ให้ทรัพย์สินของข้าพเจ้า ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคตตกเป็นของบุคคลใดบ้าง”
คิมหันต์นั่งฟังอยู่ในห้องนี้ด้วย
“หนึ่ง เงินสดในธนาคารกรุงศรีบัญชีนางวิมลรัตน์ สุริยะศักดิ์ และบัญชี บริษัทมอลลี่ จำกัด และบัญชี...ยกให้เป็นของนายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ผู้เป็นน้องชาย สอง ครึ่งหนึ่งของเงินสดในบัญชี บริษัทมอลลี่ จำกัด ซึ่งเป็นบัญชีร่วมของข้าพเจ้าและนายธาดา คุรุรัตน์ผู้เป็นสามี ยกให้นายคิมหันต์ น้องชายข้าพเจ้า”
พินัยกรรมในมือชุมสาย มันเป็นลายมือวิมลรัตน์ ที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึม
“สาม บ้านเลขที่ 7 สี่ บ้านเลขที่ 23 ห้า บ้านเลขที่ 99” เขาเงยหน้ามองมายังคิมหันต์ “บ้านสามหลังยกให้แกอีกว่ะคิม หก หุ้นในบริษัท Molly ในส่วนที่เป็นของข้าพเจ้า…ของแกอีกเหมือนกัน...เจ็ด รถยนต์…”
คิมหันต์พูดออกมาว่า “ของฉันทุกคัน”
“เครื่องประดับต่างๆ...”
“ที่เป็นของพี่มล จะเป็นของฉันหมด”
“แกรวยอื้อเลยว่ะ”
“พี่มลรู้ว่าใครจริงใจ พึ่งพาได้ และใครมาเพื่อปอกลอก”
“แล้วแกจะเอายังไง”
“พินัยกรรมนี้ต้องพิสูจน์ลายมือ หรือกระบวนการทางกฏหมายอีกมั้ย”
“ก็เป็นขั้นตอนปกติ ไม่ได้ยากเย็นอะไร”
“เมื่อผ่านขั้นตอนเหล่านั้นแล้ว ฉันจะฟ้องเอาของๆ ฉันคืน ทั้งเงินสด รถ และบ้าน ไอ้ฆาตกร มันต้องไม่ได้อะไรที่เป็นของพี่มลเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
มุกรินนั่งซึมนิ่งอยู่ในบ้านมาพักใหญ่ตั้งแต่กลับจากบ้านวิมลรัตน์ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงเอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์จากพี่ชาย
“พี่ใหญ่...”
ธาดายืนพูดโทรศัพท์อยู่ในผับแห่งเดิม หน้าตาเครียด ด้านหลังของเขาเป็นบรรยากาศอึกทึกในผับนั้น
“มุก พี่เพิ่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ แม่งเลวว่ะมุก มันเป็นผู้ชายที่โคตรเลวที่สุดเท่าที่พี่เคยเห็นมา”
“ค่ะ”
“มุกไม่ต้องไปเสียใจนะ เราควรจะดีใจ เราควรจะฉลองที่ไอ้ผู้ชายเหี้ยๆแบบนี้พ้นไปจากชีวิตเราได้...ออกมากินอะไรกับพี่มั้ย มุก”
“พี่ใหญ่อยู่ไหนคะ”
“พี่ออกมาคุยธุระเรื่องงานกับพรรคพวกนิดหน่อย”
“เสียงดังอย่างนั้นพี่ใหญ่คุยธุระรู้เรื่องเหรอ”
“ธุระพี่คุยเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังผ่อนคลาย”
“แล้วคืนนี้พี่ใหญ่จะกลับมานอนที่นี่มั้ยคะ”
“ยังไม่รู้เลย มุกไม่ต้องห่วงพี่หรอก พ่อหม้ายหมาดๆอย่างพี่ มีที่ไปเยอะแยะ ตกลงจะมาฉลองกับพี่มั้ยล่ะ”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นพี่มีอีกเรื่องนึง ที่จะบอกมุก เพื่อตอกย้ำความระยำของไอ้คิมหันต์ มุกฟังให้ดีนะ”
มุกรินถือหูโทรศัพท์ รอฟัง
“พรรคพวกที่เคยช่วยเหลือพี่คราวก่อนส่งข่าวมาว่า มีคนเห็นไอ้คิมหันต์เดินควงอยู่กับสาวไฮโซ พี่จะสืบดูว่าเป็นใคร แล้วจะมาบอกมุก จะได้เอาชื่อไปประจานมันบ้าง”
มุกรินวางโทรศัพท์ลง เธอนิ่งอึ้ง เหม่อลอย ราวกับไร้ชีวิตจิตใจ เสียงออดของบ้านหลังนี้ดังขึ้น มุกรินค่อยๆ ลุกเดินไปเปิดประตู
เห็นปรารภยืนยิ้มสง่าอยู่หน้าประตูบ้าน
“ไม่ทราบว่า อยู่คนเดียวรึเปล่าครับ คุณมุกริน”
มุกรินมองหน้าปรารภ แปลกใจนิดๆ
“ไม่ต้องกลัว ผมมาดี”
มุกรินฝืนยิ้มน้อยๆ
“ผมเดาว่าคุณน่าจะกำลังเหงา ส่วนผมนั้นก็กำลังหิว ผมก็เลยสั่งอาหารแบบที่เรากินกันวันนั้นมา เผื่อมันจะแก้ปัญหาของเราวันนี้ได้”
ปรารภชูถุงอาหารให้ดู มุกยิ้มบางๆ โดยไม่ต้องฝืน
อีกฟากหนึ่ง ตรงโต๊ะมุมสวยสุดในร้านหรูแห่งนี้ ผู้คนในร้านลอบมอง และแอบซุบซิบถึงคนบนโต๊ะนั้น
จนเห็นเป็น คิมหันต์และพักตรานั่งคู่กันอยู่ อาหารบนโต๊ะ หน้าตาน่ากินยิ่งนัก
“คิมเชื่อมั้ยคะ...ตอนนี้คนในร้านนี้กำลังแอบมองเราอยู่”
“อืม...ผมก็แอบดูพวกเขาอยู่เหมือนกัน”
“รับรองว่าพวกเขาต้องกำลังนินทาคิม ว่า ต๊ายตาย เพิ่งถอนหมั้นมาหยกๆ หันมาควงสาวสวยคนใหม่ซะแล้ว”
“อย่างนั้นเลย”
“รับรอง ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าพักตร์ไม่ใช่สาวสวยคนใหม่ ที่จริงเป็นคนเดิม คนแรกของคิมต่างหาก...ใช่มั้ยคะ”
คิมหันต์ไม่ได้สนใจตอบ เขามัวแต่มองดูท่าทีผู้คนรอบๆ ร้าน
“คิม…คิมไม่ฟังพักตร์เลยอ้ะ”
“โทษทีครับ พักตร์ว่าไงนะ”
“ไม่ว่าแล้ว”
“งอนด้วยเหรอ”
พักตราทำท่างอน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน
“ลืมไปคิมไม่ชอบผู้หญิงขี้งอน แต่คิมรู้มั้ยผู้หญิงงอนแปลว่าอะไร”
พักตราเอื้อมมือมากุมมือคิมหันต์ ลูบไล้อย่างนิ่มนวล
“ยิ่งงอนมาก ก็ยิ่ง...”
“มิน่า มุกไม่เคยงอนผม...แต่หักหลังผมเลย”
“นั่นน่ะสิ คิมรู้มั้ย คุณพ่อถามพักตร์เรื่องนี้ด้วยนะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องข่าวกับคลิปไง พ่อถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า หรือมีใครแกล้ง พ่อสนใจข่าวนี้มากเลยนะ รู้มั้ย”
“แล้วคุณตอบท่านว่าไง”
“ก็ตอบว่า จริง อย่างที่คิมบอกพักตร์น่ะแหละ นายคิมหันต์จะไม่มีวันแต่งงานกับน้องสาวฆาตกรที่ฆ่าพี่มลเป็นอันขาด”
“ท่านว่าไง”
“ท่านบอกว่า เป็นท่านก็คงจะทำอย่างนี้เหมือนกัน”
ฝ่ายมุกรินและปรารภนั่งกินอาหารอยู่กลางห้องโถงบ้าน เฉพาะปรารภเท่านั้นที่เพลิดเพลินกับการกิน
ส่วนมุกริน ได้แต่นั่งมองเป็นส่วนใหญ่
“สงสัยวันนี้จะไม่อร่อยเหมือนวันนั้น”
“เหมือนกันค่ะ”
“แต่ดูมุกไม่มีความสุข”
มุกรินยิ้มบางๆ แทนคำตอบ
“ผมเข้าใจ เอางี้นะถ้ามีอะไรที่มุกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ บอกพี่รภนะ พี่ยินดีช่วยมุกเสมอ”
“ขอบคุณค่ะ”
“มาพี่ช่วยเก็บจานเอง”
ปรารภลุกขึ้นเก็บจานอาหาร เพื่อนำไปล้าง
ระหว่างนี้ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มุกรินรับโทรศัพท์เครื่องนั้น
“ฮัลโหล พี่ใหญ่ ว่าไงนะคะ ช่างเขาเถอะค่ะ พี่ใหญ่ไม่ต้องทำอะไรเขานะ เราไม่มีอะไรเกี่ยวกันแล้ว”
มุกรินวางโทรศัพท์ลง สีหน้าเธอไม่สู้จะดีนัก จนปรารภเดินกลับเข้ามานั่งใกล้ๆ
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“พี่ใหญ่โทรมาบอกว่า...คิมไปกินข้าวกับพักตรา”
“ผมว่าแล้วเชียว”
“เขามีสิทธิ์ค่ะ เพราะเราถอนหมั้นกันแล้ว มุกเองก็มีสิทธิ์ไปไหนมาไหนกับใครได้เหมือนกัน”
“มุก…อย่าตัดสินใจทำอะไร เพื่อเป็นการประชดนะ”
“ไม่หรอกค่ะ มุกโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆไม่มีความคิด วันไหนพี่รภอยากจะชวนมุกไปกินข้าว ก็ชวนได้เลยไม่ต้องเกรงใจใครไงคะ”
ปรารภยิ้มชื่น “อืม...อันนี้ เข้าท่า”
ด้านพักตราเดินเกาะแขนคิมหันต์เดินออกมาจากร้านอาหารนั้น
“คิมจะกลับบ้านเลยรึเปล่าคะ”
“ยังครับ...”
“แล้วคิมจะไปไหนเหรอ”
“ขับรถเล่นประสาชายโสด ตัวคนเดียว”
“พักตร์ไปด้วยได้มั้ยคะ พักตร์จอดรถไว้ที่นี่ก่อนได้”
“ถ้าพักตร์ไปด้วย ผมก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วสิครับ คนจะยิ่งนินทาเราเยอะขึ้นนะครับ...อย่าเพิ่งเลย เกรงใจคุณพ่อคุณ”
พักตราเบียดตัวเองเข้าไปชิดร่างของคิมหันต์ จ้องตาเขาอย่างมีความหมาย
“ถ้าคุณพ่อสนับสนุนล่ะคะ”
คิมหันต์จ้องหน้าพักตรา ยิ้มก่อนพูด
“ถามท่านให้แน่ก่อนดีกว่ามั้ยครับ”
“ได้” พักตรากระซิบ “แต่ถึงพ่อจะว่ายังไง พักตร์ก็จะไม่ปล่อยให้คิมหลุดมือพักตร์ไปอีกเป็นอันขาด”
คิมหันต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ล้อเล่นค่ะ พักตร์ไม่ฝืนใจคิมหรอกค่า”
พักตราหอมแก้มคิมหันต์เบาๆ แบบทีเล่นทีจริง คิมหันต์เริ่มคิดมาก
กรุงเทพฯ ยามเช้า ในวันอันแสนสดใส
รถธาดาแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารทำการบริษัท MOLLY แต่มันกลับดูเงียบเหงา อ้างว้าง ไร้ผู้คน ประตูรั้วถูกปิดล็อค มีป้ายประกาศแผ่นใหญ่เขียนติดหนังสือไว้ตัวเป้งว่า
“บริษัทปิดกิจการชั่วคราว ขออภัยลูกค้าทุกท่าน ในความไม่สะดวกครั้งนี้“
ธาดาลงจากรถ ตรงไปหยุดยืนมองป้ายประกาศนั้น เขาตะโกนลั่น
“ยาม…ยามอยู่ไหน”
ยามวัยหนุ่มวิ่งออกมาจากป้อมใกล้ๆประตู
“ใครเอาป้ายนี่มาติด แล้วใครสั่งให้ล็อคประตู”
“ไม่ทราบครับ ผมเพิ่งมาเปลี่ยนกะเมื่อเช้านี้เอง”
ธาดายัวะ “อะไรวะ แกเป็นยาม แกปล่อยให้ใครมาทำอย่างนี้กับบริษัทของฉันได้ยังไง เอาป้ายออก ไขกุญแจด้วย”
“ไม่มีกุญแจครับ”
“งั้นก็ทุบ พังเข้าไปเลย”
”ยามกะก่อนผม เขาฝากนี่ไว้ครับ เขาบอกว่าอยากรู้อะไร ให้ไปที่นี่ครับ”
ยามส่งนามบัตรให้ ธาดารับนามบัตรนั้นมาดู สีหน้าแดงก่ำ โกรธจัด
นามบัตรใบนั้น เป็นนามบัตรของนายชุมสาย สำนักกฎหมายบูรพา
ธาดาเดินกร่างเข้ามากลางโถงสำนักงานกฎหมายบูรพา หน้าตาเขายังคงโกรธ และเอาเรื่องอยู่มาก
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง...คุณมีสิทธิ์อะไร”
ชุมสายยืนอยู่เบื้องหน้าธาดา
”ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณธาดา”
“ไม่เย็นแล้ว คุณเป็นทนาย คุณก็รู้กฎหมายนี่ คุณทำอย่างนี้ผมฟ้องเอาได้นะ”
“ครับฟ้องได้ แต่ไม่ใช่ฟ้องผม เพราะคนที่สั่งปิดป้ายนั่นไม่ใช่ผม”
คิมหันต์ก้าวเข้ามาในนั้น พร้อมกับบอก
“ผมเอง”
ธาดามองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “นึกแล้วว่าต้องเป็นแก ฉันฟ้องเอาผิดแกแน่ ไอ้คิม”
“ด้วยความยินดี ฟ้องเลย เพราะฉันก็จะฟ้องไล่แกออกไปเหมือนกัน”
“ไล่ฉัน แกจะไล่ฉันไปไหน”
“ไล่ไปให้พ้นจากทรัพย์สมบัติของพี่มลไง”
คิมหันต์โยนพินัยกรรมฉบับซีร็อกซ์ในมือลงบนโต๊ะเบื้องหน้าธาดา
“เอ้าอ่านซะ หรือขี้เกียจอ่าน จะให้ทนายเล่าให้ฟังก็ได้นะ”
ธาดาหยิบพินัยกรรมนั้นขึ้นมาอ่าน ชุมสายวางเอกสารอีกสองแผ่นเบื้องหน้าธาดา
“นี่คือรายการทรัพย์สิน ที่เป็นของคิมหันต์ทั้งหมด ที่คุณต้องส่งมอบคืน”
ธาดาเหลือบมองดูเอกสารนั้น
“ถ้าฉันไม่ให้ล่ะ”
คิมหันต์บอกเสียงเข้ม “ก็ขึ้นศาลกัน”
ชุมสายวางเอกสารอีกหนึ่งแผ่น ข้างๆ เอกสารเดิม
“ส่วนนี่คือรายการทรัพย์สินของคุณ ที่อยู่ที่บ้านพี่มล นายคิมหันต์รวบรวมแพ็คใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คุณแวะไปรับได้ที่บ้านเลย เราจะให้เวลาคุณสองอาทิตย์เพื่อเคลียร์ทรัพย์สินส่วนที่ต้องส่งคืนเรา”
ธาดาโกรธจัด แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“คิดว่าขู่อย่างนี้ แล้วกูจะกลัวเหรอ”
คิมหันต์เหยียดปากยิ้มเย้ยหยัน ชุมสายกระเถิบเข้าไปพูดใกล้ๆ ธาดา
“ผมว่านายคิมหันต์ขู่คุณได้มากกว่านี้อีกเยอะ คุณอย่าเสี่ยงดีกว่า”
บรรเจิดนั่งพูดสายมือถืออยู่ในออฟฟิศ เบื้องหน้าคือจอคอมพิวเตอร์ ที่เขากำลังเล่นเกมออนไลน์อยู่
“ผมไม่คิดว่าคุณจะต้องโทร.หาผมอีกนะครับคุณธาดา”
ธาดาโทร.จากในผับที่ยังไม่เปิดให้บริการ ด้านหลังของเขา เป็นสาวหมวยหน้าเก๋ ผมหยิกไปทั้งหัวนั่งเล่นกีตาร์อยู่บนเวที เธอมีชื่อว่า ดวงดาว เธอกำลังออดิชั่นอยู่
“ไม่โทรไม่ได้ครับ พวกมันรุมเล่นงานผมหนักเลย มันจะตั้งผู้จัดการมรดก และฟ้องเอาสมบัติไปหมด ไม่ให้อะไรผมเลย”
“คุณวิมลรัตน์ทำพินัยกรรมไว้รึเปล่า”
“ผมก็เพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เอง”
“เนื้อหาในพินัยกรรมว่ายังไงบ้าง”
“ก็อย่างที่มันว่านั่นแหละครับ ไม่ให้อะไรผมเลย แต่ผมเชื่อว่า เรายื่นศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเราเอง สู้กับมันได้นะ ใช่มั้ยครับ ผมว่าคุณบรรเจิดน่าจะมีทางออกให้ผมได้นะ”
“ทางออกที่ดีที่สุดของคุณก็คือ หลีกเลี่ยงการขึ้นศาลซะ มันไม่สนุกหรอกครับเรื่องพวกนี้ยอมๆ มันไปเถอะคดีเก่า เรายังต้องสู้กับมันในชั้นอุทธรณ์อีกนะครับ อย่าหางานเพิ่มกว่านี้เลยคุณธาดา ที่สำคัญ คุณใช้หนี้เสธ.หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่มีภาระที่ต้องปกป้องอะไรคุณอีกแล้ว รักษาตัวให้ดีนะครับ คุณธาดา”
ธาดากดวางโทรศัพท์ลงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เวรเอ๊ย”
ดวงดาวร้องเพลงจบพอดี เธอถือกีตาร์เดินตรงมาหาธาดา
“หนูเสร็จแล้วค่ะ”
“เร็วจัง”
“เขาให้เล่นให้ดูแค่สองเพลง ยังไม่บอกว่าจะรับหรือไม่รับ”
“งั้นอาว่าอย่าเล่นเลย เรียนหนังสือให้จบก่อน เดี๋ยวอาหางานดีๆ ให้เอง”
“อาจะรู้ได้ไง ว่าอะไรดีสำหรับหนู”
“รู้สิ รู้ดีกว่าหนูด้วยซ้ำ”
ทั้งสองคนขยับเดินออกจากร้าน
“แวะกินอะไรกันก่อนเข้าบ้านมั้ยค่ะ”
“อาขอโทร.หาน้องสาวแป๊บนึง”
โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานมุกริน มีเสียงดังขึ้น มุกรินนั่งเหม่อนิ่งอยู่ที่โต๊ะของเธอ จนสีดาโผล่หน้าเข้ามาหามุกริน
“มุก มุก…โทรศัพท์ดัง...ไม่รับเหรอ”
“เอ้อ…”
“ใจลอยไปไหน รับเร็วซี่ เผื่อคู่หมั้นโทร.มาขอคืนดี”
มุกรินค่อยๆยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล”
ธาดายืนพูดโทรศัพท์อยู่ข้างรถบริเวณตรงที่จอดรถของผับ มีดวงดาวยืนพิงกระโปรงรถธาดารออยู่
“มุกรู้มั้ยไอ้คิมหันต์มันทำอะไรกับเรา มันจะฟ้องยึดทรัพย์สินของเราทั้งหมด ทั้งเงินสด ทั้งเครื่องเพชร ทั้งบริษัท ทั้งบ้าน ทั้งรถ มันจะบ้าใหญ่แล้ว”
มุกรินตกใจ “พี่ใหญ่ว่าไงนะคะ”
“มันจะเล่นพี่ให้ตายให้ได้”
“คิมไม่น่าทำถึงขนาดนี้”
“พี่ก็ไม่รู้ มุกลองพูดกับมันดูหน่อยซิ อย่างน้อยก็เลิกรากันด้วยดีดีกว่า ทำอย่างนี้มันไม่แมนเลย เดี๋ยวดึกๆ คุยกันที่บ้านนะมุก”
ธาดากดปุ่มโทรศัพท์เลิกการสนทนา แล้วเดินกลับไปที่รถ
“อา วันนี้หนูอยากดูหนัง”
“ตกลงจะกินข้าวหรือดูหนัง”
“ทั้งสองอย่างไม่ได้เหรอ แต่ถ้าอาไม่ว่าง หนูไปดูกับเพื่อนๆ ก็ได้”
“ไม่…อาไปด้วย จะได้ถือโอกาสหลับในโรงซักงีบนึง”
ทั้งคู่ขึ้นรถ ธาดาขับรถออกไปทันที
ปรารภเดินไปยืนหน้ามุกริน ที่ยังซึมนิ่ง อยู่ที่โต๊ะทำงาน
“พี่ไม่ชอบมุก ลุคนี้เลย”
“พี่รภคิดว่ามุกชอบเหรอ
“งั้นก็เปลี่ยนซี่ แบบนี้ไม่เอา เอามุกคนเดิมกลับมา”
“ก็มุกไม่เหมือนเดิมนี่คะ”
“แค่เลิกกับแฟน แค่แฟนขอถอนหมั้น ไม่ใช่โลกจะถล่มทลายนะมุก”
มุกรินยังคงซึม นิ่งอยู่ท่านั้น ปรารภลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เธอ
“พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเศร้า เรื่องผิดหวัง ปวดร้าวใจ แต่ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป โธ่ พี่หย่าร้างมาตั้งสามครั้ง ลูกสอง แม่สาม พี่ยังยิ้มร่าเริง ทำงานทำการต่อได้เลย”
“ถ้าคิมเขาจะบอกเลิกกับมุกดีๆ แค่นั้น มุกก็พอทำใจได้ค่ะ แต่นี่เขาทำเหมือนจงใจอาฆาตแค้น จองเวรมุกกับพี่ใหญ่มากๆ มุกอยากรู้ว่าเขาทำทำไม”
ปรารภถอนใจแรง แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“อยากรู้ใช่มั้ย อยากรู้ก็ไปถามเลยสิ กลัวอะไรพี่ไปด้วย จะได้จบๆ ทำงานทำการได้ เอามั้ย”
มุกรินครุ่นคิดตาม
ตกตอนเย็น รถพักตราแล่นตรงเข้ามาจอดหน้าประตูบ้านวิมลรัตน์ซึ่งบัดนี้เป็นของคิมหันต์ ซึ่งรถปรารภจอดอยู่ห่างออกมาจากประตูเล็กน้อย
คิมหันต์และพักตรามองไปที่รถคันดังกล่าว ทั้งสองเห็นปรารภและมุกรินนั่งนิ่งอยู่ในรถนั้น พวกเขามองมาที่รถพักตราเช่นกัน
“นั่นยายมุกนี่คะ คงจะมาอ้อนวอนขอคืนดีกับคิมละมั้ง”
คิมหันต์ส่ายหน้า “เขานั่งมากับนายปรารภ”
ขณะเดียวกันปรารภและมุกรินมองไปที่รถพักตรา
“ไม่ใช่รถคิมหันต์”
“คงเป็นเพื่อนเขา”
มุกรินมองชัดๆ ก็จำได้ “รถพักตรา เขาคงมาด้วยกัน”
ปรารภมองออกไป เห็นพักตราเปิดประตูรถ เดินนวยนาดตรงมาที่รถเขา
“อาจจะจริงอย่างคุณว่า”
พักตราเดินมาจนถึงรถปรารภ เธอเคาะกระจกข้างคนขับ กระจกบานนั้นค่อยๆ เลื่อนลง
ปรารภยิ้มทักตามมารยาท
“มาจอดรถซุ่มอยู่หน้าบ้านคนอื่นอย่างนี้ ไม่ดีนะคะคุณปรารภ”
“ผมไม่ได้ซุ่มครับ ผมมารอพบเจ้าของบ้าน”
“งั้นก็เชิญ...”
พักตราก้มหน้าต่ำลงมามองมุกริน
“มุก ลงมาสิ...ลงมาเลย คิมหันต์อยู่ในรถฉัน โน่นแน่ะ”
คิมหันต์ก้าวออกมายืนพิงรถพักตรา
“พอดีเราไปกินข้าวกันมาน่ะ ช่วงนี้คิมเขายังต้องทำใจหลายเรื่อง น่าสงสาร ฉันก็เลยต้องคอยดูแลหัวใจเขาหน่อย เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”
มุกรินพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง โดยไม่ตอบใดๆ
“แต่ที่จริง เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะว่าอะไรอยู่แล้วนี่”
พักตราเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านมุกริน
“เอาเถอะ เธอไปคุยกับคิมหน่อยดีกว่า ฉันเข้าใจ คนเพิ่งเลิกกัน เพิ่งถอนหมั้นกัน อาจจะยังเคลียร์กันไม่จบ เอาเลย ฉันรอได้ ไปคุยให้จบซะนะ จะได้สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย” เธอหันมาทางปรารภ “พ่อหม้ายอย่างคุณก็จะได้อานิสงค์ด้วยไงคะ คุณปรารภ”
มุกรินตัดสินใจก้าวลงจากรถ เดินตรงไปหาคิมหันต์ พักตรายืนพิงรถปรารภอยู่ตรงนี้
มุกริน เดินมาจนประจันหน้ากับคิมหันต์
“เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกับนายปรารภบ่อยนะ”
“ก็คงพอๆ กับที่คิมไปกับพักตรานั่นแหละ”
“มาที่นี่ทำไม”
“มุกไปที่บ้านคุณ แต่ไม่เจอใคร”
“ต้องการพบผมเรื่องอะไร”
มุกรินสะท้อนในอก “คิมไม่คิดจะพูดดีๆ กับมุกอีกแล้วใช่มั้ย”
“ผมพูดไม่ดีตรงไหน”
มุกริน นิ่ง รวบรวมสติก่อนเอ่ยปาก
“ได้ เอายังงี้ก็ได้ ดิฉันรู้ว่าคุณจะฟ้องยึดทรัพย์สินจากพี่ธาดา มากมาย”
“มันเป็นสิทธิ์ของผมในฐานะน้องชายคนเดียวของพี่มล สมบัติเหล่านั้นเป็นของพี่มล ผมก็ต้องเป็นผู้ดูแลรักษา”
“คุณก็เอาไปแต่เฉพาะของของพี่มลสิ คุณอยากได้อะไรก็เอาไปเลย แต่คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาฟ้องเอาบ้านของฉันไปด้วย บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ทุกวัน ตั้งแต่เล็กจนโต บ้านเดิมของพ่อของแม่ฉัน ที่ท่านค่อยๆ สร้างมา คุณมีสิทธิ์อะไร จะมายึดของของพ่อแม่ฉัน”
คิมหันต์ยิ้มหยันอย่างสมเพชเวทนา
“พี่ชายที่แสนดีของคุณเขาไม่เคยบอกอะไรคุณเลยเหรอ”
“บอกอะไร”
“บ้านหลังนั้น เป็นของพี่มลมานานแล้ว”
“ว่าไงนะ”
“พี่ชายคุณเอาบ้านมาจำนองกับพี่สาวผม ตั้งแต่วันที่รู้จักกันใหม่ๆ ก่อนจะตกลงแต่งงานกันซะอีก แล้วเขาก็ปล่อยให้หลุดจำนองไปเฉยๆ พี่ชายคุณได้เงินไป ไม่น้อยนะ แต่เขาเอาไปผลาญทิ้งที่ไหนบ้าง ผมก็ไม่อาจทราบได้ ป่านนี้คงหมดเกลี้ยงแล้วมั้ง”
มุกรินอึ้ง พูดไม่ออก
“เพราะฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นเป็นของพี่มลมานานแล้ว คุณน่ะมาอาศัยบ้านพี่สาวผมอยู่ ยังไม่รู้ตัวอีก น่าสงสาร หรือ หน้าโง่กันแน่”
น้ำตามุกรินค่อยๆไหลออกมา
“มีอะไรสงสัยอีกหรือเปล่าครับ”
มุกรินขยับตัวจะเดินออกไป
“ฝากบอกพี่ชายคุณด้วยว่า กำหนดคืนของ สองอาทิตย์นะ อย่าลืมล่ะ ทนายของผมจะคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนบ้านน่ะ ผมยอมให้ช้าหน่อยได้ เผื่อเวลาให้คุณขนย้ายข้าวของ แต่ก็ไม่น่าลำบากมั้ง พ่อหม้ายคนนั้นคงช่วยเหลือกุลีกุจอเต็มที่ละ”
มุกรินหันหน้าไปหาคิมหันต์ น้ำตานองหน้า
“จะอ้อนวอนอะไรผมอีกเหรอ”
มุกรินเอ่ยปาก เสียงเด็ดเดี่ยว
“คุณจะได้ของของคุณคืนโดยเร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ คุณคิมหันต์”
มุกรินเดินก้าวยาวๆ กลับไปที่รถปรารภโดยเร็ว น้ำตายังคงไหลนองหน้า ปรารภรีบตรงเข้าไปรับ รีบเปิดประตูให้มุกรินเข้าไปนั่งในรถ พักตราจงใจฉีกยิ้มให้มุกรินและปรารภคนละที
“ร้องไห้แบบนี้ แปลว่าจบขาดกันแล้วนะ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณนะคุณปรารภ”
จากนั้นพักตราก็เดินกลับไปที่รถของเธอ
พักตราที่เดินไปยืนเบียดข้างๆ คิมหันต์ ขณะเขาเอ่ยปากเสียงเรียบๆ
“พักตร์กลับบ้านเถอะ ผมอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก”
“ค่ะ แต่อย่าอยู่คนเดียวนานนักนะคะ คิม ไม่สนุกหรอก”
พักตราถือโอกาสหอมแก้มคิมหันต์ฟอดหนึ่ง ก่อนขยับตัวลงนั่งในรถ คิมหันต์มองไปที่มุกริน พบว่าเธอมองจ้องมาที่เขาเช่นกัน
รถของธาดาแล่นตรงเข้ามาจอดในบ้านมุกริน เขาก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
ธาดาเดินเข้าในห้องโถงกลาง เขาร้องเรียกหาพร้อมกับเดินกวาดสายตามองหาไปด้วย
“มุก…มุก…มุกนอนรึยัง”
ธาดาเดินจนมาเจอกับมุกรินเธอนั่งซึมนิ่งอยู่เพียงลำพังในห้องรับแขก ธาดาพูดต่อ โดยไม่สังเกตอาการและท่าทีของน้องสาว
“ทำไมมานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้ล่ะ พี่เอารถมาจอดทิ้งไว้ที่นี่นะ นี่กุญแจวางที่โต๊ะนี่ มุกรู้มั้ยว่าไอ้คิมหันต์มันแสบขนาดไหน มันทำ…”
มุกรินพูดสวนออกมาโดยไม่รอฟังธาดาพูดจบ
“พี่ใหญ่ทำไมทำอย่างนี้...”
“ก็มันจะยึดของของพี่ พี่จะยอมได้ไง พรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้า จะไปเอาของของพี่ออกมาให้หมด พี่ไม่ยอมมันหรอก”
ธาดาเข้าใจว่าเป็นเรื่องรถ แต่มุกรินบอกว่า “มุกหมายถึงบ้านหลังนี้”
“บ้านหลังนี้มันก็จะยึด มุกคิดดู ดูมันทำกับเราสิ” เขาสบช่องมอบเป็นความชั่วให้คิมหันต์อีก
“ก็พี่ใหญ่เอาไปจำนองกับเขาทำไมล่ะ”
ธาดาอึ้ง นิ่งงันไปเลย ปล่อยให้มุกรินค่อยๆ พรั่งพรูความรู้สึกตัวเองออกมาพร้อมหยาดน้ำตา
“นี่มันบ้านพ่อ บ้านแม่ ที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่าน มุกอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มุกมี เป็นมรดกจากพ่อแม่ แต่พี่เอาไปจำนอง ไม่บอกมุกซักคำ”
ธาดาเอาสีข้างแถไป “ตอนนั้นพี่ขาดเงินจริงๆ”
“ขาดเงินทำอะไร มุกไม่เห็นรู้เลย”
ธาดามีอาการอึกอัก ส่อพิรุธชัดแจ้ง
“ก็ธุรกิจที่พี่ทำตอนนั้น”
“แล้วทำไมพี่ไม่ไถ่คืนมา พี่ใหญ่ปล่อยให้บ้านหลุดจำนอง เป็นของเขาไปได้ยังไง”
“ก็พี่แต่งงานกับเขา พี่ก็นึกว่า ผัวเมียกัน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“พี่นึกเอาเองอย่างนี้มาตลอด แล้วมุกจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
ธาดาค่อยๆ เอื้อมมือไปโอบ ปลอบโยนมุกริน
“มุกฟังนะ มุกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่หละ พี่เตรียมส่งเรื่องให้ทนายของเราสู้กับมันแล้ว ทนายเราเก่ง เก่งกว่ามันเยอะ เราชนะมันแน่”
“เหมือนที่พี่พ้นผิดจากคดีฆาตกรรม ใช่มั้ย พี่ใช้ทนายเก่งๆถึงเอาชนะเขาได้ แต่จริงๆ แล้วพี่ใหญ่...”
ธาดากระชากตัวมุกเข้ามาชิดตัวเองแน่นและพูดสวนออกไปทันที
“พี่ไม่ผิด พี่ไม่ใช่ฆาตกร จำไว้นะ มุก พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง มุกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
ธาดาเดินออกจากบ้านไปเมื่อพูดจบ
รุ่งเช้า รถคิมหันต์แล่นออกไปจากบ้าน โดยมีรถแท็กซี่จอดซุ่มห่างออกมาจากประตูบ้าน
ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่คันนี้ คือ ธาดา เขารอจนรถคิมหันต์ลับตาไป จึงยื่นมือส่งเงินให้โชเฟอร์
“นี่ค่ารถ แต่รออยู่นี่ก่อนนะ ฉันเข้าไปเอาของ แล้วจะไปต่อ”
“ได้ครับ”
ธาดาลงจากรถเดินไปกดออดที่ประตูบ้าน
ไสวทำสวนอยู่ วิ่งมาเปิดประตูบ้านออกมาประจันหน้ากับธาดาที่ยืนรออยู่
“คุณธาดา”
“ฉันมาเอาของของฉัน”
“คุณคิมหันต์ใส่กล่องไว้เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมยกมาให้”
“ไม่ต้อง ฉันจะเข้าไปเอาเอง”
“แต่…” ไสวพยายามทัดทาน
ธาดาจ้องหน้าเขม็ง “ทำไม…แกจะไม่ให้ฉันเข้าไปเหรอ”
“ก็…”
“ฉันเคยอยู่ที่นี่ ฉันเคยเป็นเจ้านายแก เคยออกคำสั่งแก แกลืมแล้วเหรอ”
“ไม่ลืมครับ...แต่คุณคิมหันต์สั่งว่า...”
“ฉันก็เลือกมาตอนที่มันไม่อยู่แล้วนี่ไง แกจะได้ไม่ต้องลำบากใจ หลีกไป”
ธาดาผลักไสวออก แล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน
ธาดาเดินเข้ามาหยุดยืนกลางโถงบ้าน ไสวค่อยๆ ตามมาข้างหลังห่างๆ ถวิล เดินออกมาจากหลังบ้าน
ตรงเข้ามาขวางหน้าธาดา
“คุณธาดาคะ ของคุณธาดาอยู่นี่ค่ะ”
ถวิลชี้ไปที่มุมห้อง เห็นมีลังกระดาษสามใบ แพ็ควางอยู่ที่มุมห้อง
“จะบ้าเหรอ ของฉันตั้งเยอะแยะ ทำไมเหลือแค่สามลัง แค่เนี้ย”
ธาดาเดินตรงไปทางบันได ถวิลพยายามจะขวางแต่ไม่เป็นผล
“คุณจะไปไหน”
“ฉันจะไปเอาของของฉันในห้องนอนฉัน”
ธาดาเดินขึ้นบันไดไป
“คุณคิมหันต์ห้ามใครขึ้นไปเป็นอันขาดนะคะ” ถวิลตะโกนไล่หลังไป
“ช่างแม่ง ฉันไม่สน”
ถวิลและไสว รีบก้าวยาวๆ ตามขึ้นไป
อ่านต่อหน้า 3
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 (ต่อ)
ธาดาก้าวเข้ามาหน้าโถงห้องนอน เขาหยุดยืนมองไปรอบๆ นิ่ง สักพักจึงเดินไปจับลูกบิดประตู
แต่พบว่ามันถูกล็อคไว้ ธาดาหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า ถวิลและไสวก้าวเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ในมือ
“คุณธาดาคะ คุณคิมหันต์สั่งห้ามใครเข้าห้องนี้เด็ดขาด ถ้าคุณเข้าไป ดิฉันจะโทร.แจ้งตำรวจและแจ้งคุณคิมหันต์เดี๋ยวนี้เลย”
ถวิลยกโทรศัพท์ขึ้นมาขู่ ด้วยการทำท่าพร้อมโทร. โดยไม่มีใครคาดคิด ธาดาหันกลับถลาเข้าไปหาถวิล และใช้มือขยุ้ม จิกหัวถวิลขึ้นมา ไสวตกใจทำอะไรไม่ถูก
“แกพูดกับใคร นังหวิน ฉันก็เจ้านายแกคนนึง เคยจิกหัวแกใช้บ่อยๆ ลืมแล้วเหรอ ไอ้สองคนผัวเมียนี่เป็นอะไรนักหนา ถึงได้ขี้ลืมอย่างนี้”
ธาดากระชากโทรศัพท์จากมือมันมาแล้วจึงผลักถวิลออกไป
“ฉันจะเข้าไปเอาของของฉันที่ฉันลืมไว้...ทำไมจะเข้าไม่ได้”
ถวิล กับ ไสว เงียบไป ไม่มีใครพูดตอบโต้
“แล้วถ้าแกโทรบอกตำรวจหรือบอกไอ้คิมหันต์ละก้อ แกสองคนจะโดนมากกว่าจิกหัว อยากลองมั้ย”
สองผัวเมียส่ายหน้าช้าๆ
ธาดากราดตาขู่ แล้วหันไขกุญแจประตู เดินเข้าห้องนอนนั้นไป
ธาดาเดินเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาก้าวขาช้าลง เมื่อพบว่าสภาพในห้องนี้ยังเหมือนเดิม เหมือนเหตุการณ์คืนนั้นทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ความรู้สึกหลอนหลอก และหวาดเกรง ผุดขึ้นในจิตใจเขา
ภาพเหตุการณ์คืนนั้นสลับวูบวาบเข้ามาไปตามทิศทางที่สายตาของเขามอง ธาดาสลัดความรู้สึกเหล่านี้ทิ้ง และเดินตรงไปที่ตู้เก็บของมีค่า แต่มันถูกล็อคไว้เช่นกัน ธาดาส่งเสียงตะโกนเรียกอย่างหงุดหงิด
“นังหวิน ใครล็อคตู้นี้วะ ไปเอากุญแจมาหน่อยซิ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา ธาดากระชากลิ้นชักพร้อมกับตะโกนต่อไปตามแรงอารมณ์
“อีหวิน หูตึงรึไง...บอกให้เอากุญแจมา”
คิมหันต์ก้าวเข้าทางด้านหลังธาดา
“กุญแจมีดอกเดียวอยู่ที่กู อยากได้ก็เข้ามาเอา”
ธาดาสะดุ้งคาดไม่ถึง หันไปจ้องหน้าคิมหันต์เขม็ง
“ไอ้คิม”
ไม่ทันที่ธาดาจะทันขยับตัว คิมหันต์ก็ใช้วัตถุใหญ่ใกล้ตัว ฟาดลงไปที่ร่างของธาดาสุดแรงเกิด ยังผลให้ธาดาล้มกลิ้งไปกับพื้น คิมหันต์ปราดเข้าไปเตะซ้ำ
“มึงบีบคอพี่มลตรงนี้ใช่มั้ย”
คิมหันต์ใช้วัตถุท่อนเดิมตีธาดาจนกลิ้งไปทางห้องน้ำ
“แล้วมึงก็ลากคอพี่มลมาทางนี้ใช่มั้ย”
คิมหันต์ใช้เท้าเหยียบลงไปกลางหน้าอกธาดา แล้วจึงใช้มือกระชากคอธาดาดึงขึ้นมากระแทกพื้น
“แล้วมึงก็จับหัวพี่มลกระแทกอย่างนี้ ๆๆๆ ใช่มั้ย”
ธาดาพยายามขืนสู้ แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะดิ้นหนีเอาตัวรอด
ชุมสายวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ เขาตรงมากระชากแขนคิมหันต์
“ไอ้คิมหยุด...หยุด คิม หยุด”
“ปล่อย ไอ้ชุม กูจะฆ่ามัน กูจะฆ่ามัน”
ถวิล ไสววิ่งเข้ามาช่วยดึงคิมหันต์ออกมาจนสำเร็จ ชุมสายตะคอกใส่เพื่อน
“แกฆ่าเขาตายแล้วได้อะไรขึ้นมา มีแต่แกจะติดคุกหัวโตเท่านั้น”
“ก็ทีมันฆ่าพี่มลล่ะ ทำไมมันรอดได้ ทำไมมันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ มันเป็นเทวดาเหรอ”
“คุณคิมคะ คุณธาดานิ่งเลยค่ะ...ตายรึเปล่าคะ” ถวิลหน้าตาตื่น
ทุกคนหันไปดู เห็นธาดานอนนิ่ง เลือดไหลท่วมร่าง
“ฉิบหายแล้วมั้ยล่ะ”
ชุมสายพุ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ธาดาค่อยๆ บิดร่าง ร้องครวญคราง อย่างทรมาน
“ยังไม่ตาย”
“คนเลวแม่งหนังเหนียวอย่างนี้เสมอ”
คิมหันต์ตะโกนสั่งออกมาลอยๆ
“โทร.เรียกรถพยาบาลที แล้วโทร.บอกน้องสาวมันด้วย”
มุกรินเปิดประตูเข้ามาในห้องฉุกเฉิน จนมาถึงเตียงนอนคนไข้ ซึ่งธาดานอนอยู่บนเตียงนั้น
หมอและพยาบาลกำลังเย็บแผลให้เขาอยู่
“พี่ใหญ่”
“พี่จะเอามันเข้าคุก มุก พี่จะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“ทำแผลให้เสร็จแล้วค่อยพูดกันนะพี่ ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า”
“เย็นได้ยังไง ดูมันทำกับพี่สิ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะมุก”
ธาดาขยับตัวตามอารมณ์โกรธของเขาแต่ต้องร้องลั่น “โอ๊ย”
“คนไข้ช่วยอยู่นิ่งๆ ด้วยนะครับ”
“พี่ใหญ่อย่าลืมนะว่า พี่บุกรุกเข้าไปในบ้านเขา พี่จะไปเอาของมีค่าจากบ้านเขา ถ้าเขาฟ้องเรื่องนี้ พี่จะว่ายังไง”
หมอหยุดการเย็บแผล เงยหน้าพูดกับมุกริน
“ญาติรอข้างนอกก่อนเถอะคครับ คุยกันอย่างนี้ เย็บไม่เสร็จแน่”
“ขอโทษค่ะ มุกรอข้างนอกนะ พี่ใหญ่”
มุกรินเดินออกไปแต่โดยดี
เจ้าหน้าที่หญิงประจำห้องจ่ายยา ประกาศเรียกชื่อคนไข้ผ่านทางไมโครโฟน
“คุณธาดา คุรุรัตน์”
ธาดาที่ได้มุกรินประคองพาเข้ามาหน้าเคาน์เตอร์ โดยธาดาอยู่ในสภาพที่ทำแผล เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คุณหมอไม่สั่งยาอะไรให้นะคะ แต่นัดมาล้างแผลทุกวัน”
“ล้างเองได้มั้ยครับ”
“ถ้าสะดวก ก็ แล้วแต่คนไข้ค่ะ”
“ค่าทำแผลวันนี้ ทั้งหมดเท่าไหร่คะ”
“ไม่มีแล้วค่ะ จ่ายหมดแล้วนี่คะ”
“ยังค่ะ ดิฉันยังไม่ได้จ่ายเลย”
เจ้าหน้าที่ยิ้มบอก “อ๋อ คุณคิมหันต์ค่ะ คุณคิมหันต์จ่ายไว้ให้ครบหมดแล้วค่ะ”
ธาดาและมุกรินมองหน้ากัน
“ไอ้เหี้ยคิม” ธาดาแค้นสุดจะแค้น “มุกอย่าไปเอาเงินมันนะ พี่ไม่อยากให้เป็นหนี้บุญคุณมัน เอ้านี่ตังพี่...ช่วยเอาไปคืนมันด้วย”
ธาดาล้วงเงินส่งให้มุกรินจำนวนหนึ่ง
ที่บ้านเช่าในย่านชานเมืองของธาดา ตอนกลางวัน ดวงดาวเดินเข้ามาในบ้าน วางกระเป๋าและสัมภาระประจำตัวที่โต๊ะ แล้วจึงเปิดตู้เย็นหยิบของกิน ดวงดาวหยิบกีตาร์มานั่งเล่นที่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นปกติ
เด็กสาวเล่นกีตาร์ ร้องเพลงสักพัก ก็หยุด มองตรงไปเบื้องหน้า เห็นเป็นชายฉกรรจ์ตัวดำ หน้าแปลก ยืนจ้องดวงดาวอยู่ที่หน้าประตู
“มาหาใคร”
“นายธาดา” ชายตัวดำนั้นบอก
“รู้ได้ไงว่าเขาอยู่ที่นี่”
“รู้ แต่ไม่รู้ว่ามีเธออยู่ที่นี่ด้วย”
“คุณอายังไม่กลับ”
“งั้นฝากบอกว่า ขุมมาหา”
“คุณขุมเหรอ”
“เรียกไอ้ขุมดีกว่า เรียกคุณเดี๋ยวเขาจะนึกหน้าฉันไม่ออก”
ไอ้ขุมยิ้มกว้าง แล้วเดินออกจากบ้านไป ดวงดาวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
อีกฟากหนึ่ง รถมุกรินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เห็นรถยกคันใหญ่จอดขวางหน้าประตูบ้าน
ทีมงานล้วนเป็นชายฉกรรจ์ 4 คน ยืนรุมๆ อยู่แถวนั้น มุกรินก้าวลงจากรถ เอ่ยปากถาม
“มาทำอะไรกันหน้าบ้านฉัน”
“มารอยกรถ” ชาย 1 ท่าทางเป็นหัวหน้าบอก
“รถใคร”
ชาย 1 คนนั้นหยิบกระดาษใบสั่งงานขึ้นมาอ่าน
“ชื่อเจ้าของรถในทะเบียนชื่อวิมลรัตน์ สุริยะศักดิ์ คุณรู้จักมั้ยล่ะ”
มุกริน นิ่งไป
“น้องชายเขาบอกว่ารถอยู่ที่นี่ ที่บ้านหลังนี้ ให้มายกกลับไป ไม่ทราบว่า มีปัญหารึเปล่าครับ”
มุกรินสูดหายใจลึกๆ เธอยังยืนนิ่งอยู่
“ถ้ามีปัญหาผมจะได้กลับไปบอกเขา ให้เขาฟ้องร้องเอาเองแล้วกัน ว่าไง ผมมารอนานแล้วนะ”
“ไม่ต้องยก ฉันจะขับไปคืนเขาเอง”
“ตามใจ เสียเวลาชิบหาย...กลับเว้ย”
มันเป็นเวลายามเย็น ขณะรถธาดาแล่นตรงเข้าไปจอดหน้าบ้านวิมลรัตน์ มุกรินก้าวลงจากรถนั้น เดินตรงเข้าไปในบ้าน
พอเข้ามาในบ้านมุกริน วางกุญแจรถบนโต๊ะ คิมหันต์ ก้าวเข้ามาพอดี
“ผมจำได้ว่า ผมสั่งให้รถยกไปยกรถมา หรือว่านี่คืออาชีพเสริมของคุณ”
มุกรินค่อยๆ วางสัมภาระอื่นๆ ที่เธอเตรียมมา
“และนี่คือของของคุณทั้งหมด ที่เคยอยู่ที่ฉัน ฉันไม่อยากให้คุณส่งทนายมาตามทวงทีหลัง นี่เงินค่ารักษาพยาบาลพี่ใหญ่ที่คุณออกไปก่อน เอาคืนไป แล้วก็นี่ด้วย”
มุกรินวางแหวนหมั้นของเธอบนโต๊ะ เป็นชิ้นสุดท้าย คิมหันต์มองแหวนวงนั้น นิ่ง
“ผมไม่รับ”
“ฉันก็ไม่อยากเก็บมันไว้ เพราะมันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันอีกต่อไป คุณจะเอาไปขายทิ้ง หรือจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
“มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ”
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“แก้แค้น”
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ฉันอยากรู้ว่า มันจะต้องแก้กันไปถึงแค่ไหน”
“จนกว่าจะหายแค้น”
“ด้วยการสร้างความแค้นให้กับคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบสิ้นล่ะคิม”
ถึงตรงนี้ ความคับแค้นปนความน้อยใจ เป็นแรงขับให้น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาของมุกรินอีกครั้ง
“ถ้าพี่มลเป็นผีมาหักคอพี่ชายคุณซะเลยก็คงจะดี...” เขาว่า
มุกรินมองหน้าคิมหันต์อย่างผิดหวัง เธอหมุนตัว จะเดินออกไป คิมหันต์จับมือมุกรินไว้ และ บีบแน่น
“ถ้าพี่คุณตาย คุณต้องตามลงไปในนรก เพื่อไปแก้ต่างให้พี่คุณด้วยมั้ย”
“ปล่อยนะคิม ฉันเจ็บ”
“เจ็บแค่นี้ ไม่เท่าที่พี่มลโดนพี่ชายคุณทำหรอก” คิมหันต์จ้องหน้ามุกริน ด้วยดวงตาแข็งกร้าว “อยากรู้มั้ยว่าพี่มลเจ็บยังไง”
คิมหันต์ยกมือขึ้นมาวางหุ้มรอบคอของมุกริน พร้อมจะบีบ
“พี่มลถูกบีบคออย่างนี้”
“มันเป็นอุบัติเหตุ”
คิมหันต์ตวาดสวน เสียงดังลั่น
“อุบัติเหตุบ้าอะไร พี่ชายคุณบีบแรงอย่างนี้ อย่างนี้ และมากกว่านี้”
คิมหันต์ออกแรงบีบคอมุกรินทันที มุกรินพยายามดิ้นหนี
“คิม...ปล่อยนะ”
“แล้วก็ลากพี่มลไปทั่วห้องแบบนี้”
มุกรินดิ้นสะบัดจนหลุดออกมาได้
“คุณบ้าไปแล้วคิมหันต์ คุณทำใจไม่ได้ที่พี่สาวตาย แล้วคุณมาลงกับฉันอย่างนี้เหรอ”
“ก็เหมือนที่คุณทำใจไม่ได้ที่มีพี่ชายเป็นฆาตกร จนต้องยอมโกหกศาลเพื่อช่วยพี่ชายคุณไง นังตอแหล”
มุกรินเงื้อมือตบหน้าคิมหันต์อย่างแรง แถมด้วยคำว่า
“หยาบคาย”
คิมหันต์โกรธจับมุกริน เหวี่ยงลงไปบนโต๊ะใกล้ตัว เขาขึ้นคร่อมร่าง พร้อมกับขย้ำคอเธออย่างบ้าคลั่ง
มุกรินตบตีตอบโต้สุดชีวิต สุดกำลัง
“มันก็สมกับความชั่วช้าของคนอย่างคุณแล้วไง คุณทรยศต่อความรักของผม คุณมันชั่วช้าสามานย์ เลวเกินมนุษย์ ผมเกลียดคุณ เกลียดคุณ เกลียด”
ถวิลกับไสวได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย วิ่งเข้ามาในห้อง แล้วต้องตกใจหน้าตื่น
“คุณคิม” ไสวเรียกฝ่ายชาย
“คุณมุก” ถวิลเรียกฝ่ายหญิง
นั่นทำให้คิมหันต์ได้สติ หยุดอาการบ้าคลั่ง ก่อนที่มุกรินจะสิ้นลม เขายกมือไล่คนรับใช้ออกไป
“ออกไปให้หมด ฉันจะขอโทษคุณมุกรินเอง”
ถวิลและไสว เดินออกไปตามคำสั่ง มุกรินค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ทั้งคู่เหนื่อยหอบ หายใจรุนแรง ต่างเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สักพัก คิมหันต์จึงเอ่ยปากออกมาก่อน
“ผมไม่เคยคิดว่า ระหว่างเรามันจะต้องลงเอยอย่างนี้”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“หลังจากวันนี้ คุณคงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้วใช่มั้ย”
มุกรินพยักหน้าช้าๆ ทั้งแค้น ทั้งผิดหวังและเสียใจ
“ก่อนที่คุณจะเดินจากตรงนี้ไป ผมขออะไรอย่างนึงได้มั้ย”
ท่าทีและน้ำเสียงของคิมหันต์มีความอ่อนโยนจนน่าเห็นใจ มุกรินหันไปถามคิมหันต์ตรงๆ
“อะไรคะ”
ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง แล้วพลันคิมหันต์ก็ก้มลงไปจูบที่ปากของมุกรินอย่างนุ่มนวล มุกรินมีอาการเบี่ยงหลบเพียงเล็กน้อย แต่แล้วก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามรสจูบนั้น โลกหยุดนิ่งไปสักครู่ใหญ่ๆ ทั้งคู่ก็ผละออกจากกัน
คิมหันต์เอ่ยปากด้วยเสียงแผ่วเบา นุ่มนวล
“คุณยังรักผมอยู่”
มุกรินนิ่ง ไม่ปฏิเสธ
“คุณรักผม มุก และมันจะทำให้คุณเป็นทุกข์”
“ใช่ค่ะ มุกเป็นทุกข์”
“งั้นผมขอภาวนาให้คุณรักผมอย่างนี้ตลอดไป คุณจะได้ตกอยู่ในความทุกข์ จนโงหัวไม่ขึ้น”
มุกรินชะงักกับน้ำเสียง ท่าที และถ้อยคำที่เปลี่ยนไปของคิมหันต์
“เพราะสำหรับผมแล้ว มันมีแต่ความเกลียดเท่านั้นที่มีให้คุณ ผมเกลียดความเห็นแก่ตัวของคุณ คุณสมควรถูกสาปแช่งไม่แพ้พี่ชายเลวๆ ของคุณ ไอ้คนโกหก ปลิ้นปล้อน ไอ้ฆาตกร”
คิมหันต์ตะโกนลั่นราวกับคนคุ้มคลั่ง มุกรินตบหน้าคิมหันต์อย่างแรง
“ฉันเกลียดคุณ ฉันไม่รักคุณอีกแล้วคิมหันต์ คุณทำร้ายฉันทั้งกายทั้งใจ คุณทำได้แม้กระทั่งกับคนที่คุณเคยรัก คุณไม่ใช่คน ฉันเกลียดคุณ”
มุกรินเงื้อมือตบหน้าคิมหันต์อีกหนึ่งที แล้วจึงวิ่งลงบันไดพาตัวเองออกจากบ้านนี้ไปโดยไว
เมื่อกลับถึงบ้าน มุกรินเอาแต่นั่งนิ่งจมอยู่ในความคิดเพียงลำพังกลางโถงบ้าน เพลงรักเศร้าซึ้ง ค่อยๆ ดังขึ้นในใจของเธอ น้ำตาของมุกริน ไหลรินอาบสองแก้ม แต่ไม่มีอาการสะอึกสะอื้นฟูมฟายใดๆ ให้ใครเห็น
ภาพความสุขในอดีตค่อยๆ ปรากฏ สำแดงตัวตนขึ้นในความนึกคิดของเธอเป็นระลอก
มันเริ่มจากกลางทุ่งหญ้าสวยงามแห่งหนึ่ง ที่คิมหันต์และมุกริน วิ่งไล่กันมาท่ามกลางท้องทุ่งนี้ มีเสียงหัวเราะ แจ่มใส ดังกังวานขับคลอบ่งบอกปริมาณสภาพความสุข
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นในเรือนหอ ทั้งคิมหันต์และมุกรินช่วยกันตกแต่งเรือนหอด้วยกัน ทั้งทาสี ติดวอลล์เปเปอร์ เคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ และสุดท้ายเข้าครัวช่วยกันทำอาหาร
หรือเหตุการณ์ตอนเค้กวันเกิดถูกวางลงเบื้องหน้ามุกริน เธอก้มหน้าลงไปเป่าเทียนจนดับ แล้วจึงควักเค้กป้ายหน้าคิมหันต์ และถูกคิมหันต์ป้ายกลับอย่างสนุกสนาน
สุดท้ายเป็นเหตุการณ์ตอนคิมหันต์นอนเล่นกีตาร์ร้องเพลง โดยมีมุกรินนอนหนุนอยู่บนไหล่ของเขา ทั้งสองยิ้ม มีความสุข เบิกบานเหลือเกิน
ยิ่งนึกน้ำตาของมุกรินยิ่งไหลออกมามากขึ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ
ฟากคิมหันต์นั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังเล็ก สีหน้าและแววตาของเขา บอกถึงความผิดหวัง เสียใจ อยู่ไม่น้อย ข้าวของที่มุกรินเอามาคืน วางกองอยู่เบื้องหน้าคิมหันต์ รวมทั้งแหวนหมั้นวงนั้น
คิมหันต์จ้องมองแหวนหมั้น ครุ่นคิดสักพัก จึงหยิบโทรศัพท์ลุกขึ้นเดินพูด
“ฮัลโหล ผมอยากออกไปข้างนอก คุณไปเป็นเพื่อนผมได้ไหม พักตรา”
พักตรา นอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำใบใหญ่อยู่ในห้องน้ำภายในห้องนอน โทรศัพท์มือถือแนบอยู่ที่หูของเธอ
“เป็นมากกว่าเพื่อนก็ได้ค่ะ ถ้าคิมต้องการ เดี๋ยวเจอกันนะ”
พักตราวางโทรศัพท์ลงเธอยิ้มพราย หน้าตาสุขสมหวัง แล้วจึงก้าวขึ้นจากอ่างอาบน้ำอย่างเซ็กซี่
ในร้านเหล้าหรู วงดนตรีกำลังเล่นเพลงแจ๊ส จังหวะเซ็กซี่ ชวนเมา พักตราในชุดสวยค่อนข้างล่อแหลม เดินสง่าเข้ามากลางร้าน เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ จนเจอคิมหันต์นั่งดื่ม อยู่ในมุมมืด ท่าทางเมาไม่น้อยพักตราเดินตรงไปหาเขา
“เมารึยังจ๊ะ คนขี้เหงา”
“ผมไม่ได้เหงา”
“แล้วอาการแบบนี้คืออะไรล่ะคะ”
“แค่อยากมีใครซักคนที่รู้ใจผมจริงๆ และพร้อมจะนั่งคุยกับผมถึงเช้า”
พักตราขยับตัวลงนั่งเบียดชิดคิมหันต์เธอกระซิบเบาๆ ที่ริมหูเขา
“รับสมัครเมื่อไหร่ พักตร์ขอลงชื่อเป็นคนแรกเลยนะ”
“คุณเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของผม ไม่ต้องลงชื่อครับ”
“งั้นปิดรับสมัครได้เลย พักตร์คนเดียวก็เอาอยู่...คนอื่นไม่ต้องค่ะ”
พักตราจ้องตาคิมหันต์อย่างจงใจยั่วยวนและท้าทายในที
“คุณพ่อคุณจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“พ่อจะว่าเรื่องอะไร”
“ที่คุณมานัวเนียอยู่กับผมอย่างนี้”
“โอ๊ย พ่อยังมีสาวๆ มานัวเนียไม่ขาดเลย พ่อบอกว่าพระเอกต้องมีอย่างนี้ทุกคน ไม่แปลก”
คิมหันต์ถือโอกาสระบาย “แต่ผมไม่ใช่ผู้ชายในแบบพ่อคุณ ผมไม่ใช่พระเอก ผมไม่แมน ผมใจร้าย ผมรังแกผู้หญิง”
“พักตร์ชอบแบบนี้แหละ”
พักตราส่งเหล้าให้คิมหันต์ เขาดื่มมันรวดเดียวหมดแก้ว
“เมารึยังคะ พระเอกของพักตร์”
“ไม่เมาววว แต่ ขับรถกลับบ้านไม่ไหว”
“งั้นพักตรไม่ดื่มดีกว่า จะได้ขับรถให้”
“ไปไหนล่ะ”
“ไปไหนก็ได้ที่คิมต้องการ”
พักตรายื่นหน้าเข้าไปจูบมุมปากของคิมหันต์
ธาดาเดินหน้ายุ่งเข้ามาในบ้าน เจอดวงดาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ ดวงดาวเงยหน้า ทักธาดา
“อาไปตีกับใครมา ถึงได้เละอย่างนี้”
“ก็ไอ้เหี้ยคิมน่ะสิ แม่งเล่นทีเผลอ”
“หนูว่าอาเลิกยุ่งกับเขาดีกว่า เจ็บตัวไม่คุ้มหรอก ทำงานเหอะ”
“งานไม่มีแล้ว แม่งยึดบริษัทไปหมด”
“อ้าว”
“เดี๋ยวอาจะหาธุรกิจใหม่ทำ”
“ก็ดี…เขาจะได้ไม่หาว่าอาเกาะเมียกิน”
“โธ่ เมียแบบนั้น เกาะแทบตาย ไม่เหลืออะไรให้กินซักนิด...สู้เมียแบบนี้ก็ไม่ได้”
ธาดาเข้าไปโอบกอดหอมแก้มดวงดาวฟอดใหญ่
ดวงดาวเบี่ยงตัวออกอย่างเป็นธรรมชาติ
“เหม็นเหล้ามาก...ไปอาบน้ำเถอะอา...อาบได้รึเปล่า”
“ได้ แต่ต้องให้หนูอาบให้ หรืออาบพร้อมกันเลยก็ดี จะได้เล่นอะไรสนุกๆ ด้วยกัน...ดีมั้ย”
“ให้แผลหายก่อนดีกว่ามั้ง”
ขณะธาดาเดินไปทางห้องนอน ดวงดาวเอ่ยขึ้น
“วันนี้มีคนมาหาอาที่นี่”
ธาดาชะงักด้วยความแปลกใจ
“ใคร”
“ไอ้ขุม...แต่เขาไม่ได้สั่งอะไรไว้นะ”
ธาดายกโทรศัพท์กดหมายเลขโทร.ออก แล้วจึงเดินเลี่ยงห่างออกมาจากดวงดาว
“ใครใช้ให้แกมาหาที่นี่...มีอะไรทำไมไม่โทร.มา”
มุมหนึ่งในที่ อโคจร องค์ประกอบคล้ายบ่อนการพนัน ไอ้ขุมยืนพูดโทรศัพท์มือถือของมันอยู่
“โทร.ไป เฮียก็ไม่ค่อยจะรับ กะจะเบี้ยวละซี”
“เบี้ยวเหี้ยอะไร กูเพิ่งจะพ้นคดี กำลังตั้งหลักได้...มึงจะเอาเท่าไหร่”
เสียงไอ้ขุมดังลอดออกมา “ตกลงกันที่แปดแสนไงเฮีย”
“เดี๋ยวจัดการให้ แล้วอย่าเสือกโผล่มาอีกนะ ไอ้ขุม มึงหายหัวไปให้ไกลเลยนะ ไกลสุดขอบโลกไปเลย”
ธาดากดปุ่มเลิกการสนทนาแล้วเดินเข้าห้องนอนไป
ดวงดาวรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา กดปุ่มsound recorder บนหน้าจอ แล้วเลือกกดปุ่มฟังเสียงที่อัดไว้ แล้วยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง เสียงที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์เป็นเสียงอู้อี้ๆ ของธาดา ดังไกลๆมาว่า
“มึงรออยู่ที่นี่ กดรับโทรศัพท์ แล้วไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...เสร็จแล้ว มึงก็หายหัวไปให้ไกลเลยนะ
ไกลสุดขอบโลกไปเลย เข้าใจมั้ย ไอ้ขุม”
ดวงดาวปะติดปะต่อเรื่องราวตามความเข้าใจของเธอ
พักตราประคองคิมหันต์มายังรถของเขาตรงลานจอดของร้านเหล้าหรู คิมหันต์นั้นเมาแอ่นจนแทบจะยืนไม่อยู่
“ไปไหนน่ะ...ผมยังไม่อยากกลับเลย ผมอยากกินต่อ”
พักตราดันร่างของคิมหันต์ให้เข้าไปนั่งในรถคัน
“ร้านเขาจะปิดแล้วค่ะคิม เราไปที่ที่เปิดได้ทั้งวันทั้งคืนดีกว่า ที่เงียบๆ ไม่มีใคร มีแต่เราสองคนไงคะ”
“อย่าเพิ่งทิ้งผมไปนะพักตร์ อยู่กับผมก่อนนะ”
“รับรอง พักตร์ไม่มีวันไปจากคิมแน่ๆ ค่ะ”
พักตราหันไปบอกเด็กรับรถที่อยู่แถวนั้น
“ฉันฝากรถฉันไว้ที่นี่นะ พรุ่งนี้จะให้คนขับมาเอา”
พักตราส่งเงินให้เด็ก แล้วจึงขับรถคิมหันต์ออกไป
อ่านต่อหน้า 4
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 (ต่อ)
กล่างดึก มือถือของมุกริน มีเสียงสัญญาณโทร.เข้า มุกรินกดรับพลางหยิบขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหล...”
“นึกแล้วว่ามุกต้องยังไม่นอน...เป็นไงบ้าง...พี่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปรารภนั่งพูดสายอยู่ในรถของเขา
“อยู่คนเดียวได้นะ พี่ไปนั่งคุยเป็นเพื่อน เอามั้ย”
“อย่าเลยค่ะ ดึกแล้ว ขอบคุณนะคะพี่รภ”
“ถ้ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเล็ก มุกบอกพี่ได้มั้ย พี่ยินดีทำทุกอย่างเพื่อมุกนะ”
“ค่ะ ขอบคุณพี่รภค่ะ”
ปรารภนั่งยิ้มอย่างเป็นสุขกับความฝันของตนเอง
อีกฟาก รถคิมหันต์แล่นเข้าไปจอดหน้าคฤหาสน์บ้านของนายอรรถ บิดาของพักตรา ท่ามกลางราตรีกาล
ไม่นานนัก พักตราก็ลากคิมหันต์เดินผ่านโถงบ้านอันมืดมิด คิมหันต์นั้นยังเมาไม่สร่าง
“เนี่ยเหรอที่เงียบๆ ของพักตร์”
“ยังค่ะ...อีกแป๊ปเดียวนะคิม...เดี๋ยวก็ถึงแล้ว...”
พักตราประคองคิมหันต์ขึ้นบันไดไปทางห้องนอนของเธอ
เมื่อประคองคิมหันต์ให้นอนลงบนเตียงของเธอแล้ว พักตราหยุดยืนมองเขาด้วยสายตาหลงใหล
ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของคิมหันต์ออกช้าๆ
“พักตร์”
“ขา”
“พักตร์ อยู่กับผมก่อนนะ ผมไม่มีใคร”
“ค่ะ พักตร์จะอยู่กับคิมตลอดไป และคิมก็จะไปจากพักตร์ไม่ได้เป็นอันขาด”
พักตรา ค่อยๆปลดเสื้อผ้าตัวเองออก แล้วจึงเอนตัวนอนลงไปบนร่างของคิมหันต์
คฤหาสน์นายพลโทอรรถตั้งตระหง่าน อยู่ท่ามกลางแสงสวยสดใส ในยามเช้า
ท่านนายพลอรรถเดินลงบันไดมา ตรงไปที่โต๊ะอาหาร หนังสือพิมพ์และอาหารเช้าวางรออยู่บนโต๊ะในนั้น เรียบร้อย อรรถหันมาถามสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ยายพักตร์ลงมารึยัง”
“ยังค่ะ”
“เขารู้มั้ยว่าต้องไปงานกับฉัน บ่ายนี้”
“ไม่ทราบ เจ้าค่ะ แต่ไม่เห็นคุณพักตร์สั่งอะไร”
“ไปเรียกมาหน่อยซิ”
“เจ้าค่ะ”
คนใช้เดินออกไป
สาวใช้นางนั้นเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนพักตรา เคาะประตูห้องพร้อมเอ่ยปากเรียก
“คุณพักตร์คะ คุณพักตร์ คุณท่านให้มาเรียกค่ะ คุณพักตร์คะ”
เห็นมีแต่ความเงียบ สาวใช้ลองจับลูกบิดประตู และพบว่ามันไม่ได้ล็อค สาวใช้ตัดสินใจเปิดประตูโผล่หน้าเข้าไป เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร หน้าตาของเธอก็ตื่นตะลึงตกใจ แทบช็อก
เมื่อเห็นคาตาว่า พักตราและคิมหันต์นอนเปลือยอยู่บนเตียง และเมื่อมองจากเพดานห้องลงมา พบว่าทั้งคู่เปลือยกายก่ายกอดกันกลางเตียง โดยมีผ้าห่มผืนสวยแบรนด์หรูปกปิดอวัยวะส่วนที่ไม่ควรให้ใครได้เห็นไว้มิดชิด
อรรถก้าวเข้ามาในห้องโถง หน้าตาดุดัน เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ตกลง จะเอายังไง จะไปงานพร้อมพ่อ หรือจะตามไปตอนบ่าย”
พักตรานั่งเบื้องหน้าผู้เป็นพ่อ มีคิมหันต์นั่งเยื้องห่างออกไป ทั้งสองยังดูงัวเงีย ยุ่งเหยิง เนื่องจากเมาค้างจากเมื่อคืนที่ผ่านมา
“พักตร์ไม่ไปได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ รับปากเขาไว้แล้ว”
“งั้นพักตร์เอาคิมไปด้วยนะคะ”
อรรถจ้องหน้าคิมหันต์นิ่ง ก่อนเอ่ยปากพูด
“พ่อขอคุยกับเขาตามลำพังก่อน”
พักตราหันไปจับมือคิมหันต์เหมือนให้กำลังใจแล้วจึงเดินออกไป อรรถค่อยๆ เดินมานั่งลงเบื้องหน้าคิมหันต์
“หลังจากวันนี้ ฉันยังจะเห็นหน้านายอีกมั้ย”
คิมหันต์เงยหน้ามองอรรถ อย่างไม่เข้าใจ
“หลังจากนายมานอนกับลูกสาวฉันแล้ว นายคิดจะทำยังไง หายหัวไปเลยหรือยังจะนัดเจอกัน นัดไปนอนกันเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อ”
“ผมยังไม่ได้…”
นายพลโทสวนออกมาว่า “ยังไม่ได้คิด นี่คือพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ใช่มั้ย ที่ไม่คิดจะแยแสกับอะไรทำตามใจตัวเองไปวันๆ ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
“ผมเป็นคนมีความรับผิดชอบครับ”
“งั้นก็ดี”
อรรถลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังกังวานเหมือนเป็นการออกคำสั่ง
“ฉันไม่บังคับให้เธอแต่งงานกับลูกสาวฉันด้วยเรื่องแค่นี้หรอก แต่การให้เกียรติสุภาพสตรี เป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะทำ โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีพ่อเป็นนายทหารอย่างฉัน”
คิมหันต์ นิ่งอึ้งไป
“ฉันให้เวลาสิบสองชั่วโมง นายต้องตอบฉันว่า นายจะเอายังไง” อรรถย้ำ
ธาดานอนหลับอยู่ในห้องนอนในบ้านของเขา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธาดาจึงค่อยๆ ลืมตาตื่น เอื้อมมือมากดรับสายจากน้องสาว
“ฮัลโหล ว่าไง มุก…ห๊ะ อะไรนะ”
มุกรินยืนพูดสายอยู่กลางโถงบ้าน
“มุกเอารถของพี่ไปคืนเขาแล้วค่ะ”
ธาดาโมโห “จะบ้าเหรอ พี่อุตส่าห์เอาไปหลบไว้ที่บ้านมุก แต่มุกกลับเอาไปคืนมันซะนี่ โธ่ ทำไมมุกทำอย่างนี้”
“พี่หลบไม่พ้นหรอกค่ะ เขาเตรียมจะมายกไปอยู่แล้ว คืนเขาไปเถอะ จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไปซะที ดีกว่าให้เขามาฟ้อง ขึ้นศาลอีกนะพี่ใหญ่”
“พี่กำลังจะขายเอาเงินมาใช้ซะหน่อย”
“พี่ใหญ่ก็มีเงินเยอะแยะอยู่แล้วนะ”
“ไม่รู้ละแต่บ้านมุกพี่ไม่ให้มันนะ พี่จะซื้อคืนจากมัน ฟ้องก็ฟ้องกัน มุกอย่าไปยอมยกให้มันอีกล่ะ”
“มุกไม่ติดยึดกับอะไรอีกแล้วค่ะ มันเป็นสิ่งสมมุตินอกกายเราทั้งนั้นนะพี่ใหญ่”
“พูดอย่างนี้ อย่าเพิ่งหนีพี่ไปบวชชีซะก่อนล่ะ”
ธาดาวางสาย แล้วเดินออกจากห้องนอน ลงไปหาดวงดาว ซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษา และนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ดาว…หนูไปมหาลัยเองนะ วันนี้อายุ่ง”
“สบายมากไม่มีปัญหา”
รอจนดวงดาวลุกเดินลับตัวไป ธาดาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหมายเลขโทรออก
“ฮัลโหล เสธ.เหรอครับ ผมอยากใช้งานกองกำลังของเสธ.ซักสามคนได้มั้ยครับ เอาชุดที่เสธ.เคยส่งมาคุ้มกันผมก็ได้ครับ”
ด้านคิมหันต์ยืนนิ่ง อยู่ริมระเบียงห้อง ทอดสายตาไปไกลลิบ พักตราเข้ามาทางด้านหลัง โอบกอดคิมหันต์ในท่วงท่าอันเซ็กซี่ยั่วยวน
“พ่อว่ายังไงบ้างคะคิม”
“ผมมีเวลาสิบสองชั่วโมง ก่อนบอกท่านว่าจะเอายังไงกับคุณ”
“แล้วคิมจะเอายังไงกับพักตร์คะ”
คิมหันต์ หันไปจ้องหน้าพักตรา
“เมื่อคืนเรามีอะไรกันรึเปล่า”
พักตราหัวเราะเบาๆ
“คิมถามเหมือนเด็กทีไม่เคยนอนกับผู้หญิง”
“คุณจะหัวเราะเยาะผมก็ได้ แต่คุณต้องบอกความจริง เรื่องนี้สำคัญสำหรับผมมากนะ”
“คิมเมาจนไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ เหรอ”
“ใช่ ผมเมามาก”
“แต่เวลาเมา คิมเซ็กซี่มากเลย รู้มั้ย”
คิมหันต์ค่อยๆ เบี่ยงตัว เลี่ยงห่างออกมาจากวงกอดของพักตรา
“ผมอาจจะมีอะไรกับคุณเพราะความเมา หรืออาจจะไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะความเมาอีกเหมือนกัน”
“งั้นเรามามีอะไรกันตอนนี้ ตอนที่สติดีๆ อย่างนี้ อีกซักทีดีมั้ยคะ”
พักตราดึงร่างคิมลงบนเตียง ก้มจูบทั่วตัวเขา คิมหันต์ค่อยๆ ดันร่างเธอให้ห่างออกมา
“นอนด้วยกันคืนเดียว คิมก็รังเกียจพักตร์แล้วเหรอ”
“เปล่า แต่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้สำหรับเรา”
“ทางไหนคะ”
“ไปอาบน้ำซะ แล้วพาผมไปหาพ่อคุณบ่ายนี้”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ผมจะมีอะไรกับผู้หญิงที่ผมรักเท่านั้น และต้องเป็นวันที่เหมาะสม แต่ผมมีความรับผิดชอบพอที่จะไม่ทำให้ผู้หญิงเสียหาย โดยเฉพาะคนดีๆ ที่น่ารักอย่างคุณ”
พักตรายิ้มหวานหยดด้วยความพึงพอใจ
ธาดานั่งนิ่ง รอ อยู่ในรถของเขาที่จอดอยู่ในที่เปลี่ยวแห่งนั้น สักครู่รถอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดข้างๆ
การ์ดสามคนที่เคยกระทืบคิมหันต์คาตีน ก้าวออกมาจากรถคันนั้น พวกมันเดินไปยืนข้างๆ รถธาดา ธาดาเปิดกระจกรถคุยกับการ์ด 1 หัวหน้ากลุ่มการ์ด
“มีอะไรจะใช้บริการผมเหรอครับ” การ์ด 1 ถาม
“งานนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ฉันมีค่าจ้างให้” ธาดาบอก
“เรื่องเงินไม่เป็นปัญหา เสธ.สั่งมาให้ช่วย ผมก็ต้องช่วย”
“ไอ้คนที่มันหาเรื่องผมที่บาร์ ที่พวกนายเคยยำมันไปทีนึงน่ะ จำได้ใช่มั้ย”
“ติดใจ อยากได้อีก” การ์ด 1 เล่นลิ้น
“อืม...คราวนี้ขอหนักกว่าเดิมหน่อยนะ”
“ขอเวลาหาข้อมูลอาทิตย์นึง แล้วจะจัดการให้”
“เอาแบบ ให้มันไปตายที่โรงพยาบาลได้ ยิ่งดี”
ขณะที่มุกรินค่อยๆ เก็บข้าวของลงในกล่อง เพื่อเตรียมย้ายบ้าน ปรารภเดินเข้ามา พร้อมถุงอาหารมากมายในมือ
“จ๊ะเอ๋”
มุกรินแปลกใจ “พี่รภ”
“นึกแล้วเชียวว่ามุกต้องอยู่บ้าน”
“โทร.มาบอกกันก่อนจะดีกว่านะคะพี่”
“มาเลยอย่างนี้แหละดี ลุ้นดี อ้ะ พี่ซื้ออาหารกลางวันมาฝาก สำหรับมุกและพี่”
ปรารภชูถุงอาหารให้ดู
“วันหยุด พี่ไม่ต้องอยู่กับครอบครัวเหรอคะ”
“พี่มันคนไม่มีครอบครัว ใครๆเขาทิ้งพี่ไปหมด”
“แต่พี่มีลูกนะคะ”
“วันนี้เขาไปเที่ยวกับแม่เขา กับพ่อเลี้ยงที่แสนดี พี่ก็เลยไม่รู้จะไปไหน พี่เอาอาหารใส่จานให้ดีกว่า”
“มุกเองค่ะ”
“พี่ทำเป็นน่า พี่เป็นพ่อบ้านที่ถนัดงานในครัวนะจะบอกให้” ปรารภหิ้วถุงเดินไปทางครัว “ของในกล่องพวกนี้คืออะไรน่ะ เหมือนจะย้ายบ้านเลย”
“ก็ คงไม่นานนี้แหละค่ะ”
เสียงโทรศัพท์ดัง มุกรินหยิบมันขึ้นมาดูนิ่งๆ ปรารภลอบมองดูท่าทีของมุกริน ทายว่า
“คิมหันต์”
มุกรินบอกว่า “พักตรา”
“รับเลยสิ กลัวอะไร”
“เขาก็คงโทร.มาแขวะมุกเหมือนทุกครั้ง”
“เราก็แขวะกลับไปบ้างสิ ไม่มีอะไรที่มุกต้องเกรงกลัวเขาเลยนะ”
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่ มุกรินตัดสินใจกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
ปลายสายเป็นพักตราที่นั่งพูดโทรศัพท์ในรถของเธอ ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านวิมลรัตน์
“แหมกว่าจะรับโทรศัพท์ได้ ทำอะไรอยู่จ๊ะ หรือมีหนุ่มใหญ่มาหาที่บ้าน เลยไม่สะดวกรับ”
มุกรินรำคาญ “มีธุระอะไรกับฉันเหรอพักตร์”
“จะโทรมา up date เรื่องอดีตคู่หมั้นของเธอหน่อย ไม่อยากรู้เหรอว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง”
“เขาก็คงสบายดี เพราะมีเธอคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด”
ขณะที่พักตราพูดโทรศัพท์อยู่ ด้านหลังของเธอ คิมหันต์เดินออกมาจากในบ้าน เสื้อผ้าชุดใหม่
“ถูกต้อง ตรงเป๋งเลย ตอนนี้เขามีความสุขดี จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เขาหรอก ฉันก็พลอยมีความสุขไปด้วย เป็นความสุขแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”
“งั้นเธอก็ควรจะขอบคุณฉัน และก็ระลึกถึงบุญคุณของพี่มลให้มากๆ เพราะถ้าพี่มลไม่ตายป่านนี้ฉันกับคิมแต่งงานกันไปแล้ว”
คิมหันต์เดินตรงมาใกล้รถพักตราทุกที
“ใช่ นี่แหละเวรกรรมมีจริง เธอแย่งคิมไปจากฉันเมื่อสี่ปีก่อน วันนี้ถึงเวลาที่ฉันจะทวงคืนบ้างแล้วละ”
“ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ก็แล้วกัน”
“แน่นอนจ้ะ จะคุยกับคิมมั้ยล่ะ เขานอนหนุนตักฉันอยู่ตรงนี้เอง”
มุกรินรีบกดปุ่มยกเลิกการสนทนาทันที ปรารภเดินตรงมาหาเธอ เพื่อให้กำลังใจ
“ผมไม่ควรยุให้คุณรับโทรศัพท์เขาเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ มุกไม่รับ เขาก็คงโทร.มาเรื่อยๆ จนกว่ามุกจะรับนั่นแหละ”
“ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ย” มุกรินฝืนยิ้ม พยักหน้าอนุญาตช้าๆ “คุณยังรักคิมอยู่ใช่มั้ย”
มุกรินยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
“มุกกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว พี่รภคิดว่ามุกจะรู้สึกเป็นอย่างอื่นได้เหรอคะ”
ส่วนในรถพักตรา เธอขับรถโดยมีคิมหันต์นั่งข้างๆ คิมหันต์มองทอดสายตาไกลออกไปนอกรถ สักพักจึงเอ่ยปาก
“เมื่อกี้นี้คุณโทร.หามุกเหรอ”
“ใช่ บอกว่าเราอยู่ด้วยกัน คิมจะห้ามไม่ให้พักตร์โทร.หามุกรึเปล่า”
“เปล่า โทร.เลย ยิ่งโทร.บ่อยๆ ยิ่งดี ผมชอบ”
คิมหันต์และพักตรา เดินตรงเข้าไปในโรงแรม มีป้ายบอกชื่องานเป็นการประมูลสินค้าเพื่อการกุศล ระหว่างนี้การ์ดสามคนนั้นเดินสวนกับคิมหันต์ ต่างฝ่าย ต่างชำเลืองมองกันและกัน
อีกมุมหนึ่งในโรงแรมนั้น คิมหันต์และพักตรา เข้ามาใกล้ๆ นายพลโทอรรถผู้เป็นพ่อ ซึ่งกำลังคุยอยู่กับกลุ่มแขกในงานสามสี่คน
“พ่อคะ”
“เอ้าลูกสาวพ่อ มาพอดี”
อรรถหันไปพูดกับเลขาสาวของเขา
“ช่วยบอกคนจัดเวทีด้วยว่าพักตรามาแล้ว” แล้วกำชับเอากับพักตรา “เรามีคิวต้องขึ้นเวทีพร้อมกันนะลูก”
“พ่อคะ คิมมีอะไรจะบอกพ่อค่ะ”
อรรถจ้องหน้าคิมหันต์
“ยังไม่ถึงสิบสองชั่วโมงเลย”
“แค่หกชั่วโมง ผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วครับ”
“ตอบว่ายังไง”
“ผมจะขอหมั้นลูกสาวท่านครับ”
อรรถมองหน้าคิมหันต์นิ่ง ยังไม่แสดงอาการใดๆ คิมหันต์จึงเอ่ยปากต่อ
“สถานะคู่หมั้นน่าจะทำให้เราสองคนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างครอบครัวที่ดีในอนาคต และเป็นการให้เกียรติลูกสาวท่านครับ”
คราวนี้อรรถยิ้มกว้าง พร้อมกับเอื้อมมือตบไหล่คิมหันต์ด้วยความพึงพอใจ
“เป็นคำตอบที่เยี่ยมมาก ไอ้ลูกชาย”
เย็นวันเดียวกัน ธาดาเดินพูดโทรศัพท์อยู่บริเวณหน้าตึกเรียนในมหาวิทยาลัย ระหว่างมาคอยดวงดาว
“ว่าไงนะ พูดใหม่ซิ”
ปลายสายเป็นการ์ด 1 โทร.จากมุมหนึ่งของโรงแรมจัดงานประมูลการกุศล
“เป้าหมายของคุณน่ะ กำลังจะเป็นคู่หมั้นของลูกสาวพลโทอรรถ”
“แกรู้ได้ยังไง ใครบอกแก”
“พลโทอรรถประกาศบนเวทีกลางงานเมื่อกี้นี้เอง เพราะฉะนั้นงานของคุณ ผมไม่อาจรับได้ครับ เสียใจด้วยจริงๆ ทำไม่ได้แน่ๆ ไม่มีใครกล้ารับหรอกครับงานแบบนี้”
การ์ดกดปุ่มจบการสนทนาทันที
ธาดายกโทรศัพท์ออกจากหู หน้าตาไม่สบอารมณ์
“โธ่ เว้ย” เขาหันไปมองที่หน้าตึกเรียน เห็นดวงดาวเดินกอดคอเล่นมากับเพื่อนผู้ชาย ธาดาปราดเข้าไปหาทันที
“ดวงดาว…กลับบ้านกับอา”
“ไหนอาบอกว่ามีงาน มารับไม่ได้”
“งานเยอะแค่ไหน ฉันก็ต้องมารับเธอ เพราะฉันชักไม่ไว้ใจนักศึกษาแถวนี้แล้ว”
ธาดาจ้องเขม็งไปที่เพื่อนนักศึกษาชาย
ดวงดาวปราม “อา”
“ไปขึ้นรถได้”
ธาดาเดินเข้าไปพูดใส่หน้าเพื่อนชายคนนั้น
“อย่ายุ่งกับหลานสาวกูอีกนะ”
ไม่นานต่อมา รถธาดาวิ่งไปบนถนนหลวง ธาดาขับรถโดยมีดวงดาวนั่งข้างๆ ทั้งสองหน้าตาบึ้งตึง
“หนูไม่ชอบอย่างนี้เลย”
“อาก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“ไม่ชอบแล้วอาทำทำไม หนูมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน อาทำอย่างนี้เพื่อนหนูก็ยิ่งจะน้อยลงไปเรื่อยๆ”
“ไม่ต้องมีเพื่อนเลยก็ได้ เดือดร้อนตรงไหน”
“ต่อไปนี้หนูคุยกับใครไม่ได้เลยซักคนใช่มั้ย”
“ทำอย่างนั้นได้ จะดีมาก”
“งั้นอาไปส่งเสียเด็กคนอื่นเถอะ อย่ามายุ่งกับหนูเลย”
ธาดาหันไปจ้องหน้าดวงดาว
“เราตกลงกันแล้วนะอา ว่าเราต่างมีพื้นที่ของตัวเอง จะไม่ล้ำเส้นกัน...ให้เกียรติกันและกัน ไม่ใช่อยู่แบบถูกขู่บังคับเป็นทาสอย่างนี้”
“อาขอโทษ มันกำลังหงุดหงิด”
“หงุดหงิดก็ไปลงที่อื่น อย่ามาลงกับหนู หนูพอใจจะอยู่ในที่ที่มีความสุขเท่านั้น ที่ไหนมีปัญหา อยู่แล้วอึดอัดไม่สบายใจ หนูไม่อยู่ ไม่เอาด้วย เข้าใจมั้ยอา”
ธาดาอึ้งงันไป
“และอย่าคิดว่าแค่ค่าเทอม ค่ากินที่อาส่งเสียให้หนู จะซื้อทั้งชีวิตของหนูได้ มันก็แค่แลกเปลี่ยนความสุขกันและกัน ในปัจจุบันเท่านั้นเอง”
ทางด้านมุกรินเดินมาส่งปรารภที่หน้าบ้าน
“ถ้าพี่จะมาหามุกทุกวันหยุด มุกจะว่าอะไรมั้ย”
“เจ้านายมาบ้านลูกน้องทุกวันหยุด คนอื่นเขาจะนินทากันทั้งบริษัทนะคะ”
“ก็ปล่อยให้เขานินทาไปสิ สนุกดีออก แต่มุกอย่าคิดว่าพี่เป็นเจ้านายได้มั้ยครับ คิดว่าพี่เป็น ผู้ชายคนนึงที่ ถูกชะตาด้วย นะ”
ปรารภยิ้มหวานให้มุกริน “บ๊ายบาย”
คล้อยหลังรถปรารภที่ขับออกไปไม่นาน รถอีกคันหนึ่งจอดอยู่ตรงข้ามกัน มันคือรถของชุมสาย
เขาก้าวลงจากรถคันนี้ มุกรินมองด้วยความแปลกใจ
“คุณชุมสาย มาอยู่ตรงนี้นานแล้วเหรอคะ”
“ก็รอจนแขกของคุณกลับน่ะครับ”
“เจ้านายดิฉันค่ะ”
“ผมทราบครับ คุณปรารภ พ่อหม้ายลูกสอง”
มุกรินนิ่ง รอฟังว่าชุมสายจะพูดอะไรต่อ
“คุณธาดาอยู่มั้ยครับ”
“พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ เขาแยกไปเช่าบ้านอยู่เอง คุณชุมสายมีอะไรกับพี่ใหญ่คะ”
“ผมมีสองเรื่อง หนึ่ง นายคิมหันต์ให้ผมดำเนินการฟ้องร้อง เอาทรัพย์สินคืนทั้งหมด คุณคงพอจะรู้บ้างแล้ว แต่ผมเกรงว่าการเป็นคดีความจะยิ่งทำให้ยุ่งยากและลำบากใจด้วยกันทั้งคู่...ทางที่ดีคุณน่าจะพูดกับคุณธาดา”
“ดิฉันไม่รู้ว่าพี่ใหญ่อยู่ไหน”
“ผมมีที่อยู่ของเขา คุณจะเอามั้ยครับ” มุกรินมองชุมสายด้วยความแปลกใจ “อาชีพทนาย มันก็ต้องหูตากว้างไว้อย่างนี้แหละครับ”
มุกรินพยักหน้ารับรู้
“ทำแบบที่คุณเอารถไปคืนน่ะครับ ดูดีมาก”
“สองล่ะคะ”
“นายคิมหันต์อยากพบคุณ เขาบอกว่าเรื่องสำคัญมาก ให้ผมมารับคุณไปให้ได้”
มุกรินจ้องหน้าชุมสายอีกครั้ง
เมื่อรถชุมสายแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านคิมหันต์แล้ว มุกรินเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“แน่ใจเหรอคะว่าเขานัดฉันมาที่นี่”
“ครับ มันรอคุณอยู่ข้างบน”
มุกรินค่อยๆ ก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในบ้าน
มุกริน ค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าไปในห้อง ช้าๆ เธอพบว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกผ้าคลุมไว้ทั้งหมด
มุกรินมองไปรอบๆห้อง คิมหันต์ก้าวเข้ามาด้านหลังเธอ
“ขอบคุณนะ ที่ยอมมาหาผม”
“มันง่ายกว่ามาก ถ้าคุณจะใช้โทรศัพท์ ไม่ต้องลำบากให้คุณชุมสายไปรับฉัน และคุณก็ไม่ต้องมาขอบคุณฉันด้วย”
“ไม่เหมือนกัน เพราะแบบนั้น มันไม่เห็นหน้า ไม่เห็นแววตา และไม่เห็นอะไรรอบๆตัวอย่างที่คุณเห็นอยู่นี้”
คิมหันต์ค่อยๆ เดินพูดไปรอบๆห้อง
“นี่เตียงนอนของเรา ผมแอบมานอนบ่อยๆ คุณเคยเตือนแล้วว่าเขาถือ ผมก็ไม่เชื่อ แล้วมันก็จริงอย่างคุณว่า ผนังตรงนี้เราช่วยกันทาสี นั่นห้องน้ำแบบที่คุณชอบ หน้าต่างยาว ระเบียง โคมไฟ เราช่วยกันเลือกทุกอย่างในห้องนี้ คุณจำได้ใช่มั้ย ผมถามจริงๆ คุณเคยจินตนาการเห็นภาพเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นี่บ้างรึเปล่า”
มุกรินได้แต่นิ่ง เธอไม่อยากเอ่ยปากพูดความรู้สึกในใจใดๆ
“ผม บ่อยเลย”
“คุณจะพูดทำไมคะคิม พูดแล้วได้อะไรในเมื่อคุณเลือกที่จะทำลายมันเอง”
“เปล่า ผมไม่ได้เลือก คุณต่างหากที่เป็นคนเลือก ลืมแล้วเหรอ”
“ฉันจะไม่พูดเรื่องคดีความระหว่างพี่มลกับพี่ใหญ่อีกแล้วนะคะ เพราะมันไม่มีวันจบ ถ้าเรายังยืนกันอยู่คนละฝั่งอย่างนี้”
“งั้นผมมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกคุณ”
คิมหันต์เดินเข้าไปใกล้มุกริน เขาดึงร่างของมุกรินมาแนบชิดตัว และจ้องหน้าเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ผมจะหมั้นกับพักตรา”
มุกริน อึ้ง ผิดหวัง จนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่กี่วันข้างหน้านี้”
“คุณถอนหมั้นฉัน แล้วไปหมั้นกับพักตรา คนที่คุณเคยบอกว่า อยู่ใกล้แล้วอึดอัด ขยะแขยง และจะไม่มีวันยอมอยู่ตามลำพังกับยายนี่เป็นอันขาด”
“ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป มุก”
“โดยเฉพาะจิตใจ”
“ข้าวของที่คุณเห็นทั้งหมดในห้องนี้ ผมก็จะขายทิ้ง แล้วเอาเงินไปบริจาคการกุศลให้หมด”
“เนี่ยเหรอคะ คือเรื่องสำคัญที่คุณต้องการจะบอกต่อหน้าฉัน”
“ใช่ แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้ ผมอยากทำอย่างนี้กับคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราจะไม่เห็นหน้ากันอีก”
คิมหันต์จูบมุกรินอย่างไม่ยั้ง มุกรินพยายามดิ้น คิมหันต์ดันร่างของมุกรินจนล้มลงไปบนเตียง ในที่สุดเธอก็อ่อนแรงลง ทว่าคิมหันต์ยั้งตัวเองไว้เมื่อถึงจุดจุดนั้น เขาผละตัวเองออกมาเฉยๆ
“ผมหมดเรื่องสำคัญกับคุณแล้ว ชุมสายจะไปส่งคุณที่บ้าน ขอให้มีความสุขกับนายปรารภนะ”
มุกรินมองหน้าคิมหันต์ด้วยสายตาชิงชังสุดจะประมาณ
“ฉันหวังว่าฉันจะมีความสุขมากกว่าคุณค่ะ คุณคิมหันต์”
มุกรินวิ่งออกไปจากห้องนี้ทันที คิมหันต์ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขารู้สึกเสียใจ และสับสนกับอารมณ์ของตัวเองไม่น้อย
มุกรินกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาหน้าบ้าน ชุมสายรออยู่ รีบขยับตรงเข้าไปหาเธอ
“คุยกันเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ”
“ฉันขอที่อยู่พี่ใหญ่หน่อยสิ”
ชุมสายส่งกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ส่งให้ มุกรินรับแล้วรีบเดินออกไปเลย
“คุณมุกรินครับ ผมจะไปส่งคุณที่บ้านเอง”
มุกรินหันมาตอบโดยไม่หยุดเดิน
“ไม่ต้อง อีกเจ็ดวันคุณมายึดบ้านฉันไปได้เลย”
“คุณมุกริน”
ชุมสายได้แต่ตะโกนตามหลังไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้มุกรินหยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว
คิมหันต์เดินไปที่หน้าต่างห้องหอ ทอดสายตามองไกลออกไป อารมณ์สับสนยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในตัวเขาสายฝนสาดกระทบหน้าต่างบานนั้น
ถัดมา มุกรินนั่งมาในรถแท๊กซี่ ที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนไป น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เสียงสะอื้นของเธอดังแข่งกับเสียงพายุฝนภายนอก
มุกรินหยิบโทรศัพท์กดโทรออก เสียงในโทรศัพท์บอกให้ฝากข้อความ มุกรินค่อยๆ เอ่ยปากพูดใส่โทรศัพท์
“พี่ใหญ่ มุกกำลังจะไปหานะ มุกไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว ไม่อยากอยู่บ้านหลังนั้นแล้วด้วย”
อีกฟากโทรศัพท์ธาดาวางนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เผยให้เห็นธาดานอนกอดดวงดาวนิ่ง ทั้งคู่หลับสนิทอยู่บนเตียงนั้น
มุกรินวางโทรศัพท์ลง
น้ำตาของเธอยังคงไหลรินออกมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย แข่งกับสายฝนยังคงสาดใส่กระจกรถที่เธอนั่งพิงหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
มั่นใจได้ว่าเพลงรักหวานเศร้าอกหักรักคุด ประโคมดังก้องในใจเธอเรียบร้อย
อ่านต่อตอนที่ 4