บาปบรรพกาล ตอนที่ 11
รสสุคนธ์นั่งอยู่ตรงชานบันไดคอยมองออกไปทางเรือนใหญ่ด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายใจ พอเห็นน้อยเดินขึ้นบันไดมา ก็รีบลุกเดินไปหา ถามขึ้นทันที
“น้อย นมเฟื่องได้ติดต่อมาบ้างหรือยัง”
“น้อยพึ่งโทร.คุยกับยายเสร็จเมื่อกี้เองค่ะ”
น้อยไม่พูดอะไรอีก แถมเดินเข้าไปนั่งในห้องโถง หยิบขนมเสน่ห์จันทร์บนโต๊ะทานข้าวขึ้นมากินเฉยเลย รสสุคนธ์เดินตามติดซักถามเรื่องอาการรามนรินทร์อย่างร้อนอกร้อนใจ
“อ้าวแล้วยังไงล่ะ อาการของคุณรามเป็นไงบ้าง”
น้อยทำหน้าเศร้าลงไปอีก ตีบทแตกกระจุย
“คือว่า...คุณราม...”
รสสุคนธ์ใจหายใจคว่ำ “คุณรามเป็นอะไร บอกฉันมาเร็วสิน้อย”
“คุณรสทำใจดีๆ นะคะ”
รสสุคนธ์ใจหายวาบ น้ำตาซึมแล้ว “ถ้าคุณรามเป็นอะไรไป ฉันจะไม่อภัยตัวเองเลย เพราะฉัน คุณรามถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้”
น้อยยิ้มแป้นแล้น “คุณรามปลอดภัยดีค่ะ ตื่นขึ้นมาก็ถามหาคุณรสคนแรกเลย”
รสสุคนธ์งอน “นี่น้อยแกล้งฉันเหรอ”
น้อยขำ ล้อ “ก็ใช่สิคะ ถ้าน้อยไม่แกล้งน้อยจะรู้ได้ไงคะว่าคุณรสคิดอะไรกับคุณรามอยู่”
รสสุคนธ์เขินใหญ่ “บ้า ฉันไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย”
รสสุคนธ์เขินรีบเดินขึ้นห้องไป แม้นมาศหันมองตามหลานสาวด้วยความสงสัย
“ตารามเป็นอะไร”
แม้นมาศเคลื่อนตัวตามรสสุคนธ์ไป
ย่าผีกะหลานมนุษย์อยู่ในห้องนอน รสสุคนธ์งอนหันหน้าหนี แม้นมาศจ้องรอคำตอบอยู่
“ว่าไงแม่รส เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“รสจะเป็นจะตาย ย่าเล็กสนใจรสด้วยเหรอคะ”
“งอนเป็นเด็กไปได้ เธอเป็นหลานฉัน ฉันก็ต้องห่วงสิ”
“งั้นเมื่อคืนตอนรสโดนคนฉุด ทำไมย่าเล็กถึงไม่ออกมาช่วยรสล่ะคะ”
แม้นมาศได้ยินก็ตกใจ
“แล้วเธอเป็นอะไรหรือเปล่า มันได้ทำอะไรเธอมั้ย”
“รสยังครบสามสิบสองค่ะ โชคดีที่คุณรามมาช่วยไว้ แต่คุณรามต้องมาเจ็บตัวเพราะรส”
“อย่าโทษตัวเองเลยนะแม่รส ยังไงตารามก็ปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แล้วเมื่อคืนย่าเล็กไปไหนมาคะ”
“ฉันก็ไปจัดการไอ้ทวนน่ะสิ”
“นี่น้าทวนตายแล้วเหรอคะ”
“ดวงมันยังไม่ถึงฆาต มันก็เลยรอดไปได้”
“ฆ่าคนมันเป็นบาป ย่าเล็กอย่าก่อกรรมอีกเลยนะคะ”
“เพราะเธอมัวแต่ใจอ่อนแบบนี้ไงถึงได้โดนคนชั่วทำร้าย ครั้งนี้เธอรอดไปได้ แต่ครั้งหน้า เธออาจตายเหมือนฉันก็ได้ แล้วนี่รู้ตัวคนบงการหรือเปล่า”
“ไม่ทราบค่ะ แต่คุณรามบอกว่าเห็นน้าปริกอยู่แถวนั้นด้วย”
“อีปริก อีนกสองหัว สุดท้ายมึงก็โผล่หางออกมาจนได้”
แม้นมาศคำราม ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความแค้น
มันเป็นค่ำคืนวันแต่งงานของแม้นมาศกับคุณชายภาณุทัต ห้วงเวลาก่อนที่จะปรากฏข่าวว่าแม้นมาศกระโดดน้ำสระบัวฆ่าตัวตาย
แม้นมาศอยู่ในชุดแต่งงานสีขาวปักลายลูกไม้ทั้งตัว มองตัวเองอยู่หน้ากระจก ปริกเปิดกล่องชุดไพลินประจำตระกูลขึ้นมาดูแล้วตาโต เมื่อเห็นสร้อยและตุ้มหูไพลินเม็ดงามส่องประกายแวววาว
“โห งามมาก นี่ถ้าไปอยู่บนคอคุณแม้นมาศคงจะงามยิ่งกว่านี้นะคะ”
แม้นมาศหันมายิ้มให้กับความฉอเลาะช่างพูดช่างเจรจาของปริก
“ฉันไม่เห็นอยากใส่เลย เส้นก็ใหญ่ หนักคอจะตาย ปริกอยากลองใส่มั้ย”
“อุ๊ย ปริกไม่กล้าหรอกค่ะ เดี๋ยวขี้กลากขึ้นหัว ถ้าคุณหญิงเห็นปริกโดนเฆี่ยนหลังลายแน่”
“ฉันไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอก มานี่ มาลองใส่ดูสิ
แม้นมาศดึงปริกมาที่หน้ากระจก พร้อมกับส่งกล่องชุดเครื่องเพชรให้ ปริกหยิบสร้อยไพลินขึ้นมาเทียบกับคอตัวเองแล้วตาลุกวาวด้วยความโลภ
รสสุคนธ์ได้ฟังเรื่องที่แม้นมาศเล่าก็ตกใจ
“ย่าเล็กคิดว่าน้าปริกเป็นตัวการเหรอคะ”
“ใช่ จู่ๆ จะมีคนกล้ามาฉุดคนในบ้านพรหมบดินทร์ได้ไง ถ้าไม่มีคนในรู้เห็นเป็นใจด้วย”
“น้าปริกก็แค่เป็นคนปากร้าย ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้หรอกค่ะ” สาวโลกสวยแย้ง
“คนเราพอมันโลภ มันก็ทำอะไรได้หมดล่ะ เหมือนกับไอ้ทวนไง มันยังกล้าฆ่านังบัวได้เลย”
รสสุคนธ์ตกใจ “น้าทวนฆ่าบัวเหรอคะ”
“ใช่ มันสารภาพกับฉันเอง นังปริกกับไอ้ทวนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น พวกมันก็ชั่วกันทั้งโคตรนั่นล่ะ”
รสสุคนธ์ได้ยินถึงกับช็อกไม่อยากเชื่อว่าทวนจะกล้าฆ่าบัวได้
ทวนนอนสลบอยู่ที่แค่หน้าเรือนเด็กวัด ทางหลังศาลา ตาดำยกจานกับข้าวมาให้พร้อมกับปลุกทวนให้ตื่น
“เฮ้ย ตื่น ๆ
“อย่า กลัวแล้ว กลัวแล้ว”
“ไม่ต้องกลัว นี่มันเขตวัด ไม่มีใครทำอะไรเอ็งหรอก”
ทวนจับเนื้อจับตัวดู “ข้ายังไม่ตายเหรอเนี่ย”
“เอ้า กินข้าวซะ”
ทวนรีบคว้าจานมาตักข้าวใส่ปากอย่างหิวโหย
“ข้าคุ้นๆ หน้าเอ็ง เอ็งเป็นคนใช้บ้านพรหมบดินทร์ใช่มั้ยวะ”
ทวนพยักหน้า ตาดำถามต่อ
“ทำไมถึงได้มานอนอยู่หน้าวัดได้”
“ข้า...” ทวนชะงัก “ข้า ถูกทำร้าย”
“แล้วเอ็งจำหน้ามันได้มั้ย”
ทวนแค้นขึ้นมาทันตา “จำได้เต็มตาเลยล่ะ ข้าหายเมื่อไรล่ะก็ ข้าจะเอาคืนกับมันอย่างสาสม”
ตาดำตบไหล่ทวนเบาๆ เป็นการปราม
“คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง ใครทำกรรมอะไรไว้ กรรมมันจะตามสนอง เอ็งก็ปล่อยวางซะเหอะ อย่าได้จองเวรกันอีกเลย”
“ชีวิตข้า ข้ากำหนดเองได้ เอ็งไม่ต้องมาสอน”
ทวนกระแทกช้อนแล้วรวบจานลุกเดินหนีไป ตาดำส่ายหน้าหนักใจ
เห็นรสสุคนธ์ถือปิ่นโตใส่อาหารมาเยี่ยมรามนรินทร์ น้อยก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ที่โรงบาลก็มีอาหาร ทำไมคุณรสต้องเสียเวลาทำมาเยี่ยมคุณรามด้วยคะ”
“อาหารโรงบาลรสจืด ฉันกลัวจะไม่ถูกปากคุณรามน่ะ”
น้อยยิ้ม มองเหล่ “แหม สงสัยมื้อนี้คุณรามเจริญอาหารแน่ๆ เลย”
“คุณรามยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อฉัน ให้ฉันทำมากกว่านี้ฉันก็ทำได้”
รสสุคนธ์ยิ้มชื่น สุขใจ แต่แล้วอุณนิษากับจีรนันท์ก็ออกมาดักทางไว้
“เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะมั้งรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ถามกลับสีหน้านิ่ง “ฉันเข้าใจอะไรผิดคะ”
“ก็เรื่องที่คุณรามช่วยเธอน่ะสิ ความจริงแล้วที่พี่รามช่วยเธอก็เพราะเวทนาไม่อยากให้มีใครมาตายแถวบ้านตัวเองก็เท่านั้น”
จีรนันท์กล่าวเสริมอย่างชิงชังอีกว่า “แค่มีผีย่าเธอก็ปวดหัวเต็มทนแล้ว ถ้ามีเธอกลายเป็นผีอีกคน บ้านพรหมบดินทร์คงจะวุ่นวายเสียเวลานิมนต์พระมาไล่อีก”
“ถึงย่าฉันเป็นผี แต่ท่านก็ยังรู้จักดีชั่ว แต่คนเราก็แปลกนะคะ อะไรดีอะไรชั่วก็รู้อยู่เต็มอก...แต่ยังไม่คิดจะทำกัน”
“นังรสสุคนธ์”
อุณนิษากับจีรนันท์แท็กทีม ง้างมือจะตบรสสุคนธ์ น้อยรีบเอาตัวแทรกแล้วยกมือขึ้นจะตบตอบ
“เอาสิ ตบมาตบกลับ อยากจะลองสักฉาดมั้ยล่ะ”
อุณนิษากับจีรนันท์เห็นน้อยเอาเรื่องก็เลยหยุด
“นิษาอย่าไปลดตัวตบมันเลย เปลืองตัวเปล่าๆ”
“พี่รามหลับอยู่ ห้ามใครเข้าพบ” อุณนิษากันท่า
“งั้นฉันฝากอาหารให้คุณรามด้วยนะคะ”
“กับข้าวจากคนที่เกือบทำให้เค้าตาย เธอคิดเหรอว่าพี่รามจะกินลง ฉันว่าเธอเอาข้าวไปทำทานให้คนอดอยากกินเหอะนะ ดีกว่าต้องให้ฉันเทให้หมากิน”
“เธอจะทำอะไรก็ตามใจเธอ”
รสสุคนธ์ตั้งปิ่นโตไว้แล้วเดินออกไป อุณนิษาจะหยิบปิ่นโตไปทิ้งถังขยะ แต่น้อยกระโจนคว้าหมับ
“เสียใจ ฉันจะเก็บไว้กินเอง”
น้อยอุ้มปิ่นโตออกไป อุณนิษาหันไปสบตากับจีรนันท์แล้วยิ้มชั่วสะใจให้กัน
ประตูลิฟต์เปิดออก เห็นเฟื่องเดินออกมา น้อยดักรออยู่รีบเข้าไปหา
“ยาย คุณรสทำอาหารมาให้คุณราม ฝากให้คุณรามด้วยนะ”
“อ้าวแล้วทำไมคุณรสไม่เอาไปให้เองล่ะ”
“หน้าห้องมีผีเร่ร่อน คุณรสเลยเข้าไปไม่ได้”
เฟื่องรู้ทันที “อ๋อ งั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง รับรองผีพวกนั้นไม่รู้แน่นอนว่าเป็นอาหารฝีมือคุณรส”
“เริด เอาไปหนึ่งไลค์”
น้อยชูนิ้วโป้งให้ยาย เฟื่องยิ้มหมั่นไส้แล้วเอาปิ่นโตใส่ในตะกร้า ทำเนียนเดินเข้าห้องไป
เจ้าหน้าที่ยกถาดอาหารมาตั้งโต๊ะให้รามนรินทร์ หนึ่งในนั้นมีขนมเสน่ห์จันทร์อยู่ด้วย รามนรินทร์เห็นอาหารหน้าตาน่ากินต่างไปจากอาหารโรงพยาบาลทั่วไปก็แปลกใจ
“มื้อนี้พิเศษเหรอครับ”
“ค่ะ ญาติคนไข้จัดมาให้ค่ะ”
รามนรินทร์เห็นขนมเสน่ห์จันทร์ก็ยิ้มแป้น รู้ทันทีว่ารสสุคนธ์มา รีบมองหาใหญ่
“แล้วคนที่เอาอาหารมาไปไหนแล้วล่ะครับ”
“อยู่ข้างนอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปตามให้นะคะ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มแล้วรีบออกไป รามนรินทร์หันไปมองที่ประตูอย่างใจจดจ่อ แต่แล้วคนที่เข้ามากลับกลายเป็นเฟื่อง รามนรินทร์หน้าหงอยไปถนัดตา
“เป็นอะไรคะ หรือว่าอาหารไม่ถูกปาก” เฟื่องยิ้มพลางสัพยอก
“นมล้อผมเล่นเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ อาหารพวกนี้คุณรสทำมาให้คุณรามนะคะ”
รามนรินทร์ดีใจมาก “จริงเหรอครับ แล้วคุณรสอยู่ไหน”
“คุณหญิงไม่ยอมให้คุณรสเยี่ยมคุณราม คุณรสก็เลยกลับไปแล้วค่ะ ว่าไงคะ ตกลงจะกินมั้ย”
“กินสิครับ ผมจะกินให้หมดเลย”
รามนรินทร์ยิ้มดีใจ อุณนิษากับจีรนันท์เข้ามาเห็นเฟื่องจะป้อนข้าวรามนรินทร์ ก็รีบปรี่เข้ามา
“ตายจริง พี่รามจะกินข้าวก็ไม่บอก มาค่ะเดี๋ยวนิษาป้อนนะคะ”
“อ้าว นมไปสิคะ ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณนิษาเถอะค่ะ”
จีรนันท์ไล่ เฟื่องหันไปยิ้มกับรามนรินทร์แล้วออกไป
อุณนิษาตักอาหาร ตักข้าว ป้อนให้ รามนรินทร์กินอย่างไม่อิดออด
ภาวิดากับจวงแอบยืนดูอุณนิษาป้อนข้าวรามนรินทร์อยู่จากห้องรับรองญาติในห้องผู้ป่วยพิเศษ สองนายบ่าวต่างยิ้มย่องพอใจ จวงพยักพเยิดใหญ่
“ดูสิคะ คุณรามกับคุณนิษาเหมาะสมกันจริงๆ”
“เห็นหรือยังล่ะชายกร ความจริงแล้วตารามก็แอบมีใจให้หนูนิษาอยู่”
ภาณุกรมองรามนรินทร์ที่กินข้าวไปยิ้มไปก็มองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผมว่ารอให้รามเป็นคนเลือกดีกว่า เราอย่างมาตัดสินกันเองเลยนะครับ”
“ยังไงตารามก็ต้องเลือกหนูนิษาอยู่แล้ว”
ภาวิดายิ้มอย่างหมายมั่น
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
ปริกนั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับมาจากจ่ายตลาด พอลงรถก็ต่อรองราคาตามประสาคนขี้เหนียว
“ตั้งยี่สิบบาท ไปแค่นี้เอง คนกันเองสิบบาทพอ ไปๆ”
วินมอเตอร์ไซค์เซ็งขับรถออกไป ปริกหัวเราะคิกคักแล้วเอื้อมมือจะเปิดประตูเล็กเข้าบ้าน แต่แล้วก็มีมือใครบางคนมาดึงแขนไว้ ปริกหันไปมองก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ฉุดรสสุคนธ์โผล่มาอย่างเอาเรื่อง
“พวกมึง มาทำไมวะ”
ชาย1เสียงขุ่นใส่ “อ้าว ฉันก็มาเก็บเงินค่าจ้างสิ จ่ายมาเลย”
“อะไรวะ ทำงานพลาด พวกเอ็งมีหน้ามาขอเงินกูอีกเหรอ”
ชาย2 โมโห “อ้าวๆ คิดจะเบี้ยวเหรอน้า”
“จะจ่ายดีๆ หรือว่าอยากจะโดน” ชาย1 ขู่
สองชายฉกรรจ์เข้ามาล้อมกรอบปริกไว้ ปริกรีบแก้ตัวเอาตัวรอด
“โอ๊ย จ่ายน่ะจ่ายแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่มี รออีกสองวันเดี๋ยวฉันขอเงินจากนายมาให้”
“ไม่รอโว้ย...ถ้าคืนนี้ฉันไม่ได้เงิน น้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย”
ชาย 1 ชาย 2 ทำมือเป็นมีดปาดคอพร้อมกันแล้วเดินออกไป
ปริกหน้าซีด มือไม้สั่น กลัวสุดขีด เดินเข้ามาในรั้วบ้าน โดยไม่เห็นผีแม้นมาศยืนจ้องปริกตาเขม็งอยู่อีกมุม
“อีปริก เงาหัวมึงขาดแล้ว”
จบตอน 16
รสสุคนธ์ตั้งใจจะมาขอบคุณตาดำที่ช่วยเธอกับรามนรินทร์ไว้ จึงหิ้วถุงกระดาษใส่ของใช้มายืนอยู่หน้าบ้านสวนร้าง
“มีคนอยู่มั้ยคะ”
รออยู่นานก็เห็นเงียบไม่มีเสียงตอบรับ รสสุคนธ์จึงถือวิสาสะเข้าไปในบ้าน
สายตาของเธอมองสำรวจดู พบว่าในบ้านสวนร้างมีเพียงข้าวของเครื่องใช้มีไม่กี่ชิ้นแถมยังเก่าคร่ำคร่า แสดงถึงความสมถะของผู้อาศัย
“มาทำไม”
จู่ๆ ตาดำโผล่เข้ามาทางด้านหลัง ทำเอารสสุคนธ์สะดุ้งตกใจหันไปยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ รสเอาของมาให้ มาขอบคุณคุณตาค่ะ”
“ข้าช่วยคนไม่ได้หวังผลตอบแทน เอากลับไปซะ” ชายสูงวัยบอก ท่าทีตัดรอน
“ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร มีแค่เสื้อผ้าชุดใหม่ กับอาหารแห้งเล็กน้อย คุณตารับไปเถอะนะคะ นะคะคุณตา”
รสสุคนธ์อ้อน จนตาดำใจอ่อนรับถุงกระดาษนั้นมา
รสสุคนธ์ขยับลงนั่งบนแคร่อย่างไม่รังเกียจ ตาดำตักน้ำในตุ่มมาให้รสสุคนธ์
“บ้านข้าก็มีแค่นี้ล่ะ ดื่มซะแล้วก็รีบกลับ”
“ขอบคุณค่ะ คุณตาใจดีจังเลยนะคะ ช่วยชีวิตรสไว้ตั้งสองครั้งแล้ว”
รสสุคนธ์จำเหตุการณ์ตอนถูกแม้นมาศสิงและเกือบจะกระโดดหน้าต่างเรือนไม้หอมอยู่รอมร่อ แต่ได้ตาดำมาดึงตัวไว้
รวมไปถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่รามนรินทร์ถูกแทง ชายชั่วจะทำร้ายเธอกับรามนรินทร์แต่ตาดำก็มาช่วยไว้ทัน
สำทับคำขอบคุณรสสุคนธ์ยิ้มอ่อนโยนมาให้ คุณชายภาณุทัตในคราบตาดำ รีบหันหน้าหลบไม่กล้าสบสายตา
“ข้าก็แค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้ เอ็งอย่าเก็บมาเป็นบุญคุณอะไรเลย”
“หนูชื่อรสสุคนธ์นะคะ แล้วคุณตาชื่ออะไรเหรอคะ รสจะได้เรียกถูก”
“ใครๆ ก็เรียกข้าว่าตาดำ”
“คุณตาดำ คุณตาอยู่บ้านนี้คนเดียวเหรอคะ”
ตาดำพยักหน้า รสสุคนธ์มองไปรอบๆ บ้านแล้วซักถามอีก
“แล้วลูกเมียคุณตาล่ะค่ะ”
“ข้าไม่มีลูกเมียหรอก ดูสภาพข้าสิ ใครเขาอยากจะมาลำบากอยู่กับคนจนๆ อย่างข้า”
ตาดำพูดแล้วก็หน้าเศร้าลงเห็นถนัดตา รสสุคนธ์นึกสงสารรู้ว่าตาดำคงผ่านชีวิตมาเยอะ
“จริงสิคะ รสเอาขนมมาฝากคุณตาด้วย”
รสสุคนธ์หยิบกล่องขนมออกมาเปิดให้ตาดำดู ข้างในคือขนมเสน่ห์จันทร์ที่ติดทองคำเปลวสวยงามน่าทานมาก
ตาดำพึมพำ “เสน่ห์จันทร์”
“ลองชิมสิคะ ไม่รู้จะถูกปากคุณตาหรือเปล่า”
ตาดำมองขนมตรงหน้าด้วยสายตาถวิลหา หยิบขนมเสน่ห์จันทร์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วเอาเข้าปาก
ทันทีที่ลิ้มสัมผัสความหอมหวานของขนมเสน่ห์จันทร์ ก็ทำเอาตาดำถึงกับนิ่งอึ้ง ความรู้สึกคิดถึงคนึงหาพุ่งขึ้นมาจนชายสูงวัยน้ำตาไหลริน
ภาพแห่งความรักความสุขระหว่างเขาและแม้นมาศในอดีตถาโถมเข้ามาราวสายน้ำไหล
ภาพจำตอนแม้นมาศป้อนขนมเสน่ห์จันทร์ให้ และภาณุทัตหอมแก้มยังตราตรึง
ตาดำสะอื้นไห้อย่างหนักหน่วง รสสุคนธ์เห็นก็ตกใจรีบเข้าไปปลอบจนตัวก็น้ำตาซึมจะร้องไห้ตาม
“คุณตา คุณตาร้องไห้ทำไมคะ หรือว่าขนมไม่ถูกปาก”
“ไม่ ขนมอร่อยมาก...อร่อยจริงๆ”
“อร่อยแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะคะ”
“มันทำให้ฉันคิดถึงความหลังในสมัยก่อน นานแล้วที่ฉันไม่ได้กินขนมเสน่ห์จันทร์ที่อร่อยแบบนี้ ฮือๆ”
“ถ้าคุณตาชอบ รสจะเอามาให้คุณตาทานบ่อยๆ นะคะ”
“ขอบใจนะ”
รสสุคนธ์จับมือตาดำแน่น ทั้งคู่รู้สึกผูกพันด้วยสายใยบางๆ โดยมีขนมเสน่ห์จันทร์ของแม้นมาศเป็นสื่อกลาง
อีกฟาก ทวนสะอื้นไห้ คลานเข้ามายกมือไหว้แขไขขอพึ่งใบบุญอีกครั้ง
“คุณหญิง ผมไม่มีทางไปแล้ว รับผมไว้ทำงานด้วยนะครับ”
อภิวัฒน์อยู่ในนั้นด้วย มองอย่างไม่พอใจ “อย่าใจอ่อนนะครับคุณหญิงน้า หมอนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง คุณหญิงดาดีกับมันแค่ไหน มันยังทรยศได้”
“ไม่จริงครับคุณหญิง ที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่อคุณหญิงกับคุณนิษานะครับ”
แขไขยิ้มหยัน “แกนี่นะทำเพื่อฉัน”
“ครับ ถึงผมจะทำงานให้บ้านพรหมบดินทร์ แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนของคุณหญิงนะครับ คุณหญิงลืมไปแล้วเหรอครับ”
ทวนทบทวนความลับกับแขไขให้นึกถึงเรื่องราวในอดีต
ที่แท้ ในอดีตเมื่อ 30 ปี ที่แล้ว แขไขนี่เองเป็นคนนำพาสามพี่น้อง จวง ทวน ปริก เข้ามาพบกับภาณุทัตกับภาวิดา ที่บ้านพรหมบดินทร์
“พี่ชายทัต พี่หญิงดา นี่จวง ทวน ปริก สามคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นคนรับใช้ของบ้านแขเองค่ะ” แขไขหันไปทางจวงกับน้อง “จากนี้ไปทั้งสองท่านนี้จะเป็นนายเหนือหัวของพวกเธอ จำเอาไว้ด้วยล่ะ”
ทั้งสามยกมือไหว้ภาณุทัตกับภาวิดาอย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะ” / “สวัสดีครับ”
ภาณุทัตเห็นจวงกับปริกท่าทางซื่อๆ ก็พยักหน้า ภาวิดามองทวนที่ดูหนุ่มแน่น หล่อเหลา บึกบึน หน้าตาดี ก็แอบพอใจ
ภาณุกรเดินถือกระเป๋าเอกสารลงมา เตรียมจะไปทำงานที่โรงแรมหยุดมองดูอย่างแปลกใจ
“คนใช้ใหม่เหรอครับพี่ชาย”
“ใช่ นมสายก็แก่มากแล้วพี่เลยหาคนมาดูงานบ้านแทน หญิงดาจะให้ใครทำหน้าที่อะไรพี่ยกให้หญิงจัดการนะ ไปชายกร เอกสารสัญญาที่พี่ให้ร่างให้ลูกค้าเซ็นบ่ายนี้เสร็จแล้วใช่มั้ย”
“เรียบร้อยครับ งานเซ็นสัญญาครั้งนี้ วิน วิน ทั้งสองฝ่ายแน่นอนครับ”
ภาณุทัตกับภาณุกรเดินคุยงานกันออกไป
ภาวิดาหันมามองจวง ทวน ปริก มาดอย่างกับนางพญา
“กฎของบ้านพรหมบดินทร์มีเพียงอย่างเดียว ฉันต้องใหญ่ที่สุด เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ จวงกับน้องจะภักดีกับคุณหญิงดายิ่งชีวิต” จวงว่า
“ขอเพียงคุณหญิงสั่ง ไอ้ทวนจะบุกน้ำลุยไฟทำให้คุณหญิงเอง” ทวนประจบเอาใจ
“เรื่องสาระแนไว้ใจปริก ศัตรูของคุณหญิงก็คือศัตรูของพวกเราค่ะ”
สามพี่น้องพากันประจบเอาใจภาวิดายกใหญ่ แขไขยิ้มพอใจ
“เป็นไงคะพี่หญิง ถูกใจมั้ยคะ”
“ถูกใจมาก คอยดูเหอะนังแม้นมาศ แกเสร็จฉันแน่”
ภาวิดายิ้มร้ายเต็มหน้า
แขไขมองสภาพทวนที่ตกอับก็ถอนหายใจยอมรับอย่างเสียไม่ได้
“ไหนๆ แกก็เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง ฉันจะรับแกอยู่ด้วยก็ได้ แต่แกอย่าไปก่อเรื่องให้ฉันต้องเดือดร้อนอีกเข้าใจมั้ย”
ทวนดีใจ ยกมือไหว้ปลกๆ แต่อธิวัฒน์กลับไม่พอใจ
“ขอบคุณครับคุณหญิง ผมจะไม่ลืมพระคุณคุณหญิงเลย”
“ไปพักผ่อนซะให้เต็มที่ พรุ่งนี้ค่อยมาขับรถให้ฉัน”
“ครับคุณหญิง”
ทวนรีบหอบข้าวของเดินเข้าไปหลังบ้าน
อธิวัฒน์ไม่เห็นด้วยค้านไม่เลิก “ไอ้ทวนมันมีคดีติดตัว คุณหญิงน้าจะรับมันไว้ทำไม ระวังเหอะครับ...ซักวันมันแว้งกัดคุณหญิงน้าเอาได้”
“แกไม่ต้องมาเตือนฉันหรอก ฉันรู้ตัวดีกว่าฉันกำลังทำอะไร ถึงไอ้ทวนจะชั่วแต่มันก็ยังมีประโยชน์กับฉัน ไม่เหมือนแก วันๆ เอาแต่ผลาญเงินฉัน ใช้ให้ทำอะไรก็ไม่สำเร็จซะอย่าง ระหว่างแกกับมัน มันยังมีประโยชน์มากกว่า”
“คุณหญิงน้าไม่ต้องมาย้ำ ผมรับปากอะไรไว้ ผมทำได้แน่ คอยดูก็แล้วกัน”
“ให้มันจริงเหอะ ฉันล่ะเบื่อแกจริงๆ เลย”
แขไขเดินหงุดหงิดออกไป อธิวัฒน์มองตามเซ็งๆ
เวลาเดียวกันที่บ้านพรหมบดินทร์ ภาณุกรกำลังสั่งงานนภาอยู่ในห้องทำงาน โดยมีช่างติดทีวีวงจรปิดยืนรออยู่ด้านนอกกับเฟื่อง
“นี่ค่ะ จุดต่างๆ ที่จะติดกล้องวงจรปิด”
นภายื่นเอกสารแปลนบ้านพร้อมจุดต่างๆ ที่จะติดกล้องวงจรปิดให้ภาณุกร
“กล้องจะถูกซ่อนให้หลบสายตาคนตามความต้องการของคุณชายทุกอย่างค่ะ”
“ดีมาก รีบติดตั้งให้เสร็จภายในวันนี้เลยนะ แล้วถ้าใครถามอะไรก็บอกว่าช่างมาเดินสายไฟล่ะ”
“ค่ะ นภาจะทำงานให้เรียบร้อย”
ภาณุกรหันมาทางเฟื่อง “เฟื่อง เรื่องนี้ขอให้ปิดเป็นความลับ แม้แต่รามนรินทร์ก็อย่าให้รู้ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
เฟื่องพานภากับทีมช่างออกไป ภาณุกรดึงลิ้นชักออกมา เห็นกรอบรูปแม้นมาศอยู่ในนั้น คุณชายหยิบขึ้นมาลูบอย่างโหยหา
“คุณเล็ก ผมจะไม่ยอมให้มีเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว”
รสสุคนธ์เดินกลับมาจากไปเยี่ยมตาดำกลับจะเข้าบ้าน น้อยที่เดินตามหารสอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมา
“คุณรสไปไหนมาคะ น้อยเป็นห่วงแทบแย่”
“ฉันไปเดินเล่นมาจ้ะ น้อยมีอะไรหรือเปล่า”
“มีสิคะ คุณชายกรเรียกหาคุณรสค่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร เห็นทำหน้าเครียดๆ ด้วยค่ะ”
“หรือว่าคุณชายกรจะไล่ฉันออก”
“อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวน้อยจะไปเป็นเพื่อน”
รสสุคนธ์รู้สึกหวั่นใจ ใจคอไม่ดี กลัวภาณุกรจะไล่เธอออก
แขไขมาเยี่ยมภาวิดาที่บ้านพรหมบดินทร์ นั่งคุยปรับทุกข์ด้วยความเห็นใจ
“ตั้งแต่มีตัวกาลกิณีมาอยู่ ในบ้านพี่มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะคะพี่หญิง อย่างน้อยตารามก็ยังปลอดภัย ว่าแต่ตารามจะออกจากโรงพยาบาลวันไหนคะ”
“อีกวันสองวันก็คงกลับ นี่เพราะได้หนูนิษาไปดูแล สุขภาพใจตารามเลยดีขึ้นเยอะเลย ช่วงนี้หนูนิษาเลยต้องเหนื่อยหน่อย”
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ลูกนิษาเต็มใจ อีกหน่อยพอแต่งงานกัน นิษาก็ต้องดูแลตารามอยู่แล้วจริงมั้ยคะ”
ภาวิดากับกับแขไขพากันหัวเราะร่วน แต่แล้วก็ต้องหุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นรสสุคนธ์กับน้อยเดินเข้ามา
“ตายแล้ว นี่เธอยังอยู่อีกเหรอ” แขไขแหวใส่
“มาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ตัดสินความซะเลย”
“ดิฉันยอมรับผิดทุกอย่างค่ะ คุณหญิงจะตัดสินยังไงก็เชิญได้เลย”
“ถ้าฉันไล่เธอออก เธอก็คงหาว่าฉันรังแก ฉันจะลงโทษเธอยังไงดี”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมเตรียมบทลงโทษไว้แล้ว”
ภาณุกรส่งเสียงนำมาก่อนจะเดินเข้ามา ภาวิดากับแขไขเห็นก็พากันเซ็ง
“หลานชายเจ็บขนาดนั้น หวังว่าชายกรจะยุติธรรมนะ” แขไขเหน็บ
ภาณุกรมองรสสุคนธ์ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“รามเจ็บเพราะช่วยเธอ ตั้งแต่นี้ไปจนกว่ารามจะหายดี เธอต้องไปเป็นพยาบาลส่วนตัวให้กับราม”
ทุกคนได้ยินก็พากันอึ้ง น้อยฟังแล้วดีใจ รสสุคนธ์ยิ้มพราย ภาวิดากับแขไขแทบเต้นด้วยความโกรธ
“ว่าไงนะ ชายกรจะตัดสินแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ไม่ยอม”
“มันก็สมควรกว่าเหตุแล้วไม่ใช่เหรอครับ รามเองก็คงไม่ดีใจถ้าเราลงโทษคนที่เค้าช่วยชีวิตไว้ เธอก็ต้องดูแลรามให้ดีล่ะ”
“ค่ะ รสจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดี”
รสสุคนธ์ไหว้ขอบคุณภาณุกรอย่างซาบซึ้งใจ ภาณุกรยิ้มให้แล้วจึงเดินออกไป
ภาวิดากับแขไขหันมองรสสุคนธ์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ด้วยความเคียดแค้นชิงชังสุดจะประมาณ
อุณนิษาหลบออกมาคุยโทรศัพท์กับมารดาอยู่ที่มุมหย่อนในโรงพยาบาล
“ให้มันมาเหอะค่ะคุณแม่ นิษาจะไม่ยอมให้มันเข้าใกล้พี่รามได้แน่”
แขไขแอบคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในบ้านพรมบดินทร์
“แม่ว่า ต่อไปนี้นิษาต้องหัดเข้าหาชายกรบ้างนะ ไม่งั้นก็จะคอยขัดแข้งขัดขาเราอยู่เรื่อย”
“ค่ะ นิษาทราบค่ะ”
มีเสียงสายซ้อนดังขึ้น นิษาชะงัก มองเบอร์ที่โทร.มาเห็นเป็นเบอร์ปริก
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณแม่ มีสายเข้าค่ะ”
อุณนิษารีบกดรับอีกสาย พร้อมเปิดฉากด่าทันที
“ว่าไงนังปริก แกยังมีหน้าโทร.มาหาฉันอีกเหรอ”
อีกฟากที่เรือนคนใช้ปริกฟังจนหูชา รีบร้อนบอกอุณนิษาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณนิษา ต้องช่วยปริกนะคะ งั้นปริกต้องตายแน่ๆ”
อุณนิษาแปลกใจ
“แกไม่ต้องมาดราม่าใส่ฉัน แกโทร.มามีเรื่องอะไร”
“เรื่องเงินค่าจ้างน่ะค่ะ คุณนิษาโอนมาให้ปริกก่อนได้มั้ยคะ”
“อีนี่ ทำงานไม่เสร็จแกจะเอาเงินอีกเหรอ”
“ไอ้พวกที่ปริกจ้างมันไม่ยอมน่ะสิคะ มาบอกว่าถ้าไม่ให้มาจะฆ่าปริก คุณนิษา ต้องช่วยปริกนะคะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวฉันจะเอาเงินไปให้”
อุณนิษารับคำไปส่งๆ ก่อนจะตัดสาย ด้วยสีหน้าเครียดจัด
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
ฝ่ายอธิวัฒน์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่สวนหน้าบ้านแขไข ปลายสายเป็นจีรนันท์ สีหน้าท่าทางอธิธัฒน์เบื่อหน่ายเหลือเกิน
“พี่ก็อยู่บ้านนี่ล่ะ ไม่ได้ไปไหน อย่าเซ้าซี้ได้มั้ยจีจี้ แค่นี้นะ”
อธิวัฒน์ตัดสายทิ้ง พอหันไปก็เห็นทวนมองอยู่ก็ไม่พอใจ
“ผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะครับ วุ่นวายมากก็หาคนใหม่สิครับ”
“เสียมารยาท ที่บ้านพรหมบดินทร์เขาไม่ได้สอนกิริยามารยาทหรือไง”
“สอนครับ แต่บังเอิญคุณพูดเสียงดัง ผมก็เลยได้ยิน”
“นี่แกอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
อธิวัฒน์คว้าคอเสื้อหมับ ทวนมองอธิวัฒน์อย่างไม่เกรงกลัว แล้วดึงมืออธิวัฒน์ออก
“ใจเย็นสิครับ ผมเป็นแค่บ่าว คุณจะมาเสียเวลาทะเลาะกับผมทำไมล่ะครับ”
“แกจะไปไหนก็ไป”
“ผมไปก็ได้ครับ แต่คุณแน่ใจนะครับว่าไม่อยากรู้เรื่องนังน้อย”
“ก็แค่เด็กคนใช้ ฉันไม่สนใจหรอก”
“คุณอย่าได้ดูถูกมันไป นังน้อยเป็นคนใช้แต่มันเป็นถึงลูกบุญธรรมคุณชายภาณุกรนะครับ”
อธิวัฒน์ได้ยินก็ถึงกับหูผึ่ง มองทวนอย่างไม่เชื่อหู ทวนยิ้มเหนือๆ มองออกว่าอธิวัฒน์เป็นคนยังไง
ภาณุกรเปิดประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเข้ามา มีรสสุคนธ์กับน้อยตามมาด้วย รามนรินทร์ยิ้มกว้างดีใจมากที่รสสุคนธ์มาเยี่ยม ทักถามทันที
“คุณรส เป็นยังไงบ้างครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มให้รามนรินทร์เขินๆ ไม่ทันได้ตอบ ภาณุกรก็พูดแซวขึ้นยิ้มๆ
“แหม ตาราม พอได้เจอพยาบาลพิเศษคนนี้ก็ดีใจเหมือนจะหายเลย”
รามนรินทร์ไม่ตอบ เอาแต่มองหน้ารสสุคนธ์ไม่วางตา น้อยกับภาณุกรดูออกว่ารามนรินทร์น่าจะอยากคุยกับรสสุคนธ์ตามลำพัง
“คุณชายคะ น้อยคิดว่าจะไปหาผลไม้มาให้คุณราม”
“ก็ดีนะน้อย ไป ฉันไปด้วย” ภาณุกรหันไปบอกรามนรินทร์ “น้าไปก่อนนะ ตาราม”
ภาณุกรกับน้อยเดินตามกันออกไป เปิดโอกาสให้สองคน
สองคนอยู่ตรงมุมลับตาริมสระบัวบ้านพรหมบดินทร์ ปริกแบมือขอเงินจากอุณนิษาอย่างเร่งรีบร้อนรน
“ไหนล่ะคะ เงิน พวกมันรออยู่นะคะ”
อุณนิษามองหน้าปริกด้วยแววตาเฉยชา และไม่พอใจสุดๆ พูดเสียงเข้ม
“ฉันไม่มี ถึงมีก็ไม่ให้ แกทำงานไม่สำเร็จ แถมยังทำให้พี่รามเกือบตาย ฉันไม่ลงโทษแกก็บุญหัวแล้ว นังปริก นังขี้ข้า”
ปริกชักฉุนที่ทำงานให้แล้วยังมาโดนว่าเลยไม่พอใจ
“อ้าวๆ ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะคะ ถ้าคุณนิษาไม่ยอมให้เงิน ปริกจะไปบอกคุณหญิงภาวิดานะคะ”
อุณนิษาได้ยินคำพูดข่มขู่ ก็โมโหลุแก่โทสะทันที สายตาอุณนิษาเห็นว่ามีเสียมวางอยู่แถวๆ นั้น
“แกกล้าดียังไงมาข่มขู่ฉัน แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”
ปริกเองก็สุดๆ เพราะกลัวว่าจะโดนพวกที่ตนไปจ้างวานทำร้ายเลยเชิดหน้าไม่สนใจ
“ปริกรู้ค่ะว่าคุณสูงส่ง แต่ขี้ข้ากับเจ้านาย ถ้าต้องติดคุก ก็ควรติดด้วยกัน ปริกจะไป”
ปริกทำท่าหมุนตัวจะเดินไปฟ้องภาวิดาจริงๆ
อุณนิษาตัดสินใจกำจัดปริกในวินาทีนั้น ก่อนจะปากสว่างทำให้ต้องเดือดร้อน หล่อนหยิบเสียมขึ้นมาฟาดไปที่ทัดดอกไม้จังๆ
“โอ๊ย” ร่างปริกร่วงลงไปในสระบัวแต่ยังไม่ตาย
ปริกจะตะกายขึ้นมาสู้ แต่ถูกอุณนิษาถลาเข้าไปจับศีรษะปริกกดน้ำสุดแรงเกิด
ปริกดิ้นรนจะเอาชีวิตรอด ยื่นมือป่ายปะไปมา และป่ายไปโดนสร้อยข้อมือของอุณนิษาหลุดร่วงลงไปในสระบัว อุณนิษากดจนปริกหยุดดิ้น ร่างคาอยู่บนขอบสระบัว อุณนิษายิ้มเหี้ยมเกรียม คำรามออกมาอย่างสาแก่ใจ
“พยานที่ดีที่สุดคือ พยานที่หมดลมหายใจ สมน้ำหน้า”
ฝ่ายรามนรินทร์นอนอยู่บนเตียงคนป่วย พอเห็นไม่มีใครอยู่ในห้อง ก็รีบอ้อนรสสุคนธ์ทันที
“โอ๊ย”
รสสุคนธ์ตกใจรีบเข้าไปดูอาการ
“คุณรามปวดแผลเหรอคะ”
รามนรินทร์กลับคว้ามือเธอไว้ รสสุคนธ์พยายามจะดึงมือกลับแต่รามนรินทร์ก็ไม่ปล่อย
“แค่คุณรสอยู่ใกล้ๆ ผมก็อุ่นใจแล้วครับ”
“ถ้าเจ็บแผล ไม่ดีแน่ค่ะ ฉันไปตามพยาบาลให้นะคะ”
“อย่าไปครับ ผมหิวข้าวครับ”
“อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวฉันจะไปหามาให้ แต่คุณต้องปล่อยมือก่อน”
“งั้นผมขอเข้าห้องน้ำดีกว่า คุณรสประคองผมหน่อยนะครับ”
รสสุคนธ์เขิน พอจะรู้ว่ารามนรินทร์แกล้ง แต่ก็ไม่อยากขัดใจเพราะตัวเองเป็นเหตุให้ต้องเจ็บตัว
“ได้ค่ะ คุณรามค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งนะคะ”
รามนรินทร์ทำตามที่รสสุคนธ์บอก โดยไม่ยอมปล่อยมือ พอรามนรินทร์ลงจากเตียงคนไข้ได้ รสสุคนธ์ก็ค่อยๆ ประคองให้เดินไปห้องน้ำ รามนรินทร์ยิ้มหน้าบาน
เหตุการณ์ที่ริมสระบัว อุณนิษาเดินวนไปวนมาอยู่ข้างๆ สระบัว สีหน้าเครียดจัด ยิ่งเมื่อมองเห็นศพปริกนอนตาเบิกโพลงอยู่ที่ขอบสระ
รสสุคนธ์ป้อนอาหารรามนรินทร์ที่กินไปอมยิ้มไป มีความสุขมาก
“น้ำหน่อยมั้ยคะ”
รสสุคนธ์เอาน้ำให้ดื่ม แทนที่จะรับน้ำไปดื่มรามนรินทร์กลับจับมือเธอไว้แล้วจ้องตาอยู่อย่างนั้น
“แต่ผม ไม่ค่อยถนัด”
รสสุคนธ์เข้าใจว่าเขาเจ็บแผลที่ท้อง เลยขยับตัวยกน้ำป้อนรามนรินทร์ สองคนสบตากันต่างคนต่างเขิน
“ขอบคุณครับ”
รสสุคนธ์ป้อนน้ำเสร็จ ทำท่าจะเลี่ยงไปนั่งที่เกาอี้ แต่รามนรินทร์กลับอ้อนต่อ
“คุณรสจะทิ้งผมไปไหนครับ”
“ไม่ได้จะทิ้งค่ะ ถ้าคุณรามต้องการอะไร ก็บอกได้”
“ขอแค่คุณรสมานั่งใกล้ๆ ผมก็มีความสุขมากแล้วครับ”
รสสุคนธ์จำต้องไปนั่งใกล้ๆ เตียง รามนรินทร์ยิ้มกว้างพอใจ
เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย จีรนันท์โผล่พรวดเข้ามาในห้องพักฟื้นโดยไม่เคาะประตู พอเห็นว่ารสสุคนธ์นั่งอยู่ข้างเตียง โดยที่รามนรินทร์นอนพักผ่อนอยู่ก็ไม่พอใจมาก แสดงท่าทีหึงหวงแทนอุณนิษา
“นี่เธอ ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“เอ่อ...” รสสุคนธ์กำลังจะตอบ แต่เกรงใจรามนรินทร์ที่หลับอยู่
จีรนันท์ไม่เว้นวรรคให้อีกฝ่ายตอบ ด่าทอต่อว่าทันที
“เธอทำตัวน่าเกลียดจัง เป็นผู้หญิงมาอยู่กับผู้ชายที่ไม่ได้เป็นอะไรกับตัวเองสองต่อสองได้ยังไง หน้าด้านอ่ะ”
“คุณรามเป็นเจ้านายของฉัน ฉันแค่ดูแลเจ้านาย น่าเกลียดตรงไหน อีกอย่างคุณชายภาณุกรก็ให้ฉันไถ่โทษที่ทำให้คุณรามบาดเจ็บ ด้วยการมาเป็นพยาบาลค่ะ”
น้อยเปิดประตูห้องน้ำออกมา ในมือถือผลไม้ที่เอาไปล้างมาด้วย
“แล้วใครบอกว่าคุณรสอยู่กับคุณรามสองคน ฉันก็อยู่ด้วย เราช่วยกันดูแลเจ้านาย อย่ามาหาเรื่อง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
น้อยไม่พูดธรรมดา แกล้งชูมีดปอกผลไม้ขึ้นมาด้วย
จีรนันท์เจอสองสาวตอบโต้แล้วไม่มีพวกเลยได้แต่โมโหแล้วก็ปึงปังออกไป พร้อมฝากแค้นไปด้วย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
น้อยตะโกนไล่หลังไปแกล้งยั่วจีรนันท์
“อย่าฝากนานนะจ๊ะ เดี๋ยวจะยึดไว้เลย”
“น้อยก็ ไปยั่วเค้าทำไม”
รสสุคนธ์ปรามเบาๆ กลัวรามนรินทร์ตื่น
จีรนันท์ออกมาหน้าห้องยืนกดมือถือหาอุณนิษา บ่นบ้าด้วยความโมโห ขณะรอสัญญาณ
“ถือว่าพวกมาก คิดจะรุมเหรอ คอยดูสิ ถ้าคุณนิษารู้ พวกแกจะต้องกระเด็น”
ท่ามกลางความเงียบบริเวณสระบัว เสียงมือถือดังขึ้นอุณนิษาสะดุ้งเฮือกตกใจเผลอร้องออกมา
“ว้าย”
อุณนิษาได้สติว่าหยิบมือถือมาดู เห็นเป็นสายจากจีรนันท์จึงกดรับถามด้วยน้ำเสียงแทบเป็นตวาด
“ยัยจีจี้ โทรมาทำไมยะ”
สองคนคุยมือถือกัน
“นิษา เธออยู่ที่ไหน”
อุณนิษาอึกอักแล้วตัดบท “ถามทำไม มีอะไรพูดมา”
จีรนันท์เริ่มฟ้องฉอดๆ ด้วยความโมโห
“ตอนนี้นังรสสุคนธ์มันมาอ้อนเอาใจ เกาะคุณรามเป็นปลิงไม่ยอมปล่อยอยู่ในห้องสองต่อสองอยู่นะจ๊ะ”
“เธอก็จัดการแยกมันจากพี่รามสิยะ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องมารายงาน ลงมือทำไปเลย หัดมีสมองบ้าง...แค่นี้นะ ฉันยุ่ง”
อุณนิษาตัดบทเพราะใจจดจ่ออยู่ที่เรื่องจะจัดการยังไงกับศพปริก
ฝ่ายจีรนันท์วางสายไปด้วยอาการเซ็ง เพราะดันถูกด่า
“อะไรวะ โทร.มารายงานก็ต้องโกรธต้องด่ากันด้วย ไม่ยุ่งก็ได้”
จีรนันท์สะบัดก้นเดินเชิดกลับออกไป
ทางด้านอุณนิษาค่อยๆ ชะโงกหน้าไปมองศพปริกที่อยู่บนขอบสระบัวอีกรอบด้วยอาการหลอนๆ ผวาๆ บรรยากาศรอบตัวแม้จะเป็นกลางวันแต่ก็วังเวงเพราะไม่มีใครผ่านมาแถวนั้นเลย
อุณนิษาคิดหนักเดินเป็นหนูติดจั่น ในใจเคืองแค้นโทษรสสุคนธ์ที่ทำให้ตัวเองต้องลงมือกับปริกจนกลายเป็นฆาตกร สุดท้ายอุณนิษาหยุดเดิน คิดแผนการออกว่าจะให้รสสุคนธ์รับผิดชอบเรื่องการตายของปริก
“นังรส แกทำให้ฉันต้องกลายเป็นฆาตกร งานนี้แกต้องรับผิดชอบ”
อุณนิษายิ้มกับแผนการตัวเองแล้วตัดสินใจถีบศพปริกที่คาอยู่ตรงขอบสระให้ตกลงไปในสระบัว...
เสียงศพตกน้ำดังตูม แต่เพราะบริเวณนี้ไม่มีคนกล้าเข้ามาจึงไม่มีใครเห็น
ศพปริกค่อยๆ จมลงไปในสระ ถูกใบบัวและก้านดอกบัวบังจนไม่เห็น
อุณนิษายืนยิ้มมองดูด้วยอาการสะใจ พร้อมประกาศกับตัวเอง
“จุดจบของคนคิดหักหลังฉัน แกสมควรตายแล้ว นังปริก”
อุณนิษาสะบัดร่างเดินจากไปอย่างไม่แยแส
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
ผีแม้นมาศอยู่ในเรือนไม้หอมสะดุ้งนิดๆ เหมือนรับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แล้วสลายร่างหายวับไป
ผีแม้นมาศปรากฏตัวขึ้นที่สระบัว มองไปรอบๆ ไม่เห็นอุณนิษาแล้ว จึงเดินลงไปในสระบัวมองทะลุลงไปในน้ำ เห็นศพปริกนอนตายอยู่ก้นสระ
“โถ อีปริก กูว่าจะจัดการมึง แต่มึงดันมาชิงตายซะก่อน ไปที่ชอบที่ชอบเหอะ” แม้นมาศยิ้มหยัน
ศพปริกยังนอนนิ่งใต้ก้นสระ โดยไม่ตอบโต้ใดๆ
ผีแม้นมาศสลายตัวไปจากตรงนั้น
เรือนไม้หอม ตกอยู่ในความเงียบสงัดยามค่ำคืน รสสุคนธ์นอนอยู่บนเตียง กำลังจะหลับตา เสียงคนร้องไห้โหยหวนน่าสงสารดังเข้ามา บรรยากาศวังเวงมากเพราะรอบๆ มืดไปหมด
รสสุคนธ์กระเด้งตัวจากเตียงนอน สงสัยว่าใครมาร้องไห้ เข้าใจว่าเป็นน้อย ด้วยความเป็นห่วง รสสุคนธ์ตัดสินใจเปิดไฟ ลงจากเตียงนอนเดินออกจากห้องไป
รสสุคนธ์เคาะประตูห้องนอนน้อยร้องเรียกถามอย่างเป็นห่วง
“น้อยจ๋าน้อย ร้องไห้ทำไม เป็นอะไรไปจ๊ะ”
น้อยงัวเงียเปิดประตูห้องออกมา สีหน้างงๆ
“คุณรส มีอะไรคะ น้อยเปล่าร้องไห้”
“งั้นเสียงร้องไห้ของใครกัน น้อยได้ยินมั้ย”
น้อยเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังแว่วเข้ามาจริงๆ บรรยากาศวังเวงยิ่งขึ้น น้อยผวากลัว ถลามาเกาะแขนรสสุคนธ์
“จริงด้วยค่ะ หรือว่าจะเป็นเสียง...ผะ ผี”
“เหลวไหลน่าน้อย”
“คุณรสก็รู้ เราอยู่ที่ไหน เรือนไม้หอม บ้านที่ใครๆ ก็กลัว”
รสสุคนธ์ส่ายหน้า “แล้วถามจริง ตั้งแต่มานอนที่เรือนไม้หอม น้อยเคยเจอผีอีกมั้ย”
น้อยรีบเอามือปิดปากห้ามรสสุคนธ์พูดต่อ
“คุณรสอย่าพูดสิคะ เดี๋ยวท่านก็โผล่มาหรอก น้อยกลัวนะคะ”
รสสุคนธ์ไม่ยอมเก็บความสงสัยไว้ ตัดสินใจจะค้นหาความจริง
“น้อยกลัวก็กลับไปนอนซะ ฉันจะออกไปดูหน่อยว่า ใครมาร้องไห้แถวๆ นี้”
น้อยขนหัวลุก แม้จะห่วงรสสุคนธ์แต่ความกลัวมีมากกว่า
“คุณรสเนี่ยใจกล้ามาก ไงก็ระวังตัวหน่อยนะคะ เผื่อเป็นคนร้าย”
รสสุคนธ์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินออกไป น้อยกลัวมาก รีบปิดประตูห้องนอนทันที
เสียงคนร้องไห้ก็ยังดังอยู่ตลอดเวลา
ด้านนอกเรือนไม้หอม มืดสลัวไปทั่ว เสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่อย่างนั้น
รสสุคนธ์เดินตามเสียงไปทางสระบัว จู่ๆ มีมือยื่นมาจับไหล่รสสุคนธ์หมับ
รสสุคนธ์สะดุ้งเฮือก ตกใจ ค่อยๆ หันหน้ามามอง เห็นแม้นมาศมองอยู่พร้อมกับถามขึ้น
“แม่รส ออกมาเดินทำไมมืดๆ”
รสสุคนธ์โล่งใจ แต่เสียงร้องไห้ก็ยังดังอยู่
“ย่าเล็กก็ไม่ได้ร้องไห้ แล้วใครร้องกันคะ”
“ใครจะร้องก็ปล่อยไป กลับไปนอนเหอะ ออกมาอย่างนี้ ถ้าไม่เจอผีก็อาจจะเจอคนร้าย ที่ร้ายกว่าผีนะ จำไม่ได้เหรอ เพิ่งเจอมาหยกๆ”
“แต่...”
แม้นมาศรู้ว่ารสสุคนธ์สงสัยอยากรู้อยากเห็นไม่เลิก เลยปรามอีกรอบ
“นิสัยอยากรู้อยากเห็นของแม่รสเนี่ย จริงๆ ก็เหมือนฉันนะ แต่บางครั้ง เราก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวรตามกรรมบ้าง”
รสสุคนธ์ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งสังหรณ์ใจว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“ย่าเล็กพูดอย่างนี้ แสดงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่มั้ยคะ”
“ก็บอกว่าอย่ายุ่ง”
“เกิดเรื่องร้ายขึ้นใช่มั้ยคะ รสสังหรณ์ใจแปลกๆ น่ะค่ะ”
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะบอก ไปนอนซะ ไป ฉันจะตามไปส่ง”
ถูกแม้นมาศห้ามอีกรอบ รสสุคนธ์เลยจำใจต้องเดินกลับไปทางเรือนไม้หอม
เสียงคนร่ำไห้ก็ยังดังอยู่อย่างนั้น
“ฮือๆๆ”
อีกฟาก อุณนิษานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน เรื่องของปริกยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิก
ตอนนั้น ปริกทำท่าหมุนตัวจะเดินไปฟ้องภาวิดาจริงๆ อุณนิษาตัดสินใจกำจัดปริกในวินาทีนั้น หล่อนหยิบเสียมขึ้นมาฟาดไปที่ปริกให้โดนทัดดอกไม้
“โอ๊ย” ปริกร่วงลงไปที่ขอบสระบัว แต่ยังไม่ตาย
ปริกจะตะกายขึ้นมาสู้ แต่อุณนิษารีบถลาเข้าไปจับศีรษะปริกกดน้ำสุดแรง ปริกดิ้นรนจะเอาชีวิตรอด มือป่ายไปมา ที่มือปริกป่ายปะไปโดนสร้อยข้อมือของอุณนิษาหลุดร่วงลงไปในกอบัว สีหน้าอุณนิษาโหดเหี้ยม กดจนปริกหยุดดิ้น ร่างคาอยู่บนขอบสระบัว
อุณนิษายิ้มร้ายถีบศพปริกที่คาอยู่ตรงขอบสระให้ตกลงไปสระบัว
เสียงศพตกน้ำดังตูมใหญ่ แต่เพราะบริเวณนี้ไม่มีคนกล้าเข้ามา จึงไม่มีใครได้ยินหรือเห็น ศพปริกค่อยๆ จมลงไปในสระ ใบบัวและก้านดอกบัวบังจนไม่เห็นอะไร
อุณนิษาสลัดความคิดกังวลทิ้งไป
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ที่นี่บ้านเรา ผีหรือคนที่ไหนก็มาทำอะไรไม่ได้”
มีเสียงคนร้องไห้โหยหวนชวนหลอกหลอนดังขึ้น อุณนิษาเหลียวไปมองที่หน้าต่าง เห็นเหมือนมีเงาดำวูบไหวไปมา ก็สะดุ้งตกใจ ร้องกรี๊ดขึ้นมาลั่นห้อง
“อ๊าย อย่านะ...ไปนะ”
อุณนิษาหลับหูหลับตาโบกมือไล่ไปมา เหงื่อแตกพลั่ก
จนพอทุกอย่างเงียบสนิท อุณนิษาจึงค่อยๆ ลืมตาดู แต่ไม่เห็นอะไรจึงลุกเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ
พอจะเปิดก๊อกล้างหน้า กลับเห็นใบหน้าปริกตาเบิกโพลงลอยอยู่ในอ่างล้างหน้า
“แอร๊ย...” อุณนิษากรี๊ดลั่น วิ่งออกจากห้องน้ำกระโจนขึ้นเตียงคว้าผ้าห่มมานอนคลุมโปงบนเตียง
จู่ๆ มีเงาดำเคลื่อนมาทาบทับร่างของอุณนิษา เหมือนจะเข้ามาทำร้าย แถมยังกระชากผ้าห่มออกอย่างแรง
อุณนิษาตกใจ เอาหมอนขว้าง เอาเท้าถีบถองไปมา หอบหายใจอย่างหวาดกลัว กรี๊ดลั่นบ้าน
“แอร๊ย...ไปนะ ไปให้พ้น”
“ยัยนิษาเป็นอะไร ร้องทำไม เปิดประตูให้แม่หน่อย”
แขไขยืนร้อนใจเคาะประตูห้องลูกสาวรัวๆ พร้อมกับร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
ที่แท้อุณนิษาฝันร้าย มาสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงแขไขเคาะประตูเรียก มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว จนแน่ใจว่าฝันไป
“นี่เราฝันไปเหรอ”
แขไขร้องเรียกไม่เลิก “นิษา เปิดประตูให้แม่ด้วยลูก”
อุณนิษาเปิดไฟ รีบลุกจากเตียงนอนในสภาพเหงื่อโทรมกายไปเปิดประตู แขไขถลาเข้ามาในห้องนอน มองสำรวจไปทั่ว ด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“นิษา แม่ได้ยินเสียงร้อง ลูกเป็นอะไร”
อุณนิษากลัวแต่ไม่ยอมบอก ปฏิเสธมารดาไป
“เปล่านี่คะ นิษาก็นอนหลับ แล้วคุณแม่ก็มาเรียก ก็ตกใจนิดหน่อย”
แขไขพยายามสำรวจร่างกายและหน้าตาลูกสาว แต่อุณนิษากลับไม่ยอมบอกอะไร
“ไม่เป็นอะไร แล้วเมื่อกี้ใครร้อง”
“คุณแม่หูแว่วไปเองมั้งคะ นิษาง่วง ขอตัวนอนก่อนนะคะ”
อุณนิษาทำท่าเป็นหาว แล้วรีบเดินไปที่เตียงนอน ล้มตัวลงจะนอน แขไขเดินมาห่มผ้าให้ แล้วก็ปิดไฟ ก่อนจะออกไป
อุณนิษาได้แต่นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด กลัวจับขั้วหัวใจแต่จำต้องเข้มแข็ง
เสียงคนร้องไห้ดังแว่วมาถึงห้องนอนภาวิดาที่เตรียมตัวเข้านอน ภาวิดาเข้าใจว่าเป็นแม้นมาศร้องไห้คร่ำครวญ เลยบ่นแกมรำคาญ
“ผีนังแม้นมาศนี่มันป่วนไม่หยุด มันคงคิดว่าแค่เสียงร้องไห้ของมันจะทำให้ฉันกลัวได้”
จวงที่มาดูแลภาวิดาก่อนจะไปนอนก็ถามเป็นห่วงนาย
“คุณหญิงให้จวงนอนเฝ้าเป็นเพื่อนมั้ยคะ”
ภาวิดาเป็นคนจิตแข็ง แม้ไม่กลัว แต่ตอนนี้ไม่มีทวนแล้วก็เลยเหงาๆ
“ก็ดีนะ ตารามก็เจ็บตัวอยู่โรงพยาบาล แกนอนเป็นเพื่อนฉันก็ได้”
“ได้ค่ะ จวงไปนอนบนโซฟาละกันนะคะ”
จวงลุกไปนอนบนโซฟาในห้องภาวิดา โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้น
ทุกคนที่เรือนคนใช้ บ้านพรหมบดินทร์ ตื่นแต่เช้ากันเป็นปกติ
จวงมายืนเคาะประตูเรียกอยู่ที่หน้าห้องนอนปริก
“นังปริก สายแล้ว ทำไมยังไม่ตื่นอีก”
รออยู่สักครู่แต่ทุกอย่างเงียบกริบไม่มีเสียงตอนรับ จวงหงุดหงิดเลยลองเปิดประตูห้องนอนดู แปลกใจที่ไม่ได้ล็อกห้อง
“อ้าว นอนยังไง ไม่ล็อกห้อง”
ในห้องนอนของปริกดูรกๆ แต่ไม่มีเจ้าของห้อง บนที่นอนก็ว่างเปล่า เหมือนเมื่อคืนไม่มีคนมานอน จวงสำรวจไปรอบๆ เห็นว่าเสื้อผ้าก็อยู่ครบ ก็ยิ่งสงสัย
“นังปริกมันไปไหน เสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ”
จวงเดินออกไปจากห้องปริกแล้วไปทางโรงครัว
สร้อย เฟื่องและน้อยกำลังช่วยกันเตรียมอาหารเช้าเจ้านายอยู่ในครัว จวงเดินเข้ามามองหาจนทั่ว คิดว่าจะเจอปริก แต่ก็ไม่เห็น เลยถามขึ้น
“มีใครเห็นหน้านังปริกบ้าง สายแล้วไม่โผล่หัวไปรับใช้คุณหญิง ที่ห้องก็ไม่มี”
“ฉันไม่เห็นมันตั้งแต่เย็นวานแล้ว ไม่เห็นมากินข้าว แต่ก็นะ คิดว่ามันลดความอ้วน เลยไม่ได้สนใจ” สร้อยบอก
“น้อยก็ไปโรงพยาบาล กลับมาก็ไม่เห็นจ้ะ ยายล่ะ เจอน้าปริกมั้ย”
“ไม่เจอเหมือนกัน” เฟื่องว่า
จวงเริ่มกังวลว่าปริกหายไปไหน ตัดสินใจเดินไปทางเรือนใหญ่
จากริมรั้วด้านนอกบ้านพรหมบดินทร์ ทวนแอบมองเข้ามาด้านในบ้าน เห็นรปภ.เดินตรวจตราอยู่ ทวนรู้จักบ้านนี้ดีทุกซอกมุม จึงหลบซ่อนรอจนรปภ.เดินไปด้านอื่น ทวนจึงปีนรั้วเข้ามาด้านในได้อย่างสบายๆ แล้วตรงดิ่งไปทางเรือนใหญ่ทันที
ภาวิดานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นร้องเรียกหาปริกที่เคยมาปรนนิบัติแต่หายไป
“ปริก ปริก...นังปริก อีปริก...”
ไม่มีแม้เงาหรือเสียงตอบรับจากปริก ภาวิดาหงุดหงิดบ่นบ้าอยู่คนเดียว
“อีนี่ชักจะเอาใหญ่ เห็นว่าใจดี อย่าให้เจอ จะตัดเงินเดือนซะให้เข็ด”
จวงเดินหน้าเสียเข้ามาหาภาวิดาพร้อมรายงาน
“คุณหญิงอย่าเพิ่งโกรธนังปริกมันเลยนะคะ มันหายไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีใครเห็นเลย เสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบค่ะ”
“งั้นจะมีอะไร ก็คงขี้เกียจ แอบไปหลบอู้งานอยู่ที่ไหนแน่ๆ”
“ถ้ามันทำอย่างนั้น จวงจะจัดการลงโทษมันเองนะคะ คุณหญิง”
ภาวิดาเชิดหน้าคิดถึงทวนแล้วแค้นเลยพูดขึ้น
“ไม่ใช่แอบมาหยิบมาขโมยอะไรของฉันไปขายเหมือนคนเนรคุณบางคนนะยะ” ภาวิดาไม่เอ่ยชื่อทวนเพราะเคืองบวกเสียหน้า จวงรีบถลาเข้าไปประจบเอาใจทันที
“อุ๊ย นังปริกมันไม่กล้าหรอกค่ะ ขืนทำเลวๆ อย่างนั้น เดี๋ยวก็โดนเฉดหัวออกไปนอกบ้านเหมือนไอ้ทวน ป่านนี้ก็คงไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่รู้ไปลำบากอยู่ที่ไหน”
ภาวิดาส่งค้อนให้จวงแล้วก็วางท่าทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าจวงพยายามพาดพิงทวน แม้ในใจจะแอบเป็นห่วงนิดๆ
“ก็เรื่องของมัน ฉันหมายถึงนังปริกนะ”
ทวนมาแอบอยู่แถวๆ หน้าต่างด้านนอกเรือนใหญ่บ้านพรหมบดินทร์ หวังจะหาโอกาสพบภาวิดา จู่ๆ มีมือมาจับไหล่จากด้านหลัง ทวนสะดุ้งตกใจ หันไปทันที
“เฮ้ย”
จวงจุ๊ปากให้เงียบ พร้อมกับดึงตัวทวนหลบไปที่ลับตา
สองพี่น้องคุยกันอยู่ตรงมุมลับตาในสวนบ้านพรหมบดินทร์
“พี่จวงมีอะไร ฉันกำลังจะเข้าไปหาคุณหญิงดา”
“เข้าไปให้ถูกไล่อีกหรือไงวะ”
“แต่ฉันคิดถึงคุณหญิง แล้วก็เป็นห่วงเธอมากเลยนะพี่”
“ห่วงจนทำตัวเลวๆ เนี่ยนะ”
“พี่อย่าซ้ำเติมได้มั้ย คนเรามันก็พลาดกันได้”
“เออๆ ตอนนี้คุณหญิงยังโกรธอยู่ แกก็ควรหลบไปก่อน ไว้ให้เธอใจเย็นกว่านี้ แกค่อยไปง้อ”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะพี่”
“อย่ามาบ่น ใครใช้ให้แกทำตัวเองล่ะ ว่าแต่แกมาก็ดีแล้ว รู้มั้ย นังปริกมันหายไป”
“หายไปไหน หนีตามผู้ชายไปรึเปล่า ว่าแต่จะมีใครเอามันเรอะ”
“อย่ามัวแต่ดูถูกมัน บอกตามตรง ฉันชักเป็นห่วง แกช่วยตามหาปริกหน่อยได้มั้ย อย่างน้อยเราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนะ ทวน”
“ได้...ได้”
“ขอบใจ งั้นตอนนี้รีบหลบไปก่อนจะมีใครมาเห็น”
ทวนชะเง้อมองไปทางเรือนใหญ่ด้วยอาการเสียดาย แต่ก็จำใจต้องไป จวงรีบกลับไปรับใช้ภาวิดา
รามนรินทร์เปลี่ยนชุดเรียบร้อยพร้อมจะกลับบ้านแล้ว พยาบาลที่ดูแลถามขึ้น
“มีญาติมารับมั้ยคะ”
รามนรินทร์ไม่ตอบแต่ชะเง้อมองหาว่ารสสุคนธ์จะมาหรือไม่ สักพักรสสุคนธ์กับน้อยเปิดประตูห้องเข้ามา พยาบาลมองสองสาวแล้วเลี่ยงออกไปจากห้อง รสสุคนธ์เห็นรามนรินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงถามขึ้น
“คุณราม คุณหมอให้กลับบ้านแล้วเหรอคะ”
“ครับ ผมคิดว่าคุณรสจะไม่มาซะอีก”
“มาสิคะ ยังไงฉันก็ต้องมาดูแลคุณ”
รามนรินทร์มองจ้องตารสสุคนธ์ด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณครับ”
น้อยแกล้งโบกมือให้รามนรินทร์ยิ้มแซวว่า
“น้อยก็มานะคะ คุณรามเห็นน้อยมั้ยเอ่ย”
รสสุคนธ์เขินๆ เลี่ยงไปเก็บข้าวของของรามนรินทร์แทน
รามนรินทร์มองรสสุคนธ์ ยิ้มชื่นใจมีความสุข
อุณนิษาเดินฉับๆ เข้ามาในล็อบบี้โรงพยาบาล เห็นจีรนันท์ยืนอยู่คนเดียวก็แปลกใจ
“อ้าว พี่วัฒน์ล่ะ ไม่มาด้วยเหรอจีจี้”
“ตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว เขียนกระดาษแปะไว้ว่าไปหาแม่ที่ชลบุรีโทร.ไปก็ไมรับ”
จีรนันท์มองหน้าอุณนิษาเห็นว่าไม่ค่อยสดใสจึงทักขึ้น
“ว่าแต่ วันนี้ดูนิษาไม่ค่อยสดใส เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอจ๊ะ”
อุณนิษารีบกลบเกลื่อนแล้วเดินนำหน้าเข้าตึกโรงพยาบาลไป
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่แชตกับเพื่อนๆ ดึกไปหน่อย...รีบไปหาพี่รามเหอะ เดี๋ยวนังรสก็มาแย่งซีนทำคะแนนอีกหรอก”
จีรนันท์เลยรีบเดินตามอุณนิษาไป
รสสุคนธ์กับน้อยเก็บของเสร็จพร้อมจะพารามนรินทร์ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อุณนิษากับจีรนันท์เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี
“พี่รามขา...นิษา...”
อุณนิษาชะงักเมื่อเห็นว่ารสสุคนธ์อยู่กับรามนรินทร์ แถมเตรียมตัวจะกลับบ้านด้วยกัน
“นี่เธอ ไม่มีงานมีการทำหรือไง ถึงชอบทำตัวเป็นเห็บเกาะอยู่ไปทั่ว”
รสสุคนธ์ตอบกลับอุณนิษานิ่มนิ่งๆ
“งานดูแลเจ้านาย ก็ถือเป็นงานอย่างหนึ่งของดิฉันนะคะ”
จีรนันท์รีบแทรกเข้ามาสอพลอเอาใจอุณนิษาทันที
“เข้าใจอะไรผิด ก็ล้างสมองกลวงๆ ของเธอซะใหม่นะ รสสุคนธ์ คุณนิษาเป็นใคร เป็นอะไรกับคุณราม เธออย่ามาแกล้งโง่ ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้เลย มันไม่อินย่ะ”
น้อยก็ไม่ยอม ปกป้องรสสุคนธ์เช่นกัน
“แหมๆๆ คิดจะแสดงตัวเป็นเจ้าของคุณราม ถามจริง ถามคุณรามหรือยังคะว่า โอเค.มั้ย ยอมรับมั้ย มโนไปเองแบบนี้ แถวบ้านเค้าเรียกหน้าด้านค่ะ”
จีรนันท์กับน้อยทำท่าจะลงไม้ลงมือกัน รามนรินทร์ไม่อยากมีเรื่องไม่อยากปวดหัว เลยชิงพูดตัดบทกับอุณนิษาว่า
“พี่จะกลับบ้านแล้ว คุณนิษาจะไปส่งพี่ที่พรหมบดินทร์มั้ยครับ”
อุณนิษายิ้มหน้าบานรีบถลาเข้าไปเกาะแขนรามนรินทร์ทันที
“ไปสิคะ พี่รามไปไหน นิษาไปด้วย แต่เราไปกันแต่เจ้านายนะคะ ระดับขี้ข้า ไม่เกี่ยว”
รามนรินทร์ได้แต่หันไปสบตารสสุคนธ์เป็นเชิงขอร้องให้เงียบจะได้ไม่มีเรื่อง รสสุคนธ์ดูออกเลยพูดขึ้นเพื่อให้เขาสบายใจ
“เชิญคุณรามกลับกับคุณนิษาเลยนะคะ เดี๋ยวของใช้พวกนี้ฉันกับน้อยจะเอากลับไปให้เองค่ะ”
“ขอบคุณครับ ความจริงผมถือเองก็ได้นะครับ”
อุณนิษารีบแทรกขึ้นมาทำนองตำหนิรสสุคนธ์ทันที
“พี่รามเจ็บตัวเพราะใคร ก็ให้คนนั้นถือเหอะค่ะ ไปค่ะ”
อุณนิษาดึงมือรามนรินทร์พาเดินออกจากห้องไปทันที จีรนันท์หันมายิ้มหยันใส่รสสุคนธ์กับน้อย
“ขนของไปดีๆ นะจ๊ะ ฮึ งานขี้ข้า”
น้อยฮึดฮัดทำท่าจะไม่ยอมง่ายๆ แต่พอรสสุคนธ์มองปรามก็จำต้องยอม
รถคนนั้นแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถโรงพยาบาล อธิวัฒน์ลงจากรถ เดินยิ้มเข้าตึกโรงพยาบาลไป
ดักรอน้อย
สักพักหนึ่งรสสุคนธ์กับน้อยลงลิฟต์มา สองสาวหิ้วข้าวของของรามนรินทร์มาด้วยกัน
อธิวัฒน์มองไปเห็นก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที ทักน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโปรยเสน่ห์
“สวัสดีครับ คุณน้อย หอบของอะไรเยอะแยะ มาครับ ผมช่วยถือ”
อธิวัฒน์ไม่ได้แค่อาสาด้วยวาจา แต่รีบเข้าไปดึงข้าวของจากมือน้อยมาช่วยถือไว้ รวมทั้งของที่รสสุคนธ์ถือด้วย
“ขอบคุณค่ะ คุณวัฒน์มาเยี่ยมคุณรามเหรอคะ”
“เปล่าหรอกครับ เช้านี้ผมปวดหัวนิดหน่อยเลยมาหาหมอ จะกลับ เห็นคุณน้อยพอดี โชคดีจริงๆ”
อธิวัฒน์มองข้าวของในมือแล้วถาม
“แล้วนี่จะกลับพรหมบดินทร์กันใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นให้ผมไปส่งนะครับ”
น้อยหันไปมองหน้ารสสุคนธ์เป็นเชิงขออนุญาต
รสสุคนธ์เลี่ยงด้วยการปฏิเสธอธิวัฒน์อย่างสุภาพ
“ขอบคุณที่คุณวัฒน์มีน้ำใจ แต่พวกเรากลับแท็กซี่เองได้ค่ะ”
อธิวัฒน์พูดขอร้องรสสุคนธ์ แต่คอยส่งสายตามองไปยังน้อยมีความหมายลึกซึ้งชัดเจน
“สงสัยคุณรสจะยังเคืองเรื่องที่เราเข้าใจผิดกัน ผมอยากจะขอโอกาสเคลียร์ ให้โอกาสผมด้วยนะครับ ผมไม่ใช่คุณนิษาหรือจีจี้ อย่าเอาผมไปเหมารวมกับสองสาวนั่น นะครับ”
“น้อยแล้วแต่คุณรสค่ะ"
น้อยบอกไป ทั้งที่แสดงออกชัดแจ้งว่าอยากรับน้ำใจของอธิวัฒน์
รสสุคนธ์เห็นท่าทีน้อยก็อึดอัดใจ พอคิดว่าแค่ติดรถกลับพรหมบดินทร์ เลยยอมตกลง
“ก็ได้ค่ะ”
อธิวัฒน์ยิ้มย่อง ถือข้าวของเดินนำสองสาวออกไป
รามนรินทร์กำลังจะขึ้นรถของอุณนิษา มองไปเห็นรสสุคนธ์กับน้อยเดินมากับอธิวัฒน์ตรงไปยังรถซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างกัน รามนรินทร์กับรสสุคนธ์ต่างสบตากันและกัน
จีรนันท์กำลังเดินไปที่รถตัวเองเห็นอย่างนั้นก็ตาวาวต่อมหึงผัวทำงานทันที อุณนิษาเชิดใส่แล้วบอกรามนรินทร์ด้วยน้ำเสียงสะใจ
“รสสุคนธ์นี่ไม่ร้างผู้ชายเลยนะคะ พี่ราม”
จีรนันท์อกจะแตก “แต่นั่นมันพี่วัฒน์นะ นิษา”
“แล้วไง ฉันว่ารสสุคนธ์ก็เหมาะสมกับพี่วัฒน์ดีนะ”
“แต่...”
อุณนิษาเบรกจีรนันท์ไม่อยากให้มีเรื่องต่อหน้ารามนรินทร์ แล้วพูดทำนองสั่งกลายๆ
“จีจี้ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ฉันจะรีบไปส่งพี่ราม เธอก็รีบขับตามมา”
จีรนันท์ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ เดินไปที่รถตัวเอง แต่สายตาก็ยังคงมองรถอธิวัฒน์ไม่วางตา
อธิวัฒน์เปิดประตูเอาของเก็บที่ท้ายรถ แล้วก็เดินมาเปิดประตูรถข้างคนขับ น้อยหันมามองหน้ารสสุคนธ์
“น้อยนั่งด้านหน้าเถอะนะ”
รสสุคนธ์ก้าวขึ้นไปนั่งก่อนปิดประตูลง
น้อยมีท่าทีขัดเขิน ขณะขึ้นรถนั่งคู่กับอธิวัฒน์ที่ปิดประตูให้
อธิวัฒน์รีบขึ้นไปประจำที่คนขับแล้วขับรถออกไปทันที
รถของอุณนิษากับอธิวัฒน์ตีคู่กันมา
รามนรินทร์นั่งคู่อุณนิษาอดมองไปที่รสสุคนธ์ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเธอนั่งด้านหลัง แต่รามนรินทร์ก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้
ส่วนจีรนันท์มองจากรถตัวเอง พบว่าคนที่นั่งคู่อธิวัฒน์คือน้อยคู่ปรับ ก็คำรามในลำคอ
“นังน้อย แกไม่ตายดีแน่ๆ
อ่านต่อตอนที่ 12