บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 10
เช้าวันนี้ ปานดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้โฮมสเตย์ มีโน้ตบุ๊คเปิดอยู่ตรงหน้า ปานดาวไล่สายตาอ่านข้อมูลในจอนิ่งนาน แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ในจอเป็นบัญชีแสดงผลกำไรขาดทุน รายเดือน เดือนสุดท้ายมีกำไรเป็นหลักพัน
ตัวเลขเดือนก่อนๆ ติดลบทั้งสิ้น แม้จะไม่สูงมาก แต่ก็ขาดทุนอยู่ดี ปานดาวมองจ้องจอ ใช้ความคิดหนัก จนมีเสียงภาคีดังเข้ามา
“น้องป่านครับ”
ปานดาวรู้สึกตัวหันไปมอง เห็นภาคียืนยิ้มเผล่ ในมือถือถุงขนมของฝากเช่นเคย
“สวัสดีครับ”
ปานดาวมองทักภาคีนิ่งๆ “มาแต่เช้าเลยนะคะ”
“พี่ฝืนความคิดถึงของหัวใจไม่ได้น่ะครับ”
ปานดาวประชด “คิดนานไหมคะ ประโยคนี้”
“ไม่ต้องคิดเลยครับ เพราะมันออกมาจากหัวใจจริงๆ”
ปานดาวมองภาคีนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ภาคียืนยิ้มอยู่อย่างนั้น
“พี่ภาคีคะ ป่านขอยืมเงินซักสองล้านได้ไหมคะ
ภาคีหุบยิ้มทันที “ยังไงนะครับ”
“ป่านต้องการเงินสองล้าน ป่านรู้ว่าเงินแค่นี้คุณมีอยู่แล้ว ให้ป่านยืมได้ไหมคะ”
“น้องป่านจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“จะเอาไปลงทุนค่ะ”
“เอ่อ...ลงทุนอะไรเหรอครับ”
“ทำไมต้องถามด้วยล่ะคะ”
ภาคีหน้าเจื่อนๆ “แหม ก็ เงินสองล้านมันไม่ใช่น้อยๆ นะครับ”
“ค่ะ แต่ธุรกิจที่ป่านจะลงทุน ก็สามารถคืนทุนได้ภายในสองปีแน่นอน”
“แล้วมันธุรกิจอะไรล่ะครับ”
ปานดาวมองภาคีนิ่งไป “รู้ไหมคะ มีคนๆ นึงเขาพร้อมจะให้ป่านยืม โดยไม่คิดจะถามอะไรทั้งนั้น”
“ใครเหรอครับ”
“ถามอีกแล้ว จะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่สำคัญคือ เขาไว้ใจป่าน...ไม่เหมือนพี่”
“เดี๋ยวซีครับ ก็อยู่ดีๆ ป่านเล่นถามพี่แบบนี้ พี่ยังไม่ทันตั้งตัว”
“ป่านถามจริงๆ เหอะ พี่มาจีบป่านไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ไว้ใจกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตได้ยังไง ขอตัวนะคะ ป่านงานเยอะ ไม่มีเวลาคุยด้วย”
ปานดาวปิดโน้ตบุ๊ค แล้วหอบเดินออกไปเลย ภาคีได้แต่อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก
ภาคีเดินจากโฮมสเตย์มาถึงบ้านครอบครัวปานดาว ซึ่งปกป้องบริหารร่างกายอยู่หน้าบ้าน พอได้ยินเสียงก็หันไปดู
ภาคีไหว้ “สวัสดีครับ”
ปกป้องรับไหว้ “เอ้อ สวัสดีภาคี”
“เอ่อ...คุณแม่ดาวรายอยู่ไหมครับ”
“ดาวเขาไม่อยู่ ไปช็อปปิ้ง”
ภาคีคิดไม่ตกว่าจะพูดกับปกป้องดีมั้ย
“มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“อยากปรึกษาคุณแม่ดาวน่ะครับ เรื่องน้องป่าน”
ปกป้องตกใจนิดๆ “ทำไม ป่านเป็นอะไร”
ในเวลาต่อมา ปกป้องเชิญภาคีมานั่งคุยกันในบ้าน
“ให้ยืมตั้งสองล้าน โดยไม่ถามอะไรเลย คนแบบไหนกันเนี่ย”
“นั่นซีครับ ผมว่าท่าทางไม่ค่อยดี”
“แล้วไอ้คนนี้มันใคร”
“น้องป่านไม่ยอมบอกผมครับ แต่ผมพอจะเดาได้ มันต้องเป็นนายชยพล ลูกของศัตรูคุณแม่ดาวแน่ๆเลยครับ”
ปกป้องอึ้งไปชั่วขณะ “ลูกมาลาจะให้เงินป่านยืมตั้งสองล้านงั้นเหรอ”
“คุณพ่อจะยอมไม่ได้นะครับ มันต้องคิดอะไรไม่ดีแน่ๆ ไม่แน่ เรื่องนี้อาจทำให้คุณพ่อกับคุณแม่เดือดร้อนไปด้วยก็ได้นะครับ”
ปกป้องไม่ได้คิดอย่างภาคี แต่กลับคิดสงสัยว่าลูกของมาลาพยายามทำอะไรแน่
“เดี๋ยวจะลองถามแม่ชยพลดู ขอบใจนะที่มาบอก”
ปกป้องหาชื่อและเบอร์มาลาที่เมมไว้ในมือถือโทร จนหาเจอ
“มาลา...มาลา อ้า เจอแล้ว”
ปกป้องรีบกดโทร.ออกทันที แล้วถือหูรอจนเสียงสัญญาณรอสายหยุด แสดงว่าอีกฝั่งกดรับสาย
“ฮัลโหล มาลาใช่ไหม”
เสียงพันลือดังลอดออกมา “มาลาไม่อยู่ นั่นใครเหรอ”
ปกป้องชะงัก ลังเล “เอ่อ...เปล่าครับ”
อีกฟากที่บ้านมาลา พันลือรู้สึกทะแม่งๆ หู คุ้นกับเสียงนี้นัก
พันลือถามไปว่า “พี่ชัยเหรอ”
ปกป้องบอก “เอ่อ ไม่ใช่ครับ”
พันลือตาลุกวาว เสียงขุ่นทันที “จำได้แล้ว ไอ้ป้องใช่ไหม จะคุยอะไรกับมาลา”
ปกป้องอึกอัก
“ว่าไง จะมาคุยจีบเมียกูเหรอ”
ปกป้องโมโห “เปล่าเว๊ย ฉันอยากจะคุยเรื่องลูกกับมาลา ดีเหมือนกัน ได้คุยกับนายก็ดี”
“เรื่องอะไร”
“รู้ไหมลูกชายของนาย มายุ่งกับลูกสาวฉัน”
พันลือนิ่งงันไปชั่วครู่ ตัวเองก็ห่วงเรื่องชลกร แต่แกล้งวางฟอร์ม “ก็อย่างที่โบราณว่า มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน คนมีลูกสาวก็ต้องรู้จักระวัง คอยสั่งสอนลูกตัวเองให้ดี ผู้ชายน่ะ มันก็ส่ายหัวหาสาวเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้พูดเล่น ดาวรายน่ะเขาเกลียดลูกแกยังกับอะไร ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้”
“ฉันก็เกลียดลูกแกยังกับขี้เหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็ห้ามพวกมันซี จะบอกให้รู้ไว้นะ ไอ้ชยพลลูกชายแกน่ะ อยู่ดีๆ มันจะให้ลูกฉันยืมเงินสองล้าน นายรู้เรื่องบ้างไหม”
พันลืออึ้งไปเลย “ไม่”
“งั้นก็รู้ไว้ซะ มีลูกชายถ้าไม่ระวัง มันก็อาจทำพ่อแม่หมดตัวได้เหมือนกัน”
พันลือหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน
พันลือเดินหน้าตึงท่าทางหงุดหงิดเข้ามาในล็อบบี้โฮมสเตย์ มองหาหันไปถามพนักงานนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“คุณดาวรายอยู่ไหม”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“ไปไหนเหรอ จะกลับเมื่อไหร่”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
ปานวาดเดินเข้ามาพอดี
“มาหาแม่เหรอคะ”
พันลือหันมา นิ่งไปนิดหน่อยเมื่อเห็นปานวาด
“แม่ไปธุระค่ะ คุณลุงจะมาพบแม่เรื่องอะไรคะ”
“หนูเป็นลูกเขาเหรอ”
“ค่ะ หนูชื่อปอ”
พันลือนิ่งงันไป ไม่เคยเจอมาก่อน “ปานวาดใช่ไหม ลูกคนรอง”
“ใช่ค่ะ”
“ฉันพันลือ ฉันเป็น เพื่อนของแม่หนู”
ปานวาดไหว้ “สวัสดีค่ะลุงพันลือ”
พันลือรับไหว้ ตายังมองปานวาดนิ่งอยู่ จนปานวาดออกอาการอึดอัด
“มีอะไรฝากหนูก็ได้ค่ะ แล้วจะบอกแม่ให้”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก ได้เจอหนูก็ดีแล้ว หนูทำงานอยู่ที่นี่เหรอ”
“ค่ะ แต่ถ้าว่างก็ไปช่วยกลุ่มแม่บ้านทำดอกไม้ประดิษฐ์ขาย”
พันลือยิ้มชม “ขยันจังเลย แล้วเหนื่อยไหม ทำงานหลายอย่างเนี่ย”
“ที่ผ่านมาก็ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แต่ช่วงนี้มีงานเพิ่มเลยเหนื่อยหน่อย”
“งานอะไรเหรอ”
“เป็นนางแบบรับเชิญให้หนังสือของเพื่อนน่ะค่ะ”
“เป็นนางแบบเลยเหรอ” พันลือยิ้มขำๆ “หนังสืออะไร”
“นิตยสารท่องเที่ยวค่ะ เพื่อนหนูเป็นช่างภาพนิตยสารที่นี่”
พันลือหุบยิ้ม นิ่งกันไปเลย “ชลกร”
“ค่ะ” ปานวาดแปลกใจ “คุณลุงรู้ได้ยังไงคะ”
“ชลกรเป็นลูกฉัน”
ปานวาดยิ้มดีใจ ไหว้อีกครั้ง
“อุ๊ย งั้นสวัสดีคุณพ่ออีกครั้งค่ะ”
คราวนี้พันลือไม่รับไหว้ และไม่ยิ้มด้วย ปานวาดเริ่มรู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ค่อยดีแน่
“ฉันดีใจนะที่ได้เจอหนู ดีใจมากจริงๆ แต่อยากจะขอร้อง หนูอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชลกรได้ไหม”
“ทำไมเหรอคะ ถ้าเรื่องที่แม่หนูกับแม่ชลมีปัญหากัน หนูว่า...”
“หนูกับชลจะยุ่งเกี่ยวกันไม่ได้” พันลืออ้อมแอ้มอึกอัก “สองคนไม่เหมาะสมกัน ลุงขอร้องนะ ความรักของหนูสองคน จะไม่มีวันเป็นจริง ลุงพูดได้แค่นี้”
ปานวาดงุนงงกับคำพูดนั้น
“แล้ววันนึงหนูจะรู้ว่าทำไม”
พันลือเดินออกไปเลย ทิ้งให้ปานวาดงุนงงสับสนไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น
ในห้องอาหารบ้านพันลือ มาลา มาลา ชลกร และชยพล นั่งกินมื้อค่ำอยู่ด้วยกัน สักครู่หนึ่งพันลือเดินเข้ามาในนั้น
“ทานข้าวจ้ะพี่”
พันลือยังไม่เข้าไปนั่ง แต่มองหน้าลูกชายทั้งสอง “รู้ไหม วันนี้พ่อไปเจอใครมา”
ทุกคนรอฟัง แต่จากสีหน้ามึนตังของพันลือ ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี
“พ่อเจอนายปกป้อง” มาลาชะงัก เงยหน้ามองพันลือเต็มๆ ตา “พ่อของผู้หญิงที่แกสองคนกำลังไปยุ่งด้วย ชล พ่อขอห้ามเด็ดขาด อย่าไปยุ่งกับปานวาด แล้วสำหรับแก เจ้าพล แกคิดจะทำอะไร จะเอาเงินไปให้เขายืมตั้งสองล้าน เงินนั่นมันสมบัติของปู่กับย่า”
ชยพลอ้างว่า “มันเป็นเรื่องของธุรกิจน่ะพ่อ ให้เขายืมสองล้าน สองปี ผมจะเอากลับคืนมาสามล้าน”
“ฉันไม่เชื่อ แกหว่านเงินเพื่อหวังจะซื้อใจเขาต่างหาก ทำไมฉันจะไม่รู้นิสัยแก”
ชยพลเซ็ง ยังไม่ทันจะตอบโต้อะไร เพราะพันลือเปลี่ยนเป้าหันมาเฉ่งชลกร
“โดยเฉพาะแกนะเจ้าชล อย่าให้พ่อรู้ว่าแกยังไปยุ่งกับปานวาดอีก”
“ถ้าพ่อได้รู้จัก ปอ หรือปานวาดน่ะ พ่อจะต้องชอบ เขาเป็นคนดีมากๆ เป็นคนมีน้ำใจ คิดถึงแต่คนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว ยอมลำบากเพื่อแม่บ้านในชุมชน ผมรับรองได้ว่า เขาไม่เหมือนกับพ่อแม่เขา ที่พ่อกับแม่เกลียดซักนิด” ชลกรอธิบาย
“แกกำลังหลงเขา ก็มองเขาดีไปหมด ลูกไม้มันหล่นไม่ไกลต้นหรอก ไม่เคยได้ยินเหรอ ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่น่ะ ถามแม่แกซี นังดาวรายมันร้ายขนาดไหน”
“ไอ้สุภาษิตที่พ่อพูดน่ะมันโบราณ สมัยนี้มันยุคอะไรแล้ว ยุคไอที อินเตอร์เน็ต สมัยพ่อส่งจดหมายหากัน ต้องรอเป็นอาทิตย์ สมัยนี้ใช้อีเมลเขียนปุ๊บ ได้อ่านปั๊บ โลกมันเปลี่ยนไปแล้วพ่อ”
“โลกไม่เคยเปลี่ยนหรอก ความเลวของคนน่ะ มันยิ่งหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ แกต้องเชื่อพ่อ ต้องเลิกยุ่งกับเขาตั้งแต่วันนี้”
ชลกรฉุนขาดลุกขึ้น “ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วพ่อ ผมรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ผมตัดสินใจของผมเองได้ว่าจะรักใคร”
จากนั้นชลกรก็เดินออกจากห้องอาหารไปเลย
มาลาตำหนิพันลือ “ดูซิ ลูกยังกินข้าวไม่เสร็จเลย”
“อยากได้ลูกดาวรายมาเป็นสะใภ้งั้นเหรอ” พันลือพาล
“พี่ก็รู้ว่ามาลาคิดยังไง”
มาลาโมโหลุกขึ้น ออกจากห้องอาหารไปอีกคน
พันลือหงุดหงิดทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างแรง ชลกรลอบมอง
ชลกรทิ้งตัวลงบนเตียง ด้วยอาการหงุดหงิดเต็มที่ สักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชลกรลุกขึ้น แล้วเดินไปเปิดประตู เห็นมาลายืนอยู่หน้าห้อง
“แม่อยากคุยด้วย”
ชลกรนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงถอยให้มาลาเข้ามาในห้อง ประตูห้องยังเปิดแง้มอยู่นิดๆ มาลานั่งลงที่เตียง แล้วตบที่ข้างๆ เรียกให้ลูกมานั่ง ชลกรเข้ามานั่งข้างๆ แม่
“ถึงจะเปลี่ยนคนมากล่อม ก็เปลี่ยนใจผมไม่ได้หรอก”
“เหรอ แล้วตอนเล็กๆ ใครนะ ก่อนนอนพูดแต่ แม่กล่อมหน่อย แม่กล่อมหน่อย” มาลาพยายามสร้างบรรกาศ เพื่อให้ลูกชายอารมณ์ดีขึ้น
“โธ่ แม่”
“แม่แค่อยากพูดอะไรให้ชลฟัง แล้วชลจะตัดสินใจยังไง ก็แล้วแต่ชล”
ชลกรนิ่งไป
“ที่บ้านเรามีปัญหากับบ้านลุงป้องน่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของตากับยาย มันเป็นเรื่องของแม่ด้วย”
ชลกรหันมามองแม่
ระหว่างนี้ชยพลเดินขึ้นบ้านมาที่โถงหน้าห้องชลกร และแอบฟังแม่กับพี่คุยกัน
“ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อลูก แม่รักกับลุงปกป้องมาก่อน”
ชยพลเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจากมาลัย จึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ชลกรเพิ่งรู้ เขามองหน้าอย่างประหลาดใจ
“จริงเหรอครับ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
มาลาพยักหน้ารับ “เขาทิ้งแม่ คงเป็นเพราะพี่ชายเขาจมน้ำตายเพราะลงไปช่วยน้ามาลี ทำให้เราสองบ้านเข้าหน้ากันไม่ติด จากที่ไม่ชอบกันอยู่แล้วก็เลยหนักเข้าไปใหญ่ เขาก็เลยเปลี่ยนใจไปรักดาวราย แต่ดาวรายก็ระแวงแม่ตลอด”
“เรื่องมันผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วนะครับ”
“แม่ก็คิดว่าความบาดหมางมันควรจะยุติไปได้แล้ว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น แม่เพิ่งเจอกับดาวรายเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็ยังเกลียดชังแม่ คิดว่าแม่จะแย่งสามีเขา คิดว่าแม่เป็นศัตรูของเขา”
ชยพลได้ยินถึงกับกำมือแน่น แค้นแทนแม่
“แล้วผมไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะครับ” ชลกรถาม
“ลูกคิดว่า ถ้าลูกกับปานวาดแต่งงานกันจริงๆ จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ถ้าทั้งพ่อตาแม่ยาย กับพ่อตัวแม่ตัวเป็นศัตรูกัน ลูกกับหนูปานวาดจะมีความสุขได้ได้เหรอชล”
ชลกรอึ้ง นิ่งงันไปเลย
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 10 (ต่อ)
อีกฟาก ภายในห้องรับแขกบ้านดาวราย ปานดาวนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค กำลังเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับโฮมสเตย์ที่อื่นๆ สักครู่หนึ่งปกป้องเพิ่งกลับ เดินเข้ามาในบ้าน หิ้วถุงอาหารมา 2-3 อย่าง พอเห็นปานดาว ก็เดินมาหาวางถุงลงนั่งด้วย
“ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม พ่อซื้อของโปรดป่านมาให้”
“ยังค่ะ แต่ก็ยังไม่หิวด้วย”
“แล้วคนอื่นล่ะ กลับมากันหรือยัง ปัฐล่ะ”
“พี่ปัฐเขากลับดึกค่ะ กว่าจะเข้าบ้านทุกคนหลับหมดแล้ว”
ปกป้องนิ่งคิด “ป่านรู้เรื่องดุจเดือนไหม เขายังคบหากันอยู่หรือเปล่า”
“ป่านไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ พี่ปัฐเขาก็ไม่เล่าให้ฟังด้วย แต่ได้ยินจากพวกแม่ค้าในตลาดน้ำว่า ละครที่มาถ่ายที่นี่ ที่พี่ดุจเขาทำอยู่ใกล้จะปิดกล้องแล้ว”
ปกป้องพยักหน้ารับ เงียบไปอีกเหมือนคิดอะไรอยู่ สุดท้ายตัดสินใจถาม
“ภาคีเขาเล่าให้พ่อฟัง เรื่องที่นายชยพลจะให้ลูกยืมเงินสองล้าน”
“เขามาเล่าให้พ่อฟังเหรอ” ปานดาวฮึดฮัด ไม่ชอบใจเอามากๆ “เหมือนเด็กขี้ฟ้องเลย แล้วเขารู้ได้ไงว่าเป็นคุณพล ป่านไม่ได้บอกซะหน่อย”
“แล้วใช่ไหมล่ะ”
“เขาอยากให้ป่านเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของเขา มีพวกญี่ปุ่นอยากทำโฮมสเตย์ เขาอยากได้ประสบการณ์ของป่าน”
ปกป้องซักไซ้ “แค่นั้นเหรอ”
ปานดาวเริ่มหัวเสีย “แล้วจะให้แค่ไหนล่ะคะ”
“พ่อแค่อยากให้ลูกระวัง เงินสองล้านน่ะมันไม่ใช่น้อย ไม่มีใครให้คนอื่นยืมง่ายๆ หรอก นอกจากคิดจะหลอก”
ปานดาวบอกอย่างถือดี “ป่านระวังอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“แต่พ่อว่า ทางที่ดีไม่ควรจะไปยุ่งกับลูกบ้านนั้น ปลอดภัยที่สุด”
ปานดาวนิ่งไป ปกป้องรอฟังคำตอบอีกครู่เดียว แต่เมื่อปานดาวไม่พูดอะไร จึงลุกขึ้น หิ้วถุงกับข้าวเข้าครัวไป พลางบอก
“หิวก็มากินนะ”
ชยพลลงมาข้างล่างเดินเข้ามาในครัวรินน้ำเย็นใส่แก้ว ยกดื่ม สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด จนเห็นชลกรเดินเข้ามาในนี้
“หิวล่ะซิ มื้อเย็นกินได้แค่ครึ่งจาน”
“มีอะไรเบาๆ เหลือไหม”
“เหลือขนมจีบในตู้เย็น เอาไหม จะอุ่นให้”
“ก็ดี”
ชลกรเข้าไปนั่งเกาอี้ ชยพลเปิดตู้เย็นหยิบถุงขนมจีบออกมาจัดใส่จาน
“ฉันเพิ่งรู้ว่าปัญหาของแม่กับบ้านปานวาดคืออะไร”
“พ่อเขาเป็นแฟนเก่าแม่เรา ผมรู้แล้วล่ะ” พลางเอาขนมจีบใส่ในไมโครเวฟปิดแล้วตั้งเวฟ
“แม่น่าสงสารมากเลย จริงๆ น่าจะเป็นบ้านเราต่างหากที่โกรธแค้นบ้านโน้น”
ชยพลนิ่งไปครู่หนึ่ง “ใช่”
“แล้วโดนพ่อสั่งขนาดนี้ นายจะเอาไงต่อ กับน้องป่านน่ะ”
“แล้วพี่ล่ะ เอาไงต่อ”
ชลกรแทบไม่ต้องคิด “ฉันเลิกกับปอไม่ได้”
“สำหรับผม ผมมีคำตอบแล้ว ว่าจะเอาไงต่อ”
เสียงโครเวฟดังขึ้นพอดี ชยพลเดินไปเปิดหยิบจานขนมจีบมาวางตรงหน้าชลกร แล้วหันไปหยิบขวดจิ๊กโฉ่มาวางให้ด้วย
“กินให้อร่อยนะ”
ชยพลยิ้มให้พี่ชายแล้วเดินออกจากครัวไปเลย
“เฮ้ย เดี๋ยวซี ยังไมบอกเลย นายจะเอาไง”
ตอนเช้า มาลากำลังปัดเช็ดฝุ่นอยู่ในบ้าน พันลือลงบันไดมา พอเห็นชะงักนิดๆ แล้วเดินเข้ามาหา
“เมื่อคืนคุยกับลูกแล้วเขาว่าไง”
“พูดดีๆ เขาก็รับฟัง ถ้าไม่ใช้อารมณ์” มาลาตำหนิในที
พันลืออึ้ง “แล้วรู้ไหม ทำไมพี่ถึงมีอารมณ์”
มาลามองเป็นเชิงถาม
“เพราะตอนกลางวัน ไอ้ป้องมันโทร.เข้ามือถือมาลา”
มาลาอึ้งบ้าง
“แล้วสิ่งที่มันบอกก็คือ ไม่ต้องการให้ลูกเราไปยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวมัน พี่ถึงได้โมโหไง” พันลือมองจ้องหน้ามาลา “ทำไมน่ะเหรอ นอกจากนัดแนะแอบไปเจอกันแล้ว ยังแอบโทร.หากันมากี่ครั้งแล้ว”
มาลาไม่ค่อยพอใจนัก “พี่พันลือ พูดแบบนี้อีกแล้วนะ”
“ก็พูดมาซี อะไรจริงไม่จริง”
“มาลาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพี่ป้องแล้ว เรื่องโทรศัพท์นั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาโทร.มา มาลากับพี่ป้องไม่ได้มีอะไรกัน ถ้าจะไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้”
พันลืออึ้งไปชั่วขณะ “เชื่ออยู่แล้ว”
“มาลาไม่ต้องการยุ่งกับพวกเขา คิดไม่ถึงเหมือนกัน ที่ลูกดันไปยุ่งกับลูกเขา อุตส่าห์หนีออกมาแล้ว ยังต้องวนไปเกี่ยวข้องกันอีก”
พันลือเห็นท่าทีมาลาหนักใจมากขนาดนั้น ก็พอจะเชื่อได้ว่า มาลาไม่ไปยุ่งกับปกป้องแน่
ฝ่ายปกป้องพาตัวเองเดินเข้ามาในบริเวณกองถ่ายละคร สอดตามองไปทั่ว สุดท้ายเดินเข้าไปถามทีมงานกองถ่ายคนหนึ่ง คนในกองถ่ายชี้ไปที่บริเวณที่พักกองถ่าย ปกป้องพยักหน้าขอบคุณ แล้วเดินไปตามทิศที่ถูกชี้บอก
ปกป้องเดินมาจนถึงที่พักกองถ่ายฝ่ายเสื้อผ้า หยุดมองเข้าไปภายใน เห็นดุจเดือนกับผู้ช่วยกำลังเตรียมเสื้อผ้าสำหรับถ่ายทำกันอยู่
ปกป้องมองไปที่ดุจเดือนนิ่งนาน นั่นคือลูกสาวอีกคนของเขา ชั่วขณะหนึ่งนั้นความรู้สึกตื้นตันใจแล่นเป็นริ้วจับขั้วหัวใจ จนน้ำตาไหลรินออกมา
ผู้ช่วยหันมาเห็นก่อน เลยสะกิดดุจเดือนให้ดู ดุจเดือนหันมามองตาม เห็นปกป้องมองจ้องเธออยู่ปกป้องรู้ตัวจึงหันหนีแอบเช็ดน้ำตา ดุจเดือนเดินเข้ามาหา
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
ปกป้องยิ้มทัก คำพูดที่เตรียมเอาไว้ลืมไปหมดสิ้น
“มาหาใครหรือเปล่าคะ”
“ดุจเดือนใช่ไหม”
ดุจเดือนแปลกใจ “ค่ะ มาหาหนูเหรอคะ”
“คือฉัน...ฉันเป็นพ่อของ” ปกป้องกระอึกกระอัก ทำท่าเหมือนจะบอกว่าเป็นพ่อแต่สุดท้ายกลับบอกว่า “ปัฐวี”
“เหรอคะ” ดุจเดือนไหว้ทัก “สวัสดีค่ะ”
“ปัฐมาที่นี่หรือเปล่า”
“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มาแล้วค่ะ เขาต้องทำงาน”
“ใช่ แต่ก่อนเขาก็ทำงานที่โฮมสเตย์ที่บ้าน แต่ตอนนี้ออกไปทำงานนอกบ้าน”
“คุณลุงจะหาปัฐเหรอคะ”
“เอ่อ...ไม่หรอก ฉันตั้งใจมาหาหนูมากกว่า”
ดุจเดือนอึ้งไป นึกสงสัยว่าปกป้องอยากพบเธอเรื่องอะไร แต่ประเมินแล้วคงไม่พ้นเรื่องที่เธอคบหากับปัฐวี
“อยากจะถามว่า เรื่องของหนูกับปัฐ ตอนนี้เป็นยังไง”
“ปัฐเป็นเพื่อนที่ดีของหนูค่ะ”
“แค่นั้นเหรอ”
“เราเข้าใจกันค่ะ”
“หยุดมันไว้แค่นั้นนะ แค่เพื่อนที่ดี อย่าเลยไปกว่านั้น”
ดุจเดือนชักไม่ค่อยพอใจ “หนูคิดว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องของเราสองคน”
“อย่าเพิ่งโกรธซี ฉันแค่อยากบอกว่า ปัฐไม่เหมาะสมกับหนูหรอกนะ วันนึงข้างหน้า หนูจะได้เจอคนที่ดีมากกว่าปัฐ”
“คุณลุงไม่ควรพูดถึงลูกคุณแบบนั้น”
“แต่ฉันต้องพูด เธอสองคนไม่เหมาะสมกัน”
ดุจเดือนเริ่มโกรธ “เรื่องนั้นให้เราตัดสินใจกันเองดีกว่าค่ะ”
“รู้ไว้ด้วยนะ ฉันปรารถนาดีต่อหนู ไม่อยากให้หนูต้องเสียใจทีหลัง”
ดุจเดือนมองปกป้อง คิดว่าปกป้องก็คงไม่ต่างจากมาลัย ที่ต้องการกีดกันไม่ให้สองคนรักกัน
“ต้องขอโทษนะคะ หนูมีงานต้องทำ”
ดุจเดือนหันกลับเดินไปจัดเตรียมเสื้อผ้าของเธอต่อไป
ปกป้องยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้ามีแววหดหู่ หวาดกลัว และกังวลอยู่เต็ม เดินคอตกออกไปจากบริเวณนั้นเงียบๆ
ทางด้านปานวาดมาตามนัด แต่งหน้าทำผมแต่งตัวเสร็จแล้ว เดินเข้ามาในสตูดิโอถ่ายรูปกับฉากเขียวที่ทีมงานเซ็ตไว้แล้ว โดยมีชลกรเป็นช่างภาพ ท่าทีดูซึมๆ ไม่มีชีวิตชีวา เหตุเพราะคำพูดพันลือวันก่อน แม้ชลกรจะพยายามบอกให้ยิ้ม และโพสท่าให้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่เป็นอยู่ ปานวาดก็ทำตามนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ซึมลงไปอีก ชลกรมองเป็นห่วงปานวาด
ช่วงพักเที่ยง ปานวาดกับชลกรนั่งกินข้าวกล่องกันอยู่อีกมุมหนึ่งในออฟฟิศสำนักพิมพ์
“ขอโทษนะ สงสัยวันนี้งานของชลใช้ไม่ได้แน่ๆ”
“ช่างหัวมันเหอะเรื่องงานน่ะ ผมห่วงปอมากกว่า” สองคนมองตากัน “มีปัญหาอะไรเหรอ”
ปานวาดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อวานพ่อของชลไปที่โฮมสเตย์”
ชลกรไม่พอใจขึ้นมาทันที “เขาไปที่นั่นเหรอ เจอกับปอหรือเปล่า”
ปานวาดพยักหน้ารับ
“เขาต้องพูดไม่ดีกับปอแน่ๆ มิน่า ปอถึงได้เป็นแบบนี้ แล้วเมื่อคืนเขาก็ไปโวยวายกับผม แต่ไม่พูดซักคำว่าไปทำอะไรแย่ๆ ใส่ปอ”
“ไม่หรอกชล ไม่มีอะไรอย่างนั้น จริงๆ แล้วตรงกันข้ามเลย พ่อของชลสุภาพกับปอมากๆ เขาทำเหมือนกับเขาเป็น เป็นพ่อของปอเอง”
ชลกรอึ้งไปชั่วขณะ แทบไม่เชื่อ “พ่อผม สุภาพเป็นด้วยเหรอ”
“แต่ยิ่งเขาพูดดีกับปอ ก็ยิ่งทำให้ปอรู้สึกผิด”
“รู้สึกผิดเรื่องอะไร”
“เขาขอให้ปอเลิกยุ่งกับชล แล้วตอนนี้ ปอกำลังรู้สึกผิดที่ทำตามที่เขาขอไม่ได้”
“นี่ใช่ไหม ที่ทำให้ปอไม่มีความสุขตลอดเช้านี้”
ปานวาดพยักหน้ารับ
“ทำยังไงพวกเขาถึงจะเลิกยุ่งกับเรานะ”
“เราก็คงต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกันมั้ง”
ชลกรนิ่งคิดไปนิด “งั้นก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ปานวาดตกใจ “ต่อจากนี้ เราจะทำให้พวกเขาคิดว่า” ชลกรมองตาปานวาด “เราตัดสินใจเลิกยุ่งเกี่ยวกัน เราจะทำตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ”
ปานวาดยิ้มกว้าง เข้าใจทันที “เรื่องของเรา จะเป็นความลับเฉพาะเราสองคนเท่านั้น”
“ว่าแต่ เรื่องของเรา นี่คือ เราสองคนตกลงเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย” ชลกรเย้า
“ไม่บอก เป็นความลับ”
ชลกรยื่นมือมากุมมือปานวาดไว้ สองคนยิ้มให้กัน ปานวาดรู้สึกดีขึ้นมาก
ขณะที่ปานดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้โฮมสเตย์ หาข้อมูลในโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่เป็นบทความเกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมของคนญี่ปุ่น แวนด้าเดินเข้ามาในนี้ ปานดาวมองไปพอเห็นแวนด้าก็ปิดโน้ตบุ๊ค แวนด้าเดินเข้ามาหา ลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“สามีคุณไม่ได้อยู่ที่นี่นะคะ”
“ฉันรู้แล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อพบเธอ ฉันเอาข้อพิสูจน์ว่าเธอกำลังถูกพอลเขาหลอกมาให้เธอฟัง”
แวนด้ากดเปิดเพลย์เสียงจากโทรศัพท์มือถือที่แอบบันทึกไว้ วางมือถือลงที่โต๊ะ มันเป็นเสียงการสนทนาระหว่างแวนด้ากับชยพลเมื่อวันก่อนดังออกมา
“คุณปานดาวเขามาคุยงานกับผม”
“พอเหอะพอล เลิกโกหกแวนด้าซักที พอลกำลังจะทิ้งแวนด้า แล้วไปหานังนั่นใช่ไหม”
“คิดแบบนั้นได้ยังไง ผมน่ะเหรอจะทิ้งแวนด้า”
“ก็พฤติกรรมของคุณมันฟ้อง พยายามหนีแวนด้า อ้างว่าไปเชียงใหม่ แต่กลับไปดินเนอร์กับมัน เมื่อวานก็พามันมา...” แวนด้าเน้นคำว่า “คุยงาน ที่นี่อีก ทำไมคะ มันมีอะไรดีกว่าแวนด้า มันให้บริการพอลถึงใจมากหรือไงคะ”
“แวนด้า ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คุณกำลังเข้าใจผิด ทั้งหมดที่ผมทำกับปานดาว มีแต่เรื่องงานจริงๆ แต่หัวใจผมทั้งหมดน่ะ เป็นของคุณคนเดียว”
“พูดกับมันแบบนี้ด้วยใช่ไหม”
“ไม่ ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน มีแต่แวนด้าคนเดียวเท่านั้น”
“กล้าสาบานไหม”
“ผมขอสาบาน ถ้าผมไม่จริงใจกับแวนด้า หรือไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น ขอให้ผมมีอันเป็นไปในห้าวันเจ็ดวัน พอใจหรือยัง”
ตลอดเวลาที่ฟังปานดาวนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
แวนด้ากดปิด ยิ้มหยันมองปานดาวอย่างสะใจ
“ทีนี้คงรู้แล้วนะว่าอะไรเป็นอะไร”
ปานดาวยังคงนิ่งขึง อึ้ง และโกรธชยพลถึงขีดสุด
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 10 (ต่อ)
อีกฟาก ชยพลนั่งทำงานอยู่ในห้อง เสียงมือถือดังขึ้น ชยพลเห็นเป็นชื่อปานดาวก็ยิ้มย่องพลางหยิบมากดรับสาย
“สวัสดีครับ กำลังคิดถึงคุณอยู่พอดี สงสัยกระแสจิตผมคงจะแรง”
สีหน้าแววตาปานดาวตอนนี้นิ่งเฉย
“คุณชยพลคะ เรื่องธุรกิจที่คุณเสนอมา ป่านมีคำตอบให้คุณแล้ว เย็นนี้คุณสะดวกมั้ย”
“ได้เลยครับ ถ้างั้นเจอกันร้านเดิม” ชยพลวางสายยิ้มกระหยิ่มย่ามใจ
“แหม...อะไรจะตัดสินใจเร็วขนาดนี้”
ขณะที่สีหน้าของปานดาวแสดงอาการแค้นเคือง และชิงชังรังเกียจสุดจะประมาณ
ดุจเดือนนั่งอยู่เพียงลำพังในที่พักฝ่ายเสื้อผ้าของกองถ่าย และกำลังถือโทรศัพท์รอสายอยู่ จนอีกฝ่ายรับ
“ปัฐเหรอ นี่ดุจนะ”
เสียงปัฐวีดังออกมาว่า “สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ปัฐ” ดุจเดือนนิ่งไปไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่า
อีกฟาก ปัฐวีพูดสายโทรศัพท์อยู่ลำพังที่ห้องทำงานของเขาในบริษัทก้องภพ ทั้งสองคุยสายกัน
ปัฐวีเห็นอีกฝ่ายเงียบก็ร้อนใจ “ว่าไงดุจ มีอะไร”
“วันนี้พ่อปัฐมาหาดุจที่กองถ่าย”
ปัฐวีตกใจ “เขาไปทำอะไร”
“ก็มาห้ามไม่ให้เราคบกันนั่นแหละ”
ปัฐวีโมโห “พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ดุจก็ทำอะไรไม่ถูก ดุจพูดไม่ดีกับเขาด้วยอ่ะปัฐ กลัวเขาจะไปว่าปัฐ เลยต้องโทร.มาบอก”
“ดีแล้วล่ะที่บอกผม ดุจไม่ต้องห่วงนะ ผมชินชาแล้ว ทั้งพ่อทั้งแม่นั่นแหละ”
“ดุจไม่สบายใจเลย แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ”
“ดุจไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องกังวล ยังไงผมก็ไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางเราหรอก”
ดุจเดือนทั้งอัดอั้น เสียใจ น้อยใจจนน้ำตาร่วง สะอื้นเบาๆ ปัฐวีได้ยินและเป็นห่วงมาก
“ดุจ ผมจะอยู่ข้างดุจเสมอนะ เราจะฝ่าฟันเรื่องนี้ไปให้ได้”
“ค่ะ ดุจรู้ ขอบคุณนะ”
จริงๆ แล้วดุจเดือนยังคงไม่สบายใจอยู่ดี ขณะที่ปัฐวีโกรธพ่อ และเป็นห่วงดุจเดือนจับใจ
ในร้านอาหารแห่งนั้นช่วงเย็น มีลูกค้าอยู่บ้างแต่ไม่แน่นนัก บริกรเดินมาเสิร์ฟน้ำเย็นให้ปานดาวที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ครู่ต่อมา ชยพลก้าวเข้ามาในร้าน กวาดสายตามองไป พอเห็นปานดาวก็ยิ้มกับตัวเอง เดินตรงไปหา ลงนั่งเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี
“สวัสดีครับ รอนานไหมครับ”
ปานดาวมองชยพลนิ่งไม่ตอบอะไร แววตาว่างเปล่า แต่ชยพลไม่ทันเห็น
บริกรเดินเข้ามาส่งเมนูให้ชยพลแล้วถอยออกไป ชยพลถามขึ้นโดยยังไม่เปิดดูเมนู
“ผมจะได้ยินข่าวดีไหมนะ”
“ลองเดาดูซิคะ”
ปานดาวหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา
“มีผู้หวังดีส่งมาให้ป่าน”
พร้อมกับว่าปานดาวกดเปิดเล่นไฟล์เสียงตอนท้ายๆ เสียงสนทนาของชยพลกับแวนด้าดังขึ้น
“แวนด้า ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คุณกำลังเข้าใจผิด ทั้งหมดที่ผมทำกับปานดาว มีแต่เรื่องงานจริงๆ แต่หัวใจผมทั้งหมดน่ะ เป็นของคุณคนเดียว”
“พูดกับมันแบบนี้ด้วยใช่ไหม”
“ไม่ ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน มีแต่แวนด้าคนเดียวเท่านั้น”
ปานดาวกดปิดโทรศัพท์
“ฟังแค่นี้ก็คงพอ ที่เหลือคุณคงจำได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง”
ชยพลอึ้งตะลึงตะไลตั้งแต่ได้ยินเสียงครั้งแรก ยังคงนั่งนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
“คงรู้แล้วนะคะ จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย สำหรับคุณ แต่ที่แน่ๆ มันดีสำหรับป่าน ที่จะไม่หลงเชื่อทำธุรกิจกับคนแบบคุณ”
“ฟังผมก่อนคุณป่าน”
“ฉันไม่มีเวลาฟังเรื่องโกหกของคุณหรอกค่ะ”
ปานดาวเก็บโทรศัพท์ แล้วลุกเดินออกจากร้านไปโดยไม่แยแส
เดินออกจากร้านปานดาวตรงไปยังรถของเธอที่ลานจอด ชยพลเดินแกมวิ่งตามออกมา
“คุณป่าน เดี๋ยวซีครับ คุณป่าน”
ปานดาวไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆ ชยพลเร่งฝีเท้าตามมา
“ฟังผมอธิบายหน่อย นั่นมันไม่ใช่ความจริงเลยนะครับ”
ปานดาวหยุดที่ข้างรถ ชยพลตามมาถึง
“ที่คุณได้ยินน่ะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมจำเป็นต้องพูดไป ไม่งั้นแวนด้าเขาจะโวยวายไม่ยอมเลิก”
ปานดาวกดกุญแจเปิดล็อครถ เข้าไปนั่งในรถโดยไม่สนใจสิ่งที่ชยพลพูด แล้วปิดประตูรถ
“คุณป่าน ผมขอร้อง ฟังผมก่อน”
ปานดาวสตาร์ตเครื่อง แล้วเคลื่อนรถออกไปเลยโดยไม่แยแส
ชยพลได้แต่ยืนมองตามรถไป โมโหตัวเองที่ไม่รัดกุมจนแผนผิดพลาด
ปกป้องนั่งรอการมาถึงของใครคนหนึ่งอยู่ในห้องรับแขก อาการดูออกว่าเครียดเอาการ นั่งเคาะที่เท้าแขนเบาๆ ใช้ความคิดหนัก สักครู่หนึ่งปัฐวีเดินเข้ามาในบ้านเพิ่งกลับจากทำงาน พอเห็นปกป้องก็ไม่อยากพูดด้วย เดินผ่านห้องรับแขกจะขึ้นบันไดไป
ปกป้องเรียกไว้ “ปัฐ”
ปัฐวีหยุดกึก แต่ยังไม่หันมา
“มาคุยกันหน่อย”
“ผมเหนื่อยครับ ไว้พรุ่งนี้ละกัน”
ปกป้องสั่งด้วยเสียงเฉียบขาด “ไม่ได้ พ่ออยากคุยเดี๋ยวนี้”
ปัฐวียอมเดินกลับมาหาแต่ยังยืนอยู่
“อะไรครับ”
“วันนี้พ่อไปหาดุจเดือนมา”
“ผมรู้แล้ว เขาโทร.มาบอกผม เราคุยเรื่องนี้เลยก็ได้ครับ” ปัฐวีของขึ้น “พ่อไปทำไม ไปยุ่งกับดุจทำไม”
“ทำไมพ่อจะไปไม่ได้”
“เพราะเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อไงครับ ถ้าพ่อจะห้ามไม่ให้ผมคบกับดุจ พ่อก็พูดกับผมนี่ แต่ไม่ใช่ไปทำตัวเป็นอันธพาลข่มขู่ดุจ”
ปกป้องโมโหลุกพรวดขึ้น “อันธพาลเหรอ”
“ดุจเล่าให้ผมฟัง เขาร้องไห้ด้วย ถ้าพ่อไม่ได้ไปขู่เขา ทำไมเขาต้องกลัวขนาดนั้น”
ปกป้องใจหาย รู้สึกแย่เหมือนกันเดินเข้าไปหาปัฐวี “ร้องไห้เหรอ พ่อไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดว่า...”
ปัฐวีตัดพ้อต่อว่าพ่ออย่างรุนแรง “พ่อไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ พ่อต้องการได้แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่น”
ปกป้องสวนกลับแรงพอกัน “ทำไมฉันจะไม่สนใจ ที่ฉันทำอยู่นี่ก็เพื่อแก เพื่อแกทั้งสองคน”
“ยังไงครับ เพื่อผมกับดุจเหรอ ผมรักกัน พ่อต้องช่วยให้เราสองคนสมหวังซีครับ นั่นแหละ ถึงจะเรียกได้ว่าทำเพื่อเรา”
“แต่แกรักกันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้” ปกป้องเสียงแข็ง
“เพราะอะไรล่ะครับ”
ปกป้องอยากจะบอกเหลือเกิน แต่ก็บอกไม่ได้ อึดอัดและเจ็บปวดมาก
“เพราะไอ้เรื่องความเกลียดความแค้นโง่ๆ ของคนรุ่นปู่ย่าตายายน่ะเหรอครับ ผมไม่สนใจหรอก ผมรักดุจ แล้วจะรักตลอดไป ไม่มีใครห้ามผมได้”
ปัฐวีเดินหนีไป หยุดที่ตีนบันไดหันกลับมา
“แล้วอย่าไปยุ่งกับดุจอีกนะครับ อย่าเพิ่มบาปกรรมให้ตัวเองเลย”
ปัฐวีเดินหุนหันขึ้นบ้านไป ปกป้องยิ่งรู้สึกกลัวเอามากๆ และยังไงเสียเขาก็ปล่อยให้สองคนรักกันไม่ได้
ชยพลกลับมาที่ออฟฟิศ นั่งเครียดเรื่องปานดาวอยู่ที่โต๊ะทำงาน จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
แวนด้าเปิดประตูเข้ามา “สวัสดีค่ะพอล”
ชยพลดีดตัวลุกจากเก้าอี้ดึงแวนด้าเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตูกดล็อค
แวนด้ายังงงๆ อยู่ ชยพลคว้ากระเป๋าถือของอีกฝ่ายมาเปิดออกหยิบโทรศัพท์มือถือแวนด้าขึ้นมา
“พอลทำอะไรคะ”
ชยพลกดเปิดโทรศัพท์ให้เครื่องทำงาน ตรวจดูว่ามีการเปิดอัดเสียงไว้หรือเปล่า
“จะดูว่าวันนี้จะมาอัดเสียงอะไรผมอีกหรือเปล่า”
แวนด้าอึ้งๆ ชยพลยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้
“คุณพยายามจะทำอะไรหืม แวนด้า”
“แวนด้าไม่ต้องการเสียคุณให้เด็กล้างจานนั่น”
“ก็ผมบอกคุณแล้วว่า ผมดีลกับเขาเรื่องงาน ทำไมคุณไม่เชื่อผม”
“คุณอาจจะดีลเรื่องงาน แต่มันอาจจะไม่คิดอย่างนั้น แวนด้าทำเพื่อให้มันรู้ว่า คุณเป็นของแวนด้า”
“แต่มันทำให้ธุรกิจของผมเสียหาย กี่ล้านรู้ไหม”
แวนด้านิ่งงันไป เหมือนจะรู้สึกผิด
“ผมกำลังโน้มน้าวใจเขา ให้มาร่วมธุรกิจกับผม เกมนี้ผมต้องทำทุกอย่าง”
“แม้แต่เอาตัวเองเข้าแลกเหรอคะ”
“ก็แค่ทำให้เขาเชื่อใจ แต่ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาจริงๆ เลย”
แวนด้ามองจ้อง อ่านความคิดชยพลไม่ออก ไม่รู้จะเชื่อดีหรือเปล่า
“ตั้งแต่เราคบกันมา แวนด้าเคยเห็นผมมีคนอื่นไหม”
แวนด้าส่ายหน้า
“ถ้าไม่เชื่อใจผม แล้วทำให้งานผมเสีย เราก็คงไปกันไม่ได้”
แวนด้าตกใจถลาเข้ามากอดชยพล ออเซาะ
“แวนด้าผิดไปแล้ว อภัยให้แวนด้านะคะ เพราะแวนด้ารักคุณมาก ก็เลยคิดมากไม่เข้าเรื่อง แวนด้าสัญญานะคะ ต่อจากนี้จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นอีก”
แวนด้ากอดชยพลแน่น
“พอลต้องยกโทษให้แวนด้านะคะ ไม่งั้นแวนด้าจะกอดพอลไว้ยังงี้แหละ จะไม่ไปไหน”
ชยพลพูดเสียงอ่อนลง ลูบหัวแวนด้า “จะบอกให้นะ ถึงคุณจะทำเรื่องโง่ๆ กี่ครั้ง ยังไงผมก็ต้องยกโทษให้คุณอยู่แล้ว”
แวนด้าเงยหน้ามองชยพลยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“จริงๆ นะคะ แวนด้ารักพอลจริงๆ รักมากที่สุด”
ชยพลลูบหัวแวนด้าเบาๆ สีหน้านิ่งๆ คิดหนักว่าจะเอาไงต่อดี
ที่บ้านเตยหอมโฮมสเตย์ ปานดาวนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้ ตรงหน้ามีโน้ตบุ๊คเปิดค้างอยู่ ครู่หนึ่ง พนักงานลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คุณป่านคะ เอ๋ขอปรึกษาหน่อยค่ะ”
ปานดาวรู้สักตัว หันมาหา “อะไรคะ”
“นี่เลยกลางปีแล้ว จะทำเรื่องยื่นภาษีไหมคะ”
ปานดาวยังงงๆ ไม่ทันคิด “ภาษีเหรอ”
ระหว่างนั้นปกป้องเดินเข้ามา ชะงัก ยืนฟังการสนทนาของปานดาวกับพนักงาน
“ทุกปีพอถึงเดือนนี้คุณป่านทำภาษียื่นนี่คะ ปีนี้เห็นเงียบๆ”
“คุณทำได้ไหม”
“เอ่อ จะดีเหรอคะ เอ๋ว่าคุณป่านทำเองดีกว่ามั้ยคะ”
ปานดาวกลับไปเหม่อต่อ เหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังว่าพนักงานพูดอะไร พนักงานมองหน้าปานดาวรอคำตอบ ปกป้องเดินเข้ามาบอกกับพนักงานไปว่า
“ก็เอาบัญชีมาดูก่อน ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนที่แล้ว สรุปรายได้ รายจ่าย ประเมินกำไร แล้วทำยื่นภาษีกลางปี ไปเอาข้อมูลมาเดี๋ยวฉันดูให้”
“ค่ะ คุณปกป้อง เดี๋ยวเอ๋รีบจัดการเลย”
“ยังไม่ต้องรีบหรอก ยังมีเวลา”
พนักงานรับเอาคำแล้วถอยออกไป
ปานดาวลุกขึ้น เดินออกไปทางบ้าน ปกป้องมองตาม
ปานดาวอยู่ในครัว เปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำเย็นออกมา ปกป้องตามเข้ามาในนั้น ปานดาวรินน้ำใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม
“มีอะไรหรือเปล่าลูก”
ปานดาวหันมามองพ่อ ส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ ทำไมคะ”
“เห็นลูกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ปานดาวนิ่งไปนิด “งั้นเหรอคะ จริงๆ จะว่ามีก็ได้ ป่านทำตามที่พ่อต้องการแล้ว”
ปกป้องงง “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องคุณชยพล ลูกของศัตรูพ่อกับแม่ไงคะ ป่านเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาแล้ว”
ปกป้องอึ้งนิ่งงันไป ปานวาดเดินเข้ามาในครัว ทันได้ยินที่ปานดาวพูด
“ปอก็เหมือนกันนะพ่อ”
คราวนี้ปกป้องหันมามองปานวาด
“ปอก็เลิกยุ่งกับชลแล้ว ตามที่พ่อขอ”
ปานวาดเดินมายืนข้างๆ ปานดาว
“ลูกสองคนทำเอาพ่องงเลย”
“ก็พ่อต้องการยังงั้นไม่ใช่เหรอคะ” ปานวาดว่า
ปานดาวเสริม “พวกเขาก็แค่คนอื่น เราต้องรักพ่อแม่มากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว”
ปกป้องเดินเข้าไปกอดลูกทั้งสองไว้
“ขอบใจมากลูก พ่อก็รักลูก ถ้าแม่เขารู้เรื่องนี้ เขาต้องดีใจมากๆ เลย”
ความรู้สึกของลูกทั้งสองคนแตกต่างกันลิบลับ ปานดาวหน้าเศร้า ส่วนปานวาดกลับดีใจที่เห็นพ่อเชื่อสิ่งที่ตนกับชลกรหลอก
เช้าวันต่อมา ปกป้องหิ้วตะกร้ามาจ่ายตลาดด้วยตัวเอง เวลานี้กำลังเลือกผักอยู่ มาลัยเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“จ่ายตลาดเองเลยเหรอ”
ปกป้องหันมา พอเห็นเป็นมาลัยก็แปลกใจ
“มาทำอะไรแถวนี้”
“มาเยี่ยมเพื่อน”
ปกป้องเดินห่างออกจากแผงผัก พยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้มาลัยตามมาคุยกัน
“เออ มาลัยได้เจอมาลาบ้างไหม”
“ก็เจอกันอยู่”
“พี่ฝากข่าวไปบอกมาลาหน่อย ลูกสาวสองคนของพี่ เขาเลิกยุ่งกับลูกชายมาลาแล้วนะ”
มาลัยแปลกใจ “รู้ได้ยังไง”
“สองคนเขาบอกกับพี่เอง”
มาลัยทำเป็นเออออไปด้วย “ก็ดี แล้วเรื่องลูกชายพี่ล่ะ เลิกยุ่งกับลูกมาลัยหรือยัง”
“พี่สั่งมันไปแล้ว มันก็ยังดื้อๆ อยู่ แล้วเดี๋ยวนี้มันออกไปทำงานที่อื่น กลับก็ดึก แทบไม่ได้เจอกันเลย”
“ยังไงเขาก็ต้องเลิกยุ่งกับลูกดุจ”
“รู้แล้วน่า วันก่อนฉันก็ไปเจอดุจเดือนมาแล้ว”
มาลัยตกใจพอๆ กับไม่พอใจ “อะไรนะ พี่ไปยุ่งกับลูกฉันทำไม”
“แกก็ลูกพี่นะ”
“แล้วพี่บอกอะไรแกหรือเปล่า”
“ไม่หรอกน่า ก็แค่บอกว่าอย่ามายุ่งกับเจ้าปัฐ ก็เท่านั้น”
“จำไว้นะพี่ ลูกดุจจะรู้เรื่องพี่ไม่ได้เป็นอันขาด”
ปกป้องพยักหน้ารับคำ
มาลาเดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน
“พี่ป้องเขาบอกยังงั้นเหรอ”
พบว่ามาลัยนั่งอยู่ในห้องนั้น
“ใช่ เขาว่าลูกสาวเขาเลิกยุ่งกับลูกชายพี่แล้ว”
“ทั้งคู่เลยเหรอ”
มาลัยพยักหน้ารับ
“ทำไมมันง่ายอย่างนั้น” มาลาแปลกใจ
ชยพลกับชลกรเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
ชลกรไหว้ทักมาลัย “สวัสดีครับน้ามาลัย”
ชยพลชะงักไปนิดๆ เมื่อเห็นมาลัย ก่อนจะยกมือไหว้ มาลัยรับไหว้หลานชายทั้งสอง
“ดีจังกลับมาพร้อมกันเลย”
“น้ามาลัยสบายดีนะครับ”
“สบายดีจ้ะ”
“มาพร้อมหน้ากันก็ดีแล้ว แม่มีอะไรจะถามหน่อย น้ามาลัยเพิ่งมาบอก ลูกเลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวลุงปกป้องแล้วใช่ไหม”
สองหนุ่มอึ้งๆ ชลกรเอ่ยขึ้นว่า
“ข่าวมาเร็วจังเลยครับ เพื่อความสบายใจ ผมกับปอเลยเลิกติดต่อกัน”
มาลาหันมาทางชยพล “ลูกพลล่ะ”
ชยพลลอบสบตากับมาลัยที่มองจ้องอยู่
“เหมือนกันครับ”
มาลาโล่งใจ “ดีแล้วล่ะลูก ลูกทำถูกแล้ว คบกันไปก็จะมีแต่ปัญหา โลกนี้ยังมีผู้หญิงดีๆให้ลูกเลือกเป็นแฟนเยอะแยะ”
ชลกรเคืองนิดๆ แต่ก็ทำเป็นยิ้มกลบ
“ผมดีใจครับ ที่ทำให้แม่มีความสุข”
ชลกรก็เดินขึ้นบ้านไป มาลัยมองตามไป ก่อนจะหันมามองชยพล น้าหลานสบตากัน
มาลัยกับชยพลเดินออกมาจากในบ้านด้วยกัน
“ดูท่าทางชลเขาไม่ค่อยเต็มใจเลิก”
“ผมยังแปลกใจเลย เมื่อวานยังบอกจะไม่ยอมเลิกอยู่”
“แล้วพลล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมพลาดเองล่ะครับ แวนด้าเขาเข้ามาขวาง”
“แล้วไง จะเลิกจริงๆ เหรอ ไม่ได้นะ เลิกไม่ได้ พลรับปากจะแก้แค้นพวกมันให้แม่แล้วนะ”
“ผมก็ไม่อยากเลิกหรอกครับ แต่ฝั่งโน้นคงไม่ยอมแล้ว”
“ยอมง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก”
มาลัยหยุดไปครู่หนึ่ง
“พลต้องทำลายนังปานดาวให้ได้ น้าจะช่วยพลเอง”
มาลัยคุมแค้น วาดแผนร้ายในหัวใหม่
ปานดาวในชุดนอนนั่งเอนหลังอยู่บนเตียงกำลังจะเข้านอน เสียงสัญญาณไลน์ดังขึ้น ปานดาวลุกจากเตียง ไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา กดโปรแกรมไลน์ดู
ที่หน้าจอมีข้อความจากชยพลถามมาว่า
“นอนหรือยังครับ”
ปานดาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะตอบดีไหม สุดท้ายตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบ
ชยพลนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน รอครู่ใหญ่จึงมีข้อความของปานดาวตอบมาว่า
“กำลังจะ”
“ผมยืนยันว่า ทั้งหมดนั่นไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“หรา”
“ผมอยากเจอคุณ ผมอธิบายได้ทุกอย่าง”
“ไม่ค่อยมีเวลา”
“ผมขอร้องนะ ถ้าคุณฟังผมแล้วไม่เชื่อ ผมก็จะไม่ขอพบคุณอีก”
“คงเตรียมเรื่องโกหกไว้อย่างเนียนเลยล่ะซิ”
“ผมมีแต่ความจริงที่จะบอกคุณ แล้วคุณค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
“มีเวลาให้คุณสิบนาที”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริงๆ”
ปานดาวออกจากโปรแกรมไลน์หลังพิมพ์แจ้งเวลาและสถานที่ไปให้อีกฝ่าย สีหน้าสับสนเอาการ คล้ายไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่า
ส่วนชยพลยิ้มกับตัวเอง แผนขั้นแรกของเขาสำเร็จแล้ว
วันต่อมา ชยพลพาตัวเองมานั่งรออยู่ที่ม้านั่งก่อนเวลานัด คอยมองไปที่ทางเข้าสวนสาธารณะ แต่ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววปานดาว เริ่มร้อนใจ ดูนาฬิกาหลายครั้ง จนกระทั่งมีเสียงปานดาวดังเข้ามา
“รอแค่นี้เครียดแล้วเหรอคะ”
ชยพลหันไปมอง เห็นปานดาวยืนอยู่ทางด้านหลัง
ชยพลลุกขึ้นเดินมาหา “ไม่ทันเห็นคุณเข้ามา”
“สวนนี่มีทางเข้าหลายทางค่ะ”
“ผมดีใจมาก ที่คุณให้โอกาสผม”
“อยากแก้ตัวอะไรก็ว่ามาเลย ฉันให้เวลาคุณ 10 นาที”
“ก็อย่างที่ผมบอกคุณ ผมกับแวนด้าเราเป็นแค่เพื่อนกัน แต่แวนด้าเขาจะพยายามทำตัวเป็นเจ้าของผม ผมพยายามทำความเข้าใจกับเขา แต่ทุกครั้งที่ผมยืนยันว่าเราเป็นแค่เพื่อน เขาจะต้องเกิดอาการคลุ้มคลั่ง บางทีก็โวยวาย แต่บางทีก็ถึงขั้นจะทำร้ายตัวเอง”
ปานดาวชำเลืองมองท่าทีของชยพล แต่ก็ไม่มีพิรุธใดๆ
“ก่อนหน้าที่เขาจะไปพบผมวันนั้น เขาก็โทรมาพร่ำเพ้อ แล้วขู่ว่าจะทำร้ายตัวเอง ผมก็พาซื่อ คิดว่าถ้าเขามาผมก็คงต้องพูดเอาใจเขา แต่ผมไม่รู้ว่า เขาเตรียมบันทึกเสียงผมไว้แล้ว เพื่อจะเอาคำพูดพวกนั้นมาให้คุณป่านฟัง นี่แหละครับ คือความจริง ที่ผมต้องการให้คุณได้รู้”
ปานดาวนิ่งเงียบไป “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าที่คุณพูดมาทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องโกหกอีกเรื่องนึง”
“คุณจะคิดยังงั้นก็ได้ ผมบอกแล้วไง ถ้าคุณจะไม่เชื่อ ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ผมก็คงได้แต่ยอมรับความโชคร้ายของตัวผมเอง แต่อย่างน้อย ผมก็สบายใจ ที่ได้บอกความจริงคุณแล้ว”
ปานดาวมองหน้าอ่านความคิดชยพล เห็นแต่ใบหน้าใสซื่อของเขา
จู่ๆ น้ำเสียงขุ่นเขียวของมาลัยก็ดังเข้ามา
“พล ทำไมทำอย่างนี้”
ชยพลและปานดาวหันไปมอง ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจถึงขีดสุด
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 10 (ต่อ)
ชยพลกับปานดาวตกตะลึง มาลัยหน้าบูดบึ้งไม่พอใจสุดขีด เดินเข้ามาจ้องหน้าชยพลอย่างเอาเรื่อง
“น้าบอกแล้วใช่ไหม ไม่ให้มาคบหากับคนบ้านนี้”
ชยพลทำเป็นตกใจเสียใจ “น้ามาลัย ผมขอโทษ”
“น้าไม่อยากเชื่อเลยว่าพลจะเป็นแบบนี้ ไหนพลว่าพลเกลียดคนพวกนี้”
“ผมอาจจะเคยคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับน้ามาลัย ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับผม แต่มันเกิดขึ้นแล้ว ผม...ผมรักปานดาว”
ปานดาวตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากชยพลในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
“ไม่ได้ พลจะรักพวกมันไม่ได้”
“ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้หรอกครับ”
“จำไว้ซี พวกมันเป็นยังไง พวกมันเลว พ่อแม่มันก็เลว”
ปานดาวชักทนไม่ไหว “คุณคะ มากเกินไปแล้วนะคะ”
มาลัยเหลียวขวับหันเอาเรื่องปานดาว “บอกมาซิ มายุ่งกับหลานฉันทำไม ต้องการอะไรจากเขา จะปอกลอกเขาเหมือนที่แม่แกเคยทำใช่ไหม”
ปานดาวโกรธมาก ก้าวเข้าหามาลัย
“ทำไม แกจะทำอะไรฉัน แกนี่ก็แรดเหมือนแม่แกไม่มีผิด”
ปานดาวกำมือแน่นโกรธมาลัยที่ด่าถึงแม่ แต่ก่อนที่สองคนจะห้ำหั่นทำสงครามปากกัน ชยพลก็เข้าขวางระหว่างปานดาวกับมาลัย
“น้าครับ พอแล้วครับ”
มาลัยโกรธจัด “พล จะอยู่ข้างมันงั้นเหรอ”
“ผมไม่เห็นว่าคุณป่านเขาจะทำอะไรผิด มีแต่น้านี่แหละที่อาละวาดโกรธแค้นเขาเหมือนคนบ้าแบบนี้”
โดยที่ปานดาวไม่ทันคาดคิด มาลัยตบหน้าชยพลสุดแรง ปานดาวตกตะลึงพรึงเพริด ชยพลยกมือจับแก้มตัวเอง
“น้าเสียใจมากที่มีหลานอย่างเธอ แม่ของเธอก็จะต้องเสียใจเหมือนกัน เอาไปคิดดูให้ดีนะ จะเห็นคนอื่นดีกว่าครอบครัวหรือยังไง”
พูดแล้วมาลัยก็เดินออกไปเลย ชยพลหันมามองปานดาวแว่บหนึ่งจึงเดินออกไปทางหนึ่ง
ปานดาวมองตามไป สีหน้าสับสนหนัก
ชยพลยืนอยู่ริมคลองทอดสายตาไปไกล ปานดาวตามมายืนอยู่ข้างหลัง ชยพลพูดโดยไม่หันมา
“ผมต้องขอโทษคุณด้วย ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น พูดออกมาได้ยังไงว่า...รักฉัน”
ชยพลหันมามองจ้องตาปานดาวลึกซึ้ง “เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
ปานดาวอึ้ง สงสัยในสายตานั้น
“มันเหมือนไม่มีเหตุผล แต่ทุกครั้งที่ผมได้เจอคุณ ได้พูดกับคุณ ได้...มองตาคุณ ทุกอย่างในโลกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรอีก มีแต่คุณเท่านั้นที่อยู่ตรงหน้าผม ผมถามตัวเองว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไร แล้วก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น มันคือความรู้สึกที่เรียกว่า...รัก”
ปานดาวนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “คุณรู้ไหม คำๆ นั้นมันมีค่ามากแค่ไหน มันสร้างโลกใบใหม่ให้แก่คนคนหนึ่งได้ แล้วมันก็พร้อมจะทำลายคนๆ นั้นให้หัวใจแตกสลายได้ ในวันที่คุณเปลี่ยนใจ คุณจะใช้คำๆ นั้นอย่างไม่รับผิดชอบไม่ได้”
“ผมพร้อมจะรับผิดชอบ ผมรู้ว่าผมรู้สึกยังไง ผมรักคุณ คุณป่าน”
“ถ้าฉันยอมรับมัน ฉันจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”
ชยพลนิ่งงันไป ชั่วขณะนั้นเขาเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา ว่าจะทำเรื่องนี้ต่อไปดีหรือไม่ แล้วเขาก็ตัดสินใจเดินต่อ
“ผมจะไม่มีวันทำให้คุณเจ็บปวด ผมขอสาบานว่า” เขายกมือขวาขึ้นมา “วันใดที่ผม...”
ปานดาวจับมือชยพลไว้เอาลง
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องสาบาน ฉันจะลองให้โอกาสคุณ”
ชยพลเปลี่ยนมาเป็นกุมมือปานดาว ยิ้มกว้างดีใจ “หมายความว่า คุณรับรักผมแล้วใช่ไหม”
ปานดาวไม่ตอบ แต่มองตาชยพลแล้วยิ้มให้
ชยพลเดินออกมากับปานดาว พอมาถึงถนนหน้าสวนสาธารณะ สองคนคุยอะไรกันต่ออีกไม่กี่คำ ปานดาวก็แยกไปอีกทาง ชยพลยิ้มส่งและโบกมือให้ ปานดาวยิ้มรับแล้วเดินออกไป
ห่างออกมาจากทางเข้าสวนสาธารณะไม่ไกลนัก รถแวนด้าจอดอยู่ เจ้าหล่อนมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้น มองตามปานดาวไปด้วยแววตาชิงชัง
ทันทีที่ชยพลก้าวขึ้นมานั่งในรถของเขา ก็กดโทรศัพท์โทร.ออกทันที รอจนอีกฝ่ายรับสาย
“ครับ น้า แผนของน้าสำเร็จครับ เขายอมให้โอกาสผมแล้ว ขอบคุณน้ามาลัยมากนะครับ ที่ช่วยคิดแผนนี้ขึ้นมา”
“เมื่อกี้ น้าเล่นสมบทบาทไปหน่อย เจ็บหรือเปล่าพล”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเอง” ชยพลเอามืออีกข้างแตะแก้มที่ถูกมาลัยตบ “ผมว่าอีกไม่เกินอาทิตย์ เขาต้องเสร็จผมแน่ครับ” เขาหัวเราะขำตอนท้าย
“อย่างนี้มันต้องฉลอง สะใจน้าจริงๆ”
“น้าจะฉลองล่วงหน้าวันนี้เลยก็ได้ แต่ผมขอรอวันนั้นดีกว่า”
“มีอะไรคืบหน้า ส่งข่าวน้าด้วยนะ”
“ได้ครับ”
ชยพล กดวางสายสีหน้าเคร่งขรึม
ปัฐวีกำลังบันทึกสต๊อกสินค้าอยู่ภายในห้องทำงาน สักครู่หนึ่งจันทิมาหญิงวัยกลางคนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล โผล่หน้าเข้ามามองหาใครบางคนในห้อง จนมาหยุดที่ปัฐวี จันทิมาเดินตรงเข้ามาหา
“นี่หลานชาย” ปัฐวีหันมา “เป็นญาติของพี่ก้องเหรอ”
“อ๋อ ครับ ผมเป็นลูกของพ่อปกป้อง”
“ได้ยินว่าคุณก้องรับมาทำงาน ว่าจะมาคุยด้วยหลายวันแล้ว น้าก็เป็นญาติคุณก้องเหมือนกัน แต่เป็นฝั่งเมียเขา พี่มาลัยน่ะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
ปัฐวีอึ้งไปนิด แต่ก็ยิ้มรับพร้อมกับไหว้ “เหรอครับ สวัสดีครับ”
“น้าอยู่ฝ่ายบุคลนะ ทำเงินเดือนให้เรานั่นแหละ มีปัญหาอะไรไปคุยกันได้นะ กำลังจะทำเรื่องประกันสังคมให้ จะเลือกโรงพยาบาลไหนก็เตรียมคิดไว้นะ”
“ได้ครับ”
“แล้วพี่ก้องอยู่ในห้องหรือเปล่า”
“ไม่อยู่ครับ ออกไปทานข้าวกับลูกค้า”
“ว่าจะมาคุยงานด้วยสักหน่อย งั้นไปก่อนนะ”
ปัฐวีไหว้ลาอีกครั้ง จันทิมารับไหว้ แล้วออกจากห้องไป
ด้านมาลัยเปิดตู้เย็นในครัวหาวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร บ่นกับตัวเอง
“หมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
มาลัยหันมาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ กดโทรหาก้องภพถือสายรอครู่หนึ่งแต่อีกฝ่ายไม่รับ
“ต้องประชุมอยู่แน่ๆ เลย”
มาลัยกดเบอร์อื่น
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องฝ่ายบุคลส่งเสียงดังขึ้น จันทิมาเอื้อมมาหยิบโทรศัพท์มารับสายจากมาลัย
“สวัสดีค่ะพี่”
“เออ จัน พี่โทร.หาพี่ก้องไม่ได้ เขาไม่ยอมรับสายเลย สงสัยจะประชุมอยู่”
“พี่ก้องไปออกไปกินข้าวข้างนอกกับลูกค้าค่ะ สงสัยจะลืมมือถือไว้ที่โต๊ะอีกแล้ว พี่จะติดต่อพี่ก้องทำไมเหรอคะ”
“จะวานเขาซื้อกระดูกหมูที่ตลาดมาให้พี่น่ะ จะทำต้มแซบ”
จันทิมายิ้มพลางแซว “แค่ได้ยินก็เริ่มหิวแล้ว ได้ค่ะ เดี๋ยวจะบอกพี่ก้องให้”
“แค่นี้แหละ ขอบคุณนะ”
มาลัยกำลังจะเอาโทรศัพท์ลงกดวางสาย แต่ได้ยินเสียงจันทิมาดังเข้ามา
“อ้อ พี่มาลัย ยินดีด้วยนะคะ”
“ยินดีเรื่องอะไร”
“ก็ที่พี่กับญาติพี่ก้องคืนดีกันได้แล้วไงคะ”
“ญาติพี่ก้อง ใครเหรอ”
“อ้าว ก็พี่ปกป้องไงคะ พี่เลิกโกรธกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
มาลัยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วแกล้งพูดไป “รู้ได้ไงเนี่ย”
“จันเจอลูกของพี่ปกป้องทำงานอยู่ที่นี่ แค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้ายังโกรธกันอยู่ พี่จะยอมให้พี่ก้องรับเขาเข้าทำงานได้ไง”
“นั่นซีนะ เอ่อ ลูกพี่ป้องคนนี้ชื่ออะไรนะ เขาบอกแล้วก็ลืม”
“ปัฐวีไงคะ”
มาลัยตะลึงตะไล “อืม ใช่แล้ว ปัฐวี”
ทันทีที่วางสายไป แววตามาลัยแข็งกร้าวขึ้นมาทันควัน
ค่ำนั้นก้องภพซดน้ำต้มแซบกระดูกอ่อนอย่างเอร็ดแอร่ม
“อืม แซบจริงๆ ต้มแซบของมาลัย”
ก้องภพ ดุจเดือน และมาลัย กินอาหารเย็นกันอยู่ในห้องทานอาหารที่บ้าน
“ยังกลัวว่าพี่จะลืมกระดูกหมูของมาลัย”
“คำบัญชาจากเมียสุดที่รักจะลืมได้ยังไง”
“แต่วันนี้รู้สึกแม่จะมือหนักไปหน่อย”
“จ้ะ มันเกิดเครียดขึ้นมานิดหน่อยน่ะ” มาลัยพูดเป็นนัย
“แต่พ่อว่ากำลังดีเลยนะ” ก้องภพซดอีกเต็มๆ ช้อน “แบบนี้แหละกินแล้วหายเหนื่อย”
“งานเหนื่อยมากเหรอคะ”
“วันนี้แทบไม่ได้หยุดพักเลย พรุ่งนี้ก็คงต้องเหนื่อยอีก”
มาลัยนิ่งคิด พูดหยั่งเชิง “พี่ทำงานเหนื่อยมากแบบนี้ น่าจะหาคนมาช่วยนะ พวกงานจุกจิกก็แจกจ่ายให้คนนั้น คนนี้ช่วยทำบ้าง”
“งานพี่มันจะแบ่งให้คนอื่นช่วยยาก ต้องไว้ใจได้จริงๆ”
“คงมีมั้งคะ คนที่เก่ง แล้วก็ไว้ใจได้” มาลัยหันมาทางดุจเดือน “ลูกดุจก็รู้จักคนเยอะนี่ ไม่มีบ้างเหรอ เพื่อนคนที่เก่งๆ เคยบริหารงานมา แล้วลูกไว้ใจเขามากๆ น่ะ พ่อก็จะได้แบ่งเบาภาระไม่เหนื่อยมาก”
“ไม่แน่ใจค่ะ” ดุจเดือนบอกปัดไป
“คนที่ลูกสนิทด้วยมากๆ น่ะ ลองคิดดูดีๆ ซิลูก”
ดุจเดือนมองหน้าพ่อ ในจังหวะที่ก้องภพก็ชำเลืองมองมาพอดี
“ถ้ารุ่นลูก ก็ยังเด็กน่ะซี จะรับผิดชอบงานใหญ่ๆ ได้ยังไง เลิกคุยเรื่องงานเถอะ กลับมาถึงบ้าน ก็อยากทิ้งงานไว้ที่ออฟฟิศ” ก้องภพตัดบท
“ก็แค่อยากให้พ่อลูกได้ช่วยกัน ไม่คุยก็ไม่คุย”
ก้องภพกับดุจเดือนลอบมองหน้ากันไปมาส่อพิรุธเต็มๆ มาลัยเห็นแต่ทำเป็นไม่สนใจ
ดุจเดือนนั่งพิงหัวเตียงกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“วันนี้มีอะไรแปลกๆ”
ปลายสายอยู่ที่ห้องนอนปัฐวี ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน
“อะไรเหรอ”
“อยู่ดีๆ แม่ก็พูดกับพ่อ บอกให้พ่อหาผู้ช่วย แล้วให้ดุจช่วยหาให้”
“แล้วแปลกยังไง”
“แม่บอกให้ดุจหาเพื่อนที่ดุจสนิทมากๆ ไว้ใจได้มาช่วยงานพ่อ ดุจกลัวว่าแม่จะรู้เรื่องปัฐ”
“แม่ดุจ อาจไม่ได้คิดอะไร แค่อยากหาคนมาช่วยพ่อดุจจริงๆ ก็ได้นะ”
“แต่เวลาแม่พูด แม่มองพ่อแปลกๆ ดุจสงสัยจริงๆ นะปัฐ ว่าแม่จะรู้”
“จะรู้ได้ยังไง” ปัฐวีชะงักถามตัวเอง “หรือว่า...” เขานึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
“หรือว่าอะไร ปัฐ”
“มีญาติของแม่ดุจอยู่ที่ออฟฟิศด้วย พรุ่งนี้ผมจะถามเขาดู”
“แล้วยังไงบอกดุจด้วยนะ”
“ครับ”
ทั้งปัฐวีและดุจเดือนวางสายแล้ว ต่างสีหน้าเครียดเคร่งไม่สบายใจทั้งคู่
วันต่อมาจันทิมาเดินอยู่ที่ทางเดินหน้าตึก กำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เสียงปัฐวีเรียกดังขึ้นก่อน
“น้าครับ เดี๋ยวครับ”
จันทิมาหยุดหันมา ปัฐวีเดินเข้ามาหาไหว้ทัก
“สวัสดีครับ”
จันทิมารับไหว้ “ว่าไงจ๊ะ”
“เอ่อ ผมถามอะไรหน่อยครับ เรื่องที่เราเจอกันเมื่อวาน น้าได้พูดให้ใครฟังหรือเปล่าครับ”
“เล่าให้ใครฟัง” จันทิมานึกได้ “อ๋อ น้าได้คุยกับพี่มาลัย เลยแสดงความยินดีกับเขา ที่เลิกโกรธกับพ่อเธอแล้ว ถึงได้ให้พี่ก้องรับเธอมาทำงาน”
ปัฐวีอึ้งนิ่งงันไป
ก้องภพถามขึ้นทันทีอย่างร้อนใจ
“เขาบอกเรื่องเธอกับมาลัยเหรอ”
ก้องภพคุยอยู่กับปัฐวีในห้องทำงาน
“น้าเขาแสดงความยินดีที่น้ามาลัยเลิกโกรธกับพ่อผมแล้ว คุณลุงถึงรับผมเข้าทำงาน”
“มิน่า เมื่อคืนเขาถึงพูดแปลกๆ ไอ้เราก็ไม่ทันคิด”
“แล้วจะทำยังไงดีครับ น้ามาลัยต้องโกรธคุณลุงแน่ๆ เลย”
ก้องภพปลอบ “ใจเย็นๆ ก่อน”
พร้อมกับว่าก้องภพหันไปกดโทรศัพท์สายในเป็นเบอร์ฝ่ายบุคคลจอมเจ๋อ
“คุณจันทิมา มาพบผมหน่อย”
ก้องภพวางหูโทรศัพท์ลง
ปัฐวีหน้าเสีย “ผมทำให้คุณลุงมีปัญหาหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีปัญหาไหนที่เราแก้ไม่ได้หรอก”
สักครู่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูเปิดเข้ามา จันทิมาเข้ามาในห้อง
“ต้องการพบจันเรื่องอะไรคะ” จันทิมามองปัฐวี พอเดาได้ว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเรียกพบ
“คุณจัน ตั้งแต่นี้ต่อไป เรื่องที่ผมรับปัฐวีมาทำงานที่นี่ ห้ามไปบอกใครเด็ดขาด”
“หมายความว่าพี่มาลัยกับคุณปกป้อง ยังโกรธกันอยู่เหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะซี ผมรับปัฐวีมาทำงานที่นี่ เพราะเขาเป็นเพื่อนของดุจเดือนลูกสาวผม”
“โอย จันเข้าใจผิด ต้องขอโทษด้วยนะคะ” จันทิมาหันมาขอโทษปัฐวีด้วย “ขอโทษเธอด้วยนะ”
ปัฐวียิ้มรับเนือยๆ
เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น ก้องภพหันไปรับสาย พอได้ฟังอีกฝั่งแล้วต้องชะงัก ตกใจนิดๆ
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ”
ก้องภพวางสายแล้วหันมาพูดกับปัฐวีและจันทิมา
“มาลัยมาที่นี่”
ปัฐวีตกใจ
มาลัยเดินเข้ามาในล็อบบี้บริษัทก้องภพ หิ้วถุงซุปไก่ติดมือมาด้วย รีเซพชั่นเห็นมาลัยรีบลุกขึ้นยืนไหว้ทักนอบน้อม มาลัยรับไหว้
“คุณก้องภพอยู่ไหม”
“อยู่ค่ะ เรียนให้ท่านทราบแล้วค่ะ เห็นคุณมาลัยแต่ไกล”
มาลัยชะงักนิดๆ กำลังจะเดินไป แต่ก็ต้องหยุด เมื่อเห็นก้องภพเดินตรงมาหาพร้อมกับจันทิมา
“ไงมาลัย มาทำอะไรเหรอ”
“แวะเอาซุปไก่มาให้น่ะค่ะ เห็นพี่บอกเมื่อวานว่าเหนื่อย”
“ขอบคุณมากเลย” ก้องภพหันมาทางจันทิมา “จัน รับไว้หน่อยซี”
จันทิมาเข้ามารับถุงจากมาลัย
“เออ จันเขาเพิ่งเล่าให้พี่ฟัง ว่าเขาโทร.คุยกับมาลัยเมื่อวาน เรื่องพี่รับลูกปกป้องมาทำงานกับพี่น่ะ พี่กลัวว่ามาลัยจะเข้าใจผิด” ก้องภพหันมาทางจันทิมา “บอกเขาซี”
“หนูเข้าใจผิดค่ะพี่ ไม่ใช่ลูกพี่ปกป้อง แต่เป็นหลาน คนที่พี่ก้องรับมาทำงาน เป็นลูกพี่มานะ”
มาลัยมองจันทิมาและก้องภพ อ่านสายตาทั้งคู่ พยายามจับผิด
“งั้นเหรอ แล้วอยู่ไหนล่ะ อยากเจอหน่อย จะได้ถามข่าวพ่อแม่เขา”
จันทิมาหันมามองก้องภพ
“อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นว่าต้องไปซ่อมเครื่องจักรให้ลูกค้า กว่าจะเสร็จคงเย็น ก็คงเลยกลับบ้านไปเลย”
มาลัยยิ้มให้ก้องภพ ทั้งที่ในใจเดือดดาลไม่พอใจที่เขาโกหกเธอ “แหม น่าเสียดาย”
“ขอบคุณมากนะสำหรับซุปไก่ อย่างที่บอก วันนี้ผมวุ่นทั้งวันเลย คงอยู่คุยไม่ได้”
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ มาลัยก็แวะมาแป๊บเดียว งั้นกลับก่อนนะพี่”
“จ้ะ แล้วตอนเย็นเจอกัน”
รีเซพชั่นกับจันทิมาไหว้ลา มาลัยออกจากตึกไป ก้องภพคิดว่ามาลัยกลับไปแล้วจริงๆ จึงเดินกลับขึ้นตึกไปเลย
จันทิมาออกมาจากตึก รู้สึกโล่งอก ที่เรื่องจบๆ ไปได้ แต่พอเดินมาถึงมุมตึกกำลังจะเลี้ยวไป ก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นมาลัยยืนรออยู่ที่นั่น
“นึกว่าพี่กลับไปแล้ว”
“พาพี่ไปหาลูกพี่ป้อง” มาลัยจ้องหน้าพูดเป็นเชิงสั่ง
“พี่ก้องเขาบอกแล้วไง หนูจำผิด เขาเป็นหลานพี่ป้อง”
“ให้พี่ดูเองดีกว่า หรือจะไม่พาไปก็ได้ พี่จะได้เล่นงานเธอจนถูกไล่ออก”
“ไม่รู้อยู่หรือเปล่านะ” จันทิมาบ่ายเบี่ยง
“พาพี่ไปเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงมาลัยพูดแทบเป็นตวาด
อ่านต่อตอนที่ 11