xs
xsm
sm
md
lg

บาปบรรพกาล ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บาปบรรพกาล ตอนที่ 14

รสสุคนธ์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในห้องนอน สีหน้าเหมือนนางกำลังฝันเกี่ยวกับผีย่าวาด

จริงดังว่า รสสุคนธ์ฝันเห็นเหตุการณ์ในวันแต่งงานระหว่าง ภาณุทัต กับ รสสุคนธ์ โดยคืนนี้เรือนไม้หอม ถูกประดับประดา และตกแต่งอย่างสวยงามทั่วทั้งหลัง
วาดเป็นตัวแทนญาติๆ แต่งตัวสวยมาร่วมงานแต่งแต่เช้า เดินเข้ามาในโถงเห็นปริกแอบกินขนมเค้กอยู่จึงหันไปถาม
“นี่หล่อน”
“อ๊าย” ขนมเค้กเต็มปากแต่ปริกปฏิเสธ “ปริกเปล่ากินอะไรนะคะ”
วาดส่ายหน้า “ปากเลอะซะขนาดนั้น พูดไปใครเขาจะเชื่อ”
“คุณวาดอย่าบอกคุณหญิงคุณชายนะคะ ปริกไม่อยากโดนดุ”
“ฉันไม่ใช่คนขี้ฟ้องหรอกนะ ว่าแต่นี่คุณแม้นมาศแต่งตัวเสร็จยัง”
“เสร็จแล้วนะคะ”
“อ้าวแล้วทำไมไม่ลงมาอีกล่ะ”
“ปริกก็ไม่ทราบค่ะ พอดีปริกพึ่งไปเอาเค้กมา”
“ใช้ไม่ได้เลยแก ไปล้างปากล้างหน้าซะ ไป”
วาดส่ายหัวระอา แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ปริกถือจานเค้กเดินลงเรือนไป

วาดขึ้นบันไดมาที่ชั้นบน ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเปิดประตูห้องแม้นมาศเดินเข้าไปมองหา แต่ในห้องกลับว่างเปล่าไม่เห็นแม้แต่เงาของแม้นมาศ
“อ้าว แม่เล็กไปไหนนะ เล็ก เล็ก”
วาดเดินมองหาแม้นมาศแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบแม้นมาศนอนฟุบอยู่ข้างเตียง ข้างๆ เห็นแก้วเปล่าตกอยู่
“เล็ก...เล็ก ตื่นสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ใครก็ได้...ช่วยที”
วาดตกใจกลัวขยับจะออกจากห้องไปเรียกคนมาช่วย แต่แล้วทวนก็โผล่พรวดเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณแม้นมาศเป็นลม รีบไปตามคุณชายทัตเร็ว”
“ได้ครับ”
ทวนขยับตัวออกไป วาดหันกลับไปไปดูแม้นมาศต่อ จังหวะนี้เองมีสันมือของใครคนหนึ่งสับเข้าที่ต้นคออย่างแรง วาดเซล้มฟุบลงหมดสติไป
เป็นทวนก้าวเข้ามายืนจังก้ามองวาดที่ฟุบอยู่บนพื้นแล้วยิ้มเหี้ยมออกมา

ทวนแบกวาดขึ้นใส่บ่าแล้วเดินอย่างใจเย็นตรงมาที่บ้านสวนด้านหลังบ้านพรหมบดินทร์
ที่ด้านหลังบ้านสวน ทวนแบกวาดมาถึงตรงจุดที่ฝังศพวาดก็วางวาดลงนอนที่พื้น
ทวนใช้จอบขุดดินให้เป็นหลุมลึกไว้สำหรับฝังวาด
วาดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา วาดเจ็บต้นคอจี๊ด ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นทวนกำลังขุดหลุมอยู่
วาดหน้าซีดรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังมีภัย จึงแกล้งสลบต่อพอทวนเผลอวาดก็รีบลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งหนีทันที
“เฮ้ย จะหนีไปไหน”
ทวนทิ้งจอบแล้วรีบวิ่งไล่ตามวาดออกไป

วาดวิ่งหน้าตื่นหนีออกมาจากบ้านสวน ทวนวิ่งไล่ตามหลังมาติดๆ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
วาดร้องตะโกนสุดเสียงหวังว่าจะมีคนได้ยิน แต่เสียงดนตรีไทยในงานแต่งงานดังกลบหมด วาดหันไปเห็นทวนตามมาก็ยิ่งตื่นตกใจ ทวนเดินมาขวางหน้าไว้ วาดหันรีหันขวาง เก็บไม้หน้าสามบนพื้นขึ้นมากำแน่น
“อย่าเข้ามานะ”
วาดลุกเหวี่ยงไม้หน้าสามฟาดใส่ทวน แต่ทวนหลบฉากได้ วาดจะฟาดอีกแต่ทวนจับไม้ได้ ทั้งคู่ยื้อยุดกันทวนกระชากไม้สุดแรงจนไม้หลุดจากมือวาด
“ฤทธิ์มากนะมึง”
วาดตกใจสุดขีด ทวนฟาดไม้เข้าที่หัววาดอย่างแรง วาดมึนเซล้มลงไป ทวนก้าวเข้ามายิ้มเหี้ยม วาดยกมือไหว้ขอชีวิต
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
“สาระแนดีนัก ตายซะเถอะมึง”
ทวนเงื้อไม้ขึ้นสุดแขนแล้วฟาดใส่วาดไม่ยั้ง วาดหวีดร้องลั่นดังสองสามครั้ง จนร่างฟุบลงขาดใจตายตาเบิกค้างทวนยิ้มเหี้ยมสะใจ
“คืนนี้ ตระกูลมึงจะต้องฉิบหายวายวอดกันทุกคน”

“ไม่...”
รสสุคนธ์หวีดร้องสุดเสียง สะดุ้งเฮือกตื่นจากฝันร้าย เสียใจกับชะตากรรมย่าวาดจนน้ำตาไหลรินออกมา
“เกิดอะไรแม่รส เห็นตัวฆาตกรแล้วเหรอ” แม้นมาศมองจ้องหน้าหลานรอฟัง
“ค่ะ น้าทวนฆ่าย่าวาด”
“ไอ้ทวน ไอ้สารเลว...กูจะต้องฆ่ามึงแก้แค้นแทนพี่สะใภ้กูให้ได้”
แม้นมาศสลายลอยพุ่งตัวออกไปอย่างเร็ว เกิดเป็นลมพัดปะทะใส่น้อยที่ยกแก้วนมเข้ามา
“ว้าย”
น้อยตกใจ มองดูรอบๆ แต่ไม่เห็นอะไร รสสุคนธ์รีบเช็ดน้ำตาก่อนที่น้อยจะเห็น
“น้อยยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ยังค่ะ น้อยอุ่นนมมาให้ คุณรสดื่มหน่อยนะคะ”
“ขอบใจจ้า”
รสสุคนธ์รับแก้วนมจากน้อย น้อยเห็นหน้ารสสุคนธ์ดูซีดๆก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“คืนนี้ให้น้อยนอนเป็นเพื่อนมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกจ้า น้อยกลับไปนอนห้องตัวเองเหอะ”
รสสุคนธ์ยกแก้วนมขึ้นดื่มจนหมดแก้ว โดยไม่รู้ว่าในนั้นมียานอนหลับผสมอยู่

เสียงโทรศัพท์รามนรินทร์ดังขึ้น เห็นสายเข้าเป็นวิดีโอคอลทางโปรแกรม Line จากรสสุคนธ์
รามนรินทร์เห็นเป็นรสสุคนธ์ก็รีบกดรับคุยวิดีโอคอลกับรสสุคนธ์ทันที
“คุณรสยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
รสสุคนธ์กำลังคุยวิดีโอคอลกับรามนรินทร์
“กำลังจะนอนค่ะ แต่ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
“เรื่องอะไรครับ เกี่ยวกับคุณย่าคุณหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ ฉันรู้แล้วค่ะว่าใครเป็นฆาตกร”
“ใครครับ”
“น้าทวนค่ะ”
“แล้วคุณรู้ได้ไง อย่าบอกนะครับว่าคุณย่ามาเข้าฝันอีก”
รามนรินทร์ยิ้มขำแซว รสสุคนธ์หน้างอ
“ค่ะ คุณจะไม่เชื่อฉันก็ตามใจ งั้นแค่นี้นะคะ”
“เดี๋ยวสิครับ ผมไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่เชื่อ แต่เหตุการณ์มันผ่านมาตั้งสามสิบปีแล้วหลักฐานก็ไม่มี คุณอย่าพึ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะครับ ไม่งั้นคุณจะเป็นอันตรายได้ ผมเป็นห่วงคุณนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะระวังตัว”
รสสุคนธ์เริ่มหาว อ่อนเพลียขึ้นมาเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ ลืมตาไม่ขึ้น
“คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“สงสัยฉันคงจะเพลีย งั้นแค่นี้นะคะ”
“ครับ...ฝันดีนะครับ”
รสสุคนธ์ตัดสายไป จู่ๆ เกิดวูบมึนหัวจนเซยืนแทบไม่อยู่
“ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้นะ”
รสสุคนธ์ค่อยๆ เดินไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอน เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็หลับสนิท

ระหว่างนี้ทวนจุดธูปหนึ่งดอกแล้วเอาธูปไปปักไว้ที่ริมสระบัวถังน้ำมันอยู่ข้างๆ
“ปริก...นังปริก เอ็งอยู่มั้ย”
เงียบ ทวนกวาดสายตามองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เห็นปริกนั่งอยู่บนท่าน้ำสระบัว ปริกค่อยๆ หันมามอง ทวนรวบรวมความกล้าบอกไป
“คืนนี้ข้าจะช่วยล้างแค้นให้เอ็ง เอ็งต้องช่วยข้าขวางนังผีแม้นมาศไว้อย่าให้มันมาช่วยหลานมันได้ เข้าใจมั้ย”
ปริกพยักหน้ารับเอาคำ ทวนยิ้มชั่วแล้วหิ้วแกลลอนน้ำมันเดินอาดๆ ตรงไปที่เรือนไม้หอมทันที

เรือนไม้หอมถูกประโคมด้วยเสียงบรรเลงเพลงขิมของแม้นมาศ ดูวังเวง จู่ๆ ก็มีเงาดำหนึ่ง พุ่งมาหน้าบันไดเรือนไม้หอม
เป็นผีอีปริกที่กำลังคลานขึ้นบันไดทีละขั้นๆ วิญญาณชั่วแสยะยิ้มตาขาวโพลน ค่อยๆ คลานขึ้นไปอย่างช้าๆ

แม้นมาศกำลังตีขิมอยู่ ถึงกับชะงักกึก รับรู้ถึงการมาของปริก
แม้นมาศพุ่งตัวออกไปด้านนอกชานด้านหน้าเรือนไม้หอม จ้องปริกที่กำลังคลานขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
“อีปริก มึงกล้าดียังไงถึงเข้ามาในบ้านกู”
ปริกเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแม้นมาศอย่างไม่กลัวเกรง
“กูก็จะมาฆ่าหลานมึงไง”
ปริกกระโดดพุ่งเข้าใส่แม้นมาศ แม้นมาศหลบฉากแล้วถีบปริกอย่างแรง ปริกเซ แม้นมาศเคลื่อนตัวอย่างไวเข้าไปจิกหัวปริกไว้แล้วจับหัวปริกกระแทกฝาบ้าน ปริกร้องลั่น
“มึงคิดจะสู้กับกู มึงคิดผิดแล้ว”
มีพลังแสงตามแขนแม้นมาศพุ่งตรงเข้าไปหาปริก ๆดิ้นรน ทั้ง 2 หายลับไป

ฝ่ายทวนหิ้วถังแกลลอนน้ำมันเปิดฝาออกแล้วมาน้ำมันสาดเทใส่ด้านข้างเรือนไม้หอม ทวนเดินเทน้ำมันใส่เรือนไม้หอมจนรอบแล้วหยุดยืนยิ้มนึกถึงความชั่วช้าของตัวเองในอดีตที่เคยทำคล้ายๆ คืนนี้

ที่แท้คนที่เผาบ้านบ้านเกษมบริรักษ์จนวอดทั้งหลังเป็นทวนนี่เอง
ทวนสาดน้ำมันใส่บ้านเกษมบริรักษ์จนรอบบ้าน ทวนล้วงกระเป๋าหยิบกล่องไม้ขีดไฟออกมา ทวนจุดไม้ขีดไฟแล้วโยนใส่น้ำมันที่ราด ไฟลุกพรึ่บไหม้บ้านอย่างไว ทวนยืนยิ้มตาเป็นประกายดูสาแก่ใจยิ่งนัก
ไฟไหม้บ้านเกษมบริรักษ์ จนสุดท้ายแม้นเมืองถูกไฟครอกตายคากองเพลิง

ทวนสาดน้ำมันที่เหลืออยู่ก้นถังใส่เรือนไม้หอมจนหมดแล้วโยนถังทิ้งไป มองเข้าไปในบ้านแล้วยิ้มเหี้ยม
“จุดจบของอีพวกสาระแน ก็คือความตาย เดี๋ยวกูจะส่งไปอยู่กับปู่ย่ามึงเอง”
ทวนหยิบไฟแช็คออกมาจุดใส่คบเพลิง

รามนรินทร์นอนไม่หลับ รู้สึกกระวนกระวายใจ แต่แล้วก็มีเสียงเคาะห้องดังขึ้น
“ใครครับ”
“เฟื่องเองค่ะ”
รามนรินทร์รีบลุกไปเปิดประตู เห็นเฟื่องยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตูไม่แพ้กัน
“นมเฟื่องมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เมื่อกี้เฟื่องเห็นทวนมาหาจวงค่ะ เห็นมันสองคนซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ เฟื่องก็เลยมาบอกคุณรามไว้”
“แล้วตอนนี้น้าทวนกลับยังครับ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เฟื่องเดินดูทั่วบ้านแล้วก็ไม่เห็นมันเลย”
รามนรินทร์ชะงัก นึกได้ “หรือว่า...คุณรส”
เขาขยับตัวออกจากห้องไปอย่างร้อนใจ เฟื่องตามติดๆ
“เดี๋ยวสิคะคุณราม เกิดอะไรขึ้นคะ”
“นมรีบบอกทุกคนไปที่เรือนไม้หอมเร็ว”
รามนรินทร์รีบวิ่งลงบันไดไปอย่างเร็ว

ทวนยื่นคบเพลิงที่ไฟลุกท่วมเข้าไปจ่อใกล้ๆ กับน้ำมันที่มันราดไว้ ตาดำเดินเข้ามาพอดี พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็รีบร้องตะโกนห้ามเสียงดังลั่น
“อย่า...”
ทวนชะงักนิดๆ แล้วรีบยื่นคบเพลิงใส่น้ำมัน ไฟลุกพรึ่บลามไปโดยเร็ว ตาดำกระโจนเข้าหาทวนเตะสุดแรงเกิดเพื่อทัดทาน ทวนเซถลาไป คบเพลิงในมือหลุดร่วงลงพื้นใกล้ๆ
ทั้งคู่ออกหมัดออกเข่าใส่กันไม่ยั้ง ผลัดกันรุกผลัดกันรับ อยู่หลายครา สุดท้ายตาดำอัดหมัดใส่หน้าทวน มันล้มลง หน้าแตกปากเจ่อเลือดซิบๆ
ทวนหันไปเห็นเปลวไฟกำลังลุกลามไปทั่วเรือนไม้หอมก็หัวเราะร่าด้วยความสะใจสมใจ
“มึงหัวเราะอะไร”
“หัวเราะมึงไง ทำเป็นคนดี สุดท้ายมึงก็ช่วยใครไม่ได้ซักคน ฮ่าๆ”
ตาดำเตะเท้าอัดใส่หน้าด้วยความแค้น ทวนมึนล้มฟุบลงไป คุณชายภาณุทัตในคราบตาดำมองเปวไฟที่กำลังลุกท่วมและลุกลานไปทั่วด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“ไม่นะ ไม่...ช่วยด้วย ไฟไหม้...ไฟไหม้”

รสสุคนธ์นอนไม่ได้สติ สูดควันไฟอยู่บนเตียง แม้นมาศรีบเข้าไปปลุก
“แม่รส...แม่รสตื่นสิ”
แม้นมาศเขย่ารสสุคนธ์แต่รสสุคนธ์ก็ไม่รับรู้อะไร
“นี่มันอะไรกัน ทำไมเป็นถึงไม่ตื่นล่ะ”
ไฟเริ่มลามเข้ามาในห้อง แม้นมาศพยายามจะพยุงรสสุคนธ์ขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้
“ทำไงดี ใครก็ได้ช่วยที ช่วยด้วย ช่วยหลานฉันด้วย”
แม้นมาศหวาดกลัวมาก กลัวรสสุคนธ์ต้องมาตายเหมือนตน

ตาดำรีบกุลีกุจอวิ่งเอาสายยางมาต่อฉีดดับไฟ รามนรินทร์วิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ตาดำ ไฟไหม้ได้ไงครับ”
“ไอ้ทวนมันเผาเรือน”
รามนรินทร์หันไปเห็นทวนนอนฟุบอยู่ข้างๆ มีคบเพลิงตกอยู่ข้างตัว
“แล้วคุณรสล่ะครับ”
“ข้ายังไม่เห็นเลยนะ หรือว่าหนูรสจะยังอยู่ข้างใน”
“คุณรส”

รามนรินทร์ตกใจ เป็นห่วงรสสุคนธ์มาก

อ่านต่อหน้า 2



บาปบรรพกาล ตอนที่ 14 (ต่อ)

อีกมุมภาณุกร ภาวิดา เฟื่อง น้อย จวง สร้อย และยาม พากันตามเข้ามาติดๆ ภาณุกรเห็นไฟไหม้ลุกลามก็ตกใจ สังการขึ้น

“ไฟไหม้...เร็ว...รีบไปช่วยกันดับไฟเร็ว”
จวง เฟื่อง น้อย สร้อยและยามพากันแยกย้ายกันหาอุปกรณ์มาช่วยกันดับไฟ
ตาดำเห็นพวกภาณุกรกับภาวิดาก็ชะงัก รีบหลบหน้าหลบตา
“คุณตาครับ ผมขอน้ำหน่อยครับ”
รามนรินทร์เอาสายยางฉีดน้ำใส่ตัวเองจนเปียกชุ่ม ตาดำเห็นท่าไม่ดีก็แอบหลบออกไปก่อนที่ภาวิดาจะเห็น
“รามนั่นลูกจะทำอะไร”
“ผมจะไปช่วยคุณรส”
“ไม่นะ แม่ไม่ให้ไป”
ภาวิดาไม่ยอมรีบจับตัวลูกชายไว้ พร้อมกับหันไปเรียกภาณุกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ชายกรมาช่วยฉันจับตารามเร็ว”
“ไม่ครับแม่ ปล่อยผม ผมจะไปช่วยคุณรส”
รามนรินทร์ขืนตัว ดึงมือแม่ออก ภาณุกรเข้ามา แต่กลับจับตัวภาวิดาไว้
“ชายกร นี่มาจับฉันทำไม”
ภาณุกรบอกหลานเป็นเชิงสั่ง “รามรีบไปช่วยหนูรสออกมาให้ได้”
รามนรินทร์พยักหน้ารับเอาคำดังกล่าว พุ่งร่างถีบประตูที่ติดไฟแล้ววิ่งเข้าเรือนไม้หอมไป
“รามอย่าไป กลับมาๆ”
ภาวิดาใจจะขาดที่เห็นลูกชายวิ่งเข้าในกองเพลิง หวีดร้องลั่น ดิ้นพล่าน แต่ภาณุกรจับตัวภาวิดาไว้

แม้นมาศเริ่มร้องไห้ พยายามเขย่าเรียกรสสุคนธ์ อย่างใจเสีย
“แม่รส...แม่รสตื่นสิ ฉันขอร้องล่ะ ตื่นขึ้นมา”
รสสุคนธ์เริ่มสำลักควันรู้สึกตัว
“ย่าเล็ก รสหายใจไม่ออก”
รสสุคนธ์กระอักกระไอสำลักควัน แต่ไม่มีแรงจะลุกขึ้น ลืมตาไม่ขึ้นจะหลับอีก เพราะฤทธิ์ยาของจวง
“ไม่นะ อย่าหลับนะแม่รส เธอต้องไม่ตายที่นี่นะ ลุกสิเร็ว”
รสสุคนธ์ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น แต่ยังโซเซ แม้นมาศช่วยพยุงพากันเดินไปถึงหน้าห้อง รามนรินทร์วิ่งฝ่าไฟขึ้นมาพอดีเห็นรสสุคนธ์เดินโผเผออกมาคนเดียว
“คุณรส”
“คุณราม”
รสสุคนธ์ยืนไม่อยู่ รามนรินทร์รีบเข้าไปรับไว้ แม้นมาศมองสองคนอย่างโล่งใจ
“ฉันฝากแม่รสด้วยนะ”
รามนรินทร์ไม่ได้ยินที่แม้นมาศบอก เขารีบเข้ามาช้อนตัวรสสุคนธ์ขึ้นแล้วอุ้มเธอลงเรือนไป
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมมาช่วยคุณแล้ว”
แม้นมาศถลึงตาขาวโพลนลงไปที่ข้างล่างอย่างเคียดแค้น
“ไอ้ทวน มึงคิดจะฆ่าหลานกู มึงจะต้องตาย”
แม้นมาศพุ่งตัวหายวับออกไป

ทวนเดินโซเซหลบออกมาทางด้านหลังเรือน แลเห็นพวกคนใช้พากันวิ่งวุ่นช่วยกันดับไฟกันอยู่ทางหน้าบ้าน
“ฝากไว้ก่อนเหอะไอ้ดำ กูเอาคืนมึงแน่”
ทวนขยับจะเดินหนี แต่แล้วแม้นมาศก็โผล่พรวดขึ้นมายืนขวางทางไว้ ถลึงตาใส่อย่างโกรธแค้น
“มึงหมดโอกาสแล้ว”
“อีแม้นมาศ”
ทวนถอยหลังหนีด้วยความกลัว แม้นมาศเดินไล่ตามช้าๆ
“เวรกรรมที่มึงทำไว้กับครอบครัวกู ถึงเวลาที่มึงจะต้องชดใช้แล้ว”
“ไม่...ออกไป...มึงอย่าเข้ามา”
ทวนถอยหลังไปเรื่อยๆ จนใกล้กับไฟที่กำลังลุกเรือนไม้หอม ทวนชะงักจะหนีไปทางอื่น จู่ๆ มีมือยื่นเข้ามาจับที่เท้าทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ทวนขยับไปไหนได้ ทวนชะงักก้มลงไปมอง พบว่าเจ้าของมือที่จับเท้าทวนอยู่นั้นเป็นวาดกับแม้นเมือง ทั้งคู่จ้องทวนด้วยความเคียดแค้น
วาดเอ่ยขึ้น “กรรมใดใครก่อ”
แม้นเมืองเสริม “กรรมนั้นย่อมคืนสนอง”
สองวิญญาณผลักร่างทวนจนหงายหลังกระเด็นเข้าไปใส่กองเพลิง
ไฟลุกพรึ่บใส่ร่างทวน มันแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บแสบปวดร้อนทั่วสรรพางค์
“อ๊าก”
ทุกคนพากันตกใจหันไปมองดูภาพอันน่าสยอดสยอง เมื่อเห็นทวนวิ่งพล่านไปทั่ว มีไฟลุกไหม้ทั้งตัว
รามนรินทร์อุ้มรสสุคนธ์ออกมาได้เห็นภาพดังกล่าวก็พากันสลดใจ รามนรินทร์กอดรสสุคนธ์แน่น
ร่างของทวนฟุบลงขาดใจตาย ภาวิดาหวีดร้องลั่นที่ยอดชู้ตายอย่างทรมานแสนสาหัส

อีกมุม แม้นมาศ วาด และแม้นเมืองพากันยืนมองอย่างสะใจ

วันเวลาผ่านไป งานศพทวนถูกจัดจนแล้วเสร็จ จวงถือภาพของทวนหลังกลับจากวัดแล้วด้วยน้ำตานองหน้า
“ทวน ทำไมแกต้องมาตามปริกไปอีกคน แล้วฉันจะอยู่กะใคร ฮือ ๆ ๆ”
ภาวิดามองภาพสาวใช้คนสนิทร้องไห้เสียใจ ตัวเองก็แอบเสียใจเพราะทวนคือชู้รักลับแต่ไม่กล้าแสดงออกมาก เลยได้แต่เข้าไปลูบหลังลูบไหล่จวงเพื่อปลอบ
“จวง อย่าคิดมากนะ ยังไงฉันก็ไม่ทิ้งจวงหรอก”
“ขอบพระคุณคุณหญิงที่เมตตาจวงแล้วก็น้องๆ ค่ะ แต่จวง” จวงร่ำไห้ “ใจหาย ที่จู่ๆ น้องๆ ก็พากันตายติดๆ กัน”
ภาวิดาดึงจวงมากอดปลอบ เศร้าใจไปด้วย

ฝ่ายรสสุคนธ์สาวเห็นผีผู้แสนดี ให้รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียน้องๆ ของจวง นางเลยอยากมาแสดงความเสียใจที่เรือนใหญ่ น้อยเป็นห่วงตามมาด้วย คอยทักท้วง
“คุณรสมาที่ตึกใหญ่ทำไมคะ”
“น้าจวงกลับมาแล้ว ฉันอยากจะมาแสดงความเสียใจ”
“จะดีหรือคะ คุณรสก็รู้ว่าน้าจวงเป็นยังไง”
“ฉันรู้ น้อย แต่จะให้ฉันนิ่งเฉย คงไม่ดีมั้ง”
รสสุคนธ์ตอบน้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในตึก น้อยได้แต่มองห่วงใยตามไป ด้วยรู้ว่าคงห้ามสาวผู้มีจิตใจดีงามไม่ได้

ภาณุกรบอกจวงด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
“จวงก็หักอกหักใจซะนะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา”
รามนรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างภาวิดา ช่วยปลอบอีกแรง
“ช่วงนี้ น้าจวงหยุดงานสักสองสามวันเพื่อพักเหนื่อยจากที่จัดงานศพติดๆ กัน ทั้งของน้าปริกแล้วน้าทวนได้นะครับ”
จวงซาบซึ้งยกมือไหว้ขอบคุณ ภาณุกรและรามนรินทร์รับไหว้
“จวงขอบคุณคุณชายกรแล้วก็คุณรามมากนะคะ”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาหาจวง แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“น้าจวง ฉันเสียใจเรื่องน้าทวนด้วยนะคะ”
จวงเงยหน้าขึ้นมองสบตา นัยน์ตาวาววับ เคียดแค้นรสสุคนธ์เหลือคณา
“คุณเสียใจหรือสะใจกันแน่คะ ทั้งนังปริก ทั้งทวน ตายกันหมด สมใจคุณกับผีย่าของคุณแล้วใช่มั้ยคะ
รามนรินทร์ยอมไม่ได้ที่จวงพูดจากระทบกระเทียบเหมือนกล่าวหารสสุคนธ์
“น้าจวง พวกเราทุกคนรวมทั้งคุณรสต่างเสียใจกับการสูญเสียญาติๆ ของน้า แต่น้าก็อย่าลืมว่าน้าทวนตั้งใจจะเผาเรือนไม้หอม ตั้งใจจะทำร้ายคุณรส”
รามนรินทร์ยืนกรานด้วยคำพูดของตาดำในคืนเกิดเหตุ ที่กุลีกุจอวิ่งเอาสายยางมาฉีดดับไฟ รามนรินทร์วิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ตาดำ ไฟไหม้ได้ไงครับ”
“ไอ้ทวนมันเผาเรือน”
รามนรินทร์หันไปเห็นทวนนอนฟุบอยู่ข้างๆ มีคบเพลิงตกอยู่
“แล้วคุณรสล่ะครับ”
“ข้ายังไม่เห็นเลยนะ หรือว่าหนูรสจะยังอยู่ข้างใน”
“คุณรส”
รามนรินทร์มองหน้ารสสุคนธ์ ก่อนจะหันไปย้ำกับจวง
“ถ้าวันนั้นผมช่วยคุณรสไว้ไม่ทัน คนที่จากไปก็จะเป็นคุณรสแทนนะครับ”
“ตารามพูดถูก ฉันเห็นว่าเวรกรรมก็ตามนายทวนทัน ถือว่าชดใช้ไปแล้ว เลยไม่แจ้งความ ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวต่อ ให้มันอื้อฉาว หรือจวงจะให้ฉันกับตารามแจ้งความล่ะ”
จวงรีบโบกมือส่ายหน้า เถียงไม่ออก
“ไม่นะคะ คุณชายกร...คุณราม”
เห็นภาณุกรออกโรงสนับสนุนรามนรินทร์อีกแรง ภาวิดาจึงได้แต่อึ้งนิ่งงันไป ไม่รู้จะช่วยคนใช้คนสนิทยังไง
“ตอนนี้แกก็เหนื่อยมามากแล้ว ไปพักก่อนเหอะ จวง”
ภาวิดาตวัดสายตาไปมองรสสุคนธ์อย่างชิงชังที่ทั้งรามนรินทร์และภาณุกรต่างเข้าข้าง

จวงเอาภาพทวนมาวางคู่กับภาพปริกที่วางอยู่ก่อนหน้านั้น แล้วปาดน้ำตาได้แต่เจ็บใจแค้นใจที่ทำอะไรรสสุคนธ์ไม่ได้
“ปริก ทวน พี่เจ็บใจแค้นใจนักที่เอาเรื่องนังรสสุคนธ์มันไม่ได้ แต่พี่จะไม่ยอมหยุด พี่ต้องหาทางแก้แค้นแทนแกสองคนให้ได้”
เสียงหัวเราะต่ำๆ ชวนหลอกหลอน ของแม้นมาศดังก้องเข้ามา
“หึๆๆ นังจวง มึงอยากตายตามน้องมึงไปอีกคนหรือไง”
จวงผวา ลนลานไปหยิบพระมาถือไว้ ยื่นออกไปตรงหน้า
“ฉันเปล่านะ ฉันเปล่า...หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
จวงยกมือไหว้พระท่วมหัว

ฝ่ายภาวิดายื่นคำขาดกับภาณุกรให้ไล่รสสุคนธ์ออก
“ชายกร ตาราม แม่รส ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าก็ดีแล้ว บอกตามตรงนะ ตั้งแต่แม่รสเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ ก็มีแต่เรื่อง มีแต่คนตายติดๆ กัน ถึงจะไม่มีหลักฐานว่าเธอ” มองหน้ารสสุคนธ์ “เกี่ยวข้อง แต่ฉันถือ...ชายกร พี่ว่า...ให้แม่รสสุคนธ์ออกไปจากบ้านเราเถอะนะ”
“ตกลงครับ พี่หญิง ผมจะให้หนูรสสุคนธ์กลับบ้านที่เพชรบุรี”
ภาณุกรตกปากรับคำภาวิดาโดยเร็ว จนรามนรินทร์กับรสสุคนธ์งง เพราะยังไม่รู้เหตุผล
“น้ากร...ทำไมครับ”
รสสุคนธ์น้อยใจนิดๆ “ถ้าคุณชายเห็นว่ารสควรกลับบ้าน รสก็ไม่ขัดข้องค่ะ”
ภาวิดายิ้มเชิดหน้าดีใจมาก
“ขอบใจมากนะ ชายกร”
ภาณุกรมองหน้ารสสุคนธ์แล้วอธิบายเหตุผล
“อาแค่ให้หนูรสลากลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะอาคิดว่าในเมื่อมีคนตายติดๆ กัน แล้วเรือนไม้หอมก็ไฟไหม้ คงต้องซ่อมแซม อาก็เลยตัดสินใจจะเลื่อนการจัดงานระลึกร้อยปีตระกูลออกไปสักเดือนนึง เพราะงานนี้น่าจะเป็นงานรื่นเริงยินดี อาไม่อยากให้มีบรรยากาศสูญเสียเหลืออยู่ รามคิดว่าไง เห็นด้วยกับน้ามั้ย”
รามนรินทร์ยิ้มกว้างเมื่อรู้เหตุผล
“ผมเห็นด้วยครับ น้ากร”
ภาวิดางงๆ แต่แล้วก็ยังยิ้มได้เมื่อคิดว่า ก็ยังดีที่ให้รสสุคนธ์ไปพ้นหน้า ค่อยหาวิธีไม่ให้กลับมาทีหลัง
“ก็ยังดี เธอได้ยินแล้ว ก็รีบไปเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านได้เลย ถ้าคิดถึงบ้านมากๆ ไม่ต้องกลับมาเลยก็ไม่มีใครว่านะ”
รสสุคนธ์ไม่พูดอะไรอีก ยกมือไหว้ภาวิดากับภาณุกรแล้วก็ออกไป

หลายวันผ่านไป งานศพทวนถูกจัดและเผาจนแล้วเสร็จ จวงถือกรอบรูปทวนกลับจากวัดเดินเข้ามาในเรือนใหญ่ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ในสภาพน้ำตานองหน้า

“ทวน ทำไมแกต้องมาตามปริกไปอีกคน แล้วฉันจะอยู่กะใคร ฮือ ๆ ๆ”
ภาวิดานั่งอยู่ในห้องโถงมองภาพสาวใช้คนสนิทร่ำไห้ ตัวเองก็สะท้อนในอกเสียใจไม่ต่างกัน เนื่องเพราะทวนคือชู้รักที่คอยบำเรอความสุขให้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพราะทั้งน้องและลูกชายอยู่ด้วย เลยทำได้แต่เพียงเดินเข้าไปลูบหลังลูบไหล่พูดปลอบขวัญ
“จวง อย่าคิดมากนะ ยังไงฉันก็ไม่ทิ้งจวงหรอก”
“ขอบพระคุณคุณหญิงที่เมตตาจวงแล้วก็น้องๆ ค่ะ แต่จวง...” จวงร่ำไห้ออกมาอีก “ใจหาย ที่จู่ๆ น้องๆ ก็พากันตายติดๆ กัน”
ภาวิดาดึงจวงมากอด เศร้าใจไปด้วย

ฝ่ายรสสุคนธ์สาวเห็นผีผู้แสนดี ให้รู้สึกเสียใจต่อการสูญเสียน้องๆ ของจวง จึงอยากมาแสดงความเสียใจที่เรือนใหญ่ มีน้อยที่เป็นห่วงตามมาด้วยคอยทักท้วง
“คุณรสมาที่ตึกใหญ่ทำไมคะ”
“น้าจวงกลับมาแล้ว ฉันอยากจะมาแสดงความเสียใจ”
“จะดีหรือคะ คุณรสก็รู้ว่าน้าจวงเป็นยังไง”
“ฉันรู้ น้อย แต่จะให้ฉันนิ่งเฉย คงไม่ดีมั้ง”
รสสุคนธ์เดินเข้าไปด้านในตึก น้อยได้แต่มองห่วงใย ด้วยรู้ว่าคงห้ามสาวจิตใจงามไม่ได้

ภาณุกรบอกจวงด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
“จวงก็หักอกหักใจซะนะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา”
รามนรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างภาวิดา ช่วยกันปลอบอีกแรง
“ช่วงนี้ น้าจวงหยุดงานสักสองสามวันเพื่อพักเหนื่อยจากที่จัดงานศพติดๆ กัน ทั้งของน้าปริกแล้วน้าทวนได้นะครับ”
จวงซาบซึ้งยกมือไหว้ขอบคุณ ภาณุกรและรามนรินทร์รับไหว้
“จวงขอบคุณคุณชายกรแล้วก็คุณรามมากนะคะ”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาหาจวง เพื่อแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น
“น้าจวง ฉันเสียใจเรื่องน้าทวนด้วยนะคะ”
จวงเงยหน้าขึ้นมองสบตา นัยน์ตาวาววับ เคียดแค้นรสสุคนธ์เหลือคณา
“คุณเสียใจหรือสะใจกันแน่คะ ทั้งนังปริก ทั้งทวน ตายกันหมด สมใจคุณกับผีย่าของคุณแล้วใช่มั้ยคะ
รามนรินทร์ยอมไม่ได้ที่จวงพูดจากระทบกระเทียบ เหมือนกล่าวหารสสุคนธ์เป็นตัวการ
“น้าจวง พวกเราทุกคนรวมทั้งคุณรสต่างเสียใจกับการสูญเสียญาติๆ ของน้า แต่น้าก็อย่าลืมว่าน้าทวนตั้งใจจะเผาเรือนไม้หอม ตั้งใจจะทำร้ายคุณรส”
รามนรินทร์ยืนกรานด้วยคำพูดของตาดำในคืนเกิดเหตุ ที่กุลีกุจอวิ่งเอาสายยางมาฉีดดับไฟ รามนรินทร์วิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ตาดำ ไฟไหม้ได้ไงครับ”
“ไอ้ทวนมันเผาเรือน”
รามนรินทร์หันไปเห็นทวนนอนฟุบอยู่ข้างๆ มีคบเพลิงตกอยู่
“แล้วคุณรสล่ะครับ”
“ข้ายังไม่เห็นเลยนะ หรือว่าหนูรสจะยังอยู่ข้างใน”
“คุณรส”
รามนรินทร์มองหน้ารสสุคนธ์ ก่อนจะหันไปย้ำกับจวง
“ถ้าวันนั้นผมช่วยคุณรสไว้ไม่ทัน คนที่จากไปก็จะเป็นคุณรสแทนนะครับ”
“ตารามพูดถูก ฉันเห็นว่าเวรกรรมก็ตามนายทวนทัน ถือว่าชดใช้ไปแล้ว เลยไม่แจ้งความ ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวต่อ ให้มันอื้อฉาว หรือจวงจะให้ฉันกับตารามแจ้งความล่ะ”
จวงรีบโบกมือส่ายหน้า เถียงไม่ออก
“ไม่นะคะ คุณชายกร...คุณราม”
เห็นภาณุกรออกโรงสนับสนุนรามนรินทร์อีกแรง ภาวิดาจึงได้แต่อึ้งนิ่งงันไป ไม่รู้จะช่วยคนใช้คนสนิทยังไง
“ตอนนี้แกก็เหนื่อยมามากแล้ว ไปพักก่อนเหอะ จวง”
ภาวิดาตวัดสายตาไปมองรสสุคนธ์อย่างชิงชังที่ทั้งรามนรินทร์และภาณุกรต่างเข้าข้าง

จวงเอาภาพทวนมาวางคู่กับภาพปริกที่วางอยู่ก่อนหน้านั้น แล้วปาดน้ำตาได้แต่เจ็บใจแค้นใจที่ทำอะไรรสสุคนธ์ไม่ได้
“ปริก ทวน พี่เจ็บใจแค้นใจนักที่เอาเรื่องนังรสสุคนธ์มันไม่ได้ แต่พี่จะไม่ยอมหยุด พี่ต้องหาทางแก้แค้นแทนแกสองคนให้ได้”
เสียงหัวเราะต่ำๆ ชวนหลอกหลอน ของแม้นมาศดังก้องเข้ามา
“หึๆๆ นังจวง มึงอยากตายตามน้องมึงไปอีกคนหรือไง”
จวงผวา ลนลานไปหยิบพระมาถือไว้ ยื่นออกไปตรงหน้า
“ฉันเปล่านะ ฉันเปล่า...หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”

จวงยกมือไหว้พระท่วมหัว

อ่านต่อหน้า 3



บาปบรรพกาล ตอนที่ 14 (ต่อ)

ฝ่ายภาวิดายื่นคำขาดกับภาณุกรให้ไล่รสสุคนธ์ออก

“ชายกร ตาราม แม่รส ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าก็ดีแล้ว บอกตามตรงนะ ตั้งแต่แม่รสเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ ก็มีแต่เรื่อง มีแต่คนตายติดๆ กัน ถึงจะไม่มีหลักฐานว่าเธอ” มองหน้ารสสุคนธ์ “เกี่ยวข้อง แต่ฉันถือ...ชายกร พี่ว่า...ให้แม่รสสุคนธ์ออกไปจากบ้านเราเถอะนะ”
“ตกลงครับ พี่หญิง ผมจะให้หนูรสสุคนธ์กลับบ้านที่เพชรบุรี”
ภาณุกรตกปากรับคำภาวิดาโดยเร็ว จนรามนรินทร์กับรสสุคนธ์งง เพราะยังไม่รู้เหตุผล
“น้ากร...ทำไมครับ”
รสสุคนธ์น้อยใจนิดๆ “ถ้าคุณชายเห็นว่ารสควรกลับบ้าน รสก็ไม่ขัดข้องค่ะ”
ภาวิดายิ้มเชิดหน้าดีใจมาก
“ขอบใจมากนะ ชายกร”
ภาณุกรมองหน้ารสสุคนธ์แล้วอธิบายเหตุผล
“อาแค่ให้หนูรสลากลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะอาคิดว่าในเมื่อมีคนตายติดๆ กัน แล้วเรือนไม้หอมก็ไฟไหม้ คงต้องซ่อมแซม อาก็เลยตัดสินใจจะเลื่อนการจัดงานระลึกร้อยปีตระกูลออกไปสักเดือนนึง เพราะงานนี้น่าจะเป็นงานรื่นเริงยินดี อาไม่อยากให้มีบรรยากาศสูญเสียเหลืออยู่ รามคิดว่าไง เห็นด้วยกับน้ามั้ย”
รามนรินทร์ยิ้มกว้างเมื่อรู้เหตุผล
“ผมเห็นด้วยครับ น้ากร”
ภาวิดางงๆ แต่แล้วก็ยังยิ้มได้เมื่อคิดว่า ก็ยังดีที่ให้รสสุคนธ์ไปพ้นหน้า ค่อยหาวิธีไม่ให้กลับมาทีหลัง
“ก็ยังดี เธอได้ยินแล้ว ก็รีบไปเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านได้เลย ถ้าคิดถึงบ้านมากๆ ไม่ต้องกลับมาเลยก็ไม่มีใครว่านะ”
รสสุคนธ์ไม่พูดอะไรอีก ยกมือไหว้ภาวิดากับภาณุกรแล้วก็ออกไป

ภาวิดารีบหลบมุมโทร.หาแขไข บอกเรื่องที่รสสุคนธ์จะกลับบ้านทันที
“ถึงตอนนี้มันจะตีปีกว่าไปจากพรหมบดินทร์แค่ชั่วคราว แต่ไว้เราหาวิธีให้มันไม่ได้กลับมา ดีมั้ยจ๊ะ หญิงแข จ้ะ แล้วเจอกัน”
ภาวิดาวางสายจากแขไขด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุขมาก

แขไขยิ้มย่องผ่องใสหลังวางสายจากภาวิดา อุณนิษาเห็นก็แปลกใจ
“คุณหญิงป้าโทร.มามีข่าวดีอะไรเหรอคะ ดูคุณแม่อารมณ์ดีจัง”
แขไขนั่งลงข้างๆ ลูกสาว บอกด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าสุขใจ
“ก็นังรสมันจะไปจากบ้านพรหมบดินทร์แล้วนี่ลูกจ๋า จะไม่ให้แม่ดีใจได้ยังไง”
“นังรสมันถูกไล่ออกแล้วเหรอคะ”
“ก็เปล่าหรอก แต่ชายกรเลื่อนจัดงานร้อยปีตระกูลไปเดือนนึง เลยให้มันพักกลับไปเยี่ยมบ้านได้”
อุณนิษาหงุดหงิด “แค่เดือนเดียวเอง”
“เดือนเดียวหรือวันเดียว ถ้ามันไปซะ ก็ถือเป็นข่าวดีนะลูกนะ นิษาจะได้ใช้โอกาสนี้คลุกวงในตารามแล้วก็...คงไม่ต้องให้แม่พูดใช่มั้ย”
“ค่ะ นิษารู้แล้วว่าจะทำยังไง”
อุณนิษายิ้มร้าย แขไขมองลูกสาวอย่างสมใจ ที่ฉลาดแกมชั่วได้แม่

รสสุคนธ์กับรามนรินทร์คุยอยู่กับภาณุกรในห้องทำงาน คุณชายอธิบายเหตุผลที่ให้เธอกลับไปเยี่ยมบ้าน
“หนูรสเข้าใจเจตนาของอาใช่มั้ย”
“ค่ะ คุณชาย”
รามนรินทร์รีบเสนอตัว
“ผมขอไปส่งคุณรสที่เพชรบุรีนะครับ เหมือนตอนขามาที่ผมไปรับ”
รสสุคนธ์เกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณราม”
“ถ้ารามว่างก็ไปส่งน้องหน่อยแล้วกัน”
ภาณุกรเอ่ยปากสนับสนุนเหมือนรู้ใจหลานชาย อยากให้คนสองคนได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกัน
รสสุคนธ์เพียงยิ้มเขินไม่คัดค้านอะไร รามนรินทร์ยิ้มสมใจ

กระปุกนั่งฟังแม้นศรีคุยมือถือกับรสสุคนธ์ด้วยความสนใจมาก
แม้นศรีค่อยๆ มานะลูก ย่าจะรอ...(วางสาย)
กระปุกถามทันทีเพราะอยากรู้ว่ารสสุคนธ์โทรมาด้วยเรื่องอะไร
กระปุกย่าจ๋า เล่ามาด่วนเลย พี่รสว่าไงคะ
แม้นศรีเห็นเงี่ยหูฟัง ก็คิดว่ารู้แล้ว
“แหม คุณย่า กระปุกไม่ได้มีหูทิพย์นะคะ จะได้ยินทุกเรื่อง แต่เดาว่าพี่รสจะกลับบ้าน หรือว่าพี่รสโดนไล่ออกคะ”
แม้นศรีเขกหัวกระปุกอย่างหยอกเอิน
“ปากเสีย คุณชายภาณุกรอนุญาตให้ลามาเยี่ยมบ้านได้ แม่รสก็เลยจะมาพรุ่งนี้”
“ไชโย ดีใจมากเลยค่ะ” กระปุกร้องเสียงดัง
“อย่ามัวแต่ดีใจ ไปดูแลทำความสะอาดเรื่องห้องของคุณรสให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“เรื่องนั้น คุณย่าไม่ต้องห่วง กระปุกจัดให้”
กระปุกลั้นลาออกไปจัดการเรื่องห้องของรสสุคนธ์ แม้นศรียิ้มชื่น ดีใจที่หลานจะกลับมาเยี่ยมบ้าน

น้อยรู้เรื่องเลยเข้ามาขออนุญาตภาณุกร ตามรสสุคนธ์ไปเที่ยวบ้านที่เพชรบุรีด้วย
“น้อยจะมาขออนุญาตคุณชายตามคุณรสไปเที่ยวบ้านที่เพชรบุรีด้วยได้มั้ยคะ”
ภาวิดาที่นั่งอยู่หันมามองหน้าน้อยทันที น้อยเลยรีบอธิบายเหตุผลว่ามาขอไปเพื่ออะไร
“คือ น้อยอยากจะไปถ่ายรูปธรรมชาติสวยๆ น่ะค่ะ”
ภาณุกรยิ้มแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากอนุญาต ภาวิดาก็แหวใส่ พร้อมกับชี้หน้าด่าน้อยทันที
“เหลวไหล ฉันไม่อนุญาต หล่อนไม่มีงานทำหรือไงยะ พอลูกพี่ไม่อยู่ ก็คิดจะหนีงานตามไปเที่ยว”
“พี่หญิง ผมว่าให้น้อยไปเป็นเพื่อนหนูรสก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”
“ชายกรก็ชอบตามใจจนพวกนี้มันเหลิง คิดอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นหัวเจ้านาย” ภาวิดาค้อนควักพลางหันมาด่าไล่ส่งน้อย “ถ้าหล่อนจะไปก็ไปเลย ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้อยไม่ไปแล้วค่ะ คุณชายจะได้ไม่ลำบากใจ”
น้อยเหนื่อยใจ ยกมือไหว้ภาณุกรแล้วเดินออกไป ภาวิดาเชิดหน้าไม่แยแส

ขณะที่น้อยเดินกลับไปเรือนไม้หอม อธิวัฒน์มาดักรอตั้งนานแล้ว ปรี่เข้ามาหา
“น้อยครับ พี่คิดถึงน้อยมาก หายไปไหนมาครับ พี่มารอตั้งนาน”
“คือ พอดีคุณชายกรอนุญาตให้คุณรสกลับบ้านที่เพชรบุรีแล้วคุณรามจะไปส่ง น้อยก็เลยอยากตามไปเที่ยว...”
น้อยเขินบิดเป็นงู พูดยังไม่ทันจบคำ อธิวัฒน์ก็รีบอาสาไปส่ง พร้อมกับฉวยโอกาสจับมือถือแขน พูดออดอ้อน
“น่าสนุก ให้พี่ขับรถไปส่งก็ได้นะครับ นะครับน้อย”
จีรนันท์พุ่งเข้ามาดึงมืออธิวัฒน์ที่จับน้อยอยู่ออกอย่างแรง
“นังน้อย เห็นคาตาเลย”
จีรนันท์เงื้อมือจะตบ แต่อธิวัฒน์จับมือรั้งไว้
“หยุดนะ จีจี้ จะทำอะไร”
“พี่วัฒน์ปล่อยจีจี้นะ จีจี้จะตบล้างน้ำนังคนหน้าด้านที่มาแย่ง”
น้อยรู้สึกอับอายมากเลยรีบเดินหนีไป จีรนันท์ตะโกนโหวกเหวกตามไป
“เดี๋ยวสิ นังน้อย แกจะหนีไปไหน”
“จีจี้...หยุดอาละวาดได้แล้ว มานี่เลย”
อธิวัฒน์ตวาด พร้อมกับลากตัวจีรนันท์ออกไป

อธิวัฒน์ฉุนขาด ลากจีรนันท์เข้าห้องคอนโด พามานั่งเคลียร์ที่โซฟา
“นั่งสงบสติอารมณ์แล้วฟังพี่นะ จีจี้”
“มีอะไรก็แก้ตัวมาสิ พี่วัฒน์”
“เธอเข้าใจผิดว่าพี่ไปจีบยัยน้อยใช่มั้ย”
“จีจี้เข้าใจถูกต่างหาก ถ้าช้าอีกนิด มันคงได้เขยิบฐานะมาเป็นเมียอีกคนแล้วมั้ง”
“พี่กะฟันแล้วทิ้ง จีจี้จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวไม่สวยนะ”
จีรนันท์หูผึ่ง หันมามองหน้าอธิวัฒน์ว่าพูดจริงหรือเล่น
“พี่วัฒน์หมายความว่าไง”
“ยัยน้อยน่ะเป็นลูกบุญธรรมของคุณชายภาณุกร ที่พี่แกล้งไปตีสนิทเอาใจก็เพราะเราจะได้ข่าวรสสุคนธ์จากวงใน ได้ทำงานให้คุณหญิงน้ากับคุณนิษาด้วย แล้วถ้าคุณชายกรเป็นอะไรไป น้อยก็ต้องได้มรดกแน่ๆ เราก็หลอกเอามาเข้ากระเป๋าเรา สบายไป เข้าใจยัง”
“โห เรื่องเลวๆ พี่วัฒน์ฉลาดล้ำลึก มองเกมขาดช็อตต่อช็อตอย่างนี้ จีจี้ภูมิใจมากเลยนะคะที่เป็นเมียพี่”
จีรนันท์ยิ้มกระหยิ่ม โผเข้าไปกอดซบอกผัว
“งั้นช่วงนี้ว่างๆ เรามาทบทวนบทเรียนกันสักนิดนะจ๊ะ”
อธิวัฒน์ได้ทีดึงมือจีรนันท์ไปทบทวนบทรักกันบนเตียงทันที

รุ่งเช้าวันใหม่ รามนรินทร์ยืนรออยู่ที่รถตรงหน้าเรือนใหญ่เตรียมจะไปส่งรสสุคนธ์ จู่ๆ รถอุณนิษาแล่นปราดมาจอดเทียบ อุณนิษารีบลงรถตรงมาทัก กอดแขนอ้อน
“พี่รามขา มอร์นิ่งนะคะ นิษามาทัน ดีใจจัง เดี๋ยวเราไปทำงานพร้อมกันนะคะ”
รสสุคนธ์เดินหิ้วกระเป๋ามาถึงพอดี รามนรินทร์เลยอึกอัก
“แต่วันนี้พี่ไม่ว่าง พี่จะไปส่งคุณรสที่บ้านเพชรบุรี”
อุณนิษาหันไปเหน็บแนมรสสุคนธ์ทันที
“รสสุคนธ์ถามจริง บ้านตัวเองกลับไม่ถูกหรือไง ถึงต้องให้พี่รามเสียเวลาทำงานไปส่งด้วยอ่ะ”
รสสุคนธ์ไม่อยากจะมีเรื่อง เลยบอกรามนรินทร์แทน
“งั้นฉันขอไปเองนะคะ คุณราม”
รสสุคนธ์ไม่รอให้รามนรินทร์ค้าน เดินออกไปเลย รามนรินทร์จะขยับตาม แต่อุณนิษาเกาะเป็นปลิงไม่ยอมปล่อย
“เค้าก็ไปตามทางของเค้าแล้ว เราก็ไปของเราบ้างนะคะ พี่ราม”

อุณนิษาดึงรามนรินทร์พาเข้าบ้านไป ไม่วายหันไปยิ้มเยาะรสสุคนธ์ที่เดินออกไปเรียกรถกลับเพชรบุรีเอง

อ่านต่อหน้า 4



บาปบรรพกาล ตอนที่ 14 (ต่อ)

รสสุคนธ์ถึงเพชรบุรีโดยปลอดภัย เวลานี้กำลังก้มกราบแม้นศรีที่ออกอาการดีใจเหลือล้น สองย่าหลานสวมกอดกันด้วยความรักความคิดถึง กระปุกอยู่ใกล้ขอกอดแจมด้วย

ถัดมาแม้นศรีตามหลานสาวเข้ามาในห้อง รสสุคนธ์หยิบเอาล็อกเก็ตของย่าวาดส่งให้แม้นศรี อีกฝ่ายรับไปดูแล้วน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา
“เป็นล็อกเก็ตของพี่วาดที่แม่เล็กทำให้จริงๆ ด้วย เวรกรรมอะไร ถึงต้องมาตายจากกันอย่างนี้”
รสสุคนธ์พลอยร้องไห้ไปด้วย กอดปลอบแม้นศรีให้เข้มแข็ง
“ทั้งย่าวาดย่าเล็กคงโชคร้ายที่ไปเจอคนใจร้าย แต่ไม่นานหรอกนะคะ เวรกรรมจะตามคนพวกนั้นทันแน่นอน”
แม้นศรีกังวลขึ้นมา “แม่รสไปรู้ความจริงอย่างนี้ ระวังตัวด้วยนะ หลาน ที่พี่วาดถูกฆ่าตายในวันแต่งงานของย่าเล็ก คนที่สั่งการจะต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ” ประโยคที่แม้นศรีพูด ตรงกับที่แม้นมาศคิด
“ย่าศรีพูดเหมือนย่า...” หญิงสาวหยุดไม่เอ่ยต่ออีก ไม่กล้าเล่าเรื่องเจอผีแม้นมาศ
“รส ทำไมไม่พูดต่อ หลาน”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไหนๆ รสก็ได้พักกลับมาบ้านเราแล้ว พรุ่งนี้ไปทำบุญให้ย่าวาด ปู่แม้นเมือง ย่าเล็ก แล้วก็พ่อกับแม่ของรสดีมั้ยคะ”

เช้าวันต่อมา สองย่าหลานพากันมาอยู่หน้าเจดีย์เก็บอัฐิของแม้นเมืองภายในวัดใกล้ๆ บ้าน รสสุคนธ์นำดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้แล้วปักไว้พร้อมกับบอกกับปู่
“ปู่แม้นเมืองคะ รสพาย่าวาดกลับบ้านมาอยู่กับปู่แล้วนะคะ”
พลางรสสุคนธ์หยิบภาพของย่าวาดที่นำไปใส่กรอบ ออกมาวางไว้ข้างๆ รูปแม้นเมืองหน้าเจดีย์ แม้นศรีบอกพี่ชายน้ำตาซึม
“พี่เมืองอย่าห่วงอะไรอีกเลยนะจ๊ะ คนที่ทำบาปกรรมไว้ก็เริ่มชดใช้กรรมแล้ว”
รสสุคนธ์เหลียวมองไปยังเจดีย์ที่เก็บอัฐิ พ่อและแม่ ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก แล้วเดินเข้าไปปัดกวาดเศษใบไม้รอบๆ เจดีย์ ยกมือไหว้บอกกล่าวพ่อกับแม่
“พ่อมิ่งเมือง แม่รัตนา รสมาไหว้นะจ๊ะ”
ระหว่างนี้ ผู้กองวิชิต อายุและวัยเท่ากับรามนรินทร์ ก็มาไหว้อัฐิสารวัตรวิชาผู้เป็นพ่อ ผู้กองหนุ่มหันไปมองรสสุคนธ์ที่ไหว้อัฐิพ่อแม่แล้วถามออกไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรกับคุณมิ่งเมืองและคุณรัตนาครับ”
“คุณพ่อคุณแม่ฉันเองค่ะ”
วิชิตใคร่ครวญครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันตอบอะไร กระปุกก็วิ่งเข้ามาขัดจังหวะ ยื่นส่งร่มให้
“ย่า พี่รส เริ่มร้อนแล้วนะ นี่ร่มค่ะ กลับกันยังคะ”
“เออ กลับก็กลับ...เร่งจริง นังกระปุก”
รสสุคนธ์เลยยกมือไหว้วิชิตเป็นการบอกลา วิชิตรับไหว้แล้วเลยไปไหว้แม้นศรีด้วย
วิชิตมองตามรสสุคนธ์กับแม้นศรี ด้วยแววตาสงสัย

รถรับจ้างจอดรอรับสามคนอยู่หน้าวัด กระปุกพาแม้นศรีขึ้นนั่งด้านหลัง ส่วนตัวเองลงไปนั่งด้านหน้าคู่คนขับ รสสุคนธ์กำลังจะก้าวขึ้นรถ มอเตอร์ไซค์ของวิชิตแล่นมาจอดเทียบ ผู้กองหนุ่มรีบแนะนำตัว
“คือ ผมอยากแนะนำตัว ผมผู้กองวิชิต เป็นลูกของสารวัตรวิชา ผมจำได้ว่า พ่อเคยมีบันทึกว่าทำคดีของคุณมิ่งเมืองกับคุณรัตนา”
รสสุคนธ์สนใจทันที
“เหรอคะ ตอนนั้นฉันยังเล็กมาก” พลางหันไปถามแม้นศรี “ตอนนั้นรสแค่ 10 ขวบเองใช่มั้ยคะ ย่าศรี”
แม้นศรีพยักหน้ารับเอาคำหลานสาว พร้อมกับคิดถึงอดีตวันที่รู้ข่าวร้ายของพ่อแม่รสสุคนธ์
ครั้งนั้น แม้นศรีอยู่ในชุดดำไว้ทุกข์ กอดภาพคู่ของมิ่งเมืองและรัตนาไว้ในอ้อมอก มองไปยังเด็กหญิงรสสุคนธ์ในวัย 10 ขวบ ด้วยความรักและสงสาร
“ถึงพ่อกับแม่ของหลานจะอายุสั้น มาจากไปด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน แต่ย่าสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้ง รสนะ หลานรัก”
รสสุคนธ์โผเข้ากอดแม้นศรีไว้ด้วยความรัก
นึกขึ้นมาทีไรแม้นศรีก็เศร้าใจทุกครั้ง
“ใช่ หลานเด็กมาก แล้วอุบัติเหตุวันนั้นมันก็กะทันหัน...”
วิชิตได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยทวนคำขึ้นมา เหมือนติดค้างอะไรบางอย่างในใจ
“อุบัติเหตุเหรอครับ”
แต่รสสุคนธ์จับสังเกตได้เพราะนางเป็นคนประเภทลูกอีช่างสงสัย เลยจ้องหน้าถามออกไป
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ผู้กอง”
วิชิตไม่ตอบกลับส่งนามบัตรให้ พร้อมกับบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าคุณรสสุคนธ์พอมีเวลาว่าง โทรมานะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะหารือด้วย”
รสสุคนธ์รับนามบัตรมา แล้วขึ้นไปนั่งข้างย่า รถรับจ้างขับออกไปจากวัด สักครู่วิชิตจึงขับรถออกไป

ที่บ้านพรหมบดินทร์ ภาณุกรอยู่ในห้องทำงานบนเรือนใหญ่ กำลังนั่งดูภาพถ่ายที่ดินแปลงที่เคยเดินทางไปดูที่เพชรบุรี คิดถึงตอนไปดูที่ดินผืนนี้ และหยุดยืนมองที่ดินกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาในเช้าวันนั้นด้วยความพอใจ
รามนรินทร์เดินมาเห็น มองฉงนว่าน้าชายดูภาพอะไร
“น้ากรดูภาพอะไรอยู่ครับ”
ภาณุกรเงยหน้ามามอง เรียกหลานมาคุยด้วย
“รามว่างหรือเปล่า มาดูที่ดินตรงนี้สิ”
“ว่างครับ” รามนรินทร์ลงนั่งดูภาพที่ดินที่น้าส่งมาให้ “ที่ดินสวยมากเลยครับ น้ากรจะซื้อเหรอครับ”
“โรงแรมแกรนด์บดินทร์จะซื้อเพื่อเอาไว้สร้างรีสอร์ตต่างหากล่ะ”
“ที่ดินอยู่ที่ไหน แล้วเป็นของใครครับ น้ากร”
ภาณุกรอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะตอบหลานชายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“ที่ดินอยู่เพชรบุรี แล้วเจ้าของคนปัจจุบันที่ได้มรดกมาชื่อ...นางสาวรสสุคนธ์ เกษมบริรักษ์ น้าอยากจะวานรามไปเพชรบุรีเพื่อเจรจาขอซื้อที่ดินให้หน่อยได้มั้ย”

รามนรินทร์ดีใจจนเนื้อเต้น อยากจะเดินทางไปหารสสุคนธ์ไวๆ รีบจัดการโทร.เข้าออฟฟิศสั่งงานนภา
“คุณนภาได้รับไฟล์งานที่ผมส่งอีเมลไปเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
นภาคุยสายอยู่ที่ออฟฟิศโรงแรมแกรนด์บดินทร์
“ค่ะ บอส ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวนภาดีลทุกอย่างให้เอง บอสไปฮอลิเดย์บ้านน้องรสให้สนุกเถอะค่ะ”
รามนรินทร์เขิน “ผมไปทำงานต่างหาก อ้อ แล้วอย่าบอกใครว่าผมไหนนะครับ”
“ไว้ใจได้ค่ะ นภาจะรูดซิปปากให้สนิท สมกับเป็น Secretary เลขาผู้รักษาความลับของนายยิ่งชีพเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
รามนรินทร์ยิ้มแก้มแทบแตก ก่อนวางสายไป

รถรามนรินทร์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านแม้นศรีค่ำวันนั้น กระปุกที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้นเห็น ก็ลุกเดินเข้าไปมองใกล้ๆ รามนรินทร์เปิดประตูรถลงมา กระปุกจำได้ยิ้มหน้าบานพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“พี่รส พี่รสจ๋า แฟนตามมาแล้วจ้า”
รสสุคนธ์เดินจูงแขนแม้นศรีออกมาจากในบ้าน
“โหวกเหวกเสียงดังอะไร นังกระปุก”
รามนรินทร์ยกมือขึ้นไหว้แม้นศรี แล้วหันไปยิ้มทักรสสุคนธ์
“สวัสดีครับ คุณย่าแม้นศรี”
แม้นศรีรับไหว้ “ไหว้พระเถอะค่ะ”
รสสุคนธ์แอบดีใจที่เห็นรามนรินทร์ตามมา
“คุณรามมาที่นี่ได้ไงคะ”
“ผมมาทำงานครับ” รามนรินทร์ว่าแล้วหันไปทางแม้นศรี “เรื่องที่ดินที่คุณน้าชายกรมาดูไว้ไงครับ คุณย่าแม้นศรี”
แม้นศรียิ้มพยักหน้ารับรู้ รสสุคนธ์มองหน้าย่างงๆ เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้
“เดี๋ยวย่าจะเล่าให้ฟัง เชิญคุณรามขึ้นบ้านก่อนค่ะ”

อีกฟากหนึ่ง ที่โรงแรมแกรนด์บดินทร์ เมื่ออุณนิษามาถึงออฟฟิศ ก็ถึงกับออกงิ้ว โวยวายใส่นภายกใหญ่ เมื่อรู้ว่ารามนรินทร์ไม่อยู่
“แย่มากเลย พี่รามไปไหน ทำไมเธอไม่รู้”
นภามองสู้สายตาไม่ยี่หระ หัวเราะเยาะเบาๆ
“ขำค่ะ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าบอสไปไหน แต่ไม่บอก”
“นังบ้า บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพี่รามไปไหน”
อุณนิษากรี๊ดแล้วทำท่าจะเข้าไปบีบคอนภาที่เหมือนรู้ทันรีบหยิบแป้นสก็อตเทปมาถือไว้
“อ๊ะ...อ๊ะ อย่าคิดจะทำร้าย ลงไม้ลงมือกันนะคะ สู้ค่ะ”
อุณนิษาทำอะไรนภาไม่ได้ เลยกระแทกเท้าเดินออกไป
“อ้าว หนีไปไหน มุกเดิมนี่หว่า พอบอสไม่อยู่ ก็ไม่ทำงาน น่าเบื่อ แต่ก็ดี นภาทำเองคนเดียวได้อยู่แล้ว”

รสสุคนธ์นำเครื่องดื่มมาให้รามนรินทร์ที่นั่งรออยู่ในสวนสวยข้างบ้าน
“ผมคิดถึงคุณรสจังครับ” พร้อมกับว่ารามนรินทร์ดึงมือเธอมากอบกุมไว้
รสสุคนธ์เขิน ดึงมือออก
“เราไม่ได้เจอกันแค่วันเดียวเนี่ยนะคะ ว่าแต่คุณรามมาทำงานจริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ น้ากรส่งผมมาเจรจาขอซื้อที่ดิน พรุ่งนี้ผมอยากจะรบกวนคุณรสพาผมไปดูที่ดินได้มั้ยครับ”
“ได้สิคะ ย่าศรีเล่าให้รสฟังแล้ว”

ทางด้านอุณนิษาเดินกระแทกเท้าอารมณ์บูดเข้ามาหาอธิวัฒน์ที่คอนโด จีรนันท์ก็อยู่ด้วย
“น่าเบื่อ นังนภา แก่แล้วยังปากมากอีก ถามอะไรก็ไม่เคยบอก”
“ใจเย็น นิษา อย่าไปสนใจพวกระดับล่างเลย”
“แล้วนิษาอยากรู้เรื่องอะไร ทำไมต้องไปถามยัยนภาด้วย”
“ก็พี่ราม ไม่รู้หายไปไหน นิษาโทร.หาก็ไม่รับสาย ไลน์ก็ไม่ตอบ” อุณนิษาหงุดหงิดเต็มที่
อธิวัฒน์กับจีรนันท์หันมาสบตายิ้มให้กัน
“เรื่องแค่นี้เอง นายรามตามรสสุคนธ์ไปเพชรบุรี คุณชายภาณุกรทำตัวเป็นพ่อสื่อ อ้างว่าให้ไปดูที่ดินจะเอามาทำรีสอร์ตในเครือแกรนด์บดินทร์” อธิวัฒน์แจง
จีรนันท์เสริม “ใช่ นิษาเป็นเลขาฯคุณรามไม่เคยรู้เรื่องโปรเจ็กต์นี้เลยเหรอ”
“รู้แล้วจะมาอารมณ์เสียอยู่เหรอ ว่าแต่ทำไมพี่วัฒน์กับจีจี้รู้” อุณนิษาแปลกใจ
“พี่ก็หลอกถามยัยน้อยมาไง”
“พี่รามนะพี่ราม หนีนิษาไปหานังรสจนได้”
“นิษา เธออย่ายอมนะ”
“ฉันไม่ยอมหรอกจีจี้ พรุ่งนี้จะตามไปจัดการมันให้รู้ซะบ้างว่า อย่ามายุ่งกะพี่รามของฉัน แต่ตอนนี้ไปช็อปปิ้งแก้เครียดก่อน ไปมั้ย จีจี้”
จีรนันท์กำลังจะตอบรับ แต่อธิวัฒน์ส่ายหน้าห้าม
“เชิญนิษาเถอะจ้ะ วันนี้ฉันเหนื่อยๆ อยากพัก”
“งั้นก็ตามใจ”
อุณนิษาลุกเดินออกจากห้องไป

ไม่นานต่อมา สองผัวเมียแอบเข้ามาในบ้านแขไข ตอนที่ไม่มีใครอยู่ จีรนันท์บ่นบ้าตั้งแต่มาถึง
“ที่พี่วัฒน์ไม่ให้จีจี้ไปช็อปปิ้งกับนิษา แล้วมาที่บ้านทำไม ไม่เห็นมีใครอยู่เลย...”
อธิวัฒน์รีบเอานิ้วปิดปากห้ามไม่ให้เมียเสียงดัง
“ชู่ อย่าดังไปจีจี้ ดูต้นทางไว้นะ เดี๋ยวพี่มา”
จีรนันท์เลยต้องเงียบเสียง และปล่อยให้อธิวัฒน์เดินหายเข้าไปในห้องแขไขสักระยะหนึ่ง จึงกลับออกมาพร้อมซองโฉนดที่ดิน
“ซองอะไร เหมือนโฉนดที่ดินเลย”
อธิวัฒน์ไม่ตอบอะไร รีบฉุดมือจีรนันท์ออกไปจากบ้านแขไขโดยเร็ว

อธิวัฒน์ถือโฉนดที่ดินกลับเข้ามาในคอนโดด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“โฉนดที่ดินนี้จะทำให้เรารวยกันใหญ่แล้ว รู้มั้ยจีจี้”
จีรนันท์งง “แล้วที่ดินของใครเหรอ พี่วัฒน์”
อธิวัฒน์ยังไม่ยอมเล่าแผนการชั่วใดๆ
“จีจี้รีบไปเก็บกระเป๋า พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเพชรบุรีกัน แล้วพี่จะเล่าแผนการให้ฟังตอนเดินทาง”
“โอเค จัดให้ค่ะ”

ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าเหนือเมืองเพชรบุรี เต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับสวยงาม รสสุคนธ์กับรามนรินทร์ออกมานั่งดูดาวด้วยกันตรงระเบียงบ้าน
“ท้องฟ้าที่ไม่มีตึกสูงบัง ทำให้ดาวสวยขึ้นมากเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ตอนเด็กๆ รสชอบมาดูดาวคนเดียว เพราะอยากจะเห็นพ่อกับแม่โบกมือลงมาจากฟ้า”
รามนรินทร์เห็นสีหน้ารสสุคนธ์เศร้าไปถนัดตา เมื่อเอ่ยถึงพ่อกับแม่ เลยถามออกไป
“จริงสิ คุณรสเคยบอกว่ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ 10 ขวบ”
“ใช่ค่ะ ตอนเด็ก พอฉันร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ ย่าศรีก็จะบอกว่าพ่อกับแม่อยู่บนฟ้า”
“คุณรสก็เลยมานั่งมองดาว”
รสสุคนธ์พยักหน้ายิ้มเขินๆ
“ค่ะ ความเชื่อของลูกกำพร้า น่าอายนะคะ”
รามนรินทร์จ้องตารสสุคนธ์ลึกซึ้ง พร้อมกับดึงมือเธอมากุมไว้
“ไม่เห็นน่าอายเลยครับ พ่อก็จากไปตอนผมแค่ 2 ขวบ เพราะเครื่องบินตก”
รามนรินทร์หวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เขาต้องสูญเสียพ่อ

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่บ้านพรหมบดินทร์ รามนรินทร์อายุเพียง 2 ขวบ ขณะทรงยศผู้เป็นบิดาเสียชีวิต
ภาวิดากอดภาพทรงยศร้องไห้เสียใจ
“คุณยศ ทำไมทิ้งฉันไป แล้วฉันกับตารามจะอยู่ยังไง”
ภาวิดาร่ำไห้ดึงตัวเด็กชายรามนรินทร์วัย 2 ขวบมากอดไว้
แม้จะไม่รับรู้อะไร แต่พอเห็นแม่ร้องไห้ รามนรินทร์ก็โผเข้ากอดภาวิดา ร้องไห้ไปด้วยกัน

รสสุคนธ์มองรามนรินทร์อย่างเข้าใจ สาวเห็นผีกระชับจับมือเขาเพื่อให้กำลังใจ
“ฉันขอโทษที่ทำให้คุณรามต้องคิดถึงเรื่องสะเทือนใจนะคะ”
รามนรินทร์มองเข้าไปในดวงตาของรสสุคนธ์อย่างมีความหมาย ตัดสินใจสารภาพรัก
“คุณรสไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ แค่คุณรสรับไมตรีจากผม ผมก็ไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไปแล้วครับ ผม...ผมรักคุณรสนะครับ”
รสสุคนธ์อายม้วน เมื่ออีกฝ่ายสารภาพรักโต้งๆ
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“อย่าขอบคุณผม แต่ขอให้บอกผมว่าคุณรสรักผมมั้ย นะครับ”
รสสุคนธ์ไม่อาจปิดบังความรู้สึกท่วมท้นในใจที่มีต่อรามนรินทร์ได้ พยักหน้ารับเอาคำขอเขินๆ
“ค่ะ ฉันก็รักคุณราม”
รามนรินทร์ดึงตัวรสสุคนธ์ไปกอดด้วยความรักล้นใจ

เช้าวันนี้ รสสุคนธ์กับรามนรินทร์พากันมาดูที่ดินผืนสวย ที่คุณชายภาณุกรเคยเดินทางมาดูด้วยตัวเองเมื่อครั้งก่อน สองหนุ่มสาวจับมือถือแขนเป็นคู่รักกันอย่างชัดแจ้ง ขณะชี้ชวนกันชื่นชมธรรมชาติสวยรอบกาย

รถของอุณนิษาแล่นมาเบรกจอดที่หน้าบ้านแม้นศรีด้วยเสียงอันดังตามอารมณ์เจ้าของรถ กระปุกนั่งอยู่ในบ้านถึงกับตกใจ รีบออกไปดู
“รถใครหว่ามาเหมือนพายุ”
อุณนิษาก้าวลงรถ มองไปรอบๆ บ้าน แล้วเบ้ปากดูถูก
“นี่น่ะเหรอบ้านนังรสสุคนธ์ กระจอกอย่างนี้นี่เอง ถึงอยากจะจับพี่รามของฉัน เชอะ ฝันไปเหอะ”
กระปุกมองอุณนิษายืนเชิดใส่พูดอยู่คนเดียวแล้วนึกหมั่นไส้
“คุณมาหาใครคะ พูดคนเดียวด้วย เพี้ยนรึเปล่านี่”
“ว้าย แกเป็นใครยะ มาว่าฉันเพี้ยน” อุณนิษามองเหยียดกระปุก “อ๋อ แค่ขี้ข้า”
กระปุกฉุนขาด และไม่ถูกชะตาอุณนิษาที่ดูถูกคนอื่น เลยโต้กลับ
“ขี้ข้าแล้วไง ผู้ดีมาจากไหน”
“นี่บ้านนัง เอ๊ย รสสุคนธ์ใช่มั้ย”
“ใช่ก็ได้ มีธุระอะไรกับพี่รส”
“ฉันเป็นว่าที่คู่หมั้นของพี่รามนรินทร์ เค้าอยู่มั้ย”
กระปุกหมั่นไส้อุณนิษาเป็นทวี เลยนึกสนุกคิดจะแก้เผ็ด
“ไม่อยู่ ไปดูที่กับพี่รส”
“ที่ไหน บอกทางมา ฉันจะไปตามพี่ราม”
“อยากรู้จริงอ่ะ” กระปุกยักท่าเล่นลิ้น
“เอ๊ะ แกนี่...รีบบอกมา”
ทันทีที่กระปุกบอกทางให้ อุณนิษาห็รีบขึ้นรถขับออกไปโดยเร็วและแรงไม่ต่างจากตอนมา
กระปุกยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจที่หลอกอุณนิษาได้
สักครู่แม้นศรีจึงเดินออกมาถามกระปุก
“กระปุกมาอยู่ที่นี่เอง ข้าได้ยินเสียงเหมือนคนมา ใครมาเรอะ”
“ไม่มีใครหรอกย่า แค่คนมาถามทาง ก็เลยบอกไป”
กระปุกกลั้นยิ้ม ไม่ยอมบอกว่าหลออุณนิษาให้ไปผิดที่

เดินดูที่ดินอีกสักครู่ใหญ่ รามนรินทร์กับรสสุคนธ์จึงเดินคุยกันกลับมาที่รถ
“ที่ดินสวยมากเลย คุณรสขายให้แกรนด์บดินทร์นะครับ”
“ฉันแล้วแต่ย่าศรีค่ะ”
“แต่คุณรสเป็นทายาทสายตรงของเจ้าของที่ดินนะครับ”
เสียงของอธิวัฒน์ดังนำเข้ามา ก่อนที่เขาจะแสดงตัวออกมาพร้อมกับจีรนันท์
“แน่ใจเหรอว่าเป็นเจ้าของตัวจริง”
รามนรินทร์หันมามองสองคนด้วยสีหน้าฉงน “คุณอธิวัฒน์ พูดอย่างนี้ หมายความว่าไง”
อธิวัฒน์หันไปมองหน้าจีรนันท์ อีกฝ่ายรีบหยิบโฉนดมายื่นให้รามนรินทร์กับรสสุคนธ์ดู
“คุณรามลองดูสิคะว่า ที่ดินผืนนี้ชื่อใคร”
รามนรินทร์กับรสสุคนธ์หยิบไปดู เห็นชื่อในโฉนดก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

ทางด้านอุณนิษาขับรถเข้ามาในที่ดินที่เป็นที่นาแห่งหนึ่ง แล้วรถดันติดหล่มไปไม่ได้ อุณนิษาลงมาแล้วแทบอยากจะร้องไห้
“แย่แล้ว รถติดหล่ม นังเด็กบ้า มันหลอกให้เรามาที่นี่แน่ๆ”
วิชิตขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา เลยจอดถาม ประสาคนมีน้ำใจ
“คุณ มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
อุณนิษาเห็นสภาพของวิชิตก็มองเหยียด ทำเชิดใส่
“ฉันจะเป็นอะไรก็เรื่องของฉัน อย่ามายุ่ง”
“โอเค.ครับ งั้นก็ติดหล่มอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน ว่าแต่วันนี้อาจจะไม่มีใครผ่านมาเลยนะครับ”
อุณนิษาได้ยินก็ตกใจ แต่ยังปากเก่ง ปากเสียไม่ลดละ
“แก ไอ้บ้า ไอ้บ้านนอก อย่ามาแช่งฉันนะ จะไปไหนก็ไป”

รสสุคนธ์ยืนยันกับรามนรินทร์ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของพ่อแม่เธอจริงๆ
“ที่ดินผืนนี้เป็นของพ่อกับแม่จริงๆ นะคะ คุณราม แต่ว่าฉันเองก็ไม่เคยขอย่าศรีดูโฉนดสักที”
“คุณรสใจเย็นๆ เรื่องนี้ผมจะตรวจสอบให้”
“ขอบคุณค่ะ คุณรามเชื่อฉันใช่มั้ยคะ”
“ผมไม่เชื่อ ผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะเชื่อใครล่ะครับ”
รสสุคนธ์อายม้วน ที่รามนรินทร์หวานใส่ถี่ๆ สองคนขึ้นรถขับกลับบ้านด้วยกัน

ทางฝ่ายอุณนิษานั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียวในรถ พยายามกดมือถือหาทั้งอธิวัฒน์แล้วก็จีรนันท์แต่ไม่มีใครรับสายสักคน
“พี่วัฒน์ ยัยจีจี้ ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสายสักคน”
อุณนิษาบ่นบ้า ก่อนจะลงจากรถอีกครั้ง มองไปรอบๆ พบว่ามีแต่ทุ่งนากับต้นตาล ไม่มีใครเลยก็ใจคอไม่ดี สักครู่หนึ่งวิชิตขี่มอเตอร์ไซค์วนกลับมาดู อดห่วงไม่ได้
“ว่าไงครับ ผมจะถามอีกครั้ง มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
“ฉันจะจ้างนายก็ได้...รถมันติดหล่ม นายช่วยหารถมาลากหน่อย”
“ไม่ครับ ผมไม่รับจ็อบ”
อุณนิษาแว้ดใส่ “ไอ้บ้า แล้วกลับมาทำไม คนเฮงซวย”
“คนต่างจังหวัดเค้ามีน้ำใจนะครับ ไม่ใช่ทุกเรื่องจะต้องใช้เงินไปหมด เพียงแค่คุณพูดขอร้องดีๆ”
อุณนิษายังเชิดหน้าไม่เคยยอมใคร จนเห็นวิชิตทำท่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปอีกรอบ อุณนิษาเลยจำเป็นต้องพูดดีๆ ด้วย
“คุณ อย่าเพิ่งไป ช่วยฉันด้วยนะคะ”
วิชิตส่ายหน้า “ก็แค่เนี้ย ผมชื่อวิชิตครับ เป็นตำรวจ ถ้าคุณกลัวว่าผมจะมาหลอก ว่าแต่คุณมาที่นี่ทำไมครับ”
“ฉันจะมาดูที่ดิน”
“ที่ดินของใคร”
“นัง เอ๊ย รสสุคนธ์ เกษมบริรักษ์”
วิชิตยิ้ม แล้วรีบบอก
“หลานสาวของคุณย่าแม้นศรีนั่นเอง”

ฟากอธิวัฒน์กับจีรนันท์มานั่งหลบมุมคุยกันอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในตัวเมือง เสียงมือถือเงียบไปแล้วทั้งคู่ ต่างคนต่างไม่ยอมรับสายอุณนิษา
“ยัยนิษาโทร.มา ทำไมพี่วัฒน์ไม่รับ”
“เบื่อ แล้วทำไมจีจี้ไม่รับล่ะ”
“เซ็ง ว่าแต่เรื่องที่ดินตกลงมันยังไง พี่วัฒน์เล่าซะทีสิคะ”
“ที่ดินที่เพชรบุรีผืนนี้เป็นของคุณชายอัศวิน สามีน้าหญิงแขไขไง พ่อพี่เคยเล่าว่าซื้อมาราคาไม่กี่บาท”
จีรนันท์สนใจขึ้นมาทันที
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ แล้วไงต่อ”
“ก็ไม่มีอะไร พอพี่รู้ว่าไอ้รามมันอยากจะซื้อที่ดินของยัยรสไปทำรีสอร์ต พี่เลยเดาว่าต้องผืนนี้เลยจัดให้มัน”
“แต่นังรสมันบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมรดกพ่อแม่มันนี่คะ”
“พี่ก็ไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ไม่เห็นจะสนใจ ที่ดินของใครก็ช่าง พี่ขายได้ ก็รับทรัพย์
อธิวัฒน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

อุณนิษาจำต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์วิชิตกลับมาที่บ้านแม้นศรี รีบหุนหันลงรถมาอย่างไม่พอใจ กระปุกโผล่หน้ามาดู พอเห็นสภาพอุณนิษาที่หัวกระเซิง ไม่มีมาดคุณหนูไฮโซเหลือเลย ก็หัวเราะขำ
“อ้าว คุณ ตอนมามารถเก๋ง 4 ล้อ ทำไมตอนนี้เหลือแค่รถเครื่องสองล้อล่ะ หมดสภาพเลย”
อุณนิษาชี้หน้าด่ากระปุกอย่างไม่พอใจ เพราะรู้ว่าเด็กสาวจงใจแกล้ง
“นังบ้านนอก แกยังมีหน้ามาถาม ก็แกหลอกให้ฉันไปดูที่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เห็นเจอพี่รามเลย”
“อ้าวเหรอ ไม่ใช่ที่ดินที่คุณรามกับพี่รสไปเหรอ เออนะ ก็ช่วยไม่ได้ กระปุกไปแค่ครั้งเดียว จำไม่ได้”
อุณนิษายัวะจัด ทำท่าจะเข้าไปตบกระปุก
“เอ๊ะ นังนี่”
กระปุกรีบกระโดดเข้าไปหลบหลังวิชิตแล้วฟ้องทันที
“ผู้กองจ๋า ช่วยกระปุกด้วย มีคนจะทำร้าย”
แม้นศรีได้ยินเสียงดังเอะอะ จึงโผล่หน้าออกมาดู
“กระปุกใครมา ทำไมเสียงดังจัง”
ระหว่างนี้รถของรามนรินทร์ที่มีรสสุคนธ์นั่งเคียงข้างแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี

บรรยากาศในโต๊ะอาหารมื้อค่ำบ้านแม้นศรี เต็มไปด้วยความอึดอัด เพราะอุณนิษาวางท่าปั้นปึ่งเย่อหยิ่งวางตัวเป็นเจ้านาย บ่นบ้าอย่างน่าหมั่นไส้ตลอดเวลา
“พี่รามก็แปลกนะคะ ทำไมต้องมาทนกินอาหารบ้านๆ พวกนี้ด้วย เราเข้าไปในเมืองไปหาอาหารดีๆ กินไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ผมว่าอาหารฝีมือคุณย่าแม้นศรีน่ากิน แล้วก็อร่อยมากครับ”
รสสุคนธ์ กับแม้นศรีหันไปสบตากัน กินข้าวเงียบๆ รักษามารยาทไป กระปุกมองอุณนิษาแล้วหมั่นไส้แกล้งถาม
“ตกลงคุณจะกินมั้ยจ๊ะ ถ้าไม่กิน กระปุกจะได้เก็บ เสียดายของอร่อยๆ”
“กระปุก จะทำอะไรก็ออกไป อย่าเสียมารยาท” แม้นศรีเอ็ด
“เดี๋ยวรสไปเอาของหวานมาเสิร์ฟนะคะ ย่าศรี” รสสุคนธ์ฉุดมือกระปุกออกไปด้วยกัน “ไปได้แล้ว ตัวป่วน”

หลังอาหารมื้อค่ำ รสสุคนธ์ และ รามนรินทร์ มานั่งคุยเรื่องที่ดินกับแม้นศรีอยู่ในโถงบ้าน
“ย่ายืนยันนะว่าที่ดินที่คุณชายกรไปดูแล้วสนใจเป็นของพ่อแม่ยัยรสจริงๆ แต่ย่าไม่รู้ว่ามีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันไปตั้งแต่ตอนไหน”
อุณนิษาเดินออกมา เห็นสามคนคุยกันเลยหลบมุมแอบฟัง
“แล้วย่าศรีมีโฉนดที่ดินมั้ยครับ”
“ขอย่าไปรื้อเอกสารเก่าๆ ก่อนนะคะ”
“ไว้รสช่วยรื้ออีกแรงค่ะ แต่ถ้าพ่อแม่ขายที่ดินไปแล้ว” เธอหันไปมองหน้ารามนรินทร์ “คุณรามก็คงต้องไปซื้อต่อจากเจ้าของใหม่จากทายาทคือ คุณหญิงแขไข”
อุณนิษาหูผึ่งทันทีพอได้ยินชื่อแม่ตัวเอง
รามนรินทร์กลับมองรสสุคนธ์ด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนบอก
“ที่ดินจะเป็นของใครไม่สำคัญ ผมจะซื้อคืนให้เองครับ”
อุณนิษาชักสีหน้าไม่พอใจ แววตาวาววับเต็มไปด้วยแรงริษยาอาฆาตแค้น
“นังรสสุคนธ์ แกกับฉันคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”

อุณนิษาหลบมุมมาคุยโทรศัพท์กับแขไขซึ่งอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ
“นังรสบอกว่าที่ดินที่เพชรบุรีที่พี่รามสนใจจะซื้อคืนให้มัน เป็นของคุณแม่ มันยังไงกันคะ
“ที่ดินผืนนั้นนั่นเอง”

แขไขพึมพำกับตัวเอง แววตาคล้ายครุ่นคิดถึงเรื่องในอดีต

อ่านต่อตอนที่ 15


กำลังโหลดความคิดเห็น