xs
xsm
sm
md
lg

บาปบรรพกาล ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บาปบรรพกาล ตอนที่ 12

รสสุคนธ์เลี่ยงด้วยการปฏิเสธอธิวัฒน์อย่างสุภาพ

“ขอบคุณที่คุณวัฒน์มีน้ำใจ แต่พวกเรากลับแท็กซี่เองได้ค่ะ”
อธิวัฒน์พูดขอร้องรสสุคนธ์ แต่คอยส่งสายตามองไปยังน้อยมีความหมายลึกซึ้งชัดเจน
“สงสัยคุณรสจะยังเคืองเรื่องที่เราเข้าใจผิดกัน ผมอยากจะขอโอกาสเคลียร์ ให้โอกาสผมด้วยนะครับ ผมไม่ใช่คุณนิษาหรือจีจี้ อย่าเอาผมไปเหมารวมกับสองสาวนั่น นะครับ”
“น้อยแล้วแต่คุณรสค่ะ"
น้อยบอกไป ทั้งที่แสดงออกชัดแจ้งว่าอยากรับน้ำใจของอธิวัฒน์
รสสุคนธ์เห็นท่าทีน้อยก็อึดอัดใจ พอคิดว่าแค่ติดรถกลับพรหมบดินทร์ เลยยอมตกลง
“ก็ได้ค่ะ”
อธิวัฒน์ยิ้มย่อง ถือข้าวของเดินนำสองสาวออกไป

รามนรินทร์กำลังจะขึ้นรถของอุณนิษา มองไปเห็นรสสุคนธ์กับน้อยเดินมากับอธิวัฒน์ตรงไปยังรถซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างกัน รามนรินทร์กับรสสุคนธ์ต่างสบตากันและกัน
จีรนันท์กำลังเดินไปที่รถตัวเองเห็นอย่างนั้นก็ตาวาวต่อมหึงผัวทำงานทันที อุณนิษาเชิดใส่แล้วบอกรามนรินทร์ด้วยน้ำเสียงสะใจ
“รสสุคนธ์นี่ไม่ร้างผู้ชายเลยนะคะ พี่ราม”
จีรนันท์อกจะแตก “แต่นั่นมันพี่วัฒน์นะ นิษา”
“แล้วไง ฉันว่ารสสุคนธ์ก็เหมาะสมกับพี่วัฒน์ดีนะ”
“แต่...”
อุณนิษาเบรกจีรนันท์ไม่อยากให้มีเรื่องต่อหน้ารามนรินทร์ แล้วพูดทำนองสั่งกลายๆ
“จีจี้ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ฉันจะรีบไปส่งพี่ราม เธอก็รีบขับตามมา”
จีรนันท์ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ เดินไปที่รถตัวเอง แต่สายตาก็ยังคงมองรถอธิวัฒน์ไม่วางตา

อธิวัฒน์เปิดประตูเอาของเก็บที่ท้ายรถ แล้วก็เดินมาเปิดประตูรถข้างคนขับ น้อยหันมามองหน้ารสสุคนธ์
“น้อยนั่งด้านหน้าเถอะนะ”
รสสุคนธ์ก้าวขึ้นไปนั่งก่อนปิดประตูลง
น้อยมีท่าทีขัดเขิน ขณะขึ้นรถนั่งคู่กับอธิวัฒน์ที่ปิดประตูให้
อธิวัฒน์รีบขึ้นไปประจำที่คนขับแล้วขับรถออกไปทันที
รถของอุณนิษากับอธิวัฒน์ตีคู่กันมา
รามนรินทร์นั่งคู่อุณนิษาอดมองไปที่รสสุคนธ์ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเธอนั่งด้านหลัง แต่รามนรินทร์ก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้
ส่วนจีรนันท์มองจากรถตัวเอง พบว่าคนที่นั่งคู่อธิวัฒน์คือน้อยคู่ปรับ ก็คำรามในลำคอ
“นังน้อย แกไม่ตายดีแน่ๆ

ทวนสวมหมวกอำพรางใบหน้าขับรถให้แขไข เข้ามาจอดในลานจอดรถบ้านพรหมบดินทร์
“นายทวนรอฉันอยู่ในรถนี่แหละ อย่าโผล่ออกไปให้คนในบ้านพรหมบดินทร์เห็นล่ะ ฉันไม่อยากมีเรื่อง"
"ครับคุณหญิงแข"
รอจนแขไขเดินเข้าไปด้านในเรือนใหญ่ ทวนรีบลงรถเดินลัดเลาะไปอีกทางทันที เพรารู้จักบ้านนี้ทุกซอกมุม

ภาวิดานั่งเล่นทอดอารมณ์อยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ทันระวังตัว ทวนโผล่เข้ามาในห้องแล้วตรงเข้าไปกอดภาวิดาจากด้านหลัง
"คุณหญิงของไอ้ทวน คิดถึงที่สุด" 
ภาวิดาขัดขืนหันมาทุบตีหน้าอกทวนให้ปล่อย ทำท่าไม่ไยดี ทั้งที่ลึกๆ ก็ยังแอบมีเยื่อใย
"แก...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนเนรคุณ"
ทวนไม่ยอมปล่อย แต่กลับหอมภาวิดาด้วยความคิดถึง
"อภัยให้คนเลวคนนี้ด้วยนะครับ"
"บอกให้ปล่อยไง"
ภาวิดาพยายามจะดิ้นให้หลุดแต่ก็สู้แรงทวนไม่ได้
"คุณหญิงครับ มาครับ เราไปเคลียร์กันในห้องนอนดีกว่า จะได้ไม่มีใครมาเห็น"
ทวนพยายามจะอุ้มพาภาวิดาขึ้นห้องนอน แต่ภาวิดาไม่ยอมร้องโวยวายขึ้นเสียงดัง
"อย่านะ มีใครอยู่บ้าง ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย"
ภาณุกรกับแขไขโผล่เข้ามาเห็นพอดี 
"นายทวน"
ภาวิดารีบเบี่ยงตัวจากอ้อมกอดของทวนแล้วชี้หน้าด่ากลบเกลื่อนทันที
"ชายกร เรียกใครมาจับมันโยนออกไปที มันบุกรุก"
"พี่หญิง ใจเย็นๆ นะคะ นายทวนมากับแขค่ะ"
ภาณุกรแปลกใจ "หญิงแข หมายความว่าไง"
"ชายกร ขอหญิงคุยกับพี่หญิงหน่อยนะคะ"
ภาณุกรพยักหน้า แขไขนำภาวิดาเดินออกไป

แขไขกับภาวิดาแยกมาคุยกันที่ศาลาริมน้ำ
"หญิงแข พี่ไม่เข้าใจ หญิงจะช่วยคนเนรคุณอย่างมันทำไม"
"ก็นายทวนมันไม่มีที่ไป"
ภาวิดาเชิดหน้าไม่แยแส
"สมน้ำหน้าแล้วนี่"
"แต่พี่หญิงก็ทราบดีว่า ทั้งจวง ทวน ปริกต่างเป็นคนของแขที่เอามาฝากให้ทำงานที่พรหมบดินทร์เมื่อ 30 กว่าปีก่อนนี้ เพราะพี่หญิงอยากมีมือมีเท้าไว้จัดการนังแม้นมาศ"
"ก็ใช่ เพราะมันอยู่มานานเนี่ยแหละ ฉันถึงเจ็บใจที่เนรคุณได้"
“ถ้ามันนิสัยไม่ดี แขก็ต้องรับผิดชอบ เพราะตัวเองเลี้ยงคนไม่ดี ทำให้พี่หญิงเดือดร้อน”
แขไขยกมือไหว้ภาวิดาด้วยท่าทีนอบน้อมสำนึกผิด แลดูน่าสงสาร
"แขกราบขอโทษพี่หญิงด้วยนะคะ"
ภาวิดาเห็นท่าทางนั้นของแขไขก็ใจอ่อน
"พี่ไม่ได้โกรธเคืองอะไรหญิงแขนี่ มาขอโทษพี่ทำไม แล้วเรื่องที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด ก็เป็นเพราะสันดานเลวๆ ของนายทวน หญิงแขไม่เกี่ยว"
"ถ้างั้นต่อไป แขจะควบคุมนายทวนให้ดี ไม่ให้มาวุ่นวายที่พรหมบดินทร์อีกนะคะ"
"จ้ะ หญิงแขจะจัดการอะไรมันก็เต็มที่เลย พี่แค่ไม่อยากเห็นหน้ามันเท่านั้นเอง"

"ได้ค่ะ พี่หญิง"
 
แขไขโล่งอก
 

อ่านต่อหน้า 2



บาปบรรพกาล ตอนที่ 12 (ต่อ)

อุณนิษาประคองรามนรินทร์เข้ามาในห้องรับแขก รามนรินทร์ยกมือไหว้แขไข อีกฝ่ายรับไหว้ใบหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปพยักพเยิดกับภาวิดาด้วยความพอใจที่เห็นสองคนใกล้ชิดกัน จีรนันท์ตามเข้ามาไหว้ผู้ใหญ่ แล้วหลบไปหามุมนั่งฟังเงียบๆ

ภาณุกรถามหลานชายอย่างเป็นห่วง
"ตาราม ทำไมรีบออกจากโรงพยาบาล แผลหายดีแล้วเหรอ"
"ผมค่อยยังชั่วมากแล้ว เลยมาพักที่บ้านดีกว่าครับ คุณน้า"
แขไขสบช่องรีบเสนอขึ้นพร้อมถามความเห็นภาวิดา
“กลับมาอยู่บ้านก็ดีนะจ๊ะ พี่หญิงคะ หญิงว่าจะให้นิษามาเป็นพยาบาลส่วนตัวคอยดูแลปรนนิบัติใกล้ชิดตารามดีมั้ยคะ”
"ดีสิจ้ะ ดีมากเลยล่ะ"
รามนรินทร์หันไปสบตาภาณุกรเพื่อขอความช่วยเหลือ
"แต่ผมว่าตารามก็มีนมเฟื่องคอยดูแลอยู่แล้ว อย่าไปรบกวนหนูนิษาดีกว่าครับ พี่หญิง"
“เอ๊ะ ชายกร มันจะเหมือนกันที่ไหน หนูนิษามาดูแลตารามในฐานะว่าที่ภรรยา มันก็เหมาะสมแล้ว ที่สำคัญๆ เด็กๆ จะได้ใกล้ชิด ใช้เวลาเรียนรู้กันและกัน พี่ว่าเอาตามนี้แหละ”
ภาณุกรขยับจะค้านแต่แขไขรีบตัดบท พยักพเยิดกับธิดาใจโหด
“นิษารออะไรล่ะลูก รีบพาพี่รามไปพักผ่อนในห้องสิจ๊ะ ไปจ้ะ”
อุณนิษายิ้มพอใจรีบรับคำแล้วประคองรามนรินทร์ที่ขัดไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน
“ค่ะ คุณแม่”
ภาวิดาหันมาชวนแขไขกับจีรนันท์ให้อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกัน
“หญิงแขกับหนูจีจี้ก็อย่าเพิ่งไปไหนนะจ๊ะ เดี๋ยวอยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกัน”
จีรนันท์ยกมือไหว้ขอบคุณน้ำใจของภาวิดา
“ขอบพระคุณค่ะ คุณหญิงป้า”
ภาณุกรขยับลุกขึ้นเดินออกไป
“คุยกันตามสบายนะครับ ผมขอตัว”

อธิวัฒน์เดินมาส่ง สองสาวที่หน้าเรือนใหญ่ อธิวัฒน์ชวนน้อยคุยพร้อมกับคอยส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ตลอดเวลา
“น้อยจะให้ผมเอาของพวกนี้ไปไว้ที่ไหนครับ”
น้อยมัวแต่เขินไม่ตอบ รสสุคนธ์เลยตอบเอง
“คุณวัฒน์ส่งมานี่เถอะค่ะ ดิฉันจะเอาไปให้คุณรามเอง”
อธิวัฒน์ส่งข้าวของให้รสสุคนธ์ที่พอรับมาแล้วก็เดินไปทางเรือนใหญ่ ปล่อยให้น้อยอยู่กับอธิวัฒน์สองคน

อุณนิษาคอยพะเน้าพะนอ ออดอ้อนออเซาะขณะประคองรามนรินทร์พาไปที่ห้องนอน ทำเอารามนรินทร์อึดอัดแต่ก็จำใจต้องยอม
“พี่รามเดินดีๆ นะคะ เจ็บแผลมั้ยคะเนี่ย”
“ไม่หรอกครับ คุณนิษาให้ผมเดินเองดีกว่าครับ”
“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่รามล้มไป นิษาไม่ยอมหรอกค่ะ”
อุณนิษาประคองรามนรินทร์เดินไป รสสุคนธ์เดินถือของผ่านมาพอดี
“คุณรส” รามนรินทร์มองกระเป๋าของตัวเอง
“ฉันแค่จะเอาของของคุณรามจากโรงพยาบาลมาให้น่ะค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ ส่งมาเถอะครับ ผมถือเอง”
“พี่รามขา งานของคนรับใช้ ทำไมต้องไปถือเองด้วย” อุณนิษาวางอำนาจสั่งรสสุคนธ์ “นี่เธอ รีบเอาของไปเก็บสิ แล้วก็ให้ไวด้วยนะ อย่ามาอยู่เกะกะฉันกับพี่ราม”
เฟื่องเดินผ่านมาเห็นพอดี
“คุณรสส่งของของคุณรามมาให้นมเหอะค่ะ นมเอาไปเก็บเอง”
“ขอบคุณค่ะ นมเฟื่อง”
รสสุคนธ์ส่งกระเป๋าให้นมเฟื่องแล้วเดินหลบไป ในใจอดหวั่นไหวไม่ได้ที่เห็นอุณนิษาอยู่กับรามนรินทร์
นมเฟื่องรีบเดินนำเอาของรามนรินทร์ไปเก็บที่ห้องให้
อุณนิษาเหลียวมองตามรสสุคนธ์ยิ้มร้ายสาแก่ใจตามไป

น้อยยืนบิดเป็นงูอยู่แถวหน้าเรือนใหญ่ มีท่าทีขัดเขินชัดแจ้ง เมื่ออยู่กับอธิวัฒน์สองต่อสอง สักพักจึงเห็นนภาเดินหอบแฟ้มเอกสารเดินมาทางนี้ น้อยยกมือไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้
“สวัสดีค่ะ พี่นภา วันนี้มาถึงที่นี่ได้ มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
“สวัสดีค่ะ คุณน้อง พี่นภามาถามข่าวคุณรามน่ะค่ะ”
“คุณรามกลับจากโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้น่าจะถึงแล้ว”
“ขอบใจมากค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะ”
นภาเดินแยกจากไป อดมองสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอธิวัฒน์มาอยู่กับน้อย
น้อยเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับอธิวัฒน์เลยเอ่ยขอบคุณ
“น้อยขอบคุณที่คุณวัฒน์มาส่งนะคะ”
อธิวัฒน์ยิ้มหวานตาเชื่อม “น้อยเรียกพี่วัฒน์ดีกว่านะครับ เรียกคุณ มันห่างเหินจัง”
“ค่ะ พี่วัฒน์”
“ตั้งแต่เช้ามา พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ”
“อุ๊ย งั้นเดี๋ยวน้อยไปทำอะไรให้กินนะคะ พี่วัฒน์ไปรอที่ศาลาริมน้ำก็ได้ค่ะ”
“พี่ไปช่วยทำด้วยดีกว่าครับ นะครับ”
น้อยพยักหน้ารับ อธิวัฒน์เดินตามน้อยไปทางโรงครัว
จีรนันท์เดินออกมา ไม่ทันเห็นว่าผัวเดินไปกับน้อย เห็นแต่รถอธิวัฒน์
“พี่วัฒน์ หายหัวไปไหนเนี่ย”

อุณนิษาประคองรามนรินทร์พามานอนบนเตียง
“พี่รามนอนรอบนเตียงนะคะ เดี๋ยวนิษาจะเช็ดตัวให้”
รามนรินทร์อึดอัดมองหาตัวช่วย พอดีเฟื่องเก็บของเสร็จจะไป รามนรินทร์เลยพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวนมเฟื่องก็ทำให้เอง”
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวนมทำเองนะคะ คุณนิษา”
อุณนิษาขึงตาใส่เฟื่องที่เข้ามาสอด ขยับเข้าไปพูดเสียงกระซิบเสียงแข็งกร้าว
“อย่ามาสอด ออกไป”
เฟื่องเลยจำต้องรีบออกจากห้องไป
อุณนิษายิ้มยั่วยวนรามนรินทร์ ส่งตาหวานซึ้งมาให้พร้อมกับเริ่มแกะกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ
“พี่รามถอดเสื้อก่อนนะคะ จะได้เช็ดตัวง่ายๆ”
“แต่ว่า...ผม...เอ่อ...”
“อะไรกันคะ อย่าดื้อสิคะ ต่อไปเราแต่งงานกัน นิษาคงได้ทำมากกว่าแค่ถอดเสื้อ จะเขินทำไมคะ”
อุณนิษารุกเร้า พยายามกระชากเสื้อออก ถลาเข้าไปกอดซบอกรามนรินทร์ออดอ้อนออเซาะ
“ได้กอดพี่รามเนี่ย นิษาอบอุ๊นอบอุ่นค่ะ”
“คุณนิษา อย่าทำอย่างนี้เลยนะครับ”
อุณนิษายิ่งรุกหนักทำท่าจะเผยอจูบรามนรินทร์ แต่ดันมีเสียงเคาะประตูหน้าห้องนอนขัดขึ้นพอดี
“ใครน่ะ” อุณนิษาตวัดสายตาไปมองไม่พอใจ

เป็นนภายืนถือแฟ้มเอกสารอยู่หน้าห้อง พร้อมกับเคาะร้องเรียกอีก
“นภาเองค่ะ บอส”
“เชิญครับ คุณนภา”
นภาเปิดประตูห้องนอนรามนรินทร์เข้าไปพร้อมส่งเสียงนำไปก่อน
“ฮัลโหล รบกวนหน่อยนะคะ”

ทางเดินจากบ้านพรหมบดินทร์ไปทางเรือนไม้หอม ภาณุกรเดินเล่นมาเรื่อยๆ ตามทางนี้ รสสุคนธ์เดินออกจากเรือนใหญ่มาเจอพอดี รีบยกมือไหว้ ภาณุกรรับไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณชายกร จะไปเรือนไม้หอมเหรอคะ”
“อาก็เดินไปเรื่อยเปื่อย หนูรสล่ะ เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลล่ะสิ”
“พอดีคุณรามออกจากโรงพยาบาลแล้ว คุณนิษาเธอพากลับเอง”
“อารู้ เจอกันแล้ว หนูรสก็อย่าคิดมากเลยนะ หนูทำหน้าที่พยาบาลดีที่สุดแล้ว”
“ค่ะ คุณชาย”
ภาณุกรมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า
“หนูรสมีอะไรจะทำก็ไปเถอะ ฉันจะเดินเล่นไปทางโน้น เดี๋ยวก็คงกลับตึกใหญ่”
ภาณุกรยิ้มให้แล้วเดินไปทางสระบัว ขณะที่รสสุคนธ์เดินเข้าเรือนไม้หอมไป

พอนภาเดินเข้ามาในห้อง อุณนิษาถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันที ส่วนรามนรินทร์หลบไปใส่เสื้อ...
“คุณนภา มาทำไม ที่โรงแรมไม่มีงานทำเหรอคะ”
“ดิฉันมาทำงานไงคะ แต่เอ ดิฉันน่าจะถามคุณนิษามากกว่าว่าไม่ทำงานเหรอคะ ทำไมมาอยู่ในห้องนอนบอสได้”
“เธอก็รู้ว่าฉันกับพี่รามเป็นอะไรกัน ฉันจะอยู่ในห้องนี้หรืออยู่ที่ไหนๆ กับพี่ราม ก็ไม่เกี่ยวกับเลขาฯ แก่ๆ อย่างเธอ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นเลขาคุณราม เป็นเลขาตัวจริง เลยต้องเอางานมาให้นายตรวจ แล้วก็มาคุยมาปรึกษาเรื่องงาน ไม่เหมือนเลขาเก๊ๆ ที่พอนายไม่อยู่ก็ไม่เข้าออฟฟิศ”
อุณนิษาแทบเต้น “แก...แกกล้าดียังไงมาว่าฉัน ฉันจะฟ้องคุณหญิงป้า”
ก่อนที่อุณนิษาจะแผลงฤทธิ์ใส่นภามากกว่านี้ รามนรินทร์เดินออกมาพอดี
“คุณนภา มีงานอะไรจะให้ผมดูเหรอครับ เดี๋ยวเราไปคุยกันในห้องทำงานของน้ากรก็ได้ครับ”
“ได้ค่ะ บอส”
นภารับเอาคำเจ้านายแล้วเดินเชิดใส่อุณนิษาที่ตีหน้ายักษ์ไม่พอใจ ออกไป รามนรินทร์เปิดประตูเดินนำนภาไปทางห้องทำงานภาณุกร
“สาระแนจริงๆ นังนภา ไว้ให้มีโอกาสเหอะ แกต้องกระเด็น”
อุณนิษาถูกทิ้งไว้กลางหาว อารมณ์ค้างเติ่ง ได้แต่ฮึดฮัดโมโหโกรธาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกระแทกเท้าเดินหุนหันออกไปอย่างขัดใจ

ภาณุกรเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงสระบัว ประมุขพรหมบดินทร์สังเกตเห็นร่องรอยแปลกๆ เหมือนมีคนต่อสู้กัน แถมตรงขอบสระบัวก็แลเห็นปลายเสียมยื่นออกมานิดๆ
แสงตะวันเวลาใกล้เที่ยงกระทบกับสร้อยข้อมือเพชรซึ่งติดอยู่ที่กอบัวแยงสายตา ภาณุกรสงสัยเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วหยิบขึ้นมาดู มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสร้อยข้อมือเพชรแท้ คุณชายก็ยิ่งแปลกใจ
“สร้อยข้อมือเพชรนี่ ของแท้ซะด้วย ของใครมาทำหล่นไว้แถวนี้นะ”
ภาณุกรเก็บสร้อยข้อมือเพชรไป แล้วมองสำรวจรอบๆ บริเวณสระบัว แต่ไม่เห็นอะไรอีก ทว่าความสงสัยยังคงพลุ่งพล่านติดค้างอยู่ในใจ
หากภาณุกรมีดวงตาสามารถมองทะลุไปในก้นสระได้ จะเห็นศพปริกจมน้ำอยู่ สภาพศพเริ่มบวมขึ้นอืดนิดๆ

ด้านอุณนิษาเดินหงุดหงิด ออกมาด้านหน้าเรือนใหญ่บ้านพรหมบดินทร์ ขุ่นเคืองใจไม่คลายที่นภามาแทรกตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ลมพัดมาวูบใหญ่จนหล่อนต้องขยับมือจับทรงผมที่โดนลมพัด แต่แล้วต้องเอะใจเมื่อมองข้อมือตัวเองพบว่าสร้อยเพชรที่เคยใส่ประจำหายไป
“สร้อยข้อมือล่ะ หายไปไหน”
อุณนิษาพยายามนึกทบทวน คิดไปถึงเหตุการณ์วันที่ต่อสู้กับปริกริมสระบัว
ปริกถูกเสียมฟาดกกหูสุดแรงจนตกลงไปในสระบัว แต่ไม่ตาย ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นมาสู้ แต่อุณนิษาปรี่เข้าไปจับศีรษะปริกกดน้ำ ปริกดิ้นรนสุดชีวิต มือป่ายปะไปมา และป่ายไปโดนสร้อยข้อมือเพชรของอุณนิษาหลุดร่วงลงไปในกอบัว
อุณนิษาเริ่มกังวลว่าสร้อยข้อมือน่าจะร่วงหลุดตอนต่อสู้กับปริก
“หรือว่าจะร่วงตอนนั้น”

อุณนิษารีบเดินจ้ำไปทางสระบัวทันที

อ่านต่อหน้า 3



บาปบรรพกาล ตอนที่ 12 (ต่อ)

อธิวัฒน์ถึงกับลงทุนมากินข้าวเที่ยงกับน้อยในครัว เพื่อเอาใจ แถมยังชมน้อยไม่ขาดปาก

“น้อยเนี่ย นอกจากจะสวยน่ารัก ทำงานเก่งแล้วยังทำอาหารอร่อยด้วยนะ ดูสิ พี่วัฒน์กินหมดจานเลย”
“พี่วัฒน์พูดเกินไปหรือเปล่าคะ แค่ข้าวไข่เจียวธรรมดาๆ”
“ใครว่าธรรมดา ทำจากฝีมือของคนพิเศษ ไม่ธรรมดาแน่นอนครับ”
พร้อมกับที่ว่าอธิวัฒน์จ้องตาน้อยด้วยแววตาลึกซึ้ง จนน้อยเขินอาย เผลอใจไปกับท่าทางของอธิวัฒน์ แล้วรีบเก็บจานอาหารที่กินเสร็จจะไปล้าง อธิวัฒน์รีบอาสาช่วยเอาใจ
“มา พี่ช่วยล้างนะครับ”
น้อยอายม้วน ยอมให้อธิวัฒน์มาช่วยล้างจาน
“ขอบคุณค่ะ”
เฟื่องมองดูท่าทีน้อยกับอธิวัฒน์แล้วไม่สบายใจมาก เป็นห่วงหลาน รสสุคนธ์เดินมาเห็นภาพนั้นด้วยเลยพูดขึ้นว่า
“นมเฟื่องเป็นห่วงน้อยใช่มั้ยคะ”

เฟื่องกับรสสุคนธ์หลบมาคุยกันด้านนอกโรงครัว
“น้อยมันไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังเล่นกับไฟ นมห่วงจริงๆ ค่ะ คุณรส”
“น้อยมองโลกสวยเกินไปมั้งคะ”
“แล้วนมจะทำยังไงดีคะ คุณรส”
“นมอย่าเพิ่งคิดมาก รสจะดูแลเป็นหูเป็นตาให้เองค่ะ”

อุณนิษาก้มๆ เงยๆ มองหาสร้อยแถวๆ สระบัว ท่าที กลัวๆ กล้าๆ ไม่อยากจะเข้าไปใกล้ตรงจุดเกิดเหตุที่ถีบศพปริกลงน้ำไป สุดท้ายหาไม่เจอ เลยบอกปลอบตัวเองเพื่อให้ไม่กังวล
“ไม่น่าจะร่วงที่นี่ เราคงคิดมากไปน่า...”
จู่ๆ ก็มีมือยื่นมาจับที่ไหล่อุณนิษาหมับจากด้านหลัง หล่อนตกใจ ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง
“อ๊าย อย่านะ”
เป็นจวงที่ยืนยิ้มหน้าเจื่อนๆ อย่างรู้สึกผิดอยู่ทางด้านหลัง
“คุณนิษา จวงเองค่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
อุณนิษาฉุน “ทีหลังอย่าทักกันอย่างนี้นะ นังจวง ว่าไงมีอะไร”
“ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ คุณหญิงให้มาตาม”
อุณนิษารีบเดินจ้ำกลับเรือนใหญ่ไป
จวงก็ไม่ได้ติดใจสักนิดว่า ร่างไร้วิญญาณของน้องกองขึ้นอื่นอยู่ใต้สระบัวที่กำลังเดินจากมานี้เอง

นมเฟื่องมองรสสุคนธ์ที่กำลังแบ่งอาหารกลางวันใส่ปิ่นโตแล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“คุณรสจะเอาอาหารใส่ปิ่นโตไปไหนเหรอคะ”
“รสจะเอาไปให้ผู้มีพระคุณค่ะนม”
รสสุคนธ์ปิดฝาปิ่นโต แล้วลุกเดินออกไปจากโรงครัว

ด้านภาวิดามายืนส่งแขไขที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วและกำลังจะกลับ มีทวนขับรถให้ อุณนิษากับจีรนันท์ยกมือไหว้ลาภาวิดา แล้วเดินไปที่รถของตัวเอง
ทวนคอยส่งสายตาละห้อยโหยหามาให้ภาวิดาตลอด แต่ภาวิดาไม่แยแสหมุนตัวหนีเข้าบ้านไป แขไขเร่งให้ทวนออกรถไป
“ไปได้แล้วนายทวน”
“ครับ คุณหญิงแข”
อุณนิษาขึ้นรถก่อน แล้วหันมาบอกลาจีรนันท์
“แล้วเจอกัน”
“ฉันเห็นรถพี่วัฒน์อ่ะ”
“เธอก็ต้องเห็นสิ พี่วัฒน์มาส่งนังรสกับนังน้อยนี่ แต่ฉันห้ามเธอมีเรื่องที่พรหมบดินทร์ ไปเคลียร์กันข้างนอก เข้าใจมั้ย”
จีรนันท์พยักหน้า ทั้งที่ในใจร้อนเป็นไฟ จำใจต้องขึ้นรถแล้วขับตามรถของอุณนิษาออกไป

รสสุคนธ์หยิบถ้วยอาหารจากปิ่นโตมาจัดวางเรียงให้ตาดำ
“บ่ายแล้ว คุณตารีบมากินข้าวเที่ยงสิคะ”
“หนูไม่เห็นจะต้องลำบาก เอาอะไรมาให้ข้าเลย คนอย่างข้ามีอะไรก็กินไป ข้ากินเพื่ออยู่ ถ้าไม่มีก็ไปขอข้าววัดกินได้”
“แต่วันนี้มีแกงเขียวหวานไก่กับไข่เจียว มากินเถอะนะคะ คุณตาดำ”
ตาดำยิ้มรับน้ำใจของรสสุคนธ์ ยอมตักข้าวกิน รสสุคนธ์มองด้วยความปลื้มใจ

ภาวิดาเดินกลับเข้ามาในบ้านเจอกับภาณุกรพอดี สะดุดตาที่พบว่าในมือภาณุกรถือสร้อยข้อมือเพชรอยู่ และจำได้ เอ่ยถามขึ้นทันที
“นั่นมันสร้อยข้อมือเพชรของหนูนิษานี่ ชายกร”
ภาณุกรแปลกใจ “พี่หญิงทราบได้ไงครับ”
“ก็พี่เป็นคนให้หนูนิษาเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วกะมือ ชายกรไปเจอที่ไหนเหรอ”
ภาณุกรกลับไม่ตอบว่าเจอที่ไหน เพราะมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
“ถ้ารู้เจ้าของแล้วก็ดีครับ ไว้ผมจะคืนกับหนูนิษาเองครับ”
ภาวิดาไม่ติดใจอะไร เลยเดินเข้าด้านในบ้านไป
ภาณุกรก้มลงมองสร้อยข้อมือเพชรด้วยแววตาครุ่นคิดสงสัย
“สร้อยของหนูนิษา ทำไมไปตกแถวๆ สระบัวได้”
ภาณุกรสังหรณ์ใจโดยประหลาด ตัดสินใจเก็บสร้อยเส้นนั้นไว้เพื่อติดตามดูความเคลื่อนไหวของอุณนิษาต่อไป

เวลาผ่านไปเล็กน้อย รสสุคนธ์เดินสำรวจไปรอบๆ บ้านสวน แล้วหันมาถามตาดำที่กินข้าวอิ่มแล้วด้วยความเป็นห่วง
“คุณตาคะ บ้านที่คุณตาอยู่นี่เป็นที่ดินของคุณตาเองหรือเปล่าคะ”
ตาดำส่ายหน้าบอกอย่างเจียมตัว
“คนอย่างข้า จะไปมีปัญญาเป็นเจ้าของที่ดินได้ไง ดีที่คุณชายภาณุกรท่านใจดี ให้เช่าถูกๆ”
“ที่แท้ก็เป็นที่ดินของตระกูลพรหมบดินทร์นี่เอง แล้วคุณตามีสัญญาเช่ามั้ยคะ”
ตาดำส่ายหน้าอีกรอบ
“สัญญาอะไร ข้าไม่รู้เรื่องหรอก”
สาวแสนดีเริ่มเป็นห่วงตาดำ ถ้าเช่าแล้วไม่มีสัญญา หากมีการไล่ที่จะลำบาก
“ไม่มีสัญญา ถ้าเจ้าของเค้าไล่ จะทำไงล่ะคะ”
“ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม”
รสสุคนธ์ครุ่นคิด อยากจะช่วยเหลือตาดำผู้มีพระคุณ

อธิวัฒน์นั่งอยู่ในรถ โบกมือยิ้มหวานลาน้อยที่ยิ้มตอบ รถของอธิวัฒน์แล่นออกไปจากบ้านพรหมบดินทร์ น้อยโบกมือส่งแล้วกำลังหมุนตัวจะกลับ...เฟื่องยืนมองอยู่ แล้วก็เข้าไปอบรมน้อยเป็นชุด
“น้อย ยายอยากจะเตือนเรื่องคุณอธิวัฒน์ เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ ถ้าไม่อยากมีปัญหาร้อนใจ ของที่สูงสุดสอย เราไม่ควรตะเกียกตะกายเอามา ต้องหัดเจียมตัวเจียมใจไว้ เข้าใจที่ยายบอกมั้ย”
“ยาย ไปกันใหญ่แล้ว มาเป็นชุดใหญ่เลย น้อยก็แค่ขอบคุณพี่ เอ๊ยคุณวัฒน์ที่มีน้ำใจ แล้วก็เคยช่วยเหลือน้อยตอนจะโดนพวกอันธพาลรังแกเท่านั้นเองจ้ะ ยาย”
“บุญคุณก็ตอบแทนกันไปแล้ว ต่อไปนี้ก็เลิกยุ่ง ถ้าไม่เชื่อกัน ก็อย่ามานับถือว่าข้าเป็นยาย”
“จ้ะ ยาย”
น้อยพยักหน้ารับปากไปงั้นๆ แววตาอัดอั้นไม่สบายใจ เพราะหลงเสน่ห์อธิวัฒน์เข้าให้แล้ว

รสสุคนธ์มาหารามนรินทร์ พอเห็นว่าเขายังนั่งเคลียร์งานอยู่ในห้องทำงาน ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณราม ทำไมยังทำงานอยู่คะ แผลยังไม่หายดีเลยนะคะ”
รามนรินทร์วางปากกาแล้วเงยหน้ามายิ้มให้รสสุคนธ์ ดีใจที่เจอหน้า พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ
“ผมคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอหน้าคุณรสซะแล้วสิครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ก็ผมเห็นคุณรสมีแขกสำคัญ ไปรับกันถึงโรงพยาบาลเลย”
“คุณรามเองก็มีคนสำคัญอย่างคุณนิษาไปรับเหมือนกันนี่คะ”
ฟังแล้ว รามนรินทร์เลยหายน้อยใจ ตัดบทคุยเรื่องอื่น
“ไม่เอา เราเลิกพูดเรื่องคนอื่นดีกว่า เย็นแล้วคุณรสมาที่ห้องทำงานทำไมครับเนี่ย”
รสสุคนธ์ตัดสินใจบอกวัตถุประสงค์ที่มา
“จริงๆ แล้วฉันมาหาคุณรามค่ะ”
รามนรินทร์ยิ้มกว้าง ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น
“ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะครับ”
“คือ ฉันอยากจะมาชวนคุณรามไปพบกับใครคนหนึ่งที่ช่วยเราสองคนไว้วันนั้นน่ะค่ะ”
“ครับ ผมก็อยากพบผู้มีพระคุณคนนั้นเหมือนกัน ขอผมเก็บงานก่อน แล้วเราไปกันนะครับ”
รามนรินทร์รีบเก็บงานเอกสารแล้วตามรสสุคนธ์ออกไป

ไม่นานต่อมา รสสุคนธ์แนะนำรามนรินทร์ให้รู้จักกับตาดำ
“คุณตาคะ นี่คุณรามนรินทร์ หลานชายของคุณชายภาณุกร คนที่คุณตาช่วยไว้วันนั้น จำได้มั้ยคะ”
ตาดำกำลังจะยกมือไหว้รามนรินทร์ที่มากับรสสุคนธ์ รามนรินทร์รีบร้องห้ามแล้วไหว้ตาดำแทน
“ตาครับ อย่าไหว้ผมเลยครับ ผมสิครับต้องไหว้คุณตา ผู้มีพระคุณของผมกับคุณรส”
“ใช่ค่ะ” รสสุคนธ์ยกมือไหว้ตาดำ
“แต่ว่า คุณเป็นหลายชายเจ้าของที่ดิน”
“แต่ผมเป็นเด็ก ต้องไหว้ผู้ใหญ่สิครับ”
รามนรินทร์ไหว้ตาดำอีกรอบ ภาณุทัตในคราบตาดำได้เจอหลานชาย และพบว่าเขาเป็นคนดีก็ยิ้มซ่อนความปลื้มใจไว้
“งั้นก็ไหว้พระเหอะ ขอให้เจริญๆ ทั้งสองคนเลยนะ”
สองคนยิ้มรับเอาคำอวยพรของตาดำอย่างยินดี

ผ่านเวลา ตาดำเอาน้ำสมุนไพรที่ปรุงเองมาเสิร์ฟให้รามนรินทร์กับรสสุคนธ์กิน
“น้ำสมุนไพร กินดีมีประโยชน์กับสุขภาพ คนจนอย่างข้าก็คงตอบแทนคุณทั้งสองคนได้เท่านี้แหละ”
รามนรินทร์ยิ้มขอบคุณ “แค่นี้พวกเราก็ซึ้งในน้ำใจของคุณตาแล้วล่ะครับ”
“ใกล้จะมืดจะค่ำแล้ว รีบกลับกันเหอะ”
“งั้นรสลาคุณตานะครับ”
“ผมด้วยครับ”
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์ยกมือไหว้ลา ตาดำรับไหว้ มองส่งสองหนุ่มสาวด้วยสีหน้าปลื้มใจ

ระหว่างทางเดินจากบ้านสวนไปบ้านพรหมบดินทร์ รสสุคนธ์เอ่ยปรึกษารามนรินทร์ขึ้นว่า
“คุณรามคะ ฉันว่าจะปรึกษาเรื่องสัญญาเช่าที่ดินของตาดำน่ะค่ะ”
“ผมก็ว่าจะไปค้นเอกสารว่าไม่มีสัญญาจริงหรือเปล่า”
“ขอบคุณนะคะ”
“คุณรสไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมก็อยากตอบแทนบุญคุณตาดำเหมือนกัน”
รสสุคนธ์ยิ้มปลื้มที่รามนรินทร์แสนดีมีน้ำใจกับตาดำเช่นเดียวกับตน

รสสุคนธ์กับรามนรินทร์อยู่ในออฟฟิศบนเรือนใหญ่ สองคนช่วยกันรื้อค้นแฟ้มหลายแฟ้มเพื่อหาสัญญาเช่าที่ดินของตาดำ แต่ก็ไม่พบ
“แฟ้มนี้สุดท้ายแล้ว ถ้าไม่เจอ ก็แสดงว่าไม่เคยมีสัญญาจริงๆ”
“งั้นถ้าต้องทำสัญญาขึ้นมาใหม่ ฉันเสนอว่าให้ทำระยะยาว ตาจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องถูกไล่ที่”
“ครับ ผมเห็นด้วย แล้วก็ยินดีมาก จะเก็บราคาถูกๆ ด้วย เดือนไหนไม่มี ไม่ต้องจ่ายก็ได้”
รสสุคนธ์กำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ แต่รามนรินทร์รีบพูดดักคอสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณรสไม่ต้องขอบคุณผมอีกนะครับ”
“ไม่ขอบคุณก็ได้ค่ะ แต่จะช่วยคุณรามเตรียมสัญญาไปให้ตาดำเซ็นพรุ่งนี้ ดีมั้ยคะ”
“ดีครับ”
“งั้นพรุ่งนี้ตอนไปเซ็นสัญญา ฉันจะไปทำอาหารให้ตาดำกินด้วย”
“เยี่ยมเลยครับ ผมช่วยทำด้วยนะครับ ทำไปกินไป น่าสนุก”
“ฉันทำให้ตาดำกินต่างหาก”
“ถือว่าผมอาศัยเกาะตาดำกินด้วยละกันครับ”
“ตกลงค่ะ”
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์ยิ้มให้กัน สบตากันมีความหมายลึกซึ้ง แม้ไม่พูดก็รู้ว่าสองคนมีใจให้กัน

คฤหาสน์บ้านแขไขตกอยู่ในแสงสลัวยามค่ำคืน
ภายในห้องน้ำในห้องนอนหรูของอุณนิษายามนี้ เจ้าหล่อนนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำสวยหลับตาพริ้มอย่างผ่อนคลายอยู่นั้น จู่ๆ น้ำในอ่างก็มีพรายน้ำผุดขึ้นมาเหมือนมีใครอยู่ร่วมอ่างด้วย อุณนิษายังไม่เห็น หันไปหยิบแก้วไวน์มาจิบ แล้ววางไว้ข้างๆ ระหว่างนี้เองอุณนิษาแลไปเห็นพรายน้ำนั้นพอดี ก็มองจ้องอย่างแปลกใจ
จู่ๆ ผีปริกในสภาพหน้าขาวเป็นกระดาษตัวบวมฉึ่ง กลิ่นชวนสะอิดสะเอียนก็โผล่พรวดขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ
“แฮ่”
อุณนิษาตกใจสุดขีด กรี๊ดลั่นห้อง “อ๊าย...”

แขไขโผล่พรวดเข้ามาในห้องอุณนิษา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน ห่วงใยระคนตกใจ
“นิษา ร้องทำไม เกิดอะไรขึ้น”
อุณนิษาที่สวมเสื้อคลุมอาบน้ำลวกๆ ยังมีฟองเกาะตามแขนขาอยู่ วิ่งตัวสั่นออกมาจากในห้องน้ำ...
“คือว่า...คือว่า...”
แขไขชะโงกหน้าเข้าไปในห้องน้ำพยายามมองหาสาเหตุ
“อะไรเหรอลูก”
อุณนิษาไม่ยอมเล่าเช่นเคย โกหกแก้ตัวไป
“นิษาแค่ตกใจ”
“ไหน ในห้องน้ำมีอะไร ขอแม่ดูหน่อย”
“จิ้งจกบนเพดานร่วงลงมาที่พื้นห้องน้ำน่ะค่ะ” เจ้าหล่อนว่า
“ปกตินิษาไม่เคยกลัวจิ้งจกนี่ลูก แน่ใจเหรอ”
“นิษามัวแต่นอนแช่น้ำเพลินๆ เลยตกใจอะค่ะ”
แขไขเข้าไปจับเนื้อตัวลูกสาว พยายามสำรวจว่าเป็นอะไรหรือไม่ แล้วก็เอะใจที่ไม่เห็นสร้อยข้อมือ
“นิษา สร้อยข้อมือเพชรที่คุณหญิงดาให้ไปไหน ปกติแม่เห็นนิษาใส่ติดตัวตลอดนี่ลูก”
อุณนิษายิ่งอึกอัก มีพิรุธ แต่ก็ยังเลือกที่จะโกหกมารดาอีกรอบ
“นิษาถอดออกตอนอาบน้ำน่ะค่ะ คุณแม่ กลัวมันจะหมอง”
แขไขพยักหน้ารับรู้

สายวันนี้ รสสุคนธ์กับรามนรินทร์ช่วยกันเตรียมเครื่องเคียงเครื่องปรุง และเริ่มลงมือทำอาหารด้วยกันในครัวเล็กๆ ที่บ้านสวน ตาดำแอบดูสองหนุ่มสาวใกล้ชิดกันอย่างเพลิดเพลินและฟิน
สองคนยิ้มหัวให้กันตั้งแต่ตอนเตรียมเครื่อง จนถึงตอนปรุงรสอาหาร ผลัดกันชิม ผลัดกันทำ มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมาก
อาหารง่ายๆ เสร็จแล้ว วางอยู่ตรงหน้า สามคนกินอาหารด้วยกัน รามนรินทร์แอบมองหน้ารสสุคนธ์แล้วอมยิ้มด้วยความสุข รสสุคนธ์เองก็เขินอาย ตาดำมองหนุ่มสาวทั้งคู่แล้วแน่ใจว่ารักกันมีใจให้กันแน่นอน
หลังอาหารมื้ออร่อยผ่านไปอย่างชื่นมื่น รามนรินทร์ส่งปากกาให้ตาดำเพื่อเซ็นชื่อลงในสัญญาเช่าที่ดิน
“คุณตาเซ็นชื่อตรงผู้เช่าได้เลยครับ”
รสสุคนธ์มองลุ้น ตาดำอึกอัก สุดท้ายส่ายหน้า
“ข้าเขียนหนังสือไม่เป็น จะเซ็นยังไงล่ะ”
สองหนุ่มสาวสบตากัน พยายามหาทางช่วย รสสุคนธ์จึงเสนอความคิดขึ้นมา
“ถ้าคุณตาเซ็นชื่อไม่ได้ ให้คุณตาปั๊มรอยนิ้วมือแทนได้มั้ยคะ คุณราม”
รามนรินทร์พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ครับ ปั๊มรอยนิ้วมือก็ได้”
เป็นความรอบคอบของสองคนที่เตรียมหมึกมาด้วย รามนรินทร์ส่งสัญญาเช่าให้ตาดำเก็บไว้ 1 ชุด
“นี่ครับ คู่สัญญา คุณตาเก็บไว้หนึ่งชุดเพื่อเป็นหลักฐานนะครับ”
ตาดำรับซองใส่สัญญาไปน้ำตาซึมกับความมีน้ำใจของสองหนุ่มสาว
“ตาขอบใจหลานสองคนมาก ขอให้รักกันนานๆ นะ”
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์รีบพากันปฏิเสธพัลวัน
“หนูกับคุณรามไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ”
“ครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกับคุณรส แต่...”
รามนรินทร์มองรสสุคนธ์ด้วยแววตาลึกซึ้ง ตาดำอมยิ้มแล้วก็พูดขึ้นเป็นนัยๆ
“เชื่อสายตาคนแก่เหอะ คุณสองคนเหมาะสมกันมาก ตระกูลสองตระกูลมีวาสนาต่อกัน ใครก็ห้ามไม่ได้”

รามนรินทร์กับรสสุคนธ์มัวแต่เขิน เลยไม่ได้จับสังเกตคำพูดมีนัยของตาดำ

อ่านต่อหน้า 4



บาปบรรพกาล ตอนที่ 12 (ต่อ)

คืนนี้เป็นคืนที่สามหลังจากปริกตายโหง มีเสียงร้องไห้โหยหวนชวนหลอกหลอน ดังขึ้นมาอีก รสสุคนธ์เดินมาดูแถวๆ สระบัว เห็นคนนั่งหันหลังร้องไห้อยู่ รสสุคนธ์กำลังจะเข้าไปปลอบ
“ใครคะ ร้องไห้ เป็นอะไรเหรอคะ”
ร่างที่หันมาเป็นปริก แต่เพราะรอบบริเวณมืดเลยยังไม่เห็นว่าใบหน้าปริกซีดเป็นกระดาษ รสสุคนธ์เห็นแค่เป็นปริก จึงโล่งใจ ถามออกไป
“อ้าว น้าปริกนี่เอง แล้วเป็นอะไร ทำไมมานั่งตรงนี้จ๊ะ”
ปริกไม่ตอบ ใบหน้าคนกลายเป็นหน้าผีร้ายชวนสยอง
“คุณฆ่าฉันทำไม”
ผีปริกไม่รอให้รสสุคนธ์ตอบ พุ่งเข้าบีบคอรสสุคนธ์หมายจะฆ่าทิ้ง รสสุคนธ์พยายามดิ้นหนีแต่สู้แรงผีไม่ไหว หายใจไม่ออก และตกใจมาก
“ยะ..อย่า...ปะ...ปล่อย...”
“กูไม่ปล่อย มึงต้องตาย”
แม้นมาศโผล่มาตวาดและช่วยรสสุคนธ์ไว้
“มึงปล่อยหลานกูเดี๋ยวนี้นะ อีปริก”
ผีปริกเห็นแววตาอันทรงพลังเปี่ยมอิทธิฤทธิ์ของผีรุ่นเก๋าอย่างแม้นมาศก็กลัว ยอมปล่อยรสสุคนธ์แล้วหายแวบไป รสสุคนธ์จับลำคอตกใจมากกว่ากลัว แล้วความสงสัยก็พุ่งเข้ามาในความคิดสาวผู้เห็นผี ถามออกไปทันที
“ย่าเล็กคะ น้าปริกตายแล้วใช่มั้ยคะ”

รสสุคนธ์กลับขึ้นเรือน กำลังซักถามแม้นมาศอยู่ในเรือนไม้หอม
“ว่าไงคะ ย่าเล็ก น้าปริกตายแล้วเหรอคะ”
แม้นมาศพยักหน้าแทนคำตอบแล้วถอนหายใจ
“คืนนี้เป็นคืนที่สาม นังปริกมันถึงโผล่พรวดขึ้นมาให้แม่รสเห็น”
รสสุคนธ์ขยับจะลงเรือนไปเพื่อไปแจ้งรามนรินทร์
“รสต้องไปบอกคุณรามที่ตึกใหญ่”
แม้นมาศเข้ามาขวางรสสุคนธ์ไว้พร้อมห้าม
“อย่านะ แม่รส”
“มีคนตายในบ้านตั้งสามวันแล้ว เราต้องบอกเจ้าของบ้านสิคะ ย่าเล็กมาห้ามรสทำไม”
“ที่ห้ามก็เพราะคนที่ฆ่านังปริกมันต้องการใส่ร้ายแม่รสไง หวังดี สุดท้ายจะกลายเป็นภัยย้อนมาเข้าตัวเอง”
“แต่...”
“แม่รสอยู่เฉยๆ ดีกว่า เดี๋ยวศพนังปริกมันก็ขึ้นมาฟ้องคนที่ฆ่ามันเองแหละ”
รสสุคนธ์พยักหน้ารับฟังสิ่งที่แม้นมาศบอกเตือน แต่สีหน้าและแววตาไม่สบายใจเลย
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังโหยหวนแว่วเข้ามาเป็นระยะ

เช้าวันใหม่ แถวนอกรั้วบ้านพรหมบดินทร์ จีรนันท์พาตัวเองมาจอดรถแอบซุ่มดูสักระยะหนึ่งแล้ว พอมองรถของอธิวัฒน์แล่นเข้าไปด้านใน ก็เกิดอาหารหึงหวง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
“พี่วัฒน์ แอบมาหานังน้อยแต่เช้าเลยนะ”
จีรนันท์ลงจากรถ แล้วเดินตรงไปยังประตูเล็กเข้าบ้านพรหมบดินทร์ไป

ที่บริเวณสระบัว น้อยกับสร้อยกำลังเดินมาเก็บสายบัวไปทำกับข้าว อธิวัฒน์ตามมาด้วย
“เนี่ยถ้าให้น้ามาเก็บสายบัวคนเดียว แถวๆ นี้ รับรองน้าไม่มาหรอก” สร้อยปรารภขึ้น
“ก็น้อยมาเป็นเพื่อนแล้วไง น้าสร้อย”
อธิวัฒน์ยิ้มแย้ม มองจ้องหน้าน้อยด้วยสายตาเจ้าชู้
“มีอะไรให้ผมช่วย น้อยกับน้าสร้อยอย่าเกรงใจนะครับ”
น้อยเขินอาย ออกปากขอบคุณเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ พี่วัฒน์”
เสียงของจีรนันท์แผดดังลั่นเข้ามาด้วยแรงโทสะ
“นังน้อย นังแพศยา แกรู้มั้ยว่าพี่วัฒน์เป็นผัวใคร”
น้อยกำลังตื่นตะลึงตกใจที่เห็นจีรนันท์ปรี่เข้ามาหาอย่างเอาเรื่อง
“แอร๊ย...”
เสียงร้องอย่างตกอกตกใจสุดขีดของสร้อย เรียกความสนใจให้ทุกคนหันเหออกจากศึกชิงปลาช่อน มามอง เห็นสร้อยยืนหันหลังตัวสั่น เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่างในสระบัว
“นัง...นัง...” สร้อยช็อกจนพูดชื่อไม่ออก
น้อย อธิวัฒน์ และจีรนันท์พากันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ทุกคนเห็นศพปริกที่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำในสระบัว สภาพขึ้นอืดกลิ่นเหม็นชวนสะอิดสะเอียด จีรนันท์อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง คล้ายช็อก นางร้องกรี๊ด เอ็ดตะโรขึ้นมาทำท่าจะเป็นลม
“แอร๊ย...นังปริก...ใครฆ่านังปริก”

รามนรินทร์ ภาณุกร และภาวิดา ยืนหันหลังไม่กล้ามองศพปริกที่วางอยู่ตรงพื้นริมสระ สร้อย น้อย เฟื่อง มองอย่างอเนจอนาถใจ จีรนันท์สยองไม่หายซบอยู่กับอกอธิวัฒน์
จวงถลาเข้ามา พอเห็นว่าเป็นปริกแน่ๆ ก็ร้องไห้โฮออก
“นังปริก น้องรัก ใครฆ่าแก”
ภาณุกรมองไปในสระบัว แล้วอดคิดถึงตอนที่เจอสร้อยข้อมืออุณนิษาไม่ได้
ตอนนั้น แสงตะวันยามเที่ยงส่องกระทบกับสร้อยข้อมือเพชรซึ่งติดอยู่ที่กอบัวริมฝั่ง
ภาณุกรเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอื้อมไปหยิบขึ้นมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสร้อยข้อมือเพชรแท้
“สร้อยข้อมือเพชรนี่ ของแท้ซะด้วย ของใครมาทำหล่นไว้แถวนี้นะ”
ภาณุกรเก็บสร้อยข้อมือเพชรไป พลางกวาดสายตามองรอบๆ สระบัว ความสงสัยพลุ่งขึ้นในใจ
ต่อมาภาณุกรมารู้จากภาวิดาว่าสร้อยเส้นนั้นเป็นของอุณนิษา จึงก้มลงมองสร้อยข้อมือเพชรด้วยแววตาสงสัยมากเป็นทวี
“สร้อยของหนูนิษา ทำไมไปตกแถวๆ สระบัวได้...”
ภาณุกรตัดสินใจเก็บไว้เพื่อติดตาม และจับสังเกตดูพฤติกรรมของอุณนิษาต่อไป

รสสุคนธ์มองเห็นทุกเหตุการณ์จากหน้าต่างชั้นบนของเรือนไม้หอม ด้านหลังแม้นมาศอยู่ด้วย
“เชื่อย่าหรือยังล่ะ แม่รส สุดท้ายทุกคนก็จะรู้ได้เอง”
“ค่ะ น่าเวทนาปริกนะคะ ย่าเล็ก”
“ฮ่าๆๆ กรรมใดใครก่อนะ เธอเตรียมตัวเตรียมใจไว้เหอะว่า จะโดนกล่าวหาว่าอะไรอีก”
รสสุคนธ์สีหน้าเครียดจัด

“ค่ะ คุณพี่ แล้วแขจะไปนะคะ”
แขไขวางสายโทรศัพท์จากภาวิดาด้วยสีหน้าไม่สู้จะดี อุณนิษาเดินเข้ามามองแม่ด้วยความสงสัย
“คุณหญิงป้าโทร.มาหาคุณแม่แต่เช้า มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ”
แขไขมานั่งลงเหมือนคนหมดแรง
“คุณหญิงดาบอกแม่ว่านังปริกมันหายไปจากบ้านเมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไปไหน”
อุณนิษาสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ยังฝืนตีหน้าเป็นปกติถามออกไป
“นังปริกไปไหนเหรอคะ”
“มันตายแล้ว วันนี้ศพเพิ่งอืดขึ้นมาจากสระบัว”
ทวนผลุบโผล่อยู่แถวนั้น พลอยได้ยินสิ่งที่แขไขบอกไปด้วย มันตกใจมาก
“แม่คงต้องไปบ้านพรหมบดินทร์ ไปให้กำลังใจพี่หญิงดาหน่อย มีแต่คนตาย น่าเห็นใจเธอนะ นิษาจะไปกับแม่มั้ยจ๊ะ”
“นิษาขอตัวดีกว่าค่ะ คุณแม่”
“ก็แค่คนใช้ตาย นิษาไม่ต้องไปก็ได้...” แขไขร้องเรียกหาทวน “นายทวน”
ทวนโผล่เข้ามาตาแดงๆ เสียใจเรื่องปริก
“ผมจะขับรถให้คุณหญิงครับ ผมอยากจะไปดูหน้านังปริกเป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้ผมรู้นะว่า ใครฆ่าน้องผม มันจะต้องตายตกตามกัน”
อุณนิษาสะดุ้ง แล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น

“มันต้องเป็นฝีมือนังเด็กรสสุคนธ์แน่ๆ นังกาลกิณี อยู่ที่ไหน มีแต่คนตาย”
ภาวิดาประกาศก้องอย่างมั่นใจ ขณะนั่งอยู่กับจวงที่รายนี้เอาแต่ร้องไห้ด้วยสีหน้าเคืองแค้งแววตาแข็งกร้าวไม่ต่างกัน
“นังปริก มันไปทำอะไรให้...ทำไมถึงกับต้องฆ่ากันเลยหรือไง”
ภาณุกรกับรามนรินทร์เดินเข้ามาได้ยินได้เห็นการกล่าวหาว่าร้ายนั้นพอดี

สองคนถึงบ้านแขไขแล้ว อธิวัฒน์ปล่อยให้จีรนันท์เป็นเล่าเรื่องที่เจอศพปริกคาตาให้อุณนิษาฟัง

“ฉันนี่ขนลุกซู่เลย” จีรนันท์ตัวสั่นยังกลัวไม่หาย “พอฉันมองไปในสระบัว จู่ๆ ศพนังปริกก็ลอยอืดขึ้นมา”
ภาพศพปริกลอยอืดขึ้นมาเหนือน้ำในสระบัว ผุดขึ้นมาหลอกหลอนจีรนันท์อีกคำรบ
“น่าสยดสยองสุดๆ”
จีรนันท์เม้าท์ต่อ โดยไม่ทันสังเกตว่าอุณนิษาหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออกสักคำ อธิวัฒน์เองยังสยองไม่หาย
“อย่าเล่าได้มั้ยจีจี้ ภาพมันยังติดตาฉันอยู่เลย สงสัยฉันต้องไปวัดเอาน้ำมนต์ล้างตาซะแล้ว”
“พี่วัฒน์พาจีจี้ไปด้วยนะ”
อธิวัฒน์กับจีรนันท์หันมามองอุณนิษาที่เอาแต่นั่งหน้าซีด ไม่พูดออกความเห็นอะไรเลย
“อ้าวคุณนิษา เป็นอะไรหน้าซีดเชียว” จีรนันท์ทักขึ้น
อุณนิษาสะดุ้ง
“อ๋อ ฉันตกใจอยู่น่ะสิ ฉันอยากรู้จริงๆ ใครกันถึงได้ใจคอโหดเหี้ยมขนาดนี้” อุณนิษาถามหยั่งเชิง
“จะใครซะอีกล่ะ ก็นังรสสุคนธ์ไง”
จีรนันท์บอกอย่างมั่นใจ

อีกฟากที่ห้องรับแขกบ้านพรหมบดินทร์ รสสุคนธ์กับน้อยเดินเข้ามาในนั้น ภาวิดา แขไข จวง และทวนหันมองรสสุคนธ์ด้วยสายตาเคียดแค้น
“จับมันเลยสิคะคุณตำรวจ แม่นี่ล่ะที่เป็นฆาตกร”
รามนรินทร์ปรามมารดา “คุณแม่ครับ ยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะครับ เราจะไปปรักปรำคุณรสไม่ได้”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ อีกอย่างแม่รสสุคนธ์ก็อยู่ที่บ้านนั่น ถ้าไม่ใช่แม่รสแล้วจะเป็นใคร หรือว่าเธอแม่น้อย” แขไขตวัดตามาทางน้อย
“เปล่า น้อยไม่ได้ฆ่าน้าปริกนะคะ”
ภาณุกรตัดบท “เอาเถอะ ใครเป็นคนร้ายก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณตำรวจ เชิญครับ”
“ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้ว 72 ชั่วโมง ช่วงเวลานั้นคุณอยู่ที่ไหนครับ” ตำรวจสอบปากคำรสสุคนธ์
“3 วันก่อนฉันอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
“ผมเป็นพยานได้ครับ วันนั้นผมพาหนูรสไปเยี่ยมรามที่โรงพยาบาล” ภาณุกร
ตำรวจถามซักอีกว่า “แล้วคุณรสอยู่ที่นั่นทั้งวันเลยหรือเปล่าครับ”
“มันอาจจะแอบมาฆ่านังปริกทีหลังก็ได้” ภาวิดาบอก
“ไม่จริงค่ะ วันนั้นคุณรสไม่ได้ออกไปไหนเลย กว่าจะกลับก็ค่ำแล้ว”
“แกมันก็พวกเดียวกัน คุณตำรวจอย่าไปเชื่อมันนะคะ” แขไขว่า
“สารภาพออกมาเถอะค่ะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” จวงบอก
“คุณรสฆ่านังปริกทำไม” ทวนจ้องหน้ารุกถาม
รสสุคนธ์โดนทุกคนพากันกดกัน รามนรินทร์รีบออกมาช่วยพูด
“วันนั้นคุณรสอยู่กับผมทั้งวัน ผมเป็นพยานได้ แล้วอีกอย่างคนสุดท้ายที่เจอน้าปริกไม่ใช่คุณรสหรอกครับ แต่เป็นผมเอง”
ภาวิดาตกใจ “ว่าไงนะราม”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตกใจ หันมองรามนรินทร์เป็นตาเดียวกัน
“คุณเจอผู้ตายเมื่อไรครับ” ตำรวจซัก
รามนรินทร์เล่าว่า วันนั้นตนเดินตามรสสุคนธ์ไปทางหลังบ้าน และได้ยินเสียงรสสุคนธ์ร้องขอความช่วยเหลือจึงรีบวิ่งออกไปดู จนเจอกับปริก
“เออ...คือ...คุณรส คุณรสถูกจับตัวไป”
“ผมจะไปช่วยคุณรส น้าปริกรีบไปตามคนมาเร็ว”
รามนรินทร์พูดจบก็วิ่งสุดชีวิตออกไป

ทุกคนย้ายมาหารือกันที่ศาลาริมน้ำบ้านพรหมบดินทร์ ภาณุกรครุ่นคิดเรื่องที่รามนรินทร์เล่าให้ตำรวจฟัง พลางปรารภขึ้นว่า
“บางทีการตายของปริกอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หนูรสถูกฉุดก็ได้”
ภาวิดาแหวใส่น้อง “ชายกรก็พูดเกินไป คนอย่างนังปริกเนี่ยนะจ้างคนมาฉุดแม่รส”
“ถึงนังปริกมันจะชอบสาระแน แต่มันก็ไม่กล้าทำเรื่องชั่วๆ อย่างนั้นหรอก” แขไขเสริม
“ช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เราก็ควรจะเอามาพิจารณาให้รอบคอบ ใครผิดใครถูกก็ว่าตามกระบวนการยุติธรรม”
“งั้นรามก็อย่าลืมให้ความเป็นธรรมกับนังปริกด้วยล่ะ ไหนๆ มันก็ตายไปแล้ว อย่าให้มันต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมเองล่ะ”
รามนรินทร์ยิ้มขำคำประชดมารดา “คุณแม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรมด้วยเหรอครับ งั้นที่ผีคุณแม้นมาศออกอาละวาดทุกวัน ก็แสดงว่ากำลังเรียกร้องความเป็นธรรมใช่หรือเปล่าครับ”
“เหลวไหล มันเหมือนกันที่ไหน นี่อย่าบอกนะว่าแม่รสมันเป่าหูอะไรเราอีก” ภาวิดามองค้อน
แขไขเอ่ยขึ้น “ราม เรื่องความเป็นความตายไม่มีใครเอามาล้อเล่นหรอกนะ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเขาเห็นกับตาด้วยกันหมด ไม่มีฆาตกรที่ไหนหรอก แม้นมาศนั่นล่ะที่ฆ่าตัวเอง”
แขไขยืนกรานอย่างหนักแน่น รามนรินทร์หันไปสบตาภาณุกรพยักหน้ายอมรับอย่างเศร้าๆ

ฝ่ายแม้นมาศนั่งทอดอารมณ์อยู่ริมสระบัว เอามือวักน้ำในสระเล่น แล้วมองสแกนลงไปในสระบัว
“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย สักวันหนึ่งกรรมจะต้องตามสนองพวกแก แต่แกไม่จำเป็นต้องรอหรอกนะนังปริก”
สายตาแม้นมาศเห็นวิญญาณปริกค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากก้นสระ
“ใครฆ่าแก แกจำหน้ามันได้ไม่ใช่เหรอ”
ปริกโผล่ขึ้นมาจากน้ำพยักหน้าหงึก พร้อมกับถลึงตาไปทางหนึ่งด้วยความเคียดแค้น แม้นมาศยื่นมือไปลูบหัวปริกแล้วพูดอย่างอ่อนโยน เห็นใจผีตายใหม่ป้ายแดง
“แกจะรออะไรล่ะ ตามไปเอาคืนมันเลยสิ”
ปริกหวีดร้องอย่างบ้าคลั่ง สะบัดตัวไปมาอย่างน่ากลัว
“ใช่...มันต้องตาย...ตาย”
วิญญาณปริกพุ่งขึ้นจากสระบัวหายวับไป เหลือเพียงน้ำในสระบัวที่กระเพื่อมไปมา แม้นมาศฉีกยิ้มมองตามอย่างเยือกเย็น

อุณนิษาเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนที่บ้าน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หามารดา เช็คข่าวเรื่องการตายของปริก
“คุณแม่ ตกลงนังรสสุคนธ์ถูกตำรวจจับแล้วใช่มั้ยคะ”
จากมุมหนึ่งในบ้านพรหมบดินทร์ แขไขคุยสายกับอุณนิษาอยู่ตรงนั้น
“โอ๊ย จับอะไรล่ะ มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่อยู่เลย”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ มันเป็นคนฆ่าปริกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ตารามกับชายกรน่ะสิ ออกตัวปกป้องมัน แถมมันยังมีพยานและหลักฐานชัดเจนว่าตอนเกิดเหตุมันไปเฝ้าตารามที่โรงพยาบาล ว่าแต่นิษาเถอะตอนนั้นลูกอยู่ไหน ทำไมถึงปล่อยให้มันใกล้ชิดรามได้”
“เอ่อ...นิษาเบื่อก็เลยออกไปช็อปปิ้งค่ะ แล้วนี่ตำรวจมีหลักฐานอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“แม่ก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกว่าตำรวจกำลังพุ่งไปที่ประเด็นเรื่องที่นังรสสุคนธ์ถูกฉุด”
อุณนิษาตาเหลือก “อะไรนะคะ แล้วนังปริกตายมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ตำรวจสันนิษฐานว่านังปริกอาจไปรู้เห็นอะไรเข้า เลยถูกฆ่าปิดปาก”
อุณนิษายืนอึ้ง เรี่ยวแรงแทบไม่มี มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่นะ”
“ฮาโหล...นิษา ฟังอยู่หรือเปล่าลูก ฮาโหล...นิษา”
จู่ๆ เสียงสัญญาณโทรศัพท์เหมือนถูกตัดไป ยินเสียงซ่า ดังขึ้นมาแทน
แขไขบ่นบ้า “อ้าว สายหลุด ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”

อุณนิษาเองก็ได้ยินเสียงไม่ชัด จึงเดินหาสัญญาณ
“ฮาโหล คุณแม่ ได้ยินนิษามั้ยคะ”
ปริกปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง จ้องอุณนิษาตาเขม็ง
“คุณฆ่าฉันทำไม”
ปริกเคลื่อนตัวออกไป ยื่นมือเข้าหาอุณนิษาหมายจะบีบคอให้ตายสมแค้น อุณนิษาสะดุ้งกึก เสียวหลังเย็นวาบ หันขวับมามอง แต่ปริกก็หายไปแล้ว
“นั่นใคร จีจี้...เธอเหรอ”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับใดๆ อุณนิษาเริ่มหลอน รีบเดินหนีเข้าไปหลบสติในห้องน้ำ
เปิดก๊อกรองน้ำใส่อ่างล้างหน้าจนเต็ม แต่แล้วจู่ๆ หลอดไฟในห้องน้ำก็กะพริบติดๆ ดับๆ อุณนิษาชะงักกึก หันไปมองรอบตัว สีหน้าหวาดหวั่น
“นังปริก แกอยู่นี่หรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบรับ อุณนิษาโล่งอก ลองปิดเปิดสวิชต์ไฟอีกครั้ง คราวนี้ไฟสว่างตามเดิม อุณนิษาสลัดความคิดแล้วก้มหน้าลงวักน้ำล้างหน้าโดยไม่รู้ว่ามีเงาใครบางคนเคลื่อนเข้ามาหยุดด้านหลัง
จากในกระจกเงา แลเห็นปริกยืนมองจ้องอุณนิษาดวงตาแข็งกร้าวขาวโพลง
“คุณฆ่าฉันทำไม”
อุณนิษาสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขึ้นมามองกระจกเห็นปริกยืนอยู่ด้านหลังก็ตกใจ
“นังปริก”
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ปริกก็จิกหมับแล้วกดหัวอุณนิษาลงไปในอ่างล้างหน้า
“อ๊าย”
อุณนิษากรีดร้องลั่น พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ก็สู้แรงกดของวิญญาณแค้นไม่ได้ อุณนิษาสำลักน้ำ หายใจไม่ออกเหมือนคนใกล้ตาย
ภาพตอนฆ่าปริกผุดขึ้นมาหลอกหลอน ตั้งแต่ตอนอุณนิษาจับหัวปริกกดน้ำ ทั้งที่ปริกดิ้นรนจะเอาชีวิตรอด มือป่ายปะไปมา
ห้วงสุดท้ายของลมหายใจ อุณนิษารวบรวมเรี่ยวแรงผงกหัวขึ้นจากอ่างมาหอบหายใจ แต่ปริกกดหัวอุณนิษาไว้เหมือนเดิม คำรามลั่น
“มึงจะต้องตายเหมือนกู”
อุณนิษาดันตัวสุดแรงเกิด จนศีรษะพ้นจากน้ำมาได้ หวีดร้องลั่นบ้าน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”

อธิวัฒน์กับจีรนันท์ได้ยินเสียงนั้น รีบพากันขึ้นบันไดเปิดประตูเข้าห้องมาหยุดที่หน้าประตูห้องน้ำ อธิวัฒน์เคาะประตูเรียก
“นิษาๆ เป็นอะไรหรือเปล่า นิษา”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ ด้วยที่ด้านในห้องน้ำ อุณนิษาพยายามจะผงกหัวมาตอบแต่ก็ถูกกดศีรษะลงไปในน้ำทุกครั้ง อุณนิษาพยายามกลั้นหายใจแต่ก็เริ่มกลั้นไม่อยู่
“หรือว่ายัยนิษาจะเกิดเรื่อง จีจี้ว่าเราพังประตูเข้าไปดูเหอะพี่วัฒน์” จีรนันท์สังหรณ์ใจ
“เอาวะ ถ้ายัยนิษาโป๊อยู่เธอรับผิดชอบนะ”
อธิวัฒน์พุ่งเอาตัวกระแทกประตูจนประตูเปิดออกอย่างแรง ทั้งคู่เห็นอุณนิษาเอาหัวจุ่มอ่างล้างหน้าอยู่นิ่งๆ โดยไม่ไหวติง จีรนันท์ร้องลั่น
“ว้าย นิษา ตายหรือยัง”
อธิวัฒน์รีบดึงร่างนั้นออกจากอ่างล้างหน้า พบว่าอุณนิษาแน่นิ่งหมดสติ แต่ยังหายใจรวยริน
“ยัง นิษา ทำใจดีๆ ไว้นะ จีจี้รีบโทร.ตามรถพยาบาลเร็ว”
อธิวัฒน์ช้อนตัวอุณนิษาขึ้นแล้วรีบอุ้มออกไปโดยเร็ว จีรนันท์กดมือถือโทร.แจ้งโรงพยาบาลประจำทันที

อีกฟาก ผีแม้นมาศนั่งเล่นขิมร้องเพลงดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รสสุคนธ์เข้ามาเห็นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“วันนี้ย่าเล็กดูอารมณ์ดีจังเลยนะคะ มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ บอกรสหน่อยสิ”
“ฉันอารมณ์ดีก็เพราะเรื่องนังปริกน่ะสิ เธอไม่ต้องกลัวเรื่องโดนคนใส่ร้ายแล้วนะ ป่านนี้นังปริกมันคงกำลังไปหักคอคนที่ฆ่ามันแล้ว”
รสสุคนธ์ตกใจ “อะไรนะคะ แล้วทำไมย่าเล็กถึงไม่ห้ามน้าปริกล่ะ”
“วิญญาณที่จมปรักด้วยความพยาบาทเคียดแค้นอย่างมัน ก็เหมือนคนหูหนวกตาบอด พูดอะไรไปมันก็ไม่ฟังหรอก”
“แล้วน้าปริกรู้เหรอคะว่าใครเป็นฆาตกร”
“มันน่าจะรู้ดีเลยล่ะ ไม่งั้นมันคงไม่แค้นถึงขนาดนี้”
“แสดงว่าน่าจะเป็นคนใกล้ตัว”
รสสุคนธ์นิ่งคิด แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นออกมา จนแม้นมาศเป็นห่วงต้องรีบดักคอห้ามไว้
“จะเป็นใครก็ช่าง มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ฉันขอเตือนไว้ตรงนี้เลย อย่าได้อุตริไปถามเอาความกับมันเด็ดขาดนะ ไม่งั้นเธอนั่นล่ะที่จะกลายเป็นศพซะเอง เข้าใจมั้ย”

รสสุคนธ์พยักหน้ารับเอาคำผีย่าไปงั้นๆ ในใจยังนึกสงสัย และอยากรู้ตัวฆาตกรฆ่าปริกอยู่ไม่คลาย

อ่านต่อตอนที่ 13


กำลังโหลดความคิดเห็น