บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 14
ตอนเย็นๆ ปานวาดกลับจากบ้านชลกร เดินฮัมเพลงเข้ามาในโฮมสเตย์สีหน้าฟินเวอร์ พอเข้ามาในล็อบบี้ พนักงานตรงเคาน์เตอร์เห็นก็เดินออกมาทักถาม
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณปอ”
“มีใครอยู่บ้างล่ะ”
“เมื่อกี้คุณป่านแวะมาค่ะ แต่กลับบ้านไปแล้ว” พนักงานบอก
“พี่ปัฐก็ไม่อยู่เหรอ”
“ค่ะ ออกไปข้างนอก” พนักงานมีท่าทีเกรงใจ “เอ่อ คุณปอคะ ช่วงนี้คุณป่านมีปัญหาหรือเปล่าคะ”
ปานวาดมองฉงน “ทำไมถามยังงั้นล่ะ”
“เห็นแกซึมๆ แล้วเมื่อกี้หิ้วยานอนหลับมาเป็นกระปุก”
ปานวาดนิ่วหน้า “คงนอนไม่หลับมั้ง”
“เมื่อเช้าคุยเรื่องคนโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะอกหัก คุณป่านบอกว่า ถ้าต้องอยู่โดยไม่มีใคร ตายซะยังจะดีกว่า ฟังแล้วขนลุกเลยค่ะ เลยต้องถามคุณปอว่า คุณป่านมีปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า”
ปานวาดนึกเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมาครามครัน
ปานวาดเดินเข้ามาในบ้าน มองหาแต่ไม่มีใครอยู่ จึงร้องเรียกหา
“ป่าน อยู่ไหม”
ปานวาดเดินเข้าไปดูทั้งในห้องอาหารและห้องครัว แต่ก็ไม่เจอใคร
“ป่าน อยู่ไหนเนี่ย”
ปานวาดเดินขึ้นบันไดไป
ปานวาดเดินร้องเรียกหาน้องสาวขึ้นมาชั้นบน
“ป่าน”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ปานวาดมาหยุดหน้าประตูห้องนอนปานดาวเคาะเรียก
“ป่าน อยู่ในห้องหรือเปล่า ป่าน นี่พี่ปอนะ”
เรียกอยู่นานก็ยังไม่มีเสียงตอบ ปานวาดจึงลองหมุนลูกบิดประตูดู ปรากฏว่าเปิดได้เลยเปิดเข้าไป
พอเข้าไปในห้อง ปานวาดต้องชะงัก เมื่อมองไปบนเตียงเห็นปานดาวนอนหงายอยู่เหมือนหมดสติไปมีกระปุกยานอนหลับตกอยู่ที่พื้น ฝากเปิดอยู่ นอกจากนี้ยังมีเม็ดยาหกออกมาหลายเม็ดหล่นเกลื่อน ใกล้ๆ กันเป็นขวดน้ำดื่มล้มอยู่ แถมมีน้ำหกออกมาจำนวนหนึ่ง
ปานวาดใจหล่นวูบกับสิ่งที่เห็น รีบเข้าไปนั่งข้างตัวปานดาว เขย่าตัวปลุก
“ป่าน เป็นไรไหม ป่าน”
ปานดาวเขย่าตัวน้องอยู่ครู่หนึ่ง แต่เหมือนปานดาวจะไม่ยอมรู้สึกตัวสักที
“ป่าน ได้ยินพี่ไหม ทำอะไรไปเนี่ย ป่าน” ปานวาดร้อนใจ “ทำไงดี”
ปานวาดตัดสินใจตบแก้มเรียกสติปานดาวเบาๆ
“ป่านๆ ฟื้นซี ป่าน”
สักครู่หนึ่ง ปานดาวจึงลืมตาตื่นอยู่ในอาการงัวเงีย
“มีอะไร พี่ปอ”
“กินยาไปกี่เม็ดเนี่ย”
ปานดาวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ยกมือข้างที่ยังกำอยู่แบออก พบว่ายาทั้งหมดยังอยู่ในมือของปานดาว
“โธ่เอ๊ย พี่ตกใจหมด” ปานวาดโล่งอก
จู่ๆ ปานดาวก็ปล่อยโฮออกมาผวาตัวกอดพี่สาวแน่น
“ป่านทำไม่ได้ ป่านไม่กล้า”
ปานวาดตกใจไม่น้อย กอดตอบน้อง ปานดาวร้องไห้อยู่อย่างนั้น
เวลาเดียวกัน ดุจเดือนกำลังล้างจานอยู่ในครัว มาลัยเดินเข้ามาหา
“เพิ่งกินข้าวเหรอลูก”
“ค่ะ”
“แม่ว่าจะรีบกลับมา พอดีเจอเพื่อนที่เป็นตำรวจ เลยคุยเรื่องของลูก”
“จับได้หรือยังคะ”
“เขาว่าพอจะรู้ตัวแล้ว แต่มันหนีไปกบดานต่างจังหวัด กำลังตามล่าอยู่ แล้วเขาเตือนว่ายังไงช่วงนี้ลูกไม่ควรจะออกจากบ้าน”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะลูกเป็นพยานชี้ตัวมันได้ มันอาจกลับมาทำร้ายลูกอีก แล้วก็...”
“คะ?”
“อย่าไปเจอกับนายปัฐวีด้วย”ฃ
ดุจเดือนนิ่งไปนิดๆ เก็บจานชามที่ล้างไว้ที่ชั้นตากชาม
“ตำรวจเขาเตือนว่า มีโอกาสที่มันจะกลับมาตามหาทั้งลูกและปัฐวี แล้วก็ปิดปากพวกลูก”
“แค่เรื่องนั้นเหรอคะ”
“ตอนนี้เรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องอื่น แม่เป็นห่วงดุจนะ”
“ค่ะ ดุจรู้”
ดุจเดือนตอบสีหน้านิ่งๆ แล้วเดินออกจากครัวขึ้นห้องไปเลย
ปานวาดยังกอดปานดาวซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับบ่าพี่สาว
“ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันใช่ไหม เขาไม่ได้แค่บอกเลิกป่านใช่ไหม”
ปานดาวส่ายหน้า ปานวาดจับตัวน้องสาวออก มองจ้องหน้าปานดาวเหมือนค้นความจริง
“เขาทำร้ายป่านเหรอ” ปานดาวพยักหน้านิดๆ
ปานวาดใจหาย รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“โอ ไม่น่าเลย”
ปานวาดกอดน้องอีกครั้ง ปานดาวสะอื้นไห้ ปานวาดพลอยน้ำตาไหลร้องไห้ไปด้วยกัน
“ไอ้ผู้ชายเลวๆ ไอ้คนชั่ว”
ปานดาวยิ่งร้องไห้หนักมาก ปานดาวกอดปลอบอยู่อีกครู่หนึ่ง
“ทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่วันนั้น เรื่องแบบนี้มันต้องแจ้งความทันทีที่เกิดเรื่อง”
ปานดาวถอนตัวออกมามองหน้าพี่ “แจ้งความอะไร”
“ก็เขาข่มขืนป่าน เราก็ต้องแจ้งตำรวจ”
ปานดาวอึ้งไป พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สะอื้นออกมาอีก “เราจะไม่แจ้งตำรวจ”
ปานวาดท้วง “แต่มัน...”
ปานดาวบอกเหตุผลว่า “ป่านไม่ต้องการให้เขารู้สึกว่าเขาชนะป่าน”
ปานวาดงุนงง “ชนะอะไร”
“ที่เขาทำกับป่าน ก็เพราะต้องการแก้แค้นแทนครอบครัวของเขา”
ปานวาดยิ่งง “รู้ได้ยังไง”
“เขาบอกกับป่านเอง เขาบอกพ่อเราทำกับแม่เขาไว้เยอะ หลอกลวงให้แม่เขาหลงรัก แล้วก็ทอดทิ้งไป ทั้งๆ ที่มีลูกของพ่ออยู่ในท้อง”
“จริงเหรอ...นี่พ่อ...” ปานวาดตกใจพูดไม่ออก ยังไงพ่อก็คือพ่อ แต่เรื่องนี้ต้องส่งผลกระทบตัวเธอกับชลกรด้วยแน่ๆ
ปานดาวพยักหน้ารับ “ตั้งแต่แรกที่เขามาทำดีกับป่าน เพราะตั้งใจมาแก้แค้นแทนแม่ของเขา แต่ป่านโง่เองที่ไม่เคยคิดเรื่องนี้ ที่สุด เขาก็ทำสำเร็จ” หญิงสาวพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้ ไม่ให้ร้องไห้ออกมา “ถ้าเราแจ้งตำรวจ เราก็จะกลายเป็นคนแพ้ เขาจะยิ่งเหยียบย่ำเราให้แหลกลาญไปกับเท้าของเขา ป่านจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น”
ปานวาดไม่เห็นด้วย “แต่จะปล่อยให้เขาลอยนวลไปแบบนี้เหรอ”
“ไม่ ป่านจะหาวิธีอื่นที่จะจัดการกับเขา”
ปานวาดเตือนน้องให้คิดให้รอบคอบ “มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ แล้วถ้าเกิดป่าน...ท้องขึ้นมาล่ะ”
“ไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิดอีกที แต่ตอนนี้ ยังไงก็ให้เขารู้สึกว่าเขาชนะไม่ได้”
ปานดาวทั้งเสียใจ ทั้งแค้นใจ ปานวาดยิ่งรู้สึกสงสารน้องสาวจับจิต
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 14 (ต่อ)
สองคนนัดเจอกันที่ศาลาที่เดิมในสวนสาธารณะ ปานวาดเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับปานดาวให้ชลกรฟังหมดแล้ว ชลกรโกรธมาก
“บ้าเอ๊ย พลมันทำแบบนี้ได้ยังไง ไอ้น้องเลวๆ”
“ใจเย็นๆ ก่อนซิ”
“มันเย็นไม่ได้หรอก มันโกหกผม ผมคิดว่ามันจริงใจกับน้องป่าน นี่กลายเป็นผมช่วยมันทำร้ายน้องของปอ”
“ชลไม่เกี่ยวหรอก ไม่ใช่ความผิดของชล”
“ผมจะลากคอมันเข้าคุกเอง”
“ก็บอกแล้วไง ป่านเขาไม่อยากแจ้งความ เขาบอกเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“จัดการยังไง ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างน้องป่าน จะไปสู้อะไรกับไอ้พลมันได้”
“ก็เจ้าตัวเขาต้องการอย่างนั้น” ปานวาดออกอาการหนักใจไม่น้อย
“เรื่องนี้มันจะมีผลต่อเราไหม ปอจะเกลียดผมด้วยไหม”
“ไม่หรอก”
“ผมอยากบอกปอว่า ผมไม่ใช่ไอ้พล ผมจะไม่มีวันทำให้ปอต้องเจ็บปวด”
“ปอรู้”
ชลกรเอื้อมมือไปจับมือปานวาดมากุมไว้ ปานวาดยิ้มให้
“ที่ปอเอาเรื่องนี้มาบอกชล ก็เพื่อเราจะได้ช่วยกันดู อย่าให้ใครทำให้ใครต้องเป็นทุกข์อีก”
ชลกรพยักหน้ารับเอาคำ ยินดีจะทำตามที่ปานวาดต้องการ
ชลกรกลับเข้าบ้าน เจอชยพลนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ก็ปรี่เข้าไปหาทันที
“อยู่นี่เองเหรอ มานี่เลยมา”
ชลกรจับแขนชยพลแล้วดึงให้ลุกขึ้น
“อะไรกันพี่”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ชลกรดึงตัวชยพลออกไปทางหลังบ้าน
ชลกรลากชยพลออกมาที่หลังบ้าน โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชลกรเหวี่ยงหมัดชกใส่หน้าชยพลเต็มแรง จนชยพลเซล้มลงปพร้อมๆ กับความงุนงง
“อะไรเนี่ย มาต่อยผมทำไม”
“ก็แกไปทำอะไรไว้ล่ะ ไอ้เลว”
ชยพลพยายามลุกขึ้น แต่ชลกรพุ่งเข้ามาต่อยซ้ำ จนชยพลทรุดลงไปอีก
“แกทำแบบนั้นกับน้องป่านได้ยังไง ทำไมแกมันชั่วแบบนี้”
ชยพลอึ้งไป
“ผมรู้ ผมผิด”
“รู้งั้นเหรอ”
ชลกรเตะเข้าไปอีกที่ลำตัว ชยพลล้มลงอีก ชลกรเตะซ้ำอีก ชยพลไม่คิดสู้ ปล่อยให้ชลกรเตะอีก 2-3 ครั้ง จนชยพลเงียบไป
“ฉันหลงคิดว่าแกจริงใจกับน้องป่าน ฉันยอมช่วยแก แต่แกกลับทำตัวเหมือนสัตว์ แกทำชั่วๆ กับเขา”
ชลกรเหนื่อยหอบ ชยพลพยายามจะยันตัวลุกขึ้น ชลกรเลยช่วยลากขึ้นมา
“น้องป่านเป็นคนดี แกไม่ควรจะทำกับเขาแบบนั้น ฉันจะบอกให้นะ เขากำลังจะให้หัวใจแกอยู่แล้ว เขามีหวังในตัวแก แต่แกทำลายทุกอย่างจนหมด แกย่ำยีหัวใจเขา จนเขาเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย แกรู้ตัวบ้างมั้ย ทำอะไรลงไป”
“วันนี้ผมพยายามไปคุยขอโทษกับเขาแล้ว แต่เขาเหมือนไม่สนใจใยดี บอกว่าที่ผ่านไป คิดว่าให้ทาน ผมเลยบอกเขาว่า ผมทำทั้งหมดไป เพราะแค้นที่พ่อเขา ทำกับแม่เรา”
“แล้วแกก็เชื่อที่เขาพูดเหรอ เขาพูดเพื่อประชดแก จริงๆแล้วเขาเจ็บปวดกับแก ถ้าเขาไม่แคร์แก เขาแจ้งตำรวจลากคอแกเข้าคุกแล้ว อย่าโง่นักซีวะ”
ชยพลนิ่งไป ตกใจและสับสนกับสิ่งที่ได้ยินจากปากชลกร
สองแม่ลูกดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก ดุจเดือนลอบมองมาลัยตลอดเวลา
“คิดถึงพ่อจังนะคะ งวดนี้ไปต่างจังหวัดหลายวันเลย”
“พรุ่งนี้พ่อก็กลับมาแล้ว”
“ค่ะ” ดุจเดือนแกล้งหาว “งั้นดุจขอไปนอนก่อนนะแม่”
มาลัยหันมามอง “ยังไม่ดึกเลย ง่วงแล้วเหรอ”
“ดุจจะอ่านบทละครเรื่องใหม่นิดหน่อย แล้วค่อยนอนน่ะค่ะ”
“มาให้แม่หอมที” สองแม่ลูกกอดหอมกันคนละฟอด “ฝันดีนะลูก”
ดุจเดือนเดินขึ้นบันได เหลียวมามองมาลัย ที่ยังคงดูละครรสเข้มของช่อง 8 อยู่
ชยพลในสภาพหน้าตายับเยินจากถูกชลกรต่อย นั่งใช้ความคิดอยู่ในห้องนอน คิดถึงคำพูดพี่ชายคำแล้วประโยคเล่า
“ฉันหลงคิดว่าแกจริงใจกับน้องป่าน ฉันยอมช่วยแก แต่แกกลับทำตัวเหมือนสัตว์ แกทำชั่วๆ กับเขา”
“น้องป่านเป็นคนดี แกไม่ควรจะทำกับเขาแบบนั้น ฉันจะบอกให้นะ เขากำลังจะให้หัวใจแกอยู่แล้ว เขามีหวังในตัวแก แต่แกทำลายทุกอย่างจนหมด แกย่ำยีหัวใจเขา จนเขาเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย แกรู้ตัวบ้างมั้ย ทำอะไรลงไป”
“แล้วแกก็เชื่อที่เขาพูดเหรอ เขาพูดเพื่อประชดแก จริงๆแล้วเขาเจ็บปวดกับแก ถ้าเขาไม่แคร์แก เขาแจ้งตำรวจลากคอแกเข้าคุกแล้ว อย่าโง่นักซีวะ”
ชยพลหยิบโทรศัพท์มือถือ กดโทร.หาปานดาว
อีกฟาก ปานดาวนั่งเหม่ออยู่ในห้องนอน จนมีเสียงโทรศัพท์ดังจึงหยิบมาดู เห็นเป็นชยพลกดสายทิ้ง
เมื่อปานดาวไม่รับสาย ชยพลจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความไปทางไลน์
“ผมอยากพบคุณนะป่าน”
ชยพลเห็นปานดาวไม่ยอมอ่านไลน์ก็เครียด
“ผมขอโทษนะป่าน ผมผิดเอง”
ส่วนที่บ้านมาลัย ดุจเดือนย่องลงบันไดมาพอลงมาถึงชั้นล่าง มองไปเห็นมาลัยกำลังหาอะไรกินอยู่ในครัวจึงค่อยๆ ย่องออกจากบ้านไป
ไม่นานต่อมา ดุจเดือนเดินเข้ามาในโฮมสเตย์ คุยสายกับปัฐวีไปด้วย
“ดุจมาถึงแล้วนะ ปัฐอยู่ไหนล่ะ”
ปัฐวีเดินพูดโทรศัพท์ออกมาจากด้านในโฮมสเตย์มองหา
“มาแล้วครับ” ปัฐวีกดวางสาย รีบก้าวยาวๆ มาถึงดุจเดือน “ออกจากบ้านยากไหม”
“ก็นิดหน่อย แต่ดุจก็มาถึงแล้วนี่”
“มา เชิญทางนี้เลย”
ปัฐวีเดินนำดุจเดือนไปทางห้องพักที่เตรียมไว้รับรองโดยเฉพาะ
มาลัยถือแก้วนมเดินมาหยุดที่หน้าห้องดุจเดือน เคาะประตูเรียก
“ดุจ นอนหรือยังลูก แม่เอานมมาให้”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ มาลัยแปลกใจ เปิดประตูเข้าไป มาลัยเข้าไปในห้องดุจเดือนครู่หนึ่งแล้วจึงกลับออกมา
“หายไปไหนแล้ว ดุจ อยู่ไหนลูก”
มาลัยเดินไปเปิดประตูห้องน้ำชั้นบน มองเข้าไปแต่ไม่มีใครอยู่ จึงกลับมายืนที่หัวบันไดท่าทางโมโหสุดขีด รู้แล้วว่าลูกสาวหนีไปหาผู้ชาย บ่นบ้ากับตัวเอง
“ลูกคนนี้ ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลย”
มาลัยเดินลงบันไดไป
ปัฐวีเดินนำดุจเดือนมาที่หน้าห้องพักหลังพิเศษของบ้านเตยหอม
“ผมเตรียมที่นั่งพิเศษสำหรับชมพิธีมอบรางวัลไว้ให้ดุจแล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ปัฐวีเปิดประตูห้องพักผายมือเชื้อเชิญ ดุจเดือนเข้าไปในห้อง ปัฐวีตามเข้าไปแล้วปิดประตูลง
ปัฐวีพาดุจเดือนนั่งที่โซฟาในห้องพัก ก่อนจะหันไปเปิดทีวี
“อีกยี่สิบนาที กว่ารายการจะเริ่ม เรามาอุ่นเครื่องกันก่อนดีกว่า”
ปัฐวีหันไปเปิดตู้เครื่องดื่ม หยิบขวดไวน์พร้อมกับแก้วไวน์สองใบออกมา
ดุจเดือนทึ่ง “โอ้โห มีไวน์ด้วย”
“ไม่งั้นจะเรียกเลี้ยงฉลองได้ยังไง”
“ถ้าไม่ได้รางวัลนี่ มีฮานะปัฐ”
ทั้งคู่ยิ้มแย้มให้กันอย่างมีความสุข
ขณะที่พนักงานเก็บข้าวของกำลังเตรียมจะปิดบ้านพักหลังที่ใช้เป็นสำนักงาน จู่ๆ มาลัยเดินพรวดพราดเข้ามาในล็อบบี้ ถามเสียงขุ่น
“อยู่ไหน ลูกสาวฉันอยู่ไหน”
พนักงานงง รีบออกมารับ “สวัสดีค่ะ เรากำลังจะปิดแล้วนะคะ”
“ฉันมาหาลูกสาวฉัน ดุจเดือนน่ะ”
“วันนี้ไม่มีแขกเข้าพักนะคะ ร้านอาหารก็ปิดแล้ว ลูกค้ากลับหมดแล้วค่ะ”
“ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้ว่าลูกฉันมาอยู่ที่นี่ ไปตามผู้จัดการมา”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
พนักงานรีบออกไป มาลัยหงุดหงิดมองซ้ายมองขวาดูลาดเลา
ไวน์ถูกรินลงในแก้วทั้งสองใบ ปัฐวีวางขวดไวน์ลง แล้วยกแก้วเดินมาหาดุจเดือน ดุจเดือนลุกขึ้นยืน แล้วรับแก้วไวน์จากปัฐวีมา สองคนชนแก้วกัน
“แด่ความสำเร็จของสุดยอดสไตลิสต์”
“แด่อนาคตของเรา”
สองคนดื่มไวน์อย่างรื่นรมย์ เสียงเพลงรักหวานซึ้งดังคลอเสริมบรรยากาศ ปัฐวีขอแก้วไวน์ดุจเดือนมา แล้วเอาแก้วไปวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะหันมายืนอยู่ต่อหน้าดุจเดือน
“ให้เกียรติเต้นรำกับผมซักเพลงนะครับ”
ดุจเดือนยิ้มรับ “ยินดีค่ะ”
ปัฐวียื่นมือให้ดุจเดือนจับมือเขาไว้ ทั้งคู่พากันโลดแล่นไปตามท่วงทำนองเพลงรักที่ขับคลอ อย่างมีความสุข ราวกับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเพียงลำพัง
มาลัยเดินกระวนกระวายอยู่ในล็อบบี้
“ไปตามกันถึงไหนเนี่ย”
สักครู่หนึ่งพนักงานเดินเข้ามาก่อน
“ทางนี้ค่ะ อยู่ทางนี้”
เป็นปกป้องเดินตามพนักงานเข้ามา แล้วต้องประหลาดใจเมื่อเห็นมาลัย
“มาลัย”
มาลัยหันมาพอเห็นปกป้องก็เล่นงานทันที
“พี่ป้องมาก็ดีแล้ว ช่วยมาลัยหน่อย”
“ทำไม มีอะไร”
“มาลัยรู้ว่าดุจเดือนมาอยู่กับนายปัฐวีที่นี่”
“จริงเหรอ” ปกป้องหันไปถามพนักงาน “เห็นหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเลยค่ะ”
ปกป้องหันมาทางมาลัย “มาลัยรู้ได้ไงว่าเขามาที่นี่ โทร.หาหรือยัง”
“ดุจปิดมือถือ วันนี้จะมีงานมอบรางวัลละครที่เขาทำ เขาต้องแอบมาฉลองกับลูกพี่ที่นี่แน่ๆ” มาลัยมั่นใจ
ปกป้องหันมาถามพนักงานว่า “แล้วปัฐล่ะ เขาอยู่ที่ไหน เห็นเขาไหม”
พนักงานลังเล กลัวที่จะบอก
ปกป้องเดินนำมาลัยมาหยุดอยู่หน้าห้องที่พนักงานบอก ปกป้องรีบไขประตูอย่างร้อนใจ
ด้านปัฐวียังคงเต้นรำไปอยู่กับดุจเดือนอย่างสุขสม
ปกป้องไขประตูเปิดผลัวะมาลัยพรวดพราดนำเข้าไป ปรากฏว่าเจอความว่างเปล่าในห้องดังกล่าว สองคนมองหน้ากัน ใจเสียกันทั้งคู่
เพลงจบลง สองคนหยุดเต้นรำ ปัฐวีประคองใบหน้าดุจเดือน สองคนมองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ปัฐวีสอดมือเข้าสวมกอดดุจเดือนไว้ ดุจเดือนกอดตอบ ปัฐวีค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหมายจะจูบดุจเดือนให้สมรัก อีกฝ่ายก็เงยหน้าหลับตาพริ้ม รอรับรสจูบ
จู่ๆ ประตูเปิดผลัวะเข้ามา ปกป้องกับมาลัยพรวดเข้ามาในห้อง ทั้งสองตกใจเมื่อเห็นปัฐวีกับดุจเดือนกอดกันแน่น
มาลัยโกรธสุดขีดปรี่เข้าไปกระชากดุจเดือนออกจากปัฐวี ตบหน้าลูกสาวสุดแรงเกิด
“ทำไม ใจง่ายแบบนี้”
ปกป้องยืนตะลึงตะไล พอได้สติรีบเข้าไปหากระชากตัวปัฐวีออกมา
“ออกมาเดี๋ยวนี้”
ปัฐวีขืนตัวไม่ยอม “พ่อจะทำอะไร”
ปกป้องไม่สนใจดึงตัวปัฐวีออกไปจนได้ ปัฐวีหันไปมองดุจเดือนเป็นเชิงขอโทษ
มาลัยเข้าไปฉุดดุจเดือน ลากตัวออกจากห้องไปเหมือนกัน
ปกป้องลากตัวปัฐวีเข้ามาในบ้าน แล้วผลักไปอย่างแรงจนลูกชายเกือบจะล้มลง
“แกพยายามจะทำอะไร”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เราแค่จะฉลองความสำเร็จของดุจเดือน”
“ฉลองด้วยการมอมเหล้าเขาอย่างนั้นเหรอ”
“เรารักกัน สิ่งที่เราทำ คือสิ่งที่สวยงาม”
“แกมันบ้าไปแล้ว แกจะทำแบบนั้นไม่ได้”
“พ่อเลิกซักทีได้ไหมครับ ปู่กับย่าก็บอกแล้วว่า ลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไอ้ความโกรธแค้นระหว่างตระกูลน่ะ มันจบไปแล้ว”
“ไม่ได้ แกจะทำแบบนี้ไม่ได้” ปกป้องพยายามหาคำอธิบาย “ที่นั่นคือที่ทำมาหากินของเรา เป็นหม้อข้าวของเรา แกจะพาผู้หญิงมาทำแบบนั้นที่นี่ไม่ได้ ธุรกิจของเราจะเสียหายหมด”
“ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมอีกแล้ว ผมจะไม่ทำตามที่พ่อสั่งอีกแล้ว”
ปัฐวีเดินหนีขึ้นบ้านไป ปกป้องเครียดจัด ไม่รู้จะจัดการยังไงต่อไปดี
ด้านมาลัยลากตัวดุจเดือนขึ้นบันไดมา ผู้เป็นลูกดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง
“แม่ ปล่อยดุจนะ อย่าทำอย่างนี้”
“แม่ปล่อยไป แกจะได้ไปทำตัวเหลวแหลกน่ะซี พอกันที แม่ไม่ยอมอีกแล้ว”
มาลัยลากตัวดุจเดือนมาที่หน้าห้องนอน แล้วดึงกระเป๋าสะพายของดุจเดือนมา
“เอามานี่ โทรศัพท์อยู่ในนี้ใช่ไหม”
“แม่จะทำอะไร”
“แม่จะไม่ให้ลูกติดต่อกับมันอีก”
มาลัยเอากระเป๋าดุจเดือนมาสะพายไว้ แล้วเปิดประตูห้องนอน ผลักร่างดุจเดือนเข้าไปในห้องอย่างแรง
“เข้าไปอยู่ในนั้น”
มาลัยเหวี่ยงประตูห้องปิดอย่างแรง แล้วสับแม่กุญแจลงที่สายยูประตูห้องนอนใส่กุญแจล็อคไว้
“แม่ทำอะไร ปล่อยดุจออกไปนะ อย่าขังดุจไว้ในนี้ แม่ใจร้าย ปล่อยดุจไปนะ”
เสียงดุจเดือนร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้แม่ปล่อย และพยายามจะเปิดประตูแต่ไม่เป็นผล
มาลัยยืนพิงประตูน้ำตาไหลร่วง เนื้อตัวสั่นสะท้านไปตามแรงกระแทกของประตูอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 14 (ต่อ)
เช้าวันนี้ พันลือเดินออกจากในบ้านมาทางหลังบ้าน คอยมองไปทางในบ้านว่ามีใครมาทางนี้หรือเปล่า จนเมื่อแม่ใจว่าไม่มีใคร จึงกดเบอร์โทร.หาดาวราย ถือสายรอ
อีกฟาก ดาวรายอยู่ในครัวที่บ้าน หยิบโทรศัพท์มาดู เห็นชื่อพันลือจึงรีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“คุยได้ไหม”
“ได้ ไม่มีใครอยู่”
“ตอนนี้มันกำลังจะไปกันใหญ่แล้ว”
ดาวรายงง “อะไรไปกันใหญ่”
“ก็เรื่องของเจ้าชลกับปอไง...เมื่อวันก่อนปอมากินข้าวที่บ้าน”
ดาวรายตกใจ “อะไรนะ แล้วพี่ยอมได้ยังไง”
“พี่ไม่ได้ยอม แต่มาลาเขาเป็นคนชวนมาที่บ้าน ว่าแต่เราน่ะปล่อยลูกมาได้ไง”
“ฉันรู้ที่ไหนล่ะ ก็ไหนว่าเขาไม่เห็นด้วยเรื่องสองคนนั้น แล้วมาชวนได้ยังไง”
พันลืออึกอักอยู่ชั่วครู่ “เขาเปลี่ยนใจแล้ว”
ดาวรายแปลกใจมาก “เปลี่ยนใจ หมายความว่าไง”
“เขาเคยเกลียดไอ้ป้องที่ทิ้งเขา แต่ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้ว”
“ความจริงอะไร”
“ที่ดาวเอายาเสน่ห์ให้ไอ้ป้องกินไง พี่ก็พลอยถูกโกรธไปด้วย”
“รู้ได้ไง”
“วันที่ดาวมาหาพี่ที่บ้านไงล่ะ เขากลับมาได้ยินเราคุยกัน แต่เรื่องนั้นช่างมันเหอะ มาช่วยกันคิดเรื่องเจ้าชลกับปอดีกว่า จะทำยังไงดี”
“พี่ก็ห้ามลูกพี่ให้มันเด็ดขาดหน่อยซี หรือจะปล่อยให้พี่น้องมันได้กันก่อน”
“เฮ้ย พูดอะไรอย่างนั้น ไม่ยอมอยู่แล้ว”
“งั้นพี่ต้องจัดการลูกพี่ ฉันก็จะจัดการลูกฉัน เข้าใจไหม”
“ได้ๆ” พันลือเครียดจัด
พันลือเดินกลับเข้ามาในบ้าน สีหน้าท่าทางเครียดหนัก ชลกรลงมาจากชั้นบนกำลังจะออกไปทำงาน พอเห็นพันลือก็รีบเร่งจะออกจากบ้าน พันลือเรียกไว้
“ชล”
ชลกรชะงักหันมาหาช้าๆ
“ไปไหนล่ะลูก”
“ไปทำงานครับ”
“พ่ออยากคุยด้วยหน่อย”
ชลกรพยักหน้ารับ พอจะรู้ว่าพันลืออยากคุยเรื่องอะไร
“เรื่องลูกกับปอน่ะ พ่ออยากให้ลูกคิดใหม่”
“ผมว่าไม่มีอะไรที่ผมต้องคิดอีกแล้วล่ะครับ ปอคือคนที่ใช่สำหรับผม”
“แต่ลูกไม่มีวันจะมีความสุข”
ชลกรยิ้มเยาะเหตุผลของพันลือ “ผมว่าพ่อคิดไปเองเปล่าครับ”
“ยังไงเราก็หนีความจริงไม่พ้น ปอคือลูกของปกป้อง เขากับแม่แกเคยมีปัญหากัน แกก็รู้นี่”
“ปัญหาเหรอครับ รู้ไหมครับ อะไรคือปัญหา”
“อะไร”
“พ่อไงครับ”
พันลือชะงักกึก
“พ่อไม่ชอบลุงปกป้อง ก็เลยพาลมาไม่ชอบปอ แต่คนที่จะแต่งงานกับปอ คือผมต่างหาก ไม่ใช่พ่อ”
พันลือชักโมโห “แต่งงานอะไร แกจะแต่งงานกับเขาไม่ได้”
“ผมยอมพ่อมาตลอด แต่นี่คือชีวิตผม ผมอยากทำอะไรก็จะทำ”
พร้อมกับว่าชลกรจะเดินหนี พันลือจับแขนลูกไว้
“แกยังไม่เข้าใจ”
ชลกรลืมตัวเถียงด้วยเสียงค่อนข้างดัง “ไม่มีอะไรที่ผมไม่รู้อีกแล้วครับพ่อ พ่อแย่งแม่มาจากลุงปกป้องได้แล้ว ทำไมยังไม่พอใจอีกครับ จะมายุ่งกับผมอีกทำไม”
พันลือเสียงดังใส่ “ทำไมจะยุ่งไม่ได้ แกเป็นลูกฉัน”
ชลกรถอยออกมาจากพันลือ กระชากแขนตัวเองออกมาจากมือพ่อ พันลือโมโห จะตามไปจับตัวอีก แต่มาลาเดินมาจากหน้าบ้าน ถามขัดขึ้นเสียงดัง
“มีอะไรกัน พ่อลูก”
พันลือชะงัก
มาลาบ่นว่าสามีแล้วเดินเข้าไปหาลูกชาย
“เสียงดังออกไปข้างนอกโน่น...ไปทำงานเหรอลูก ไม่กินอะไรก่อนเหรอ”
ชลกรส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ”
“ไป แม่ไปส่ง”
มาลาคล้องแขนชลกรพากันเดินออกไป พันลือได้แต่หงุดหงิด ที่ทำอะไรไม่ได้
มาลาเดินมาส่งลูกชายที่รถตรงหน้าบ้าน มองเข้าไปในบ้านแว่บหนึ่งแล้วหันมาปรามลูกชาย
“ยังไงลูกก็ไม่ควรพูดแบบนั้นกับพ่อ”
“ก็เมื่อไหร่เขาจะหยุดซักทีครับ ทำไมไม่เลิกกีดกันผมกับปอซักที”
“เขาดื้อแบบนี้แหละ”
“ผมรู้ว่าพ่อไม่ถูกกับลุงปกป้อง แต่เรื่องของผมกับปอมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา แต่งกันแล้ว ผมกับปออาจย้ายไปอยู่ที่อื่นไกลๆ ทุกคนเลยก็ได้”
“ทำไม จะทิ้งแม่ไปด้วยงั้นเหรอ”
“ผมหมายความว่า ผมไม่ได้จะย้ายไปอยู่บ้านปอ แล้วปอก็อาจไม่ได้มาอยู่ที่นี่ พ่อตาผมจะไดไม่มากวนใจพ่อ”
“เฮ้อ นั่นมันเรื่องในอนาคต ยังไม่ต้องพูดเรื่องนั้นตอนนี้หรอก”
“หรือผมอาจพาแม่ไปอยู่กับครอบครัวผมกับปอ”
มาลาขำความคิดลูกชาย “คิดไปเรื่อย เอาน่า ยังไงชลก็มีแม่เป็นพวกแล้ว กับพ่อน่ะเราต้องค่อยๆพูดกับเขา แม่หาวิธีเปลี่ยนความคิดเขาเอง”
ชลกรส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “จะเปลี่ยนได้เหรอแม่ ไม้แก่มันดันยากนะครับ”
“ก็ต้องค่อยๆ ดัดกันไป จะขืนให้มันหักไปเลย ก็คงไม่ได้หรอก ให้เวลาแม่หน่อย แม่รู้ว่าจะจัดการกับพ่อเขายังไง”
มาลาตบมือลูกชายเป็นการให้กำลังใจ ชลกรพยักหน้ารับ
อีกฟาก ดาวรายเปิดประตูห้องนอนปานวาดเดินเข้ามาในนั้น เห็นปานวาดนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก แต่งตัวพร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว
“จะไปไหนล่ะวันนี้”
“นัดกับพวกแม่บ้านไว้ค่ะ มีประชุมนิดหน่อย”
ดาวรายแล้วก็จะเลยไปบ้านนังมาลาใช่ไหม
ปานวาดชะงัก
“แม่รู้หมดแล้ว ลูกทำแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็คุณอาเขาอยากเจอปอ ปอก็ไปเจอเขา ก็เท่านั้นเอง”
“แต่มันเป็นศัตรูของครอบครัวเรา”
ปานวาดเหนื่อยใจ “แม่คะ ทุกอย่างมันจบแล้วค่ะ ปู่กับย่าก็ลืมเรื่องที่บาดหมางกันไปหมดแล้ว พ่อเองก็อยากให้สองครอบครัวคืนดีกัน”
“แต่ไม่ใช่แม่ ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกคบหากับลูกชายนังมาลา”
ปานวาดฉุนที่แม่ไม่ให้เกียรติชลกร “เขาชื่อชลค่ะ”
“จะชื่ออะไรแม่ไม่สนใจ”
ปานวาดลุกขึ้นหยิบกระเป๋ามาสะพาย
“เดี๋ยวปอจะไปประชุมสาย”
ปานวาดจะเดินออกไป ดาวรายจับแขนดึงไว้ พูดขอร้องลูกสาวด้วยเสียงอ่อนโยน
“ปอ แม่ขอนะลูก ถ้าลูกรักแม่ อย่าไปยุ่งกับลูกของมาลา”
ปานวาดอึดอัดมาก แต่ก็คงทำตามที่ดาวรายต้องการไม่ได้
“อย่าขอให้ปอทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยแม่”
ปานวาดบิดตัวให้หลุดจากมือของดาวราย แล้วเดินออกจากห้องไป ดาวรายทิ้งตัวนั่งลงกับเตียงอย่างแรง อารมณ์เสีย
“โธ่เว๊ย ลูกคนนี้ แล้วจะทำยังไง ฉันจะอกแตกตาย พี่พันลือนะพี่พันลือ ทำไมต้องสร้างปัญหาให้ฉันด้วย”
ทางด้านมาลัยนั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ดูออกว่ากำลังพยายามสงบจิตใจ ไม่นานนักก้องภพหิ้วกระเป๋าเอกสารเข้ามาในบ้าน วางกระเป๋าไว้ที่ชั้นวางแล้วเดินมาหาเมีย
“เฮ้อ ได้กลับบ้านซักที หิวจังเลย มีอะไรทานบ้างจ๊ะมาลัย”
“อยู่บนโต๊ะนั่นแหละ อันไหนมันเย็น พี่ก็อุ่นเวฟเอา”
ก้องภพมองฉงน รู้สึกแปลกใจกับท่าทางเฉยเมยของมาลัย
“เอางั้นนะ”
ก้องภพเดินไปที่ครัว แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดุจเดือนดังลงมาจากชั้นบน
ดุจเดือนทุบประตู ตะโกนออกมา “ปล่อยดุจนะแม่ อย่าทำแบบนี้”
ก้องภพชะงัก แม้ได้ยินไม่ถนัดหูนัก แต่ก็รู้ว่ามีอะไรไม่ดีแน่
“มีอะไร”
เมื่อเห็นมาลัยไม่ยอมตอบ และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ก้องภพจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้าน
ก้องภพขึ้นบันไดมา ได้ยินเสียงร้องของดุจเดือน และเสียงทุบประตู
“แม่ ปล่อยดุจนะ ปล่อยดุจเถอะ”
ก้องภพมองไปที่ประตูห้อง เห็นใส่กุญแจสายยูขังไว้ก็ตกใจ
“อะไรเนี่ยลูก เกิดอะไรขึ้น”
ดุจเดือนได้ยินยิ่งร้องดังขึ้น “พ่อ ช่วยดุจด้วย แม่เขาขังดุจไว้ทั้งคืน พ่อช่วยปล่อยดุจออกไปนะพ่อ”
“ทำไมแม่ทำแบบนี้”
“แม่เขาโมโหดุจ พ่อต้องปล่อยดุจออกไปนะ ขังดุจแบบนี้ได้ยังไง” ดุจเดือนร้องไห้โฮ
“เดี๋ยวก่อนนะลูก พ่อจะรีบไปเอากุญแจมาจากแม่นะ”
ก้องภพรีบวิ่งลงบันไดไป
ก้องภพเดินปรี่เข้าไปหามาลัยอย่างไม่พอใจ
“มาลัย ทำไมขังลูกไว้แบบนั้น ขังไว้ทั้งคืนเลยเหรอ”
มาลัยถอนหายใจ “รู้ไหม ลูกพี่ทำอะไร มันแอบหนีออกจากบ้าน แล้วไปอยู่กับนายปัฐวีสองต่อสองที่โฮมสเตย์เขาโน่น”
“เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่เมื่อคืน อ้างว่าจะไปดูงานมอบรางวัลละครของตัว แต่พอมาลัยเปิดประตูเข้าไป เห็นสองคนยืนกอดกันอยู่ แถมยังกินไวน์เกือบหมดขวด พี่คิดดูซี ถ้ามาลัยไปช้าอีกหน่อย ดุจคงเสียตัวให้นายปัฐวีไปแล้ว”
“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอ” ก้องภพอึ้ง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พี่ว่าเรื่องแบบนี้ ดุว่าสั่งสอนกันก็พอ ถึงกับขังกันนี่ มันไม่เหมาะนะ ลูกก็เป็นคน มีหัวจิตหัวใจ”
“พี่เองนั่นแหละ ที่คอยให้ท้ายลูก จนมันกำลังจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ถ้าลูกท้องไส้ขึ้นมา พี่จะรู้สึกยังไง”
ก้องภพอึ้งไปอีก มาลัยเองเริ่มรู้สึกผิดที่ทำรุนแรง และเข้าใจสิ่งที่ก้องภพพูดเตือน มีท่าทีอ่อนลง
“เรื่องขังกันนี่ มาลัยก็แค่จะให้เขารู้ว่ามาลัยจริงจังแค่ไหน ตั้งใจว่าสายๆ ก็จะเปิดให้แล้วล่ะพี่”
ก้องภพพยักหน้ารับเอาคำ
ก้องภพขึ้นบันไดมา คอยมองไปที่ชั้นล่างจนแน่ใจว่ามาลัยไม่ตามขึ้นมาแน่ จึงเดินไปที่ประตูห้องนอน ดุจเดือน พูดเสียงไม่ดังมากนัก
“ลูกดุจ ได้ยินพ่อไหม”
ในห้องนอน ดุจเดือนในสภาพตาบวมช้ำร้องไห้ทั้งคืน ลุกขึ้น แล้วเดินมาที่ประตู
“พ่อ”
“เบาๆ นะลูก” ก้องภพบอก
ดุจเดือนพูดเบาลง “พ่อจะปล่อยดุจใช่ไหมคะ”
“ลูกต้องใจเย็นๆ ก่อนนะ ที่ลูกทำไป แม่เขาโมโหมาก”
“แม่ไม่มีเหตุผลเลย”
“แม่เขารับปากแล้วว่าสายๆ เขาจะปล่อยลูก แต่ลูกต้องระวัง อย่าทำให้แม่เขาโกรธอีก เข้าใจไหม”
ดุจเดือนเงียบไป
“ลูกต้องอดทนไว้นะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“พ่อแน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจซี พ่อสัญญา”
ดุจเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ค่ะ ดุจจะอดทน”
ก้องภพกับดุจเดือนอยู่คนฝั่งประตู ทั้งคู่ยกมือทาบประตูตรงจุดเดียวกัน ส่งกำลังใจให้กัน
ฝ่ายชยพลไม่เป็นอันทำงานทำการ เขาขับรถบึ่งมาหาปานดาว เวลานี้ลงรถเดินมาหยุดยืนที่หน้าทางเข้า บ้านเตยหอม โฮมสเตย์ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาไปด้านใน
ปานดาวเดินออกมาจากด้านหลัง พอเห็นชยพลก็ชะงัก ลังเลว่าควรจะหลบหน้าไป หรือเผชิญหน้ากับเขา สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปไหน ชยพลเดินเข้ามาหยุดนิ่งไม่ห่างจากปานดาวนัก
“ไม่นึกว่าคุณจะกล้ามาที่นี่อีก”
“วันก่อน ผมพูดอะไรไม่ดีกับคุณ ผมอยากจะปรับความเข้าใจหน่อย”
“ที่คุณพูดไม่มีอะไรผิด ฉันถามพ่อฉันแล้ว เขายอมรับว่าเขาทำไม่ดีกับแม่คุณ คุณเองก็มีสิทธิ์แค้นแทนแม่คุณ”
“แต่ผมไม่มีสิทธิ์ทำกับคุณแบบนั้น”
“แล้วไง เกิดจะสำนึกผิดเหรอ ฉันก็บอกแล้วไง ฉันไม่แคร์ ถือว่าให้ทาน”
“ผมอยากรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ”
ปานดาวอึ้งไป
“รับผิดชอบยังไง”
“ผมจะ...”
แต่ก่อนที่ชยพลจะรวบรวมความกล้า พูดอะไรออกไป ภาคีก็เดินเข้ามาในโฮมสเตย์ มองเห็นแต่ปานดาว ไม่เห็นชยพล เพราะต้นไม้บังอยู่
“น้องป่านครับ”
ปานดาวหันไปทางภาคี เหลือบมองชยพลแว่บหนึ่ง ได้ความคิดบางอย่าง เดินยิ้มหวานเข้าไปหาภาคี
“พี่ภาคี สวัสดีค่ะ แหมกำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย”
ภาคียิ้มร่าดีใจ “จริงหรือเปล่าครับ พี่ก็คิดถึงน้อง...”
ชยพลปรากฏตัวออกมาให้ภาคีเห็น ทำเอาภาคีชะงักงันไป
“เขามาทำอะไรเหรอครับ”
“ก็มากวนโทสะเล่นๆ มั้งคะพี่ ไล่ก็ไม่ไป คนอะไรน่ารำคาญจริงๆ”
ภาคีมองชยพลที มองปานดาวที เห็นทั้งคู่ต่างบึ้งตึงใส่กัน เลยรู้ว่าสองคนทะเลาะกัน
“เรื่องแบบนี้ต้องเข้าใจ บางคนก็ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง”
“เขาเด็กนอกน่ะค่ะ เลยฟังภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจ”
“ผมก็ไปอยู่อเมริกาตั้งแต่จบ ป.6 แต่ผมไม่เคยลืมภาษาพ่อภาษาแม่ผมนะ” ภาคียิ้มเยาะมาให้ชยพลอย่างเหนือกว่า
ชยพลฉุนที่ถูกเยาะหยาม จ้องหน้าภาคีอย่างเอาเรื่อง
“สนุกพอหรือยัง”
“อ้าว พูดไทยได้นี่ งั้นน่าจะเข้าใจว่าน้องป่านเขากำลังไล่คุณอยู่”
“เรื่องของผมกับคุณป่าน คุณเกี่ยวอะไรด้วย คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น เขาเรียกอะไรรู้ไหม”
“เขาเรียกคนปรารถนาดีไง แต่ไอ้คนที่ชอบตอแยผู้หญิง ทั้งๆ ที่เขาแสนจะรำคาญล่ะ เขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม”
“เรียกว่าอะไร”
“เรียกว่าพวกหน้าด้าน ไม่มียางอายไง”
โดยไม่มีใครคาดคิดชยพลปล่อยหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าภาคีเต็มแรง ส่งผลให้เขาเซล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า
“โอ๊ย”
“คุณทำอะไร” ปานดาวโกรธจัด รีบเข้าไปดูอาการภาคี
“เจ็บมากเลยครับ ฟันหักหรือเปล่า มีเลือดออกไหมครับ”
ปานดาวเห็นมีเลือดออกที่จมูกจริงๆ
“มีนิดหน่อยค่ะ”
ภาคีร้องโอดโอย “โอย...”
ปานดาวหันมาด่าชยพล “ทำบ้าอะไร ไปให้พ้นเลยนะ”
ชยพลโมโห เดินหุนหันออกจากโฮมสเตย์ไปเลย
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 14 (ต่อ)
ก้องภพนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในออฟฟิศ จนมีเสียงเคาะประตู
“เชิญ”
ประตูห้องเปิดออก เห็นปัฐวีเดินเข้ามาในห้อง
“ขอโทษนะครับคุณลุง”
ก้องภพลุกขึ้นเดินมาหา “ปัฐวี”
“ผมเป็นห่วงดุจน่ะครับ โทร.ไปมือถือก็ปิด”
“แม่เขายึดโทรศัพท์ไว้น่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้นกับดุจครับ”
สองคนนั่งคุยกันอยู่ตรงมุมรับรองแขกในห้อง ก้องภพเล่าให้ปัฐวีฟังเรื่องดุจเดือนถูกขังจบแล้ว
ปัฐวีตกใจพอๆ กับโมโห “ขังไว้ในห้องเหรอครับ ทำแบบนี้ได้ยังไงครับ”
“ใจเย็นๆ ก่อน” ก้องภพดูนาฬิกา “ป่านนี้คงปล่อยแล้วล่ะ”
ปัฐวีไม่พอใจ “แต่ก็ไม่ควรรุนแรงขนาดนั้น”
“แต่ที่เธอสองคนทำก็ไม่เหมาะสม แม่ดุจเขาเล่าให้ลุงฟังหมดแล้ว ว่าเห็นเธอกำลังทำอะไรกัน”
“เรารักกันนะครับคุณลุง คนรักกันก็ต้องมีบ้าง แต่ผมรับรองได้ว่า ไม่มีอะไรเลยเถิด ผมซีเรียสเรื่องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมอยู่แล้ว”
“ลุงก็อยากให้เป็นอย่างนั้น”
“ถ้าดุจต้องเจอกับเรื่องที่ทำร้ายจิตใจขนาดนี้ ผมจะพาดุจไปอยู่ที่อื่น”
“ไม่ได้นะ” ก้องภพเสียงดัง
“คุณลุงไม่คิดว่ามันจะดีกับดุจมากกว่าเหรอครับ”
ก้องภพไม่พอใจนิดๆ “แล้วลุงล่ะ แม่ของดุจล่ะ ไม่สำคัญเลยเหรอ”
ปัฐวีอึ้งนิ่งงันไป
“เราเป็นครอบครัวนะ ยังไงเราก็ทิ้งกันไม่ได้...เธอต้องใจเย็นมากกว่านี้ ต้องอดทน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“คุณลุงแน่ใจเหรอครับ”
“แน่ใจซี เธอทำได้ดีมาตลอด ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไป”
ปัฐวีรับเอาคำทั้งที่คัดค้านอยู่ในใจ ด้วยยังไม่แน่ใจว่าเขาจะทำตามได้
ปานดาวพาภาคีเข้ามาในบ้าน และกำลังทายาแก้ช้ำที่หน้าใกล้ปากของภาคี อีกฝ่ายเจ็บแสบถึงกับสะดุ้งนิดๆ
“อยู่นิ่งๆ ซิคะ”
“ก็มันเจ็บอ่ะครับ”
“ถูกเขาต่อยมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว”
“เคยดูในหนัง มีวิธีทำไม่ให้เจ็บอยู่”
“ทำไงคะ”
“นางเอกเขาจะจูจุ๊บตรงที่พระเอกเจ็บ”
ปานดาวชะงักกึก หยุดทายาทันที “โอเคค่ะ เสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วเหรอครับ โธ่ กำลังเริ่มรู้สึกดี” ภาคีครวญ
ปานดาวเก็บยาใส่กระเป๋ายาหน้านิ่งมาก ลุกเดินเอาไปเก็บที่ตู้
“ขอโทษนะครับ ถ้าพี่ทำให้น้องป่านโกรธ”
“ป่านจะไปโกรธพี่ภาคีทำไมคะ พี่ช่วยไล่เขาให้ป่าน”
“น้องป่านทะเลาะกับเขาเรื่องอะไรเหรอครับ”
ปานดาวนิ่งคิด “ป่านเพิ่งรู้ว่า จริงๆแล้วเขาก็เป็นแค่ผู้ชายเลวๆ”
“เขาทำอะไรน้องป่านเหรอครับ”
“ทำในสิ่งที่พี่ภาคีไม่เคยคิดจะทำ”
ภาคีขมวดคิ้วนึกสงสัย ปานดาวหันมาเห็นพอดี ปิดตู้ยาแล้วเดินกลับมานั่งด้วย
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ชอบเสียมารยาท ทำตัววางโต นึกว่าตัวเองดีวิเศษ”
ภาคีนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ที่สุดตัดสินใจพูด
“รู้ไหมครับ เพราะน้องป่านเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแบบนี้ ถึงถูกคนเลวๆ คอยมารบกวนอยู่เรื่อยๆ”
ปานดาวไม่เก็ต “พี่ภาคี ตั้งใจจะบอกอะไรเหรอคะ”
“ถ้าน้องป่านมีผู้ชายดีๆ ซักคนมาอยู่เคียงข้าง รับรอง ไม่มีใครกล้ามากวนใจน้องป่านอีกแน่ๆ”
ปานดาวนิ่งไป รู้แล้วว่าภาคีมาไม้ไหน
“แล้วถ้าน้องป่านไม่รังเกียจ พี่จะขอเป็นผู้ชายคนนั้นเอง”
โดยไม่ทันให้ตั้งตัว ภาคีเอื้อมมือไปจับมือปานดาวมากุมไว้
“แต่งงานกับพี่นะครับน้องป่าน”
ปานดาว อึ้ง นิ่งไปครู่หนึ่ง “ป่านอาจไม่ดีพอสำหรับพี่”
“น้องป่านคือเจ้าหญิง คือนางฟ้า คือนางในฝันของพี่ นะครับ แต่งงานกับพี่”
ปานดาวอึกอัก “มันไม่เร็วไปเหรอคะ”
“เรารู้จักกันมาสองปีแล้วนะครับ” ปานดาวยังคงนิ่งอยู่ “เอางี้ เราหมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ได้ โอเคไหม พี่จะให้ผู้ใหญ่มาคุยกับพ่อแม่น้องป่านอีกทีนะ”
ปานดาวยิ้มเจื่อนๆ ให้ ภาคีดีใจ นึกว่าสาวเจ้ารับรักรับหมั้นแล้ว
ปัฐวีกลับไปแล้วครู่ใหญ่ ก้องภพนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หามาลัย
มาลัยกำลังจะออกไปข้างนอก โทรศัพท์ในกระเป๋าถือมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มาลัยล้วงหยิบขึ้นมาดู เห็นชื่อก้องภพ โทร.มา ก็อึ้งไปนิด แต่ก็กดรับสาย
“มาลัย นี่พี่เองนะ”
“ค่ะ มีอะไรเหรอ”
“ลูกดุจเป็นไงบ้าง”
“มาลัยเอาอาหารเข้าไปให้เมื่อกี้ เห็นนอนหลับอยู่”
“แล้วมาลัยเลิกขังลูกหรือยัง”
มาลัยนิ่งไปครู่หนึ่ง “พอดีมาลัยต้องออกไปข้างนอก มันจะไม่มีใครอยู่เฝ้าเขา เลยต้องใส่กุญแจห้องไว้ก่อน”
“โธ่ ไหนบอกจะปล่อยลูกวันนี้ไง”
“ก็บอกแล้วว่ามาลัยต้องออกไปข้างนอก”
“ไปไหนเหรอ”
มาลัยชะงัก “ไปซื้อยาให้มาลี ไม่ต้องห่วงน่าพี่ เดี๋ยวกลับมา มาลัยก็จะปล่อยเขาเอง”
“อย่าลืมนะ อย่ากดดันลูกมากเกินไป”
มาลัยหงุดหงิด “พี่ก็เอาใจเขามากเกินไป”
“พี่พูดจริงๆ นะ เมื่อกี้ปัฐวีมาหาพี่ พอเขารู้เรื่องว่ามาลัยทำแบบนั้นกับดุจ เขาก็ไม่พอใจมากเลย ถึงกับขู่ว่าจะพาดุจหนีไปอยู่ที่อื่น”
“ก็ให้มันลองทำดูซี มาลัยจะลากคอมันเข้าคุกเอง”
“มาลัย ไม่เอาน่า กับพวกเด็กๆ เราต้องใจเย็นๆ โอเคนะ กลับมาแล้วก็รีบปล่อยลูกซะ”
มาลัยนิ่งไปอีกนิด “ค่ะ แล้วมาลัยจะปล่อยเขาเอง”
ก้องภพวางสาย รู้สึกไม่สบายใจเอาเลย
ที่แท้มาลัยมาพบปกป้องที่บ้านของอีกฝ่าย สองคนหารือกันอยู่ในห้องรับแขก
“ถึงกับขังดุจเดือนไว้ในห้องแบบนั้น มันไม่โหดร้ายไปเหรอ”
ปกป้องตกใจมาก สงสารดุจเดือนก็ด้วย
“ก็เพราะลูกชายพี่นั่นแหละ ที่คิดจะทำอะไรกับดุจ นี่ก่อนมาลัยจะมานี่ เขาก็ไปหาพี่ก้อง ขู่ว่าจะมาพาดุจหนีไปอยู่ที่อื่นอีกนะ”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“ฉันถึงรีบมาหาพี่นี่ไง อยากจะปรึกษาว่า เราควรจะทำยังไงกันดี”
“เราก็ทำทุกอย่างแล้ว ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟังเลย ความรักมันรุนแรงเหลือเกิน”
“จะปล่อยให้มันเลยเถิดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราต้องหยุดพวกเขา”
“จะเอาไงล่ะ”
“มีวิธีเดียวเท่านั้นแหละพี่” มาลัยหยุด ปกป้องรอฟัง “เราต้องบอกความจริงให้ทั้งสองคนรู้”
ปกป้องอึ้งไป คิดไม่ออกว่าถ้าบอกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีกบ้าง
“บอกความจริงเหรอ”
มาลัยพยักหน้ารับหนักแน่นว่ามีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
เมื่อกลับถึงบ้าน มาลัยยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนดุจเดือนครู่หนึ่งแล้ว ถือลูกกุญแจในมือ สุดท้ายจับแม่กุญแจที่คล้องสายยูขึ้นมา แล้วเสียบลูกกุญแจเข้าไป ไขกุญแจที่ขังดุจเดือนออก
อีกฟากหนึ่ง ประตูห้องนอนปัฐวีเปิดเข้ามาโดยฝีมือปกป้องที่เดินเข้ามาในห้องลูก ปัฐวีนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กอยู่ที่โต๊ะ
“ปัฐ”
“ครับ”
“พ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยหน่อย”
มาลัยยื่นโทรศัพท์คืนให้ดุจเดือนที่นั่งอยู่บนเตียง พลางถาม
“ลูกเป็นยังไงบ้าง”
ดุจเดือนรับมือถือคืนมา นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ตอบอะไร
“แม่อยากให้ลูกรู้ ที่แม่ทำไป เพราะแม่รักลูก”
ดุจเดือนมองหน้าหนีไปทางอื่น
“มีอะไรบางอย่าง ที่แม่อยากให้ดุจรู้ แล้วดุจจะเข้าใจว่า ทำไมแม่ถึงต้องทำแบบนี้”
ดุจเดือนสะดุดหู ค่อยๆ หันมามองมาลัย
ปัฐวีมองปกป้อง รอฟังว่าพ่อจะพูดอะไร
“เมื่อลูกรู้เรื่องนี้แล้ว ลูกจะด่าว่าพ่อว่าเป็นคนเลวยังไงก็ได้”
ปัฐวีไม่เข้าใจ
ดุจเดือนเองก็รอฟังมาลัยพูด เพราะดูท่าทีแล้ว แม่ซีเรียสมาก
“แม่อยากให้ลูกรู้ ก่อนจะทำอะไรผิดๆ”
“อะไรคะแม่”
มาลัยกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงก้องภพดังขัดจังหวะเข้ามาก่อน
“พ่อกลับมาแล้วจ้า”
มาลัยชะงัก หันไปมอง ก้องภพเดินยิ้มเข้ามาในห้อง
“เห็นไหม พ่อบอกลูกแล้ว แม่เขาไม่ได้ใจร้าย”
ดุจเดือนนึกได้ถามมาลัยว่า “เมื่อกี้แม่จะบอกอะไรดุจเหรอคะ”
มาลัยอึกอัก หันไปมองหน้าก้องภพ ไม่กล้าพูดเรื่องที่จะบอกลูกสาวต่อหน้าเขา
ก้องภพลงมานั่งข้างๆ ดุจเดือน แล้วใช้มือข้างหนึ่งกอดดุจเดือนไว้
“รู้ไหม พ่อไม่อยากให้ผู้หญิงที่พ่อรักมากทั้งสองคน ต้องมามีเรื่องไม่เข้าใจกันแบบนี้ พ่อน่ะ หลงรักแม่เขา ตั้งแต่สมัยที่แม่เขาเรียนอยู่มัธยม” ก้องภพมองหน้ามาลัย “พ่อขี่จักรยานรับส่งแม่เขาอยู่หลายปี แต่แม่เขาเด็กกว่าพ่อหลายปี เลยไม่กล้าจีบ แม่เป็นรักแรก และรักเดียวของพ่อ”
ก้องภพยิ้มให้ มาลัยยิ่งอึดอัดฝืนยิ้มตอบไป
“เพราะรักแท้ที่พ่อแม่มีให้กัน ทำให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุขไงลูก ลูกก็เห็น พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงอย่างบางครอบครัว พ่อก็หวังว่าลูกจะเจอรักแท้แบบพ่อกับแม่เหมือนกัน” ก้องภพหันมาพูดกับมาลัยด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่อยากให้มาลัยเปิดโอกาสให้ปัฐวีบ้าง พี่เชื่อในตัวเขานะ”
มาลัยอึ้งไป พูดไม่ออก
ด้านปกป้องยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าปัฐวี
“ที่พ่อห้ามไม่ให้ลูก มีอะไรกับดุจเดือน ก็เพราะว่า...”
อีกฟากหนึ่งมาลัยเองก็ยืนอยู่ต่อหน้าดุจเดือน
“ที่แม่อยากจะบอกกับลูกก็คือ เรื่องของลูกกับปัฐวีน่ะ ลูกต้องค่อยๆ ดูกันไปก่อน อย่าด่วนชิงสุกก่อนห่าม ต้องให้เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณี วันนี้ ลูกต้องรับปากแม่ ห้ามมีอะไรเกินเลยกับเขา”
มาลัยจ้องตาดุจเดือนขึงขัง ผู้เป็นลูกจ้องตอบ
“ดุจรับปากค่ะแม่ ดุจเข้าใจดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควรค่ะ”
ก้องภพยิ้มโอบกอดดุจเดือนที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน ดุจเดือนก็ยิ้มมีความสุขที่แม่เปิดใจ
มีเพียงมาลัยหน้าตาเครียดอยู่คนเดียว
ปกป้องบอกออกไปในที่สุดว่า
“จริงๆ แล้ว คนที่เป็นพ่อของดุจเดือนจริงๆ ก็คือ พ่อเอง”
ปัฐวีตกตะลึงพรึงเพริด โลกถล่มลงตรงหน้าเขา
“มันคือเรื่องจริง พ่อได้กับมาลัย ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับพี่ก้องภพ เขาท้องลูกของพ่อ ดุจเดือนเป็นลูกของพ่ออีกคนนึง”
ปัฐวียากที่จะไม่เชื่อหรือยอมรับได้ “ไม่ ไม่จริง ผมไม่เชื่อ”
“มันจริง พ่อต้องบอกให้ปัฐรู้ ก่อนที่จะทำอะไรผิดๆ”
“ไม่ พ่อโกหก” ปัฐวีร้องไห้ออกมา “มันไม่ใช่เรื่องจริง”
ปัฐวีลุกขึ้น ปกป้องพยายามจะยื่นมือเข้าไปจับตัวลูก แต่ถูกปัดออกแล้ววิ่งหนีออกจากห้องนอนไปเลย
ปกป้องได้แต่เหลียวมองตาม เจ็บปวดรวดร้าวในใจสุดจะประมาณ
ปัฐวีวิ่งเตลิดออกมาทางสวนหลังบ้าน ทรุดตัวลงกับพื้นสนามสะอื้นไห้อย่างคนหัวใจสลาย
“ดุจ...ไม่...ไม่จริง”
ปัฐวีทรุดตัวร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ฟากดุจเดือนอยู่ในห้องนอนเพียงลำพังแล้ว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาปัฐวี
ในห้องนอนปัฐวีไม่มีใครอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของปัฐวีที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น
ดุจเดือนรอสายอยู่ครู่หนึ่ง แปลกใจนิดๆ ที่ปฐวีไม่ยอมรับสาย จึงเปิดเข้าไลน์ ส่งข้อความหาปัฐวีว่า
“ข่าวดี แม่ไม่กีดกันเราแล้ว”
เมื่อส่งข้อความไปแล้ว ดุจเดือนมองจอนิ่งๆ โดยหวังว่าจะมีข้อความแสดงความดีใจของปัฐวีตอบกลับมา แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบงัน ดุจเดือนแปลกมากขึ้น
ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของปกป้องดังขึ้น ปกป้องเดินมาหยิบกดรับสาย
“ว่าไง มาลัย”
มาลัยหลบมาแอบพูดโทรศัพท์อยู่ที่ครัว
“พี่ป้อง เรื่องที่จะบอกลูกน่ะ มาลัยยังบอกเขาไม่ได้นะ”
“ว่าไงนะ”
“พอดีพี่ก้องเขากลับมาก่อน เลยพูดไม่ได้”
“แต่ว่าพี่บอกปัฐไปแล้วนะ”
“งั้นเหรอ แล้วเขา...เป็นยังไงบ้าง”
“ก็แย่ วิ่งออกจากบ้านไปเลย ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไง”
มาลัยนิ่งไปนิด “ถ้างั้นมาลัยก็คงไม่ต้องบอกดุจแล้ว ลูกพี่เขาน่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับดุจไปเอง”
“แล้วแต่มาลัย ก็แล้วกัน”
“พี่ป้อง ช่วยบอกปัฐวีด้วยว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร รวมทั้งดุจเดือนด้วย ฉันไม่อยากมีปัญหากับพี่ก้อง”
“แล้วพี่จะบอกให้”
มาลัยกดวางสาย ถอนใจคล้ายจะโล่งอก ที่ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับลูก
ปกป้องนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก สีหน้าอมทุกข์ยังกังวลเรื่องปัฐวีไม่หาย ไม่นานนักก็เห็นปัฐวีเดินกลับเข้ามาในบ้าน ดวงตาบวมช้ำเพราะร้องไห้หนักมาก พอเห็นลูก ปกป้องก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
“ปัฐ”
ปัฐวีหยุดชะงัก มองหน้าปกป้อง แต่ไม่พูดอะไร
“เรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังน่ะ ขอให้เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ เพื่อเห็นแก่แม่เรากับดุจเดือน พ่อไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องเสียใจ”
ปัฐวีมองจ้องผู้เป็นพ่ออย่างชิงชัง “ผมก็ไม่อยากป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หรอกครับ ว่าผมกำลังรักกับน้องสาวของตัวเอง”
ปัฐวีเดินผ่านปกป้องราวกับเห็นเป็นอากาศธาตุ ขึ้นบ้านไปเลย ปกป้องเหลียวมองตามไปสงสารลูกเหลือเกินแต่ไม่รู้จะทำไงได้ และรู้สึกแย่เอามากๆ
ปัฐวีเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ตรงมานอนลงบนเตียง มองเพดานนิ่ง ความเจ็บปวด ความเสียใจ แล่นเข้าสู่หัวใจเป็นริ้วๆ น้ำตาปัฐวีหยดรินออกมาเป็นสายที่หางตา
ชายหนุ่มนอนดื่มกินความปวดร้าว หัวใจแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดีอยู่บนเตียงนิ่งนาน
อ่านต่อตอนที่ 15