xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 12
อยุทธ์เดินสะพายเป้ออกมาจากข้างใน โดยมีนวัชยืนรออยู่ที่โถงบ้าน
“ผมไปนะครับผู้กอง ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างนะครับ” อยุทธ์บอก
นวัชถอนใจ “มันไม่น่าเป็นแบบนี้เลยนะคุณอยุทธ์” นวัชมีสีหน้าเสียดาย “เพื่อนกันแท้ๆ ทำไมต้องมาแตกกันด้วย”
อยุทธ์หน้าขรึมลง “ผมก็เสียใจเหมือนกันครับผู้กอง แต่ก่อนตาย พี่อรฝากคุณพ่อไว้กับผม ถ้าผมไม่ทำหน้าที่ของลูกให้เต็มที่ ผมก็คงต้องเสียใจไปทั้งชีวิตเหมือนกัน”
นวัชพยักหน้าเข้าใจ “ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าสิ่งที่คุณทำถูกหรือผิด แต่ยังไงผมก็ต้องอยู่ข้างเจอยู่ดี วันข้างหน้าเราอาจจะต้องเป็นศัตรูกัน แต่ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่” นวัชตบบ่าอยุทธ์ “ดูแลตัวเองด้วย”
อยุทธ์ยิ้มบางๆ ให้ “เช่นกันครับ ผู้กองเองก็อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่นหรือว่าจับผู้ร้ายเพลินอยู่ล่ะ ถึงเวลาที่จะต้องพูดกับคุณฐาได้ซะทีแล้วล่ะครับ” อยุทธ์ยิ้มให้กำลังใจ
นวัชมีสีหน้าขรึมลงเพราะรู้สึกเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน

นวัชกำลังนั่งรอนิษฐาด้วยความตื่นเต้นอยู่ที่ร้านอาหารหรู เดี๋ยวเขาก็ขยับเสื้อผ้า เดี๋ยวก็ขยับจานแก้อาการตื่นเต้น สักพักนิษฐาก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาหานวัช นวัชรีบลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้นิษฐานั่งทันที
“ขอบคุณค่ะ” นิษฐายิ้มงงๆ “วันนี้นึกสนุกอะไรขึ้นมาคะถึงชวนฐามากินข้าวที่นี่” นิษฐากระซิบเบาๆ “ท่าทางจะแพงนะคะ”
นวัชยิ้มบางๆ “พี่เห็นว่าเราจะไปเยี่ยมเจด้วยกัน ก็เลยอยากมีเวลาส่วนตัวนิดนึงน่ะจ้ะ”
นิษฐาขำๆ และงงๆ “พี่พูดเหมือนเราไม่เวลาส่วนตัวงั้นล่ะ” นิษฐาจ้องหน้าจับผิด “วันนี้พี่ผู้กองดูมีพิรุธยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
นวัชยิ้มๆ “พี่เจอสอบปากคำซะแล้ว” นวัชเขิน “เริ่มยังไงดีล่ะ”
นิษฐาชะงักไปเล็กน้อยเพราะพอเดาได้ว่านวัชจะพูดอะไร
นวัชรวบรวมความกล้า “ฐา คือพี่..”
นิษฐายกมือขึ้นอุดหูด้วยสีหน้าลุ้นๆ
นวัชงงๆ “อุดหูทำไมฐา”
นิษฐาอาย “มันเขิน”
นวัชขำ “เอามือออกก่อน” นวัชเลื่อนมือไปจับมือนิษฐาที่อุดหูตัวเองออก “เขินทำไม พี่จะบอกว่าพี่ได้ทุนไปเรียนต่อ”
นิษฐาถอนใจโล่งอก “โอ้ย ค่อยยังชั่ว..” นิษฐายิ้มแย้มภูมิใจ “ดีใจด้วยค่ะ แล้วได้ทุนไปต่อด้านไหนคะ”
“ด้านอาชญาวิทยาที่ชิคาโก้”
นิษฐาดีใจด้วยสุดๆ “พี่ผู้กองเก่งจังเลย”
นวัชยิ้มรับก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือนิษฐาเอาไว้แล้วมองตานิษฐานิ่ง “เค้าอนุญาตให้พาภรรยาไปได้ ฐาไปกับพี่นะ”
นิษฐาอึ้งไปอึดใจเพราะตั้งตัวไม่ทัน เธอคิดว่าจบแค่เรื่องทุน นิษฐาหน้าเจื่อนลง
นวัชเห็นสีหน้านิษฐาก็หน้าเสีย “ฐาไม่อยากไปเหรอ”
นิษฐาหน้าขรึมลง “ฐายังไม่จบโทเลยนะคะ”
“กว่าพี่จะไป ฐาก็คงเหลือแค่ส่งวิทยานิพนธ์เท่านั้นเอง เอาไปทำที่โน่นก็ได้”
นิษฐาหน้าเครียดไป “แต่ฐาห่วงเจน่ะสิคะ เจกำลังเจอปัญหาหนักมากเลยนะคะ”
“พี่ก็ห่วงเจเหมือนกัน แต่ปัญหาของเจมันใหญ่เกินกว่าที่เราจะช่วยได้นะฐา ต่อให้ฐาขายสมบัติมรดกทั้งหมดที่ฐาได้มาก็ใช้หนี้แทนคุณต้นไม่ได้หรอก”
นิษฐาหน้าเศร้าลง “ฐารู้ค่ะ แต่ฐาห่วงเจ”
“แล้วฐาไม่ห่วงอนาคตของเราบ้างเหรอ”
นิษฐาชะงักไป
นวัชมีสีหน้าจริงจัง “พี่ต้องไปเรียนตั้งสองปีเลยนะ พี่ไม่อยากห่างฐานานขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจฐาหรอกนะ แต่แฟนกัน ต้องอยู่ห่างกันแบบนั้น พี่ว่า...”
นิษฐาหน้าเครียดก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดสวนตัดขึ้นมา “ถึงเวลาที่ฐาต้องพูดความจริงกับพี่ผู้กองแล้วล่ะค่ะ”
นวัชอึ้งไปเล็กน้อยดูไม่กังวลใจว่านิษฐาปิดบังอะไรตนอยู่
นิษฐาน้ำตารื้นขึ้นมา “ฐาเป็นมะเร็งค่ะ”
นวัชตกใจที่สุดและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

เจติยากำลังตกใจสุดขีดไม่แพ้นวัช
เจติยาตกใจสุดขีด “แกรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เคยบอกฉันเลย” เจติยาสีหน้าเป็นห่วงเพื่อนมาก
เจติยากำลังคุยกับนิษฐาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นิษฐาทำหน้าเศร้าๆ “ซักพักแล้วล่ะ”
เจติยามีสีหน้าไม่สบายใจมาก “ฉันไม่อยากเชื่อเลย”
“ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่พักหลังนี้ ฉันปวดท้องมากก็เลยไปตรวจอย่างละเอียด ก็เลยเจอมะเร็งที่ลำไส้” นิษฐาถอนใจออกมาแล้วมองหน้าเพื่อน “แต่แกยังไม่ต้องสติแตกนะเจ ฉันเพิ่งเริ่มเป็น ทำคีโมไม่กี่ครั้งก็หายแล้วล่ะ”
เจติยาเป็นห่วงปนน้อยใจก่อนจะถามย้ำคำเดิมอีก “แล้วทำไมแกถึงไม่บอกฉัน”
นิษฐาจับมือเจติยาแล้วกุมเอาไว้ “สิ่งที่แกเจออยู่ มันก็หนักมากอยู่แล้วนะเจ จะให้ฉันเอาปัญหาตัวเองไปถมใส่แกอีกรึไง”
เจติยาส่ายหน้าน้ำตาคลอด้วยความสงสารเพื่อนจนจับใจ “แกทำได้ยังไงฐา แกร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้กำลังใจคนที่มีปัญหา ทั้งๆที่แกเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้ ฉันนับถือใจแกจริงๆเลยฐา”
นิษฐาน้ำตาคลอ “บ้า ฉันเป็นเพื่อนแกนะ จะมานับถือฉันทำไม”
เจติยากับนิษฐาเข้ามาสวมกอดกัน
เจติยาน้ำตาคลอ “แกไม่ได้สู้คนเดียวนะฐา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นฉันจะสู้ไปกับแกด้วย”
นิษฐาน้ำตาคลอ “ขอบใจมากนะเจ”
เจติยาผละจากกอด ก่อนจะซับน้ำตาแล้วพูดให้กำลังใจเพื่อน “แกต้องเข้มแข็งนะฐา อย่าเครียด มีคนเป็นแล้วหายตั้งเยอะแยะ แกก็เหมือนกัน แกต้องหายเพื่อป๊ากับม๊า เพื่อพี่ผู้กอง” เจติยาเสี่ยงสั่นแล้วก็น้ำตาท่วมขึ้นมาอีก “เพื่อฉัน เข้าใจมั้ยฐา”
นิษฐาได้แต่ร้องไห้ไม่ตอบอะไรแต่ลึกๆ ก็แอบกลัวอยู่มากเหมือนกัน เจติยาสวมกอดนิษฐาอีกครั้ง ทั้งสองกอดกันร้องไห้ แล้วให้กำลังใจซึ่งกันและกันไป

นทียกน้ำและขนมเข้ามาให้ลาภิณกับนวัชที่คุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“บรรยากาศตึงเครียดมากเลยทั้งนอกบ้านในบ้าน อ้ะ กินน้ำกินขนมกันก่อนพี่ คุยเรื่องเครียดๆมาเยอะแล้ว”
นวัชรับน้ำมาดื่มด้วยสีหน้าเครียดๆ “ขอบใจน้อง”
“คุณฐาเองก็เพิ่งเริ่มเป็น สามารถรักษาได้อยู่แล้ว ผมว่าผู้กองไปเรียนต่อตามแผนเดิมดีกว่ามั้งครับ มันเป็นอนาคตของผู้กองเอง แล้วคุณฐาก็คงไม่อยากให้ผู้กองทิ้งทุนเพราะเธอแน่ๆ”
นวัชเครียดมาก “ผมเข้าใจครับ แต่ผมห่วงฐา ผมทำใจทิ้งให้ฐาอยู่ทางนี้คนเดียวไม่ได้หรอกครับ”
“ฐาไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวซะหน่อย เจก็อยู่ ผมก็อยู่ ให้ฐาย้ายมาอยู่กับเราที่นี่ก็ได้”
“ถ้าพี่เป็นห่วงพี่ฐามาก ก็พาพี่ฐาไปด้วยเลยสิพี่ ไปรักษาทางโน้นซะก็สิ้นเรื่อง พี่ฐาได้มรดกมาตั้งเยอะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาแล้วล่ะ”
“พี่คุยแล้ว แต่ฐาเค้าไม่อยากไป ที่นี่มีเจ มีป๊ากับม๊า ฐาคงอบอุ่นใจมากกว่าที่จะไปอยู่อเมริกา”
“ผมเองก็เห็นด้วยกับฐานะผู้กอง แล้วเวลามันก็ไม่ได้นานมาก แค่สองปีเท่านั้นเอง ทำโน่นทำนี่ ไม่เท่าไหร่ก็ผ่านไปปีนึงแล้ว ที่สำคัญ ตอนนี้โลกมันแคบขึ้นทุกวันแล้ว ถึงอยู่ที่โน่น ผู้กองก็เป็นกำลังใจให้คุณฐาได้ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ครับ”
นวัชคิดหนักเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงนิษฐามาก แต่อีกทางก็เป็นอนาคตและความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง

อยุทธ์นั่งมองวนันต์ที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย สักพักชาครก็เปิดประตูเข้ามา
ชาครทำหน้าบึ้งตึง “ยังไม่กลับอีกเหรอ”
อยุทธ์หันไปมองชาครด้วยความไม่พอใจ “ฉันเป็นลูก จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ นายเป็นคนนอกมีสิทธิอะไรมาไล่ฉัน”
“ผมไม่ได้ไล่”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
ชาครพูดแดกดันกลับ “ถึงผมจะเป็นคนนอก แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายจิตใจคุณท่านเหมือนกับที่คุณทำ เมื่อก่อนคุณก็ทิ้งคุณท่าน ไป แล้วมาตอนนี้ คุณก็มาทำในสิ่งที่คุณท่านชิงชังไม่อยากให้ทำอีก ทบทวนตัวเองหน่อยดีมั้ยคุณอยุทธ์ ว่าตั้งแต่เกิดมา คุณเคยทำอะไรให้คุณท่านได้ภูมิใจบ้าง”
อยุทธ์โมโหจึงลุกขึ้นจ้องหน้าชาครแบบเอาเรื่อง “ฉันก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ นายอย่ามาขัดขวางฉันก็แล้วกัน”
ทันใดนั้น พยาบาลคนหนึ่งก็เคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาในห้อง
พยาบาลเห็นท่าทางของทั้งคู่ก็ชักกลัว “ขอโทษนะคะ”
พยาบาลเข้าไปตรวจเช็คสายน้ำเกลือ วัดไข้ วัดความดันฯลฯ ของวนันต์ อยุทธ์เดินห่างออกมา ชาครเดินตามมาพูดต่อแต่ลดระดับเสียงที่เถียงกันลง
“สิ่งที่คุณกำลังจะทำ เป็นการทำร้ายจิตใจพ่อคุณเอง เมื่อไหร่จะรู้ตัวซะที”
อยุทธ์หงุดหงิด “อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร” อยุทธ์จ้องหน้า “เลิกสั่งสอนฉันซะทีเถอะ”
ชาครยิ้มเยาะ “ผมน่ะเหรอไม่เข้าใจ ผมเคยเจอมากับตัวเองก่อนคุณด้วยซ้ำ”
อยุทธ์มองชาครด้วยความแปลกใจ
“คุณรู้แค่ว่าผมเคยฆ่าคนตายใช่มั้ย แล้วรู้รึเปล่า ว่าผมเจอกับคุณท่านครั้งแรกที่ไหน แล้วทำไมคุณท่านถึงช่วยเหลือผม”
ชาครมีสีหน้าแววตาดุดันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
อ่านต่อหน้าที่ 2


รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
สิบปีก่อน ชาครที่เป็นวัยรุ่นอายุ 17 ยิงผู้ชายคนหนึ่งล้มคว่ำไปกลางร้านอาหารแห่งหนึ่งท่ามกลางเสียงกรีดร้อง และตื่นตกใจหนีตายของคนในร้าน วนันต์ที่กำลังกินข้าวอยู่รีบหลบทันที ชาครกลับไม่สะทกสะท้าน เขาวางปืนลงบนโต๊ะแล้วนั่งรอตำรวจมาจับอย่างสงบนิ่ง
ชาครอธิบาย
“คนที่ผมฆ่า ก็คือไอ้คนที่โกงที่ดินพ่อแม่ผม ผมยอมรับว่าผมสะใจมากที่ได้ฆ่ามัน”
วนันต์มองดูชาครอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเด็กวัยรุ่นคนนึงจะฆ่าคนตายแล้วกลับไม่หนี แถมยังรอตำรวจมาจับอย่างสงบนิ่งแบบนี้

ชาครที่อยู่ในห้องขังกำลังตกใจสุดขีดหลังจากได้รับข่าวร้ายจากตำรวจ
“เป็นไปได้ยังไงจ่า พ่อแม่ผมจะตายได้ยังไง”
ตำรวจถอนใจ “พ่อแม่เอ็งตายแล้วจริงๆ แม่เอ็งพอรู้ข่าวว่าเอ็งฆ่าคนตาย เค้าก็ช็อกจนหัวใจวายตาย พ่อเอ็งก็เลยฆ่าตัวตายตาม ถ้าไม่เชื่อ ก็โทรถามญาติๆเอ็งดูก็แล้วกัน” ตำรวจส่ายหน้าเครียดๆ
ชาครน้ำตาคลอ “ฉันฆ่ามัน ก็เพราะมันโกงที่ดินเรา พ่อกับแม่ควรจะดีใจถึงจะถูก”
ตำรวจได้แต่ถอนใจแล้วเดินเลี่ยงไป ชาครร้องไห้เพราะเสียใจสุดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
สักพัก ชาครเห็นช่วงขาของคนๆหนึ่งเดินมาหยุดที่หน้าห้องขังที่เขาอยู่ วนันต์ยืนอยู่หน้ากรงขังชาคร
วนันต์พูดให้แง่คิดกับชาคร “ไม่มีพ่อแม่ที่ไหน ดีใจที่เห็นลูกกำลังเดินทางผิดหรอกนะ”
ชาครเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตา เขาเห็นวนันต์ยืนอยู่หน้าห้องขัง
ชาครร้องไห้เพราะเสียใจสุดๆ “คุณเป็นใคร”
“ฉันชื่อวนันต์ เป็นคนที่อยู่ในร้านวันที่เธอฆ่าคนตาย” วนันต์บอก
ชาครนึกย้อนแต่ก็จำไม่ได้
“ฉันยอมรับว่าฉันประหลาดใจมากกับการกระทำของเธอ ฉันก็เลยให้คนตามสืบเรื่องของเธอ” วนันต์หน้าขรึมลง “เสียใจเรื่องพ่อกับแม่ด้วยนะ”
ชาครร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
“ฉันจะช่วยหาทนายมือดีให้เธอเอง แล้วถ้าเธอพ้นโทษ อยากจะเรียนหนังสือต่อ ฉันจะส่งเสียให้”
ชาครไม่อยากเชื่อ “คุณช่วยผมทำไม”
วนันต์หน้าเศร้าลง “เพราะฉันก็เป็นคนที่เคยก้าวพลาดเหมือนกับเธอ แต่เธอยังโชคดีกว่าฉัน ที่เริ่มต้นใหม่ได้”
ชาครมองวนันต์ด้วยความแปลกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าคนแปลกหน้าคนนี้จะดีกับเขาถึงขนาดนี้

ชาครในชุดโทรมๆ เดินเข้ามาหาวนันต์กับพิมพ์อรที่นั่งกินอาหารรออยู่
วนันต์ยิ้มทักทาย “มาแล้วเหรอชาคร” วนันต์หันไปพูดกับพิมพ์อร “ลูกอร นี่ไงชาคร คนที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง”
ชาครยกมือไหว้วนันต์กับพิมพ์อร “สวัสดีครับ สวัสดีครับ”
พิมพ์อรขำๆ “ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก เธออายุมากกว่าฉันอีกมั้งยินดีที่ได้รู้จักนะชาคร คุณพ่อบอกว่าจะส่งเธอไปเรียนที่สิงคโปร์ พร้อมกับฉัน ถ้ามีปัญหาอะไร ก็บอกฉันได้นะ”
ชาครเขินๆ เพราะเจอพิมพ์อรครั้งแรกเขาก็หลงใหลในความสวยของเธอทันที “ครับ”
“หน้าที่ของเธอนอกจากตั้งใจเรียนให้จบแล้ว ก็ช่วยเป็นบอดี้การ์ดดูแลความปลอดภัยให้ลูกอรแทนฉันด้วย ฉันจะได้หมดห่วง” วนันต์ตบบ่าชาคร “ฝากด้วยนะชาคร”
“ครับคุณท่าน ผมจะดูแลความปลอดภัยของคุณพิมพ์อรด้วยชีวิตของผมเลยครับ” ชาครรับปาก
วนันต์และพิมพ์อรขำๆ ในความซื่อและจริงใจของชาคร
พิมพ์อรกระเซ้า “นี่เธอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ฉันไม่เรียนต่อนะ ไม่ได้ไปรบ” ชาครขำเพราะชอบใจ
วนันต์ขำๆ แล้วส่ายหน้าไปมา ชาครรู้สึกเขินๆ แต่ก็แอบชำเลืองมองพิมพ์อรอย่างแอบปลื้มเจ้านายสาวตั้งแต่แรกเจอ

เหตุการณ์ปัจจุบัน พยาบาลคนเดิมทำปากกาตกลงบนพื้น เธอรีบเก็บด้วยท่าทางกลัวๆ หลังจากได้ยินอยุทธ์และชาครคุยกัน พยาบาลรีบก้มหน้าเดินออกจากห้องไปทันที
ชาครมองตามพยาบาลก่อนจะหันไปพูดกับอยุทธ์ต่อ “แล้วผมก็ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคุณท่าน ไม่สามารถปกป้องคุณอรได้” ชาครน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเสียใจมาก “แล้วคุณล่ะ จะเดินซ้ำรอยผมอีกเหรอ”
อยุทธ์เครียดหนักเพราะฟังที่ชาครเล่าก็ยิ่งกดดัน “ถ้าคุณพ่อหาย คุณพ่อต้องเข้าใจฉัน”
ชาครยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีทางหรอกครับ อย่าพูดปลอบใจตัวเองหน่อยเลย”
อยุทธ์เจอชาครกดดันก็ยิ่งเครียดหนักขึ้นทุกที พยาบาลที่เพิ่งออกไปอยู่หน้าห้องแอบดูด้วยความสนใจ


รถติดบนท้องถนนเพราะมีรถชนกัน ชาครก็รถติดอยู่เช่นกัน ชาครนั่งเซ็งๆ ที่ตำรวจยังไม่มาเคลียร์ก็เลยต้องนั่งรออยู่ยังงั้น ถังน้ำมันของรถที่ชนกันมีน้ำมันไหลออกมา น้ำมันไหลออกมานองบนพื้นพอสมควร ทันใดนั้น น้ำมันบนพื้นก็ไหลไปเองได้เหมือนมีชีวิต น้ำมันไหลเหมือนงูเลื้อย ทั้งหลบคน หลบรถ ตรงไปที่รถของชาคร
ทันใดนั้น พยาบาลคนเดิมก็เข้ามาเคาะกระจกรถชาครด้วยความร้อนรน
“คุณๆ ลงมาจากรถเดี๋ยวนี้เลย ลงมาเร็วๆ เข้า”
ชาครตกใจ เขากดปุ่มเลื่อนกระจกลง “มีอะไรเหรอคุณ”
พยาบาลมีท่าทางร้อนใจมาก “อย่าเพิ่งถาม รีบลงมาเดี๋ยวนี้เลย”
ชาครไม่พอใจ “อะไรของคุณ จะให้ผมลงจากรถไปทำไม”
น้ำมันไหลเข้ามาใกล้รถของชาครเรื่อยๆ พยาบาลร้อนใจสุดๆ จึงปาดมือเข้าไปดึงกุญแจรถออกมาจากรถของชาครทันที
ชาครตกใจ “เฮ้ยคุณ จะทำอะไร”
พยาบาลดึงกุญแจออกมาได้แล้วก็วิ่งหนีไปเลย
ชาครรีบลงจากรถวิ่งกวดพยาบาลไป น้ำมันไหลไปที่ใต้ท้องรถของชาคร ทันใดนั้นน้ำมันก็ติดไฟขึ้นมาเองทันที ชาครกำลังวิ่งตามพยาบาลได้ยินเสียงระเบิดดังลั่น พอหันกลับไปมองเขาก็เห็นรถยนต์ของตนระเบิดไฟลุกท่วม
ชาครตกใจสุดๆ ที่เห็นรถตัวเองระเบิดกับตา ถ้าเขาไม่วิ่งตามพยาบาลมาคงตายคาที่ไปแล้ว ชาครกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นพยาบาลอยู่แถวนั้นแล้ว เหลือแต่กุญแจรถยนต์ของชาครตกอยู่กับพื้นถนนใกล้ๆ
ชาครเดินไปหยิบกุญแจขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดเพราะประหลาดใจ

นิษฐากำลังอ้วกอยู่ในห้องน้ำ โดยมีเจติยาคอยลูบหลังให้ ในขณะที่นวัชกับนทียืนมองอยู่ที่หน้าห้องน้ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตั้งแต่พี่ฐาคีโมมา ดูอาการทรุดหนักเลยนะพี่” นทีว่า
นวัชเป็นห่วงนิษฐาสุดๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง นิษฐาอ้วกเสร็จก็เสยผมที่ตกลงมาปกหน้า ทันใดนั้น เส้นผมของนิษฐาก็หลุดติดมือออกมา เจติยากับนิษฐามองดูผมที่หลุดออกมาด้วยความตกใจ นิษฐาร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เธอทั้งทรมาน ทั้งหวาดกลัวกับอาการป่วยของตนเอง เจติยาเข้าไปกอดเพื่อนไว้ด้วยความสงสารจับใจ นวัชมองนิษฐาด้วยสีหน้าหนักใจเพราะเป็นห่วงมาก

ผู้กำกับซึ่งเป็นเจ้านายของนวัชกำลังทำงานอยู่ ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เชิญ”
นวัชเปิดประตูแล้วยืนตรงทำความเคารพก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ
นวัชยื่นแฟ้มให้ “ท่านครับ แฟ้มคดีฆ่ายกครัวครับ”
ผู้กำกับรับแฟ้มมาแล้วยิ้มรับ “ขอบใจมากนะ” ผู้กำกับมองหน้านวัชด้วยสีหน้าแววตาชื่นชม “คุณนี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ”
นวัชยิ้มบางๆ “ขอบคุณครับ”
“ถ้าคุณไปต่อโท พวกเราคงคิดถึงคุณมาก”
นวัชหน้าเครียด “ท่านครับ” นวัชยื่นจดหมายราชการฉบับนึงให้ผู้กำกับ
ผู้กำกับแปลกใจแต่ก็รับจดหมายมาเปิดอ่าน
ผู้กำกับหน้าเครียด “คิดอะไรของคุณนวัช ทุนไปเรียนต่ออาชญาวิทยา มีแต่คนเค้าอยากได้ จบมาตำแหน่งพันตำรวจตรีก็รอ คุณอยู่แล้ว ถ้าคุณจบถึงปริญญาเอก สี่สิบกว่าๆก็เตรียมเป็นนายพลได้เลยแล้วคุณจะสละทุนทำไม”
นวัชหน้าเครียด “ผมทราบครับท่าน แต่แฟนผมไม่สบายมาก ผมไม่อยากทิ้งเธอไปตอนนี้ครับ”
“แต่ถ้าคุณสละทุน คุณอาจจะไม่ได้ไปอีกแล้วก็ได้นะ”
“ผมทราบครับท่าน” นวัชมีสีหน้าเครียดขรึมและมีแววตามุ่งมั่นจริงจัง
อ่านต่อหน้าที่ 3

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
นิษฐาเครียดหนัก “ทำไมพี่ทำแบบนี้ อย่างงี้ก็เท่ากับฐาถ่วงความเจริญของพี่น่ะสิคะ”
นิษฐาที่ใช้ผ้าคลุมศรีษะกำลังเถียงกับนวัชด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่สวนสาธารณะ
“ถ่วงความเจริญที่ไหนกัน พี่ก็เป็นตำรวจต่อไปเหมือนเดิม ไม่ได้ลาออกจากราชการซะหน่อย”
นิษฐาไม่สบายใจ “แต่ถ้าพี่ได้ทุนไปเรียนต่อ กลับมาพี่จะไปได้ไกลกว่านี้อีกมากนะคะ”
“ไปได้ไกล แล้วต้องมานั่งเสียใจเพราะพี่ไม่ได้ดูแลฐา ในเวลาที่ฐาต้องการพี่มากที่สุดน่ะเหรอ พี่คงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”
นิษฐาอึ้งไปเพราะซึ้งใจจนตื้อไปหมดก่อนจะร้องไห้ออกมา
นิษฐาพูดทั้งน้ำตา “ฐารู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วงอนาคตของพี่ยังไงก็ไม่รู้” นิษฐาร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างรู้สึกผิด
นวัชจับไหล่นิษฐาแล้วจ้องหน้าก่อนจะพูดยืนยันอย่างจริงจัง “อนาคตของพี่ต้องมีฐาอยู่ด้วย ห้ามคิดแบบนี้อีกเข้าใจมั้ยฐา”
นิษฐาร้องไห้โฮออกมาแล้วก็สวมกอดนวัชร้องไห้สะอึกสะอื้น นวัชได้แต่กอดปลอบโยนนิษฐาแน่นกระชับ

ลาภิณกำลังประชุมกับคณะกรรมการบริษัท โดยมีการฉายภาพกราฟฟิกแสดงกราฟการเติบโตของบริษัท
“จำนวนคนมาใช้บริการของนิราลัย เพิ่มขึ้นหกเปอร์เซ็นต์ แต่กำไรเพิ่มขึ้นมากถึงสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่จัดการเรื่องทุจริตภายในของคุณพิสัยไปได้ กำไรก็มากขึ้นมาโดยตลอด ปัญหาคือเราต้องหาทางขยายงานเพิ่ม เพราะทุกวันนี้ก็เต็มกำลังแล้ว” กรรมการคนแรกพูด
กรรมการคนที่สองเสริม “แต่ที่น่าตกใจ ก็คือบริษัทร่วมทุนที่เมืองจีน มีกำไรมากกว่าที่คิดไว้ถึงยี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ ต้องถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างก้าวกระโดดมากจริงๆ”
ลาภิณกับคณะกรรมการคนอื่นๆ ต่างพอใจกับผลประกอบการที่ออกมา
“เรื่องขยายงาน ผมได้เตรียมตึกใหม่ไว้รองรับแล้ว พนักงานด้านอื่นก็คงไม่ใช่ปัญหา เหลือแต่ด้านแต่งศพเท่านั้นเองที่หาคนยากหน่อย แต่เรายังพอมีเวลา น่าจะฝึกคนขึ้นมาได้ไม่ยาก ไม่ทราบว่า ใครมีอะไรจะเสริมตรงไหนอีกมั้ยครับ”
คณะกรรมการแต่ละคนต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กรรมการคนแรกไม่สบายใจ “บอกตรงๆนะครับ นิราลัยเป็นธุรกิจที่ดีมาก และคุณลาภิณก็บริหารงานได้ดีมาตลอด พวกเราไม่อยากให้นิราลัยต้องเปลี่ยนเจ้าของเลยนะครับ”
ลาภิณเสียใจก่อนจะถอนหายใจออกมา “ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ทำให้ทุกคนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
ทุกคนพากันนิ่งซึมไปกันหมด
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น อยุทธ์เปิดประตูเข้ามา
“ขอโทษนะครับที่เข้ามาขัดจังหวะการประชุม”
ลาภิณหันไปมองแล้วก็อึ้งๆ ไปเล็กน้อย อยุทธ์ยิ้มแย้มมั่นใจแล้วก็ถือวิสาสะเดินมาพูดกลางที่ประชุมหน้าตาเฉย
“ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่านิราลัยกำลังเสี่ยงต่อการถูกยึด ผมเลยอยากเสนอทางออกให้”
ลาภิณรู้ว่าอยุทธ์ต้องการอะไรจึงลุกขึ้นเสียงดังอย่างแข็งกร้าว “เราไม่รับข้อเสนออะไรของคุณทั้งนั้น เชิญกลับไปได้แล้ว”
กรรมการอีกคนค้านขึ้นมา “เดี๋ยวสิครับคุณลาภิณ เราฟังเค้าก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”
อยุทธ์ยิ้มพอใจ ในขณะที่ลาภิณชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่าอยุทธ์จะมาไม้ไหน

ลาภิณจับตัวอยุทธ์เข้าไปอัดกระแทกกำแพง ทวีและโอ้รีบเข้าไปห้ามทัพก่อนจะช่วยกันจับตัว
ทวีเตือนสติ “ใจเย็นๆครับคุณต้น”
ลาภิณโมโหมากแล้วก็สะบัดตัวออก “คุณบีบผมกับเจไม่ได้ ก็เลยใช้กรรมการบริษัทมาบีบผมทางอ้อม”
อยุทธ์หน้านิ่ง “คุณอยากด่า อยากชกหน้าผมก็เชิญเลย”
ลาภิณจะพุ่งเข้าไปชก ทวีกับโอ้เอ้ล็อคเอาไว้ได้ทัน
อยุทธ์จ้องหน้าลาภิณ “มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ต้องเลว ต้องใช้วิธีสกปรก ผมก็จะทำ” อยุทธ์พูดเน้น “ผมต้องได้เหรียญมาให้ได้”
ลาภิณโมโหมาก “ไอ้...” ลาภิณจะเข้าไปชกให้ได้
ทวีกับโอ้เอ้รีบห้ามกันยกใหญ่ ทั้งสองทั้งฉุดทั้งดึงลาภิณเต็มที่
“โอ้เอ้ พาคุณต้นกลับห้องทำงานไปก่อนไป” ทวีสั่ง
“ครับลุง” โอ้เอ้หันไปพูดกับลาภิณ “มากับผมเถอะครับคุณต้น อย่าไปมีเรื่องกับเค้าเลยครับ”
โอ้เอ้ฉุดลากลาภิณไปกับตัวเองจนได้ อยุทธ์จัดเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อยอย่างสะกดกลั้นอารมณ์
ทวีจ้องหน้าอยุทธ์ “ถ้าคุณมุ่งมั่นจะรวบรวมเหรียญให้ได้ คุณก็ควรต้องรู้ไว้ด้วยว่า เมื่อคุณเป็นเจ้าของกล่องรากบุญแล้ว มันไม่มีวันเลิกได้”
อยุทธ์จ้องหน้าทวีนิ่งๆ อย่างรับฟัง
“มันจะไม่จบแค่ช่วยพ่อคุณเท่านั้น เพราะถ้าคุณไม่ขอพร คุณจะต้องตาย”
อยุทธ์ผงะไปกับข้อเท็จจริงที่เพิ่งรู้
“จำคำพูดผมเอาไว้นะคุณอยุทธ์”ทวีเน้นเสียงอย่างข่มขู่ “คุณจะต้องขอพรจากกล่องรากบุญไปไม่จบไม่สิ้น แม้คุณจะไม่ต้องการได้อะไรเลยก็ตาม”
ทวีถอนใจส่ายหน้าก่อนจะเดินตามลาภิณไปปล่อยให้อยุทธ์ยืนหน้าเครียดอยู่คนเดียว เขาคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วก็ถอยไม่ได้เช่นกัน

เจติยากำลังคุยกับชาครด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาหน้าเครียด “แล้วทำไมต้องฆ่าคุณด้วยล่ะคะ คุณไม่เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ผมเลยไม่กล้ากลับบ้านหรือไปไหนคนเดียวแล้ว” ชาครนึกขึ้นได้ “เอ้อ ผมก็พยายามหาพยาบาลคนนั้นแล้วนะครับ แต่ก็หาไม่เจอแล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นเธอด้วย แปลกมั้ยล่ะ”
เจติยาคิดตามแล้วพยักหน้าช้าๆ “แปลกจริงๆค่ะ ฉันว่ามันเหมือนมีอะไรเชื่อมถึงกันนะคะ แต่ก็คิดไม่ออก โดยเฉพาะเรื่องที่คุณอยุทธ์ส่งกสิณมาทำร้ายคุณ ฉันก็ว่ามันไม่สมเหตุสมผลยังไงไม่รู้”
ชาครหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจ “เค้าคงโกรธที่ผมสั่งสอนเค้ามั้ง คนเราพอมีอำนาจมากๆ ในมือก็ลืมตัวยังงี้แหละ”
ทันใดนั้น เสียงสิทธิพรก็ดังขึ้น
“ผมว่ามันมีอะไรผิดปกติมากกว่านั้น”
เจติยาหันไปมองตามเสียงก็ไม่เห็นสิทธิพร
ชาครงงเพราะไม่เห็นสิทธิพร “มีอะไรเหรอคุณ”
“ตอนนี้วิญญาณของคุณสิทธิพรอยู่กับเราที่นี่ค่ะ”
ชาครรู้สึกอึ้งๆไปเพราะตนเองก็ไม่ได้ชอบสิทธิพรอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาเจอวิญญาณสิทธิพรอีก
เจติยาถามสิทธิพร “แล้วอะไรที่คุณว่าผิดปกติคะ”
วิญญาณสิทธิพรเดินผ่านหลังชาครออกมาให้เจติยาเห็น
“ผมไม่ได้บอกนะครับว่าอยุทธ์ไม่ได้สั่งฆ่าชาคร แต่ที่แน่ๆ คือกสิณไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของอยุทธ์”
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“วิญญาณผมจะไม่มีวันไปผุดไปเกิด จนกว่าพิมพ์อรกับไอ้ผีนรกนั่นจะรับกรรม เพราะฉะนั้น ผมจะสัมผัสได้ทุกอย่างที่ เกี่ยวข้องกับคู่นี้ แต่นี่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย คุณเจว่าผิดปกติมั้ยล่ะครับ”
เจติยาคิดตามที่อยุทธ์บอกก่อนจะค่อยๆรวบรวมข้อมูลทีละน้อย
ชาครอยากรู้ “คุยอะไรกันครับ บอกผมได้มั้ย”
วิญญาณสิทธิพรเหล่ๆ มองชาครแล้วเหยียดปากใส่ด้วยสีหน้าแววตาไม่ชอบขี้หน้า

ลาภิณกำลังคุยกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ลาภิณโมโห “แต่ผมมั่นใจว่านายชาครพูดถูก เราผิดเองที่มองเค้าดีเกินไป เชื้อคงไม่ทิ้งแถวหรอก”
“คุณต้นกำลังโกรธ ก็เลยอคติรึเปล่าคะ” เจติยาถาม
ลาภิณโมโห “แล้วเจไม่เห็นสิ่งที่เค้าทำกับผมเหรอ ตอนนี้คณะกรรมการบริษัทบีบให้ผมรับข้อเสนอนายอยุทธ์กันหมดแล้ว จะบอกก็บอกไม่ได้ ว่าผมไม่ยอมเพราะอะไร ใช้วิธีแบบนี้มาบีบกัน สกปรกที่สุด แย่กว่าที่พี่อรเคยทำซะอีก”
เจติยาคิดตามอยู่ครู่นึง “คุณอยุทธ์ก็ทำไม่ถูกจริงๆล่ะค่ะ แต่ถึงยังไง เจก็ไม่เชื่อว่าคนแบบเค้าจะฆ่าคนได้”
ลาภิณหึงเล็กๆ และงอนๆ “ดูเจจะไว้ใจเค้าซะเหลือเกินนะ”
เจติยายิ้มๆ แล้วเข้าไปเกาะแขนพูดอ้อนๆ “เจก็แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าเค้าเป็นคนละโมบ เห็นแก่ได้จริง ป่านนี้เค้าคงขอพรให้ตัวเองเยอะแยะไปหมดแล้ว”
“ก็อย่างที่ชาครบอกนั่นแหละ อยุทธ์ยังไม่เคยมีอำนาจ พอมีก็เลยเผยธาตุแท้ออกมา”
เจติยากำลังใช้ความคิดหนักในการผูกเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ชาครเผลอนั่งหลับอยู่หน้าห้องไอซียูด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนวนันต์หลับไม่ได้สติอยู่ในห้องไอ.ซี.ยูทันใดนั้นนิ้วของวนันต์ก็ขยับได้ สัญญาณชีพบนจอมอนิเตอร์เต้นถี่เร็วขึ้นเหมือนตื่นกลัวอะไรบางอย่าง เงาใครบางคนเดินผ่านตัวชาครไป ชาครค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาเห็นพิมพ์อรเดินผ่านตนไป
ชาครตกใจเพราะนึกไม่ถึง “คุณอร”
พิมพ์อรเดินซึมเหมือนคนไร้ความรู้สึก ชาครรีบลุกขึ้นเดินตามไปทันที วนันต์นิ้วกระตุกเกร็งขึ้นมากกว่าเดิมเหมือนรับรู้อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชาคร
พิมพ์อรเดินนำชาครไปช้าๆ ชาครเร่งฝีเท้าตามมาแต่ก็ตามไม่ทัน
จากนิ้วที่กระตุกวนันต์เปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น สัญญาณชีพในจอมอนิเตอร์ถี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
พิมพ์อรเดินเลี้ยวไปตามทางเดิน ชาครรีบเดินตามไปทันทีแต่พอตามไป พิมพ์อรกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาครมองไปรอบๆเพื่อหาพิมพ์อร ทันใดนั้น ประตูห้องๆหนึ่งก็เปิดออกช้าๆ เหมือนเชิญชวนให้ชาครเข้าไป
วนันต์กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อแล้วบิดเกร็งไปทั้งตัว สัญญาณชีพในจอมอนิเตอร์ เต้นเร็วแรงมากขึ้น
ชาครกำลังจะเดินเข้าห้องนั้นไป ทันใดนั้น พยาบาลลึกลับคนเดิมก็เข้ามาดึงแขนชาครไว้
“อย่าเข้าไป”
ชาครตกใจเพราะนึกไม่ถึง “คุณเองเหรอ”
พยาบาลมองหน้าเรียบเฉย
“นี่คุณเป็นใครกันแน่ ผมเช็คประวัติคุณกับทางโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ไม่เจอพยาบาลรูปร่างหน้าตาแบบคุณเลย” ชาครถาม
“คุณไม่ต้องสนเรื่องฉันหรอก จำไว้ ว่าอย่าออกห่างจากคุณวนันต์เด็ดขาด”
“ทำไม คุณรู้อะไรอย่างงั้นเหรอ”
พยาบาลเดินหนีไปโดยไม่ยอมตอบคำถาม
“เดี๋ยวสิคุณ” ชาครเรียก
ชาครรีบตามไป แต่พอเขาเดินเลี้ยวมาตามทางเดิน พยาบาลคนนั้นก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ชาครตกใจจึงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นพยาบาลคนเดิมแม้แต่น้อย
อ่านต่อหน้าที่ 4

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
ภายในห้องพิจารณาคดี ลาภิณนั่งอยู่กับทนาย ในขณะที่อัยการกำลังถามพยานอยู่
“พยานมีอาชีพอะไร”
“เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานครับ” พยานบอก
“แล้วในวันเกิดเหตุ พยานได้เข้าตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุใช่หรือไม่”
“ใช่ครับ”
อัยการหยิบมีดที่ใช้ฆ่าสิทธิพรซึ่งถูกห่อซีนไว้ในถุงพลาสติกออกมา “นี่คืออาวุธที่ใช้ฆ่าผู้ตายใช่หรือไม่”
“ใช่ครับ”
“จากการตรวจสอบลายนิ้วมือบนอาวุธ ได้พบลายนิ้วมือของจำเลยหรือไม่”
“พบครับ”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมาทันที
อัยการหันไปพูดกับศาล “หมดคำถามครับ”
ผู้พิพากษาหันไปพูดกับทนายของลาภิณ “ทนายจำเลย มีอะไรจะถามมั้ย”
“ครับ” ทนายโค้งให้ผู้พิพากษานิดนึงก่อนจะเดินเข้าไปถามพยาน “พยานยืนยันว่าพบลายนิ้วมือของจำเลยบนอาวุธ และนอกจากลายนิ้วมือของจำเลยแล้ว พบลายนิ้วมือของบุคคลอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่พบครับ”
ลาภิณรับฟังด้วยสีหน้าหนักใจ
“ถ้าดูจากอาวุธที่ใช้ฆาตกรรม น่าจะเป็นมีดทำครัวที่อยู่ในห้องพักของผู้ตายใช่หรือไม่”
“สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” พยานบอก
“แล้วพยานคิดว่าแปลกหรือไม่ ที่มีดของผู้ตายจะมีลายนิ้วมือของจำเลยติดอยู่เท่านั้น โดยไม่มีลายนิ้วมือของผู้ตายหรือบุคคลอื่นติดอยู่เลย ทั้งๆที่สถานที่เกิดเหตุเป็นห้องพักของผู้ตายเอง”
พยานคิดตามอยู่ครู่นึง “แปลกครับ”
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาที่ฟังการถามพยาน

น้ำกำลังไหลออกจากก๊อกน้ำ ลาภิณเอามือรอน้ำเพื่อล้างหน้า พอล้างหน้าเสร็จเขาก็เหลือบเห็นเงาของอยุทธ์ในกระจก
ลาภิณปิดน้ำแล้วหันกลับไปมองอยุทธ์ “ต่อให้ผมต้องติดคุก ผมก็ไม่มีวันยอมแพ้คุณหรอก”
“ผมไม่ได้ต้องการเอาแพ้เอาชนะกับคุณต้นนะครับ ผมต้องการแค่ช่วยคุณพ่อเท่านั้นเอง” อยุทธ์ว่า
ลาภิณยิ้มเยาะ “ตอนนี้คุณก็พูดได้ รอให้กล่องรากบุญอยู่ในมือคุณก่อนเถอะ”
อยุทธ์มีสีหน้าหนักใจ “ผมต้องทำยังไง คุณถึงจะเชื่อว่าผมจะช่วยแค่คุณพ่อเท่านั้น”
“คุณทำยังไง ผมก็ไม่เชื่อหรอก เพราะเมื่อก่อน คุณก็เคยบอกว่าจะไม่ขอพรจากเหรียญ แต่ตอนนี้ คุณขอโดยไม่ยั้งคิดด้วยซ้ำ”
อยุทธ์อึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
ลาภิณจ้องหน้าอยุทธ์เขม็ง “ผมยอมติดคุก หรือว่าล้มละลายซะดีกว่า ที่จะยอมให้คุณเอากล่องรากบุญไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น”
ลาภิณเดินออกจากห้องน้ำ อยุทธ์ได้แต่มองตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ก็แก้ตัวไม่ได้

เจติยาหอบข้าวของ อาหารแห้ง ขนม ฯลฯ เข้ามาในบ้านนวัช
เจติยาตะโกนบอก “พี่ผู้กองคะ ของที่จะเอาไปบริจาควางไว้ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวเจขอไปรับฐาไปโรงพยาบาลก่อน”
นวัชกับนิษฐาเดินจูงมือกันออกมาจากข้างใน
นวัชยิ้มแย้ม “พี่รับฐามาแล้วล่ะเจ”
“อ้าว ตัดหน้ากันซะแล้ว” เจติยาว่า
นวัชจับมือนิษฐาเอาไว้ “ว่างปุ๊บต้องให้เวลาเค้าทันที คนไข้คนนี้โหยหากำลังใจ” นวัชยกมือนิษฐามาจุ๊บ
นิษฐาเขิน
เจติยากระเซ้า “หวานไปป่าว”
นิษฐายิ้มๆ ก่อนจะกระเซ้าเพื่อนคืน “ทีใครทีมัน”
ทันใดนั้น นิษฐาก็เกิดเวียนหัวขึ้นมา
“เป็นอะไรฐา” เจติยาถาม
นิษฐาผะอืดผะอมขึ้นมาก่อนจะอาเจียนออกมาเลอะเสื้อนวัช นิษฐารีบเอามือปิดปากแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที โดยมีนวัชรีบตามไปติดๆ เจติยามองตามไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจึงจะตามไป แต่เธอก็ตัดสินใจหยุดเดิน เพราะอยากให้เขามีเวลาได้ดูแลกันเองสองต่อสองมากกว่า เจติยาได้แต่ชะเง้อมองตามไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

นิษฐากำลังอ้วก โดยมีนวัชคอยลูบหลัง นิษฐาอ้วกจนเสร็จก็ยืนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
นวัชหยิบผ้าขนหนูมาชูบน้ำแล้วบิดหมาดๆ ก่อนจะเช็ดหน้าให้นิษฐาอย่างทะนุถนอม
นิษฐาเห็นเสื้อนวัชเลอะอ้วกตัวเอง “เสื้อพี่เลอะนะคะ ไปเปลี่ยนก่อนเถอะ”
นวัชยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร ให้ฐาค่อยยังชั่วก่อนดีกว่า”
นิษฐาไม่สบายใจเพราะรู้สึกไม่ค่อยดี “แต่มันเปื้อนอ้วกนะคะ พี่ไม่รังเกียจเหรอ”
นวัชยิ้มอบอุ่น “ถ้าแค่นี้ยังรังเกียจ แล้วต่อไปเราจะดูแลกันจนแก่จนเฒ่าได้ยังไง”
นิษฐาซึ้งใจจนน้ำตารื้นขึ้นมา
นวัชยิ้มๆ แล้วพูดกระเซ้า “ขี้แยอีกแล้ว”
นวัชยิ้มแย้มขณะเช็ดหน้าเช็ดตาให้นิษฐา
วิญญาณสิทธิพรยืนดูทั้งคู่อยู่ด้วยสีหน้าเครียดขรึม

เจติยาเดินมาที่รถของตนที่จอดอยู่ข้างหน้าบ้านนวัช โดยมีวิญญาณสิทธิพรตามมาด้วย
“ผมไม่เคยคิดเล่นๆกับคุณฐานะครับ ผมชอบเธอจริงๆ แล้วผมก็ไม่เคยคิดว่าการที่ผมมาทีหลัง มันจะเป็นสิ่งผิดอะไรด้วย” สิทธิพรบอก
“คุณก็ตายไปแล้ว จะพูดถึงอีกทำไมคะ ยังไงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” เจติยาว่า
สิทธิพรหน้าจ๋อยลง “ถึงตอนนี้ผมยังไม่ตาย ผมก็ยอมแพ้แล้วล่ะครับ”
เจติยามองสิทธิพรอย่างคิดไม่ถึง
สิทธิพรมีสีหน้ายอมแพ้จริงๆ “ผมว่าคงไม่มีใครเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั่นได้แน่ๆ แล้วผมก็คงไม่มีทางดูแลคุณฐาได้ดีเท่ากับที่ผู้กองทำด้วย”
พูดจบ วิญญาณของสิทธิพรก็เลือนหายไปอย่างทำใจ เจติยายิ้มบางๆ เพราะดีใจที่สิทธิพรคิดได้ในที่สุด

เจติยากำลังเข็นรถพานิษฐามาตามทางเดินในโรงพยาบาลพร้อมกับพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
เจติยายิ้มแย้ม “ฉันชักอิจฉาแกแล้วสิ หวานเกินหน้าเกินตาเพื่อนไปหน่อยแล้ว”
นิษฐาเขินอาย “ไม่ต้องมาพูดดีเลย ทีแกกับคุณต้นสวีทล่วงหน้าฉันมาตั้งหลายปี ฉันยังไม่เห็นอิจฉาแกเลย”
เจติยายิ้มๆ “แล้วนี่เมื่อไหร่จะแจกการ์ดล่ะยะ”
“ดูสภาพฉันสิ”
“กำลังใจดีขนาดนี้ หายชัวร์ๆ”
นิษฐายิ้มแย้มเพราะลึกๆก็มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“งั้นแกรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
นิษฐาพยักหน้ารับ “อือ”
เจติยาเดินเลี่ยงไป นิษฐานั่งรออยู่ที่หน้าห้องตรวจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีกำลังใจ ทันใดนั้น นิษฐาก็สะดุ้งเฮือก ตาแข็งค้าง และแขนบิดเกร็งขึ้นมาทันที กสิณที่อยู่ข้างหลังนิษฐาใช้มือเสียบทะลุรถเข็นเข้าไปในตัวนิษฐา
กสิณยิ้มเหี้ยมเพราะกะจะเล่นงานนิษฐาให้ถึงตาย
ทันใดนั้น สิทธิพรก็เข้ามาคว้าข้อมือกสิณไว้แล้วค่อยๆดึงมือของกสิณออกมาจากตัวของนิษฐา นิษซาหมดสติไปทันที
สิทธิพรมีหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว “อย่าทำอะไรคุณฐานะ”
กสิณยิ้มเยาะ “แกอย่าโง่นักเลย ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเห็นแกอยู่ในสายตาเลยซักนิด ถึงแกปกป้องเค้า เค้าก็ไม่สนใจแกหรอก”
สิทธิพรตะคอก “มันเรื่องของฉัน ถ้าแกคิดจะทำร้ายคุณฐาล่ะก็ ต่อให้ฉันต้องตกนรก ฉันก็จะลากแกไปด้วย”
กสิณยิ้มเยาะแล้วสะบัดมือออก สิทธิพรกระเด็นตามแรงสะบัดปลิวไปไกลเหมือนปุยนุ่นไร้น้ำหนัก ก่อนจะร่วงลงฟาดกับพื้น สิทธิพรตกใจมากเพราะไม่คิดว่ากสิณที่อ่อนแอลงมากจะยังมีพลังเหนือกว่าตนมากขนาดนี้
กสิณสืบเท้าเข้าไปหาสิทธิพร สิทธิพรรีบจางหายหนีไปด้วยความหวาดกลัว กสิณหันขวับไปจ้องนิษฐาที่หมดสติคอพับอยู่ที่รถเข็น

เจติยากำลังจะเดินเข้าห้องน้ำหญิง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงสิทธิพรดังขึ้น
“คุณเจ ช่วยคุณฐาด้วย”
เจติยาตกใจสุดๆที่เกิดเรื่องขึ้นกับนิษฐา

กสิณเดินกลับมาหยุดที่นิษฐาด้วยสีหน้าแววตาอำมหิตก่อนจะเกร็งมือขึ้นมา เสียงเจติยาดังนำมาก่อน
เจติยาเสียงดังนำมาก่อน “อย่าทำอะไรเพื่อนฉันนะ”
กสิณชะงักหยุดกึกหันมอง
“เจติยา”
เจติยาจ้องกสิณเขม็ง “ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรไป อย่าหาว่าฉันโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”
กสิณยิ้มสู้กลบความกลัว “ตอนนี้ฉันสู้เธอไม่ได้ จะกล้าขัดคำสั่งเธอได้ยังไงล่ะ” กสิณถอยหนี
เจติยาเดินรุกไล่ตาม
กสิณสีหน้าเจ็บใจ “แต่ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นล่ะ เพราะยังไงเธอก็มีคนเดียว ไม่สามารถแยกร่างไปปกป้องคนที่เธอรักทุกคนได้ตลอดเวลาหรอกเจติยา”
เจติยาเหลือบตามองนิษฐาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับสืบเท้าเข้าหากสิณเพื่อไล่ให้ไปพ้นๆ
กสิณยิ้มเยาะแล้วถอยหนีแต่ยังปากเก่ง “แล้วก็ใช่ว่าทุกคน จะยอมตายตามพรหมลิขิตเหมือนแม่เธอด้วย” กสิณหัวเราะเยาะหยัน
กสิณพูดจบก็เลือนหายไป เจติยารีบวิ่งไปดูอาการนิษฐาทันที
เจติยารีบเข้าไปดูเพื่อนทันทีด้วยความเป็นห่วง “ฐาเป็นยังไงบ้าง”
นิษฐาสลบไสลไม่ได้สติ

หมอกำลังตรวจอาการนิษฐาที่นอนอยู่บนเตียงให้ห้องฉุกเฉิน โดยมีเจติยายืนอยู่ใกล้ๆ
“เท่าที่ดูตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกตินะครับ”
เจติยากังวล “อาการป่วยนี่จะกระเทือนถึงมะเร็งที่เป็นอยู่รึเปล่าคะ”
“คงไม่หรอกครับ แต่ถ้าไม่สบายใจ ผมจะตรวจอย่างละเอียดให้อีกทีนะครับ”
เจติยาไหว้ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
“รอเตรียมห้องซักครู่นะคะ”
หมอกับพยาบาลเดินออกไปจากห้อง นิษฐาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
เจติยาไม่สบายใจ “เป็นยังไงบ้างแก”
นิษฐาอ่อนเพลียมาก “ฉันเพลียๆยังไงก็ไม่รู้ อยากนอนหลับอย่างเดียวเลย”
“ถ้าแกอยากนอนพักก็นอนเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้นทีมาอยู่เป็นเพื่อนแกเอง”
“แล้วแกจะไปไหนล่ะ”
เจติยาหน้าขรึมลง “ฉันมีธุระที่ต้องไปสะสางนิดหน่อย” เจติยามีสีหน้าไม่พอใจมาก

เสียงอยุทธ์ดังนำขึ้นมาที่หน้าบ้าน
อยุทธ์ตกใจมาก “ผมไม่ได้ส่งกสิณไปทำร้ายคุณฐานะครับ”
อยุทธ์กำลังคุยกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่โถงบ้านพิมพ์อร
อยุทธ์ไม่สบายใจ “คุณฐากับผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ผู้กองก็มีบุญคุณกับผม แล้วผมจะทำร้ายคุณฐาได้ยังไง”
เจติยาหน้านิ่ง “ก็เพื่อบีบให้ฉันยกเหรียญให้คุณยังไงล่ะคะ คุณบีบฉันกับคุณต้นไม่สำเร็จ ก็เลยเปลี่ยนเป้า ไปเล่นงานฐาเพื่อบีบฉันอีกทาง”
อยุทธ์น้อยใจ “นี่คุณเจเห็นผมเลวขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
เจติยาหน้าเฉยชา “เจไม่ทราบค่ะ คุณเปลี่ยนไปมาก จนเจไม่อยากเชื่อเลยว่าเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน” เจติยามีสีหน้าแววตาผิดหวัง
อยุทธ์อึ้งไปครู่ “ถึงผมจะเลวยังไง ผมก็ไม่มีวันทำร้ายคุณฐาลงหรอกครับ”
“ถึงแม้ว่ามัน จะทำให้คุณได้กล่องรากบุญมายังงั้นเหรอคะ”
อยุทธ์ขบกรามแน่นหน้าเครียด “ทุกวันนี้ ผมต้องเสียเพื่อนดีๆอย่างพวกคุณไป คุณคิดว่าผมไม่เสียใจรึไง แต่ชีวิตผมไม่เหลือ อะไรแล้วนอกจากคุณพ่อ ผมจำเป็นต้องทำ แต่ผมก็ไม่เลวพอขนาดจะทำร้ายคนไม่เกี่ยวข้องได้หรอกนะครับ”
เจติยามองหน้าอยุทธ์นิ่งอยู่ครู่นึงจนแน่ใจได้ว่าอยุทธ์พูดจริง
“เจจะจำคำพูดของคุณไว้ แล้วก็หวังว่า การที่เจมาหาคุณวันนี้ จะไม่เสียเปล่า”
เจติยาเดินกลับออกไปด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชา
อยุทธ์มีสีหน้าโกรธจัด “กสิณ”
อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น