บาปบรรพกาล ตอนที่ 4
รสสุคนธ์ถูกช้อยบีบเค้นคออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล จวนจะหมดลมอยู่รอมร่อ จู่ๆ ตาดำก็วิ่งเข้ามา ตวาดช้อยเสียงดังน่ากลัว
“ปล่อย”
ช้อยตกใจคิดว่าตาดำเป็นผีจึงปล่อยมือจากคอรสสุคนธ์
“ผีสองตัว...กลัว...กลัว...”
ช้อยลนลาน วิ่งเตลิดหนีไป
รสสุคนธ์ไอค่อกแค่กจับลำคอตัวเองนวดเบาๆ เมื่อดีขึ้น จึงหันไปมองทางเสียงที่ตวาดช้อย แต่ต้องแปลกใจ ที่ไม่เห็นแม้เงาของตาดำ
“ทำไมหายไปไวนัก”
รสสุคนธ์เดินหมกมุ่นครุ่นคิดเข้ามาด้านในเรือนไม้หอม ยังแปลกใจไม่คลายว่าคนที่มาช่วยหายไปไหน บ่นกับตัวเองงึมงำ ชะเง้อชะแง้แลหา
“คนแน่ๆ หายไปทางไหนนะ”
แม้นมาศโผล่ออกมาจากที่มืดทำเอารสสุคนธ์ขวัญกระเจิงอีกรอบ
“ว้าย”
แม้นมาศยิ้มเยือกเย็นมาให้
“ขอโทษที่โผล่มาไม่ให้เสียง ว่าแต่คุณออกไปทำอะไรนอกเรือนตอนค่ำๆ มืดๆ”
“ฉันแค่ไปเดินเล่น จู่ๆ ช้อยก็โผล่มาบีบคอ ดีที่มีคนมาช่วยไว้ แต่ไม่รู้หายไปไหนไวจัง”
“ช้อยงั้นเหรอ” แม้นมาศพึมพำ
“ฉันไม่ถือสาหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าช้อยสติไม่ดี”
แม้นมาศไม่ตอบรสสุคนธ์แต่แววตาแข็งกร้าว ซุกซ่อนความไม่พอใจไว้
ไม่นานต่อมา ผีแม้นมาศประกาศกร้าวใส่ช้อย ไม่พอใจที่มาทำร้ายหลาน
“นังช้อย ฉันเตือนแกแล้วใช่มั้ยว่า อย่ามาที่นี่อีก ถ้าไม่อยากตาย”
แม้นมาศเปลี่ยนสภาพจากผีหน้าขาวโพลน เป็นหน้าเละเน่าหนอนเต็มขั้น ช้อยจ้องมองด้วยอาการผวากลัวถึงขีดสุด
“ผี ผี แกเป็นผี”
ช้อยถอยกรูด ผีแม้นมาศยกมือขึ้นทำท่าจะบีบคอ ช้อยกลัวจนฉี่ราด ผีแม้นมาศไม่สนใจ เอื้อมมือมาถึงลำคอของช้อยได้ก็เริ่มบีบ
“ตายซะ”
ช้อยดิ้นรนหายใจขลุกขลัก เพราะเริ่มขาดอากาศ พยายามร้องขอชีวิต
“อย่า...กะ...กลัวแล้ว...”
ผีแม้นมาศแสยะยิ้ม หัวเราะเสียงดังกึกก้อง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอด ช้อยดิ้นรนสะบัดจนพ้นมือเย็นชืดของผีแม้นมาศอีกรอบ วิญญาณแค้นหัวเราะชอบใจ ช้อยอาศัยเสี้ยววินาทีนั้นวิ่งเตลิดหนีไป แม้จะพยายามจะกรีดร้องออกมาให้คนช่วยแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ช้อยจึงได้แต่วิ่งขวัญกระเจิงหนีไปอย่างน่าเวทนา
ช้อยวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไร้ทิศทางออกจากท่าน้ำเรือนไม้หอม ผีแม้นมาศปรากฏตัวขวางไว้มองเขม็งตวาดลั่น
“อย่าหนี”
ช้อยสติแตกไม่สนใจ มองไปเห็นเป้าหมายคือ ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ช้อยตัดสินใจปีนหนีผีขึ้นต้นไม้ผ้าขาวม้าที่เอามาคลุมโปงหนีผี เกิดหลุดไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ใหญ่ เลยกลายเป็นผ้ารัดคอช้อย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดคอแน่น ช้อยเริ่มขาดอากาศหายใจ สุดท้ายนิ่งสนิท ร่างช้อยเสียชีวิตห้อยต่องแต่งอยู่บนคาคบไม้อย่างน่าอนาถใจ
เช้ามืดตะวันยังขึ้นไม่เต็มที่
บัวที่ขาเข้าเฝือกอยู่ พยายามเดินซอยถี่ๆ ท่าทีเร่งรีบเพื่อให้พ้นเรือนไม้หอมไวๆ บัวก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่มองทาง จนชนเข้ากับบางอย่างที่ห้อยลงมาต้นไม้ บัวบ่นบ้าขึ้นมาอย่างหวาดระแวง
“เฮ้ย อะไรแว้บๆ”
บัวเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ จากขาจนเห็นว่าเป็นช้อยถูกผ้าขาวม้ารัดคอลิ้นจุกปาก ห้อยอยู่ที่ต้นไม้ บัวเห็นเต็มสองตาก็ร้องกรี๊ดดังลั่น
“แอร๊ย...”
ถัดมาบัวตัวสั่นงันงกเล่าสิ่งที่เห็นให้สร้อย จวง ปริกและบรรดาคนใช้ในโรงครัวฟัง
“ชะ...ช้อย...”
สร้อยเห็นอาการของลูกกลัวจนพูดไม่ออกก็ถามขึ้น
“นังช้อยมันเป็นอะไรวะ บัว”
“มะ...มัน...”
จวงชักรำคาญ ตวาดเอา
“ตกลงเอ็งจะเล่าหรือจะกลัววะ นังบัว”
“สงสัยนังช้อยกับนังบัวคงไปทำเรื่องชั่วๆ มาอีกแน่ๆ เลยพี่จวง”
บัวได้ยินปริกกล่าวหาอย่างนั้นก็ตั้งสติได้ หลุดปากออกมา
“ข้าเปล่านะ แต่นังช้อยมันตายแล้ว ฮือ ฮือ ฮือ”
ทวนเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“ช้อยมันตายได้ไง...ใครทำ”
หลังจากนั้นพวกคนใช้ชาย ช่วยกันนำศพของช้อยลงมาจากต้นไม้วางบนพื้น ทวนเอาผ้าปิดศพช้อยกันอุจาดตา รสสุคนธ์เดินผ่านมาพอดี เลยเข้าไปถาม
“ใครเป็นอะไรเหรอคะ”
บัว สร้อย และบรรดาคนใช้หญิงไม่มีใครตอบ ต่างมองที่ศพช้อยด้วยความหวาดกลัว ปริกได้ทีรีบกล่าวหารสสุคนธ์ทันที
“คุณน่าจะถามผีย่าตัวเองนะว่าทำนังช้อยมันทำไม”
รสสุคนธ์ตกใจจนนิ่งงันไป จวงหันไปถามในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดตรงนั้น
“นี่มีใครไปรายงานคุณหญิงคุณชายกับคุณรามหรือยัง”
ทุกคนพากันส่ายหน้า ทวนบอกว่า
“พี่จวงไปเรียนคุณๆ ท่านเหอะ ทางนี้ชั้นดูแลเอง”
ก่อนจะไปจวงหันมาสั่งสร้อย
“สร้อย แกก็อย่ามัวแต่ขี้ขลาด รีบไปตั้งโต๊ะของเช้าได้แล้ว”
“จ้ะ พี่จวง”
จวงเดินนำไป ปริกตาม สร้อยกับคนใช้หญิงยกโขยงไปทางครัว
รสสุคนธ์มองที่ศพของช้อยแล้วมองไปที่เรือนไม้หอม ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นฝีมือผีแม้นมาศ
ทันทีที่รสสุคนธ์โผล่หน้าเข้ามาที่โต๊ะอาหารเช้า ยังไม่ทันพูดหรือทำอะไร ภาวิดาก็เปิดฉากด่าว่าทันที
“แกมันตัวกาลกิณี มาอยู่ได้ไม่กี่วัน คนในบ้านก็ตาย นำมาแต่ความจัญไร ช่างเหมือนย่าแกจริงๆ”
รสสุคนธ์หน้าเสียหยุดชะงักจากที่จะเดินต่อไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
จวงกับปริกยืนยิ้มเยาะรสสุคนธ์ เป็นลูกคู่อยู่หลังภาวิดา รามนรินทร์รีบพูดแก้ต่างช่วย
“คุณแม่ครับ ช้อยก็ป่วย จิตไม่ปกติอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับคุณรสเลยนะครับ”
ภาวิดาขัดเคืองใจเมื่อลูกชายพูดปกป้องรสสุคนธ์
“ตาราม ลูกจะปกป้องตัวซวยอย่างมันทำไม”
รามนรินทร์ได้แต่ถอนหายใจระอานิดๆ ที่มารดามีแต่อคติ ภาณุกรพูดสนับสนุนคำพูดหลานให้ความยุติธรรมกับรสสุคนธ์
“แต่ผมว่าที่ตารามพูดถูกต้องแล้วนะครับ หนูรสไม่เกี่ยวข้องอะไรกับช้อย จู่ๆ พี่หญิงจะไปกล่าวโทษเด็ก ดูจะอคตินะครับ”
ภาวิดาหันมาตวาดแหวใส่น้องชาย
“ผู้ชายบ้านนี้มันเป็นอะไรไปหมดเนี่ย ชายกร แกเองก็หลงเสน่ห์ตั้งแต่สมัยย่ามันมาแล้ว ทีนี้มาถึงหลานสาว แกอย่าเอาลูกชายฉันไปเกี่ยวข้องนะ”
ภาณุกรเหนื่อยใจ “ไปกันใหญ่แล้ว พี่หญิง”
รสสุคนธ์ที่นิ่งเงียบมานาน ตัดสินใจยกมือไหว้ภาวิดาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“ดิฉันกราบขอโทษ ถ้าเผลอทำอะไรให้คุณหญิงขัดเคืองใจ แต่กรุณาอย่ากล่าวถึงย่าเล็กในทางเสียหายอีกเลยค่ะ เรื่องของช้อย ดิฉันก็ตกใจเสียใจนะคะ”
“ถ้าหล่อนตกใจเสียใจจริงๆ ก็ไปให้พ้นๆ หน้า ฉันบอกตามตรง เห็นหน้าหล่อนแล้ว ฉันกินข้าวไม่ลง”
“ได้ค่ะ งั้นดิฉันขออนุญาตไปกินที่โรงครัวแทนนะคะ”
รสสุคนธ์ยกมือไหว้ภาวิดา ไหว้ภาณุกร ก่อนจะลุกเดินจากไป
รามนรินทร์เป็นห่วงจะห้าม แต่พอเห็นสายตามารดาที่มองรสสุคนธ์เขม็ง เลยจำต้องเงียบ ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ภาวิดายิ้มออกมาได้ หันไปบอกจวง
“อ้าว นังจวง ตกลงแกจะให้ฉันกินข้าวมั้ย หิวไส้จะขาดแล้ว”
“ให้สิคะ คุณหญิงของบ่าว” จวงหันไปสั่งปริก “นังปริก ให้ไว”
“จ้า พี่จวง”
ปริกกับจวงรีบกุลีกุจอเสิร์ฟอาหารให้เจ้านายทุกคน
รสสุคนธ์เอาเงินใส่ซองทำบุญช้อย มอบให้สร้อยที่อยู่กับเฟื่อง ปริก บัว และ คนใช้อื่นๆ
“เรื่องของช้อย รสเสียใจด้วยนะคะ ขอฝากไปทำบุญให้ช้อยด้วยค่ะ”
สร้อยรับซองจากรสสุคนธ์มา พลางยกมือไหว้ท่วมหัว บอกเสียงเศร้าๆ
“มันเป็นกรรมของนังช้อยเองค่ะ คุณ ถ้ามันไม่โลภ คิดจะเอาของของคนอื่น มันก็ไม่ต้องบ้าบอ แล้วก็...ตายไปอย่างนี้”
สร้อยน้ำตาคลอ มองไปยังบัวที่ต้องเข้าเฝือกอยู่ น้ำตาไหลพรากๆ เหมือนกัน
“เอ็งก็เหมือนกันนังบัว เข็ดรึยัง”
“เข็ดสิแม่ แค่ชั้นขาเป๋ หัวโกร๋นเนี่ยก็จะตายอยู่แล้ว แล้วผีย่าของคุณรสจะปล่อยคนบาปอย่างชั้นมั้ยอะ”
รสสุคนธ์ได้ยินคำพูดบัวก็สะท้อนใจ ไม่รู้จะตอบยังไง
“ก็สุดแต่เวรแต่กรรม ทำใจซะเหอะ บัว”
ปริกนั่งฟังมานานกลับโพล่งขึ้นมาว่า
“นังช้อยมันซวยต่างหาก มีแต่คนประหลาดเท่านั้นที่อยู่เรือนผีสิงได้” พร้อมกันนี้ยังปรายตามองไปทางรสสุคนธ์ “หรือว่าจะสมรู้ร่วมคิดกันกับผีย่าตัวเอง”
บรรดาคนใช้คนอื่นๆ เลยมองรสสุคนธ์เป็นตัวประหลาดไปด้วย จู่ๆ ก็มีลมพัดมาอย่างแรง เหมือนเป็นสัญญาณรับรู้จากแม้นมาศ สร้อย บัว กับคนอื่นๆ ต่างผวากลัวกันกอดกลม
บัวยกมือไหว้ปลกๆ “อภัยให้ลูกช้างด้วยนะจ๊ะที่ล่วงเกิน”
เฟื่องรีบปรามด้วยในใจนั้นห่วงที่รสสุคนธ์ต้องอยู่คนเดียว น้อยไม่ยอมกลับมาซะที
“ปริก แกเลิกพูดโทษคุณรสซะที ถ้าไม่หยุดปากมาก ชั้นจะบอกคุณชายกรกับคุณรามนะ”
ปริกเบ้ปาก แล้วไม่พูดต่อ รสสุคนธ์มองไปทางเรือนไม้หอม ในใจภาวนาให้ย่าไม่อาฆาตหรือทำร้ายใครอีก
เฟื่องกลับเข้าห้องพัก มองไปที่เตียงนอนของน้อยแล้วถอนหายใจ กลุ้มใจ...ที่หายไปไม่ยอมกลับบ้านสักที เฟื่องหยิบมือถือและแว่นตาออกมา พยายามกดหมายเลข แล้วรอฟังสัญญาณที่บ่งบอกว่าหมายเลขนี้ติดต่อไม่ได้ เฟื่องวางมือถือแล้วถอนหายใจแรงๆ อีกรอบ
“เหลวไหลจริงๆ”
เฟื่องหน้าเครียด กลุ้มใจที่ติดต่อหลานสาวไม่ได้
รสสุคนธ์นั่งเศร้าใจอยู่ที่โต๊ะทำงานหน้าห้องทำงานของภาณุกร รามนรินทร์เห็นรสสุคนธ์ดูเศร้าซึมเลยเข้าไปถามและพยายามปลอบ
“คุณรสเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ อย่าคิดมากเรื่องที่คุณแม่ตำหนิเลยนะครับ”
“ฉันไม่ได้คิดเรื่องของคุณหญิงหรอกค่ะ แต่ฉันรู้สึกใจหายที่ช้อยต้องมาตายอย่างนี้”
รสสุคนธ์เล่าให้รามนรินทร์ฟังว่า เมื่อค่ำวานนี้เธอยืนหย่อนใจอยู่ริมสระบัว จนช้อยเดินมาเห็นก็ผวาตกใจเข้าใจว่ารสสุคนธ์เป็นผีแม้นมาศเลยหวีดร้อง
“ว้าย...ผี ผี กลัวแล้ว”
ช้อยตกใจทำตุ๊กตาในมือร่วงลงพื้น รสสุคนธ์หันมาเห็นช้อยก็รีบวิ่งเข้ามาพยายามบอก
“ฉัน...รสสุคนธ์ไงช้อย ไม่ใช่ผี”
แต่กลายเป็นว่าช้อยยิ่งกลัวรสสุคนธ์หนักขึ้น เลยปกป้องตัวเองตรงเข้าทำร้ายด้วยการบีบคอรสสุคนธ์
“ไม่...ไม่เชื่อ...”
รสสุคนธ์ถูกแรงของคนสติไม่ดีบีบที่คอก็หายใจไม่ออกแทบจะหมดลม
รสสุคนธ์เล่าจนจบ แล้วพูดด้วยเสียงเครือๆ คิดว่าเป็นความผิดตัวเองที่ทำให้ช้อยกลัวจนทำร้ายตัวเอง
“ช้อยคงตกใจที่เจอฉัน เลยเข้าใจว่าเป็นเอ่อ...ผีย่าเล็ก ช้อยก็เลยกลัวแล้วก็...” รสสุคนธ์กลั้นสะอื้นพูดไม่ออก
รามนรินทร์เลยจังมือรสสุคนธ์ไว้มองให้กำลังใจแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“คุณรสอย่าคิดมากเลยครับ ผมว่าเราไปทำบุญให้ช้อยที่วัดดีมั้ยครับ”
รสสุคนธ์พยักหน้าแทนคำตอบ ชักมือออกจากมือรามนรินทร์เขินๆ
รามนรินทร์พารสสุคนธ์มาทำบุญที่วัดใกล้บ้าน เวลานี้สองคนอยู่ในโบสถ์พากันไหว้พระ ถวายสังฆทาน พระให้ศีลให้พรสองคนกรวดน้ำด้วยกัน
จากนั้นทั้งคู่นำน้ำที่กรวดไปเทรดต้นไม้ใหญ่ในลานวัด
ตรงมุมที่ไม่ห่างกันนั้น ตาดำกวาดลานวัดอยู่ เหลียวมามองสองหนุ่มสาวแต่ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็น
รามนรินทร์หันมาถามรสสุคนธ์ด้วยท่าทางอ่อนโยน
“ได้ทำบุญแล้ว สบายใจขึ้นใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ ขอบคุณคุณรามอีกครั้งนะคะ”
ตาดำลอบมองรามนรินทร์กับรสสุคนธ์อีกครั้ง ก่อนจะยิ้มมีเลศนัย
ภายในห้องนั่งเล่นอันหรูหรา แขไขบอกอุณนิษาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อนังรสสุคนธ์มันช่างออดอ้อนออเซาะให้คนสงสารเหมือนย่าเล็กของมัน นิษาก็ต้องอย่าถอย ต้องเดินหน้าเข้าไปแทรกพี่รามไว้ ไม่เปิดโอกาสให้มัน รู้มั้ยลูก”
“ค่ะ คุณแม่ คราวที่แล้วมันรอดเพราะโชคดี แต่คราวหน้า นิษาไม่มีทางยอมแพ้มันแน่”
อธิวัฒน์กับจีรนันท์พากันเดินเข้ามา ทั้งสองยกมือไหว้แขไขที่รับไหว้ผ่านๆ อธิวัฒน์หวังจะไถเงินแขไขเลยพูดเอาใจ
“น้องนิษาไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพี่วัฒน์จะตามประกบยัยรสสุคนธ์ อย่างใกล้ชิดติดขอบจอ ไม่ให้มาวอแวกับนายรามของน้องเอง”
“พี่วัฒน์จะไปประกบยัยนั่นด้วยวิธีไหนเหรอคะ” จีจี้ตาลุกวาวหึงผัว
อุณนิษามองออกเลยพูดดักคอเพื่อน
“นี่ยัยจีจี้ ถ้าคิดจะทำงานใหญ่ ก็อย่ามัวแต่ทำตัวหวงก้าง”
แขไขเห็นด้วย
“นิษาพูดถูกแล้ว เธอไม่ควรหึงหวงตาวัฒน์เหมือนคนปัญญาอ่อน ที่สำคัญ เธอควรช่วยตาวัฒน์ ถึงจะรักกันจริง”
“จีจี้ก็ช่วยนะคะ คุณหญิงน้า อย่างคราวที่แล้วจีจี้ก็เป็นคนขังมันในห้องเก็บของเอง แต่...” สุดท้ายจีรนันท์ทำใจไม่หึงหวงอธิวัฒน์ไม่ได้
“ช่วย คือ ช่วย ห้ามมีแต่” แขไขตัดบท
อธิวัฒน์ได้ที แบมือขอเงิน
“แต่รถต้องเติมเชื้อเพลิงนะครับ คุณหญิงน้า”
แขไขโยนเงินให้อธิวัฒน์อย่างเสียไม่ได้ พร้อมบ่นบ้ายาวไป
“เออ ใช้ให้มันประหยัดๆ ชั้นเบื่อจะเอาสมบัติเก่าขายกินแล้วขายหน้าจริงๆ ไหนจะต้องหลบแก๊งทวงหนี้โหดอีก”
อธิวัฒน์หยิบเงินปึกใหญ่มาจูบแล้วหันไปบอกเอาใจอุณนิษา
“พี่พร้อมไปบ้านพรหมบดินทร์แล้วจ้ะ นิษา”
ไม่นานนักภาวิดาได้ให้การต้อนรับอุณนิษา อธิวัฒน์และจีรนันท์ อยู่ในห้องรับแขกบ้านพรหมบดินทร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ จวงโผล่หน้าเข้ามา ภาวิดารีบหันไปถาม
“ตารามล่ะ จวง”
จวงเข้าไปกระซิบบอกภาวิดาใกล้ๆ
“คุณรามพาแม่รสสุคนธ์ไปทำบุญที่วัดใกล้ๆ ค่ะ คุณหญิง”
ภาวิดาหน้าตึง ของขึ้นทันทีที่ได้ฟัง
“บังอาจ มันเป็นตัวซวยทำคนตายไม่พอ ยังออดอ้อนให้ตารามของฉันต้องคอยดูแลอีก แพศยาจริงๆ”
อุณนิษาได้ยินและพอจะจับเรื่องราวได้ ชักสีหน้าไม่พอใจเหมือนกัน
“วัดอยู่ที่ไหนคะ คุณหญิงแม่”
ภาวิดารีบพูดเอาใจอุณนิษา
“วัดแถวๆ นี้แหละ หนูนิษาอย่าไปสนใจ เดี๋ยวตารามกลับมา แม่จะจัดการเฉ่งนังรสสุคนธ์ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงเอง”
อธิวัฒน์กับจีรนันท์มองอุณนิษารีบกระซิบบอกสนับสนุนว่าตอนนี้ควรรอเฉยๆ อุณนิษาเลยสงบได้
“สวยๆ เลอค่าอย่างเธอ อย่าลดตัวไปยุ่งกับมันเลยเนอะ”
“คุณรามรู้ว่าอะไรคือเพชร อะไรคือกรวด เชื่อพี่”
ทันทีที่รามนรินทร์พารสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องรับแขก รสสุคนธ์ไม่ทันรู้ตัวว่าจะมีภัย ภาวิดาก็ตรงเข้าไปตบหน้ารสสุคนธ์แล้วด่าว่าทันที
“นี่คือรางวัลของคนสาระแน แล้วก็บังอาจ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างแก”
รสสุคนธ์ทั้งตกใจและอับอายจนน้ำตาคลอตาแต่พยายามฝืนไม่ร้องไห้หรืออ่อนแอต่อหน้าคนอื่น
อุณนิษาเชิดหน้าสะใจ ปากเหยียดยิ้มเยาะอย่างไม่ปกปิด อธิวัฒน์และจีรนันท์ก็มองมาไม่เป็นมิตร
“ฉันหวังว่าผู้หญิงไม่มีสกุลอย่างเธอ หน้าจะไม่หนาจนเกินไปนะยะ”
รามนรินทร์ได้แต่สงสารรสที่ต้องมาถูกตบหน้าและรับคำด่าของแม่
รสสุคนธ์พกใบหน้าซีดเซียวมานั่งอยู่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ภาณุกรมองด้วยความเวทนา
“หนูรสอย่าถือสาพี่หญิงดา หรือคิดมากเรื่องของช้อยเลยนะ”
รสสุคนธ์พยายามฝืนยิ้ม แต่ก็ดูเจื่อนๆ
“รสจะพยายามค่ะ คุณชาย”
“งั้นวันนี้ อาให้หนูพักงานหนึ่งวันแล้วกัน”
รสสุคนธ์ยกมือไหว้ภาณุกรแทนคำขอบคุณ
อธิวัฒน์จอดรถหรูอยู่ด้านนอกใกล้ๆ เรือนไม้หอม รอคอยจนเห็นสุคนธ์เดินหงอยๆ กลับมา อธิวัฒน์ยิ้มเมื่อเห็นว่ารสสุคนธ์เดินมาคนเดียว รีบลงจากรถแล้วไปดักหน้าพร้อมถือวิสาสะจับมือรสสุคนธ์
“น้องรสคนสวย หายไปไหนมาครับ ปล่อยให้พี่วัฒน์รอตั้งนาน คิดถึงใจจะขาด ไหนดูสิหน้าสวยๆ ช้ำหรือเปล่า”
รสสุคนธ์ตกใจ รีบสะบัดมือจากการจับกุมและรุกรานประชิดตัวของอธิวัฒน์
“เอ๊ะ อย่านะคะ”
จีรนันท์เดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาเห็นผัวพยายามนัวเนียรสสุคนธ์ก็หึงหวง แดกดันรสสุคนธ์
“เธอเนี่ยมันไม่เบานะ ปากบอกว่าอย่า แต่สายตาเธอเนี่ยกะอ่อยผู้ชายเต็มที่”
“เอ๊ะ คุณก็ควรดูแลแฟนตัวเองไว้ให้ดีๆ สิคะ”
ผีแม้นมาศปรากฏร่างเป็นเงารางๆ มองอภิวัฒน์และจีรนันท์ตาขวาง
“พวกคนชั่ว”
รสสุคนธ์เดินหนีเข้าไปในเรือนไม้หอม อธิวัฒน์ตามประกบ จีรนันท์ตามผัวอีกที ผีแม้นมาศมองตามสองคนแล้วหายแว้บไป
รสสุคนธ์เดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นบน อธิวัฒน์ตามมาแต่ไม่เห็น มีเสียงประตูห้องด้านหนึ่งที่ชั้นล่างเปิด แว่วเสียงขิมดังมา อธิวัฒน์ได้ยินเลยเดินตามไปทางเสียงขิม
“แน่ะ เล่นขิมเรียกด้วยแฮะ น้องรส พี่วัฒน์มาแล้วจ้า”
จีรนันท์ตามอธิวัฒน์ขึ้นมา เห็นหลังไวๆ แต่ไม่รู้หายเข้าไปในห้องไหน
ประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่ เป็นคนละห้องกับที่อธิวัฒน์เข้าไป จีรนันท์ตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน
ฝ่ายอธิวัฒน์เดินตามเสียงขิมเข้าไปในห้อง เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดเดียวกับรสสุคนธ์นั่งตีขิมอยู่
ก็เข้าใจว่าเป็นรสสุคนธ์เลยปรี่เข้าไปหากอดจากด้านหลังเต็มๆ
“น้องรสที่รัก”
ผีแม้นมาศใบหน้าเน่าหนอนหันมาแสยะยิ้มให้ อธิวัฒน์ตกใจแทบสิ้นสติ
“รักมากมั้ยพี่จ๋า”
อธิวัฒน์สลัดผีเน่าออกแล้ววิ่งเตลิดหนีไป
ด้านจีรนันท์ไม่รู้ตัวว่าถูกผีแม้นมาศขัง เดินวนเวียนอยู่ในห้องที่ประตูปิดมิดชิด ออกไปก็ไม่ได้ จนเริ่มกลัว
“ทำไมเปิดประตูไม่ได้ พี่วัฒน์ พี่วัฒน์ช่วยจีจี้ด้วย”
แม้นมาศเหยียดยิ้มสะใจ “ถูกขังบ้าง เป็นไงล่ะ”
จีรนันท์มองไปยังมุมห้องเห็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนรสสุคนธ์ยืนหันข้างให้อยู่ เลยปรี่เข้าไปต่อว่า
“นี่หล่อน คิดจะขังฉันไว้เหรอ ไม่สำเร็จหรอก เอาพี่วัฒน์ของฉันไปซ่อนไว้ไหนยะ”
ผีแม้นมาศค่อยๆ หันหน้ามาให้เห็น เป็นหน้าเละเน่าเต็มขั้น หนอนยัวเยี้ยไปหมด พูดขึ้นว่า
“ฉันไม่รู้”
จีรนันท์เบิกตาโพลง รู้ว่าเจอดีเข้าแล้ว ตกใจสุดขีด
“ผี...กลัวแล้ว...อย่าทำฉันเลย”
ผีแม้นมาศเดินย่างสามขุมยื่นมือเข้าไปใกล้ๆ หมายจะบีบคอ จีรนันท์ไม่รอช้ารีบเผ่นหนี พยายามเปิดประตูแต่เปิดไม่ออก สุดท้ายประตูเปิดได้ จีรนันท์วิ่งออกไปชนโครมเข้ากับอธิวัฒน์ที่วิ่งหนีออกมาเหมือนกัน สองผัวเมียใส่เกียร์ห้าโกยแน่บ หนีลงบันไดออกจากเรือนไม้หอม โดยไม่คิดชีวิต
ผีแม้นมาศแปลงกายกลับมาเป็นคนปกติ มองผลงานแล้วหัวเราะสาแก่ใจ
“สมน้ำหน้า...ฮ่าฮ่าฮ่า”
อธิวัฒน์กับจีรนันท์วิ่งหนีผีจนหมดสภาพลนลานขึ้นรถ ขับออกไปโดยไว
อุณนิษา อธิวัฒน์ จีรนันท์ มาฟ้องแขไขเรื่องผีแม้นมาศ
“ผีมันเฮี้ยนจริงๆ นะครับ คุณหญิงน้า”
“กลางวันแสกๆ มันยังออกมาหลอกมาหลอนได้ จีจี้กลัวค่ะ”
อุณนิษาสนับสนันพี่ชายกับเพื่อนอีกคน
“ขนาดนิษาไม่เจอกับตัว ฟังสองคนนี้เล่าก็ยังขนหัวลุกเลยค่ะ คุณหญิงแม่”
แขไขมองลูกกับหลานแล้วพูดเสียงเข้ม
“กะอีแค่ผีไม่มีญาติกระจอกๆ อย่าไปกลัวมัน”
อธิวัฒน์อมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอกแขไขด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่ถ้าผมมีเครื่องรางของขลังหรือพระดีๆ สักองค์สององค์ ก็คงจะลุยกับผีได้ไม่มีหวั่นหรอกครับ คุณหญิงน้า”
แขไขมองหน้าอธิวัฒน์เซ็งๆ สุดท้ายก็ต้องเสียเงินให้หลานแสบอีกจนได้
“งั้นแกก็ไปหาพระดีๆ มากันผีแล้วกัน”
อธิวัฒน์รับเงินมาจากแขไข ยิ้มย่อง หัวใจพองโต
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 4 (ต่อ)
ถัดมาไม่นาน อธิวัฒน์ขับรถหรูเลี้ยวเข้ามาในคอนโดที่พัก จีรนันท์มองหน้าผัวเป็นเครื่องหมายคำถาม
“พี่วัฒน์ลืมอะไรที่คอนโดเหรอคะ”
“ลืมว่าเราต้องสนุกกันให้สุดเหวี่ยงไง จีจี้ที่รัก”
อธิวัฒน์จอดรถ ดับเครื่องแล้วฉุดจีรนันท์ให้ลงจากรถ
“อ้าว ไหนบอกคุณหญิงน้าว่าจะไปหาพระดีๆ ที่วัดไง”
“พระหรือจะสู้จีจี้ได้ ไปเหอะ พี่อยากนอนแช่น้ำให้จีจี้อาบให้สบายๆ ตัวกันสองคน...แบบสนิทแนบแน่น”
อธิวัฒน์ทำแววตาเจ้าชู้ใส่จีรนันท์ที่ได้แต่หัวเราะคิก ชอบใจ
“จัดไปจ้า”
สองหนุ่มสาวโอบกอดพากันเดินเข้าคอนโดไป
ตลอดบ่ายนี้รสสุคนธ์รู้สึกอ่อนล้ากับสิ่งที่พบเจอมากมาย ล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้อง แล้วก็เผลอหลับไป
แม้นมาศเห็นว่ารสสุคนธ์นอนกลางวันจนเย็นใกล้จะค่ำมืดอีกแล้วก็มาปลุก
“คุณ...ตื่นมากินข้าวได้แล้วค่ะ”
รสสุคนธ์ลืมตาแล้วลุกขึ้น มองไปรอบกาย
“โห เผลอหลับไปได้ไงเนี่ย”
แม้นมาศดุอย่างไม่จริงจัง
“คุณชอบนอนจนตะวันทับตา ระวังดึกๆ จะนอนไม่หลับ จะกินข้าวเลยมั้ย จะไปเตรียมให้”
รสสุคนธ์กลับส่ายหน้า
“น้อยกินหรือยัง ฉันไม่หิวเลย ขอไม่กินดีกว่า”
แม้นมาศโกหก
“ฉันกินมาแล้ว ถ้าไม่กินข้าว คุณจะทำอะไรล่ะคะ คงไม่นอนต่อหรอกนะคะ”
“ไม่นอนแล้ว...เจ้าค่ะ คุณน้อย” รสสุคนธ์เย้าเล่นอย่างกันเอง
แม้นมาศตำหนิ “คุณไม่ควรจะใช้คำพูดอย่างนี้กับบ่าวนะคะ คนอื่นมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดี”
“ก็แค่พูดเล่น อีกอย่างที่นี่ก็มีแค่เราสองคน...เฮ้อ ทำอะไรดีล่ะ”
แม้นมาศเลยพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เล่าเรื่องครอบครัวของคุณให้ฟังฆ่าเวลาก็ได้ค่ะ”
แม้นมาศมองรสสุคนธ์ตาแป๋วรอฟังเรื่องราวที่ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“คืนที่ย่าเล็กเสียไปนั้น ที่บ้านของย่าแม้นศรีก็ไฟไหม้จ้ะ”
รสสุคนธ์หน้าเศร้าลงและเริ่มเล่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดกับครอบครัวหลังแม้นมาศฆ่าตัวตาย
คืนนั้นแม้นศรีหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยไม่รู้ว่ามีควันไฟลอดเข้ามาในห้อง และหากมองจากนอกบ้านเข้ามาจะเห็นไฟกำลังลุกไหม้บ้านทั้งหลังอย่างน่ากลัว จนแม้นศรีเริ่มไอหายใจไม่ออก ตื่นขึ้นมาเหม็นควันไฟก็ตกใจ
“ไฟไหม้...ไฟไหม้”
แม้นศรีคว้าผ้าขาวม้ามาปิดจมูกแล้วรีบลุกไปเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก็ต้องผงะเพราะไฟกำลังโหมไหม้รุนแรง แม้นศรีวิ่งไปที่ห้องนอนห้องใกล้ๆ ปลุกมิ่งเมืองที่นอนอุตุอยู่
“มิ่งๆ ตื่นเร็วมิ่ง”
มิ่งเมืองงัวเงียตื่น สำลักควันไอโขลกๆ “อาศรี นี่มันอะไรกันครับ”
“ไฟไหม้ รีบไปช่วยพ่อก่อน”
แม้นเมืองนอนป่วยสำลักควันไฟ พยายามจะคลานออกจากห้องที่ไฟไหม้ไปทั่วห้องแล้วอย่างยากเย็นแม้นศรีกับมิ่งเมืองจะเข้าไปช่วยแต่ไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว คานบ้านถูกไฟไหม้จนกร่อนตกลงมาทับแม้นเมืองต่อหน้าสองคน แม้นเมืองร้อนลั่นด้วยความเจ็บปวด ไฟไหม้ร่างอย่างน่าสยดสยอง แม้นศรีกับมิ่งเมืองกรีดร้องลั่น
“พ่อ” / “พี่เมือง”
มิ่งเมืองใจหายจะวิ่งไปช่วยพ่อ แต่แม้นศรีรั้งไว้ รู้ดีว่าสายเกินไปแล้ว
“อย่าเข้าไป...ไม่ทันแล้ว เราต้องรีบหนี”
“อาศรีปล่อยผม ผมจะไปช่วยพ่อ”
“ไม่..เข้าไป...ก็มีแต่ตาย..ไปมิ่ง...หนีเร็ว ไปกับอา”
สองคนหนีออกมาหน้าบ้านได้ทันกอดกันร้องไห้ มองเปลวไฟที่ลุกลามโหมไหม้บ้านทั้งหลังจนวายวอดลงอย่างรวดเร็วอย่างเศร้าใจ
เล่าถึงตอนนี้ รสสุคนธ์ยังหน้าเศร้าไม่คลาย เมื่อคิดถึงความสูญเสียในกองเพลิงครั้งนั้น
“ย่าแม้นศรีบอกว่าสมบัติทุกอย่างยังวอดวายไปในกองเพลิง แม้แต่รูปภาพของย่าแม้นมาศก็ถูกเผาไปในครั้งนั้นด้วย”
แม้นมาศน้ำตาซึม เศร้าใจกับการจากไปของพี่ชาย รสสุคนธ์กำลังอินกับเรื่องราวที่เล่าเลยไม่ทันสังเกตเห็น
เรื่องราวในอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ถูกถ่ายทอดออกมาตามภาพจำที่ได้ฟังแม้นศรีเล่า โดยหลังจากบ้านวอดทั้งหลัง แม้นศรีตัดสินใจพามิ่งเมืองย้ายกลับไปอยู่บ้านที่เพชรบุรี
“ต่อจากนี้ไป เราจะอยู่บ้านที่เพชรบุรีกันนะ มิ่งเมือง”
“ครับ อาศรี”
สองอาหลานกอดกันแน่น
7 ปีผ่านไป มิ่งเมืองโตเป็นหนุ่ม วัย 22 ปี ตัดสินใจแต่งงานกับคนรักชื่อรัตนา วัย 20 ปี เวลานั้นสองคนอยู่ในชุดแต่งงานมองหน้ากันด้วยความปลาบปลื้ม แล้วพากันไหว้แม้นศรีในห้องหอ
“อาขออวยพรให้พ่อมิ่งเมืองกับแม่รัตนาครองรักกันด้วยความเข้าใจและให้อภัยกันตลอดไปนะจ๊ะ”
มิ่งเมืองกับรัตนากราบแม้นศรีอีกรอบ แม้นศรียิ้มแย้มดีใจที่หลานได้แต่งงาน
2 ปีผ่านไป มิ่งเมืองอุ้มทารกรสสุคนธ์กลับมาบ้านพร้อมกับรัตนา แม้นศรีเข้าไปถามมิ่งเมืองกับรัตนาด้วยความปลื้มปิติ
“ไหนดูสิ หลานย่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงครับ อาศรี”
รัตนาเสริม “ชื่อ รสสุคนธ์ ค่ะคุณอา”
“รสสุคนธ์เหรอ รูปงามนามเพราะ รสหลานรักของย่า”
แม้นศรีอุ้มรสสุคนธ์ด้วยความรักและดีใจที่มีหลานย่า
10 ปีผ่านไป แม้นศรีอยู่ในชุดดำถือภาพคู่ของมิ่งเมืองและรัตนาไว้ แล้วมองไปที่รสสุคนธ์ในวัย 10 ขวบ
“ถึงพ่อกับแม่ของหลานจะอายุสั้น มาจากไปด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน แต่ย่าสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้ง รสนะ หลานรัก”
เด็กหญิงรสสุคนธ์ วัย 10 ขวบ โผเข้ากอดแม้นศรีด้วยความรัก สองย่าหลานกอดกันหน้าเศร้า
แม้นมาศได้ฟังมาถึงตอนนี้ก็ร้องไห้ออกมาด้วยความสะเทือนใจใหญ่หลวง รสสุคนธ์มองฉงน
“น้อย ร้องไห้ทำไมจ๊ะ หรือว่าสงสารครอบครัวของฉันจนอิน”
แม้นมาศงงกับคำแสลงของรสสุคนธ์
“อินอะไร”
รสสุคนธ์งงนิดๆ ทำไมน้อยไม่เก็ต “โทษที ฉันหมายถึงมีส่วนรวมเหมือนกับเป็นเรื่องของตัวเองน่ะ”
แม้นมาศได้สติ กลัวรสสุคนธ์จะสงสัย เลยรีบปาดน้ำตาพยายามกลั้นสะอื้น
“แหม ก็ประวัติครอบครัวของคุณมันเศร้า มีแต่คนตายจากไป”
เวลาเดียวกัน เฟื่องเปิดประตูห้องพักเข้ามา เห็นน้อยนอนหันหลังอยู่บนเตียงก็โมโห
“น้อย แม่ตัวดี กลับบ้านจนได้นะ แย่จริงๆ”
ไม่แค่ด่าว่า เฟื่องยังเข้าไปหยิกน้อยด้วยความโมโหหลาน น้อยเจ็บรีบลุกขึ้นนั่ง
“โอ๊ย ยาย มาหยิกน้อยทำไม เจ็บนะ”
“ก็ควรจะเจ็บ จะได้รู้ตัวว่าทำเรื่องไม่เข้าท่า หายไปตั้งหลายวันหลายคืน ทั้งที่รู้ว่าผู้ใหญ่สั่งให้ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณรสสุคนธ์ ทำไมเราเหลวไหลอย่างนี้นะ”
“น้อยไม่ได้เหลวไหล น้อยไปทำงานมาต่างหาก...ยาย” น้อยแก้ตัว
“อย่ามาแก้ตัว...เก็บของแล้วไปเรือนไม้หอมกับยายเดี๋ยวนี้”
“ไม่นะจ๊ะ ยาย น้อยไม่ไป”
น้อยถอดกรูด กลัวจับจิตพอรู้ว่าจะต้องไปเรือนไม้หอม
ค่ำแล้ว รสสุคนธ์บอกแม้นมาศเหมือนคนที่เข้าใจโลกและปล่อยปลงแล้ว
“คนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคน ขอบใจที่เธอเห็นใจนะ แต่ที่ฉันเสียดายก็คือ ไม่เคยเห็นหน้าย่าแม้นมาศหรือย่าเล็กเลย ใครๆ ก็บอกว่าเธอสวยมาก”
แม้นมาศเผลอหลบสายตารสสุคนธ์ที่มองมาพลางถามขึ้น
“ว่าแต่น้อยเคยเห็นย่าเล็กมั้ย”
แม้นมาศสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“เอ่อ ฉันจะเคยเห็นได้ไง”
“จริงด้วย”
“ว่าแต่ถ้าเธออยากเห็นหน้าตาย่าเล็กจริงๆ ทำไมไม่ไปขอดูภาพที่คุณชายกรล่ะ”
รสสุคนธ์ยิ้มออกได้ไอเดียทันที
“จริงสิ ทำไมฉันลืมเรื่องนี้ซะสนิทเลย ขอบใจมากนะน้อย”
แม้นมาศพึมพำเบาๆ คนเดียว
“ก็หวังว่าเห็นแล้วจะไม่ช็อกไป”
ฝ่ายเฟื่องทำท่าจะหยิกน้อยอีกรอบ
“แกต้องไป...”
น้อยหลบวูบแล้วรีบบอกเหตุผลยาย
“ก็น้อยกลัวผี ให้ไปนอนที่ไหนก็ได้ แต่เรือนไม้หอม ไม่เอา”
เฟื่องเข้าไปจับแขนน้อยเอาไว้ไม่ยอมให้หลบอีก ประกาศเสียงเข้มเอาจริง
“ไปเลย ไปกับยาย คืนนี้แกจะอ้างอะไรไม่ได้อีก แกต้องไปนอนที่เรือนไม้หอมเดี๋ยวนี้”
น้อยเลี่ยงไม่ได้ จำต้องเดินไปตามแรงฉุดของเฟื่อง
“ยายจ๋า น้อยเดินเองได้”
“ไม่ได้...มานี่...”
เพราะเป็นคืนเดือนดับไร้แสงจันทร์ บรรยากาศรอบบ้านพรหมบดินดร์จึงชวนสยองขวัญ ตามทางเดินจะไปเรือนไม้หอมมืดมิด น้อยเดินจับมือเฟื่อง มองซ้ายขวางหน้าหลังท่าทีหวาดระแวง จนเฟื่องดุ
“เดินให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง น้อย ฉุดจนยายจะล้มแล้วเนี่ย”
น้อยตอบเฟื่องแต่สายตาวอกแวกมองไปรอบๆ ต้นไม้รกครึ้มสองข้างทาง ยิ่งทำให้แถวนั้นดูน่ากลัว แสงไฟจากเรือนใหญ่ก็ช่วยให้ความสว่างไม่ได้เพราะไกลเกิน
“ก็มันมืดนี่ยาย”
เฟื่องดุอีกรอบก่อนควักไฟฉายอันเล็กออกมาเปิดส่องทาง
“อะไรกัน หูตาสาวๆ แค่นี้ก็มองไม่เห็น...ใช้ไฟฉายช่วยละกัน”
น้อยถอนหายใจโล่งอก
“แล้วก็ไม่บอกว่ามีไฟฉาย” แล้วดึงไฟฉายไปถือไว้เอง “น้อยถือให้ละกัน”
เฟื่องส่งไฟฉายให้น้อยพร้อมกับพูดเร่ง
“รีบๆ เดินเข้าเหอะ เดี๋ยวไม่ทัน เกิดคุณรสนอนแล้ว เกรงใจเธอ”
น้อยเลยจูงมือเฟื่องพากันเดินไปทางสระบัว น้อยมองไปพบว่า ชั้นบนเรือนไม้หอมมีแสงไฟสว่างซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของรสสุคนธ์
“ไฟที่ชั้นสองยังเปิด คุณรสของยายคงยังไม่นอนหรอก”
ในจังหวะที่สองยายหลายเร่งฝีเท้าเดินมาใกล้สระบัว จู่ๆ ผีของแม้นมาศก็โผล่พรวดขึ้นมาจากสระบัวในชุดแต่งงานเก่าเปียกปอนน้ำ หน้าตาเน่าเละ วิญญาณแค้นกระโดดมาขวางทางสองคนไว้ ถามเสียงเข้ม
“มาทำไม”
เฟื่องเข่าอ่อนทำท่าจะเป็นลม น้อยตกใจจนทำไฟฉายร่วงลงพื้น รีบเข้าไปประคองร่างยายไว้
ไฟฉายกลิ้งไปที่ปลายเท้าของผีแม้นมาศ ยิ่งมีไฟฉายช่วยส่อง แม้นมาศก็ยิ่งดูน่ากลัวเป็นทวี
น้อยยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ พยายามคิดถึงพระ สวดมนต์ไปมั่วๆ
“นะโม ธัมโม ตัสสะ...”
แม้นมาศตวาดไล่อีกรอบ
“ออกไป”
สองยายหลานไม่ต้องคิดมาก รีบจับมือพากันเดินแกมวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างไม่คิดจะเหลียวหลัง
ภาวิดาชี้หน้าด่าว่าน้อย
“ผีที่ไหน นังน้อย แกมันปากเสีย สำออย แล้วยังตอแหลกุเรื่องผีมาพูดให้คนอื่นพากันกลัวอีก”
น้อยเถียงเพราะตัวเองไม่ผิด
“น้อยไม่ได้ปากเสีย ไม่ได้สำออย แล้วก็ ยายเองก็เห็น ใช่มั้ยยายเราเพิ่งโดนผีหลอกที่เรือนไม้หอม”
เฟื่องอึกอัก กลัวเกรงภาวิดามาก
“ก็...”
ภาวิดาไม่รอให้เฟื่องตอบอะไร รีบต่อว่าน้อยอีกเป็นชุด
“นังน้อย แกมันจองหองนัก อย่าคิดว่าได้เป็นลูกบุญธรรมของตากร ได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะมาตีปากกับฉันได้ แกควรจำใส่กะลาหัวไว้ว่า แกมันก็เป็นแค่ขี้ครอก จะย้อมสียังไงก็แค่อีกา ไม่มีทางจะมาเทียมหงส์ได้”
น้อยโกรธจัด กำมือแน่นจะตอบโต้ภาวิดา แต่เฟื่องดึงแขนส่ายหน้าเตือนสติห้ามไว้
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 4 (ต่อ)
ยายหลานกลับเข้าห้อง น้อยพูดด้วยแววตาคับแค้นขุ่นมัวระคนความน้อยเนื้อต่ำใจ
“คำก็ขี้ข้า ขี้ครอก เนี่ยมันพ.ศ.ไหนแล้ว เค้าเลิกทาสกันไปตั้งนาน ยัยคุณหญิงคร่ำครึเนี่ยไม่รู้รึไง”
เฟื่องเอ็ดเอา “น้อย หยุดเดี๋ยวนี้ ยายไม่เคยสอนให้หยาบคายนะ ยังไงท่านก็มีบุญคุณท่วมหัว”
น้อยจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน พูดอย่างเจ็บใจและตั้งใจเด็ดเดี่ยว
“รอให้ฉันหางานประจำทำ มีรายได้แน่นอนก่อนเหอะ ฉันจะไม่อยู่ให้ยัยคุณหญิงเนี่ยกดขี่อีกแล้ว”
“จะอยู่หรือไม่อยู่ที่นี่มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ยังไงพรุ่งนี้แกก็ต้องไปอยู่เรือนไม้หอม เป็นเพื่อนคุณรสสุคนธ์ตามคำสั่งของคุณชายกร”
น้อยไม่ได้ตอบรับเฟื่อง แต่รู้ว่ายังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้
“พรุ่งนี้ค่อยคิด แต่คืนนี้ขอตั้งสติไว้ฮึดสู้กับผีก่อนนะ”
เสียงหมาหอนเป็นจังหวะรับกับการพูดเรื่องผี น้อยรีบจับมือเฟื่องแล้วเดินกลับไปห้องพักอย่างหวาดๆ
บ้านพรหมบดินทร์ ตกอยู่ในบรรยากาศแสนสดใสในทุกเช้า รสสุคนธ์มาทำงานแต่เช้า เจอเฟื่องซึ่งพาน้อยหลบหลังเข้ามาหา ยิ้มทัก
“สวัสดีค่ะ คุณรสสุคนธ์ มาทำงานแต่เช้าเลยนะคะ”
รสสุคนธ์ยิ้มกับเฟื่อง มองไปทางน้อยอย่างแปลกใจนิดๆ
“นมเฟื่องก็มาแต่เช้าเหมือนกันนี่จ๊ะ”
“คือ นมจะมาขอโทษคุณรสค่ะ”
เฟื่องสะกิดให้น้อยขอโทษรสสุคนธ์
“ตัวต้นเหตุ ขอโทษคุณรสซะสิ น้อย”
“ฉันขอโทษคุณนะคะที่ไม่ได้ไปนอนเป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อสองคืนก่อน”
รสสุคนธ์ได้ยินว่าเฟื่องเรียกผู้หญิงที่พามาด้วยว่าน้อยก็งง แล้วเปลี่ยนเป็นตกใจถามออกไป
“เธอคือ...น้อยเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ ฉันน้อย หลานยายเฟื่อง”
รสสุคนธ์ได้ยินชัดอย่างนั้นก็หน้าถอดสี รู้สึกเบาโหวง ขนหัวลุก แล้วผู้หญิงที่มากินมานอนกับเธอสองคืนนั้นคือใครกัน?
สองยายหลานอยู่ในห้อง เฟื่องพาน้อยมาเก็บเสื้อผ้าเพื่อไปเรือนไม้หอม อดบ่นหลานตัวเองไม่ได้
“แกละอายบ้างมั้ย คุณรสแสนจะใจดี ไม่โกรธแกเลยที่หายหัวไป”
“พอเหอะยาย ฉันรู้แล้วว่าคุณรสเธอนิสัยดี เอาเป็นว่า แม้ฉันจะกลัวผีย่าของเธอ แต่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณชายกรที่ท่านเมตตา ฉันยอม ยายพอใจรึยังจ๊ะ”
เฟื่องเลยค่อยยิ้มออกมาได้ที่น้อยเต็มใจไปอยู่กับรสสุคนธ์
รามนรินทร์เดินเข้ามาเห็นรสสุคนธ์นั่งเหม่อสีหน้าซีดๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน ขนาดเขาเดินเข้ามานานแล้วยังไม่รู้สึกตัว ก็เลยเป็นห่วง
“คุณรส ทำไมหน้าซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
รสสุคนธ์ได้สติ ยิ้มเจื่อนๆ ให้รามนรินทร์
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
รามนรินทร์ก็ยังไม่วางใจ เพราะหน้ารสสุคนธ์ยังซีดมาก
“แน่ใจนะครับ แต่หน้าคุณรสซีดมาก”
“เอ่อ คุณรามคะ ไม่ทราบว่าคนในบ้านนี้มีชื่อน้อยกี่คนคะ”
รามนรินทร์มองหน้ารสสุคนธ์แล้วตอบเรียบๆ
“น้อย หลานสาวนมเฟื่อง ลูกบุญธรรมของคุณน้ากร ตัวจริงเสียงจริง มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ”
รสสุคนธ์รู้สึกเบาโหวง “เหรอคะ”
“อ้าว ก็น้อยไปอยู่เรือนไม้หอมกับคุณรสตั้งแต่สองวันที่แล้ว ทำไมถามว่ามีน้อยกี่คนครับเนี่ย”
ยิ่งได้ยินรามนรินทร์ถามอย่างแปลกใจ รสสุคนธ์ก็ยิ่งหน้าเจื่อนเพราะเริ่มมั่นใจว่าเธอเจอดีเข้าแล้ว น้อยที่มานอนมากินกับเธอสองวันสองคืนเป็นใคร แล้วก็อดคิดถึงตอนที่คุยกับน้อยเมื่อคืนไม่ได้
แม้นมาศเผลอหลบสายตารสสุคนธ์ที่มองจ้องพลางถามขึ้น
“ว่าแต่น้อยเคยเห็นย่าเล็กมั้ย”
รสสุคนธ์มองจ้องแม้นมาศ เห็นอีกฝ่ายออกอาการสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“เอ่อ ฉันจะเคยเห็นได้ไง ว่าแต่ถ้าเธออยากเห็นหน้าตาย่าเล็กจริงๆ ทำไมไม่ไปขอดูภาพที่คุณชายกรล่ะ”
รามนรินทร์ยังจ้องหน้ารสสุคนธ์ด้วยความเป็นห่วง
“ผมว่าคุณรสดูเครียดๆ นะครับ ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
“คุณรามคะ ไม่ทราบคุณชายกร ท่านมีรูปภาพของคุณย่าแม้นมาศมั้ยคะ”
ถัดมา คุณชายภาณุกรเปิดลิ้นชักแล้วหยิบรูปภาพของแม้นมาศส่งให้กับรามนรินทร์
“รามอยากได้รูปภาพคุณเล็กไปทำไมเหรอ”
“คุณรสเธออยากเห็นย่าเล็กน่ะครับ น้ากร”
รามนรินทร์ถือรูปแม้นมาศแล้วเดินออกไปจากห้องไป
ไม่นานต่อมา สายตารสสุคนธ์มองภาพแม้นมาศในมือนิ่ง รสสุคนธ์เซซัง ใจหวิวๆ ลมแทบจับ ผู้หญิงที่เธอเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าเป็นน้อย ที่แท้ก็คือ แม้นมาศ นั่นเอง นั่นหมายความว่าที่ผ่านมาตลอดสองคืน เธอกินนอนอยู่กับผีย่าตัวเองมาตลอด
“ย่าเล็ก...ที่แท้...”
เหตุการณ์ตลอดสองวันมานี้ผุดซ้อนขึ้นมาราวสายน้ำไหล จนมาหยุดตอนที่รสสุคนธ์ขยับที่นอนให้ พร้อมกับตบหมอบให้แม้นมาศขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียง
“เตียงออกจากกว้าง นอนด้วยกันอบอุ่นดี ขึ้นมาสิ”
แม้นมาศยิ้มให้กับความมีน้ำใจของหลาน ที่ไม่รังเกียจคนฐานะต่ำกว่า
แม้นมาศขยับขึ้นเตียง ขณะรสสุคนธ์ล้มตัวลงไปนอน
“ฝันดีนะ”
“จ้ะ ฝันดี”
รสสุคนธ์หลับตาลง ไม่นานก็หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ แม้นมาศค่อยๆ ล้มตัวลงนอนมองรสสุคนธ์ยิ้มมีเลศนัย
พอแม้นมาศพลิกตัวนอนหันหลังให้รสสุคนธ์ ใบหน้าก็คืนสภาพเละเป็นผี นอนร่วมเตียงกับรสสุคนธ์นอนหลับสนิท
รสสุคนธ์ทบทวนหวนคิดถึงค่ำคืนนั้นแล้วสีหน้ายิ่งซีดลงชัดแจ้ง ทั้งหวาดกลัวและสยองประสมปนเปกัน รามนรินทร์มองอย่างเป็นห่วง ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณรสเป็นอะไรมั้ยครับ”
รามนรินทร์มองภาพแม้นมาศในมือรสสุคนธ์แล้วชมจากใจจริง
“คุณย่าแม้นมาศตอนสาวๆ เนี่ยสวยมากนะครับ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณลุงทัตถึงรักท่านมากมาย”
รสสุคนธ์ไม่กล้าบอกความจริง ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
บ่ายนั้น น้อยเดินเข้ามาหารสสุคนธ์ที่นั่งใช้ความคิดเรื่องของแม้นมาศอยู่
“คุณรสคะ น้อยมาบอกว่าเก็บของเรียบร้อยแล้ว จะให้ไปรอที่เรือนไม้หอมหรือว่า... เย็นนี้คุณเลิกงานแล้วเราไปพร้อมกันดีคะ”
รสสุคนธ์เองก็อยากพิสูจน์เรื่องย่าเล็ก และเข้าใจความรู้สึกของน้อยว่าคงกลัว เลยบอกไปว่า
“เอางี้ ไว้ฉันเลิกงานแล้วแวะไปกินข้าวเย็นที่โรงครัว เราไปเจอกันที่นั่น น้อยค่อยตามชั้นไปนอนเรือนไม้หอมก็ได้จ้ะ”
น้อยยิ้มดีใจรีบตอบรับด้วยน้ำเสียงสดชื่น
“ตามที่คุณรสสั่งเลยค่ะ ไว้เจอกันที่โรงครัวนะคะ”
รสสุคนธ์พยักหน้าแทนคำตอบ น้อยรีบออกไป
เย็นจวนค่ำ รสสุคนธ์พาตัวเองมายืนนิ่งอยู่หน้าเรือนไม้หลังงาม คิดทบทวนเรื่องแม้นมาศที่สมอ้างว่าเป็นน้อย นั่นเท่ากับว่าสองวันที่ผ่านมา เธอถูกผีย่าเล็กหลอกอย่างนั้นหรือ
แต่การหนีปัญหาไม่ใช่นิสัยของรสสุคนธ์แน่นอน สาวเมืองเพชรสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมเผชิญกับความจริง แม้จะลังเลสับสนอยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจถอยได้อีกต่อไป
“อยู่ด้วยกันมาตั้งสองวันสองคืน อะไรจะเกิดก็เกิดสิ”
รสสุคนธ์ตัดสินใจเปิดประตูเรือนไม้หอมแล้วก้าวเข้าไปอย่างพร้อมจะรับกับความจริง
ด้านในเรือนไม้หอมเงียบสนิทไม่มีใครเลย รสสุคนธ์รวบสติเป็นฝ่ายเดินหาจนทั่วที่คิดว่าแม้นมาศจะอยู่ แต่ทุกที่กลับว่างเปล่า จนกระทั่งมีเสียงแม้นมาศถามขึ้นมาจากด้านหลังว่า
“กลับมาแล้วหรือคะ คุณรส”
รสสุคนธ์ค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับย่าเล็กของเธอ ด้วยสัญชาติญาณเธอถดตัวถอยหลังไปจนชิดผนังเพราะความตกใจ แม้นมาศเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหารสสุคนธ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รู้แล้วสินะว่า ฉันเป็นใคร”
ภาณุกรอยู่ที่ห้องทำงาน ในบ้านพรหมบดินทร์ คุณชายสูงวัยลูบไล้ภาพแม้นมาศในมืออย่างอ่อนโยนทะนุถนอม สีหน้าปวดร้าวอาลัยอาวรณ์คนในภาพเป็นอย่างมาก รามนรินทร์เดินเข้ามาเห็นก็มองฉงน
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณน้า”
ภาณุกรได้สติ “อ๋อ น้าเห็นรูปแล้วก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ น่ะ คนแก่ก็แบบนี้ล่ะ”
“ไม่ใช่แค่คุณน้าหรอกครับ จะว่าไปพอคุณรสเห็นภาพคุณแม้นมาศก็ทำท่าแปลกๆ เหมือนกัน แถมยังถามผมด้วยนะครับว่าบ้านเรามีคนชื่อน้อยกี่คน”
ภาณุกรตกใจ “หนูรสถามอย่างนั้นจริงเหรอ”
รามนรินทร์แปร่งหูกับคำถามนี้ “ครับ ทำไม บ้านเรามีน้อยอีกคนเหรอครับ”
ภาณุกรพูดเป็นนัย “ความจริงก็มีอีกคนที่ชื่อคล้ายๆ กัน”
“ใครเหรอครับ”
ภาณุกรมองรูปแม้นมาศในมือแทนคำตอบ รามนรินทร์รู้ทันที ภาณุกรหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตครั้งเมื่อเจอแม้นมาศครั้งแรก
แม้วันเวลาจะล่วงเลยผันผ่านมานานกว่า 33 ปี แล้ว ทว่าทุกอย่างยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจภาณุกร
เมื่อปี พ.ศ. 2525
แลเห็นบอร์ดประกาศผลเอ็นทรานซ์ตั้งเรียงยาวเหยียด อยู่กลางสนามกีฬาจารุเสถียร หรือสนามจุ๊บของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งยุคนั้นยังต้องสอบเอ็นทรานซ์ และมีการประกาศผลที่นี่ โดยมีนักเรียนพากันมาส่องดูชื่อตั้งแต่เจ้าหน้าที่มาติดประกาศในตอนกลางคืน
บรรดานักเรียน ม.6 ต่างพากันถือไฟฉาย บ้างก็เทียนไขมาส่องลุ้นดูรายชื่อผลเอ็นทรานซ์ที่ติดประกาศในบอร์ด
รอบๆ สนาม มีรุ่นพี่คณะต่างๆ พากันกระจายตั้งโต๊ะ รอรับน้องๆ ที่สอบติด บรรยากาศเฮฮา คึกคัก นักเรียนที่สอบติดพากันร้องตะโกนด้วยความดีใจ ส่วนคนที่สอบไม่ติดก็พากันเศร้าสร้อยกอดคอกันร้องไห้เสียใจไปตามระเบียบ
ภาณุกรกับแขไข กำลังแหวกคนที่ร้องไห้ผิดหวังเข้าไปตรวจผล ภาณุกรไล่ดูรายชื่อในประกาศบนบอร์ด จนมาชนกับนิ้วชี้เรียวยาวของใครคนหนึ่งเข้า
“ขอโทษครับ” ภาณุกรชะงักหันไปมอง
เป็นแม้นมาศนั่นเอง เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ภาณุกรอย่างเป็นมิตร ภาณุกรปิ๊งทันที ยิ้มหวานให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่เจอเหมือนกันเหรอคะ”
“ครับ เรามาลุ้นด้วยกันนะครับ”
“เร็วสิ ชายกร ชักช้าอยู่ได้”
แขไขเร่ง พร้อมกับหันไปมองแม้นมาศอย่างไม่เป็นมิตร แล้วหันไปไล่ดูรายชื่อต่อ
“นี่ไงชื่อฉัน ไม่ติดก็ให้มันรู้ไป”
แขไขยิ้มเชิด ภาณุกรไล่จนมาเจอชื่อตัวเองก็ดีใจ หันไปมองแม้นมาศที่กำลังไล่ส่องไฟฉายลุ้นชื่อตัวเองอย่างใจจดจ่อ นิ้วเรียวสวยไล่มาหยุดที่ชื่อ น.ส. แม้นมาศ เกษมบริรักษ์
“เจอแล้วๆ”
แม้นมาศดีใจสุดขีดจนเผลอกระโดดเข้ากอดภาณุกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างลืมตัว
“ฉันเอ็นติดนิเทศ จุฬาฯ”
“ดีใจด้วยนะ ฉันก็ติดนิติ จุฬาเหมือนกัน”
แม้นมาศหันมาทางแขไข “แล้วเธอล่ะ”
“อักษรศาสตร์ จุฬาฯ” แขไขเชิด
“เรามาเริ่มชีวิตนิสิตด้วยกันนะ ฉันแม้นมาศยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
ภาณุกรแนะนำตัว “ฉัน ม.ร.ว. ภาณุกร พรหมบดินทร์ แล้วนี่ ม.ร.ว. แขไข เทพธราธร”
แม้นมาศชะงัก “งั้นพวกคุณก็เป็น คุณชาย...คุณหญิง”
“ใช่ ถึงเราจะเป็นนิสิตเหมือนกัน แต่ฉันกับเธอยังไงมันก็คนละระดับกันอยู่ดี ฉันกลับละ ไม่อยากนอนดึกเดี๋ยวหน้าจะโทรม”
แขไขสะบัดหน้าอย่างถือตัว เดินเชิดออกไป
“เธออย่าไปซีเรียสเลยนะ เรียกฉันว่ากรเฉยๆ ก็ได้ ฉันไม่ถือ”
“ฉันขอเรียกว่าคุณชายกรดีกว่า คุณชายเรียกฉันว่าเล็กก็ได้ค่ะ”
ภาณุกรกับแม้นมาศยิ้มให้กัน มิตรภาพของทั้งคู่เริ่มต้นที่นี่นับจากคืนนั้น
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันหนึ่งในเวลาต่อมา ชายทัต หรือ ม.ร.ว. ภาณุทัต พร้อมด้วยทรงยศ กับเพื่อนๆ วิศวะ ปี 4 กำลังซ้อมรับส่งรักบี้กันอยู่ในสนาม โดยเฉพาะภาณุทัตที่เป็นกัปตันทีมรักบี้ ทั้งหล่อ ทั้งเท่ เป็นที่หมายปองของสาวๆ ซึ่งในตอนนั้นภาณุกรลงซ้อมอยู่ด้วย
บรรดานิสิตสาวๆ พากันยืนกรี๊ดคอแทบแตกอยู่ข้างสนาม แม้นมาศเดินเข้ามาหยุดดู เห็นภาณุทัตรับลูกได้แล้ววิ่งโดยเร็วผ่านผู้เล่นคนอื่นที่พุ่งเข้ามาสกัด แต่ภาณุทัตก็เอี้ยวตัวหลบได้หมด แม้นมาศมองตามอย่างไม่ละสายตา ภาณุกรหันมาเห็นแม้นมาศก็ดีใจรีบโบกมือให้ พร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง
“คุณเล็กๆ”
ภาณุทัตหยุดวิ่งหันมามองที่ภาณุกรกับแม้นมาศอย่างไม่พอใจ ก็แล้วต้องชะงักมองแม้นมาศอย่างตะลึงตะไลในความงาม
“ชายกร นี่เรายังซ้อมกันอยู่นะ” ภาณุทัตตำหนิน้อง
“ขอเวลานอกแป๊บหนึ่งครับ”
“เฮ้ยๆๆ สาวที่ไหนวะกร” ทรงยศถาม
ภาณุกรแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน “นี่แม้นมาศ เพื่อนคณะนิเทศครับ คุณเล็ก...นี่ ม.ร.ว.ภาณุทัต พี่ชายฉันเอง ส่วนนี่พี่ทรงยศเพื่อนพี่ชายทัต พี่ๆ เค้าเป็นหนุ่มวิศวะปี 4”
“ชายทัตเป็นกัปตันทีมรักบี้ มหา’ลัยด้วย” ทรงยศอวดเพื่อน
แม้นมาศยกมือไหว้ภาณุทัตกับทรงยศอย่างนอบน้อม ภาณุทัตรับไหว้แล้วมองแม้นมาศโดยไม่วางตา
“สวัสดีค่ะ คุณชายภาณุทัต พี่ทรงยศ”
“สวัสดีครับ พี่ขอเรียกน้องเล็กได้มั้ยครับ”
“ได้ค่ะ”
แม้นมาศหลบตาภาณุทัตที่จ้องเอาๆ ด้วยท่าทีขวยเขิน
ถัดมาภาณุกรออกมาหยุดคุยกับแม้นมาศอีกมุมในสนามรักบี้ พลางถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดีใจที่สาวเจ้ามาหาเพราะแอบหลงรักเธออยู่
“จริงสิ คุณเล็กมาหาฉันทำไม”
“อ้อ นี่จ้ะ ฉันทำขนมมาฝาก ไม่รู้จะถูกปากหรือเปล่า”
แม้นมาศยื่นกล่องขนมเสน่ห์จันทร์ให้ภาณุกร
“ขอบใจนะ”
ภาณุกรเปิดกล่องดูเห็นขนมเสน่ห์จันทร์จับกลีบสวยติดทองคำเปลวงามตา จังหวะนี้ภาณุทัตโผล่เข้ามาพร้อม ทรงยศ
“เสน่ห์จันทร์ งามมาก หอม น่ากินจัง สงสัยซ้อมเสร็จแล้วพี่ต้องขอชิมซะหน่อยแล้ว” ภาณุทัตบอกด้วยสีหน้าแววตาชื่นชม
“เชิญค่ะ ถ้าคุณชายชอบ เล็กจะทำมาให้รับประทานอีกนะคะ”
ภาณุทัตกับแม้นมาศสบตากันอย่างหวานซึ้ง ภาณุกรกับทรงยศรู้ทันทีว่าทั้งคู่ปิ๊งกัน
ภาณุกรหน้าเศร้า ด้วยรู้ว่าหากแข่งเรื่องความรักกับพี่ชายทัต คงไม่มีหวัง
ขณะที่ภาณุกรกำลังดื่มด่ำกับความหลังอยู่นั้น ทางฝ่ายแม้นมาศเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ท่าน้ำสระบัว รสสุคนธ์ทำใจดีสู้เสือตามเข้ามา ผีแม้นมาศปรายตามองถามหลานมนุษย์ ถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยชวนสยอง
“เธอไม่กลัวฉันเหรอ”
“จะบอกว่าไม่กลัวก็เหมือนโกหก แต่รสเชื่อนะคะว่าย่าเล็กคงไม่ทำร้ายรส”
“ความจริงตอนแรกฉันก็เกือบทำแล้วเหมือนกัน”
ย่าผีและหลานคนนึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรก
โดยวันนั้นรสสุคนธ์เดินหลงมาทางเรือนไม้หอม และเห็นหลังแม้นมาศเดินไวๆ จึงเดินตาม
“คุณคะ เดี๋ยวค่ะ คุณคะ รอฉันด้วย”
รสสุคนธ์เดินตามขึ้นมาชั้นบน และถูกผีแม้นมาศไปยืนที่หน้าต่างชั้นบน มองลงไปที่สระบัว ผีแม้นมาศหันขวับมาจ้องรสสุคนธ์ตาวาว รสสุคนธ์สะดุ้งเฮือก
“ลงมาสิ กระโดดลงมา”
อีกเหตุการณ์เป็นคืนแรกที่เรือนไม้หอม แม้นมาศยื่นมือออกมาเคลื่อนเข้าหาทางด้านหลังหมายจะบีบคอให้ตาย ขณะที่รสสุคนธ์กำลังสวดมนต์ไหว้พระ
และสุดท้ายแม้นมาศหมุนหัวกลับมาหารสสุคนธ์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจังๆ รสสุคนธ์กรี๊ดร้องลั่นเป็นลมพับไป
แม้นมาศวางหน้าเฉยไม่รู้สึกผิดสักนิดที่เกือบฆ่าหลานสาว มองรสสุคนธ์ที่กำลังยืนตัวลีบเล็กอยู่
“แต่โชคดีที่รู้ว่าเธอเป็นหลานก่อน ไม่งั้นล่ะก็…” ผีแม้นมาศหายตัววับไปโผล่ที่ด้านหลังหลานสาว “ป่านนี้เธอตายไปนานแล้ว”
รสสุคนธ์สะดุ้งเฮือก หันมองเห็นแม้นมาศยิ้มมุมปากก็รู้ว่าแม้นมาศแกล้ง
“โธ่ ย่าเล็กอย่าแกล้งกันสิคะ หัวใจรสตกถึงตาตุ่มแล้ว ว่าแต่ย่าเล็กเหอะค่ะ ทำไมไม่เปิดเผยตัวจริง ปลอมตัวเป็นน้อยมาหลอกรสอยู่ได้”
“ฉันเปล่าพูดนะ เธอนั่นล่ะทึกทักเอาเอง อีกอย่างฉันเป็นลูกคนเล็ก ใครๆ ก็เรียกฉันว่าเล็ก ไม่ก็น้อยบ่อยๆ”
พูดออกมาแล้วแม้นมาศอดคิดถึงเรื่องในอดีตตอนที่ภาณุทัตเรียกชื่อตนผิดไม่ได้
ตอนนั้นแม้นมาศกับเพื่อนนิสิตนิเทศฯ สาวๆ 3 คน พากันเดินเข้ามาในคณะวิศวะฯ ทรงยศกับหนุ่มๆ วิศวะพากันโผล่หน้ามาเป่าปากแซว
“ตัวน้อยๆ จะไปไหนจ๊ะ ตัวน้อย”
“รีบไปกันเหอะ”
แม้นมาศกับเพื่อนๆ พากันตกใจ รีบเดินหนีไปข้างอาคารที่มีป้ายคัตเอ้าต์ตั้งอยู่
“แซวอะไรกัน” ภาณุทัตโผล่ออกมา
“ก็แซวน้องเล็กของแกกับพวกเพื่อนไง” ทรงยศบอก
“น้องเล็กมาเหรอ”
ภาณุทัตรีบโผล่หน้าออกไปมอง เห็นแม้นมาศก็ดีใจรีบวิ่งไปหา ทรงยศยิ้มขำเดินตามไป
ภาณุทัตวิ่งเข้ามาดักหน้าแม้นมาศไว้
“น้องเล็กๆ”
“คุณชายทัต”
“น้องเล็กมาทำอะไรที่นี่”
“เล็กมาขอยืมป้ายคัตเอ้าต์ไปจัดงานค่ะ”
“แล้วมากันแต่สาวๆ จะแบกกันไหวเหรอ มา เดี๋ยวพี่กับเพื่อนช่วย” ชายทัตหันไปทางเพื่อน “ยศ ตามเพื่อนมาช่วยหน่อยสิ”
ทรงยศหันไปตะโกนเรียกเพื่อนๆ “เฮ้ย พวกแก..คุณชายเรียกใช้โว้ย”
“ยินดีรับใช้ขอรับ”
ทรงยศกับเพื่อนๆ ประสานเสียงพากันก้มหัวล้อภาณุทัต แม้นมาศกับเพื่อนๆ พากันยิ้มขำ
ภาณุทัตหมั่นไส้ “ไม่ต้องท่ามาก นายมาช่วยฉันเร็ว”
“ขอบคุณนะคะ”
แม้นมาศยิ้มหวานมาให้ ภาณุทัตยิ้มตอบแล้วขยับไปยกป้ายคัตเอ้าต์ที่พิงอยู่ข้างตึก ทรงยศเข้าไปช่วยยกอีกด้าน ภาณุทัตกับทรงยศและเพื่อนๆ ช่วยกันยกป้ายคัตเอ้าต์ออกไป แม้นมาศกับเพื่อนๆ พากันเดินตาม
อีกวันแม้นมาศยื่นกล่องขนมเสน่ห์จันทร์ให้ภาณุทัต
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยงานเมื่อวาน นี่ค่ะ เล็กขอตอบแทนด้วยขนม”
“ว้าว ขนมเสน่ห์จันทร์ พี่กำลังอยากกินพอดีเลย หอมจัง ไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือน้องเล็กเลย”
“ถ้าคุณชายทัตชอบ เล็กจะทำให้กินจนเบื่อเลย”
“น้องเล็กทำอะไร พี่ก็ไม่เบื่อหรอก ป้อนพี่หน่อยสิ นะๆ”
แม้นมาศหยิบขนมเสน่ห์จันทร์ป้อนภาณุทัต ดูกุ๊กกิ๊กหวานแหววอย่างกับคู่รัก
แขไขซึ่งหลงรักภาณุทัตแอบยืนมองอยู่ หญิงแขกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ
เลิกเรียนวันนั้น แขไขนำเรื่องที่เห็นมาฟ้องคุณหญิงภาวิดา ซึ่งเวลานั้นเรียนอักษรฯ ปี 2 ถึงบ้านพรหมินทร์ ภาวิดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“อะไรนะหญิงแข ใครมาติดพันพี่ชายทัต”
“มันชื่อแม้นมาศค่ะ แขเห็นมันคอยเดินตามชายกรอยู่บ่อยๆ ไม่คิดเลยนะคะว่ามันจะมาให้ท่าพี่ชายทัตด้วย สงสัยคงคิดจะรวบทั้งพี่ทั้งน้อง”
“เลว พี่ไม่ยอมให้มันสมหวังแน่”
ภาวิดานั้นขึ้นชื่อว่าหวงพี่ชายมาก และตั้งใจจะดองกับแขไขเลยอคติกับแม้นมาศตั้งแต่ยังไม่เจอหน้า
“แล้วนี่หญิงแขรู้หรือเปล่าว่านังแม้นมาศมันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” ภาวิดาถามเสียงขุ่น
แขไขส่ายหน้า “ไม่ทราบค่ะ แต่ชายกรน่าจะรู้”
แขไขมองไปยังภาณุกรกับภาณุทัตซึ่งกำลังเดินเข้าบ้าน ภาณุทัตถือกล่องขนมมาด้วย
“นั่นกล่องอะไรเหรอคะพี่ชายทัต”
“กล่องใส่ขนมเสน่ห์จันทร์น่ะ”
ภาวิดาแสร้งถาม “พี่ชายทัตไปเอามาจากไหนคะ”
“น้องเล็ก เอ่อ...แม้นมาศ รุ่นน้องที่จุฬาฯ ทำมาให้ หญิงดากับหญิงแขจะลองชิมมั้ย”
“ไม่ล่ะค่ะ ขนมบ้านๆ แบบนั้นแขกินไม่ลง”
“งั้นผมกินเอง ของอร่อยๆไม่กินแล้วจะเสียใจ”
ภาณุกรหยิบขนมเสน่ห์จันทร์มากินอย่างเอร็ดแอร่ม ภาณุทัตเองก็หยิบกินตาม
แขไขค้อนควักตะบึงตะบอนฟ้องภาวิดา “ดูสิคะ หลงเสน่ห์มันทั้งคู่เลย”
“อดทนไว้หญิงแข เดี๋ยวพี่จะเขี่ยมันให้พ้นทางไปเอง”
ภาวิดามองขนมเสน่ห์จันทร์แล้วเป้ปากไม่ชอบใจ
สองน้าหลานเฟื่องเอาขนมเสน่ห์จันทร์ขึ้นเสิร์ฟพร้อมกับกาแฟให้ภาณุกรกับรามนรินทร์
“คุณรสเธอแบ่งมาให้ใหม่ค่ะ เฟื่องกลัวคุณหญิงจะให้เอาไปทิ้งอีก เลยแอบเก็บไว้ให้คุณชายกรกับคุณรามค่ะ”
“ขอบคุณนะครับนม ของอร่อยแบบนี้ถ้าถูกทิ้งอีกก็เสียดายแย่ คุณน้าลองชิมสิครับ”
ภาณุกรหยิบขนมเสน่ห์จันทร์ขึ้นมากัดกิน แล้วชะงักงัน คุ้นลิ้นกับรสชาติขนมนี้เป็นอย่างมาก
“เป็นไงครับ คุณน้า อร่อยเท่าที่คุณแม้นมาศทำหรือเปล่า”
“รสชาติเหมือนขนมเสน่ห์จันทร์ของคุณเล็กไม่ผิดซักนิดเดียว รามแน่ใจนะว่ายัยน้อยเป็นคนทำ”
“จะว่าไปก็แปลกนะคะ ยัยน้อยก็พึ่งสารภาพกับเฟื่องว่าไม่เคยไปอยู่ที่เรือนโน้นเป็นเพื่อนคุณรสเลย แล้วขนมนี้ใครเป็นคนทำ”
คำพูดของเฟื่องทำให้ทั้งรามนรินทร์และภาณุกรนิ่งอึ้ง ต่างพากันคิดไม่ออก
ทางด้านแม้นมาศนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่ม้านั่งริมสระใบหน้าเศร้าสลด จนรสสุคนธ์ขยับมานั่งข้างๆ
“เธอยังอยู่อีกเหรอ”
“รสต้องอยู่สิคะ รสจะอยู่เป็นเพื่อนย่าเล็ก”
แม้นมาศเป็นห่วง “กลับเพชรบุรีไปซะเถอะ ที่นี่มันอันตราย”
“ไม่ค่ะ รสมาที่นี่เพื่อตามหาความจริง ถ้ายังไม่รู้ความจริง รสก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“เธออยากรู้ความจริงอะไร”
“ความจริงเรื่องย่าเล็กไงคะ ทำไมย่าเล็กต้องฆ่าตัวตายในวันแต่งงานของตัวเองด้วย ช่วยบอกรสทีสิคะ”
แม้นมาศชะงักกึก เหลียวขวับมามองรสสุคนธ์สีหน้าฉงนฉงาย ประหลาดใจสุดขีด
ทางฝ่ายน้อยอยู่ที่โรงครัวเตรียมอาหารไว้รอรสสุคนธ์มากินด้วยกัน แต่อีกฝ่ายไม่มาสักที จนน้อยเริ่มกังวล จะเดินไปดู เฟื่องเดินเข้ามา มองเห็นสำรับอาหารจึงถามหลาน
“อาหารเย็นของคุณรสเหรอ น้อย”
“จ้ะยาย คุณรสนัดว่าจะมากินที่นี่ แล้วน้อยถึงไปนอนกับเธอที่เรือนไม้หอม แต่ จนค่ำแล้วก็ไม่เห็นมา”
เฟื่องชวนน้อย “ยายว่าน้อยไปเอาของแล้วไปหาคุณรสที่เรือนไม้หอมเลยดีกว่า ถ้าเธอหิว ค่อยมาอุ่นมายกอาหารตามไปทีหลัง”
“ก็ได้จ้ะ ยาย”
น้อยกับเฟื่องพากันเดินออกไปทางเรือนไม้หอม
สวนกับ สร้อย และบัวที่ขายังเข้าเฝือกอยู่ ช่วยกันยกสำรับอาหารที่เรือนใหญ่กินแล้วเข้ามา
แม้นมาศถามเสียงเข้ม ตกใจที่คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองฆ่าตัวตาย
“ฆ่าตัวตายอะไร ฉันนี่นะฆ่าตัวตาย”
“ใช่ค่ะ เท่าที่รสรู้มา ย่าเล็กเขียนจดหมายลาตายทิ้งไว้ก่อนที่จะกระโดดลงมาจากชั้นสองที่สระบัว”
“โกหก ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย พวกมันต่างหากที่ฆ่าฉัน พวกมันจะต้องชดใช้ ต้องชดใช้”
แม้นมาศกรีดร้องเสียงดังกึกก้อง ใบหน้าสวยของคนกลายเป็นใบหน้าผี ตาขาวโพลน ลมพัดผมยาวสยายแลดูน่ากลัว รสสุคนธ์ผงะหงายด้วยความตกใจ
รอบบริเวณมืดครึ้มไปทั่ว ท้องฟ้าเหนือบ้านพรหมบดินทร์ปั่นป่วน เหมือนกำลังจะเกิดพายุใหญ่
สร้อยกับบัวช่วยกันแยกอาหารที่บ้านใหญ่กินมื้อเย็นเสร็จ ทวนเดินเข้ามากินข้าวเย็น
“หิวจัง มีไรกินบ้าง”
“ดูเอาแล้วกัน”
ทวนเดินไปหยิบจานมาตักข้าวแล้วลงนั่งกิน
เสียงหวีดร้องของผีแม้นมาศดังกึกก้องไปทั่วบ้านพรหมบดินทร์
จากเวลาหัวค่ำฟ้ายังไม่ทันมืด พริบตานั้นเองบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นมืดฟ้ามัวดิน พายุใหญ่เริ่มพัดโหมกระหน่ำ บัวกับสร้อยชะงักกึก หยุดมือจากงานที่ทำอยู่ หันมามองหน้ากัน
“เสียงอะไรอ่ะแม่” บัวถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“อย่าไปทักสิวะ นังบัว มาแต่หัววันแบบนี้ จะนอนหลับกันมั้ยเนี่ย”
เสียงหมาหอนโหยหวนรับกับเสียงหวีดร้องของแม้นมาศ ทวนตักข้าวเข้าปากไม่กี่คำ ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“จะอะไรนักหนาวะ คนจะกินข้าว”
จานข้าวของทวนพลิกคว่ำทันที ตามด้วยเสียงหัวเราะชวนสยองของแม้นมาศ
“บังอาจ ไอ้พวกคนชั่ว”
สร้อยกับบัวมองหน้ากัน รู้ชะตาว่าคงอยู่ไม่ได้แล้ว
“กลับห้องกันดีกว่า”
“ดีจ้ะ แม่”
สองแม่ลูกทิ้งจานช้อน แล้วรีบเดินออกไปอย่างไว
พายุพัดโหมกระหน่ำหนักหน่วง เศษใบไม้ เศษขยะปลิวว่อนหมุนวน สร้อยกับบัวประคองกันเดินกลับห้องพักเรือนคนใช้ ผีแม้นมาศโผล่มายืนขวางหน้า สองแม่ลูกกลัวสุดขีด ยกมือไหว้ปลกๆ
“ฉันไหว้ อย่าทำอะไรเลยนะ”
“ฉันกลัวแล้ว”
ผีแม้นมาศตวาดสองแม่ลูก
“หลีกไป”
สร้อยกับบัวไม่รอให้แม้นมาศบอกซ้ำสอง รีบพากันวิ่งหนีไปทันที
ทวนวิ่งออกมาจากโรงครัว มองไปรอบๆ ทำใจดีสู้ผี
“อาละวาดทุกวัน อีผีโรคจิต”
แม้นมาศโผล่ออกมาโดยไว ใช้มือใหญ่ยักษ์ตบหน้าทวนอย่างแรง จนเลือดกบปาก
“ปากเสีย”
จากที่ทำปากเก่ง สุดท้ายทวนก็ต้องใส่เกียร์หมา โกยแน่บหนีตายไปทางเรือนใหญ่
ผีแม้นมาศหัวเราะร่า ประกาศก้อง
“ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย พวกพรหมบดินทร์จะต้องชดใช้”
อ่านต่อตอนที่ 5