พักหลังมานี้มีข่าวผู้หญิงเป็นมะเร็งกันเยอะ รวมทั้งสาวหน้าสวยระดับผู้ประกาศข่าว เวย์-เยาวลักษณ์ กันนิกา ซึ่งค่อนข้างหนักหนาสาหัส หน้าอกทั้งเต้าถูกเนื้อร้ายกินเรียบ ลามไปถึงใต้รักแร้ ต้องรับคีโมถึง 8 ครั้ง ผ่าเต้านม 2 ข้าง เลาะต่อมน้ำเหลือง และฉายแสงอีก 30 ครั้ง
ทว่าตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา เธอยังคงขับรถยนต์ไปทำงาน ใส่วิกอ่านข่าว แอบซับน้ำเหลืองภายใต้สูทชุดอ่านข่าว
ร่างแทบสลาย แต่ไม่แสดงความอ่อนแอ
แถมไม่ยอมบอกพ่อแม่ เธอสู้กับมะเร็งตามลำพังมาได้อย่างไร ?!?
“...วันนี้เวย์ผ่าน มาได้แล้ว แม้ว่ากว่าจะผ่านมาได้ ไม่ง่ายเลย ทุกข์ที่สุดในชีวิต ทรมานทั้งกาย และใจ ต่อสู้ดิ้นรนกับโรคร้าย ทั้งผลข้างเคียงของการรักษา ทั้งสภาวะจิตใจตัวเอง…”
หลังจาก เวย์-เยาวลักษณ์ กันนิกา ผู้ประกาศข่าวช่อง 11 NBT และ METRO TV ซึ่งใช้ชื่อบนเฟซบุ๊กว่า Wayway Vay โพสต์เผยเรื่องราวชีวิตการต่อสู้กับมะเร็งของในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ยอดแชร์กระหึ่มในโลกออนไลน์ ชาวโซเชียลแห่เข้าไปให้กำลังใจ สื่ออินเทอร์เน็ตพากันก๊อบฯเรื่องราวของเธอไปนำเสนอ สื่อทีวีก็เรียงคิวนัดสัมภาษณ์เธอออกอากาศ
“ตกใจมากเลย ยังไม่ทันตั้งตัว เพิ่งโพสต์วันพุธ คนก็เอาไปแชร์ต่อเป็นข่าวด้วย สองวันแรกช็อกเครียด ต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่เหมือนกัน"
เคลียร์ความลับ ตัดสินใจบอกพ่อแม่
“ข่าวกระจายไปไวมาก เพิ่งบอกคุณพ่อคุณแม่เมื่อวานนี้เองค่ะ”
เธอเข้าไปกอดคอพ่อแม่
“เวย์มีเรื่องจะบอก…ตื่นเต้นจังเลย” แล้วพ่อแม่ก็งง จึงแหย่ว่า
“มีคนจะมาขอเหรอ เวย์ก็บอกเปล่า ที่ไม่สบายจำได้ไหม หมอบอกว่าเนื้อที่เจอเป็นเนื้อไม่ดี พ่อก็อึ้ง แม่หน้าเสียและเริ่มน้ำตาคลอ เวย์บอกไม่เป็นไรแล้วนะแม่ เวย์รักษามาปีนึงแล้วนะ ตอนนี้หายแล้ว
ที่ไม่บอกพ่อแม่ เพราะไม่อยากให้พ่อแม่เครียด เพราะถ้าพ่อแม่เครียด เวย์จะยิ่งรู้สึกแย่ เวย์บอกแม่อย่าร้อง ถ้าแม่ร้อง เดี๋ยวเวย์ร้องตาม
พ่อบอกสงสัยตั้งแต่เวย์โกนหัวแล้ว แต่เวย์โกหกว่าโดนสารเคมีบ่อยผมร่วงเยอะ โกนแล้วใส่วิกดีกว่า ซึ่งเค้าเชื่อ เพราะเวย์เป็นคนที่ถ้าจะทำ เวย์จะทำ เค้าเลยไม่ติดใจอะไร และสิ่งที่ทำให้เค้าคลายสงสัยคือ เห็นเวย์สดใส ผิวพรรณดี เลยไม่สงสัยว่าเวย์เป็นมะเร็ง”
เธอไม่บอกพ่อแม่ เพราะพี่ชายเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับและลามไปปอดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
“แม่ยังทำใจไม่ได้ แม่เป็นคนเครียดมาก เวย์ไม่อยากให้แม่เครียด (พูดเสียงสั่นเครือ)”
พบถุงน้ำเกาะเป็นพวงองุ่นตั้งแต่อายุ 19 ปี
“ตั้งแต่อายุ 19 คลำเจอก้อนบริเวณเต้านม ให้พี่สาวจับ ก็เออเป็นก้อนจริงๆ รีบไปหาหมอวันนั้นเลย หมอตรวจดูบอกเป็นแค่ถุงน้ำ ไม่ได้เป็นก้อนเนื้อมะเร็ง แม่บอกให้ไปตรวจอีกรพ.เป็น second opinion เวย์ก็ไปตรวจซ้ำ 3 รพ. หมอทุกท่านบอกตรงกันว่าเป็นถุงน้ำ
อาจารย์หมอท่านหนึ่งบอกว่าของเวย์มีเยอะ เกาะเป็นพวงองุ่นเลยค่ะ และมีทั้งสองข้างด้วย แต่ท่านบอกไม่เป็นไร ถุงน้ำกับมะเร็งเป็นคนละส่วนกัน ไม่ต้องกังวล พอมันโต เราคลำเจอก้อนโต ก็มาเจาะออก และคุณหมอก็นัดให้มาแมมโมแกรมทุก 6 เดือน ทำอัลตราซาวนด์ดูว่าเป็นไง เต้านมมีความเปลี่ยนแปลงไหม”
เวย์ไปพบหมอตามนัดตลอด และทุกครั้งที่คลำก็เจอถุงน้ำ หมอเอาเข็มจิ้มลงไปดึงออกมาเป็นน้ำใสๆ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งตลอดระยะเวลาหลาย 10 ปีที่ผ่านมา กระทั่งปลายปี 2557 เวย์ไปพบหมอตามปกติ
“ทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ คุณหมอก็ไม่ได้บอกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากนั้นผ่านมา 2-3 เดือน ก็คลำเจอก้อนอีก เวย์ก็ไม่ได้ตกใจอะไร ยังคิดว่าเดี๋ยวครบ 6 เดือน ค่อยไปหาหมอเจาะเอาน้ำออก”
ทว่าเริ่มผิดสังเกต ถุงน้ำกลับโตเร็วมาก สองเดือนก่อนคลำเจอก้อนเล็ก อีกสองเดือนถัดมาโตขึ้นเป็นก้อนใหญ่
“จนเวย์รู้สึกไม่โอเคแล้ว ไปหาหมอดีกว่า ก่อนเวลาที่หมอนัด คุณหมอคลำ ก็บอกน่าจะเป็นถุงน้ำ จึงเจาะลงไป แต่ปรากฏว่าน้ำออกมานิดเดียว โดยที่ก้อนไม่ยุบ คุณหมอบอกอาจอักเสบบริเวณรอบๆ ก็ได้ จึงให้ยาแก้อักเสบมาทาน ถ้าไม่ดีขึ้น ค่อยมาว่ากัน
ทานยาไป 2 อาทิตย์ กลับมาหาคุณหมอ บอกไม่เห็นยุบเลย แต่ก็ไม่เจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะถ้าเป็นถุงน้ำ จะเจ็บ แต่ถ้าเป็นก้อนมะเร็ง มันจะไม่เจ็บ และมันจะแข็ง คุณหมอจึงเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ รอผล 1 สัปดาห์”
โป๊ะเช๊ะ! ผลออกเป็นเนื้อร้าย โอกาส 80% อยู่ได้อีก 5 ปี
“มาฟังผลตอนแรก คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นขั้นที่ 1 เวย์ยังพอใจชื้น คุณหมอท่านนี้อาวุโสมากแล้ว เลยส่งต่อให้คุณหมออีกท่านเพื่อเป็นเจ้าของไข้เวย์ ท่านก็ดูผลชิ้นเนื้อทุกอย่าง ท่านบอกว่าดูจากขนาดก้อน ไม่น่าจะเป็นขั้นที่ 1 น่าจะเป็นระยะที่ 2 เพราะขนาดค่อนข้างใหญ่” เธอเผยความรู้สึกกับผู้จัดการ Lite ตอนฟังผล
“ใจตุ๋มต๋อมอยู่แล้ว พอได้ยินแบบนี้ ใจเราแบบเหมือนโลกถล่ม น้ำตาไหล หูอื้อไปหมดเลย และหมอพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกวูบเลย หมอพูดว่าไม่ต้องห่วงนะ โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีก 5 ปีอยู่ที่ 80%
... 5 ปีเองเหรอ ...80% เองเหรอ คือ คุณหมอพูดตามหลักวิชาการทั่วไป ซึ่งเราเข้าใจ ก็พยายามตั้งสติ”
หันมานั่งคุยกับคุณหมอถึงขั้นตอนกระบวนการรักษา
“คุณหมอน่ารักมาก บอกเอาเป็นว่าหมอจะส่งตัวไปศิริราชดีกว่า เพราะโรคนี้มีค่าใช้จ่ายเยอะและยาวนาน”
แม้มีกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ทว่าไม่อาจนำมาช่วยจ่ายค่ารักษาได้ เพราะมีประวัติถุงน้ำที่เต้านม บริษัทประกันอนุมัติให้ทำประกัน แต่ไม่ครอบคลุมการจ่ายชดเลยให้กับหน้าอกสองข้างทุกๆ กรณีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประกอบกับเธอทำงานอิสระ ไม่มีบัตรประกันสังคม ช่วงแรกที่ไปรพ.ศิริราช เธอต้องดูแลรับผิดชอบค่าใช้เองทั้งหมด มีโอกาสใช้สิทธิบัตรทองตอนฉายแสง
“คุณหมอศิริราชบอกว่าเคสเวย์ยาก ซับซ้อน มีหลายปัจจัย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คุณหมอให้ตรวจทั้งสองข้างเลย ก่อนที่จะมาดูกันว่าจะรักษายังไง ก็เจอที่ด้านซ้าย แต่โชคดีที่เป็นแค่เซลล์เนื้อเยื่อ ยังไม่จับตัวเป็นก้อน พูดง่ายๆ คือ ระยะศูนย์ แต่เนื้อยุ่ยแล้ว คุณหมอบอกต้องผ่าทั้งสองข้าง
เวย์กับพี่สาวก็บอกคุณหมอตัดทิ้งทั้งเต้าได้เลยค่ะ แต่คุณหมอไม่ยอม คุณหมอบอกคุณอายุยังน้อย วันนี้คุณโอเคที่จะตัดทิ้งทั้งเต้า แต่วันหนึ่งถ้าคุณมีชีวิตปกติ คุณจะไม่โอเคหรอกถ้าคุณไม่มีเต้านม อายุยังน้อย คว้านดีกว่า คว้านเฉพาะเอาก้อนออก เวย์ไม่ใช่คนนมใหญ่ ก้อนกี่เซนฯ คว้านก็ไม่เหลืออะไร” เธอพูดตรงๆ แต่ขำอ่ะ
“คุยกันนานมาก คุณหมอบอกเอากล้ามเนื้อหน้าท้องมาแปะมั้ย แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเวย์ก็ผอมอีก คุณหมอบอกทำคีโมก่อน แล้วดูว่าตอบสนองมั้ย”
ขั้นตอนแรกรับคีโม ทรมานแทบยอมแพ้ยินดีตาย
เนื่องจากก้อนเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่ ผู้ป่วยต้องรับคีโมรักษาเพื่อลดขนาด ก่อนคว้านผ่าตัด
“เคยเห็นพี่ชายทุกขั้นตอนตั้งแต่ป่วยจนจากโลกไป ตอนแรกเวย์ไม่อยากให้คีโมเลย บอกพี่สาวว่าไม่ให้ได้มั้ย เค้าบอกไม่ให้แล้วมีทางเลือกอะไร ไม่มีอะไรประกันว่าถ้าเราไปแพทย์ทางเลือกแล้วเราจะหาย เวย์หาข้อมูล เปิดกูเกิ้ล หาทุกอย่าง จนกระทั่งมาคิดว่าโอเค ถ้างั้นต้องทางสายกลาง รักษาทั้งแพทย์แผนปจบ.และวิถีธรรมชาติบำบัด
ให้ไป 3-4 ชั่วโมง เริ่มมีอาการแล้วค่ะ เหม็น กินอาหารไม่ได้เลย ต้องกินอาหารสำหรับผู้ป่วยแบบชงกิน ก็กินไม่ได้อีก เพราะเหม็นและหวานมาก กินได้อย่างเดียวคือ กล้วยน้ำว้า ไข่ขาวที่หมอให้กินเยอะๆ เพื่อให้เม็ดเลือดขาวเราขึ้น ถ้าเม็ดเลือดขาวตก ครั้งต่อไป จะรับคีโมไม่ได้ ต้องมาเริ่มใหม่
จำได้ว่าครั้งที่ 2 เริ่มไม่อยากให้แล้ว มันแย่มาก ทรมานมาก เหมือนข้างในปั่นป่วนไปหมด ขนาดใช้ธรรมะเข้าช่วย ทรมานมากทุกครั้ง ไม่มีคำว่าชิน พยายามสวดมนต์ นั่งสวดมนต์ก็ร้องไห้ อยากจะถ่ายทุกข์ก็ถ่ายไม่ออก กินก็ไม่ได้ มันทรมานภายใน รู้สึกร้อนอยู่ข้างใน ทุรนทุราย นอนไม่ได้เลย
เคยพูดกับแฟนว่าไม่ให้คีโมแล้ว ปล่อยให้ตายๆ ไป คนเราไหนๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากสู้ ช่วงแย่ที่สุด ขอพี่สาวบอกพ่อได้มั้ย อยากให้พ่อกอด (ร้องไห้) แต่พี่สาวบอกว่าเวย์เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ ถ้าเวย์บอก พ่อจะแย่ เวย์ก็โอเค ไม่บอก กัดฟันสู้”
เวย์ต้องรับคีโม 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งทิ้งช่วง 3 สัปดาห์
“เวย์จะกลับบ้านต่อเมื่อหลังให้คีโมแล้ว 5 วัน รอให้แข็งแรง พ่อแม่จะได้ไม่เห็นความผิดปกติ”
ผมร่วงใส่วิกไปทำงาน ถูกล้อเลียนจนเกือบท้อใจ
“หลังจากให้คีโมครั้งแรก 2 สัปดาห์ผมก็ร่วงแล้ว แค่เสย ติดออกมาเป็นกำ เวลานอน ลุกขึ้นมาจากหมอน ผมเต็มหมอนเลย” เธอยอมรับว่าแม้ทำใจ แต่ก็อดใจหายไม่ได้
“รับสภาพตัวเองไม่ได้ ผมร่วงแบบไม่มีตอผมเลย ไม่กล้าส่องกระจกเลย จากผมที่ยาวมากๆ ก็ตัดสั้นก่อน พอร่วงเยอะ เวย์ก็ไปตัดสั้นอีก ตัดทรงผู้ชายไปเลยค่ะ
พอเวย์ตัดผมสั้น ที่ช่องก็ถามตัดทำไม เวย์บอกผู้ใหญ่ที่ช่อง ท่านก็เข้าใจ แต่เวย์ยังไม่ได้บอกเพื่อนร่วมงาน จนกระทั่งถึงวันที่ร่วงมากๆ เวย์ไปรพ. ที่แผนกคีโมมีบริการโกนผมให้ จำได้ว่าเหมือนฉากในหนังเลย เรานั่งหันหลังให้พยาบาล พยาบาลก็ตัดฉึบๆ และก็โกน น้ำตาร่วง ไหลตลอดเลยค่ะ มันคงเป็นความรู้สึกของผู้หญิง
ผมร่วงเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน เวย์ก็หาวิกอะไรก็ได้ใส่ไปก่อน พอใส่ไปที่ทำงานก็โดนแซวล้อ เวย์ไม่โกรธ เพราะเค้าไม่รู้ว่าเวย์เป็นอะไร แต่เวย์รู้สึกแย่มากเลยนะกับการที่เราต้องใส่วิก ขับรถออกจากบ้าน ให้กำลังใจตัวเอง ออกมาทำงาน แล้วเจอเสียงหัวเราะแบบนี้”
เธอไม่คิดจะบอกเพื่อนถึงโรคร้ายของเธอในช่วงแรก เพราะไม่พร้อมพูดกับใคร ไม่อยากให้ใครมาถาม ไม่อยากให้ใครมาจี้ว่า เป็นเหรอ? เป็นได้ไง? ไปรักษาวิธีโน้นสิ? ไปทำอันนี้สิ?
“พอเจอเหตุการณ์เพื่อนแซว เวย์ก็เออบอกความจริง พี่อาจรู้สึกขำ แต่เวย์รู้สึกทุกข์มากกับคำพูด เพื่อนๆ พี่ๆ ก็เข้าใจ น่ารักทุกคนเลย”
กว่าเธอจะหาวิกลงตัว สวยเลย ก็ต้องสั่งทอทำโดยเฉพาะ
“แรกๆ ใส่วิกหน้าม้าที่เป็นวิ๊กวิก ลองผิดลองถูกมาหลายอันเหมือนกัน จนกระทั่งมีพี่คนหนึ่งแนะนำให้ไปติดต่อโรงงานทอวิกเลย เวย์ก็ไปคุย แพงมาก เป็นวิกผมจริง วัดจากศีรษะเรา ใช้เวลาหนึ่งเดือนทอขึ้นมา”
ขั้นต่อมาคว้านนม เจอมะเร็งเพิ่มต้องคีโมฉายแสงอีก
หลังจากรับคีโมครบเซต 4 ครั้ง ผลปรากฏว่าเนื้อร้ายจาก 4 เซนติเมตรลดลงมาเหลือ 1.5 เซนติเมตร
“คุณหมอบอกต้องผ่าสองข้าง ทำ CT Scan พบว่าลามไปถึงท่อน้ำนมตรงกลางระหว่างอกซึ่งเป็นจุดที่ผ่าไม่ได้ คุณหมอบอกว่าถ้ามาตรงนี้ มันน่าจะไปต่อมน้ำเหลือง แต่คุณหมอคลำไม่เจอ ก็แปลกใจว่าอยู่มาตรงกลางอกโดยไม่ผ่านต่อมน้ำเหลืองได้ไง ผิดปกติ ไม่เคยมีเคสแบบนี้มาก่อน”
มีวิธีเดียวที่จะรู้ได้คือ ระหว่างผ่าตัดเต้า ฉีดสีเข้าไปที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้าง เพื่อดูว่าลามไปล่ะยัง
“ปรากฏว่าลามไปข้างขวาค่ะ คุณหมอก็เลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งต่อมเลย”
เรื่องคว้านหน้าอกไม่เป็นปัญหา เพราะหน้าอกยังเป็นเต้าเหมือนเดิม เพียงแต่ขนาดลดลงเล็กน้อย และมีรอยแผลเป็นมีดกรีด แต่ปัญหาต่อไปคือ ต้องทำคีโมอีกเซต
“หมอบอกต้องให้คีโมตรงกลางหน้าอก เวย์ร้องไห้เลย อีกแล้วเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เวย์ถามหมอตลอดว่า 4 ครั้งแค่นั้นนะคะ แต่พอมะเร็งลามไปตรงกลางอก มันเป็นจุดที่ผ่าไม่ได้ ต้องให้คีโมเพื่อไปฆ่า”
ตัวยาเป็นคนละชนิดกับตัวเซตแรก เวย์ไม่มีอาการพะอืดพะอม กินไม่ได้ ท้องป่อง ท้องอืด ถ่ายไม่ออก แต่เธอเพลียและเหนื่อยง่ายมาก ผลข้างเคียงคือ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าชา โดนความร้อนก็ไม่มีความรู้สึก และปวดกระดูกเป็นที่สุด กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย หมอจะใช้ยาแรงคล้ายมอร์ฟีนก็แพ้
“ทนเอาค่ะ ต้องใช้คำนี้จริงๆ”
มิหนำซ้ำ ต้องเข้าสู่กระบวนการฉายแสง เธอต้องไปรพ.จันทร์ถึงศุกร์ เป็นระยะเวลา 30 ครั้งต่อเนื่อง รังสีทาบไปบนหน้าอก 30 ครั้ง ไม่ทำให้เจ็บหรือทรมาน แต่ทำให้ผิวหนังบริเวณหน้าอกไหม้และพุพอง
“เวลาไปทำงานใส่เสื้อผ้าตอนอ่านข่าว กลัวน้ำเหลืองไหลติดผ้า ต้องเอาผ้าปิดแผลมาปิด ปิดสนิทก็ไม่ได้ เดี๋ยวอับ น้องผู้ประกาศที่ช่องบอกนับถือพี่เลย”
เวย์ลาพักงานเพียงเดือนเดียวหลังผ่าตัด นอกนั้นไม่ว่าอ่อนกายเพลียใจขนาดไหนเธอไปทำงานตลอด ทั้งงานผู้ประกาศ งานพิธีกร ส่วนหนึ่งต้องมีรายได้เพื่อนำมาใช้จ่ายในการรักษา อีกส่วนสำคัญคือ
“ถ้าเวย์อยู่เฉยๆ ยิ่งเครียด เหมือนตัวเองไม่มีคุณค่าแล้ว”
ป่วยมะเร็งแล้วสวยขึ้น นิ่งขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น
ทุกคนรอบข้างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเวย์สวยขึ้นทั้งที่ร่ายกายต้องฟาดฟันกับเนื้อร้าย
“ผิวเวย์ไม่คล้ำหมองคล้ำ อาจเพราะพอรู้ว่าเป็นปุ๊บ เวย์กินน้ำผักผลไม้เลย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการใช้ชีวิตทุกอย่าง กินข้าวกล้อง หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แต่ถ้าอยากก็กินได้ ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เวลาไปทำงาน เวย์ก็จะเตรียมหาของเวย์เอง แถวที่ทำงานมีร้านขายข้าวกล้องอาหารมังสวิรัติ
ออกกำลังกาย นอนเยอะๆ เป็นเด็กอนามัย 3 ทุ่มนอน ตื่นตีสามครึ่งดูข่าว ทำน้ำผักผลไม้เตรียมไปกิน เวย์กินน้ำผักผลไม้เยอะมาก” เธอเน้น
“ตอนเห็นพี่ชายป่วย ก็รู้สึกว่าทุกข์ แต่พอเป็นเอง โห มันทุกข์ทรมานมาก ทำให้รู้ถึงคุณค่าของลมหายใจ ชีวิตกว่าจะผ่านไปแต่ละวัน โชคดีเวย์ไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ อยู่แล้ว ไป จึงช่วยให้เวย์สามารถผ่านความทุกข์ไปได้เร็วกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เริ่มธรรมะมาก่อน
ธรรมะช่วยได้ ช่วยให้เราลุกได้ไวกว่าคนอื่น หัวใจเข้มแข็งกว่าคนอื่น มองทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ ให้เป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วจะรู้สึกว่าสู้ได้ ไม่อยากท้อ
เกิดมาเป็นมนุษย์มันมีค่า ลมหายใจมีค่า แม้เราไม่รักตัวเอง แต่ยังมีคนที่รักเราอยู่ตั้งเยอะ พ่อแม่และคนอื่นๆ คุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าลมหายใจของคุณมีค่าขนาดไหน ถ้าคุณไม่เฉียดความตาย มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
เวย์เปลี่ยนไปเลย ไม่หงุดหงิด ไม่เครียดง่ายๆ มองทุกอย่างมันก็เป็นเช่นนั้น มันส่งผลให้เราดูสดใส ดีทั้งข้างในและข้างนอก มะเร็งเปลี่ยนชีวิตเวย์จริงๆ
สำคัญที่สุดคือ พ่อกับแม่ แม้พวกท่านไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เวย์กลับบ้าน เวย์เห็นท่านยิ้ม เวย์ก็มีความสุข”
นอกจากรอยยิ้มของพ่อแม่ที่ทำให้เวย์สุขสดใส มีพลังแล้ว แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้เธอลุกขึ้นสู้ทุกภาวะทุกข์ทรมานก็คือ
“เวย์ไม่อยากตายก่อนพ่อแม่ค่ะ เวย์อยากอยู่ดูแลพ่อกับแม่ยามแก่เฒ่า” (เธอร้องไห้)
บัดนี้มะเร็งสงบลง เธอต้องกินยาต้านฮอร์โมนต่อเนื่องอีก 10 ปีและใช้ชีวิตกินอยู่ตามหลักวิถีธรรมชาติ เชื่อว่าเธอจะทำงานมีชีวิตที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อีกมากมาย และได้ดูแลบุพการีที่เธอรักและห่วงมากที่สุด
ประวัติ
ชื่อ เยาวลักษณ์ กันนิกา
อายุ 39 ปี
จบการศึกษา ระดับบัณฑิตธุรกิจ ด้าน Business English มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ทำงานอิสระ เคยเป็นพริตตี้ ปัจจุบันรับงานพิธีกรทั้งอีเว้นท์ รายการโทรทัศน์ และผู้ประกาศข่าวทางช่อง11 NBT และ Metro TV
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: เกิดศิริ
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก FB:Wayway Vay
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754