บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 1
บางน้ำผึ้ง ในปี พ.ศ. 2530 เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลชื่อเดียวกัน ที่รอบบริเวณยังเต็มไปด้วยลำคลอง เรือกสวนไร่นา ชาวบ้านละแวกนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการทำสวนผลไม้ เป็นส่วนใหญ่
เช้าวันนี้มาลา สาวสวยหน้าหวานวิ่งเหยาะๆ เข้ามาในสวนผลไม้หลังบ้าน วิ่งไปคอยหันไปมองข้างหลัง ประหนึ่งว่ากำลังหนีอะไรบางอย่างมา
มาลาวิ่งมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในสวน สักครู่หนึ่งจึงค่อยๆ โผล่หน้าพ้นต้นไม้ออกมามองไปทางที่วิ่งมาเมื่อครู่ แต่ไม่มีใครตามมา มาลาหน้าเสียนิดๆ แต่พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นปกป้องมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ปกป้องพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”
มาลาขยับจะหนี แต่ไม่ทันปกป้องคว้าเอวมาลาไว้ แล้วดึงเข้ามากอด
“ปล่อยซี” มาลาดีดดิ้นหนีการกอดกุมนั้น
ปกป้องยิ่งกอดกระชับแน่นขึ้น “ไม่ปล่อย จนกว่าจะได้มัดจำล่วงหน้า”
ที่แท้สองหนุ่มสาวคู่นี้หลบมาพลอดรักกันในสวน
มาลาดิ้นอยู่อีกนิดหน่อย แล้วจึงหัวเราะน้ำเสียงระรื่นออกมา
“พี่ป้องน่ะ จะมัดจำอะไรอีก”
“ก็พี่ต้องไปญี่ปุ่นตั้งอาทิตย์ ต้องเบิกล่วงหน้าก่อนซี”
“แค่อาทิตย์เดียวเอง”
“แค่อาทิตย์เดียว พี่ก็จะขาดใจแล้ว นะ ขอมัดจำหน่อยนะ”
พร้อมกับว่าปกป้องเริ่มระดมจูบมาลา มาลาหัวเราะคิกคัก เบี่ยงหน้าหลบซ้ายหลบขวา
“อย่าน่าพี่ เดี๋ยวที่บ้านมาเห็น จะเป็นเรื่องอีก”
“ไม่มีใครมาเห็นหรอก พี่สำรวจหมดแล้ว น่านะ”
ปกป้องซุกไซร้ซอกคอมาลา จนสาวเจ้าเริ่มออกอาการอ่อนระทวยลง แต่แล้วจู่ๆ มาลากลับพลิกตัวออก แล้ววิ่งหนีไปเฉยเลย ปกป้องหัวเราะแล้ววิ่งตาม
มาลาวิ่งหนีเข้ามาในสวน ปกป้องวิ่งตามมาจนทันคว้าเอวมาลาไว้ได้ ทั้งสองล้มลงไปบนทุ่งหญ้า ปกป้องค่อยๆ โน้มศีรษะลงไปจูบแก้มนวลของมาลาอย่างอ่อนหวานละมุนละไม
สองหนุ่มสาวปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงกำหนัดวาบหวามที่ปะทุขึ้นในใจ
ลมวูบใหญ่โหมพัดใบไม้ใบหญ้าไหวโอนอย่างรุนแรง ประหนึ่งอารมณ์ของเขาและเธอยามนี้
ตอนกลางวันอีกหลายวันต่อมา
รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านบานชื่น ประตูหน้าข้างคนขับเปิดออก นายทหารในชุดฝึกสวมรองเท้าบู้ธก้าวลงจากรถ เดินไปที่ประตูหลังเปิดประตูออก หยิบถุงทะเลสีเขียวขี้ม้าใบใหญ่ ซึ่งใส่ของไว้เต็มออกมาแล้วปิดประตู
รถแท็กซี่เคลื่อนออกไปแล้ว นายทหารยศร้อยเอกคนนั้นคือ ปองพล ลูกชาย บานชื่น กับ เช้า พี่ชายของปกป้อง นั่นเอง
ปองพลเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับถุงทะเล ร้องเรียกหา
“มีใครอยู่บ้านบ้างครับ”
บานชื่นโผล่หน้าออกมาจากครัว พอเห็นเป็นปองพลก็ยิ้มกว้าง รีบออกมาหา
“ทำไมกลับมาวันนี้ล่ะลูก”
บานชื่นเข้ามาหาลูกชาย ปองพลสวมกอดแม่ บานชื่นหอมแก้มปองพลซ้ายขวาราวกับเขายังเป็นเด็กน้อย
“พอแล้วแม่” ปองพลหัวเราะ
“แหม ไม่ได้อยู่ในกองร้อยจะอายใคร” บานชื่นถอนตัวจากปองพล แล้วหันไปทางหลังบ้านร้องเรียก “พ่อ ลูกชายกลับมาแล้ว”
เช้าโผล่หน้าเข้ามาทางประตูหลัง ในมือยังถือจอบอยู่ เช้าวางจอบแล้วเดินเข้ามา
“กลับมาได้ยังไง”
ปองพลไหว้ “สวัสดีครับพ่อ พอดีพาทหารไปเข้าป่าเสร็จ ก็ได้พักน่ะครับ”
“เสียดาย มาไม่ได้เจอน้อง”
“เจ้าป้องไปไหนเหรอครับ”
“เจ้านายเขาพาไปประชุมที่ญี่ปุ่น อีก 2-3 วันถึงจะกลับ เออ แต่แกมาก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ช่างเขาจะมารังวัดที่ดิน จะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อ”
“ก็มีโฉนดแล้วนี่ครับ ทำไมต้องรังวัดด้วย” ปองพลแปลกใจ
“โฉนดมันวัดผิดวัดถูกมั่วไปหมด ทั้งตำบลเขาเลยขอรังวัดใหม่กัน” เช้าบอก
“พวกกรุงเทพฯ เข้ามากว้านซื้อที่ไปทำหมู่บ้านน่ะ ชาวบ้านเห็นได้ราคาดีก็เลยจะขายกัน”
“แล้วแม่จะขายด้วยเหรอครับ”
“ขายแล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ แม่สอนหนังสืออยู่ที่นี่”
สามคนอยู่ในครัว ถุงทะเลของปองพลถูกวางลงบนพื้นมุมหนึ่งของห้องครัว
“พรุ่งนี้ผมต้องไปพบสัสดีจังหวัดน่ะครับ กว่าจะกลับก็ค่ำ แต่วันมะรืนน่ะว่าง” ปองพลบอก
“ช่างรังวัดเขานัดแล้วเลื่อนไม่ได้ ไม่เป็นไร คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เช้าว่า
“แล้วนั่นอะไร ขนผ้าเน่ามาให้แม่ซักอีกเหรอ” บานชื่นชี้ไปที่ถุงทะเล
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ ของฝาก”
ปองพลเปิดถุงทะเลออก ยกถุงพลาสติกใส่ผลแก้วมังกรหลายผลมาวางที่โต๊ะ แล้วทยอยเอากิ่งพันธุ์ต้นแก้วมังกรซึ่งตัดเป็นท่อนๆ ประมาณ 50-60 ท่อน ออกมา
เช้ามองงงๆ “เอาไม้ทำถ่านมาฝากเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ นี่เขาเรียกต้นแก้วมังกร”
ปองพลยิ้ม พลางเปิดถุงพลาสติกเอาแก้วมังกรออกมาลูกหนึ่งยื่นให้มารดา
“แม่เอาไปผ่าดูซีครับ แล้วตักเนื้อข้างในกิน อร่อยมากเลย”
บานชื่นรับมางงๆ แล้วไปหยิบมีดกับช้อนมา บานชื่นผ่าครึ่งลูก แล้วส่งให้เช้าพร้อมกับช้อน สองคนยังเกร็งๆ ปองพลพยักหน้าให้ลองชิม สองคนเลยตักกิน แล้วพากันอึ้งๆ ไป
ปองพลยิ้มขำ “อร่อยใช่ไหมละครับ”
บานชื่นพยักหน้า “อืม กินแล้วสดชื่นดี”
“ไม่เคยเห็น ไปเอามาจากไหน”
“ไร่ของผู้การครับ แกได้ต้นพันธุ์มาจากเวียดนาม ผมบอกว่าที่บ้านมีสวน แกเลยแบ่งมาให้ลองปลูกดู” ปองพลหยิบกิ่งพันธุ์ขึ้นมาพลางอธิบายสรรพคุณ “ปลูกง่ายมากเลย ไม่ต้องบำรุงรักษามาก แต่ให้ผลดี ผมว่าเป็นต้นไม้ที่มีอนาคต”
เช้ามองต้นพันธุ์กองเบ้อเริ่มที่ปองพลเอามา
“แล้วเอามาทำไมเยอะแยะ ลองปลูก 2-3 ต้นก็พอ”
ปองพลเอามาฝากบ้านอื่นด้วยครับ กะจะให้ปลูกกันทั้งตำบลเลย แต่ทยอยๆทีละบ้านสองบ้านก่อน
ทั้งเช้าและบานชื่นนิ่งงันไป ปองพลสังเกตเห็นอาการพ่อกับแม่ “ทำไมเหรอครับ มีอะไร”
“บ้านไอ้เทศไม่ต้องเอาไปให้มันนะ” เช้าบอก
“มีปัญหากันอีกเหรอครับ”
“เขาชวนทะเลาะเกือบทุกวัน” บานชื่นว่า
ปองพลงงมาก “แต่ก่อนก็เห็นรักกันดีนี่ครับ มีอะไรก็แบ่งปันกันตลอด”
“หลังๆ นี่มันเห็นแก่ตัวกันไปหมด ไอ้ที่ต้องรังวัดที่ใหม่ ก็เพราะมันนี่แหละ” บานชื่นย้ำ
“บางทีแก้วมังกรนี่ อาจจะช่วยให้สองบ้านคืนดีกันก็ได้นะครับ” ปองพลว่า
บานชื่นตัดบท “จะให้ดีไม่ต้องไปยุ่งกับเขาดีกว่า เดี๋ยวแม่จะไปแจกครูที่โรงเรียนเอง”
ปองพลอึ้ง นิ่งงันไป คล้ายมีอะไรอยู่ในใจ
เวลาเดียวกัน มาลัยยืนถือกล่องไปรษณีย์อยู่ที่หน้าบ้าน คอยชะเง้อมองไปทางสวน สักครู่หนึ่งจึงเห็นมาลากับมาลีจึงเดินออกมา สองคนเพิ่งกลับจากไปดูแลสวน
มาลัยเดินมานั่งที่ม้าหินหน้าเรือน โบกมือเรียกพี่สาว
“พี่มาลา มาเร็วๆ”
“พี่มาลัยน่ะ ไม่ไปช่วยกันเลย” มาลีต่อว่า
มาลัยอ้าง “ก็พี่ไปรับของ”
“แล้วได้มาไหมล่ะ” มาลาถาม
“ได้ซี นี่ไง” มาลัยยกกล่องไปรษณีย์ให้พี่สาวกะน้องสาวดู
สามสาวนั่งลงที่ม้าหิน มาลัยส่งกล่องให้พี่ มาลาพิจารณาดูกล่องของรางวัลที่ได้จากการส่งฉลากไปชิงโชค
“เกิดมาเพิ่งจะส่งชิงโชคแล้วได้รางวัลนี่แหละ ต้องขอบใจแรงยุจากมาลัย”
“แหม ก็ดวงพี่มันบอกว่าจะได้ลาภ จะไม่ยุได้ไง”
มาลีเร่ง “แกะเลยพี่”
มาลาแกะกล่องนั้น หยิบกล่องกำมะหยี่ที่อยู่ข้างในออกมา มาลีมองตาโต
“โอ้โห สวยมาก”
มาลาขำ “นี่ขนาดแค่กล่องนะ”
มาลัยหัวเราะด้วย ตีมาลีเบาๆ “รายนี้ก็เวอร์ซะ”
มาลีหัวเราะคิกคัก “สร้างบรรยากาศหน่อย”
มาลาเปิดกล่องกำมะหยี่ออก ทำเสียงประกอบ
“แต่นแต้น....”
แล้วจึงหยิบของในกล่องออกมา ปรากฏว่าเป็นนาฬิกาผู้หญิง ดูสวยมาก
“คุ้มกับที่ใช้แชมพูยี่ห้อนี้มาตลอดชีวิต”
มาลีเนื้อเต้น “สวยจังพี่ ท่าทางแพงเลยนะ”
มาลามองมายังมาลัย เห็นมาลัยเอาแต่มองนาฬิกานิ่งๆ
“ว่าไงมาลัย สวยไหม” มาลัยเหมือนไม่ได้ยิน จนมาลาต้องเรียกดังขึ้น “มาลัย”
มาลัยรู้ตัว “จ๋า”
“ถามว่าสวยไหม”
มาลัยยิ้ม “สวยซีพี่ สวยมากเลย”
“ชอบไหม”
“ชอบจ้ะ”
“งั้น” มาลายื่นนาฬิกาให้มาลัย “พี่ยกให้มาลัย”
มาลัยอึ้ง “พี่ว่าไงนะ”
“ถ้ามาลัยชอบ พี่ก็ให้มาลัยไว้ใช้”
“ได้ไงพี่ ก็พี่ได้รางวัลมา”
“พี่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน มาลัยไปข้างนอกทุกวัน มันเหมาะกับมาลัยมากกว่า แล้วจริงๆมาลัยเป็นคนยุให้พี่ส่งชิงโชค มันควรเป็นของมาลัยมากกว่า”
มาลัยเกรงใจ “แต่ว่า...”
“พี่มาลัยไม่เอา ให้มาลีละกัน” มาลีว่าพลางยื่นมือมาจะรับไว้เอง
“เฮ้ เอาซี” มาลัยรีบหยิบนาฬิกามาจากมาลาโดยไว
“ลองใส่ดูซิ”
มาลัยใส่นาฬิกา แล้วยกแขนให้ดู
“พอดีเลย” มาลามองมาลีเห็นมองนาฬิกาอยากได้เหมือนกัน “ของมาลี ไว้รอวันเกิดนะ”
“จริงนะพี่” มาลีไหว้ประจบ “ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ”
มาลัยมองชื่นชมนาฬิกาบนข้อมือตัวเองครู่หนึ่ง แล้วจึงหันมามองพี่สาว เห็นมาลาเอาแต่ยิ้มก็อดถามไม่ด้ว่า “แล้วพี่ไม่เสียดายเหรอ”
“พี่เห็นมาลัยมีความสุข พี่ก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
มาลัยยิ้ม แล้วลุกขึ้น เข้ามาหอมแก้มมาลา “ขอบคุณค่ะพี่สาวที่น่ารัก”
มาลาหอมน้องกลับ แล้วหันมาหอมมาลีด้วย มาลีจักกะจี้
สามศรีพี่น้อง "สามมา" หัวเราะหัวใคร่ให้กัน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 1 (ต่อ)
ดาวรายนั่งยองๆ อยู่ในห้องเก็บของหลังร้าน ตรวจดูสินค้า พร้อมกับจดจำนวนสินค้าไปด้วย สักครู่หนึ่ง ดาวรายจึงลุกขึ้น แต่พบว่าพันลือมายืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดาวรายตกใจ
“โอ๊ะ พี่พันลือน่ะ”
“ตกใจเหรอ” พันลือมองดาวรายตาเชื่อม
“ก็ตกใจซี อยู่ดีๆ เข้ามาเงียบๆ”
“ถ้าตกใจแบบนี้ ก็ต้องให้พี่ปลอบน่ะซี”
ดาวรายรู้ทัน “มุกนี้ไม่เบื่อเหรอ”
พันลือขยับเข้ามาใกล้ดาวราย “พี่จะเบื่อได้ยังไง ในเมื่อดาวรายของพี่น่ารักขนาดนี้”
“ก็พูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน”
“พี่สาบาน พี่พูดกับดาวรายคนเดียวเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ดาวรายจะเมตตาพี่บ้าง”
พร้อมกับว่าพันลือยื่นหน้าเข้าไปจะหอมแก้ม ดาวรายฉากหลบถอยออก พันลือตามเข้าไปแล้วกอดเอวดาวรายไว้
“มาให้พี่ปลอบนะคนดี”
“อย่ามาเจ้าชู้กับฉันนะ” ดาวรายผลักพันลือออก แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย
“โธ่ พี่จริงใจนะดาวราย”
“แล้วมาลาล่ะ” พันลือชะงัก แต่ยังไม่ยอมปล่อยดาวราย สองคนจ้องตากันอยู่
เสียงหมวยดังเข้ามา
“อาดาวราย ลื๊ออยู่ไหน”
ทั้งพันลือและดาวรายตกใจ รีบแยกออกจากกัน หมวยเข้ามาหลังร้าน พอเห็นพันลืออยู่กับดาวรายสองต่อสองก็หน้าตึงตาขวาง ไม่พอใจ
“มาทำอะไรในนี้”
“มาซื้อของ” พันลือบอก
“ซื้อของก็อยู่หน้าร้านซี”
“มันหาไม่เจอ เลยมาช่วยดาวรายเขาหา” พันลือหันมาหาดาวราย “ใช่ไหม ดาวราย”
ดาวรายพยักหน้าสมอ้าง “จ้ะ หม่าม้า”
หมวยมองพันลืออย่างไม่เชื่อ แล้วจึงหันมามองลูกสาว “อีจะเอาอะไร”
ดาวรายอึกอัก ไม่รู้ มองมายังชายหนุ่ม พันลือรีบบอก
“น้ำพริกเผาไง แบบเผ็ดน้อย”
“ที่นี่ไม่มีหรอก เผ็ดน้อย มีแต่เผ็ดมากๆ” หมวยบอก
“นั่นไง มิน่าถึงหาไม่เจอ ไว้วันหลังหม่าม้าเอามาขายด้วยซี” พันลือตามน้ำไป
“ไม่ขาย ชาวบ้านเขากินแต่เผ็ดมากกัน อ้อ แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันหม่าม้า”
“แหม ก็คนบ้านเดียวกัน งั้นผมไปก่อนละกัน สงสัยต้องไปซื้อที่พระปะแดง แล้วมาอุดหนุนใหม่นะครับ”
พันลือรีบไหว้ลาเตรียมชิ่ง หมวยรับไหว้ส่งๆ พันลือหันมาส่งยิ้มให้ดาวรายก่อนออกไป ดาวรายยิ้มตอบ แล้วพันลือก็ออกไป
หมวยหันมาเห็นดาวรายยิ้มก็ไม่พอใจ “ยิ้มทำไม หม่าม้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ยุ่งกับมัน”
“ก็เขาเป็นลูกค้า”
“มันจะมาเกาะแกะลื้อน่ะซี ม้าไม่ชอบมัน ถึงจะเป็นลูกกำนันก็เถอะ มันเป็นนักเลงหัวไม้ แล้วยังเจ้าชู้ไปเรื่อยอีก แหม อยู่ดีๆ แอบเข้ามาหาลูกสาวอั๊วหลังร้าน”
“ม้าก็ ไม่มีอะไรหรอกน่า”
ดาวรายเดินออกไปที่หน้าร้าน หมวยมองตามไปอย่างไม่พอใจ
บานชื่นขี่รถมอเตอร์ไซค์ยอดนิยมสำหรับผู้หญิงยุคนี้ เข้ามาจอดหน้าบ้าน จวงเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านติดกันรีบเข้ามาหาด้วยท่าทางอันร้อนรน
“ครูคะครู เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
“ใครมีเรื่องอะไรกัน”
“ก็นายเช้าผัวครูน่ะซี ทะเลาะกันกับนายเทศ จะฆ่ากันตายอยู่แล้ว”
บานชื่นมองหา “ที่ไหน”
“โน่น” จวงชี้ไปยังทุ่งหน้าหลังบ้าน “ที่นาโน่น”
บานชื่นรีบออกไปทันที
ใต้มะม่วงต้นใหญ่ในที่นาของบานชื่นและเช้า ซึ่งเวลานี้มีลูกออกเต็มต้น แลเห็นเช้ากำลังทะเลาะหน้าดำหน้าแดงกับเทศ มีบัวผันอยู่ฝั่งนายเทศผู้เป็นสามี
“จะเป็นมะม่วงของแกได้ยังไง มันขึ้นอยู่ในที่ดินฉัน ก็ต้องเป็นของฉันซี”
“ก็เมียฉันเป็นคนปลูกกับมือ มันจะเป็นของแกได้ยังไง” เทศอ้าง
เช้าฉุนเสียงดังขึ้น “แต่มันอยู่ในที่ฉัน ต้องเป็นของฉัน”
เทศไม่ยอมแพ้โต้เสียงดังกลับไม่แพ้กัน “ของฉัน”
เช้าเสียงดังกว่าเดิม “มันเป็นของฉัน”
เทศดังกว่าแทบเป็นตะคอก “บอกว่าของฉัน”
บานชื่นเข้ามาสมทบ
“ทะเลาะอะไรกัน”
“ก็ตาเช้าน่ะซี อยู่ดีๆ มาตู่ว่าต้นมะม่วงนี่เป็นของเขา” บัวผันบอก
บานชื่นหันมาหาผัว “ต้นนี้ของบัวผันเขานี่”
“แต่ก่อนน่ะใช่ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว”
บานชื่นงง “ยังไง”
“วันนี้ที่ดินเขามารังวัดที่ให้ใหม่ บ้านไอ้เทศน่ะมันรุกที่ดินเรา” เช้าอธิบาย
เทศไม่ยอม “รุกอะไร ก็อยู่กันมาแบบนี้ตั้งแต่ปู่แต่ย่า”
“ก็รุกที่มาตั้งแต่ปู่แต่ย่าไง” เช้าแดกดัน
บัวผันไม่พอใจ “มากไปแล้วนะตาเช้า”
“มากยังไง ก็มันจริงนี่หว่า” เช้าไม่ยอม
“มันด่าถึงปู่ถึงย่าแบบนี้ กูไม่ทนแล้วเว๊ย”
เทศโมโหถึงขีดสุด ยกจอบที่วางอยู่ที่พื้นขึ้นมา เหมือนจะฟาดใส่เช้า บานชื่นตกใจ รีบเข้ามาขวาง
“จะทำอะไร จะฆ่ากันเลยเหรอ”
บัวผันเองก็ตกใจ รีบมาดึงตัวเทศออก
“อย่านะพี่ ไม่เอา”
เทศฮึดฮัด “ก็มันด่าถึงปู่ย่าแบบนี้ ยอมได้ไง”
บัวผันปรามผัว “ไปกันใหญ่แล้ว พอเหอะ ฉันรู้แล้วเอาไงดี”
เทศยอมลดจอบลง
“ยังไง”
บัวผันมองหน้าผัว แล้วหันมาบอกกับบานชื่นและเช้าว่า “แบ่งกันคนละครึ่ง”
ทุกคนชะงักไปกับข้อเสนอของบัวผันทั้งแถบ
“ฉันยอมให้พวกแกแบ่งมะม่วงไปครึ่งนึง”
“ทำไมต้องแบ่ง ในเมื่อฉันมีสิทธิ์ในมะม่วงต้นนี้ทั้งต้น” เช้าไม่เอาด้วย
เทศฉุนขาดยกจอบขึ้นมาอีก “ขอกูซักทีเถอะวะ”
เช้ายกการ์ดเตรียม “เอาซีวะ”
บานชื่นตวาด “พอแล้ว” เช้าชะงัก เทศก็ด้วย “บัวผันเขายอมแบ่งให้ตั้งครึ่งก็น่าจะพอใจแล้ว”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่” เช้าเงียบไป บานชื่นหันมาพูดกับบัวผัน “ก็เอาตามที่บัวผันเสนอก่อนละกัน แล้วยังไงเราค่อยคุยกันอีกที”
บัวผันพยักหน้ารับเอาคำ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกพอใจเท่าไหร่
เช้าเดินหงุดหงิดบ่นเข้าในห้องรับแขกบ้าน บานชื่นตามเข้ามาด้วย
“รู้ไหม มะม่วงเต็มต้นขนาดนั้นน่ะ ขายได้เป็นหมื่นเลยนะ”
“ครึ่งนึงก็ครึ่งหมื่นแล้วไม่ใช่เหรอ แค่นี้ไม่พอใจหรือไง”
บานชื่นโบกมือไม่อยากจะคุยต่อ ปองพลออกมาจากในครัวพอดี
“กลับมาแล้วเหรอครับ พ่อกับแม่เห็นต้นแก้วมังกรผมไหมครับ หายไปไหนหมดไม่รู้”
“ฉันเอาไปแจกชาวบ้านหมดแล้ว” เช้าบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วเอาไปให้บ้านมาลัยหรือเปล่าครับ”
“บ้านนั้นน่ะ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาแล้ว” บานชื่นบอก
ปองพลชะงักนิดๆ “ทำไมล่ะครับ”
“พ่อเขาเพิ่งทะเลาะกับบ้านนั้น”
“เรื่องอะไรอีกล่ะครับคราวนี้”
“ก็เรื่องรังวัดที่ดินใหม่นั่นแหละ ปรากฏว่าต้นมะม่วงของบัวผัน มันอยู่ในเขตที่ดินเรา” ปองพลอึ้งไป “พ่อเขาไม่ยอม จะยึดต้นมะม่วงมาเป็นของเรา เลยทะเลาะกันยกใหญ่ ที่สุดบัวผันเขาขอต้นมะม่วงไว้ แต่เขาจะยกผลให้เราครึ่งนึง แม่ก็ขอให้จบแค่นั้น”
“พ่อนี่ก็เหลือเกิน ก็ยังดีที่จบลงได้ครับ” ปองพลว่า
“แม่ไม่แน่ใจน่ะซี เคยเก็บมะม่วงขายได้เงินเยอะแยะทุกปี ปีนี้ต้องมาแบ่งให้เรา ถึงจะยอมดีๆ แต่ก็คงนึกไม่ชอบอยู่” บานชื่นประเมินเหตุการณ์
ปองพลยิ้ม “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมก็แล้วกัน ผมจะช่วยคุยกับเขาให้ จะฝากให้มาลัยไปพูดกับพ่อแม่เขา”
“ถ้ายังดื้อจะไปยุ่งกับบ้านนั้น แม่ก็อยากจะบอกว่า แม่ชอบคนโตมากกว่า มาลาน่ะเป็นคนเรียบร้อย เป็นกุลสตรี แต่มาลัยนี่...”
“มาลาไม่เหมาะกับผมหรอกแม่ นิ่งเป็นหุ่นแบบนั้น ผมอยู่ในกองร้อยก็มีแต่เรื่องเครียด ถ้าทั้งชีวิตต้องมาจมอยู่กับเขา ผมเครียดตายแน่” ปองพลหยุด คิดถึงมาลัยแล้วยิ้มออกมา “แต่ถ้าเป็นมาลัย เขาจะเปลี่ยนโลกที่น่าเบื่อของผม ให้กลายเป็นโลกที่สดใส”
ปองพลฝันหวานไป บานชื่นมองลูกชาย ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
วันรุ่งขึ้น มาลัยอยู่ในชุดสวยนำสมัย เดินออกมาหน้าเรือน
“เป็นไงชุดนี้”
มาลากำลังเตรียมผักทำกับข้าวอยู่ที่ม้าหิน เด็ดผักไปคุยกับน้องไปใบหน้ายิ้มละไม
“สวยจ้ะ เหมาะกับน้องสาวพี่มากเลย”
“จริงๆ นะ ชอบพูดเอาใจน้องอยู่เรื่อย”
“จริงอยู่แล้ว น้องพี่น่ะใส่อะไรก็สวย จะไปเที่ยวไหนอีกล่ะ”
“ว่าจะไปดูคอนเสิร์ตพี่ชมพู ฟรุตตี้ แต่ยังหาหนุ่มพาไปดูไม่ได้”
“จะให้เชื่อเหรอว่าไม่มีใครชวน” มาลากระเซ้า
“ก็มันจริงนี่”
มาลานิ่งคิดนิดหน่อย “นี่ พี่ไปตลาดมาเมื่อเช้า แม่ค้าเขาบอกว่าผู้กองปองพลเขาลากลับมาบ้านเมื่อวาน ลองถามเขาดูซี เขาต้องพามาลัยไปแน่”
“พี่ปองน่ะเหรอ แหวะ ซึมกระทือจะตาย แต่ถ้าเป็นพี่ป้องคนน้องล่ะก็ โอเคอยู่”
มาลาชะงัก เมื่อมาลัยพูดถึงปกป้อง
“ผู้กองน่ะเขาสนใจมาลัยนะพี่ดูออก อีกอย่างเขาเป็นนายทหารนะ มั่นคงดีออก”
“แต่มาลัยชอบคนที่มีชีวิตชีวา”
“แล้วก็ช่างเอาอกเอาใจด้วย” มาลาล้อ
“แน่นอน การที่เขาเอาใจเรา มันทำให้เรารู้ว่าเราสำคัญสำหรับเขาแค่ไหน”
“ผู้ชายที่เอาใจเก่งเขาว่าเจ้าชู้นะ สู้คนที่พูดไม่เก่ง นิ่งๆ เงียบๆ ไม่ได้”
มาลาชะงัก เมื่อมองผ่านมาลัยไปที่ทางเข้าบ้าน
“อายุยืนจัง พูดถึงก็มาเลย”
มาลัยหันมองตาม เห็นปองพลในชุดลำลองเดินเข้ามา ในมือหิ้วถุงขนมมาด้วย มาลัยแอบเบ้ปาก มาลาเหลือบมองน้องสาวแล้วยิ้มขันนิดๆ
“สวัสดีครับ มาลัย มาลา พี่มีขนมมาฝาก”
“สวัสดีค่ะ ขนมอะไรเหรอคะ” มาลาทักตอบ
“มีเค้ก แล้วก็เอแคลร์”
มาลายิ้ม “ของโปรดมาลัยเลย”
“ใครบอก เลิกชอบแล้ว กินแล้วอ้วนจะตาย” มาลัยว่า
“อ้าว เหรอครับ งั้นไม่เป็นไร ให้พ่อเทศกับแม่บัวผันทานก็ได้ คิดว่าแทนคำขอโทษที่พ่อพี่สร้างปัญหาให้ท่านเมื่อวาน”
ปองพลยื่นถุงขนมให้ แต่มาลัยยังไม่ยอมรับ มาลาเลยลุกขึ้นมารับแทน
“ดีเหมือนกันค่ะ จะได้ดับอารมณ์ร้อนลงหน่อย เมื่อเช้าได้ยินบ่นเสียดายต้นมะม่วงอยู่” มาลาก็หยิบถาดผักขึ้นมา “คุยกันตามสบายนะคะ มาลาต้องไปดูกับข้าวก่อน”
มาลาเดินเข้าบ้านไปเลย มาลัยหันมาจะเรียกแต่ไม่ทัน
“พี่”
มาลัยหันมา เห็นปองพลมองเธอนิ่งอยู่ ก็ยิ้มเจื่อนๆให้
มาลัยเดินเอากระป๋องฝักบัวมารองน้ำจากก๊อก เพื่อไปรดน้ำแปลงผักสวนครัว
“ขอทำงานไปด้วยนะ ไม่รู้ว่าพี่จะมา”
“ตามสบายเลย” ปองพลเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเหมือนนึกอะไรได้ “ให้ช่วยไหม”
“อ๋อ ไม่ต้องหรอก”
มาลัยรองน้ำเสร็จ เดินไปรดน้ำแปลงผัก
ปองพลเดินตามชวนคุย “มาลัยดูสดชื่นแจ่มใสดีนะ”
“เหรอ ก็เหมือนๆ เดิม”
“หรือจะเป็นเพราะชุดที่ใส่ ชุดนี้สวยดี แต่ไม่ค่อยเหมาะจะใส่รดผัก”
“พอดีลองชุดใหม่น่ะ แล้วนึกได้ว่าแม่สั่งให้รดน้ำผัก แล้ว เอ่อ มาลัยยังต้องทำงานอีกหลายอย่างเลย ถ้าเบื่อพี่ไปคุยกับพี่มาลาก็ได้นะ” มาลัยพยายามตัดบท
“คุยกับมาลัยพี่ไม่เบื่อหรอก”
มาลัยแอบเบะปากอีก
“เออ แล้วพักนี้พี่ป้องหายไปไหนเหรอ ไม่ค่อยเห็นเลย”
“เห็นแม่บอกเจ้านายเขาพาไปประชุมต่างประเทศ”
“ประเทศไหนเหรอ”
“ญี่ปุ่น”
“โห ไปถึงญี่ปุ่นเลยเหรอ มาลัยอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมาตั้งนานแล้ว น่าจะพามาลัยไปด้วย”
“จะพาไปได้ยังไง ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซักหน่อย”
“งั้นก็ต้องเริ่มเป็นอะไรกับพี่ป้องก่อนซีนะ เอ เป็นอะไรดีล่ะ”
ปองพลอึ้ง นิ่งงันไป
มาลีเดินมาตามทาง ในมือมีแฟ้มใส่ชี้ตและหนังสือเรียน ปองพลหันไปเห็นพอดี มาลีไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะพี่ปอง”
ปองพลรับไหว้ “สวัสดีจ้ะ จะไปไหนเหรอ”
“ว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบที่ท่าน้ำหน่อยค่ะ พรุ่งนี้สอบแล้ว”
“ดีจ้ะ สอบได้คะแนนสูงๆ ก็จะมีทางเลือกมากขึ้น”
มาลียิ้มรับเอาคำ แล้วเดินผ่านทั้งสองออกไป
“พี่น่าจะไปช่วยมาลีติวนะ จะได้สอบได้คะแนนสูงๆ” มาลัยบอก
“ไม่ไหวมั้ง หลักสูตรสมัยนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่เหมือนกับตอนพี่เรียน อีกอย่าง พี่อยากอยู่คุยกับมาลัยมากกว่า”
“คุยกับมาลัยเมื่อไหร่ก็ได้”
“ใครจะไปรู้ นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกันก็ได้”
“พูดอะไรอย่างนั้น พี่ปองพล”
มาลัยมอง ก็เห็นปองพลยิ้มให้ มาลัยยิ้มเจื่อนๆ
มาลีนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ใช้ปากกาทำไฮไลท์เนื้อหาไปด้วย สักครู่หนึ่ง มาลีหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ขึ้น เปิดอ่านชี้ตในแฟ้ม จะเห็นชี้ตบางแผ่นไม่ได้เสียบกับเหล็กแฟ้ม มาลีอ่านชี้ต แล้วพลิกอ่านไป ครู่หนึ่ง มีลมแรงพัดมา ชี้ตในแฟ้มเริ่มพลิกไปเรื่อยๆ แล้วทันใดชี้ตที่ไม่ได้เสียบไว้ก็ปลิวออกจากแฟ้ม ตกลงไปในน้ำในคลอง ชี้ตวิชาคณิตศาสตร์ลอยน้ำอยู่ มาลีเดินมาดูที่ริมท่าน้ำ
“โอ๊ย วิชาคณิตศาสตร์ด้วย”
มาลีหันซ้ายหันขวา เพราะว่ายน้ำไม่เป็น แล้วเห็นไม้รวกยาวประมาณ 2 เมตร วางอยู่ จึงตรงไปหยิบไม้นั้นมา แล้วขึ้นไปยืนที่บันไดท่าน้ำ ยื่นไม้ออกไปเขี่ยชี้ตนั้นกลับเข้ามา แต่ไม้ยาวไม่พอ มาลีขยับออกไปอีก แล้วยื่นไม้ออกไปใหม่ แต่ไม้ก็ยังไม่ถึง มาลีขยับออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เหยียบพลาด พลัดตกลงไปในน้ำทันที
“ช่วยด้วย”
มาลีตกใหญ่พยายามดิ้นรนให้พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ร่างมาลีกลับจมลงไปในน้ำ
ปองพลเดินมาตามทางเดินในสวนผลไม้ไปทางท่าน้ำ เพื่อกลับบ้าน ไม่วายหันหลังมองไปทางแปลงผักของบัวผันพร้อมกับยกมือโบกลาให้มาลัย
“แล้วพรุ่งนี้มาใหม่นะ”
มาลัยพยักหน้าแบบซังกะตาย แล้วออกไป
ปองพลหันกลับ เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินจนใกล้ถึงท่าน้ำ พอมองไปที่ศาลาเห็นเพียงหนังสือกับแฟ้มวางอยู่ แต่ไม่เห็นมาลี ก็รู้สึกแปลกใจ
ปองพลเหลียวมองหาไปรอบๆ บริเวณ ก็ไม่เห็นมาลี จึงเดินตรงไปที่ศาลาท่าน้ำ
ปองพลเดินมาใกล้จะถึงศาลาท่าน้ำ จู่ๆ มาลีก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากน้ำ พยายามจะเอาชีวิตรอด แต่แล้วก็จมลงไปอีก ปองพลวิ่งขึ้นมาบนศาลา มองลงไปในน้ำตะโกนเรียก
“มาลี มาลี”
มาลีประคองตัวอยู่บนผิวน้ำร้องคำว่า “ช่วย” ออกมาได้คำเดียว ก็จมหายลงไปอีก
ไวเท่าความคิด ปองพลตัดสินใจถอดรองเท้า กระโดดลงไปช่วยทันที ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ แล้วทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจ ยังหามาลีไม่เจอ พร้อมมองหา ไปรอบๆ ตัว ปองพลหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดำลงไปใหม่
โดยที่ใต้ผืนน้ำปองพลเห็นร่างมาลีลอยอยู่ไม่ไกล รีบดำลงไปช่วยดึงมาลีขึ้นมาจากน้ำ โผล่พรวดขึ้นพ้นน้ำ
มาลีเหมือนจะหมดสติ ปองพลพยายามลอยตัวอย่างยากลำบาก มีจมลงไปนิดหน่อย แล้วปองพลก็พยายามว่ายพามาลีไปจนถึงบันไดท่าน้ำ เอาตัวมาลีวางไว้ตรงบันไดท่าน้ำ มาลีเริ่มรู้สึกตัว สำลักน้ำพรวด มาลีมองหาปองพล โดยไม่รู้ว่าปองพลกำลังเป็นตะคริว
ปองพลพยายามลอยตัว แต่เขาก็ทำต่อไปไม่ไหว ร่างของปองพลกลับจมลงไปในน้ำ
มาลีเห็นปองพลจมน้ำไปต่อหน้าต่อตาก็ใจหายใจคว่ำ ตกใจสุดขีดร้องเรียกให้คนช่วย
“พี่ปอง...พี่ปอง ช่วยด้วยๆๆ”
เสียงร้องของมาลีลอยมาถึงหน้าบ้าน มาลัยได้ยินจึงตะโกนเรียกมาลา
“พี่มาลาๆๆ มาลีเป็นอะไรไม่รู้”
สองสาวเดินเร็วรี่มาตามทางเดิน ด้วยท่าทางร้อนรน
“แน่ใจเหรอว่าเสียงมาลี”
“มาลัยว่าใช่นะ ร้องเรียกให้ช่วย”
“ไม่เห็นได้ยินอะไร”
สองคนเดินมาจนใกล้ถึงศาลาท่าน้ำ มองเข้าไปเห็นมาลีนั่งอยู่ที่พื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“พี่ นั่นมาลีนี่”
สองคนรีบวิ่งไปที่ศาลาท่าน้ำโดยไว
มาลีนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่ในศาลาท่าน้ำ มาลากับมาลัยวิ่งขึ้นมาหา มาลาลงไปนั่งข้างน้อง มาลีหันมากอดมาลาร้องไห้
“ทำไม มีอะไร” มาลาถาม
มาลีร้องไห้ไปด้วย “พี่ปอง พี่เขา...”
มาลัยลงมานั่งด้วย “พี่เขาเป็นอะไร เขาไปไหน”
มาลีสะอื้นหนัก “หนูตกน้ำ เขาลงไปช่วยหนู แล้วเขา...เขา...ก็จมน้ำลงไป”
มาลาตกใจ “อะไรนะ”
มาลัยลุกพรวด มองลงไปในคลอง แต่ไม่มีวี่แววของปองพลเลย มาลากอดน้องไว้ มาลีร้องไห้ไม่หยุดหย่อน
วันต่อมาร่างของปองพลในเครื่องแบบนายทหารปกติขาวนอนอยู่บนตั่งที่จัดเตรียมไว้รดน้ำศพ บนศาลาสวดศพในวัดประจำหมู่บ้านบางน้ำผึ้ง
บานชื่นทำใจไม่ได้นั่งกับพื้นอยู่ข้างๆ ลูกชายสะอื้นไห้อยู่ มือก็กุมมือของปองพลไว้ไม่ยอมปล่อย บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า
“ไหนลูกสัญญาว่าจะอยู่เลี้ยงแม่ ทำไมมาด่วนจากแม่ไปแบบนี้” ร้องไห้สะอื้น)
ภายในศาลายามนี้ มีแขกนั่งอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง มี จวง เพื่อนบ้าน หมวย ลาน ผัวเมียพ่อค้าในตลาด กับดาวราย ลูกสาว และชาวบ้านที่มักคุ้นกัน
เช้ายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าศาลา
สักครู่หนึ่ง มัคนายกที่มักคุ้นกันเดินเข้ามาหาเช้า
“เช้า เมื่อกี้ลูกชายโทร.มา”
“เจ้าป้องน่ะเหรอ”
“อืม เขาบอกกำลังตรงมาที่นี่ ซักครู่ใหญ่ๆ ก็คงถึง”
เช้าพยักหน้ารับรู้ “ขอบใจนะ”
ดาวรายมองมาที่เช้า แล้วลุกเดินมาหา
“คุณลุงมีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ มีเด็กช่วยแล้ว”
ดาวรายมองหา “เอ ไม่เห็นพี่ป้องเลยค่ะ”
“กำลังเดินทางมาแล้ว”
ดาวรายพยักหน้ารับเอาคำดังกล่าว
เช้าเดินออกมารับแขกที่หน้าศาลาสวดศพ เจอกำนันมาก และขิมผู้เป็นเมีย พร้อมกับพันลือลูกชายเดินเข้ามา ทั้งสามไหว้เช้า ที่รับไหว้หน้าเศร้า
“เสียใจด้วยนะตาเช้า”
“เสียใจด้วยว่ะ”
“ขอบใจนะกำนัน แม่ขิม พ่อพันลือ”
ทุกคนมองไปยังบานชื่นในศาลา บานชื่นยังคงใช้มือหนึ่งกุมมือปองพล อีกมือเขี่ยผมให้ลูกชาย พร่ำพูดอะไรกับร่างของปองพล พร้อมกับร้องไห้สะอื้นไม่หยุดไม่หย่อน
“ให้เขาอยู่กับลูกชายอีกซักพักเถอะ รอรดน้ำก่อน แล้วค่อยไปคุยกับเขา” เช้าว่า
“เป็นฉันก็คงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง” ขิมเข้าใจ
ทุกคนรู้สึกเห็นใจบานชื่น พันลือเองก็รู้สึกเศร้าไปด้วย
“พี่ปองไม่น่าอายุสั้นเลย”
“เข้าไปนั่งรอในศาลากันก่อนก็แล้วกัน”
เช้าผายมือเข้าไปในศาลา
ทุกคนเดินเข้าไป เห็น หมวย ลาน และดาวราย นั่งอยู่มุมหนึ่ง พันลือมองนิ่งไปที่ดาวราย อีกฝ่ายหันมามองตอบ สองคนสบตากันแว่บหนึ่ง หมวยหันมามองดาวรายตาเขียว ดาวรายก้มหน้างุดหลบตา พันลือเสมองไปที่ลานวัด แล้วชะงักเมื่อเห็นใครบางคน
“ไป ไปนั่งข้างใน” มากว่า
“เดี๋ยวผมตามไปนะพ่อ”
พันลือผละออกไป เช้าเดินนำกำนันมากกับขิมเข้าไปในศาลา
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 1 (ต่อ)
ครอบครัวของบัวผันเดินมาด้วยกัน มีเทศ บัวผัน มาลา มาลัย และมาลี ทุกคนกำลังเดินตรงไปที่ศาลา พันลือรีบเข้ามาขวาง
“จะไปไหนกันครับ”
“ก็ไปรดน้ำผู้กองไง” บัวผันบอก
“ผมว่าอย่าเลยครับ อย่าเพิ่งตอนนี้เลย” พันลือห้ามไว้
“อะไรของแกวะ” เทศงง
“คือตอนนี้ครูแกกำลังเสียใจมาก แกนั่งร้องไห้จับมือผู้กองไว้ไม่ยอมปล่อยเลย ถ้าพวกน้าเข้าไป ผมกลัวว่า...”
มาลีใจเสียเห็นด้วย “กลับเถอะแม่ หนูก็ไม่อยากเข้าไป”
“กลับได้ยังไง อุตส่าห์มาแล้ว ที่สำคัญ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย” มาลัยว่า
“เชื่อพี่เถอะ ให้ครูเขาสงบใจอีกหน่อย มาวันเผาเลยก็ได้” พันลือมองมาทางมาลาขอร้อง “นะ มาลา พาพ่อกับแม่แล้วก็น้องๆ กลับบ้านไปก่อนเหอะ”
“มาลาว่าเราควรจะมาวันนี้แหละถูกแล้ว มาให้ครูเขารู้ว่าเราเสียใจแค่ไหน” มาลาบอกหนักแน่น
พันลือเครียดจัด “โธ่ เชื่อพี่ซี”
“ไปๆ เรามาดี จะต้องกลัวอะไร”
พร้อมกับว่าเทศเดินนำทุกคนในครอบครัวไปที่ศาลา มาลีแสดงอาการวิตกชัดแจ้ง พันลือได้แต่มองตามทั้งกลุ่มไปด้วยความเป็นห่วง
บานชื่นไม่ยอมลุกไปไหน ยังคงนั่งอยู่กับร่างไร้วิญญาณของลูกชาย เช้ายืนคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนบ้านที่มาร่วมงาน ครอบครัวบัวผันกับเทศเดินเข้ามาในศาลา
เช้ากับพวกเพื่อนบ้านที่กำลังคุยกันอยู่ เงียบลงทันที ตาก็มองไปยังทางเข้า เช้าซึ่งยืนหันหลังอยู่ หันกลับมามองที่ประตู แล้วเดินอาดๆ ตรงไปหาครอบครัวบัวผันทันที พูดแทบเป็นตวาด
“มาทำไม”
บานชื่นได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของผัวจึงหันไปมอง พอเห็นครอบครัวของบัวผัน ก็นิ่งไป มองทุกคนอยู่อย่างนั้น
“จะมารดน้ำผู้กองไง” เทศว่า
“ไม่ต้อง กลับไปเลยไป” ทุกคนอึ้งๆ กันอยู่ “ไปซี บอกให้ไป”
ครอบครัวบัวผันหันมามองกัน มาลีรู้สึกกลัว หลบไปอยู่หลังพี่ๆ มาลาตัดสินใจเดินออกมาข้างหน้า
“ลุงเช้าคะ พวกเราอยากจะมาแสดงความเสียใจกับคุณลุงแล้วก็คุณครูน่ะค่ะ”
บานชื่นหันหน้าไปทางอื่น พยายามสะกดอารมณ์ไว้เต็มที่ บีบมือปองพลแน่น
“ไม่ต้องมาเสียใจ พวกเราไม่ต้องการ ไปให้พ้น ไปให้หมดทุกคนเลย” เช้าตะเพิดส่ง
“ให้เราร่วมพิธีเถอะค่ะ พวกเราอยากจะมาขออโหสิกรรม พี่ปองพล และขอโทษลุงเช้ากับครูบานชื่นที่เป็นแบบนี้”
ฟังถึงตรงนี้ บานชื่นปล่อยมือปองพล ลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงมาที่กลุ่มของบัวผันพูดแรงใส่พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
“ขอโทษเหรอ ขอโทษแล้วเอาลูกชายฉันคืนมาได้ไหม”
“ทำไมครู พูดแบบนี้ล่ะ พวกเรามาเพื่อแสดงความเสียใจนะ” มาลัยแหวใส่ มาลารีบดึงแขนน้องปราม
“ไม่ต้องมาเรียกฉันครู เอามาซี เอาลูกฉันคืนมา ถ้าคืนลูกให้ฉันไม่ได้ ก็ไปให้พ้น” บานชื่นไล่อีกคน
มาลาจะร้องไห้ไปด้วย “หนูขอโทษค่ะ”
“พวกแกทำให้ลูกฉันต้องตาย พวกแกทุกคน ถ้าคืนลูกให้ฉันไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาขอโทษฉัน” บานชื่นกล่าวโทษทั้งครอบครัว
บัวผันเดินมาข้างๆ มาลา เผชิญหน้ากับบานชื่น ปกป้องครอบครัว
“ความจริงเราไม่ควรจะต้องขอโทษครูด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ใช่ความผิดของมาลีมัน”
มาลีนั้นรู้สึกผิดและเสียใจมาก สะอื้นไห้ออกมา มาลัยดึงน้องมากอดไว้
“ทำไมจะไม่ใช่ ลูกเราคงไม่ตายหรอกถ้าไม่ลงไปช่วยลูกแก” เช้าด่าอีก
“เพราะลูกแกเป็นตะคริว ถึงได้จมน้ำตายน่ะซิ จะมาโทษลูกข้าได้ยังไง มันเป็นอุบัติเหตุ คนถึงคราวตาย มันก็ต้องตาย” เทศไม่ยอม
บานชื่นโกรธจัด “ตาเทศ แกพูดออกมาได้ยังไงกัน”
“ลูกแกน่ะ เกิดอยู่ริมคลองแท้ๆ กลับว่ายน้ำไม่เป็น ทำให้ลูกข้าที่เป็นคนดีต้องมาตาย เพราะช่วยลูกแก” เช้าเถียง
“เพราะมาลี เคยจมน้ำตั้งแต่เด็ก มันถึงกลัวน้ำ จะไปโทษมันได้ยังไงที่ว่ายน้ำไม่เป็น” บัวผันโต้
บานชื่นไม่ฟัง “ฉันไม่สนใจหรอก ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
“จะไปหรือไม่ไป มันเรื่องของฉัน ฉันไม่ไป” บัวผันไม่ยอมขยับมองมาอย่างท้าทาง
บานชื่นกรี๊ดลั่น “ออกไป”
“ไม่ไป”
“ไม่ไปงั้นเหรอ”
บานชื่นโกรธถึงขีดสุด เข้าไปผลักบัวผันจนล้มลงก้นจ้ำเบ้า ลูกๆ ตกใจเทศวิ่งเข้าไปจะเล่นงานบานชื่น
“ทำเมียกูเหรอ”
มาลาเข้าไปดึงแขนพ่อไว้
“พ่อ อย่า”
บัวผันลุกขึ้น แล้วจะเข้าไปเล่นงานบานชื่นเอาคืน บานชื่นเองก็จะพุ่งเข้าไปทำร้ายบัวผัน
ระหว่างนั้นปกป้องก็โผล่พรวดเข้ามาขวางบานชื่นไว้ พร้อมกับยกอีกมือหนึ่งคอยกันไม่ให้บัวผันเข้ามา
“หยุดเถอะครับ ขอร้อง”
มาลัยเห็นปกป้อง เลยเข้าไปจับตัวบัวผันไว้ ทั้งบานชื่น และบัวผันต่างพากันหอบเหนื่อย
ครอบครัวบัวผันออกจากศาลาเดินตามกันมาในลานวัด มีปกป้องตามมาด้วย โดยปกป้องคอยส่งสายตามองแต่มาลา หาโอกาสคุย มาลาเองก็ชำเลืองมาที่ปกป้องเช่นกัน แต่พอเห็นปกป้องมองอยู่ก็หลบตา มาลัยดูหัวเสียมากที่สุด ส่วนคนอื่นต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ มาลียังสะอื้นไห้ไม่หยุด สุดท้ายมาลัยหยุดกึกหันมาบ่นใส่ปกป้อง ทุกคนเลยหยุดตาม
“ทำแบบนี้ได้ยังไง ไอ้เราหรือตั้งใจจะมาแสดงความเสียใจแท้ๆ”
“จะบ่นทำไม ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว วันหลังค่อยมาใหม่” บัวผันเอ็ดเอา
“มาลัยไม่มาแล้ว” มาลัยบอกกับปกป้องว่า “ขอโทษด้วยนะพี่ป้อง แต่พ่อแม่พี่ทำแบบนี้มันมากเกินไป”
“พี่ต้องขอโทษแทนพ่อแม่พี่ด้วยนะ” ปกป้องมองมาลา แล้วหันไปพูดกับเทศและบัวผัน พร้อมกับยกมือไหว้ “ผมขอโทษนะครับ พ่อกับแม่รักแล้วก็ภูมิใจในตัวพี่ปองมาก ก็เลยเสียใจมากจนห้ามตัวเองไม่อยู่”
“พวกเราเข้าใจค่ะ พี่ป้องก็ไม่ต้องรู้สึกผิดไปด้วยหรอก”
ปกป้องฟังแล้วรู้สึกดีจ้องมองมาลาเป็นเชิงขอบคุณ แล้วหันมาพูดกับทุกคน
“ผมอยากให้ทุกคนคิดแบบมาลา ได้ไหมครับ ผมไม่อยากให้พวกเราเป็นศัตรูกัน บ้านอยู่ติดกันแท้ๆ”
“บ้านฉันน่ะไม่มีอะไรหรอก ใครดีก็ดีตอบ ใครแรงมาก็แรงกลับไป” เทศว่า ยังเคืองไม่หาย
มาลาปรามพ่อ “พ่อน่ะ”
ปกป้องอึ้งไป ก่อนพยักหน้ารับ “ครับ ยังไงผมก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ตั้งใจมาฟังพระสวดให้พี่ปอง วันนี้กลับกันไปก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วผมจะไปกราบขอโทษที่บ้านน้าอีกที”
มาลาบอกกับครอบครัว “กลับกันเถอะค่ะ”
ทุกคนพากันเดินกลับบ้านไป ปกป้องยังคงยืนมองไปยังมาลาที่เดินห่างออกไป มาลัยเองก็ชำเลืองมองปกป้องเช่นกัน
ทันทีที่เห็นปกป้องเดินกลับมาหา บานชื่นก็ต่อว่าลูกชายทันที
“แม่ไม่ชอบเลย ทำไมต้องไปพูดดีกับพวกนั้นด้วย”
บานชื่นกำลังต่อว่าปกป้องอยู่ด้านหนึ่งของศาลา เช้านั่งก้มหน้าเครียดอยู่ตามลำพัง และชาวบ้านอื่นๆที่มาร่วมงานนั่งซุบซิบคุยกันอยู่
“ผมไม่อยากให้มีปัญหากันน่ะแม่”
“พี่ชายลูกต้องตายเพราะพวกมันนะ”
“ผมว่าพวกเขาก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนี้”
“เข้าข้างมันเหรอ”
“เปล่าครับ เอ่อ ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันตอนนี้เลยนะครับ ทะเลาะกันไปแขกคนอื่นๆ เขาจะคิดยังไง”
บานชื่นนิ่งไป มองไปทางชาวบ้านที่กำลังซุบซิบกันอยู่
“อีกอย่าง ดวงวิญญาณของพี่ปองก็คงไม่มีความสุขหรอก ถ้าเห็นทุกอย่างเป็นแบบนี้”
บานชื่นมองไปยังร่างของปองพล น้ำตาไหลรินออกมา
เช้าเดินเข้ามาหาทั้งสอง พลางบอก
“เริ่มพิธีได้แล้วละ แขกมากันเยอะแล้ว”
บานชื่นกับปกป้องพยักหน้ารับเอาคำ สามคนพากันเดินเข้าไปในศาลา
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน มาลานั่งหวีผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน ส่วนมาลัยนั่งอยู่ที่เตียงเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้คิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ซะแล้ว”
“พี่ก็ไม่คิดว่าครูจะเป็นได้ขนาดนี้ ใจพี่ไม่อยากให้เข้าใจผิดกันแบบนี้เลย”
“ดีนะที่พี่ป้องเขาช่วยยุติสงครามเอาไว้”
“ถ้าพี่ป้องมาไม่ทัน ไม่รู้จะเป็นยังไง”
“เห็นไหมล่ะ มาลัยมองคนไม่ผิด มาลัยถึงชอบพี่ป้องมากกว่าพี่ปอง พี่ป้องน่ารักมาก ไม่ซึมกระทือเหมือนพี่ปอง”
มาลาเย้าแหย่ “พูดถึงเขามากๆ เดี๋ยวเขาก็มาหาหรอก”
มาลัยสะดุ้ง หันไปมองผ่านประตูออกไประเบียงขยับมาใกล้พี่สาว
“พี่น่ะ พูดอะไร”
มาลานึกขำน้องสาว
“เอ่อ พี่ พี่ว่าถ้าฉันแต่งกับพี่ป้อง มันจะเป็นยังไง”
มาลาอึ้งไป มองน้องสาว “ใครได้น้องพี่เป็นคู่ชีวิต คนนั้นจะต้องมีความสุขไปชั่วชีวิต เพราะจะมีแต่ความสดชื่น สดใส เบิกบานร่าเริง”
มาลัยยิ้มกว้าง ลุกมาหอมแก้มมาลา “ถ้าไม่รักพี่สาวคนนี้แล้วจะไปรักใคร ขอบคุณสำหรับความเห็นค่ะ”
มาลามองน้องสาวหน้าเครียดจัด หนักใจเหลือเกิน ว่าจะบอกความสัมพันธ์ของตนเองกับปกป้องอย่างไร มาลัยลุกขึ้น
“ดึกแล้ว ไปนอนดีกว่า”
มาลาพยักหน้ารับเอาคำ มาลัยเดินออกจากห้องไป มาลามองตามจนประตูปิดลง จึงหันกลับมามองกระจกด้วยสีหน้ากังวล ไม่รู้ว่ามาลัยพูดจริงหรือพูดเล่นเรื่องปกป้อง
รุ่งเช้าหมวยนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้าน กำลังกดเครื่องคิดเลขทำบัญชีสินค้า ส่วนดาวรายขายของอยู่ ลานเดินเข้ามาจากหน้าร้าน ถือการ์ดเชิญที่ส่งมาทางไปรษณีย์ในมือ เอามาส่งให้หมวย
“เอา ไปรษณีย์มาส่ง”
“ใครแต่งอีกล่ะเนี่ย” หมวยรับมาพลางเปิดซอง หยิบการ์ดเชิญออกมาอ่านดู “เฮีย ลูกอากิมเฮงจะแต่งงานแล้ว อะไรวะ วันก่อนยังเห็นมันแก้ผ้ากระโดดน้ำในคลองอยู่เลย มันอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“สิบเก้ามั้ง” ลานว่า
“ลูกคนอื่นยังไม่ยี่สิบเขาแต่งงานกันแล้ว ลูกเรายี่สิบกว่า ยังหาผัวไม่ได้”
ลูกค้ากลับไปแล้ว ดาวรายขายของเสร็จหันมาเถียงผู้เป็นแม่
“จมอยู่แต่ในร้าน จะไปไหนก็ไม่ให้ไป แถมเวลาใครมาคุยด้วย ก็ชอบไล่ตะเพิดเขา แบบนี้เมื่อไหร่จะหาผัวได้”
“ที่หม่าม้าไล่อาพันลือ เพราะหม่าม้าไม่ชอบมัน”
“เขาเป็นลูกกำนันนะหม่าม้า”
“มันถึงได้กร่างหาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วไง” ลานเองก็ไม่ชอบเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่นั้น มันยังทำตัวเจ้าชู้จีบผู้หญิงไม่เลือกหน้า”
“คนแบบนั้น ไม่เอามาเป็นลูกเขยหรอก”
“ถ้างั้นก็เลิกบ่นว่าดาวหาผัวไม่ได้ซักที” ดาวรายว่า
“แล้วไม่คิดจะมองคนอื่นบ้างเหรอ คนดีๆ น่ะ อย่าง...ลูกครูบานชื่น”
ดาวรายย้อนถาม “พี่ป้องน่ะเหรอ”
“ตอนแรกม้าอยากให้แกจีบผู้กอง แต่เขาตายแล้ว เอาคนน้องก็ได้”
ดาวรายนิ่งฟังอยู่
“ถ้าได้คนเล็กมาจริงๆ เตี่ยกับม้านอนตายตาหลับแน่” ลานบอก
ดาวรายใคร่ครวญครุ่นคิด
ครบ 7 วันแล้ว บ่ายวันนี้ศพปองพลถูกย้ายขึ้นไปยังเมรุเผาศพของวัดเตรียมเผา เหลือแขกอยู่ไม่มากแล้ว เนื่องจากเป็นรอบเผาจริง เช้า บานชื่น และปกป้องยืนอยู่บนเมรุ บานชื่นนั้นร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด สัปเหร่อ และเจ้าหน้าที่ของวัดเปิดโลงปองพลเพื่อให้ญาติไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ญาติสนิท ทยอยวางดอกไม้จันทน์เข้าไปในเมรุ
ครอบครัวของดาวรายยังอยู่กันครบ ดาวรายคอยเหลือบมองไปที่ปกป้องเสมอ ปกป้องรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่จึงมองกลับ ดาวรายก็จ้องตอบโดยไม่หลบตา ปกป้องยิ้มบางๆ ทัก ดาวรายยิ้มรับนิดๆ
หมวยแอบสะกิดลานพยักพเยิดให้ดูลูกสาวกับปกป้องที่หมายตา สองคนยิ้มให้กันเป็นเชิงชอบใจ ทั้งครอบครัวพากันวางดอกไม้จันทน์ในโลง
กำนันมากและขิมผู้เป็นเมีย ตามมา ใส่ดอกไม้จันทน์ในโลง
หลังจากนั้นสัปเหร่อประกาศว่าจะเผาจริง เจ้าหน้าที่ของวัดก็ช่วยกันนำโลงปองพลเข้าไปในช่องเผาที่เมรุ จู่ๆ บานชื่นก็ร้องไห้โฮออกมา
“ปองลูกแม่”
พร้อมกับว่าบานชื่นยื่นมือเข้าไปจับปองพลในโลง ปกป้องเข้าไปกอดแม่ไว้ เช้ายื่นมือไปจับเนื้อตัวใบหน้าลูกชายในโลง น้ำตาร่วงพรู ทุกคนมองดูครอบครัวบานชื่นด้วยความสงสาร
เจ้าหน้าที่วัดต่อไฟจากตะเกียง แล้วยื่นไฟใส่เข้าไปในโลงที่ราดน้ำมันไว้แล้ว คนที่อยู่บนเมรุแตะตัวต่อกันไปร่วมส่งวิญญาณผู้ตาย พอไฟลุกเจ้าหน้าที่จึงปิดช่องเตาเผา เดินไปเร่งไฟ
ปกป้อง บานชื่น และ เช้า ยืนรออยู่ที่ด้านล่างของเมรุ เพื่อขอบคุณผู้มาร่วมงาน ในศาลาห่างออกไป มีโต๊ะสำหรับจัดเครื่องดื่ม มีถังน้ำแข็ง ขวดน้ำ และลังใส่แก้วน้ำวางอยู่พร้อมถาด
ญาติๆ ทยอยเดินลงมา บานชื่นกับครอบครัวไหว้ขอบคุณ บานชื่นยังตาแดงช้ำเพราะร้องไห้อยู่ พอครอบครัวดาวราย ลาน หมวย เดินลงมา
บานชื่นไหว้ขอบคุณครอบครัวดาวราย “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะคะ”
ทุกคนรับไหว้ตอบ
“ผู้กองก็เหมือนลูกหลานล่ะค่ะ เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก” หมวยบอก
ลานปลอบใจว่า “แกไปสบายแล้วล่ะนะครับ”
ขิมกับกำนันมากเดินมาถึง หมวยกับลานก็ไหว้ขอบคุณทั้งสอง
“เด็กไปไหนก็ไม่รู้” ปกป้องหันไปบอกกับหมวยและลาน “คุยกับพ่อแม่ไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้” แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม ดาวรายรีบตามไป
ปกป้องเดินมาถึงโต๊ะเตรียมเครื่องดื่ม ดาวรายตามมาอาสาช่วย
“ดาวช่วยค่ะพี่ป้อง”
ปกป้องหันมามอง
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก อยู่คุยกับพ่อแม่พี่ก็ได้”
“มีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น มาช่วยพี่ดีกว่า”
ดาวรายยิ้มให้ ปกป้องยิ้มตอบ แล้วเดินไปหยิบแก้วใส่ถาด
“จริงๆมีเด็กมาช่วยทำนะ คงเห็นอยู่บนเมรุนาน เลยแอบหนีไปหมด”
ปกป้องถือถาดแก้วไปที่ถังน้ำแข็ง แล้วเปิดฝาถังน้ำแข็งออก ดาวรายหยิบที่ตักมาตักน้ำแข็งจะใส่ลงในแก้ว ตามองแต่ที่ปกป้องส่งยิ้มให้ตลอดๆ ปกป้องยิ้มตอบ ดาวรายมองปกป้องเพลินไม่ได้มองแก้ว ทำให้เทน้ำแข็งหกออกนอกแก้ว
“โอ๊ะ ระวัง”
ดาวรายยิ้มขอโทษ “อุ๊ย ขอโทษค่ะ มัวแต่เพลิน”
ปกป้องยื่นมือมาขอที่ตักน้ำแข็ง “พี่ตักเองละกัน ดาวไปเอาน้ำมาเติม”
“ค่ะ”
ดาวรายส่งที่ตักน้ำแข็งให้ปกป้องยื่นมือไปจับรับ แต่มือไปกุมโดนมือของดาวรายไว้ ดาวรายปล่อยให้ปกป้องกุมมืออยู่ครู่หนึ่ง สองคนสบตากัน ก่อนที่ดาวรายจะปล่อยที่ตักน้ำแข็งให้เขาไป แล้วผละไปหยิบขวดน้ำ
ปกป้องยกถาดแก้วน้ำกลับมาที่โต๊ะ ดาวรายรินน้ำใส่แก้ว
“พี่ป้องเป็นผู้จัดการโรงงาน คงยุ่งน่าดูนะคะ”
“งานยุ่งๆ น่ะดีแล้ว จะได้ไม่รู้สึกเหงา ช่วงงานน้อยน่ะ บางทีก็เหงาเป็นบ้า”
“อยู่ตัวคนเดียวก็งี้แหละ”
“พี่ก็กำลังหาคนอยู่เป็นเพื่อนเหมือนกัน”
ปกป้องเหม่อมองไปทางอื่น คิดถึงมาลาแล้วยิ้มออกมา แต่ต้องหยุดยิ้มหันมามองดาวราย ที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้วยิ้มให้
“น่าสงสารพี่ปอง ยังไม่ทันได้แต่งงานก็จากไปเสียก่อน”
“ถ้างั้นพี่ป้องก็ต้องรีบแต่งซี”
“คงต้องรอให้มีสาวมาแต่งด้วยก่อนนะ”
ปกป้องพูดทีเล่นทีจริง ติดตลก
“ดาวหาให้ไหมล่ะ” ดาวรายไม่รู้ว่าปกป้องมีสาวในใจแล้ว
ปกป้องยิ้มพลางส่ายหน้า เปลี่ยนเรื่อง
“เสิร์ฟน้ำก่อน เดี๋ยวโดนบ่น”
ปกป้องยกถาดใส่น้ำเดินออกไป
ดาวรายมองตามยิ้มกับตัวเองอย่างพึงใจ และแอบมีความหวัง
ขณะที่มาลานั่งหวีผมอยู่ในห้อง ยินเสียงเหมือนมีอะไรมากระทบประตูจากข้างนอก มาลาชะงัก หันไปมองที่ประตู
มาลาเปิดประตูออกไปที่ระเบียง แล้วมองไปที่พื้นเห็นกระดาษห่อก้อนหินตกอยู่ มาลาหยิบขึ้นมา แล้วแกะกระดาษออกอ่านดู ในกระดาษมีข้อความเขียนว่า
“อยากพบมาลา รออยู่ที่เดิมนะ ปกป้อง”
มาลากลับเข้ามาในห้อง ในมือถือกระดาษแผ่นนั้นอยู่ นิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
มาลาค่อยๆ ย่องลงมาที่ชั้นล่าง แล้วเดินออกไปทางสวนหลังบ้าน
มีเสียงเคาะประตูห้อง แล้วประตูก็เปิดเข้ามา มาลัยเดินเข้ามาในห้องพูดกับมาลาโดยไม่ทันมอง
“พี่มาลาจ๊ะ พรุ่งนี้พี่...”
มาลัยชะงัก มีสีหน้าแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวอยู่ในห้อง บนโต๊ะเครื่องแป้งเห็นแปรงหวีผมวางอยู่ มาลัยเปิดประตูออกไปมองจากระเบียงไปที่หน้าบ้าน เห็นมาลาเดินเข้าไปในสวน ก็ยิ่งแปลกใจ
ฝ่ายมาลาเดินเข้ามาในสวน จนมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เห็นปกป้องยืนหันหลังครุ่นคิดอยู่
“รอนานไหมพี่ป้อง”
ปกป้องหันมา แล้วสาวเท้าเดินเข้ามาสวมกอดมาลาไว้ สองคนกอดกันแน่นพากันลงนั่งที่แคร่ใต้ต้นไม้
“ไม่ได้เจอกันเกือบ 2 อาทิตย์ พี่คิดถึงมาลามากรู้ไหม”
มาลาถอนตัวออกมาจากปกป้อง
“เรื่องพี่ปองเสียชีวิต มาลาไม่สบายใจเลย”
“มันเป็นอุบัติเหตุ พี่จะค่อยๆ พูดให้พ่อกับแม่เข้าใจนะมาลา”
“งานพี่ปองเรียบร้อยแล้วใช่ไหมพี่ป้อง”
“ใช่จ้ะ”
“มาลาขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปร่วมงานเลย”
“จะไปได้ยังไง แม่พี่เขายัง...” ปกป้องนึกได้รีบหยุดคำพูดไว้ก่อน
“มาลาอยากให้ครูเขารับคำขอโทษจากครอบครัวมาลา”
“ตอนนี้ ใครพูดอะไรถึงครอบครัวมาลายังไม่ได้เลย”
“แล้วแบบนี้ เรื่องของเราจะเป็นยังไง”
“คงต้องรอหน่อย ให้เรื่องมันผ่านไปซัก 2-3 เดือน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
“มาลายังห่วง”
“มาลาไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไร ความรักของพี่ที่มีต่อมาลา ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พี่ขอสาบาน...”
ก่อนที่ปกป้องจะพูดอะไรต่อ มาลาก็เอานิ้วมาแตะที่ปากปกป้องไม่ให้พูดอีก
“มาลาเชื่อพี่ค่ะ” มาลาซบลงที่อกปกป้องอีกครั้ง
มาลัยเดินมาตามทางเดินในสวน จนใกล้จะถึงจุดที่ปกป้องอยู่กับมาลา ก็ได้ยินเสียงสองคนคุยกัน
“หลายวันมานี้พี่คิดถึงมาลามากรู้มั้ย ถ้าไม่ได้เห็นหน้ามาลา พี่ขาดใจตายแน่”
“จะเชื่อดีไหมเนี่ย”
มาลัยชะงัก รีบหลบเข้าหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง พยายามเพ่งมองไปที่ใต้ต้นไม้ที่ปกป้องอยู่กับมาลา
มาลากับปกป้องยังกอดกันอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ครู่หนึ่งปกป้องจึงถอนตัวออกมา ล้วงกระเป๋ากางเกง เอากล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งขึ้นมา เปิดออก ในนั้นเป็นจี้รูปหัวใจสองดวงผูกไว้ด้วยกันพร้อมสร้อย
“พี่ไปเจอที่ญี่ปุ่น แล้วคิดว่าเหมาะกับมาลามากที่สุด”
ปกป้องเอาสร้อยและจี้ออกจากกล่อง แล้วคล้องคอให้มาลา
“คิดซะว่าเป็นของที่พี่หมั้นมาลาไว้นะ”
สองคนมองตากันซึ้งๆ
โดยไม่รู้ว่ามาลัยแอบมองนิ่งๆ เหมือนอยู่ในอาการตะลึงตะไล
ปกป้องเข้ามากอดมาลาอีกครั้ง แล้วเริ่มจูบที่ซอกคอ มาลาดิ้นหนีนิดหน่อย เหมือนจะผลักปกป้องออก ปกป้องมองหน้าคนรัก แล้วก้มลงจูบที่ปากมาลาอย่างดูดดื่ม มาลาอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้ง
มาลัยมองภาพบาดตาตรงหน้านิ่งๆ น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา เสียงหายใจฟืดฟาดของสองคนดังกึกก้องทำร้ายความรู้สึกของมาลัยเหลือเกิน
รุ่งเช้ามาลากลับออกมาจากในสวนกำลังจะเดินขึ้นเรือน เห็นมาลัยนั่งอยู่ที่ตั่งกำลังส่องกระจก ใช้แป้งพัฟตบเบาๆ ที่หน้าตัวเองไปมา
มาลายิ้มทัก “สวยแล้วล่ะจ้ะน้องสาวพี่”
มาลัยชะงัก เหลือบมองพี่สาว พูดเหน็บ “สวยยังไงก็คงสู้พี่มาลาไม่ได้”
มาลาขำ ยังไม่รู้ตัว “ไม่จริงหรอก”
มาลัยเหลือบมองมาลาตาขุ่น ยังนึกเคืองไม่หาย เรื่องที่เห็นคาตาเมื่อคืน
“หิวหรือยังล่ะ พี่จะรีบทำกับข้าวให้”
“ไม่ต้องแล้ว มาลัยทำไปแล้ว ทำเผื่อพี่ด้วย”
“จริงเหรอ เออ ไม่ได้ชิมฝีมือมาลัยมานานแล้ว เดี๋ยวต้องลองดูว่าพัฒนาขึ้นหรือเปล่า”
“มานั่งเลยพี่ รับรอง แซบที่สุด”
มาลัยพามาลาไปนั่งรอที่โต๊ะ ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พี่สาว
มาลัยยกฝาชีที่ครอบกับข้าวบนโต๊ะกินข้าวขึ้นดู
“โอ้โห น่ากินจังเลย”
อาหารบนโต๊ะ มีน้ำพริกผักนึ่ง สีน้ำพริกแดงแจ๋ หมูผัดพริก สีแดงจัด และอีกถ้วยเป็นต้มยำไก่ มีพริกลอยเต็มชาม ซึ่งมาลัยนำมาเสิร์ฟหลังสุด
“จะกินเลยไหมล่ะ มาลัยตักข้าวให้”
มาลัยหันไปตักข้าว หยิบช้อนส้อมมาเสิร์ฟให้พี่สาว มาลาเริ่มตักต้มยำมาชิมก่อน แล้วชะงัก
“เป็นไงพี่ ไม่อร่อยเหรอ” มาลัยแกล้งถาม
“อร่อย แต่...มัน...เผ็ดมากเลย”
“เผ็ดเหรอ เดี๋ยวมาลัยเอาน้ำให้” มาลัยเดินไปเทน้ำมาให้ “พี่ชิมให้หมดทุกอย่างซี”
มาลายื่นมือจะไปตักผัดเผ็ดแต่ชะงัก เปลี่ยนใจตักผักนึ่งกับน้ำพริกมากินแทน แต่พอเอาเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยว มาลาก็ต้องชะงักอีก แล้วรีบตักข้าวเข้าปาก เพื่อช่วยลดรสเผ็ด
มาลัยเอาน้ำมาให้ มาลารีบยกแก้วขึ้นมาดื่มคลายความเผ็ด
“ไม่นึกว่ามาลัยจะชอบกินเผ็ดขนาดนี้”
“มาลัยไม่ชอบหรอก กับข้าวพวกนี้มาลัยทำให้พี่”
“แต่พี่ก็ไม่กินเผ็ดมาก เผ็ดขนาดนี้พี่กินไม่ไหว” มาลาว่า
“พี่ควรจะหัดกิน เพราะพริกนี่มีประโยชน์มาก ช่วยทำให้ผอม แล้วก็ ทำให้แก้มแดง เหมาะกับพี่มาก”
“เหมาะยังไง”
“ก็ผู้ชายเขาจะได้เห็นว่าพี่มีเลือดฝาดดีไงล่ะ”
มาลาชะงักนิดๆ แต่ก็ยังยิ้มได้ “พี่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นหรอก”
มาลัยชะงักไปเหมือนกัน นึกเคืองขึ้นมาอีก “อ๋อ จะบอกว่าอย่างพี่เสน่ห์แรงอยู่แล้ว ไม่ต้องปรับปรุงตัวเองงั้นซี ใช่ซี พี่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่เหมือนกับมาลัย แค่ผู้หญิงโง่ๆ ที่ปล่อยให้ใครหลอกได้ง่ายๆ”
มาลางงใหญ่ “มาลัย ยังไงเหรอ”
“ก็ไม่มีอะไร ถ้าพี่ทนกินกับข้าวฝีมือมาลัยไม่ได้ ก็เทมันทิ้งไปเลย ไม่ต้องมาถนอมน้ำใจกันหรอก”
พร้อมกับว่ามาลัยลุกเดินหนีออกจากห้องครัวไปเลย
“มาลัย...ๆ”
มาลัยไม่เหลียวหลังมามองเลย มาลาได้แต่มองตามงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
อีกฟากหนึ่ง ดาวรายกำลังจัดวางสินค้าขึ้นชั้นในร้าน บานชื่นเดินเข้ามาในร้านเปิดกระเป๋าถือหยิบกระดาษโน้ตลิสต์รายการของออกมา ดาวรายเห็นรีบเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะครู”
“สวัสดีจ้ะดาวราย ครูเอารายการของของโรงเรียนมาให้ ช่วยจัดให้หน่อยนะ”
บานชื่นส่งกระดาษโน้ตให้ ดาวรายรับมาอ่านดู
“เอาวันนี้เลยใช่ไหมคะ”
“มันต้องใช้พรุ่งนี้แต่เช้า แต่พอดีเย็นนี้ครูต้องไปงานเลี้ยงที่จังหวัด แฟนครูก็ไม่อยู่บ้านด้วย ครูจะให้ปกป้องเขาแวะมารับเอาไปเก็บไว้ที่บ้านตอนเย็นก็แล้วกัน”
ดาวรายนิ่งคิดไปนิดหน่อย
“เอางี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวดาวจะเอาของไปส่งที่บ้านครูให้เอง”
“ได้เหรอ”
“ค่ะ พี่ป้องจะกลับเข้าบ้านกี่โมงล่ะคะ”
ดาวรายยิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนบางอย่างอยู่ในใจ
เย็นวันนั้น รถกระบะของดาวรายแล่นมาจอดหน้าบ้านครูบานชื่น ในกระบะท้ายรถ มีลังกระดาษใส่สินค้าตามลิสต์ที่บานชื่นให้ไว้ครบครัน ดาวรายเปิดประตูก้าวลงรถ มองไปที่หน้าบ้านเห็นรถเก๋งของปกป้องจอดอยู่ก็ยิ้มสมใจ
ดาวรายเดินเข้ามาในโถงบ้าน แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น มีเสียงดังออกมาจากในครัว ดาวรายยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วส่งเสียงถาม
“สวัสดีค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ”
สักครู่หนึ่งปกป้องออกมาจากในครัว สวมผ้ากันเปื้อน มีรอยเลือดเปื้อนอยู่ที่ผ้า
“ครับ”
ดาวรายชะงัก มองจ้องเอาๆ จนปกป้องเหมือนจะรู้ตัว
“ขอโทษนะที่ทำให้กลัว ไม่มีอะไรหรอก พี่กำลังทำกับข้าวน่ะ”
“แล้วทำไม...มีเลือด”
“อ๋อ มาจากตับหมูน่ะ จะทำตับผัดพริก”
ดาวรายโล่งอกยิ้มให้ “ตับหมู โอเคค่ะ”
“แหม นี่คิดว่าพี่ฆ่าใครมาหรือไง”
ดาวรายเดินยิ้มเข้ามาหา ยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ ปกป้อง
“พี่ป้องคงไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ ดาวรู้ว่าพี่เป็นคนใจดีมากๆ”
ปกป้องยิ้มเก้อๆ เข้าใจเจตนาดาวราย สองคนมองตากันนิ่งไปครู่หนึ่ง
ปกป้องเป็นฝ่ายถอนตัวออกมา “เออ น้องดาวเอาของที่แม่สั่งมาส่งใช่ไหม”
“ค่ะ อยู่ในรถข้างนอก”
ดาวรายเสียดายโอกาสได้ใกล้ชิดปกป้อง
ระหว่างนี้มาลัยขี่มอเตอร์ไซค์มาที่ถนนหน้าบ้านบานชื่น ที่ตะกร้าหน้ารถมีถุงใส่กับข้าววางอยู่ มาลัยแปลกใจเมื่อเห็นรถกระบะดาวรายจอดอยู่ และยังเห็นรถของปกป้องจอดอยู่ด้วย มาลัยชะลอรถเข้าจอดหลังพุ่มไม้ลงมาซุ่มดู
รอจนเห็นปกป้องกับดาวรายออกมาจากในบ้าน ตรงมาขนของที่กระบะรถ มาลัยหลบมุมแอบหลังพุ่มไม้ไม่ให้ทั้งสองเห็น
ปกป้องยกลังหนึ่งขึ้นมา แล้วบอกให้ดาวรายเอาของที่เหลือมาซ้อน ดาวรายทำตามที่ปกป้องบอก สองคนช่วยกันขนของ หัวร่อต่อกระซิกเข้าบ้านไป มาลัยที่แอบมองอยู่ รู้สึกขวางหูขวางตากับภาพที่เห็น
พอปกป้องกับดาวรายช่วยกันขนของเข้าบ้านไปจนหมด มาลัยจึงออกมาจากหลังพุ่มไม้ หน้าตาบูดบึ้ง จอดรถแอบไว้ แล้วค่อยๆ ย่องมาที่บ้านบานชื่น
มาลัยเดินเข้ามาที่ข้างบ้าน มองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครอยู่แน่ พยายามเพ่งมองเข้าไปในบ้าน
มาลัยดันเดินไม่ทันระวังไปเหยียบเศษไม้ ทำให้เกิดเสียง จึงชะงัก รีบย่อตัวลงต่ำ กลัวปกป้องกับดาวรายออกมาเห็น เมื่อไม่มีใครออกมา มาลัยจึงค่อยๆ ย่องหาที่แอบดู คราวนี้ระมัดระวังขึ้น จนเจอหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ มาลัยมองเข้าไป
ดาวรายวางถาดไข่ลง มาช่วยยกของที่ปกป้องหอบเข้ามาวางลง จนเหลือกล่องสุดท้าย ขณะที่จะวางลง ดาวรายเกิดเสียหลักเซจะล้ม ปกป้องประคองไว้ทัน จนดูเหมือนกับปกป้องกอดดาวรายไว้
มาลัยแอบมองลอดช่องหน้าต่างเข้าไปเห็นคาตาถึงกับผงะ รู้สึกไม่พอใจ เมื่อมองเข้าไปใหม่ คราวนี้เห็นดาวรายตกอยู่ในอ้อมกอดของปกป้อง สองคนประสานสายตากัน ก่อนที่ปกป้องจะประคองดาวรายให้ยืนขึ้น แล้วเอากล่องในมือดาวรายวางลงซ้อนกล่องอื่นไว้ ดาวรายถอยห่างออกไปทำเป็นเขิน
“ถ้าพี่ป้องไม่ช่วยไว้ ดาวต้องล้มแน่ๆ เลย”
“พี่ไม่ปล่อยให้น้องดาวต้องเจ็บตัวในบ้านพี่หรอก”
“ไม่รู้ดาวจะตอบแทนพี่ป้องยังไงดี”
มาลัยดูอยู่ทำปากขมุบขมิบด่าทอดาวรายด้วยความริษยาปนหมั่นไส้ แล้วก้มหน้าแนบรูร่องแอบมองต่อ
ปกป้องมองตาดาวราย อีกฝ่ายลุ้นตัวโก่งว่าเขาจะพูดว่ายังไง
“เอางี้ดีไหม” ปกป้องหยุดคิด ดาวรายมองลุ้น “ทำมื้อเย็นให้พี่”
ดาวรายผิดหวังนิดๆ แต่รีบยิ้มรับ “ได้ซีคะ”
ปกป้องเดินนำดาวรายเข้าไปในห้องครัว
มาลัยผละจากหน้าต่างนั้น แล้วเดินลัดเลาะไปทางห้องครัวหลังเรือน
กระทะตั้งอยู่บนเตาแล้ว ในนั้นมีน้ำมันกำลังร้อนได้ที่
“ต้องเริ่มที่กระเทียมก่อน”
ดาวรายเทกระเทียมลงในกระทะ เสียงดังซ่า ปกป้องมองดาวรายแล้วยิ้ม
“ต้องอร่อยแน่ๆ เลย”
ดาวรายขำ “แหม เพิ่งเริ่มเองค่ะ”
“ก็น้องดาวดูเชี่ยวชาญมาก”
ดาวรายยิ้มเขิน
มาลัยแอบดูอยู่หลังครัวหมั่นไส้ ด่าเบาๆ
“ดูมัน ทำเป็นเขิน นังตอแหล”
ปกป้องเหมือนได้ยินเสียงพูดนั้น หันไปมองตรงที่มาลัยแอบอยู่
“จากนั้นก็ใส่พริก”
ดาวรายหันไปหยิบถ้วยพริกตำบนโต๊ะมาใส่ ปกป้องหันกลับมาสนใจดาวราย
“ไม่ใส่ตับก่อนเหรอ”
“ต้องผัดพริกให้หอมก่อน”
ดาวรายใส่พริกลงไปในกระทะ เสียงฉ่าดังขึ้นมาพร้อมกับไอน้ำมันผสมกลิ่นพริก
ปกป้องที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รู้สึกฉุนจนจามออกมา
มาลัยเองก็ฉุนพริกขึ้นมาเหมือนกัน กำลังจะจาม แต่นึกได้จึงใช้นิ้วบีบจมูกกลั้นไว้
ด้านปกป้องยังคงฉุนพริกไม่หาย จะจามอีก ดาวรายมองขำๆ มาลัยปล่อยมือที่บีบจมูกออก พยายามไม่สูดดมกลิ่นพริกเพื่อไม่ให้จาม แต่จู่ๆ ก็จามออกมาจนได้
อันเป็นจังหวะเดียวกับที่ปกป้องจามออกมาพอดิบพอดี เลยกลายเป็นเสียงจามประสานกัน แต่ปกป้องรู้สึกว่ามีเสียงจามอีกคน แล้วครู่ต่อมาเสียงจามของมาลัยก็ดังขึ้นอีกจนได้ คราวนี้ปกป้องมั่นใจว่ามีคนอยู่หลังครัวแน่ เขาจึงเดินไปชะโงกหน้ามองที่หน้าต่างหลังครัว
มาลัยยืนหันข้างจามอยู่อีกครั้งสองครั้ง จึงหันกลับมา เห็นสายตาของปกป้องกับดาวรายยืนมองมายังตนอยู่ มาลัยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวรีบเดินหนีไป ปกป้องเดินตาม
ส่วนดาวรายยืนคุมแค้น มองตามมาลัยที่มาขัดจังหวะนัยน์ตาวาววับแทบไม่เป็นอันผัดพริกผัดตับแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 2