บาปบรรพกาล ตอนที่ 7
บัวกลัวจนสติแตกวิ่งเตลิดกลับมาที่เรือนคนใช้ ผลุบเข้าห้องไปแล้วลนลานเอากระเป๋ามาเก็บข้าวของเพื่อจะหนี สร้อยตามเข้ามาเห็นก็ตกใจ ร้องไห้ห้ามลูกด้วยความสงสาร
“นังบัว เก็บของทำไมลูก แกจะไปไหน”
“ฉันอยู่ไม่ได้แล้วแม่ ผีคุณแม้นมาศจะฆ่าฉัน”
เฟื่องตามเข้ามาช่วยคุยให้บัวตั้งสติอีกแรง
“บัวเอ๊ย ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ คิด”
“ใครจะพูดกับผีได้ล่ะ ยาย”
บัวรูดซิปปิดกระเป๋าโดยไว ไม่ฟังใครอีกแล้ว วิ่งเตลิดหนีไป
ลมพัดมาวูบใหญ่ อากาศแปรปรวน บรรยากาศโดยรอบเริ่มมืด จนดูน่ากลัว
รสสุคนธ์ยืนอยู่ที่ระเบียงบันได เห็นภาพโดยรอบเรือนไม้หอมเริ่มมืดค่ำอย่างผิดปกติ มีลมพายุพัดโหมมาเป็นระลอก รับรู้ได้ว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ของแม้นมาศ หญิงสาวตัดสินใจลงเรือนไปเพื่อห้ามแม้นมาศไม่ให้ทำอะไรบัว
“ย่าเล็ก อย่าทำอะไรบัวนะคะ”
จีรนันท์แอบดูอยู่ แม้จะกลัว แต่ก็สบโอกาส แอบเข้าไปในเรือนไม้หอมทันที
ตาดำโผล่ออกมา เดินตามจีรนันท์ไป
จีรนันท์เข้ามาในห้องโถงสอดส่ายสายตามองหาที่ซ่อนเครื่องเพชรที่ขโมยมา โดยไม่รู้ว่าตาดำตามมาโดยตลอด จนรู้สึกเหมือนมีคนยืนจ้องอยู่ แต่พอหันมามองตาดำก็หายไป
จีรนันท์กลัวมากรีบวิ่งขึ้นไปยังด้านบนหาที่ซ่อนแล้วจะได้รีบไปให้พ้นๆ บ้านผีสิงหลังนี้
ด้านรสสุคนธ์ตามมาหาบัวที่เรือนคนใช้ แต่เจอน้อยซะก่อน
“น้อยถ่ายภาพเครื่องเพชรเสร็จหมดแล้วนะคะ คุณรส น้าจวงกับน้าปริกก็เอาเครื่องเพชรไปเก็บที่ห้องคุณหญิงแล้วค่ะ”
รสสุคนธ์รับรู้สิ่งที่น้อยรายงาน แต่แววตาเป็นห่วงกังวลมาก
“ขอบใจมาก น้อย”
เฟื่องกับสร้อยโผล่ออกมาจากด้านใน บอกรสสุคนธ์อย่างร้อนรน
“คุณรส นังบัวมันหนีไปแล้วค่ะ”
รสสุคนธ์อึ้งไป “เอ่อ...”
“พี่บัวหนีไปไหน หนีใครเหรอจ๊ะ น้าสร้อย” น้อยถาม
สร้อยบอกเสียงเบา “มันบอกว่าผีคุณแม้นมาศจะฆ่ามันค่ะ”
“จริงเหรอจ๊ะ ยาย” น้อยหันมาถามเฟื่อง
เฟื่องตอบไม่เต็มปาก “ก็ไม่รู้”
รสสุคนธ์ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ห่วงทั้งบัวที่หนีไป ห่วงทั้งแม้นมาศว่าจะไม่ยอมหยุดสร้างบาป
“ย่าเล็ก ปล่อยบัวไปเถอะนะคะ”
ผีแม้นมาศอยู่ด้วยแต่ไม่ยอมตอบ ขบกรามกัดฟันด้วยความแค้น
ทางฝ่ายจวงกับปริกขนเครื่องเพชรเข้ามาเก็บในห้องนอนภาวิดา
“เครื่องเพชรที่เอาไปถ่ายรูป เสร็จแล้วนะคะคุณหญิง”
“ให้ปริกเก็บในตู้เซฟเลยมั้ยคะ”
ปริกมองไปทางตู้เซฟที่ล็อกกุญแจอยู่ ภาวิดาไม่ตอบ แต่เข้ามาตรวจเครื่องเพชรแล้วพบว่าหายไปจึงโวยวายใหญ่โต
“ไม่ครบนี่ เครื่องเพชรฉันหายไปชุดนึง”
จวงตกใจ “ได้ไงคะ มีแค่นี้ไม่ใช่เหรอ นังปริก”
“ใช่จ้ะ พี่จวง ก็เราก็รับมาจากนังน้อยกับมือ”
“นังรสสุคนธ์ มันแน่ๆ ที่ขโมยไป” ภาวิดาหันไปบอกจวงเสียงเข้ม “จวง ไปจับตัวนังรสมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะเรียกตำรวจมาจับขโมย”
“ได้ค่ะ คุณหญิง นังปริกไปด้วยกัน”
“จ้า พี่จวง”
จวงกับปริกรีบแจ้นออกไปจับตัวรสสุคนธ์ตามที่นายหญิงสั่ง ทิ้งให้ภาวิดาโกรธจัดอยู่ลำพัง
ขณะที่รสสุคนธ์เดินออกมาจากตึกใหญ่ จะกลับเรือนไม้หอม จวงกับปริกถลากันเข้ามาจับแขนไว้คนละข้าง รสสุคนธ์ดิ้นรนขัดขืน พร้อมกับถามขึ้นอย่างงุนงงแปลกใจ
“น้าจวง น้าปริก มาจับฉันทำไมเนี่ย”
“อย่าถามมาก” ปริกว่า
จวงบอก “ไปหาคุณหญิงภาวิดาแล้วก็จะรู้เอง”
ปริกอดพูดไม่ได้ “ใช่ อีขี้ขโมย”
รสสุคนธ์ตกใจว่าปริกพูดอะไรแบบนี้
“ใครขโมยอะไร”
เฟื่องกับน้อยตามออกมาได้ยินสิ่งที่จวงกับปริกพูด เฟื่องรีบกระซิบบอกน้อย
“น้อย รีบโทร.หาคุณราม”
“ได้จ้ะ ยาย”
รสสุคนธ์จำต้องเดินตามแรงลากจูงของจวงกับปริกไป
รามนรินทร์คุยมือถือกับน้อย รู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะกลับบ้านเลย”
รามนรินทร์วางสาย ทำท่าจะพุ่งกลับบ้านไปทันที เป็นห่วงรสสุคนธ์ อุณนิษาได้ยินยิ้มรู้ทัน พูดดักคอ
“นี่ ถ้ารสสุคนธ์เกิดเป็นขโมยจริงๆ พี่รามต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณหญิงแม่ตัวเองด้วยนะคะ ไม่ใช่เห็นคนอื่นดีกว่า”
รามนรินทร์ฉุนนิดๆ ชะงักเล็กน้อยแล้วหันมาบอก
“ผมยุติธรรมพอครับ คุณนิษา”
เห็นรามนรินทร์เดินรีบร้อนออกไป อุณนิษายิ้มร้ายสาแก่ใจ
“พี่ราม รอนิษาด้วยสิคะ”
รสสุคนธ์นั่งอยู่ในห้องรับแขกต่อหน้าทุกคน เหมือนเป็นจำเลย ภาวิดาตามภาณุกรมารับรู้พร้อมพูดด้วยเสียงและสายตาดุๆ
“ว่าไงยะ แม่รสสุคนธ์ ทำเป็นเรียบร้อย อ้างเรื่องงาน ที่แท้ก็เป็นหัวขโมย”
รามนรินทร์อยู่ด้วยแล้ว โดยมีอุณนิษาเกาะแขนแจ ส่งสายตายิ้มเยาะไปให้รสสุคนธ์ จวง กะ ปริก คอยสอพลออยู่ด้านหลังนายหญิง
เฟื่องกับน้อยอยู่อีกมุม เอาใจช่วยรสสุคนธ์ที่ยืนยันหนักแน่น
“รสไม่ได้ขโมยเครื่องเพชรของคุณหญิงไปจริงๆ ค่ะ”
น้อยรีบยกมือเป็นพยานทันที
“ใช่ค่ะ น้อยเป็นพยานได้ เครื่องเพชรได้มากี่กล่อง น้อยก็คืนน้าจวงน้าปริกไปครบค่ะ”
ปริกจีบปากจีบคอพูดตอกกลับน้อยไปทันที
“ถ้างั้นเธอก็เป็นพยานเท็จ เพราะเธอไม่ได้อยู่กับคุณรสตลอดเวลา”
น้อยไม่กล้าเถียง เพราะออกไปเอาน้ำมาให้รสสุคนธ์จริงๆ
“คนสุดท้ายที่อยู่กับเครื่องเพชรก็คือ คุณรสค่ะ คุณหญิง” จวงย้ำ
ภาวิดาหันไปถามภาณุกรที่นั่งนิ่งมาตลอด อย่างเป็นต่อ
“ว่าไง ชายกร คนดีของเธอทำงามหน้า จะให้พี่ตามตำรวจมาได้หรือยัง”
“เราจะกล่าวหาใคร ก็ต้องมีหลักฐานนะครับ คุณพี่”
“ใช่ครับ”
อุณนิษารีบพูดขึ้น ทำทีเป็นหวังดีกับรสสุคนธ์
“รีบหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของเธอสิจ๊ะ รสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ไม่มีอะไรจะเถียงเพราะพยานอย่างน้อยก็ไม่น่าเชื่อถือเลยตัดสินใจบอกด้วยเสียงจริงใจ
“ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปค้นที่เรือนไม้หอมได้เลยค่ะ”
อุณนิษายิ้มในหน้าที่ทุกอย่างเข้าล็อกตามแผนใส่ร้าย
จวงกับปริก เฟื่องและน้อย ต่างพากันค้นดูทั่วเรือนแต่ก็ไม่เจอ ภาวิดาที่รออยู่หน้าบึ้ง โกรธมากขึ้น ส่วนภาณุกรรออย่างสงบนิ่ง
รามนรินทร์พยายามสบตาส่งกำลังใจให้รสสุคนธ์เพราะเชื่อว่าไม่ได้เป็นขโมย จีรนันท์ยืนอยู่ข้างอุณนิษากระซิบถาม
“อยู่ที่ไหนยัยจี้จี้”
จีรนันท์กระซิบบอก พออุณนิษาได้ยินก็พูดขึ้นทันทีว่า
“นิษาว่าเหลืออีกที่ที่เรายังไม่ได้ค้นนะคะ”
ทุกคนหันมามองหน้าอุณนิษาเป็นตาเดียวรอฟังอย่างสนใจ
จีรนันท์ยิ้มกระหยิ่ม จำได้แม่นว่าแอบเอาเครื่องประดับมาซ่อนไว้ใต้ที่นอนของรสสุคนธ์
จวงกับปริกก้มคุดคู้ค้นดูทุกซอกใต้ที่นอนของรสสุคนธ์ แต่ก็ไม่พบ จีรนันท์หน้าเสีย เครื่องเพชรที่ซ่อนไว้หายไปได้ไง อุณนิษาชักเริ่มหงุดหงิด รามนรินทร์เอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อไม่มีหลักฐาน อย่างนี้ข้อกล่าวหาก็ตกไปนะครับ คุณแม่ คุณน้ากร”
ภาวิดาเชิดหน้าไม่รู้จะแย้งยังไง ภาณุกรเลยสรุปให้
“ใช่ หนูรสสุคนธ์เป็นผู้บริสุทธิ์”
รสสุคนธ์โล่งใจ น้อยกับเฟื่องต่างพากันดีใจด้วย ภาวิดาโกรธมาก พูดเสียงเข้ม
“ถ้าแม่รสไม่ได้ขโมย แล้วใครขโมยเครื่องเพชรฉันไป ต้องมีคนช่วยแม่รสแน่ๆ”
ภาวิดาหันไปมองเฟื่องกับน้อย เริ่มเอาปูนหมายหัวสองยายหลานเป็นรายต่อไป
จวงกับปริกมาค้นเรือนคนใช้ ในห้องนอนเฟื่องกับน้อย แต่ก็ไม่พบอะไร ทวนโผล่ออกมาช่วยค้นด้วยแล้วถามสร้อยที่สีหน้าไม่ค่อยดี
“บัวไปไหนล่ะ พี่สร้อย”
“นังบัวมันเก็บข้าวของหนีไปแล้ว...” สร้อยทำท่าจะน้ำตาแตกอีก ทั้งห่วงและสงสารลูก
ทวนเลยสบช่อง หันไปสรุปบอกกับเจ้านายทุกคน
“บัวหนีไปตอนเครื่องเพชรของคุณหญิงหายพอดี หรือว่า...”
ภาวิดาไม่รอให้ทวนพูดจนจบโกรธมาก
“ฉันจะแจ้งความ...”
สร้อยได้ยินอย่างนั้นก็ร้องไห้โฮ อุณนิษาเห็นจังหวะดีเลยดึงจีรนันท์ออกไปเคลียร์
สองสาวอยู่ตรงมุมหนึ่งในบ้านพรหมบดินทร์ อุณนิษาด่าจีรนันท์เรื่องเครื่องเพชร
“เคลียร์มาเลยยัยจีจี้ ไหนคุยนักคุยหนาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
จีรนันท์ยืนกรานคำเดิม
“ก็ฉันเอาเครื่องเพชรมาซ่อนจริงๆ กับมือ แต่ไม่รู้มันหายไปไหน” จีจี้คิดบางอย่างได้ “ใช่แล้ว ผีต้องช่วยนังรสสุคนธ์แน่ มันเลี้ยงผี ฉันเห็นมันคุยกับผีได้ด้วยนะนิษา สยองอ่ะ”
อุณนิษาไม่เชื่อหยิกจีรนันท์
“หยุดเพ้อเจ้อเลย จีจี้”
จีรนันท์เจ็บทั้งตัวและใจ
“โอ๊ย นิษา ฉันเจ็บนะ”
“เธออย่ามาแต่งเรื่องปกปิดความผิดตัวเอง ฉันไม่เชื่อ”
จีรนันท์ยิ่งแค้นหนัก
“ฉันเปล่าแต่งเรื่องนะคะ ใครที่มาย้อนรอยขโมยเครื่องเพชรไปนะ เจ็บใจจริงๆ”
ภาณุกรยังอยู่ในห้องรับแขก และกำลังพูดสายกับตำรวจ ภาวิดากับรามนรินทร์รับรู้ด้วย
“ขอบคุณมากครับ ผู้กอง” คุณชายกรวางสายไป
“ชายกรว่าไง พี่ต้องไปแจ้งความมั้ย”
“ยังครับ พี่หญิง แต่ตำรวจรับปากจะตามหาบัวมาสอบสวนให้ครับ”
จวงกับปริกสนใจฟังสิ่งที่ภาณุกรพูดกับภาวิดา รามนรินทร์ไม่ออกความเห็น แต่ได้จังหวะเดินออกไป ตั้งใจจะไปหารสสุคนธ์ที่เรือนไม้หอม
คนที่เอาไปไม่ใช่ใคร แต่เป็นทวน คนรถชู้รักภาวิดานั่นเอง ซึ่งในเวลานี้หลบอยู่ในห้อง ที่เรือนคนใช้ แอบเอาเพชรจากที่ซ่อนมาเชยชม ตาวาว
“รวยแล้วกู ไอ้ทวน”
เสียงของจวงกับปริกคุยกันด้านนอก
“เรื่องชักจะไปกันใหญ่” จวงว่า
ปริกบอก “ใช่ พี่”
ทวนได้ยินเสียงและเห็นสองคนคุยกัน
“คุณชายกรให้ตำรวจตามนังบัวมาสอบสวนอย่างนี้ ถ้านังบัวมันขโมยไปจริงๆ ก็ติดคุกสิวะ”
“นั่นสิ พี่จวง ตำรวจเค้าตามล่าหาตัวนังบัวเจอเมื่อไหร่ก็คงจะรู้ล่ะว่า มันขโมยไปหรือเปล่า แต่ฉันเจ็บใจที่นังรสสุคนธ์มันรอด”
ทวนหน้าเครียด คิดหาทางปิดปากบัวก่อน
“นังบัว ฉันจะยอมให้ตำรวจเจอตัวแกก่อนไม่ได้”
ภาณุกรยังอยู่ในห้องรับแขก และกำลังพูดสายกับตำรวจ ภาวิดากับรามนรินทร์รับรู้ด้วย
“ขอบคุณมากครับ ผู้กอง” คุณชายกรวางสายไป
“ชายกรว่าไง พี่ต้องไปแจ้งความมั้ย”
“ยังครับ พี่หญิง แต่ตำรวจรับปากจะตามหาบัวมาสอบสวนให้ครับ”
จวงกับปริกสนใจฟังสิ่งที่ภาณุกรพูดกับภาวิดา รามนรินทร์ไม่ออกความเห็น แต่ได้จังหวะเดินออกไป ตั้งใจจะไปหารสสุคนธ์ที่เรือนไม้หอม
คนที่เอาไปไม่ใช่ใคร แต่เป็นทวน คนรถชู้รักภาวิดานั่นเอง ซึ่งในเวลานี้หลบอยู่ในห้อง ที่เรือนคนใช้ แอบเอาเพชรจากที่ซ่อนมาเชยชม ตาวาว
“รวยแล้วกู ไอ้ทวน”
เสียงของจวงกับปริกคุยกันด้านนอก
“เรื่องชักจะไปกันใหญ่” จวงว่า
ปริกบอก “ใช่ พี่”
ทวนได้ยินเสียงและเห็นสองคนคุยกัน
“คุณชายกรให้ตำรวจตามนังบัวมาสอบสวนอย่างนี้ ถ้านังบัวมันขโมยไปจริงๆ ก็ติดคุกสิวะ”
“นั่นสิ พี่จวง ตำรวจเค้าตามล่าหาตัวนังบัวเจอเมื่อไหร่ก็คงจะรู้ล่ะว่า มันขโมยไปหรือเปล่า แต่ฉันเจ็บใจที่นังรสสุคนธ์มันรอด”
ทวนหน้าเครียด คิดหาทางปิดปากบัวก่อน
“นังบัว ฉันจะยอมให้ตำรวจเจอตัวแกก่อนไม่ได้”
เย็นนั้น รามนรินทร์มาหารสสุคนธ์ที่เรือนไม้หอม เอ่ยปากขอโทษเรื่องวันนี้
“ผมต้องขอโทษเรื่องที่คุณแม่เข้าใจผิดด้วยนะครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มเขิน
“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ในเมื่อไม่ได้ทำ สงสารแต่บัว”
“คุณรสสงสารบัวเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันคิดว่าบัวไม่น่าจะเป็นขโมย ถ้าโดนกล่าวหา ก็น่าสงสารเหมือนที่ฉันโดนไงคะ”
“ทำไมคุณรสถึงคิดว่า บัวไม่ใช่ขโมยครับ”
“ก็ตอนที่มีเรื่อง รสอยู่กับบัวค่ะ” รสสุคนธ์ไม่ได้บอกเรื่องยันต์
รามนรินทร์พยักหน้ารับรู้ข้อมูลก่อนสรุป
“คุณน้ากรให้ตำรวจตามหาบัวแล้ว ถ้าเจอบัว ผมรับรองว่าจะให้ความเป็นธรรมกับบัวครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มกับรามนรินทร์ ดีใจที่ยุติธรรม
กลับถึงบ้านคืนนั้นอุณนิษาเล่าให้แขไขฟัง เจ็บใจที่ทำอะไรรสสุคนธ์ไม่ได้ แถมอีกฝ่ายยังได้คะแนนสงสารจากรามนรินทร์
“คุณแม่คิดดูสิคะ นิษาอุตส่าห์ไว้ใจจีจี้ วางแผนกันซะดิบดี สุดท้ายนังรสสุคนธ์นอกจากมันจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ยังได้คะแนนสงสารไปจากพี่รามอีก เจ็บใจจริงๆ”
แขไขยิ้มร้ายในสีหน้าแววตาลึกล้ำ แล้วบอกอุณนิษาด้วยท่าทางจริงจังไปว่า
“สงสัยงานนี้แม่จะต้องจัดการเองซะแล้ว”
บัวหอบกระเป๋าเสื้อผ้าใช้ไม้ค้ำช่วยเดินมาตามถนนสายเปลี่ยว ผีแม้นมาศตามมาดักหน้าไว้
“คิดจะหนีเรอะ นังบัว”
บัวยกมือไหว้แม้นมาศบอกด้วยความหวาดกลัว
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้วจ้า”
บัววิ่งหนีไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานเป็นที่น่าเวทนา แต่ไม่ยอมหยุดหนี จนหลุดมาได้
บัวหนีหัวซุกหัวซุนไร้ทิศทาง ตัดสินใจวิ่งไปในถนนจะข้ามไปอีกฝั่ง จู่ๆ มีรถแล่นมาโดยเร็วและแรง ไม่เห็นหน้าคนขับ พอบัวหันไปก็โดนรถชนตูม ร่างกระเด็นไปตกข้างทางแน่นิ่งไปนาน ดูออกว่าคงเสียชีวิตค่าที่ รถคันนั้นแล่นหายไปในความมืดโดยไว
เสียงแม้นมาศหัวเราะดังกึกก้องด้วยความสะใจไปทั่วบริเวณนั้น
“ฮ่าๆๆ”
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 7 (ต่อ)
ที่ห้องรับแขก บ้านพรหมบดินทร์ ตอนเช้าวันใหม่ ภาณุกรคุยอยู่กับตำรวจ 2 นายที่มาแจ้งข่าวการตายของบัว รามนรินทร์อยู่รับฟังด้วย
“ใช่ครับ บัวเป็นคนรับใช้ที่บ้านพรหมบดินทร์ครับ”
“แล้วบัว...เอ่อ เสียชีวิตได้ยังไงครับ ผู้กอง”
“จากการชันสูตรศพ น่าจะโดนรถชนครับ”
ภาวิดาเดินเข้ามา มีจวงกับปริกตามติด
“เห็นจวงไปบอกว่า คุณตำรวจเจอศพบัวเหรอคะ”
เฟื่อง น้อย ทวนแล้วก็สร้อยก็เข้ามาด้วย ดูอยู่ห่างๆ
“ใช่ครับ ตอนนี้ศพอยู่ที่สถาบันนิติเวช ญาติติดต่อรับศพมาทำพิธีได้เลยครับ”
สร้อยได้ยินว่าลูกสาวตัวเองตายแล้วก็ปล่อยโฮทันที
“นังบัว...ลูกแม่”
เฟื่อง กับน้อยสงสารเข้ามาปลอบให้กำลังใจสร้อย
“ทำใจดีๆ ไว้สร้อย”
ทวนแอบยิ้มชั่วในสีหน้าแว่บหนึ่ง โดยไม่มีใครเห็น แล้วจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
รสสุคนธ์รับรู้ข่าวการตายของบัวจากน้อยก็อึ้งไป ไม่อยากเชื่อว่าแม้นมาศจะฆ่าบัว
“โธ่ บัว ไม่น่าอายุสั้นเลย”
“น้อยก็ใจหายนะคะ คุณรส เห็นกันอยู่เมื่อวานนี้”
รสสุคนธ์มองหาแม้นมาศไปรอบๆ น้อยมองตามด้วยความสงสัย
“คุณรสมองหาใครคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก นี่ก็สายแล้ว ฉันจะไปทำงานก่อน ยังไงน้อยแวะตามข่าวเรื่องบัว มีอะไรก็มาบอกฉันนะ”
“ได้ค่ะ คุณรส สงสารน้าสร้อยจัง แกมีลูกสาวคนเดียวด้วย”
ที่ห้องรับแขก บ้านพรหมบดินทร์ ภาณุกรหารือกับภาวิดาและรามนรินทร์หลังจากตำรวจกลับไปแล้ว
“ผมคิดว่าจะเป็นเจ้าภาพงานศพให้บัว”
รามนรินทร์เห็นดีด้วย “ดีครับ คุณน้า”
ภาวิดาคัดค้านขึ้นเสียงแข็ง
“แต่แม่ว่าไม่ดี”
ภาณุกรกับรามนรินทร์มองหน้าภาวิดาสงสัยว่าทำไม
“นังบัว อีขี้ขโมย มันเอาเครื่องเพชรของพี่ไป แล้วเราจะไปเสียเงินทำศพให้มันทำไม”
“พี่หญิงครับ บัวเป็นคนรับใช้ในบ้านเรา เค้าเสียชีวิตไป มันก็เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้านาย อีกอย่างทางตำรวจก็ไม่เจอเครื่องเพชร บัวอาจจะไม่เอาไปก็ได้ครับ”
“ผมเห็นด้วยกับคุณน้านะครับ เดี๋ยวผมเป็นธุระเรื่องที่วัดให้เองครับ”
ทวนอยู่แถวนั้นได้ยินภาณุกรสรุปอย่างนั้น สีหน้าไม่ดีนิดหน่อย
ที่โรงครัวเม้าท์มอยกันสนุกปาก จวงเปิดฉากวิเคราะห์พร้อมกับสรุปเอาเองทันที
“นังบัวมันมาเก็บข้าวของแล้วรีบหนีไป บอกว่าผีแม้นมาศจะฆ่า ต้องเป็นฝีมือมันแน่ๆ”
ทวนได้ทีรีบเข้ามาผสมโรง
“ใช่แหละ ไม่ใช่ผีแล้วจะใคร เฮี้ยนหนักจริงๆ”
“เฮ้อ บ้านนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน”
ปริกพูดแล้วก็มองซ้ายขวาหวาดๆ กลัวผีแม้นมาศจะโผล่มาอีก สร้อยนั้นเอาแต่นั่งเศร้าน้ำตาคลอไม่ออกความเห็นอะไร เฟื่องกับน้อยได้ยินก็ไม่พอใจ
“ตำรวจเค้าก็บอกว่าบัวมันตายเพราะโดนรถชนนะ” เฟื่องว่า
“ใช่จ้ะ แล้วจะมาโทษคุณแม้นมาศ มันไม่ยุติธรรมกับเธอนะจ๊ะ”
“นี่แม่น้อย หล่อนเข้าข้างผี ทำยังกับไม่เคยโดนหลอก”
น้อยเลยไม่ต่อปากต่อคำใดๆ กับปริกอีก
รสสุคนธ์อยู่ที่โต๊ะทำงาน รู้เรื่องที่จวงกล่าวหาแม้นมาศจากน้อยก็ไม่สบายใจ เพราะลึกๆ ในใจก็คิดว่าแม้นมาศเป็นคนฆ่าบัว
“คุณรสก็อย่าถือสาน้าจวงเลยนะจ๊ะ พอไม่รู้จะโทษใคร ก็โทษผี โทษดินฟ้าอากาศไปเรื่อย”
“ขอบใจที่น้อยมีเหตุผลนะจ๊ะ”
สีหน้าและแววตาของรสสุคนธ์ยังกังวลไม่คลาย
รามนรินทร์เดินเข้ามาในห้องทำงาน พอเห็นว่ารสสุคนธ์นั่งหน้ามุ่ยดูเหม่อลอย ไม่สบายใจก็พอจะเดาออกเลยปลอบ
“คุณรสทำคิ้วผูกโบอย่างนั้น คิดมากเรื่องที่คนใช้พูดกันใช่มั้ยครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มบางๆ ให้รามนรินทร์
“ฉันอยากจะช่วยงานศพของบัว ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน บัวก็คงจะไม่ตาย”
“คุณรสอย่าโทษตัวเองหรือโทษคุณย่าแม้นมาศเลยครับ ผมว่ามันไม่มีเหตุผล งมงายที่จะไปโทษผี”
รสสุคนธ์ได้แต่พยักหน้ารับฟังสิ่งที่รามนรินทร์พยายามปลอบ แต่ในใจไม่หายกังวลเลย
“ย่าเล็ก หวังว่าจะไม่ใช่ย่านะคะ”
ศพของบัวถูกนำมาทำพิธีที่วัดใกล้ๆ บ้านพรหมบดินทร์ นั่นเอง ค่ำนั้นมีการสวดพระอภิธรรมคนงาน คนใช้ในบ้านทุกคนอยู่ที่ศาลาในวัดแล้ว รสสุคนธ์อยู่กับเฟื่องและน้อย สร้อยนั่งหน้าเศร้าเป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น
ด้านในศาลาสวดพระอภิธรรม ภาพของบัวหน้าโลงศพ สร้อยนั่งมองน้ำตาซึม
รสสุคนธ์เห็นสร้อยเศร้าก็ยิ่งเศร้าตาม
พวกจวง ปริก ทวน น้อย เฟื่องและคนใช้อื่นๆ มาช่วยเตรียมของไว้เลี้ยงแขกที่จะมาฟังสวด แต่งานศพก็เงียบเหงาไม่มีใคร นอกจากคนกันเองในบ้านพรหมบดินทร์เท่านั้น
รสสุคนธ์ตัดสินใจลุกเดินเข้าไปนั่งข้างๆ สร้อย เพื่อหวังจะปลอบใจ
“รสเสียใจด้วยนะคะ น้าสร้อย บัวไปดีแล้ว อย่าคิดมากเลยนะคะ”
“นังบัวมันชดใช้กรรมที่มันคิดจะเป็นขโมย แต่ว่า ทำไมต้องถึงกับเอาชีวิตกันเลยเหรอคะ” สร้อยครวญคร่ำ
รสสุคนธ์อึ้งกับคำถามนี้ และยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
ตาดำมายืนแอบดูอยู่ด้านนอกศาลา
รสสุคนธ์มายืนหลบมุมเศร้าใจอยู่นอกศาลาสวดพระอภิธรรม แว่วเสียงพระสวดพระอภิธรรมดังมา
ตาดำโผล่มาเห็นรสสุคนธ์เศร้าเลยถามขึ้น
“นังหนูเป็นญาติกับคนตายในศาลาเหรอ”
รสสุคนธ์มองตาดำแม้จะอยู่ในเงาไม่สว่างนักแต่ก็จำได้ ว่าเคยเจอกันวันที่มาทำบุญที่วัด
“คุณตานั่นเอง หนูรู้จักกับคนตายค่ะ”
“งั้นก็ทำใจซะนะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาโลก”
“แต่ถ้าคนตายโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมยแล้วไม่มีโอกาสได้แก้ต่าง มันก็ไม่ยุติธรรมนะคะ คุณตา”
ตาดำฟังที่รสสุคนธ์บอก ก็นิ่งคิด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
ตอนนั้นตาดำแอบอยู่ละแวกเรือนไม้หอม แล้วตามหลังจีรนันท์ขึ้นเรือนไป เห็นสาวแสบสอดส่ายสายตามองหาที่ซ่อนเครื่องเพชรที่ขโมยมา จึงยืนจ้อง แต่พอจีรนันท์หันมามองตาดำก็หายไป
ตาดำยิ้มในสีหน้า บอกด้วยเสียงปล่อยปลง
“ก็ต้องถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเค้านะ”
“คุณตาเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณมั้ยคะ”
ตาดำหัวเราะหึๆ
“นังหนูนี่ถามแปลก อายุข้าปูนนี้แล้ว เห็นทั้งคนเป็นคนตายนับไม่ถ้วน เชื่อไม่เชื่อไม่รู้ แต่ข้าเชื่อเรื่องบาปกรรมนะ”
“หนูไม่อยากให้ย่าของหนูทำบาปเพิ่ม อีกน่ะค่ะ”
ตาดำแกล้งถาม
“ย่าของนังหนู ใครล่ะ”
“คุณตาอยู่แถวนี้มานาน เคยได้ยินชื่อแม้นมาศมั้ยคะ”
ตาดำสะดุ้งเล็กน้อย สะท้อนใจ พูดเป็นเชิงปรารภ
“เท่าที่รู้ ตายไป 30 กว่าปีแล้วนี่นะ”
“ใช่ค่ะ ย่าเล็กเสียไป 30 กว่าปีแล้ว แต่ก็มีคนโทษว่าย่าเล็กฆ่าคน”
“นังหนูหมายถึงผีคุณแม้นมาศฆ่าคนที่ตายในศาลานั้นเหรอ”
รสสุคนธ์พยักหน้าแทนคำตอบ
“ถ้าคุณแม้นมาศเป็นย่าของนังหนูจริงๆ ก็น่าจะรู้นิสัยใจคอกันนะ ว่าเธอเป็นคนจิตใจดี”
ตาดำพูดราวกับรู้จักแม้นมาศดี รสสุคนธ์ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออก ดีใจที่เจอคนรู้จักแม้นมาศ
“คุณตารู้จักย่าแม้นมาศเหรอคะ คุณตาเคยเจอย่าใช่มั้ยคะ”
ตาดำเห็นว่ารสสุคนธ์รุกหนักเลยต้องรีบตัดบท
“ไม่เคยเจอ แค่ได้ยินชาวบ้านเค้าลือกัน”
น้อยออกมาตาม ร้องเรียกหารสสุคนธ์นำมาก่อนตัว
“คุณรสคะ อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”
รสสุคนธ์หันไปตามเสียงเรียก พอหันมาอีกที ตาดำก็หายไปแล้ว
“ฉันอยู่ตรงนี้จ้ะ น้อย...อ้าว คุณตาหายไปไหน”
รสสุคนธ์เดินออกไปหาน้อย
“พระกำลังสวดบทสุดท้ายแล้วค่ะ”
เรือนไม้หอมยามดึก ตกอยู่ภายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญยิ่งดูโดดเด่นสวยงาม แม้นมาศนั่งเหม่อลอยเหงามองจันทร์อยู่ รสสุคนธ์เดินออกมาชมจันทร์ พอเห็นแม้นมาศก็รีบเข้าไปหา
“ย่าเล็ก อยู่ตรงนี้นี่เอง”
แม้นมาศยิงมุกใส่ “ฉันก็อยู่ตรงนี้มา 30 ปีแล้วนะแม่รส”
รสสุคนธ์บอกแม้นมาศ แล้วมองจ้องรอดูปฏิกิริยาของย่า
“เมื่อตอนหัวค่ำ รสไปงานศพของบัวมาค่ะ”
แม้นมาศหันมามองหน้ารสสุคนธ์โดยไม่มีพิรุธใดๆ
“ก็ไม่คิดว่าบัวจะหมดกรรมไวนะ”
รสสุคนธ์ตัดสินใจถามขึ้น
“ย่าเล็กฆ่าบัวหรือเปล่าคะ”
“เฮ้ย ฉันแค่ตามหลอกเพราะมันมายุ่งกะฉันก่อน แต่พอมันหนีไปไกลๆ เรือนไม้หอม ฉันก็ไม่ได้ตามต่อ”
“แล้วย่าฆ่าบัวหรือเปล่าคะ” รสสุคนถามย้ำอีกรอบ เมคชัวร์
แม้นมาศจ้องหน้ารสสุคนธ์ที่ทำท่าไม่เชื่อ
“ฉันไม่ได้ฆ่าบัว นี่ แม่รส ฉันไม่ใช่ผีโหดที่ฆ่าคนไม่เลือกนะ แล้วถ้าฉันทำจริงๆ ฉันก็จะต้องโดนกรรมตามทัน แต่นี่...ฉันไม่เป็นอะไร เธอก็เห็นนี่นา”
รสสุคนธ์มองร่างกายของแม้นมาศ พบว่าไม่มีแผลพุพองเน่าเปื่อยเหมือนครั้งที่แล้วก็แปลกใจ
“รสก็แค่ถาม รสดีใจนะคะที่ย่าเป็นคนใจดี เหมือนที่ชาวบ้านเค้าพูดกัน”
ท้ายประโยครสสุดคนธ์ลดเสียงเบาลงเหมือนบอกตัวเอง
รุ่งเช้า พอภาวิดาเจอหน้าก็จิกสายตาอำมหิตใส่รสสุคนธ์ ก่อนที่จะด่าว่าแรงๆ มีจวงกับปริกคอยสอพลออยู่ข้างๆ
“แกมันตัวกาลกิณี มาอยู่บ้านนี้ไม่กี่วัน มีคนตายไปสองคนแล้ว ฉันอยากจะรู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป...ห๊ะ”
“ดิฉันก็เสียใจที่มีคนตายนะคะ แต่ดิฉันไม่เกี่ยวข้องจริงๆ ค่ะ”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ตระกูลเกษมบริรักษ์ของแกเนี่ยมันอยู่ที่ไหน สร้างแต่ความอัปมงคลให้ ดูตัวอย่างย่าแกสิ จากเรือนไม้หอมสวยงาม เตรียมไว้เป็นเรือนหอ กลับกลายเป็นบ้านร้างเรือนผีสิงไปได้”
“คุณหญิงเชื่อแล้วหรือคะว่า เรือนไม้หอมมีผีสิง”
ถูกย้อนถาม ภาวิดาจึงเอานิ้วจิ้มที่หน้าผากรสสุคนธ์แบบหมายหัว
“ผีหรือคน ฉันไม่สนใจ แต่ฉันขอบอกตามตรง ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก ไม่อยากเห็นหน้าคนในตระกูลเกษมบริรักษ์ของแก ถ้าหน้าไม่หน้าด้านจนเกินไป ก็ช่วยไปๆ ให้พ้นพรหมบดินทร์ซะที”
รามนรินทร์เดินเข้ามาเห็นและได้ยินเต็มๆ สองหู เขามองรสสุคนธ์ที่มีท่าทางอ่อนน้อม แต่แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจไม่ตอบโต้แม่ ด้วยความห่วงใย
“ดิฉันมาที่นี่เพื่อทำงาน ถ้างานเสร็จแล้ว ดิฉันจะไปแน่นอนค่ะ”
“ให้มันจริงเหอะ”
รสสุคนธ์เดินเหม่อออกไปจากห้องนั้น ภาวิดามองตามด้วยสายตาแสนชิงชัง
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 7 (ต่อ)
รสสุคนธ์เดินทอดอาลัยมาหยุดยืนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ แม้จะเข้มแข็งเพียงไหน แต่เมื่อโดนภาวิดาด่าว่ามากๆ เข้า น้ำตาก็พาลไหลออกมาโดยยั้งไม่อยู่
รามนรินทร์ตามออกมาเห็นภาพนั้น ก็รู้สึกสงสารจับใจ จึงพูดจาปลอบโยน
“คุณรสอย่าเก็บคำพูดของคุณแม่มาคิดมากเลยนะครับ”
พร้อมกับว่า รามนรินทร์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้รสสุคนธ์ซับน้ำตา รสสุคนธ์ไม่รับ แต่พอรามนรินทร์จะเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้เอง เธอจึงรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาเอง กลัวจะเป็นเรื่องอีก แอบเขินเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ คุณราม”
รสสุคนธ์ดีขึ้น จึงกลับเข้ามาทำงานต่อ รามนรินทร์ตามมาอยู่คุยด้วย
“บ่ายมากแล้ว คุณรามไปไม่กลับไปทำงานที่โรงแรมเหรอคะ”
“ผมมีเลขา 2 คนนะครับ จริงๆ ผมกำลังจะกลับโรงแรม แต่บอกตามตรง ผมไม่สบายใจที่เห็นคุณรสเสียใจ”
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ”
รสสุคนธ์นึกขึ้นได้ว่าควรใช้โอกาสนี้ให้รามนรินทร์ช่วยสืบเรื่องแหวนไพลิน
“แต่ถ้าคุณรามจะกรุณาช่วย ฉันก็มีเรื่องจะขอร้องค่ะ”
รามนรินทร์ยิ้มให้ เต็มใจช่วยสุดๆ
“ครับ คุณรสมีอะไรให้ผมช่วย บอกมาสิครับ”
รสสุคนธ์เปิดลิ้นชัก แล้วหยิบภาพของแหวนไพลิน ภาพเดิมมาให้รามนรินทร์ดู
“คุณรามเคยเห็นแหวนไพลินวงนี้มั้ยคะ”
รามนรินทร์ดูภาพแล้วก็พยักหน้า
“ผมไม่เคยเห็นแหวนจริงๆ หรอกครับ แต่ทราบว่าเป็นแหวนที่อยู่ในเซ็ตไพลิน เครื่องประดับประจำตระกูลพรหมบดินทร์ ที่ลูกชายจะหมั้นหมายและมอบให้สะใภ้ครับ”
“คุณชายภาณุทัตท่านมอบแหวนนี้หมั้นคุณย่าแม้นมาศจริงๆ ค่ะ”
“ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“ฉันเลยอยากจะรวบรวมแหวนไพลินเพื่อนำมาแสดงในงานระลึก 100 ปี พรหมบดินทร์ด้วยค่ะ เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความรักที่คุณชายภาณุทัตมีต่อคุณย่าแม้นมาศน่ะค่ะ แต่ตอนที่คุณหญิงภาวิดาเอาเครื่องเพชรมาให้ถ่ายภาพ ไม่พบแหวนวงนี้ค่ะ”
“งั้นเหรอครับ”
ภาวิดาอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่ายหน้าทันทีที่บุตรชายถามจบ ไม่รู้เรื่องแหวนไพลิน
“พี่ชายทัตให้แหวนนี้กับแม้นมาศเป็นแหวนหมั้นจริง แต่มันไม่ได้อยู่กับแม่ แม่ไม่ได้เห็นแหวนนี้มา 30 ปีแล้วเหมือนกัน ราม”
ภาวิดาหันไปมองหน้าจวงที่ส่ายหน้าเหมือนกัน
“จวงก็ไม่เห็นค่ะ แหวนอยู่กับคุณแม้นมาศ”
“งั้นก็น่าเสียดายมากเลยครับ”
รอจนรามนรินทร์เดินลับกาย ขึ้นห้องไปแล้ว ภาวิดาหันมาสั่งจวงทันที
“ไปตามนังรสสุคนธ์มาหาฉันเดี๋ยวนี้ แต่อย่าให้ตารามเห็นนะ”
“เจ้าค่ะ คุณหญิง”
มีความกราดเกรี้ยวในน้ำเสียงจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยวี่แววชิงชังของภาวิดา ขณะเปิดฉากด่าว่า ทั้งๆ ที่รสสุคนธ์ยังไม่ทันจะนั่งลงด้วยซ้ำ
“หล่อนนี่มันหน้าด้านหน้าทนหรือไง โดนฉันด่าว่าไปไม่นานก็ก่อเรื่องอีก”
“ดิฉันไม่ได้ทำอะไรนี่คะ คุณหญิง”
“เรื่องแหวนไพลินไง ตารามมาถามหาแหวนกับฉัน”
รสสุคนธ์ตัดสินใจย้อนถามขึ้นตรงๆ เลย “แล้วคุณหญิงทราบมั้ยล่ะคะ ว่าแหวนอยู่ที่ไหน”
“จวงดูไว้นะ นังเด็กนี่มันปากสามหาวมาก”
จวงพยักพเยิดรับเอาคำประจบเอาใจนาย ภาวิดาหันไปจิกตาด่ารสสุคนธ์ต่ออีกชุดใหญ่
“ฉันจะบอกให้นะยะ ถ้าหล่อนอยากรู้มากนักว่าแหวนไพลินอยู่ที่ไหน ก็ไปจุดธูปถามย่าของหล่อนดูสิยะ เห็นใครๆ เค้าว่าหล่อนพูดกับผีรู้เรื่องนี่ ใช่มั้ยจวง”
“แหวนไม่ได้อยู่ที่คุณหญิงหรอกค่ะ”
“ดิฉันขอโทษที่ทำให้คุณหญิงขุ่นใจค่ะ”
“อย่าดีแต่ขอโทษ หล่อนควรเลิกคิดเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงได้แล้ว แม้นมาศฆ่าตัวตาย ไม่มีใครที่บ้านนี้เป็นฆาตกร เข้าใจไว้ซะด้วย”
แขไขยิ้มร้าย หลังได้ฟังลูกสาวรายงานข่าวภาคค่ำจบลง แล้วย้อนถามอุณนิษาว่า
“นังรสสุคนธ์มันตามหาแหวนไพลินเหรอ ลูกนิษา”
“ค่ะ คุณแม่ คุณหญิงป้าโกรธใหญ่เลยค่ะ”
“งั้นเราก็ควรใช้โอกาสนี้สร้างรอยร้าวให้มันกับตารามซะเลย”
“คุณแม่มีแผนเด็ดอะไรเหรอคะ”
แขไขยิ้มกว้างก่อนจะกระซิบบอกแผนการกับลูกสาว
ทันทีที่มาถึงออฟฟิศโรงแรมแกรนด์บดินทร์ ในตอนเช้า อุณนิษาก็เปิดฉากเป่าหูรามนรินทร์ แอ๊บหน้าใสซื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
“จริงๆ นิษาก็คิดทั้งคืนนะคะพี่ราม นิษาไม่อยากจะกล่าวหาใคร แต่พอดีมันเกี่ยวข้องกับคุณหญิงป้า คุณแม่ของพี่ราม นิษาเลยต้องบอกพี่น่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ คุณนิษา”
“เรื่องแหวนไพลินที่รสสุคนธ์ตามหาไงคะ”
“คุณแม่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน คุณนิษาทราบหรือครับ”
อุณนิษาส่ายหน้าด้วยกิริยาน่ารัก แล้วตอบเสียงอ่อนเสียงหวานว่า
“นิษาก็ไม่ทราบหรอกค่ะ พี่ราม แต่ทราบเหตุผลว่าทำไมรสสุคนธ์ถึงมาถามหาแหวนวงนั้นจากคุณหญิงป้า”
“คุณรสมีเหตุผลอะไรเหรอครับ คุณนิษา”
อุณนิษาทำทีเป็นนิ่ง เหมือนไม่อยากพูด จนรามนรินทร์ร้อนใจอยากรู้
“บอกพี่มาเถอะครับ”
“รสสุคนธ์เข้าใจว่าคุณหญิงป้าเป็นฆาตกรฆ่าย่าแม้นมาศค่ะ”
รามนรินทร์ได้ยินคำนั้นก็อึ้ง หน้าเครียดขึ้นมาทันควัน
เรือนไม้หอมตกอยู่ในบรรยากาศ ขมุกขมัว ใกล้ค่ำ ขณะที่รามนรินทร์เดินไปเดินมาคอยการมาถึงของรสสุคนธ์อยู่ ด้วยสีหน้าร้อนใจมาก
รสสุคนธ์เดินกลับจากบ้านพรหมบดินทร์ เห็นรามนรินทร์ยืนอยู่เหมือนมาคอยพบตนก็แปลกใจ
“คุณรามมารอพบฉันเหรอคะ ทำไมไม่ไปที่ห้องทำงานคะ”
“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณรสครับ แล้วเรื่องนี้ ผมก็ไม่อยากให้ใครได้ยิน ผมเลยมารอที่เรือนไม้หอม”
ในบรรยากาศใกล้ค่ำ แม้นมาศโผล่ออกมาดูว่ารามนรินทร์คุยอะไรกับรสสุคนธ์
“ถ้าอย่างนั้น คุณรามมีอะไรจะถามฉันคะ ถามมาได้เลย ใกล้ค่ำแล้ว”
“โอเค.ครับ ผมถามตรงๆ แล้วกันครับ ที่คุณรสตามหาแหวนไพลิน เพราะคิดว่าคุณแม่ของผมเป็นคนฆ่าคุณย่าแม้นมาศเหรอครับ” มีวี่แววของความน้อยใจเจือในน้ำเสียงช่วงท้ายของรามนรินทร์
รสสุคนธ์อึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะ จะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้คิดอย่างนั้นก็เหมือนโกหกเลยอ้อมแอ้มตอบไป
“ฉันยอมรับว่าสงสัยคุณหญิงภาวิดาค่ะ”
รามนรินทร์ตกใจและอึ้งมากว่าที่ผู้หญิงที่มีใจให้ คิดกับแม่ของตนอย่างนั้น เลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม และท่าทางจริงจัง
“คุณย่าแม้นมาศของคุณฆ่าตัวตาย เธอกระโดดลงมาจากหน้าต่างเรือนไม้หอม”
รามนรินทร์มองไปที่หน้าต่างที่แม้นมาศกระโดดลงมา
แม้นมาศอดมองไปที่มุมนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมคนคิดว่าเธอกระโดดลงมาเพื่อฆ่าตัวตาย
“ใช่ ใครๆ ก็บอกฉันอย่างนั้น”
“ใช่ค่ะ ใครๆ ก็บอกอย่างนั้น” รสสุคนธ์พูดประโยคเดียวกับแม้นมาศโดยไม่ตั้งใจ “แต่...”
“คุณไม่เชื่อ แล้วคุณก็คิดว่าคุณแม่ของผมเป็นคนทำ”
“คือว่า...” รสสุคนธ์พยายามจะอธิบาย แต่รามนรินทร์เคืองสุดขีด ตัดบทเสียก่อน
“ถ้าคุณอยากจะเห็นจดหมายลาตายของย่าตัวเอง ผมว่าคุณไปขอคุณแม่ดู ท่านน่าจะให้คุณดูนะครับ”
รามนรินทร์พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป เพราะขุ่นเคืองใจที่รสสุคนธ์เข้าใจแม่ตัวเองอย่างนั้น
“คุณรามคะ”
รสสุคนธ์เรียกชื่อรามนรินทร์ แต่ขากลับไม่มีแรงจะก้าวตามไปอธิบาย
แม้นมาศเห็นรสสุคนธ์เอาแต่มองผ้าเช็ดหน้าที่รามนรินทร์ให้เช็ดน้ำตาเมื่อตอนบ่าย แล้วยิ่งสงสารที่เป็นสาเหตุให้หลานสาวต้องมีเรื่องขัดเคืองใจกับรามนรินทร์
“ย่าขอโทษนะจ๊ะ แม่รส ที่เป็นสาเหตุทำให้คุณรามเคือง”
รสสุคนธ์หันไปมองหน้าแม้นมาศแล้วบอกด้วยความจริงใจ
“ใครจะเคืองหรือเข้าใจยังไงรสไม่สนใจหรอกค่ะ รสมาที่บ้านนี้ก็เพื่อย่าเล็ก คนอื่นไม่สำคัญ” ปากพูดไปอย่างนั้นแต่แววตาดูออกว่ามีความเจ็บปวดมากเพียงไหน
แม้นมาศรู้ดีว่ารสสุคนธ์เจ็บแต่ไม่ยอมรับ ก็ยิ่งสะท้อนใจ
“หรือว่าผู้หญิงตระกูลเกษมบริรักษ์จะถูกสาปให้ต้องเจ็บช้ำเพราะผู้ชายตระกูลพรหมบดินทร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
รสสุคนธ์ทำท่าจะเดินเข้าไปกอดแม้นมาศแต่ก็ชะงัก
“ถ้าย่าเล็กยังมีชีวิตอยู่ก็ดีสิคะ รสจะได้กอดย่า ขอกำลังใจจากย่า”
แม้นมาศซาบซึ้งใจ จนน้ำตาคลอ
“โถ แม่รส หลานย่า”
ภาวิดาเห็นแขไขเดินเข้ามาในห้องรับแขกบ้านพรหมบดินทร์ก็ดีใจ สองคนยกมือไหว้ รับไหว้ ตามมารยาท
“หญิงแขมาพอดีเลย พี่ให้คนเตรียมทำสปา เราไปทำด้วยกันนะ”
“ได้สิคะ แขก็กำลังเมื่อยเนื้อตัวอยู่พอดี”
“งั้นเราไปเปลี่ยนชุดกันเหอะ เดี๋ยวเราไปคุยต่อกันในห้อง”
แขไขขยับเข้าไปถามภาวิดาด้วยความอยากรู้
“เดี๋ยวค่ะคุณหญิงพี่ แขได้ยินว่าคุณหญิงพี่ยังเก็บจดหมายลาตายของแม้นมาศไว้ จริงเหรอคะ”
“จริงจ้ะ ทำไมเหรอ”
“อ๋อ แขก็แค่แปลกใจ ของมันนานตั้ง 30 ปีแล้วนะคะ ป่านนี้กระดาษมันคงเหลืองกรอบกลายเป็นอาหารปลวกไปแล้วมั้งคะ”
“ยังอยู่จ้ะ พี่เก็บรักษาไว้อย่างดี น้ำหมึกทุกตัวอักษรยังอยู่ครบ”
“ตายจริง ไหนว่าคุณหญิงพี่เกลียดมันไงคะ ทำไมถึงได้เก็บของอัปมงคลนั้นไว้อีก”
“พี่เก็บไว้ก็เพราะมันเป็นถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะของพี่ไงล่ะ อีกอย่างที่พี่เก็บไว้ก็เพื่อรอเวลานี้แหละ”
“แขไม่เข้าใจ คุณหญิงพี่จะทำอะไรคะ”
“พี่จะใช้จดหมายนั่นประจานความชั่วช้าของนังแม้นมาศให้ลูกหลานมันได้เห็น ลูกหลานมันจะได้อับอาย ถึงความระยำที่มันทำไว้กับพรหมบดินทร์”
ภาวิดายิ้มกว้างด้วยมองไปทางเรือนไม้หอมสีหน้าสะใจ แขไขได้ยินก็พยักพเยิดเห็นดีเห็นงามด้วย
ประตูเรือนไม้หอมถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง แม้นมาศเคลื่อนตัวเข้ามายืนที่ประตูแล้วกราดสายตาไปทางบ้านพรหมบดินทร์
“ได้ อีคุณหญิงภาวิดา ในเมื่อมึงอยากลองดีกับกู มึงก็จะได้เห็นดี”
แม้นมาศพุ่งพรวดออกไป ประตูเรือนไม้หอมกลับปิดตึงดังเดิม
ที่ห้องทำสปาในบ้านพรหมบดินทร์ ภายในห้องถูกจัดตกแต่งในบรรยากาศดูผ่อนคลาย ประดับด้วยดอกไม้สวยงาม มีเตียงสำหรับทำสปาสองเตียง ปูด้วยผ้าลายสวย เข้าชุดกับหมอนอย่างดี
จวงกับปริกเถืออุปกรณ์ทำสปา พวกเครื่องประทินผิว สมุนไพร น้ำมันนวดตัว เข้ามาวางที่โต๊ะข้างเตียงตัวเอง แล้วหันไปจุดเทียนหอม นำเอามาตั้งไว้หัวเตียง เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายยิ่งขึ้น
“เชิญค่ะคุณหญิง”
สองคนอยู่ในชุดคลุมเดินเข้ามานั่งที่เตียง ภาวิดาเดินไปที่เตียงจวงประจำอยู่ ส่วนแขไขไปทางเตียงปริก สาวใช้สองพี่น้องรีบเข้าไปช่วยปลดเสื้อคลุมของภาวิดากับแขไขออกเผยแผ่นหลัง
ภาวิดากับแขไขล้มตัวนอนคว่ำให้จวงกับปริกนวด จวงกับปริกก็ตั้งใจบริการอย่างดี
จวงหยิบขวดน้ำนมมาเทแล้วบีบนวดให้ให้ภาวิดา
ปริกค่อยๆ กดบีบไล่จุดบนแผ่นหลังให้แขไข ภาวิดากับแขไขหลับตายิ้มพริ้มผ่อนคลายอารมณ์ดี
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 7 (ต่อ)
ขณะเดียวกันที่ศาลาท่าน้ำ เรือนไม้หอม
รสสุคนธ์นั่งถอนหายใจอยู่ที่นั่นสักครู่แล้ว พร้อมกับทอดสายตามองไปในน้ำ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ที่เธอมีปากเสียงกับรามนรินทร์
รามนรินทร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม และท่าทางจริงจัง
“คุณย่าแม้นมาศของคุณฆ่าตัวตาย เธอกระโดดลงมาจากหน้าต่างเรือนไม้หอม”
“ใช่ค่ะ ใครๆ ก็บอกอย่างนั้น แต่...”
“คุณไม่เชื่อ แล้วคุณก็คิดว่าคุณแม่ของผมเป็นคนทำ”
“คือว่า...” รสสุคนธ์พยายามจะอธิบาย แต่รามนรินทร์เคืองสุดขีดจึงตัดบทเสียก่อน
“ถ้าคุณอยากจะเห็นจดหมายลาตายของย่าตัวเอง ผมว่าคุณไปขอคุณแม่ดู ท่านน่าจะให้คุณดูนะครับ”
รามนรินทร์พูดจบก็หมุนตัวเดินจากรสสุคนธ์ไป เพราะเคืองที่เข้าใจแม่ตัวเองอย่างนั้น
อุณนิษาควงแขนรามนรินทร์ก้าวเข้ามา ตั้งใจจะมาเย้ยหยัน มองจ้องรสสุคนธ์อย่างไม่เป็นมิตร
“กำลังคิดแผนชั่วอะไรอีกล่ะ”
รสสุคนธ์ตกใจ “คุณนิษา คุณพูดเกินไปแล้วนะ”
“อุ๊ย ดูสิคะพี่ราม...สงสัยนิษาพูดแทงใจดำ คนเราก็แปลกนะคะ มาอาศัยบ้านเค้าอยู่แต่กลับคิดเนรคุณ คิดใส่ร้ายคุณหญิงป้าได้ ช่างไร้ยางอายจริงๆ”
“ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ถ้าคุณหญิงภาวิดาไม่ผิด จะกลัวการตรวจสอบทำไมล่ะคะ” รสสุคนธ์อดย้อนไม่ได้
รามนรินทร์ฉุน “คุณแน่ใจนะครับว่าคุณจะตัดสินด้วยความเป็นธรรม ไม่ใช่เพราะอคติ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันยุติธรรมพอ”
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์จ้องกันอย่างไม่ยอมแพ้กัน อุณนิษาลอบยิ้มสะใจ
ทางด้านแขไขหยิบสมอลล์ทอล์คมาใส่หูฟังเพลงไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน
“ปริกหยิบกระเป๋าให้หน่อยดิ”
ปริกหันไปเปิดเพลงคลอดังขึ้นมาอีกหน่อย เพื่อสร้างบรรยากาศ ด้านจวงเอื้อมมือแตะน้ำมันลงนวดที่ไหล่ทั้ง 2 ข้างของภาวิดา แม้นมาศเคลื่อนตัวออกมายืนด้านหลังจวงแล้วแสยะยิ้มสะใจ
“เดี๋ยวกูจะนวดให้สุดฝีมือเลย”
แม้นมาศพุ่งเข้าสิงร่างจวงทันที จวงสะดุ้งเฮือกตาเบิกโพลง แล้วหันมาแสยะยิ้มอันน่ากลัวออกมา
ปริกกำลังนวดขาให้แขไขจึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
รสสุคนธ์ขยับจะเดินหนี รามนรินทร์เรียกไว้
“เดี๋ยวสิครับ ถ้าคุณพร้อมเมื่อไรก็ไปขอจดหมายของคุณย่าคุณมาดูได้ ผมกับคุณแม่พร้อมพิสูจน์เสมอ”
รสสุคนธ์หันกลับมาสู้สายตา “ค่ะ ฉันไปแน่ค่ะ”
น้อยเดินมาเห็นรสสุคนธ์กับรามนรินทร์ทำท่ามึนตึงใส่กันก็แปลกใจ
“คุณรสคะ อาหารตั้งแล้วค่ะ คุณรามกับคุณนิษาจะกินด้วยมั้ยคะ”
อุณนิษาบอกว่า “ไม่ละ ฉันกระเดือกไม่ลง พี่ราม เรากลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีกว่าค่ะ นิษาให้ทำเมนูพิเศษไว้แล้ว พี่รามต้องชอบแน่ๆ ไปกันค่ะ”
อุณนิษารีบเดินควงรามนรินทร์ออกไป น้อยมองตามอย่างหมั่นไส้
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรจ้ะ ถ้าน้อยหิวก็กินเลยนะ ฉันอยากพักผ่อน”
รสสุคนธ์เดินหน้าเศร้า กลับขึ้นเรือน น้อยมองตามด้วยความสงสัย
“คุณรสกับคุณรามทะเลาะอะไรกัน”
ส่วนที่ห้องทำสปา บ้านพรหมบดินทร์
แม้นมาศในร่างจวงเอื้อมมือเข้าไปจับขาภาวิดาดัดอย่างแรง จนภาวิดาตกใจพยายามจะดิ้น
“ว้าย อีจวง แกจะทำอะไรฉัน”
จวงจับขาภาวิดาดัดแล้วหมุนตัวคว่ำลงอย่างแรงจนภาวิดาแหกปากลั่น เป็นอย่างนั้นอยู่อีก 3 - 4 ท่า
ปริกกับแขไขนวดกันไป โดยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
จวงจับภาวิดาหงายตัวบีบคอแน่นแล้วก้มหน้าลงมาหาภาวิดา ใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นในหน้าของแม้นมาศ
“กูก็จะฆ่ามึงไงล่ะ”
“นังแม้นมาศ”
ภาวิดาช็อกตาตั้ง เจอจังๆ จะขยับตัวลุกหนี แต่แม้นมาศคร่อมอยู่ และกดตัวภาวิดาไว้
“ช่วยด้วย...หญิงแข อีปริก...ช่วยฉันด้วย”
ภาวิดาพยายามยื่นมือไป เรียกแขไขที่นอนหลับตาพริ้มให้ปริกนวดอยู่ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้ยิน
“ไม่มีใครได้ยินมึงหรอก ตายซะเถอะ”
แม้นมาศบีบเค้นคอ แล้วจับหัวภาวิดากระแทกกับที่นอนอย่างแรง ภาวิดาหวีดร้องลั่น เอื้อมมือจิกหัวจิกผมผีแม้นมาศสู้ตายสุดชีวิต
ที่เรือนไม้หอม มีมือใครบางคนค่อยๆ ลูบขิมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบไม้มาตีขิมเป็นจังหวะเหมือนมืออาชีพ แม้นมาศหันมองตามเสียงขิมตกใจ ใครคนนั้นตีต่ออีกแล้วหยุด
คนๆ นั้นก็คือตาดำนั่นเอง ชายสูงวัยนั่งมองรูปแม้นมาศในอัลบั้มสีหน้าเศร้า มองดอกมะลิที่เก็บมาจากกอหน้าเรือน ในมืออีกข้าง ด้วยความคิดถึง
“ดอกไม้ที่คุณเล็กชอบ สงบจิตสงบใจเถอะนะ อย่าได้เที่ยวไปจองเวรกับใครอีกเลย”
ตาดำวางดอกมะลิไว้บนขิมราวกับรู้ว่าผีคนรักจะทำบาปก่อกรรม จากนั้นก็รีบเดินหลบออกไปจากห้องโถงก่อนที่รสสุคนธ์จะเข้ามาในนั้น
รสสุคนธ์ชะงักเมื่อเห็นเงาใครผ่านไปทางหลังเรือน หันมองตาม
“ย่าเล็ก ย่าเล็กหรือเปล่าคะ”
แต่พอรสสุคนธ์เดินตามออกไปดูก็ไม่เห็นตาดำอยู่แล้ว รสสุคนธ์ถอนหายใจ รู้สึกใจคอไม่ดี
แม้นมาศชะงักกึก รับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ใครบางคนส่งมาให้
วิญญาณแม้นมาศตัวโคลงไปมาสิงร่างจวงไม่ติด
“วันนี้ดวงมึงยังดี แต่คราวหน้ามึงตายแน่”
วิญญาณแม้นมาศลอยหลุดออกจากร่างจวงไปโดยไว จวงได้สติตกใจที่เห็นมือกำลังเค้นคอภาวิดาอยู่ ในขณะที่ภาวิดานอนสลบคาเตียง
“คุณหญิงๆ”
จวงไม่รู้จะทำยังไงดี รีบเข้าไปหาแขไขที่นอนนวดอยู่ข้างๆ
“คุณหญิงแขไขคะ คุณหญิงดาเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ”
“ว่าไงนะ”
ปริกรีบช่วยคลุมผ้าคลุมให้แขไข แล้วรีบพากันมาดูเห็นภาวิดาฟุบหน้าอยู่ก็ตกใจ
“ตายแล้วคุณพี่ นี่มันเกิดอะไรจวง”
“จวงไม่ทราบค่ะ รู้ตัวอีกทีคุณหญิงก็ฟุบไปแล้ว”
“คุณพี่อย่าเป็นอะไรนะคะ นังปริกรีบไปตามตารามเร็ว”
ปริกรีบวิ่งหน้าตื่นออกไป แขไขกับจวงรีบช่วยกันเรียกสติภาวิดา แต่อีกฝ่ายยังนอนนิ่งไม่ไหวติง
ภาวิดาถูกนำร่างมานอนอยู่บนเตียง แต่ยังสลบอยู่ หมอประจำตระกูล กลับไปแล้ว รามนรินทร์มาถึงรีบขยับเข้ามาดูแม่ด้วยความเป็นห่วง
“คุณแม่ครับ”
รสสุคนธ์ตามหลังมา
“ราม แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกซะแล้ว”
ภาวิดาเริ่มรู้สึกตัว พอเห็นรามนรินทร์ก็รีบอ้อนลูกชาย แต่ยังไม่เห็นว่ารสสุคนธ์อยู่ด้วย
“หมอบอกว่าคุณแม่แค่หน้ามืด คุณแม่ยังต้องอยู่เป็นเนื้อนาบุญผมอีกนานครับ”
“แม่ไม่ได้หน้ามืดนะ แต่แม่โดน...”
ภาวิดาชะงัก หันไปเห็นรสสุคนธ์ก็แว้ดใส่ทันที
“แม่รสสุคนธ์...เสียใจด้วยนะยะฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ดิฉันไม่กล้าคิดกับคุณหญิงอย่างนั้นหรอกค่ะ เห็นคุณหญิงปลอดภัยดิฉันก็โล่งอก”
“ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ทำมาเป็นพูดดี แต่ลับหลังแกก็ส่งผีย่าแกมาทำร้ายฉัน”
รสสุคนธ์ตกใจ “อะไรนะคะ คุณหญิงโดนย่าเล็กทำร้ายเหรอคะ”
“ใช่ ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะฝีมือนังแม้นมาศย่าแก ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉัน ฉันเกลียดแก”
ภาวิดาอาละวาดจับหมอนเหวี่ยงใส่หน้าอย่างแรง จนรสสุคนธ์เซ หน้าชา เจ็บหน้าไม่เท่าไรแต่เจ็บใจมากกว่า
รามนรินทร์ปราม “คุณแม่ครับ ใจเย็นๆ ครับ”
“ออกไป อย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีก ออกไป”
รสสุคนธ์ปาดน้ำตาแล้วรีบเดินหลบออกไป รามนรินทร์จะตามไปแต่ภาวิดาดึงแขนไว้
“ราม อย่าไปไหนนะลูก อยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน”
“คุณแม่นอนนะครับ ผมจะอยู่เฝ้าคุณแม่เอง”
รามนรินทร์ตัดใจอยู่ต่อ ประคองภาวิดาลงนอน
รสสุคนธ์ปาดน้ำตาเดินลงมา เจอกับแขไขและอุณนิษาที่ยืนดักรออยู่ แม่ลูกผลัดกันรุมด่าทอต่อว่าอย่างชิงชังรังเกียจ แขไขเปิดฉากก่อน
“มาแล้วเหรอแม่ตัวดี หล่อนก็รู้ว่าคุณพี่เกลียดขี้หน้าหล่อน หล่อนยังสะเออะเสนอหน้าขึ้นไปให้คุณพี่เห็นอีก หล่อนตั้งใจจะฆ่าคุณพี่ใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ ดิฉันก็แค่เป็นห่วงคุณหญิงดา”
“ถ้าเป็นห่วงจริงๆ เธอก็ควรออกไปจากบ้านนี้ซะ บ้านนี้อยู่อย่างสงบสุขมากันตั้งนาน แต่พอเธอเข้ามาทุกอย่างก็ฉิบหายหมด”
“ใช่ ทางที่ดีควรไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่จะมีใครต้องตายเป็นรายที่สาม” แขไขว่า
“ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วดิฉันก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น คนเดียวที่จะไล่ดิฉันได้ก็คือคุณชายภาณุกร ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวค่ะ”
รสสุคนธ์ขยับตัวจะเดินจากไป แขไขก้าวเข้ามาขวางประจันหน้ากับรสสุคนธ์จังๆ
“จองหอง แล้วจะได้เห็นดีกัน ฉันก็จะไม่ยอมให้เธอกับผีย่าของเธอทำร้ายคนบ้านนี้อีกแล้ว”
แขไขกับอุณนิษาจ้องหน้ามองตารสสุคนธ์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ประกาศศึกชัดแจ้ง
อ่านต่อตอนที่ 8