บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 8
แวนด้าเดินเข้ามาที่ล็อบบี้โฮมสเตย์ เห็นปานดาวยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็ชะงักนิ่งไป แต่จำใจเดินเข้าไปหาเพื่อสอบถามถามเรื่องชยพลที่หายตัวไป ปานดาวหันมาเห็นพอดี หญิงสาวมองนาฬิกาแล้วหันมาทางแวนด้า
“ตื่นสายนะคะ มื้อเช้าเก็บหมดแล้ว คงต้องรอเที่ยง”
“ฉันไม่สนเรื่องนั้นหรอก ฉันกำลังหา...” เซเลบสาวหยุดไป ไม่รู้จะถามดีไหม
ปานดาวดักคอ “หาสามีอีกแล้วเหรอคะ”
แวนด้าฮึดฮัดนิดๆ “แล้วเห็นเขาไหม ฉันหาไม่เจอ”
ปานดาวชะโงกหน้าไปหาพนักงานในเค้าน์เตอร์ เรียกหาบางอย่าง พนักงานส่งกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์ชยพลมาให้ ปานดาวหันมาหาส่งกระดาษนั้นให้แวนด้า
“นี่เบอร์มือถือคุณชยพล คุณโทร.ถามเขาเองละกัน”
แวนด้ารับกระดาษแผ่นนั้นมาท่าทีงงๆ
ถัดมาแวนด้านั่งอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารของโฮมสเตย์ กดโทรศัพท์ตามเบอร์ในกระดาษ ถือหูรอครู่หนึ่ง
“พอลเหรอคะ นี่แวนด้านะ พอลอยู่ไหนเนี่ย...” แวนด้าตาโต ตกใจ “เชียงใหม่”
ความจริงแล้วชยพลนั่งเอ้เต้อยู่ที่เก้าอี้ในห้องพักของอวยชัย คุยสายอยู่กับแวนด้า
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่”
“แล้วไปได้ยังไง ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืน พอดีมีงานด่วน ต้องรีบขึ้นเครื่องไปเลย” พูดๆ ไปแล้วชยพลยิ้มนึกขำมุกตัวเอง
“แล้วทำไมไม่บอกแวนด้าเลย”
“ผมบอกไม่ทันจริงๆ มันด่วนมากๆ นี่ก็ตั้งใจจะโทร.หาแวนด้าอยู่พอดี”
“แล้วยังไงล่ะเนี่ย พอลจะกลับเมื่อไหร่”
“คงต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันเลย อาจจะเป็นอาทิตย์”
“เป็นอาทิตย์เลยเหรอ”
“เอางี้ แวนด้าจะกลับไปบ้านแวนด้าที่จันทน์ก่อนก็ได้ ผมกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่แล้วจะรีบโทร.หา”
“แวนด้าตามไปเชียงใหม่เลยละกัน”
“โอ๊ะๆ ไม่ได้ๆ งานผมที่นี่ยุ่งมากเลย แล้วอาจต้องข้ามไปเมืองจีนด้วย น่า...เชื่อผม กลับไปจันทน์ก่อน”
แวนด้าหงุดหงิด ถอนใจ “เบื่อแย่เลย ยังไงพอลก็ต้องโทรหาแวนด้าทุกวันนะเฟซไทม์ มาคุยก็ได้”
“ได้ครับ ว่างเมื่อไหร่จะเฟซไทม์ ไปเลย โอเคครับ แค่นี้ก่อนนะ ต้องไปคุยกับลูกค้าแล้ว หวัดดีจ้ะ จุ๊บๆ”
“จุ๊บๆ ค่ะ”
แวนด้ากดวางสาย สีหน้าเบื่อโลกเป็นที่สุด
ไม่นานต่อมา เห็นแวนด้าลากกระเป๋าเสื้อผ้าออกมายังรถของเธอที่จอดอยู่ริมถนน ข้างออฟฟิศโฮมสเตย์ เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าท้ายรถ แล้วปิดกระโปง ขับรถออกไปอย่างหัวเสีย
สักครู่ใหญ่ๆ ชยพลจึงเดินเข้ามาในล็อบบี้ เห็นปานดาวยืนอยู่ จึงเอ่ยถาม
“เรียบร้อย เขากลับไปแล้ว”
“จะให้แสดงความยินดีกับคุณเหรอ”
“อ๋อ ไม่จำเป็นหรอกครับ แต่ยังไงผมก็ต้องขอบใจคุณ”
“จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
ภาคีเดินเข้ามาในนั้น หิ้วถุงบางอย่างมาด้วย
“น้องป่าน”
ปานดาวกับชยพลหันมามองภาคี ปานดาวฉีกยิ้มกว้าง
“สวัสดีค่ะพี่ภาคี บังเอิญผ่านมาแถวนี้เหรอคะ”
“ไม่บังเอิญล่ะครับ ตั้งใจมาหาน้องป่านเลย มีอะไรมาฝากด้วย”
ภาคีเดินเข้ามาหาปานดาว เอาตัวขวางลำระหว่างปานดาวกับชยพลไว้ เล่นเอาชยพลไม่ชอบใจนักภาคีหยิบของในถุงออกมา เป็นกล่องใส่ขนมน่าทาน
“พายมะพร้าวอ่อน กับพายลูกตาล”
ปานดาวทำเป็นดีใจเวอร์ “โอ้โหของโปรดป่านเลย ขอบคุณมากนะคะ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวป่านจะจัดใส่จาน แล้วเราจะได้ทานด้วยกัน ทานไป คุยกันไป”
ระหว่างพูดปานดาวแอบเหลือบมองท่าทีชยพล พอเห็นชยพลมองที่ภาคีอย่างไม่ชอบใจ จึงจับมือภาคี แล้วพาเดินออกจากบริเวณนั้นไป
ชยพลเผลอทุบลงที่เคาน์เตอร์ พนักงานที่อยู่หลังเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมองชยพล
“แมลงวันน่ะ ผมทุบแมลงวัน”
ชยพลเดินหงุดหงิดออกไป
ปานดาวยกจานขนมที่ภาคีซื้อมาฝาก เข้ามาวางในห้องรับแขกที่ภาคีนั่งอยู่แล้วพร้อมแก้วกาแฟ
“พี่ภาคี มีธุระอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีครับ พี่ตั้งใจมาหา เผื่อว่าป่านว่าง จะชวนไปดูหนังอีกน่ะครับ”
“ช่วงนี้ป่านยุ่งมากค่ะ คงไม่ว่างไปดูหนังหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังก็ได้ น้องป่านทานขนมของโปรดก่อนนะครับ”
“จริงๆ แล้วป่านไม่ชอบทานของหวานหรอกค่ะ วันหลังอย่าลำบากหาซื้อมาเลยนะคะ”
หวานอยู่ดีๆ เจอปานดาวพูดอย่างตัดไมตรี เล่นเอาภาคีงง
“แล้วเมื่อกี้ป่านบอกว่า พายลูกตาลกับพายมะพร้าวอ่อน เป็นของโปรด ไม่ใช่เหรอครับ”
ปานดาวทำหน้าไม่ถูก ภาคีรับรู้ในทันทีว่าเมื่อกี้ปานดาวกำลังประชดชยพล
ปานดาวอึกอักรีบขอตัว
“เอ่อ พอดี ป่านมีธุระ จะรีบออกไปซื้อของเข้าโฮมสเตย์น่ะค่ะ ก็เลยไม่มีเวลามานั่งทานขนม”
“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปนะครับ”
ภาคียิ้ม บอกตัวเองในใจ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก
มาลัยเดินเข้ามาหาก้องภพในห้องรับแขก
“พี่กับลูกดุจคิดจะหลอกมาลัย” ก้องภพนั่งฟังนิ่งๆ “มาลัยรู้เรื่องลูกดุจกับนายปัฐลูกนังดาวรายแล้ว”
“โอเค สองคนเขาชอบกัน แต่เพราะมาลัยกีดกันพวกเขา พี่ถึงไม่บอกมาลัย”
“สองคนจะชอบกันไม่ได้ รักกันไม่ได้”
ก้องภพไม่พอใจ “นี่ อย่าพูดเรื่องความแค้นตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายอีกเลยน่า ลูกมาชอบกันมันไม่ดีเหรอ จะได้เลิกแค้นกันซักที”
มาลัยเสียงดังขึ้น แทบเป็นตวาด “เลิกไม่ได้”
“รู้ไหม ทุกข์น่ะมันอยู่กับคนที่คั่งแค้น คนที่รู้จักให้อภัยถึงจะเป็นสุข”
มาลัยเผลอพูดออกไป “แต่มันไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียว”
ก้องภพชะงัก “งั้นเรื่องอะไรอีก”
“เขาสองคนเป็นพี่น้องกัน”
พอหลุดปากไปแล้วมาลัยก็ตกใจ ก้องภพอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“เข้าใจแล้ว ปัฐเป็นลูกป้อง ส่วนดุจเป็นลูกพี่ มาลัยคิดว่าพี่กับป้องเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคนเลยเป็นพี่น้องกันล่ะซี” ก้องภพหัวเราะใหญ่ “จะบอกอะไรให้ พี่กับป้องเกี่ยวข้องกันเพราะเป็นดองเท่านั้น โดยสายเลือดแล้ว เราไม่ได้เป็นพี่น้องกันเลย ทั้งสองคนน่ะ เขารักกันได้”
“พี่ไม่เข้าใจ เขารักกันไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” มาลัยอึดอัดสุดจะคณานับ
“โอ๊ย เบื่อจะพูดกับคนไม่มีเหตุผลแล้ว”
ก้องภพหงุดหงิดเดินเข้าห้องทานอาหารไป ทิ้งให้มาลัยฮึดฮัดขัดใจอยู่ลำพัง
ดุจเดือนยืนอยู่ที่หัวบันได ได้ยินทุกอย่างที่ก้องภพกับมาลัยคุยกัน ดุจเดือนรู้สึกเสียจนจนน้ำตาไหลออกมา
ทางฝ่ายปัฐวีกับปานวาดและพนักงานของโฮมสเตย์ กำลังยืนส่งคณะของชยพลอยู่ข้างๆ อาคารสำนักงานโฮมสเตย์
“ขอบคุณมากนะครับ วันข้างหน้าคงได้มีโอกาสให้บริการทุกท่านอีกนะครับ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ” ปานวาดไหว้
บรรดาผู้บริหารพร้อมกระเป๋าพากันเดินออกจากโฮมสเตย์ไป เหลืออวยชัยเป็นคนสุดท้าย
อวยชัยยิ้มกับปัฐวีและปานวาด “ขอบคุณที่ให้บริการเราอย่างดีนะครับ”
“คงได้พบกันอีกนะครับ”
“อันนั้นก็แล้วแต่คุณปานดาว” อวยชัยบอก
ปานวาดฉงน “ทำไมล่ะคะ”
“ถ้าทำให้เจ้านายผมหายงอนได้ ก็คงได้เจอกันอีก”
ปัฐวีเหลียวหา “แล้วคุณชยพลไปไหนซะล่ะครับ”
“ออกไปตั้งแต่บ่ายแล้ว งอนน้องคุณนั่นแหละ ลองไปถามกันดูละกัน ไปก่อนนะครับ”
ปัฐวีกับปานวาดไหว้ลาอวยชัย
พอทุกคนออกไปแล้ว ปัฐวีจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าสำนักงาน ปานวาดเดินมาด้วย
“น้องป่านไปทำอะไรเขาไม่รู้”
ปานวาดพูดไปแล้วมองมาทางปัฐวี เห็นปัฐวีใจลอยหน้าตาเศร้าซึม
“เป็นอะไรไปพี่ปัฐ”
ปัฐวีนิ่งไปครู่หนึ่ง มองปานวาด “เมื่อกลางวันพี่ได้เจอกับน้ามาลัย”
“แม่คุณดุจเดือนน่ะเหรอ แล้ว...เป็นไง”
“แย่มาก เขาด่าว่าพี่ที่ไปยุ่งกับลูกสาวเขา แล้วห้ามไม่ให้เราเจอกันอีก”
ปานวาดมองปัฐวีอย่างเห็นใจ “แย่จริงๆ ด้วย”
“แต่พี่ไม่ยอมหรอก”
ปานวาดเตือนสติ “พี่ต้องค่อยๆ คิดนะ”
“ไม่ ไม่มีอะไรต้องคิด พี่ไม่ยอมให้ความแค้นโง่ๆมาทำลายชีวิตของพี่หรอก”
“ปอแค่อยากจะบอกว่า ในอดีตพ่อแม่เราเองก็ร้ายกับครอบครัวโน้นมาก ที่เขาแค้นเราเขาไม่ผิดหรอก”
ปัฐวีหันมามองน้องสาว แล้วทั้งสองคนก็มองเหม่อไปคนละทาง คิดหนักถึงปัญหาของใครมัน
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 8 (ต่อ)
ขณะที่ปกป้องซื้อของอยู่ในร้านขายของในตลาด เป็นเวลาเดียวกับที่มาลีกับมาลัยออกมาจ่ายตลาดซื้อของสด
“แม่เขาอยากจะให้มาลีทำอาหารไปถวายวัดพรุ่งนี้ เผื่อจะได้หายป่วย”
“แม่ก็น่าจะมาจ่ายตลาดเอง ทำไมให้คนป่วยมาซื้อ”
“ตอนแรกก็ว่าจะมา พอดีเกิดปวดหัว นี่ดีนะได้พี่มาเป็นเพื่อน”
มาลีกับมาลัยเดินเข้าไปเลือกผักที่แผง มาลัยชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นปกป้องกำลังซื้อของในร้านใกล้ๆ
“มาลีเลือกผักไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”
มาลัยเดินออกไปเลย มาลีแปลกใจมองตามไป พอเห็นปกป้องกำลังเดินออกมาจากร้านใกล้ๆ จึงเดาได้ทันทีว่ามาลัยไปหาปกป้อง
ปกป้องเดินหิ้วถุงออกมาจากร้าน เจอมาลัยยืนดักรออยู่ก็ยิ้มทักทาย
“อ้าว มาลัย มาซื้อของเหรอ”
“ฉันมีอะไรอยากคุยกับพี่หน่อย”
“คุยที่ไหนดีล่ะ”
มาลัยเดินนำปกป้องเดินเข้ามาในซอยเล็กๆ มุมลับตาคน แล้วหยุดเดินปกป้องหยุดตาม
มาลัยมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจ “ตรงนี้แหละ พี่รู้ไหมว่าปัฐลูกพี่ มายุ่งกับดุจลูกสาวฉัน”
“ได้ยินดาวรายเขาพูดอยู่เหมือนกัน”
“พี่ต้องห้ามเขา ไม่ให้มายุ่งกับลูกมาลัย”
“พี่รู้ว่ามาลัยไม่ชอบดาวราย แล้วก็เกลียดพี่ด้วย แต่นี่มันเรื่องของเด็กๆ”
“ไม่ใช่ มันเรื่องของเราด้วย เราทั้งคู่”
ปกป้องสะดุดหู มองฉงน “หมายความว่ายังไง”
“ดุจเดือนเป็นลูกของฉันกับพี่”
ปกป้องตกใจ แต่ยังไม่เชื่อ “อะไรนะ ไม่จริงหรอก”
“จำวันนั้นได้ไหม วันที่พี่ทำร้ายฉันน่ะ”
สีหน้าปกป้องมีแววรำลึกจดจำ หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาโมโหจนขาดสติข่มเหงและขืนใจมาลัยในห้องทำงาน เมื่อ 25 ปีก่อน
ปกป้องมีสีหน้าตกใจถึงขีดสุด
“อีกสองเดือนต่อมา ฉันก็รู้ว่าฉันท้อง ฉันตัดสินใจแต่งงานกับพี่ก้อง เพื่อให้ลูกมีพ่อ”
“งั้นก็หมายความว่า ปัฐกับลูกสาวมาลัย”
“ใช่ เขาสองคนเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน”
ปกป้องตกใจสับสนหนัก
สองคนไม่รู้ว่าในซอยข้างๆ กันนี้ มาลียืนอยู่ที่นั่น ได้ยินทุกอย่างที่มาลัยกับปกป้องคุยกัน
“อะไรกันเนี่ย ปานวาดเป็นลูกพี่พันลือ หลานดุจเดือนเป็นลูกพี่ป้อง”
มาลีตกใจสุดขีดกับความลับของพี่สาว
รถของปกป้องแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ปกป้องเปิดประตูลงรถ ปัฐวีออกมาจากบ้านพอดี กำลังจะไปที่โฮมสเตย์ ปกป้องเรียกไว้
“ปัฐ เดี๋ยวก่อน”
ปัฐวีหยุด “ครับ”
ปกป้องเข้ามาพาปัฐวีเดินห่างออกมา
“พ่อรู้มาว่าลูกไปยุ่งกับลูกของมาลัย”
“น้องดุจ ใช่ครับ”
“พ่อขอห้ามไม่ให้ลูกไปยุ่งกับเขา”
“พ่อก็อีกคนเหรอ แค้นบ้าๆ เหมือนแม่”
“อย่าพูดอย่างนั้นนะ”
“ผมไม่สนหรอกครับ ผมจะรักใครชอบใคร มันก็เป็นเรื่องของผม ไม่ต้องเอาเรื่องความแค้นความเกลียดชังของพ่อกับแม่มายัดใส่หัวผม”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น”
“แล้วอะไรล่ะครับ ทำไมผมถึงรักกับดุจไม่ได้”
“เพราะ...เพราะ...เพราะลูกยังไม่พร้อม”
“ผมยังไม่พร้อม ผมอายุยี่สิบห้าแล้วนะครับ”
“ลูกยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย”
“ทำไมจะไม่ได้ครับ”
“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ แม้แต่งานบริหารโฮมสเตย์ ลูกก็ทำไม่ได้ดี ทุกวันนี้ก็มีแต่ป่านที่ทำอยู่เกือบจะคนเดียว”
ปัฐวีอึ้ง ไม่เคยคิดว่า พ่อจะคิดกับเขาแบบนี้ “ผมไม่ได้เรื่องใช่ไหมครับ”
“ใช่ ดูแลตัวเองไม่ได้แบบนี้ จะไปดูแลคนอื่นได้ยังไง ไปทำลูกสาวเขาเดือดร้อน เขาจะได้เกลียดพ่อกับแม่ เข้าไปใหญ่”
“งั้นผมจะพิสูจน์ให้พ่อดู ผมจะหางานทำของผมเอง”
“จะบ้าเหรอ”
“ก็ในเมื่อพ่อบอกว่าผมทำงานโฮมสเตย์ไม่ได้เรื่อง ผมก็ขอลาออก”
“ลาออกเหรอ เดี๋ยวนี้แกเก่งกล้ามากเลยใช่ไหม ได้ อยากออกก็ออกไปเลย แล้วก็ย้ายออกไปจากบ้านฉันด้วย ฉันอยากรู้นัก ว่าแกจะเอาตัวรอดได้ไหม”
ปัฐวีเดินกลับเข้าบ้านไปเลย
ปกป้องยืนหอบเหนื่อยด้วยความโมโห และเกิดความวิตกกังวลอย่างหนัก
ในขณะที่ปัฐวีกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่นั้น ดาวรายเข้ามาหาลูกในห้องพลางถาม
“เก็บกระเป๋าทำไม ลูกจะไปไหนเหรอ”
“ผมจะออกไปอยู่ข้างนอก”
ดาวรายตกใจจับแขนลูกให้หันมาคุยกัน “ยังไงกัน พูดให้รู้เรื่องซิ”
“ผมอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมดูแลตัวเองได้”
“ด้วยการไปอยู่ที่อื่นงั้นเหรอ”
“ผมบอกพ่อแล้ว ว่าขอลาออกจากโฮมสเตย์ ผมจะไปหางานที่อื่นทำ แล้วก็หาที่อยู่ของผมเองด้วย”
“ที่ทะเลาะกันเมื่อกี้น่ะนะ แม่รู้แล้ว ลูกอยากจะหางานทำเอง แม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่นหรอก”
ปัฐวีนิ่งไป
“ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ ที่บ้านยังมีอะไรให้ลูกช่วยตั้งหลายอย่าง ลูกไม่อยู่แล้วแม่จะทำยังไง”
ปัฐวีอึดอัดสับสน ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง เพราะพ่อเอ่ยปากไล่แล้ว
ดาวรายบอกขึ้นว่า “พ่อเองเขาก็ไม่อยากให้ลูกออกจากบ้าน”
ปัฐวีแปลกใจ มองหน้าดาวราย “แต่เมื่อกี้พ่อไล่ผม”
“พ่อกำลังโมโห เลยพลั้งปากแค่นั้นเอง ไม่ได้อยากให้ลูกไปอยู่ที่อื่นหรอก นี่พ่อรีบตามแม่ ให้มาพูดกับลูกเลยนะ อยากจะทำงานที่อื่นพ่อแม่ไม่ว่า แต่ไม่ต้องออกจากบ้าน”
ปัฐวีพยักหน้ารับเอาคำผู้เป็นมารดา “ครับ”
ดาวรายเรียกลูกๆ มาคุยกัน เวลานี้ ปัฐวี ปานวาด และปานดาว นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ดาวรายยืนกอดอกมองลูกๆ อยู่ หน้าตาจริงจังมาก
“เราเคยคุยกันไปแล้ว แต่รู้สึกลูกไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือกับแม่เท่าไหร่ คงรู้นะว่าเรื่องอะไร”
“ถ้าแม่ไม่พูด พวกเราเดากันไม่ถูกหรอกค่ะ” ปานดาวว่า
“แม่ไม่ต้องการให้ลูกทุกคน ไปยุ่งเกี่ยวกับคนครอบครัวนั้น ลูกนังมาลา กับนังมาลัยน่ะ”
“คำว่ายุ่งเกี่ยวของแม่นี่มันคืออะไรคะ” ปานวาดขัดหูนิดๆ
ปานอธิบายว่า “คุณชยพลเขาเป็นลูกค้านะแม่ เรามีเงินเดือนจ่ายพวกพนักงาน ก็เพราะได้งานของเขา”
“คุณชลกรเขาก็ตั้งใจจะช่วยโฆษณาโฮมสเตย์ให้เราแท้ๆ” ปานวาดบอก
“พวกนั้นมันหาทางจะเข้ามาใกล้ชิดลูกสาวของแม่ต่างหาก แล้วมันก็จะทำให้ลูกเจ็บปวด มันต้องการทำให้พ่อกับแม่ต้องทุกข์ด้วย”
ปานดาวทักท้วง “แม่ พวกเราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ใครจะมาดีมาร้ายทำไมเราจะดูไม่ออก”
“เราไม่โง่ให้ใครมาหลอกเราหรอกแม่” ปานวาดว่า
ดาวรายยื่นคำขาด “แทนที่จะให้โดนหลอกแล้วค่อยรู้ตัว ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันเลยจะดีกว่า”
ปานดาวไม่เห็นด้วย “แต่แม่คะ”
ดาวรายไม่ต้องมีแต่ แม่ห้ามก็เชื่อแม่ซี ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเป็นทุกข์ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกมันอีก
ปัฐวีนิ่งฟังอยู่นานลุกขึ้น “ตกลงเป็นเรื่องของสองคนนี้ใช่ไหมครับ ถ้าผมไม่เกี่ยว ผมจะได้...”
ดาวรายสวนขึ้น “ลูกนั่นแหละสำคัญเลย ผู้หญิงที่ลูกกำลังคบหาอยู่น่ะ คือลูกของนังมาลัย นังนี่น่ะ แสบกว่าพี่สาวของมันอีก”
“ดุจเขาเป็นคนดี เขาไม่เหมือนแม่เขาหรอกครับ”
“มันยังไม่ออกลายน่ะซี คนบ้านนั้นน่ะ มันเลวทุกคน ลูกต้องไม่ไปยุ่งกับมัน”
“เสียใจครับ ผมคงทำตามที่แม่ต้องการไม่ได้หรอก ผมชอบดุจเดือน อยู่ดีๆ จะให้ผมเกลียดเขา ด้วยเรื่องโง่ๆ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ผมทำไม่ได้”
ขาดคำปัฐวีคว้ากระเป๋าเป้มาสะพาย แล้วเดินหนีออกไปเลย
ดาวรายโมโห “ปัฐ อย่าทำอย่างนี้นะ”
แต่ไม่ทันแล้ว ปัฐวีเดินลิ่วๆ ไปไกลแล้ว
ปานวาดกับปานดาวก็หันมามองหน้ากันอย่างหนักใจ จะเป็นยังไงต่อล่ะทีเนี้ย
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 8 (ต่อ)
ปานดาวกับปานวาดเดินคุยหารือกันเข้ามาในล็อบบี้โฮมสเตย์
“แม่นี่นับวันยิ่งไม่มีเหตุผล”
“แล้วเจ้าอารมณ์มากขึ้นด้วยนะ มาห้ามแบบนี้ งานการก็เสียหายด้วย”
“ตกลงเขาจะช่วยโฆษณาให้โฮมสเตย์เราหรือเปล่าคะพี่ปอ”
“ก็คงไม่แล้วมั้ง แม่อาละวาดใส่เขาขนาดนั้น”
ระหว่างนั้น ชยพลเดินมาใกล้จะถึงล้อบบี้โฮมสเตย์ ชะงักเมื่อได้ยินเสียงสองสาวคุยกัน แล้วหลบไปแอบฟัง จะเห็นในมือชยพลมีถุงใส่อะไรบางอย่างอยู่
“นี่ยังดีนะที่ป่านรับงานคุณพลเขาไว้ก่อน ไม่งั้นเดือนนี้ได้วิ่งหาเงินกู้แน่ๆ”
“ทีหลังก็ปล่อยไปเลย อยากห้ามโน่นห้ามนี่ เราก็ปล่อยให้ขาดทุน บางทีอาจจะช่วยให้แม่รู้สึกขึ้นมาบ้าง”
“แล้วเรื่องพี่กับคุณชลกร ตากล้องพี่ชายคุณพลน่ะ เป็นยังไงบ้างคะ”
“พี่ยังไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย ถ้ามันต้องเป็นแค่เพื่อน ก็ต้องแค่นั้น ว่าแต่ป่านเหอะ ไหนตอนแรกเกลียดคุณพลเขายังกับอะไร ตอนนี้พี่ฟังป่านพูด ดูเหมือนป่านจะไม่ได้คิดเหมือนเดิมแล้วนะ”
ปานดาวนิ่งงันไป “พอได้รู้จักกันมากขึ้น เขาก็มีอะไรดีๆ อยู่เหมือนกัน”
ชยพลยิ้มกับตัวเอง
“เอ ลองเห็นความดีของเขาแบบนี้ ชักจะยังไงๆ แล้วซี” ปานวาดยิ้มขำๆ
“ไอ้ความทะเล้นกะล่อนของเขา บางทีก็ทำให้ป่านหัวเราะได้”
ชยพลฟังแล้วยิ่งรู้สึกดี นิ่งคิดนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ ตัดสินใจว่าจะต้องรุกต่อ
ปานดาวง่วนอยู่ในครัว กำลังเปิดตู้เย็นเช็คดูอาหารสดที่เหลือ พอปิดตู้เย็นหันมาแล้วต้องสะดุ้ง เมื่อพบว่าชยพลยืนอยู่ข้างตู้เย็นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“สวัสดีครับ”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้ครับ ผมมีของมาขอบคุณคุณด้วย” เขายกถุงขนมให้ดู
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่คุณช่วยให้ผมหนีแวนด้าได้ไงครับ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เอาเบอร์โทรศัพท์คุณให้เขา”
“ก็นั่นแหละครับ คุณช่วยให้ผมพ้นวิกฤตมาได้ เอาเถอะครับ รับไว้เถอะ”
ปานดาวรับถุงขนมมาเปิดดู
“รับรองอร่อยกว่าพายมะพร้าวอ่อนกับพายลูกตาลหลายเท่า”
ปานดาวชะงัก เหลือบมองค้อนชยพลนิดๆ
“จริงๆ ผมรอจะขอบคุณคุณตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่คุณไม่กลับมา”
“คุณภาคีเขาพาไปซื้อของ แล้วก็เลยดินเนอร์กันต่อ”
“หวังว่าผมคงมีโอกาสพาคุณไปดินเนอร์ซักครั้ง”
ปานดาวนิ่งไปไม่ให้คำตอบ
“รู้ไหมครับ ผมตัดสินใจถูกแล้วที่มาใช้บริการของคุณ ผมได้พักที่นี่แล้วทำให้ผมมีไอเดียดีๆเยอะมาก และที่สำคัญมีความสุขมาก” พร้อมกับว่าเขาจ้องตาปานดาวแน่วนิ่ง “สุขจนรู้สึกไม่อยากไปจากที่นี่เลย”
“คุณอยากย้ายมาอยู่ถาวรเลยไหมล่ะ”
ชยพลยิ้มเผล่ “ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้หรอก ฉันพูดเล่นน่ะ”
ชยพลหัวเราะเบาๆ “ผมชอบผู้หญิงอย่างคุณมากเลยรู้ไหม คุณเป็นคนฉลาด บางทีคุณทำเป็นดุ แต่บางทีคุณก็มีอารมณ์ขัน คุยกับคุณแล้ว ทำให้ผมหัวเราะได้”
ปานดาวนิ่งไปนิด เพราะเธอเองก็รู้สึกคล้ายๆ กัน
“คุณจะจีบฉันเหรอ”
ชยพลอึ้งไปเมื่อเจอคำถามตรงๆ แบบนี้
“คุณก็มีคุณแวนด้า อยู่แล้ว อย่าทำบาปเลยดีกว่า”
“ความรักเป็นของขวัญจากสวรรค์ มันจะเป็นบาปได้ยังไง”
ปานดาวส่ายหน้าเบะปากให้กับมุกของเขา
“คุยเรื่องเป็นงานเป็นการดีกว่า ผมมีลูกค้าที่เป็นคนญี่ปุ่น เขาสนใจธุรกิจโฮมสเตย์ ในเมืองไทย ผมจะพาเขามาทำความรู้จักกับคุณ และคุยกับคุณเรื่องธุรกิจนี้ด้วย”
ปานดาวอึ้ง นิ่งคิด “แล้วติดต่อมาละกัน”
ขณะที่ปานวาดกำลังจัดกระถางต้นไม้บริเวณสวนหย่อมข้างโฮมสเตย์อยู่นั้น สักครู่หนึ่งดุจเดือนเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ”
ปานวาดหันมาทางดุจเดือน มองฉงน
“ฉันมาหาคุณปัฐวี”
“พี่ปัฐไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบจะติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“ฉันเป็นเพื่อนเขาน่ะค่ะ”
ปานวาดนิ่งนึก “ไม่ทราบว่า ใช่คุณดุจเดือนหรือเปล่าคะ”
ดุจเดือนนิ่งไปนิด แปลกใจ “ค่ะ”
“ฉันปอ น้องพี่ปัฐค่ะ พี่ปัฐเคยพูดถึงคุณให้ฟัง”
“เหรอคะ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย พยายามโทร.หาเขา เขาก็ไม่รับสาย วันก่อนเขาเจอกับแม่ฉัน แม่พูดไม่ดีกับเขามาก”
“แม่เราเองก็พูดไม่ดีกับพี่ปัฐค่ะ”
ดุจเดือนนิ่งไป ปานวาดก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
“พี่ปัฐลาออกจากโฮมสเตย์แล้ว เขาจะไปหางานทำเอง นอกบ้านค่ะ”
ดุจเดือนฟังแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำยังไงดี
“คุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ”
ที่นั่งพักผ่อนในสวนสาธารณะ ปัฐวีกำลังเล่นแท็บเล็ตเปิดเพจหางานทำ แล้วจดลงสมุดโน้ต ชื่อบริษัทกับเบอร์โทร.ตำแหน่งงานที่คิดว่าตนเองจะสมัครได้ แต่ก็มีน้อยเหลือเกิน
“ทำไมตำแหน่งที่ตรงกับวุฒิเรา มันน้อยจัง”
ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปัฐวีหยิบมาดู เห็นหน้าจอขึ้นชื่อ “ปอ” โทร.เข้า จึงกดรับสาย
“ปอเหรอ มีอะไร”
ปานวาดพูดสายอยู่ที่โฮมสเตย์
“เดี๋ยวนะพี่”
ปานวาดยื่นโทรศัพท์ให้ดุจเดือนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ดุจเดือนพูดสาย
“ปัฐเหรอ นี่ดุจเองนะ”
ปัฐวีอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง
ดุจเดือนถาม “ปัฐอยู่ที่ไหนน่ะ”
“เอ่อ ผมยังไม่สะดวกคุยตอนนี้”
“ดุจขอโทษนะ ที่ต้องให้คุณปอต่อสายให้ เพราะปัฐไม่ยอมรับสายดุจเลย ปัฐ ปัฐไม่ต้องไปสนใจที่แม่ดุจพูดหรอก ดุจเองก็ไม่สนใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ดุจอยากเจอปัฐค่ะ ปัฐอยู่ที่ไหน”
ปัฐวีนิ่งคิด ลังเลใจ ไม่รู้ว่าจะพบดุจเดือนดีหรือเปล่าในสถานการณ์มาคุตอนนี้
มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานชยพลดังขึ้น
“เชิญ”
อวยชัยเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“เจ้านายมีอะไรเหรอครับ”
ชยพลนั่งมองอวยชัยอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“อยากให้คุณช่วยจองโต๊ะดินเนอร์คืนนี้ให้ผมหน่อย”
“ได้ครับ”
“เอาร้านเดิมที่คุณจองให้ตอนเลี้ยงรับลูกค้าจากเซี่ยงไฮ้น่ะ”
“ครับ กี่ที่ครับ”
“3 ที่ ผมจะไปถึงประมาณทุ่มนึง”
อวยชัยออกจากห้องไป ชยพลคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แววตาเจ้าเล่ห์
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 8 (ต่อ)
ดุจเดือนเดินเข้ามาในสวนสาธารณะ เหลียวมองหาอยู่ครู่หนึ่งจึงเจอ ปัฐวีนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่ง และยังคงหางานทำในแทบเลตอยู่ ดุจเดือนเดินเข้ามาหา ปัฐวีเงยหน้าขึ้นมามอง ดุจเดือนอึ้งๆ อยู่ ขณะนั่งลง
“ผมขอโทษนะที่ไม่รับโทรศัพท์ดุจ ผม กำลังมีปัญหา”
“น้องของปัฐเล่าให้ฟังแล้วล่ะ”
“สองคนนั่นก็โดนคำสั่งอาญาสิทธิ์ของแม่เหมือนกัน”
ดุจเดือนฉุน “อะไรมันจะขนาดนี้หือปัฐ ทำไมพ่อแม่เราเขาต้องกีดกันเราขนาดนี้ เราจะเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้ มันผิดอะไรนักหนา”
ปัฐวีมองดุจเดือนแล้วนิ่งงันไป ก่อนจะยื่นมือไปจับมือดุจเดือนมากุม
“ผมไม่ได้คิดว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน”
ดุจเดือนมองปัฐวีอึ้งไป
“แล้วดุจล่ะ บอกผมหน่อยว่าคุณก็คิดเหมือนผม ผมจะได้เชื่อมั่นในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ ผมจะได้รู้ว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่ออะไร”
ดุจเดือนพยักหน้ารับ “ค่ะ ดุจก็คิดเหมือนปัฐ แต่ปัฐจะทำอะไรเหรอ”
ปัฐวียิ้ม มั่นใจขึ้น “ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่ผมเห็น รวมทั้งแม่ของดุจด้วย ผมจะทำให้เขาเห็นว่าผมดูแลดุจได้ เขาจะได้ไม่ต้องขุดเรื่องสมัยปู่ย่าตายายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางเราอีก ผมจะหางานทำ”
“ทุกวันนี้งานมันไม่ได้หาง่ายๆ หรอกนะปัฐ ปัฐก็ทำอยู่ที่โฮมสเตย์นี่แหละ ทำให้มันเจริญ ให้ลูกค้าเต็มตลอด แค่นี้ทุกคนก็เห็นแล้ว”
“ไม่ดุจ มันไม่พอ ผมต้องประสบความสำเร็จด้วยตัวเองเท่านั้น”
ดุจเดือนมองหน้าปัฐวีแม้จะเห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ก็ดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ดุจเดือนเสียใจรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเธอ
“ปัญหาทั้งหมดนี่ มันเป็นเพราะดุจ”
“ทำไมพูดอย่างนั้น”
“ถ้าเราไม่ได้เจอกัน ถ้าเราไม่รู้จักกัน ปัฐก็คงไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้” ดุจเดือนอัดอั้นจนน้ำตาไหลรินออกมา
“ห้ามโทษตัวเองเด็ดขาด ทุกอย่างผมเลือกเอง ผมต้องการทำแบบนี้ เพราะผมรักดุจ เพื่อดุจผมยอมแลกได้ทุกอย่าง”
ดุจเดือนใช้อีกมือหนึ่งกุมมือปัฐวีไว้
“ปัฐทำเพื่อดุจได้ขนาดนี้ ดุจก็ทำเพื่อปัฐได้เหมือนกัน ดุจจะสู้ไปกับปัฐนะ”
ดุจเดือนยิ้มทั้งน้ำตาปัฐวียิ้มตอบ เขามีกำลังใจมากขึ้น
ปานดาวนั่งทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้โฮมสเตย์จนค่ำโดยไม่รู้ตัว พนักงานเดินถือจานใส่ขนมของชยพลเข้ามา วางให้ ปานดาวมองขนมแล้วมองหน้าพนักงาน เพราะลืมไปแล้ว
“เอ๋เห็นขนมอยู่ในตู้เย็นน่ะค่ะ กลัวว่าคุณป่านจะลืมทาน เดี๋ยวจะเสีย ก็เลยจัดใส่จานมาให้ค่ะ”
“อ้อ ขอบใจมาก”
พนักงานเดินไป ปานดาวหยิบขนมขึ้นมากิน ยิ้มกว้าง สีหน้าท่าทางดูนางจะฟินมาก
“อร่อยอย่างที่เขาบอกจริงๆ”
ระหว่างนั้นเองภาคีก็เดินเข้ามา พอเห็นปานดาวก็ร้องเรียก
“น้องป่าน”
ปานดาวหันไปเห็นภาคีบ่นกับตัวเอง
“มาอีกแล้ว งานการไม่มีทำหรือไง”
ภาคีเดินเข้ามาหาปานดาว
“ทานอะไรอยู่เหรอครับ”
“ขนมน่ะค่ะ คุณชยพลเขาซื้อมาให้เป็นการขอบคุณที่ดูแลผู้บริหารเค้าดี”
ภาคีมองขนมเหยียดๆ “สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แหม ร้านนี้มีชื่อวางขายอยู่ในห้างเลยนะคะ ไม่สะอาดได้ยังไง”
“ผมเคยกินแล้วล่ะ รสชาติก็งั้นๆ”
“แต่ป่านว่าอร่อยกว่าพายของพี่ภาคีนะคะ” ปานดาวมองที่มือภาคี “แล้ววันนี้ไม่มีอะไรมาฝากเหรอคะ”
“พี่ว่าจะมารับป่านไปหาอะไรกินข้างนอกน่ะครับ”
“วันนี้เหรอคะ”
“เจอคุณแม่ข้างนอก บอกว่าป่านว่าง”
ดาวรายเดินเข้ามาสมทบพอดี
“ไปกับคุณภาคีเขาเถอะลูก ที่นี่แม่ดูแลเอง”
“เอ่อ พอดี...ป่านนัดพี่ปอไว้น่ะค่ะ”
“นัดไปไหน” ดาวรายไม่เชื่อ
“คุณปอไปด้วยกันก็ได้นะครับ” ภาคีว่า
“ไม่ใช่ค่ะ คือเรื่องงานกลุ่มแม่บ้านของพี่เขาน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไปกับคุณภาคีเขาเถอะ เดี๋ยวแม่บอกปอเขาเอง”
“ไม่ได้หรอกค่ะ สัญญากันไว้แล้ว เอางี้ เดี๋ยวป่านโทรถามพี่เขาก่อนละกันนะคะ แป๊บเดียว”
ปานดาวชิ่งหนี รีบเดินออกไป
ดาวรายหันมาบอกกับภาคีว่า “นั่งพักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวให้เด็กเอาเครื่องดื่มมาให้”
ภาคีเข้าไปลงนั่งตามว่า ดาวรายหันไปสั่งบางอย่างกับพนักงาน ก่อนจะเห็นพนักงานเดินออกไป
ปานดาวเดินบ่นออกมาที่ถนนหน้าโฮมสเตย์ ท่าทางหงุดหงิด
“น่าเบื่อจริงๆ ไม่รู้จะตื้ออะไรนักหนา”
หญิงสาวคิดหนักว่าจะทำยังไงถึงจะหนีภาคีไปได้
“ให้พี่ปอโทร.มาบอกว่าเราอยู่กับพี่เขาดีกว่า”
ปานดาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังเริ่มกดเบอร์โทรหาพี่สาว ทันใดนั้นเองรถของชยพลก็แล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ ปานดาว ปานดาวสะดุ้ง ขยับห่างออกมา ชยพลลดกระจกรถลงยิ้มทัก
“ผมมารับคุณตามที่นัดไว้”
ปานดาวลืมไปแล้วว่านัดกัน “รับไปไหน”
“ไปคุยกับลูกค้าญี่ปุ่นของผมไงครับ คุณพร้อมหรือยัง”
ปานดาวนิ่งไปแล้วมองเข้าไปทางล็อบบี้โฮมสเตย์ ตัดสินใจ
“ไปชุดนี้ได้ไหม”
“ได้อยู่แล้วครับ ชุดนี้คุณดูโอเคมาก”
“งั้นไปเลย”
ชยพลเลื่อนกระจกปิด ปานดาวอ้อมไปเปิดประตูรถกำลังจะขึ้นไปนั่ง ภาคีเดินตามออกมาเห็นพอดี
“เฮ้ น้องป่าน จะไปไหนครับ”
ปานดาวรีบเข้าไปนั่งรถ แล้วปิดประตู
“ไปเลย”
ชยพลขับรถออกไปโดยเร็ว ภาคีกระโจนตามร้องเรียก
“ป่าน เดี๋ยวซีครับ ป่าน”
ดาวรายได้ยินเสียงเอะอะเดินออกมา
“มีอะไรเหรอคุณภาคี”
“น้องป่านน่ะซีครับ ขึ้นรถไปแล้ว”
“ไปกับใคร”
“ผมก็ไม่ทันเห็นครับ”
“เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ ทำแบบนี้ได้ยังไง”
ดาวรายโมโหมาก ยิ่งถ้าหากเธอได้รู้ว่าเป็นชยพลที่รับตัวลูกสาวไปจะโกรธแค้นขนาดไหนหนอ?
อ่านต่อตอนต่อไป