บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 15
เช้าวันรุ่งขึ้น ปกป้อง ปานวาด และปัฐวี นั่งกินมื้อเช้ากันอยู่ที่โต๊ะทานอาหาร ปกป้องลอบมองปัฐวีด้วยความเป็นห่วง แต่ปัฐวีไม่ยอมมองหน้าหรือสบตาพ่อ กินอาหารนิ่งๆ ปานวาดมองพ่อที มองปัฐวีที อดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนมีปัญหาอะไรกัน
ไม่นานเท่าไหร่นัก ดาวรายก็เดินยิ้มระรื่นเข้ามาสมทบที่โต๊ะอาหารพร้อมปานดาว
“นี่ ทุกคน แม่มีข่าวดีจะบอก”
ทุกคนหยุดกิน หันไปมองดาวราย
“แม่เพิ่งรู้จากป่าน ในอนาคตอันใกล้นี้ คุณภาคีจะส่งผู้ใหญ่มาขอหมั้นหมายน้องป่านของเรา”
สามคนพอได้ฟังต่างก็อึ้ง ตะลึงตะไลกันไปทั้งแถบ
ปานดาวยิ้มเจื่อนๆ มีเพียงดาวรายคนเดียวที่ยิ้มแก้มแทบแตก มีความสุขเป็นที่สุด
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง คุณภาคีเขาถามป่านก่อนหรือเปล่า”
ปานวาดอยู่กับปานดาวในห้องนอนของอีกฝ่าย ถามขึ้นด้วยความแปลกใจปนเป็นห่วงน้อง
“ก็ต้องถามอยู่แล้ว”
“แล้วป่านก็ยอม”
“จริงๆ จะว่ายอมก็ไม่เชิง ป่านแค่ไม่ได้ห้ามเขา”
“แล้วถ้าเกิดเขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอจริงๆ ป่านจะรับไหม”
“ในเมื่อเขาถามตอนแรก ป่านไม่ได้ปฏิเสธเขา ถ้าเขามาขอ จะปฏิเสธได้ยังไง”
ปานวาดหงุดหงิด “ป่าน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ แล้วคุณพลล่ะ”
ปานดาวฉุน “เกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็ป่านกับเขา...”
ปานดาวสวนออกมา “มันผ่านไปแล้วพี่ ป่านลืมไปหมดแล้ว”
“ป่าน นี่มันเรื่องใหญ่นะ ชีวิตทั้งชีวิตของป่านเลยนะ”
ปานดาวนิ่งไปครู่หนึ่ง “เพราะมันเป็นชีวิตของป่านไง ป่านถึงคิดว่าทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
ปานวาดนิ่งไป รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงานชลกรในห้องนอนดังขึ้น ชลกรหยิบมาดูชื่อหน้าจอ เห็นเป็น “ปอ” จึงกดรับสาย
“ครับปอ...อยู่บ้านครับ...เจ้าพลเหรอ ยังไม่ตื่นมั้ง มีอะไรเหรอ” ชลกรตกใจ “อะไรนะ จริงหรือเปล่า...เมื่อไหร่...ขอบคุณนะครับที่โทร.มาบอก”
ชลกรกดวางสายสีหน้าเครียด
ชยพลนอนหลับอยู่บนเตียง สักครู่หนึ่งมีเสียงเคาะประตูเรียกรัวๆ
“พล พล ตื่นหรือยัง พล”
ชยพลงัวเงียตื่นขึ้นลุกมาเปิดประตูห้อง
“วันนี้ว่าจะลางาน” เขาบอกพี่
ชลกรยืนอยู่หน้าประตู
“ก็ควรจะลาหรอก แล้วไปจัดการธุระสำคัญของนาย”
ชยพลง่วงงุน “พูดเรื่องอะไรของพี่”
“ปอเขาเพิ่งโทรมาบอกฉัน นายภาคีคู่แข่งของนายน่ะ เขาจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอน้องป่าน”
“ไงนะ เมื่อไหร่”
ชยพลตาสว่างทันที
ภาคีเดินยิ้มเผล่เข้ามาในบ้านปกป้อง เห็นปานดาวกำลังเตรียมเอกสารไปทำงานจึงเดินไปหา
“สวัสดีครับ น้องป่าน”
ปานดาวหันมาเห็นภาคี ก็อึ้งไปนิดๆ ยิ้มทักรักษามารยาท
“สวัสดีค่ะ แหม มาทุกวันเลย”
ภาคียิ้มกระหยิ่ม “ตอนแรกก็ไม่กะจะมาหรอกครับ พอดีคุณแม่น้องป่านโทร.ไปคุย เลยต้องมา”
“แม่โทร.ไปหาพี่เหรอคะ”
“ต้องขอบคุณน้องป่านมากเลย ที่บอกเรื่องที่เราคุยกันกับคุณแม่ ท่านเลยร้อนใจ โทร.ไปถามพี่ว่า ผู้ใหญ่จะมาขอน้องป่านเมื่อไหร่ พี่งี้ตอบไม่ถูกเลย เพราะยังไม่ทันได้คุยกับใคร คงเข้าใจนะครับ ต้องหาฤกษ์ก่อน แล้วไปคุยว่าผู้ใหญ่ท่านว่างวันนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่ว่างก็ต้องหาฤกษ์ใหม่อีก”
“ไม่ต้องพิธีมากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
“ได้ไงครับ น้องป่านสำคัญที่สุดสำหรับพี่ ท่านรัฐมนตรีท่านเคยรับปากพี่ไว้ว่าจะมาเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย”
ปานดาวหงุดหงิดที่อีกฝ่ายคุยโตอ้อมโลก “แล้วไงคะ ตกลงอะไรทำให้พี่ต้องมาที่นี่”
“พี่อยากจะพาน้องป่านไปดูเสื้อผ้าสำหรับใส่วันงานเตรียมไว้น่ะครับ”
ปานดาวชะงัก “ตั้งแต่วันนี้เลยเหรอคะ”
“คือเราไม่รู้ว่าจะได้ฤกษ์เมื่อไหร่ไงครับ เกิดเป็นอาทิตย์หน้าขึ้นมานี่ ยุ่งเลย นะครับ ไปกับพี่ พี่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง”
ปานดาวเลี่ยงไป “คือ วันนี้กลัวไม่มีใครอยู่เฝ้าโฮมสเตย์น่ะค่ะ”
ดาวรายเดินเข้ามาจากหลังบ้าน ยิ้มหน้าบานทักว่าที่ลูกเขย
“อ้าว คุณภาคี มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ภาคีรีบไหว้ “สวัสดีครับคุณแม่ เพิ่งมาถึงครับ พอดีจะชวนน้องป่านไปดูชุดสำหรับใส่วันสู่ขอน่ะครับ”
“ป่านจะไปดูงานที่โฮมสเตย์น่ะแม่”
ดาวรายรีบเปิดช่องให้ภาคีทันที “โอ๊ย ไม่ต้องหรอกลูก เดี๋ยวแม่ดูให้เอง ลูกไปกับคุณภาคีเถอะ ไปดูชุดสวยๆ แล้วก็หาอะไรอร่อยๆ กินกัน หรือจะไปดูหนังซักรอบก็ได้ ฝากยัยป่านด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับคุณแม่ ผมจะดูแลน้องป่านอย่างดีที่สุดเลย”
ปานดาวอึดอัด แต่ไม่รู้จะทำยังไง
รถชยพลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าทางเข้าโฮมสเตย์ เขาลงรถ กำลังจะเดินเข้าไปด้านใน พลันรถของแวนด้าก็เข้ามาจอดต่อท้ายรถ แวนด้ารีบลงจากรถ ชยพลชะงักเมื่อเห็นเป็นใคร
แวนด้าเข้ามาจับแขนชยพลไว้
“พอลคะ ไปกับแวนด้าเถอะค่ะ”
“มาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงชยพลหมางเมินเต็มที่
“แวนด้ากำลังจะไปหาพอลที่บ้าน เห็นพอลขับรถออกมา ก็เลยตามมา ไม่นึกว่าพอลจะมาที่นี่อีก”
“ผมบอกแล้วไง ถ้าอยากเจอผม ให้โทร.หาก่อน”
“ค่ะ แวนด้าขอโทษ แต่ยังไงเราก็มาเจอกันแล้ว ไปกับแวนด้าเถอะนะคะ”
ชยพลสุดทนถึงกับตวาด “ผมไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น”
แวนด้าอึ้ง ชยพลปลดมือแวนด้าออกจากแขนตัวเอง
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็ได้ คุณทำให้ผมต้องพูดแบบนี้นะแวนด้า คุณกับผม เราจบกันแล้ว”
แวนด้าตกใจพอๆ กับเสียใจ “พอล”
“คุณทำลายธุรกิจผม แล้วยังไม่สนใจความรู้สึกของผม เราไม่มีวันไปด้วยกันได้”
แวนด้าจะร้องไห้ “อย่าทำอย่างนี้ซีคะ แวนด้ารักคุณนะคะ”
“ไม่ คุณไม่รักผม คุณรักตัวเอง”
ชยพลจะเดินไป แวนด้าตามมาจับแขนไว้อีก ชยพลแกะมือแวนด้าออก แล้วผลักแวนด้าพ้นตัวไป
“อย่ามายุ่งกับผม”
ชยพลตรงเข้าไปในโฮมสเตย์ ทิ้งแวนด้าให้ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
ชยพลเดินเข้ามาในโฮมสเตย์ เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาคีกับปานดาวเดินออกจากบ้าน เข้ามาในโฮมสเตย์ ชยพลชะงักนิดๆ เมื่อเห็นทั้งสองเดินมาด้วยกัน เขารีบเดินปรี่เข้าไปหาเรียกปานดาวไว้
“คุณป่าน”
สองคนเห็นมองชยพลก็ชะงัก คาดไม่ถึง ปานดาวอึ้งไป
ชยพลเดินมาถึงก็ถามขึ้นทันที “เรื่องคุณกับไอ้หมอนี่มันจริงหรือเปล่า
“เฮ้ย หมอนี่หมอไหน” ภาคียัวะ
ชยพลหันมามองภาคีตาขวาง “อยากโดนอีกเหรอ”
ภาคีสยอง แต่ก็โชว์แมนต่อหน้าปานดาวแอ่นอกสู้
“ก็ลองดูซิ บ้านเมืองมีกฎหมาย นายอยากไปนอนในคุกก็บอก”
ปานดาวโมโห “คุณชยพล อย่ามาเป็นอันธพาลที่นี่นะ”
“ผมได้ยินมาว่า นายนี่จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณ มันจริงหรือเปล่า”
ปานดาวรู้สึกสะใจ ประชดส่ง “ข่าวไวดีนี่ ใช่ คุณได้ยินถูกแล้ว”
“แต่มันเป็นไปไม่ได้ คุณจะแต่งงานกับมันไม่ได้”
ภาคีโมโห แต่ก็ไม่กล้าด่าชยพล เพราะกลัวอยู่เหมือนกัน เลยหันมามองปานดาว ว่าจะว่ายังไง
“ฉันจะแต่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น”
“แต่คุณกับผม เรา...”
ปานดาวสวนออกไปว่า “ก่อนจะพูดจาอะไร คิดให้ดีก่อนนะ จะมีใครเสียหายบ้าง”
ชยพลจ้องตาปานดาว เขารู้ว่าถ้าพูดออกไป คนที่เสียหายก็คือปานดาว
“ก็ได้ ผมขอร้อง คุณแต่งงานกับเขาไม่ได้”
“สายเกินไปแล้ว ฉันกำลังจะไปดูชุดที่จะไว้ใส่ในพิธีสู่ขอ” ปานดาวหันไปยิ้มหวานกับภาคี “พร้อมหรือยังคะ ไปกันเลยไหมพี่ภาคี”
ภาคีสะดุ้ง “ไปเลยเหรอครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเชิญครับ”
ภาคีผายมือเชิญปานดาว ปานดาวเดินออกไป ชยพลรีบตามไป
“คุณป่าน”
ปานดาวไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อย ชยพลรีบตามไป
ระหว่างนี้ดาวรายตามออกมาจากในบ้าน เห็นชยพลเดินตามปานดาวกับภาคีไปก็แปลกใจ รีบตามไป
ปานดาวกับภาคีออกมาขึ้นรถที่หน้าออฟฟิศโฮมสเตย์ ชยพลตามออกมาติดๆ ดาวรายตามมาเป็นคนสุดท้าย
แวนด้ายังคงยืนรออยู่ที่ข้างรถของเธอตรงทางเข้า พอมองเห็นชยพลก็รีบเดินดุ่มๆ เข้าไปหา
“พอลคะ เดี๋ยวค่ะ”
ชยพลชะงัก หันไปมองแวนด้า ทุกคนหยุดมองไปที่แวนด้าเป็นตาเดียว ปานดาวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คนเรานี่ก็แปลกนะ มีภรรยาแล้วก็ยังชอบหาเรื่องใส่ตัว” ปานดาวด่ากระทบชยพล
“คุณนั่นเอง มาตามสามีอีกแล้วเหรอครับ” ภาคีเยาะซ้ำ
ชยพลเหลือบมองปานดาว รู้ว่าพูดกระทบเขา แวนด้าไม่สนใจเดินมาหาชยพล
“ไปกับแวนด้าเถอะค่ะพอล”
“โอ้โห เรียกซะฝรั่งเลย สงสัยตามกันมาจากเมืองนอกนะครับน้องป่าน” ภาคีด่าชยพล “นี่นาย นายมีเมียแล้ว ยังจะมายุ่งกับน้องป่านทำไม แบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลยรู้ไหม”
ชยพลหันไปบอกแวนด้า “ไปซะ”
“ไม่รู้ทนได้ยังไง เขาออกปากไล่ซะขนาดนี้” ปานดาวนึกหมั่นไส้แวนด้า หึงชยพลโดยไม่รู้ตัว
แวนด้าจ้องหน้าปานดาว “เพราะว่าฉันรักของฉันจริงน่ะซี ไม่เหมือนเธอ ได้แต่แบะท่าอ่อยเหยื่อ รอให้ผู้ชายดีๆ มาติดกับ”
“ขอโทษ ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น”
“แล้วคุณคนนี้ใคร ไม่ใช่เหยื่อของเธอเหรอ หรือแค่กิ๊กอีกคน”
ชยพลหันมาหาแวนด้าอย่างไม่ค่อยพอใจ “แวนด้า หยุดได้แล้ว และไปซะ นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ก็ดูที่เขาทำกับพอลซีคะ พอลทำไมต้องไปง้อมันด้วย มันแคร์พอลที่ไหน”
ปานดาวอดเหลือบมองชยพลไม่ได้ ว่าเขารู้สึกยังไงกับคำถามนี้
“น้องป่านเขาไม่แคร์นายอยู่แล้ว กลับไปเป็นสามีที่ดีของเมียนายดีกว่า...เราไปกันเถอะครับ” ภาคีว่า
แวนด้าเซ้าซี้ชยพลไม่เลิก “มาเถอะค่ะพอล จะไปสนใจผู้หญิงมากรักอย่างนั้นทำไม”
ปานดาวหงุดหงิดขึ้นมาอีก “ปากคุณนี่มัน...ไปเถอะค่ะพี่ ภาคี น่ารำคาญ”
“ได้ครับ ไปเลย”
ภาคีเดินมาที่รถรีบเปิดประตูให้ ปานดาวขึ้นไปนั่งในรถ ภาคีปิดประตูเดินไปขึ้นฝั่งคนขับแล้วกดล็อคประตู
ระหว่างนี้ดาวรายนึกบางอย่างได้ หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเริ่มถ่ายคลิปเหตุการณ์นับจากนี้
ชยพลวิ่งไปเกาะประตูฝั่งปานดาวไว้ พยายามดึงแต่เปิดไม่ออก
“คุณป่าน ลงมาคุยกันก่อน ผมขอร้อง”
ปานดาวนั่งนิ่งขึงมองตรงไปข้างหน้า ภาคีสตาร์ตเครื่อง เคลื่อนรถออกไปอย่างเร็วชยพลยังเกาะประตูคาอยู่
“คุณป่าน คุณป่าน”
รถกระชากอย่างแรง ทำให้ร่างชยพลถลาล้มลงไปกลิ้งโค่โล่กับพื้นถนน
ปานดาวมองจากกระจกส่องข้าง เห็นชยพลล้มกลิ้งอยู่บนถนน ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
ร่างชยพลนอนกองราวกับเป็นขยะอยู่กับพื้นถนน แวนด้ามองไปที่ชยพลด้วยความปวดร้าว
“มันสำคัญกับคุณขนาดนี้เชียวเหรอพอล”
ชยพลชันกายลุกขึ้น แต่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นถนน ตามองตามรถของภาคีไป
ดาวรายยิ้มเยาะสาแก่ใจ แล้วเดินกลับกลับมาที่บ้าน เปิดคลิปในมือถือดู ด้วยความสะใจเอามากๆ
สีหน้าเจ้าเล่ห์ของดาวรายครุ่นคิด แล้วยิ้มร้ายออกมาเหมือนนึกบางอย่างได้
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
ชยพลยังนั่งคุกเข่าอยู่บนถนน แวนด้าเดินเข้าไปหาจะช่วยประคอง แต่ชยพลกลับปัดมือแวนด้าออกด้วยท่าทีหงุดหงิด แล้วลุกขึ้นเองเดินกลับไปที่รถ เปิดประตู
แวนด้าตามมาเรียกไว้
“พอล”
ชยพลถอนหายใจ ก่อนหันหน้ามาพูดกับแวนด้าชัดถ้อยชัดคำว่า
“เราจบกันแล้ว แวนด้า”
จากนั้นชยพลขึ้นรถ ปิดประตูปัง สตาร์ตเครื่องขับรถออกไปอย่างแรง
แวนด้าได้แต่มองตามไป น้ำตาร่วงพรู รู้ว่าชยพลไม่มีใจให้เธออีกแล้ว
ดาวรายนั่งลงที่โซฟารับแขก สายตามองจ้องจอมือถือเขม็ง เปิดดูคลิปที่ชยพลล้มลุกคลุกคลานเมื่อครู่ แล้วยิ้มร้ายอดมาด้วยความสะใจ ก่อนจะกดแชร์คลิปดังกล่าวไปที่ไลน์ชื่อ “มาลา”
จอมือถือของมาลา เปิดคลิปที่ชยพลวิ่งเกาะตามรถภาคีไปจนหกล้มกลิ้งโค่โล่ไปกับถนน มาลาดูคลิปนั้นจนจบ ภาพนิ่งค้างตอนที่ชยพลนอนกองอยู่กับพื้น มาลาใจหายสงสารลูกจับใจ แตะเบาๆ ที่จอมือถือ
“พลลูกแม่”
ไม่นานนัก เสียงโทรศัพท์มือถือของมาลาดังขึ้น มาลาดูชื่อที่จอแล้วกดรับพูดสายเสียงห้วนๆว่า
“มีอะไร”
ดาวรายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สีหน้าเบิกบานอยู่ในบ้าน สองคนคุยสายกัน
“ได้เห็นคลิปที่ฉันส่งไปให้แล้วใช่ไหม น่าภูมิใจไหม ลูกชายเธอน่ะ ผู้บริหารธุรกิจร้อยล้าน วิ่งเกาะรถตามผู้หญิง จนล้มกลิ้งเหมือนกับสุนัขกลางถนน”
มาลาคุมแค้น “เธอทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ใครทำ ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันแค่ถ่ายคลิปขำๆมาแบ่งกันดูเท่านั้นเอง” ดาวรายหัวเราะร่า “เออ แต่ไม่รู้ซีนะ ไม่รู้ว่ามันน่าขำ หรือน่าสมเพชดี”
“ฉันว่าคนที่น่าสมเพช น่าจะเป็นเธอนั่นแหละ คนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นน่ะ ช่างน่าสมเพช”
“แต่ฉันกลับคิดว่าเป็นเธอนะ แม่ผู้น่าสมเพช ปล่อยให้ลูกชายต้องเป็นทุกข์อยู่กับความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้”
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้”
ดาวรายประกาศก้องหู “เพราะเขาคือลูกชายเธอไง ฉันไม่มีวันยอมเป็นดองกับเธอแน่ๆ”
“เธอจะมาโกรธแค้นฉันทำไม คนที่ควรจะโกรธน่าจะเป็นฉันมากกว่า เพราะเธอใช้ยาเสน่ห์ แย่งพี่ป้องไปจากฉัน”
ดาวรายอึ้ง ใบ้กินไปเลย
“แต่ฉันให้อภัยเธอนะ เธอก็ควรจะรู้จักให้ความรักความเมตตาแก่คนอื่นบ้าง ไม่ใช่รักแต่ตัวเอง”
ดาวรายขัดใจ แต่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง “พอแล้ว อย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาสอนฉันหรอก กลับไปสั่งสอนลูกตัวเองดีกว่า ทั้งสองคนนั่นแหละ อย่าได้มาข้องแวะกับครอบครัวฉัน ไม่งั้นพวกมันจะมีแต่ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เหมือนที่แม่มันเคยเจอ”
พอดาวรายหันมาเห็นปกป้องยืนมองอยู่ จึงกดสายทิ้ง ปกป้องรู้ว่าดาวรายพูดกับใคร และได้ยินตั้งแต่ต้น
ทางฝ่ายมาลาลดโทรศัพท์ลง แต่ยังคงนั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น จนพันลือเดินมาเห็นก็แปลกใจ
“มีอะไรเหรอ”
มาลาเลือกคลิปในมือถือแล้วส่งโทรศัพท์ให้พันลือดู
“ดาวรายส่งมาให้มาลา”
พันลือรับมางงๆ ก่อนจะกดคลิปเปิดดูหน้าเครียดเห็นถนัดตา
พันลือนั่งรอลูกชายอยู่ที่ห้องรับแขก ไม่นานนักชยพลก็เดินเข้ามาในบ้าน เสื้อผ้าดูเลอะเทอะ ฉีกขาดมอมแมม สภาพดูไม่จืด
“ไปทำอะไรมา สภาพดูไม่ได้เลย”
ชยพลดูสารรูปตัวเอง เห็นเป็นจริงอย่างที่พ่อบอกจริงๆ แต่บอกเพียงว่า
“หกล้มน่ะครับ”
“กลางถนนเลยใช่ไหม”
ชยพลชะงักหันมามองพ่อ
“ดาวรายแม่ของผู้หญิงที่แกไปเกาะรถตามน่ะ เขาส่งคลิปมาให้แม่แกดูด้วย น่าอนาถจริงๆ” พันลือลุกขึ้นยืน “แม่แกเขาเสียใจมากรู้ไหม”
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”
“แต่ฉันรู้มาว่า ผู้หญิงเขาออกไปกับผู้ชายอีกคน แล้วแกก็พยายามวิ่งเกาะรถเขา จนหกล้มไม่เป็นผู้เป็นคน มันมีดีอะไรนัก ผู้หญิงคนนี้เนี่ย”
ชยพลนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “ผมก็ถามตัวเองอยู่ ว่าเขามีดีอะไร ขอโทษนะครับพ่อ ผมอยากไปล้างเนื้อล้างตัวแล้ว”
ชยพลตัดบทแล้วเดินหนีขึ้นชั้นบนไปเลย พันลือส่ายหน้ามองตามลูกชายไปด้วยท่าทีหงุดหงิด
ในขณะที่ชลกรนั่งทำงานกราฟิกกับโน้ตบุ๊กอยู่ที่โต๊ะในห้องนอน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชลกรลุกไปเปิดประตู แล้วต้องอึ้งไป เมื่อเห็นสภาพของน้องชายเต็มไปด้วยริ้วรอยถลอกตามเนื้อตัว
“ว่างไหม อยากคุยด้วย”
“เข้ามาซิ”
พร้อมกับว่าชลกรถอยให้น้องก้าวเข้ามา เลื่อนเก้าอี้มาให้ ส่วนตัวเขากลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
“สภาพเป็นแบบนี้เอง”
“พี่รู้เรื่องด้วยเหรอ”
“แม่พูดให้ฟัง แต่ไม่ได้เห็นคลิปเองหรอก ไม่อยากขอแม่ดู สงสารเขา”
ชยพลหน้าเศร้า “พ่อบอกแม่เสียใจมาก”
“ก็คงงั้น เข้านอนแต่หัววันเลย พรุ่งนี้นายค่อยไปเล่าให้แม่ฟังละกัน”
“จะมีหน้าไปเล่าเหรอ”
“กับแม่น่ะ ปรึกษาได้อยู่แล้ว แล้วเรื่องนี้คนที่ร้ายคือแม่ของน้องป่านต่างหาก ใจร้ายจริงๆ ทำเอาพี่คิดหนักไปด้วยเลย เพราะเขาเป็นแม่ปอด้วย กลัวใจว่าที่แม่ยาย”
“แต่ผมปรึกษาพี่ก่อนก็ละกัน ผมสับสนจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ผมควรจะหยุดไหมพี่ เพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง”
ชลกรใช้ความคิด “ก่อนอื่นเลย นายต้องถามตัวเองก่อนว่านายรู้สึกจริงๆ กับเขายังไง เขาสำคัญสำหรับนายแค่ไหน นายพร้อมจะเจอกับสวรรค์หรือนรกเพื่อเขาได้ไหม”
ชยพลนิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกพี่ชายว่า “เขาคือ...เสียงหัวใจเต้นของผม ทุกครั้งที่เขาอยู่ตรงหน้า” ชยพลนึกถึงตอนปานดาวกับเขาทำอาหารด้วยกัน และร่วมร้องเพลงบนเวทีงานเลี้ยงสัมมนา “ผมก็ได้ยินเสียงหัวใจมันเต้นดัง แต่ถ้าไม่มีเขา...” ชยพลหน้าเศร้าไปถนัดตา “พี่ชล ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักจากเขา ผมรู้แล้วว่า ผมขาดเขาไม่ได้”
ชลกรลุกขึ้นตบบ่าน้องเบาๆ “งั้นเรามาช่วยกัน เราจะทำให้รักของนายเป็นจริงให้ได้”
เห็นท่าทางชลกรดูมั่นใจมาก จนทำให้ชยพลเริ่มมีหวัง
เช้าวันต่อมา ขณะที่ชยพลเดินลงบันไดมา เขาต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงมาลากับพันลือคุยกันดังออกมาจากห้องทานอาหาร
“เอ้า ลองชิมดูซิ เผ็ดถูกใจหรือยัง”
ชยพลเดินไปหยุดที่ประตูห้อง มองเข้าไปเห็นแม่กำลังตักกับข้าวให้พ่อชิม ชยพลมองภาพนั้นแล้วอึ้งไป
พันลือชิมกับข้าวจากช้อน แล้วส่งเสียงอื้ออ้าชอบใจ พร้อมกับพยักหน้าเคี้ยวกับข้าวตุ้ยๆ
“อืม ต้องอย่างนี้แหละ กำลังดีเลย”
“อย่าเพิ่งพูด กับข้าวเต็มปาก เดี๋ยวก็สำลัก”
“ก็มันอร่อยจนห้ามใจไม่ได้จริงๆ”
มาลายิ้มบางๆ “จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่น่ะชอบพูดเอาใจอยู่เรื่อย”
“อร่อยจริงๆ พี่ไม่พูดเอาใจหรอก” พันลือใช้มือข้างหนึ่งจับมือมาลาไว้ จนมาลาต้องปล่อยช้อน พันลือดึงมือมาลาเข้ามาวางที่หัวใจตัวเอง “พี่รู้ตัวว่าพี่โชคดีมากแค่ไหน ที่ได้สุดยอดแม่บ้านคนเก่งมาเป็นเมีย”
พันลือทำตาหวานใส่ แถมยังยกมือมาลามาหอมอีกฟอดใหญ่ มาลายิ้มขำ
“ทำอะไร กลางวันแสกๆ นะพี่”
“มันห้ามใจไม่ได้อีกแล้ว”
มาลาหัวเราะแล้วตีแขนพันลือ
“พูดอะไรน่าเกลียด แก่จะตายอยู่แล้ว”
พันลือปล่อยมือเมีย มาลามองไปที่ประตูห้องอาหารเห็นชยพลยืนมองอยู่
“อ้าว พล”
มาลาผละจากพันลือ เดินไปหาชยพล
ชยพลเดินเข้ามาในห้องรับแขก มาลาตามออกมาจากห้องทานอาหาร
“ไหน มาให้แม่ดูซิ”
มาลาเข้ามาจับดูตามเนื้อตัวลูกชาย
“หกล้มขนาดนั้นได้แผลไหม”
“นิดหน่อยเองครับ พลต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ”
มาลามองชยพล ด้วยความสงสาร “แม่เป็นห่วงลูกมากกว่า เขาต้องเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากๆ ถึงทำให้ลูกเป็นแบบนั้นได้”
ชยพลยอมรับ “ครับ เขาพิเศษ”
“แล้วแวนด้าล่ะ ลูกจะเอายังไง”
“จริงๆ เราก็ไม่ได้คบหากันจริงจังตั้งแต่แรกแล้วน่ะครับแม่ ไม่ได้ผูกมัดกัน แค่เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวตามประสา แต่ผมคุยกับเขาแล้วล่ะครับ ว่าเรื่องของผมกับเขา มันจบแล้ว”
“เขารับได้เหรอ”
“ยังไงสำหรับผมตอนนี้ มันจบแล้วจริงๆ ผมมีแต่ป่านคนเดียว”
“เรื่องของหัวใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ จะรักจะเลิกตามใจนึกไม่ได้”
ชยพลนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างพ่อกับแม่แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่กับแม่ทำไมมันง่ายล่ะครับ”
มาลาไม่เข้าใจ “หมายความว่าไง”
“วันก่อนแม่ยังโมโหพ่ออยู่เลย วันนี้หายโกรธพ่อแล้ว”
มาลายังไม่ตอบ จูงมือชยพลไปนั่งลงที่โซฟา
“จริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก ตอนแรกแม่ก็โมโหพ่อเขามาก แต่เมื่อแม่มีเวลาคิดมากขึ้น แม่ก็เข้าใจเขา ทุกอย่างที่พ่อลูกทำ เพราะเขารักแม่มาก มากกว่าผู้ชายทั่วไปจะทำได้ ตอนนั้น แม่ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว แม่ผ่านอะไรมาเยอะ แต่พ่อลูกเขาก็ไม่สนใจ เขายอมรับในสิ่งที่แม่เป็นทุกอย่าง เขาพร้อมรับแม่เป็นภรรยาของเขา” มาลามองหน้าลูก “พ่อเขาดีกับแม่ขนาดนี้ แม่จะโกรธเขาลงได้ยังไง”
ชยพลคิดตาม พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ถัดมา ชยพลเดินเข้ามาในห้องพี่ชาย
“พี่รู้ยัง แม่หายโกรธพ่อแล้ว กระหนุงกระหนิง กันน่าดูเลย”
ชลกรนั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊กคู่กาย
“พี่เห็นแล้ว”
“แล้วรู้ไหมว่าทำไม”
ชลกรถามโดยหน้ายังง่วนอยู่หน้าจอ “ทำไม”
“แม่บอก เพราะแม่รู้ว่าพ่อทำทุกอย่างเพราะรักแม่มาก ขนาดเคยท้องกับคนอื่น พ่อก็ไม่สนใจ ยอมรับแม่ทุกอย่าง”
คราวนี้ชลกรละหน้าจากการทำงานหันมามองน้อง “ก็สมควรให้อภัยนะ”
“ผมมาคิดถึงเรื่องของผมกับป่าน ผมรู้แล้ว ถ้าจะให้ป่านเขายอมรับรักผม ผมต้องทำให้เขาเห็นว่า ผมรักเขามากที่สุด”
“ก็ดีนี่ ทำเลยซี”
ชยพลนั่งลง สีหน้าเครียดเคร่ง อ่อนอกอ่อนใจ “แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง พี่ช่วยคิดหน่อยดิ”
“อ้าว ไหนบอกรักเขามากที่สุด แล้วไม่รู้ว่าเหรอว่าต้องแสดงออกยังไง”
“มันคิดไม่ออกเลย”
“แสดงว่านายยังไม่รู้จักเขาจริง”
“ก็อยากจะรู้จักนะ แต่เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที พี่ช่วยคิดหน่อยซี พี่รู้จักคุณปอดีใช่ไหมล่ะ พี่น้องเขาก็ต้องคล้ายๆ กันนั่นแหละ”
“ฉันกับนายยังไม่เหมือนกันเลย คิดมั่วๆ เดี๋ยวก็พัง”
“ขอร้องเหอะพี่ชล ช่วยผมหน่อย”
ชลกรนิ่งคิด “ฉันจะลองปรึกษากับปอดูก็แล้วกัน จะช่วยนายยังไงดี”
ชยพลดีใจ เดินเข้ามาจับมือชลกรเขย่าขอบคุณ
“ขอบคุณมากพี่ ถ้าสำเร็จ ผมจะตอบแทนพี่เต็มที่เลย อยากได้อะไรให้หมด”
ชลกรส่ายหน้าขำๆ กับท่าทีดีใจของชยพล
สายวันนั้น ชลกรถ่ายรูปปานวาดอยู่กับฉากเขียวในสตูดิโอของออฟฟิศ ถ่ายไปได้ครู่ใหญ่จึงสั่งพัก
“โอเคครับ พักได้”
ปานวาดมานั่งที่โต๊ะพัก ชลกรเดินมานั่งด้วย เช็คดูรูปในกล้องที่ถ่ายงานไปด้วย
“น้องของชลเป็นไงบ้าง”
“เมื่อคืนกลับบ้านซึมๆ แต่เช้าขึ้นมาเกิดกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างผิดปรกติ”
“ยังไง กระตือรือร้นอย่างผิดปรกติ”
“คงนอนคิดทั้งคืน เช้ามาพลเข้ามาหาผม แล้วขอให้ช่วยทำให้น้องป่านรู้ที ว่าเขารักน้องป่านมากที่สุด”
“อ้าว เขาก็ต้องทำเองซี”
“ผมก็ว่ายังงั้น แต่เขาบอกเขาไม่รู้ใจน้องป่านดีพอ เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที เลยไม่รู้จะทำยังไง” ชลกรหันมาทางปานวาด “ปอรู้วิธีไหมล่ะ น้องผมจะต้องทำยังไงถึงจะพิสูจน์ให้น้องป่านเห็นว่าเขารักจริง”
ปานวาดนิ่งคิด “ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักมั้ง ชลล่ะ ทำแบบนั้นเพื่อปอได้ไหม”
ชลกรตอบโดยไม่ต้องคิด “ได้แน่นอน จะให้ทำอะไรล่ะ”
“ขึ้นไปดาดฟ้าแล้วโดดลงมาชั้นล่าง”
ชลกรมองหน้าปานวาดอึ้งไป “ถ้าปอต้องการ ผมทำได้นะ”
จากนั้นก็ลุกขึ้น ทำท่าจะเดินไป ปานวาดรีบดึงแขนเขาไว้
“พูดเล่น”
“ผมก็ทำเล่นๆ” ชลกรหัวเราะ
ปานวาดตีแขนชลกรค่อนข้างแรง อีกฝ่ายร้องโวยวาย
“โอ๊ย โหดนะเนี่ย เอาเรื่องจริงจังดีกว่า ทำยังไงน้องผมถึงจะพิสูจน์ให้น้องปอเห็นว่าเขารักจริง”
“อันนั้นค่อยคิดทีหลังก็ได้ แต่ขั้นแรกต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า ป่านเขาคิดยังไงกับน้องของชล เขามีใจให้หรือเปล่า”
กลับถึงบ้านในคืนนั้น ปานวาดเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปในห้องนอนปานดาว โผล่หน้ามาดูน้องก่อนพลางถาม
“ทำอะไรอยู่เอ่ย”
ปานดาวกำลังพับผ้าก่อนจะเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า
“เก็บผ้าเข้าตู้”
ปานวาดเข้ามานั่งใกล้ๆ น้อง
“แม่บอกว่าป่านไปดูชุดเตรียมหมั้นมาเหรอ เป็นไงบ้าง”
“ยังไม่เจอที่ถูกใจเลย”
“อะไรที่ไม่ถูกใจ ชุดหรือ เจ้าบ่าว”
ปานดาวหยุดพับผ้า หันมามองพี่สาว “ทำไมถามยังงั้น ก็ต้องชุดซิ”
“ที่ถามอย่างนั้น เพราะอยากรู้ว่าแน่ใจแล้วเหรอ ที่จะแต่งกับพี่ภาคี”
ปานดาวอึ้ง นิ่งงันนิ่งไปกับคำถามจี้ใจดำนี้
“การที่เราปล่อยให้เขาเตรียมโน่นนี่จนเยอะแยะ แล้วไปปฏิเสธตอนหลังเนี่ย มันไม่ค่อยจะดีนะ”
“ป่านก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธเขาทีหลังนี่”
“แล้วจะเอาพลไปไว้ที่ไหน”
ปานดาวไม่ตอบ พับผ้าต่อ
ปานวาดคุยไปเรื่อยๆ “พี่ได้เห็นคลิปที่แม่ถ่ายไว้แล้ว เห็นเขาวิ่งตามรถจนหกล้มกลิ้งไปกับพื้นถนนพอเห็นแบบนั้นแล้ว น่าสงสารเป็นบ้า”
“อยากวิ่งตามเอง” ปานดาวนึกหมั่นไส้
“แล้วไม่สงสารเขาเหรอ หรือว่าสมน้ำหน้า”
“ป่านไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”
“ป่าน พี่ถามจริงๆเถอะ ป่านมีใจให้พลเขาบ้างไหม”
ปานดาวหยุดพับผ้า แล้วหันมาพูดกับปานวาดอย่างไม่พอใจ “ถ้าเป็นพี่ปอ พี่จะมีใจให้คนที่ทำอย่างนั้นกับพี่ไหม” ปานวาดนิ่งไป “อย่าพูดถึงคนๆ นั้นกับป่านอีกนะพี่”
ปานวาดมองปานดาวอึ้งๆ อ่านความคิดน้องสาวคนนี้ไม่ออกจริงๆ
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
ด้านดุจเดือนนั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องนอนตัดสินใจโทร.หาปัฐวี ด้วยความคิดถึง
อีกฟากปัฐวีนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอน มือก่ายหน้าผากคิดหนัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปัฐวีลุกพิงหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มาดูเห็นเป็นดุจเดือนโทร.มาจึงไม่รับสาย
ดุจเดือนรอสาย สีหน้างุนงง แปลกใจว่าทำไมปัฐวีไม่รับสาย นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจส่งไลน์ไปคุย โดยส่งสติ๊กเกอร์ไปทักทายก่อน
ปัฐวีมองโทรศัพท์ในมือนิ่ง มีข้อความจากดุจเดือนส่งตามมาว่า
“ปัฐเป็นยังไงบ้าง ทำไมเงียบไป”
ปัฐวีมองนิ่งที่จอมือถือ ดุจเดือนส่งข้อความมาอีก
“คุณพ่อปัฐว่ายังไงบ้าง”
ปัฐวีอ่าน แต่ไม่ตอบข้อความ
ดุจเดือนนิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีข้อความตอบจากปัฐวี พิมพ์ข้อความต่อไป
“ไปเที่ยวไหนน้อ คิดถึงจัง”
ปัฐวีอ่านดูข้อความ
“ดุจดีใจนะ ที่แม่ดุจยอมให้เราคบกัน”
ปัฐวีมองจอนิ่งเป็นหุ่น ข้อความประโยคแล้วประโยคเล่าทักทายมา ปัฐวีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“ปัฐล่ะดีใจไหม”
“ก๊อกๆๆ ทราบแล้วเปลี่ยน”
ปัฐวีเปิดอ่านแต่ไม่หืออือใดๆ จนดุจเดือนส่งสติ๊กเกอร์ โกรธสุดจะทนมาให้ สีหน้าปัฐวีสับสนหนัก สุดท้ายเขารู้สึกแย่ที่สุดในสถานการณ์นี้
ส่วนดุจเดือนรอคำตอบใจจดจ่ออยู่กับหน้าจอนิ่งนาน สีหน้าเศร้าสร้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ก้องภพกับมาลัยกินอาหารเช้าอยู่ในห้องทานอาหาร ดุจเดือนเดินซึมเข้ามาในนั้นนั่งลงที่โต๊ะอาหารท่าทีหงอยๆ
มาลัยตักข้าวให้ลูก ดุจเดือนตักทานอาหารไปเงียบๆ ก้องภพมองดุจเดือนด้วยสีหน้าเป็นห่วง มาลัยพอจะเดาได้ว่าที่ลูกซึมไปอย่างนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับปัฐวีแน่ๆ ดุจเดือนตักกินไปได้แค่ 2-3 คำ ก็รวบช้อน
ก้องภพถามขึ้นว่า “อะไรลูก อิ่มแล้วเหรอ”
“ค่ะ มันไม่หิว”
ดุจเดือนลุกขึ้น เดินออกไปเลย ก้องภพเหลียวมองมาลัยเป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มาลัยส่ายหน้าทำเป็นไม่รู้ ก้องภพรวบช้อนลุกขึ้นแล้วตามดุจเดือนไป มาลัยมองตามก้องภพไป
ดุจเดือนเดินออกมาหน้าบ้าน ก้องภพตามออกมาเรียกไว้
“ดุจ เดี๋ยวลูก”
ดุจเดือนหยุด ก้องภพเข้ามาหา
“มีอะไรหรือเปล่า
ดุจเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ปัฐน่ะค่ะ ไม่รู้เขาเป็นอะไร ดุจติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ลูกโทร.หาเขาเหรอ”
“โทร.ไปเขาก็ไม่รับสาย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”
“คงงานยุ่งหรือเปล่า”
“ปกติถ้าดุจติดต่อไป เขาก็รับทุกที ถ้าไม่ได้รับ ก็จะโทร.กลับมา”
“หรือจะไม่สบาย”
“นั่นซีคะ ทำให้ดุจยิ่งเป็นห่วง”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก ถ้าเขามีปัญหาอะไร เขายิ่งต้องบอกลูก ยังไงถ้าพ่อมีเวลา จะลองไปดูให้ละกัน”
“ขอบคุณมากค่ะพ่อ”
มาลัยตามมาแอบฟังสองพ่อลูกคุยกันตั้งแต่ต้น
ปกป้องอยู่ที่บ้าน รับสายมาลัยที่โทร.มาหา ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ว่าไงมาลัย”
มาลัยหลบออกมาทางหลังบ้าน โทร.หาและพูดสายอยู่กับก้องภพ
“พี่ทำอะไร ลูกพี่ถึงไม่ยอมตอบรับดุจเดือน”
ปกป้องงง “ไม่ตอบรับยังไง”
“ดุจเขาโทร.ไปหาก็ไม่รับสาย ไลน์ไปก็ไม่ตอบไลน์”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรแล้ว ตอนนี้ปัฐเขาก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องเขา”
“เขาไม่คิดจะบอกเรื่องที่เขาเป็นพี่น้องกันให้ดุจรู้เหรอ”
“พี่ขอเขาไว้เองแหละ พอรู้ว่ามาลัยยังไม่ได้บอกลูก พี่คิดว่าลูกชายพี่รับผิดชอบพอ ที่จะหยุดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และจะได้ไม่กระทบพี่ก้องภพ กับดุจเดือน และก็ตัวมาลัยเองด้วย”
มาลัยคิดตามแล้วเห็นด้วย “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกแย่หน่อย นานๆ ไปก็จะดีขึ้น”
ปกป้องหนักใจ “ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ ปัฐตอนนี้ท่าทางจะอาการหนัก”
พูดแล้วปกป้องก็เหลียวมองขึ้นไปยังชั้นบน
ไม่นานต่อมา ปกป้องเคาะประตูห้องลูก แล้วเปิดเข้ามาในห้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นปัฐวีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง
“ตื่นแล้วเหรอลูก”
ปัฐวีนั่งนิ่ง ไม่ตอบอะไร
“อาหารเช้าเตรียมไว้แล้วนะ ลงไปกินได้”
ปัฐวียังเงียบอยู่อย่างเก่า ปกป้องเดินมาใกล้ๆ
“ไม่สบายหรือเปล่า” ปกป้องยกมืออังหน้าผากลูกดู “ตัวไม่ร้อนนี่”
ปัฐวีถอนใจ แต่ไม่พูดอะไร
“ถ้ายังไม่อยากทำอะไร จะพักผ่อนไปก่อนก็ได้นะ วันนี้ยังไม่ต้องไปทำงานหรอก เดี๋ยวพ่อจะเข้าไปดูที่โฮมสเตย์เอง”
ปัฐวีก็ยังไม่ตอบอะไร
“จะให้พ่อเอาอาหารเช้ามากินที่นี่ไหม”
ไม่มีคำตอบจากปัฐวี ปกป้องมองลูก รู้สึกสงสารเป็นที่สุด
“ถ้าหิวก็ลงไปกินนะ”
ปกป้องหันตัวเดินออกจากห้องไป ปัฐวียังคงนั่งนิ่งมองเหม่อออกไปทางหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
บ่ายวันนั้น จู่ๆ ก้องภพก็โผล่หน้าเข้ามาในบ้านปกป้อง ร้องเรียกหาเจ้าบ้าน
“มีใครอยู่ไหม”
ปกป้องเดินลงมาจากบันไดพอดี ชะงักนิดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร พลางเหลือบมองขึ้นไปยังชั้นบน
“อ้าว พี่ก้อง มีธุระอะไรเหรอครับ”
“ป้อง เอ่อ ปัฐอยู่ไหม”
“ปัฐเหรอครับ พี่อยากเจอปัฐทำไมเหรอครับ”
“มีธุระกับเขานิดหน่อย”
ปกป้องกระอึกกระอัก “ปัฐ...ไม่อยู่หรอกครับ”
“เหรอ ไปไหนล่ะ เมื่อกี้ถามพนักงานที่โฮมสเตย์ ก็บอกว่าไม่เห็น”
“เอ่อ เขาไป...ไปต่างจังหวัดน่ะ ผมให้เขาไปคุยงานกับลูกค้า”
“ไปถึงไหนล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะกลับ”
“ไปโน่นแน่ะ...นครสวรรค์ อีกสองสามวันถึงจะกลับ”
ก้องภพถอนใจโล่งอก “มิน่า”
ปกป้องถามหยั่งเชิง “พี่มีธุระอะไรกับปัฐเหรอครับ”
“ลูกสาวพี่พยายามจะติดต่อเขา แต่ติดต่อไม่ได้ สงสัยที่ๆ เขาไป คงไม่มีสัญญาณ”
ปกป้องรีบเออออไปด้วย “ใช่ๆ สัญญาณคงไปไม่ถึง”
ก้องภพมองหน้าปกป้อง อีกฝ่ายรีบพูดแก้สงสัย
“ยังไงถ้าปัฐกลับมาแล้ว จะบอกเขาให้ละกัน”
“อืม ฝากด้วยนะ ให้เขาโทร.หาดุจหน่อย”
“ได้เลยพี่”
ก้องภพเดินออกจากบ้านไป ปกป้องโล่งอก
สักครู่หนึ่งดาวรายก็เดินลงบันไดมา
“ใครเหรอพี่”
“พี่ก้องน่ะ พ่อของดุจเดือน”
“อ๋อ ผัวนังมาลัย เขามาทำอะไรล่ะ”
“มาตามหาปัฐ แต่พี่บอกไปแล้วล่ะว่า ปัฐไม่อยู่ ไปต่างจังหวัด”
“ดีแล้วล่ะ พี่ทำถูกแล้ว ยังไงดาวก็ไม่ยอมให้ปัฐไปยุ่งกับลูกของนังมาลัยแน่นอน”
ดาวรายเดินเข้าครัวไป ทิ้งปกป้องให้ยืนรู้สึกผิดอยู่เพียงลำพัง
“มีอะไรเหรอคะพ่อ”
ดุจเดือนรับสาย คุยมือถืออยู่ในบ้าน
โดยทันทีที่ถึงออฟฟิศ ก้องภพรีบโทร.หาแจ้งข่าวดุจเดือนทันที
“เรื่องปัฐวีน่ะ พ่อไปที่บ้านเขามาตอนเช้า”
“ตกลงเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“พ่อเจอกับอาปกป้องพ่อเขา”
“แล้วปัฐล่ะคะ”
“พ่อปัฐเขาบอกว่าปัฐไปคุยกับลูกค้าที่นครสวรรค์ ที่นั่นมันคงไม่มีสัญญาณ ลูกถึงติดต่อเขาไม่ได้ อีกสองสามถึงจะกลับ”
“แต่ถ้าไม่มีสัญญาณ เขาก็จะบอกให้รู้นะคะ นี่มันมีเสียงเรียก แต่เขาไม่รับสาย และที่สำคัญ ปัฐ อ่านไลน์ดุจนะคะพ่อ เพียงแต่ไม่ตอบ”
“เอาน่าปัฐคงกำลังยุ่งกับงาน เลยไม่ได้ตอบ ลูกอย่าคิดมาก จะได้สบายใจ”
ดุจเดือนนิ่งไปชั่วครู่ในใจยังกังวลอยู่อย่างเก่า แต่รับคำไปไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ
“ค่ะ”
ค่ำคืนนั้น มาลา พันลือ และชลกรนั่งทานอาหารเย็นด้วยกันอยู่ในบ้าน
“วันนี้น้องกลับดึกเหรอลูก”
“คงงั้นมั้งครับ เห็นบอกต้องเคลียร์งานที่ค้าง”
“ดีแล้วล่ะ ทำงานซะบ้าง ไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องซะนาน”
“แม่ก็ว่าดี เรื่องไหนทำให้เครียดมาก ก็พักไว้ก่อน สบายใจแล้วค่อยลุยต่อ”
พันลือรู้ว่ามาลาพูดแย้งตัวเอง จึงมองเหล่ๆ เมีย ท่าทีน่าขัน ชลกรเห็นแล้วอดขำไม่ได้
“ถ้าต้องเจ็บมาอีก ก็ไปเล่นงานกองเชียร์ละกันนะ”
“พี่ก็หัดเชียร์ลูกซะบ้างซี เป็นกำลังใจให้ลูกบ้าง”
“ก็เชียร์ทั้งนั้นแหละ ถ้ารู้จักเชื่อฟังคำแนะนำ”
มาลาหันมาทางชลกร “มาคุยเรื่องลูกกับปอดีกว่า เมื่อไหร่เขาจะว่างอีกล่ะ พรุ่งนี้ว่างไหม”
“พรุ่งนี้รู้สึกจะไม่ว่างนะครับ เห็นบอกต้องประชุมกับกลุ่มแม่บ้าน”
“แหม เสียดาย แม่ว่าจะชวนไปถวายสังฆทานด้วยกัน เอางี้ ชลเอาวันเดือนปีเกิดปอมาให้แม่หน่อย”
“เอาไปทำอะไรครับ”
“จะเอาไปให้หลวงพ่อดูหน่อย ว่าดวงของลูกกับปอสมพงษ์กันไหม”
พันลือรีบทักท้วง “มาลา อะไรจะขนาดนั้น เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน”
“ก็ดูเผื่อไว้จะเป็นไร”
“ผมเองก็ไม่รู้ครับ เดี๋ยวผมถามให้ละกัน”
“อะไร เป็นแฟนกันยังไงไม่รู้วันเกิดเขา”
ถูกแม่อำ ชลกรหัวเราะแหะๆ
“แล้วขอวันเดือนปีเกิดน้องสาวเขามาด้วยนะ”
พันลือทัดทาน “เอาเข้าไป มาลาไม่เห็นสภาพเจ้าพลมันเหรอไง”
“พี่ก็ ไหนๆ ก็ไปแล้ว”
พันลือทำทีเป็นเบื่อหน่ายเมีย ตักข้าวกินกลบซ่อนความกังวลในใจเรื่องชลกรกับปานวาด
ชลกรอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนแล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กดโทร.หาปานวาด
โทรศัพท์มือถือปานวาดที่วางอยู่บนเตียง มีเสียงสัญญาณเรียกเข้าดังขึ้น ปานวาดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูยิ้มเมื่อเห็นว่าใครโทร.มา พร้อมกับคว้าหมอนมาวางนอนคว่ำหน้าคุยสาย
“อะไรชล ยังห่างกันไม่ถึง 3 ชั่วโมง คิดถึงปออีกแล้วเหรอ”
“ปอ ขอวัน เดือน ปีเกิดปอหน่อยซี”
“เอาไปทำไร”
“แม่จะเอาไปให้พระหาฤกษ์แต่งให้เรา”
ปานวาดตกใจลุกขึ้นนั่งถามเสียงดัง “อะไรกันชล”
ชลกรหัวเราะชอบใจ
“พูดเล่น แม่จะเอาไปให้หลวงพ่อดูดวงว่าสมพงษ์กันไหม”
ปานวาดบอกทันทีว่า “12 มิถุนายน 2533”
“ขอวัน เดือน ปีเกิดของน้องป่านด้วยนะ”
“18 กันยายน 2535” ปานวาดบอก
“อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดน้องป่านแล้วนี่”
“ช่าย ใกล้จะถึงวันเกิดป่านแล้ว”
“ต้องจัดเซอร์ไพรส์หน่อยแล้ว”
ปานวาดหัวเราะนึกสนุกไปด้วย “เอาให้ป่านตกกะใจเลย”
ปานดาวกำลังดื่มน้ำอยู่ในห้อง อยู่ดีๆ ก็สำลักน้ำขึ้นมา จนต้องรีบเอาผ้ามาเช็ดปาก ทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ ให้หยุดไอ
ประตูห้องนอนถูกเปิดให้ปานวาดเข้ามาในห้อง เห็นปานดาวยังไออยู่
“เอ้า เป็นอะไร”
“ไม่รู้ซี กินน้ำแล้วสำลัก”
“สงสัยเพราะพี่ปอกับชลพูดถึง”
“นินทาป่านเหรอ”
“ไม่ได้นินทา แม่ชลเขาขอวันเดือนปีเกิดป่านไป”
“เอาไปทำอะไร”
“เขาจะเอาไปให้พระดู ว่าสมพงษ์กับน้องพลหรือเปล่า”
ปานดาวตกใจมาก “อะไรนะ แล้วพี่ปอให้ไปหรือเปล่า”
“เอ๊า ผู้ใหญ่ขอไม่ให้ได้ยังไง”
ปานดาวถอนใจส่ายหน้าเชิงตำหนิพี่ แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ
“อยากทำอะไรก็ทำไป แต่รับรอง ดวงป่านกับนายชยพล ต้องเป็นศัตรูกันตลอดชาติแน่นอน”
“แล้วถ้าเกิดผลออกมาตรงข้ามล่ะ”
ปานดาวอึ้ง นิ่งงันไปเลย แถมหน้าแดงซ่าน
“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ปานวาดหัวเราะคิก หันตัวจะเดินออกจากห้องไป ปานดาวบอกอีกว่า
“ได้ผลยังไงมาบอกป่านด้วยล่ะ”
ปานวาดหันกลับมามองจ้องหน้า แซวน้องสาว
“อ้าว นึกว่าไม่สนใจ” จากนั้นก็เดินหัวเราะขำ ออกไปแล้วปิดประตูลง
ปานดาวนิ่งไป รู้ตัวดีว่า ลึกๆ แล้วเธอยังมีเยื่อใยกับชยพลอยู่เต็มหัวใจ
อ่านต่อตอนต่อไป
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
ชลกรอยู่ในห้องนอน พอได้ฟังถึงกับถามผ่านโทรศัพท์ขึ้นมาว่า
“ว่าไงนะ หน้าแดงเลยเหรอ”
ปานวาดนอนคุยสายอย่างสบายใจอยู่บนเตียง
“ตอนแรกเขาบอกว่าดวงต้องเป็นศัตรูกับพลตลอดชาติแน่ ปอก็บอก แล้วถ้าผลออกมาตรงข้ามล่ะ นั่นแหละ แก้มแดงขึ้นมาเลย”
“แสดงว่าเขาก็มีใจให้เจ้าพลอยู่เหมือนกัน”
“ปอก็ว่างั้น แถมยังบอกให้ปอบอกเขาด้วยตอนรู้ผล”
“เฮ้อ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ”
“เหรอ ปอก็เข้าใจยากเหรอ”
“ก็มีบ้าง ไม่เอาหรอก คุยเรื่องเจ้าพลกับน้องป่านดีกว่า ตกลงจะเอายังไงดี”
“เราก็ต้องหาโอกาสให้สองนี้ได้ปรับความเข้าใจกันน่ะซิ”
ชลกรคิดไปคิดมา “โอกาสไหนดีล่ะ”
“นั่นซิ” ปานวาดช่วยคิดไปด้วย
ทางฝ่ายมาลัยนัดชยพลไว้ สองน้าหลานเดินคุยกันเข้ามาในสวนสาธารณะ มาลัยไม่พอใจมากหลังรู้จากพี่สาวว่าชยพลไปง้อปานดาว
“มันยังไงกันเนี่ยพล แม่พลเล่าให้ฟังว่า พลไปวิ่งตามรถลูกสาวนังดาวราย จนหกล้มกลิ้งไปกับพื้นถนน”
“ผมอยากจะคุยกับเขา แต่เขาไม่ยอมพูดด้วย”
“แต่เราไม่ควรจะทำขนาดนั้น มันทำให้เขามองเรา...เป็นคนแพ้”
ชยพลนิ่งไปนิด “จริงๆ ผมก็รู้สึกอย่างนั้นมาพักนึงแล้ว”
มาลัยหยุดเดิน “หมายความว่ายังไง”
“ตอนแรกผมก็คิดจะทำตามที่น้าต้องการ ผมอยากช่วยน้ากับแม่แก้แค้นพวกเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้รู้จักปานดาวมากขึ้น ความรู้สึกของผมต่อเขา มันก็เปลี่ยนไป”
“พล อย่าบอกนะว่า...”
“น้ามาลัย ผมขอสารภาพกับน้าว่า ผมรักปานดาวครับ ผมต้องการให้ปานดาวเป็นของผม ไม่ต้องการให้คนอื่นได้เขาไป”
มาลัยไม่พอใจมาก “ไม่ได้นะพล พลจะรู้สึกแบบนั้นไม่ได้”
“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้น้าผิดหวัง แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีปานดาว”
มาลัยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกขัดเคืองใจเอามากๆ
เช้าวันต่อมา ในขณะที่มาลัยกำลังปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นผงในบ้านอยู่นั้น สีหน้าท่าทีดูออกว่าหงุดหงิดเอาการ ด้วยโมโหชยพลจากเรื่องที่รู้เมื่อคืนไม่หาย
มาลัยคุยอยู่กับชยพลในสวน
“น้ามาลัย ผมขอสารภาพกับน้าว่า ผมรักปานดาวครับ ผมต้องการให้ปานดาวเป็นของผม ไม่ต้องการให้คนอื่นได้เขาไป”
มาลัยไม่พอใจ “ไม่ได้นะพล พลจะรู้สึกแบบนั้นไม่ได้”
“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้น้าผิดหวัง แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีปานดาว”
ยิ่งคิดมาลัยก็ยิ่งหงุดหงิด
“กลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง นังดาวรายมันก็ได้พี่ป้องไป ลูกมันยังได้หัวใจชยพลไปอีก ลูกนังดาวรายมันมีดีอะไรนักหนา ทั้งลูกดุจ ลูกพี่มาลาถึงได้ไปหลงรักมันหมด”
มาลัยปัดไม้ขนไก่ไปโดนกรอบรูปครอบครัวที่วางอยู่บนชั้นตกลงกระแทกพื้นกระจกแตก มาลัยสะดุ้ง หยิบกรอบขึ้นมาดูพบว่ากระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ มองรูปด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ระหว่างนี้ก้องภพเดินหิ้วกระเป๋างานลงบันไดมา กำลังจะเข้าออฟฟิศ
“เสียงอะไรเหรอเมื่อกี้”
มาลัยชะงัก คว่ำรูปนั้นวางไว้บนชั้น
“ไม้ขนไก่มันไปโดนรูปหล่นน่ะพี่
ก้องภพไม่ได้ซีเรียสอะไร “คิดเรื่องอะไรเพลินล่ะซี ถึงเผลอไปปัดโดน”
“ค่ะ เผลอไปหน่อย”
“เก็บเศษแก้วระวังด้วยล่ะ พี่ไปทำงานก่อนนะ” ก้องภพเดินไปมาลัยเรียกไว้
“เดี๋ยวพี่ก้อง”
ก้องภพหยุด หันหน้ากลับมาหา “มีอะไรมาลัย”
“พี่คิดว่ามีเรื่องอะไรที่มาลัยทำ แล้วพี่จะรับไม่ได้บ้างมั้ย”
ก้องภพเดินกลับมายืนตรงหน้ามองจ้องตามาลัย ไม่ได้สงสัยอะไร คิดเพียงว่ามาลัยกังวลเรื่องดุจเดือน กับปัฐวีมากไป
“ที่ผ่านมาทุกอย่างที่มาลัยทำ พี่ก็รับได้ทุกอย่างนะ”
พร้อมกับว่าก้องภพยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มมาลัยฟอดใหญ่ มาลัยสะดุ้งขวยเขิน
“อุ๊ยพี่ ทำอะไร”
“เขาบอกให้หวานกันซะบ้าง รักจะได้ยืนยาว”
ก้องภพยิ้มให้ มาลัยยิ้มตอบ จากนั้นก้องภพก็เดินออกจากบ้านไป มาลัยพึมพำบอกกับตัวเอง
“เรื่องของมาลัยกับพี่ป้อง จะเป็นความลับตลอดไป”
พันลือไม่สบายใจเรื่องปานวาดกะชลกร โทร.นัดดาวรายออกมาเจอกันที่สวนสาธารณะ
“ว่าไงนะ เอาวันเดือนปีเกิดลูกของดาวไปให้พระดู”
“ก็ใช่น่ะซี พี่พูดไม่ออกเลย”
“เมียพี่นี่บ้าหรือเปล่า” ดาวรายโมโหไม่หาย
“ไม่บ้าหรอก”
“แบบนี้ต้องบ้าแน่ๆ ยังไม่ทันรู้เลยว่าจะได้แต่งกันหรือเปล่า เอาไปให้พระดูฤกษ์แล้ว”
“ไม่ใช่ดูฤกษ์ แค่เอาไปผูกดวงดูว่าสมพงษ์กันไหม พี่รู้ว่าเขาทำเพื่อจะกดดันพี่ ให้พี่ยอมรับปานวาดเป็นสะใภ้”
“แต่พี่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วพี่โง่ยอมใหเขาทำได้ยังไง” ดาวรายโวยวาย
“นี่ พอได้ไหม คำก็บ้า คำก็โง่ ถ้าเธอไม่ปล่อยให้ลูกเธอมายุ่งกับลูกพี่ มันก็ไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก
“เป็นความผิดของฉันได้ไง ใครล่ะ ที่มันฉุดฉันเข้าไปในกระท่อมตอนนั้น”
“เออๆ ฉันผิดเอง มาช่วยกันคิดดีกว่า จะหาทางออกยังไงทีนี้”
“บอกความจริงสองคนไปเลยว่ามันเป็นพี่น้องกัน”
“ไม่ได้ พี่เพิ่งจะคืนดีกับมาลาเรื่องยาเสน่ห์ ถ้าเขารู้เรื่องนี้ มีหวังได้หย่ากันแน่ๆ”
ดาวรายเหลือบมองพันลือ ทำหน้าเบื่อหน่าย นิ่งคิดไป “เอางี้ เมียพี่จะไปหาพระองค์ไหน เราไปติดสินบนท่านไว้ก่อน ให้ผูกดวงเละเทะไปเลย”
“ติดสินบนพระเนี่ยนะ คิดได้ไง”
“งั้นจะให้ทำยังไง”
“พี่ก็ไม่รู้” พันลือหงุดหงิด “โธ่เว๊ย ทำไมมันถึงมีเรื่องไม่รู้จักจบซักที”
ฝ่ายชยพลนั่งคุยอยู่กับชลกรที่สวนสวยข้างบ้าน
“ยังคิดไม่ออกอีกเหรอ ว่าจะช่วยผมยังไง”
“ใจเย็นๆ ก่อนซี อย่างน้อยก็มีข่าวดีนะ”
ชยพลสนใจทันที “ข่าวดีอะไร”
“ปอเขาคิดว่า น้องป่านน่าจะมีใจให้นาย”
“เหรอ แล้วไง ให้ผมไปหาเขาเลยดีไหม”
“เดี๋ยวซิ ดุ่มๆ ไปยังงั้นไม่ได้ เขาก็ถีบนายออกมาอีก”
“แล้วจะให้ทำยังไง”
“วันมะรืนนี้ จะเป็นวันเกิดของน้องป่านเขา ถ้านายหาของขวัญดีๆ ให้เขาได้ อาจจะขอใจเขาคืนมาได้”
ชยพลอึ้งนิ่งงันไป ประชดส่ง “ง่ายมากเลยนะพี่ หาของขวัญดีๆ ให้ป่าน คนอย่างเขาอะไรก็ซื้อใจไม่ได้หรอก”
“มันต้องมีซักอย่างซิ”
“หาตั๋วเที่ยวสวรรค์ให้เขาซักใบ ผมว่ายังยากที่จะเปลี่ยนใจเขาได้เลย”
ชลกรนิ่งไป แล้วยิ้มออกมา “นายนี่สุดยอดเลย”
“อะไรของพี่”
“ก็พาเขาไปเที่ยวสวรรค์ไงล่ะ นั่นแหละทางออกของเรา”
ชยพลยังงงๆ อยู่ ในขณะที่ชลกรนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อหาทางออกให้น้องชายได้แล้ว
ค่ำนั้นดุจเดือนช่วยมาลัยทำกับข้าวอยู่ในครัว
“วันนี้กินข้าวค่ำหน่อยนะ เกิดเรื่องวุ่นวายในตลาด”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“แม่ค้าผักเขาหาว่ามีคนขโมยโทรศัพท์มือถือเขาไป เขาเที่ยวไปค้นทุกแผงในตลาดเลย พ่อค้าแม่ค้าแทบจะตีกันตาย โวยวายล้งเล้งกันทั้งตลาด เสียเวลาเป็นชั่วโมงแน่ะลูก กว่าจะจบเรื่อง”
“แล้วใครเอาโทรศัพท์เขาไปล่ะคะ”
มาลัยทำไปคุยไป “มันหยั่งงี้ หลังจากวุ่นวายกันอยู่ชั่วโมงนึง แม่ค้าเขียงหมูก็ลองโทร.เข้าเครื่องแก ปรากฏว่ามีเสียงดังออกมาจากเข่งผัก มือถือของแกไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนเลย ก็อยู่ที่แผงของแกเองนั่นแหละ แกทำมันตกลงไปในเข่งผัก” มาลัยหัวเราะขำ “ทั้งตลาดแทบจะฆ่าแก”
ดุจเดือนยิ้มขำนิดขำหน่อยไปด้วย
“นี่แหละนะ โบราณเขาถึงว่าเส้นผมบังภูเขา เรื่องง่ายๆ นิดเดียวคิดไม่ออก ถ้าลองใช้เครื่องอื่นโทร.หาตั้งแต่ต้นก็จบแล้ว”
ดุจเดือนนิ่งคิดตาม
“แกงจืดได้แล้ว เดี๋ยวพ่อมาก็กินกันได้เลย”
ก้องภพโผล่หน้าเข้ามา ยิ้มเผล่
“มีใครพูดถึงพ่อหรือเปล่า”
“กลับมาพอดีเลย อาหารเพิ่งจะเสร็จ”
“จ้ะ ขอล้างไม้ล้างมือหน่อยนะ”
ดุจเดือนเดินออกจากครัว เข้ามานั่งในห้องรับแขก ค้นหาเบอร์ปานวาด กดโทร.หา ปานวาดอยู่ที่บ้านกดรับสายทันที
“สวัสดีค่ะพี่ดุจ”
“สวัสดีค่ะปอ พี่มีเรื่องรบกวนหน่อยค่ะ พอดีพี่ติดต่อปัฐไม่ได้สงสัยแบตหมด เห็นว่าจะไปนครสวรรค์ พี่จะถามว่าไปวันไหนน่ะค่ะ เผื่อพี่ว่างจะได้ไปด้วย”
“นครสวรรค์หรือคะ ปอไม่ทราบเรื่องน่ะค่ะ ตอนนี้พี่ปัฐ อยู่ที่โฮมสเตย์ค่ะ ยังไม่เข้าบ้าน เดี๋ยวมาแล้วปอบอกให้โทรกลับพี่ดุจนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะปอ”
ดุจเดือนวางสาย รู้แล้วว่าปัฐวีไม่ได้ไปไหน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมปกป้องถึงโกหก และทำไมปัฐวีถึงไม่ยอมรับสาย
ก้องภพกินอาหารค่ำอยู่กับมาลัย ดุจเดือนเข้ามาสมทบ
“กินข้าวลูก” ก้องภพเห็นสีหน้าดุจเดือนก็แปลกใจ “มีอะไรหรือเปล่า”
“ปัฐไม่ได้ไปนครสวรรค์ค่ะพ่อ ปัฐอยู่ที่โฮมสเตย์”
ดุจเดือนพร้อมสีหน้าเศร้าๆ ลงนั่ง มาลัยกับก้องภพมองหน้ากัน
เสียงโทรศัพท์มือถือในห้องปัฐวีดังขึ้น ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู เห็นชื่อหน้าจอรายสายอยู่เป็นชื่อ “ก้องภพ” ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ลังเลว่าจะรับสายดีไหม แต่ที่สุดก็กดรับพูดสาย
“สวัสดีครับคุณลุง”
ก้องภพยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้านพูดสายสีหน้าเรียบเฉยมาก
“ปัฐเหรอ”
“ครับ”
“ลุงมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย พรุ่งนี้ไปหาลุงที่ออฟฟิศหน่อยซี”
ปัฐวีอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ได้ครับ กี่โมงครับ”
“บ่ายๆ ก็ได้ ลุงจะรอนะ”
“ครับ”
ปัฐวีกดวางสาย รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
บ่ายวันนั้น ปัฐวีพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานก้องภพ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเคาะประตู ครู่หนึ่ง ประตูเปิดออกก้องภพเป็นคนเปิดให้ ปัฐวีไหว้ทัก ก้องภพรับไหว้มองปัฐวีนิ่งไป
“เข้ามาก่อน”
ปัฐวีเดินเข้าไปในห้อง
“รอแป๊บนะ เดี๋ยวลุงมา”
ก้องภพเดินออกไปเลย พร้อมกับปิดประตูลง
เวลาเดียวกันมาลากับพันลือกลับเข้ามาในบ้าน มาลาซึมเซาคล้ายคนไม่ค่อยสบายใจ ในขณะที่พันลือกลับผิวปากลั้นลาอารมณ์ดีเข้ามาเลย ชลกรลงบันไดมาพอดี
“อ้าว ไหนบอกจะไปวัดไงครับ”
มาลามองหน้าลูก สีหน้าเป็นกังวล ยังดูไม่สบายใจอยู่ แต่ไม่พูดอะไร
“ไปเพิ่งกลับมานี่แหละ นี่มันบ่ายแล้ว เพิ่งตื่นอีกล่ะซิเราน่ะ”
“เมื่อคืนผมทำงานกว่าจะนอนก็ตี 3 แล้วเป็นไงบ้างครับ”
มาลาไม่พูดอะไร เดินเลี่ยงเข้าไปทางครัว ชลกรมองตามไปแปลกใจนิดๆ แล้วพอหันมาทางพ่อ พันลือดูแฮปปี้มาก
“พ่อบอกแล้ว เอาไปคิดด้วยละกัน หลวงพ่อดูดวงของแกกับปอแล้ว บอกว่าแกสองคนไปด้วยกันไม่ได้ ดวงเป็นกาลกิณีต่อกัน”
ชลกรอึ้งไป
ปัฐวียืนอยู่ในห้องทำงานก้องภพ มองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอก จนมีเสียงประตูเปิดและปิดลง ปัฐวีคิดว่าก้องภพกลับมาแล้ว จึงหันมาหา แต่เขาก็ต้องชะงัก เมื่อกลายเป็นดุจเดือนยืนอยู่ ปัฐวีทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง ดุจเดือนเป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้น
“ตกใจที่เห็นดุจเหรอปัฐ”
“ไม่นึกว่า ดุจอยู่ที่นี่”
ดุจเดือนผิดหวัง “คิดว่าปัฐจะดีใจที่เจอดุจซะอีก”
“ดีใจซี ผมดีใจ”
“ดุจพยายามโทร.หาปัฐ ปัฐก็ไม่รับสาย แชทไลน์ไป ปัฐก็ไม่ตอบ”
“คือ...ช่วงนี้ผมงานเยอะน่ะ”
“งานที่โฮมสเตย์น่ะเหรอ”
“ใช่ ช่วงนี้เริ่มมีแขกมาพักโฮมสเตย์แล้ว”
“ปัฐแน่ใจนะ ว่าแค่เรื่องงาน ทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบไลน์ดุจ”
ปัฐวีมีสีหน้าเศร้าลง หลบตาดุจเดือน “ครับ”
“แล้วทำไมพ่อของปัฐถึงต้องโกหกว่าปัฐไปต่างจังหวัดด้วย”
“พ่อบอกยังงั้นเหรอ”
“เมื่อวันก่อนพ่อดุจไปที่บ้านปัฐ พ่อปัฐบอกอย่างนั้น”
“เอ่อ...พ่อคงเข้าใจผิดมั้ง ช่วงนี้ผมไม่ได้เจอกับพ่อเลย คลาดกันไปมา”
“คงอย่างนั้น”
สองคนเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกัน
“อาทิตย์หน้าดุจจะเปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้ว อาจจะยุ่งจนเราไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน เราน่าจะได้กินข้าวกันซักครั้งนะ”
“กินข้าวเหรอ อ๋อ ได้ซี”
“เมื่อไหร่ดี วันนี้เลยดีมั้ยปัฐ”
“ไว้นัดกันอีกทีได้ไหม ต้องกลับไปดูว่าว่างวันไหน”
“อืม ก็ได้”
สองคนเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ในความรู้สึกของกันและกันไปแล้ว
มาลาดื่มน้ำอยู่ในครัวสีหน้านิ่งนึกคล้ายไม่สบายใจ ชลกรเดินเข้ามาในนั้น มาลาหันมามองหน้าลูก
“พ่อบอกว่า ดวงผมกับปอเป็นกาลกิณีต่อกันเหรอครับ”
“ลูกแน่ใจนะว่า ลูกให้วันเดือนปีเกิดของเขามาถูกต้อง”
“ผมก็จดให้แม่ตามที่เขาบอก หลวงพ่อว่ามันแย่ขนาดไหนครับ”
“แม่ไม่อยากพูดถึงมันแล้ว”
มาลาบอกปัด แล้วหันหลังไป
ชลกรยิ้มกริ่ม เดินเข้ามากอดมาลาจากทางด้านหลัง
“แม่ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ ผมเองไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”
พันลือตามเข้ามา แย้งประสานักเลงพระ
“เฮ้ย เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะเว๊ย”
ชลกรถอนตัวจากแม่หันมาทางพ่อ “ก็ไม่ลบหลู่หรอกครับ ผมถือว่าคำทักที่ว่าไม่ดี จะทำใหเราต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่มันจะเปลี่ยนใจผมไม่ได้ ผมรักปอยังไง ก็จะรักอยู่อย่างนั้น เผลอจะยิ่งรักมากขึ้นอีก จะไม่ยอมทำตัวเป็นปัญหากับเขา”
มาลายิ้ม ลูบหัวชลกร “ดีลูก คิดแบบนั้นได้ก็ดี”
ส่วนพันลือเบะปาก ร้องเชอะ แล้วเดินออกจากครัวไป
“นี่ แต่ก็มีข่าวดีเหมือนกันนะ”
“ข่าวดีอะไรครับ”
“ก็คู่ของพลกับป่านน่ะซี หลวงพ่อบอกว่า ดวงเป็นเนื้อคู่กันเลยล่ะ เหมาะกันเหมือนกิ่งทองใบหยก จะได้ครองรักกันจนถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร”
“โอ้โห จริงเหรอครับ น่าอิจฉามากๆ”
แม่ลูกหัวเราะหัวใคร่ให้กัน
“เจ้าพลรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ แม่ครับ เดี๋ยววันหยุดนี้ ผมจะพาพลไปเที่ยวทะเลนะครับ”
มาลามองฉงน “ไปกันสองคน หรือมีเพื่อนไปด้วยล่ะลูก”
“เปล่าครับไปกันเอง ผมจะพาพลไปพักผ่อนหน่อย ช่วงนี้เขาเครียดมาก”
“อืม ได้พักผ่อนบ้างก็คงจะดี ไปรถของพลใช่ไหม”
“ครับ”
“ค่อยๆ ไปล่ะ ขับรถระวังด้วย”
เวลาผ่านไป ดุจเดือนนั่งลงที่มุมรับแขกในห้องทำงานก้องภพ ท่าทางเซื่องซึม ดูไม่มีความสุข ก้องภพลงนั่งที่โซฟาเดี่ยวตรงข้าม
“เป็นไงบ้างลูก ได้คุยกับปัฐเขาแล้ว”
“มันแปลกๆ น่ะค่ะ”
“แปลกยังไง”
“ปัฐเขาเหมือน...เหมือนมีกำแพงกั้นไว้ระหว่างเราคุยกัน มันไม่เหมือนเดิม เขามีอะไรในใจที่ไม่ยอมบอกดุจ”
ก้องภพนึกตาม “พ่อก็สังเกตเห็นเหมือนกัน แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องงานหรือเปล่า”
“ค่ะ เขาบอกช่วงนี้งานเยอะ”
“นั่นไง เราก็ใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งคิดมาก”
“ค่ะ ดุจจะพยายาม”
ดุจเดือนอดไม่สบายใจไม่ได้
เช้านี้ ปานดาวนั่งอ่านหนังสือนิตยสารอยู่บนเตียงในห้องนอน ไม่นานนักประตูห้องนอนเปิดออก ปานวาดเข้ามาในห้อง
“พร้อมหรือยัง”
“จะไปจริงๆ เหรอ”
“ไปซี ช่วงนี้พี่ปัฐทำงานที่โฮมสเตย์ อย่างจริงจัง เราก็ต้องไปเที่ยวบ้าง”
“แต่ตอนนี้แขกเยอะนะพี่ปอ เราน่าจะอยู่ช่วยพี่ปัฐ” ปานดาวทักท้วง
“ไปเหอะน่า จะได้ไปเปิดสมองหน่อย”
ปานวาดเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เอากระเป๋าที่หลังตู้ลงมา
“จะเอาเสื้อผ้าตัวไหนไปบ้าง บอกมา พี่จะเก็บให้”
“พี่ปอ ป่านยังไม่แน่ใจ”
“หรืออยากจะอยู่ที่นี่ รอให้นายภาคีมากวนใจ”
ปานดาวนิ่งไป
“ไปเปิดสมองบ้าง จะได้ใช้เวลาคิดเรื่องนายภาคีอีกครั้ง ว่าตัดสินใจผิดหรือถูก”
ปานดาวพยักหน้ารับ ลงจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่กระเป๋า ปานวาดแอบยิ้มโล่งอก
สองสาวลงบันไดมาชั้นล่าง สองคนมีกระเป๋าเดินทางใบย่อมๆมาด้วย พอปานวาดกับปานดาวลงมาถึงชั้นล่าง ดาวรายออกมาจากหลังบ้านพอดี
“จะไปกันแล้วเหรอลูก”
“ค่ะ ออกเร็วหน่อย จะได้ไปถึงก่อนมืด”
“ก็ดีเหมือนกัน แล้วไปกันแค่สองคนเหรอ”
ปานวาดอึกอักนิดๆ “มี...คนอื่นอีกค่ะ นัดไปเจอที่นั่นเลย”
ปานดาวหันมามองปานวาดแว่บหนึ่ง เห็นปานวาดก็ทำหน้าเรียบเฉย
“ได้ไปพักผ่อนบ้าง จะได้สดชื่นขึ้น แล้วป่านอย่าขับรถเร็วล่ะ” ดาวรายว่า
“ค่อยๆ ไปอยู่แล้วล่ะค่ะ”
ปานวาดกับปานดาวออกจากบ้านไป ดาวรายยิ้มมองตามไม่สงสัยอะไร
สองพี่น้องเอากระเป๋าใส่ท้ายรถ ปิดกระโปรงรถ ปานดาวหันมาถามปานวาด
“เมื่อกี้พี่ปอ บอกว่า มีคนอื่นไปด้วยนี่ ใครคะ ป่านรู้จักหรือเปล่า”
“ก็เพื่อนๆ กลุ่มพี่น่ะป่าน ไม่กี่คนหรอก เดี๋ยวเจอหน้าป่านก็จำได้ไปกันเถอะ เร็วเข้า มาเดี๋ยวพี่ขับเองดีกว่า”
พร้อมกับว่าปานวาดแบมือขอกุญแจรถ
ปานดาวส่งให้ มองพี่สาวด้วยท่าทางสงสัยขณะเดินตามไปขึ้นรถ ปานวาดขับรถออกไป
อ่านต่อตอนที่ 16