บาปบรรพกาล ตอนที่ 10
ไฟสปอตไลต์ฉายส่องที่แบคดร็อปข้างเวทีเห็นตัวหนังสือเด่นชัด Happy Birthday Pavinee Queen of The Night ภายในห้องจัดเลี้ยงยามนี้ คราคล่ำไปด้วยแขกคนดังในแวดวงสังคมไฮโซ และธุรกิจโรงแรม พิธีกรเดินออกมาบนเวที และเริ่มดำเนินรายการช่วงไฮไลต์ของงาน
“ท่านเจ้าภาพและแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ตอนนี้ถึงวินาทีแห่งความสวยงามอลังการแล้วนะครับ ขอต้อนรับการเดินแบบเครื่องเพชรของตระกูลพรหมบดินทร์ โดยนายแบบและนางแบบกิตติมศักดิ์ครับ”
เสียงดนตรีเร้าใจกระหึ่มขึ้น ไฟฟอลโลว์สาดส่องวูบวาบบนเวที แฟชั่นโชว์เปิดตัวด้วยจีรนันท์ กับ อธิวัฒน์ และตามด้วยลูกท่านหลานเธอไฮโซตระกูลดัง เดินแบบตามคิวที่รสสุคนธ์ซ้อม
เวลาผ่านไป จีรนันท์กับอธิวัฒน์เดินแบบออกมาอีกรอบ มาถึงชุดฟินนาเล่ที่ทุกตั้งตารอ เป็นคู่ รามนรินทร์กับอุณนิษา เริ่มเดินไฟนอลวอร์กปิดงาน
แขไขที่นั่งโต๊ะหน้าเวทียิ้มย่อง หันไปกระซิบกระซาบกับภาวิดา
“ตารามกับนิษาเดินฟินน่าเล่แล้วนะคะ พี่หญิง”
ภาวิดาพยักหน้าส่งซิกให้กับพิธีกรเตรียมพร้อมจะประกาศเรื่องการหมั้น ทว่าในจังหวะที่ภาวิดาขยับตัวลุกขึ้นจะเดินไปหาพิธีกร เสียงขิมก็ดังขึ้น
ภาวิดา แขไข และแขกทุกคนแปลกใจ เหลียวหาที่มาของเสียงขิมนั้น รวมทั้งภาณุกรด้วย เขาจำได้แม่นว่าเสียงขิมนี้เป็นเสียงบรรเลงของใครแอบรำพึงในใจ
“คุณเล็ก”
บนเวทีที่รามนรินทร์กับอุณนิษาเดินอยู่ ทุกคนหันไปมองรสสุคนธ์ที่สวมชุดราตรีสวยงามไม่พอยังสวมเครื่องเพชรประจำตระกูลเดินออกมาอย่าสง่างาม
ทุกคนพากันฮือฮา ภาวิดากับแขไขแทบกรี๊ด เพราะเครื่องเพชรที่อยู่บนตัวรสสุคนธ์คือเครื่องเพชรประจำตระกูล
รามนรินทร์ตะลึงแลกับความสวยของรสสุคนธ์ อุณนิษาเห็นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ด้วยความโกรธผสมความเกลียดชัง ภาวิดารับไม่ได้สติแตกวิ่งไปบนเวทีเพื่อลากรสสุคนธ์ลงไป แม้นมาศในร่างรสสุคนธ์ไม่ยอมลง เลยมีปากมีเสียงบนเวทีกันแขไขยืนดูห่างๆและมีปริก จวงตามมาอยู่ข้างๆ ภาวิดา
“แก นังตัวซวย ลงมาเดี๋ยวนี้”
รสสุคนธ์ที่ถูกแม้นมาศสิงไม่ยอมขยับ แถมยิ้มเยาะให้ ทั้งที่ปกติรสสุคนธ์จะยอมอ่อนข้อให้ทุกครั้ง
“ฉันสั่งให้หล่อนลงจากเวทีไง”
ภาวิดาเสียงดังขึ้นอีกจนแขกในงานต่างพากันตกอกตกใจ มองกันไปมาอย่างใจจดใจจ่อ นภาแอบดูอยู่ข้างเวทีด้วยอาการตกใจเช่นกัน
ภาณุกรเกรงว่าจะมีเรื่องมีราวกันในงานให้ขายหน้า เลยเดินขึ้นไปด้านหลังภาวิดา เพื่อห้ามปราม
“พี่หญิง ไว้เราค่อยพูดกันหลังจากงานเหอะครับ”
“ชายกรอย่ามายุ่ง นี่มันงานวันเกิดของพี่นะ” ภาวิดาสติหลุดแล้ว
จีระนันกับอภิวัฒน์ยืนมองอย่างเวทนา
“ในเมื่อหนูรสออกมาเดินด้วยเครื่องเพชรประจำตระกูล ก็ให้หนูรสเดินปิดงานไปเลยนะครับพี่หญิง ผมขอร้อง”
ภาวิดาตะโกนก้อง “ไม่...”
แขไขยิ้มสะใจ
ภาวิดาไม่ยอม หันไปชี้หน้าด่าว่ารสสุคนธ์แบบสติแตก
“แกไปเอาเครื่องเพชรประจำตระกูลมาจากไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
นภาเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งไปหลังเวทีทันที
นภาวิ่งเข้าไปตามน้อยเพราะเริ่มห่วงว่ารสสุคนธ์จะแย่
“น้อย มัวทำอะไรอยู่ หน้าเวทีวุ่นกันใหญ่แล้ว”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ คุณพี่นภา หรือว่ามีคนมาปล้นเครื่องเพชรคะ”
“ยิ่งกว่าอีก รสสุคนธ์หาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว”
“ใครทำอะไรคุณรส ทำไมพี่นภาไม่รีบบอกว่าคุณรสมีเรื่องคะ”
น้อยวิ่งแจ้นออกไป นภารีบตาม
แม้นมาศในร่างรสสุคนธ์เชิดหน้าพร้อมประกาศหักหน้าภาวิดาโดยไม่เกรงกลัว
“ย่าเล็กให้ดิฉันใส่ค่ะ”
ภาวิดาชะงักกึก ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม
“แกว่าอะไรนะ”
“ก็คุณหญิงเคยบอกเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าให้จุดธูปถามย่าเล็กว่าเครื่องเพชรชุดนี้อยู่ที่ไหน”
“นี่แกกล้ายอกย้อนฉันเรอะ”
ภาวิดาถามกลับด้วยน้ำเสียงแทบเป็นตวาด อยากจะฉีกเนื้อรสสุคนธ์ออกเป็นชิ้นๆ แขไขขยับเข้าไปยืนข้างๆ ภาวิดา พร้อมจะรุมรสสุคนธ์ อุณนิษาเองก็กระชับวงล้อมจากหลังเวทีเข้ามาอีกทาง
น้อยวิ่งเข้ามาเห็นว่าภาวิดากับแขไขกำลังจะปะทะกับรสสุคนธ์พอดี ได้แต่ตกใจตะลึง
“รสสุคนธ์ ถ้าเธอฉลาด รีบถอดเครื่องเพชรคืนเจ้าของที่แท้จริงเดี๋ยวนี้” แขไขสั่ง
แม้นมาศในร่างรสสุคนธ์หัวเราะเสียงต่ำๆ ไม่เกรงกลัว
“เจ้าของเครื่องเพชรที่แท้จริงคือ ย่าเล็ก แล้วตอนนี้ดิฉันก็เป็นทายาทสายตรงคนเดียวของท่าน คุณหญิงแขไขเองก็แค่คนนอก ดิฉันไม่ถอดค่ะ”
แขไขโกรธจัดที่ถูกรสสุคนธ์ย้อนกลับได้อย่างเจ็บแสบ
“พี่หญิงดูสิคะ รสสุคนธ์กล้าว่าแข ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ พี่หญิงต้องจัดการให้แขนะคะ ไม่งั้นแขไม่ยอมด้วยค่ะ”
ภาวิดาหันไปตอบรับเอาคำพูดแขไข แล้วเดินปรี่เข้าไปหารสสุคนธ์กะว่าจะตบหน้าฉลองวันเกิดให้หายแค้น
ไม่เพียงรสสุคนธ์จะฉากหลบได้อย่างทันท่วงที ยังมีผลทำให้ภาวิดาตบพลาดไปโดนหน้าอุณนิษาที่ยืนอยู่ในวงล้อม
“ว้าย คุณหญิงป้ามาตบนิษาทำไมคะ”
แม้นมาศในร่างรสสุคนธ์ยิ้มสะใจ ภาวิดารีบขอโทษอุณนิษา
“แม่ขอโทษ แม่จะตบนังรสสุคนธ์ต่างหาก” ภาวิดาหันไปสั่งจวง ปริก “อีจวง อีปริก ตบนังรสสุคนธ์เดี๋ยวนี้”
จวง กะ ปริก ถลาเข้าไปจะตบรสสุคนธ์แต่ช้ากว่า เพราะแม้นมาศในร่างรสสุคนธ์เปิดฉากดึงสองบ่าวจอมสาระแนเอาหัวโขกกันอย่างแรงและไว
“อย่ายุ่ง ไม่ใช่เรื่องของขี้ข้า...ฮ่าๆๆๆ”
คราวนี้ทั้งอุณนิษา จีรนันท์ จวง และ ปริกต่างดาหน้ากันเข้ามาจะรุมยำเล็บรสสุคนธ์
อุณนิษาสั่ง “รุม”
รามนรินทร์กับภาณุกรยืนเป็นเสาหินอยู่นานสองนานเพิ่งได้สติ รีบเข้าไปขวางไว้
“หยุดเถอะครับ”
“เป็นผู้ดีทุกคน ตบกันไม่อายแขกเลยหรือไง” ภาณุกรอายเหลือจะทน
ภาวิดาแหวใส่ “ชายกร ถ้าจะมาช่วยมัน ก็หลีกไป ถ้ามันไม่ยอมคืนเครื่องเพชรมา วันนี้ฉันต้องเห็นเลือดหัวนังรสสุคนธ์ให้ได้”
“แต่เครื่องเพชรนี้เป็นสินสอดที่พี่ชายทัตยกให้กับแม้นมาศ ดังนั้นหนูรสเป็นทายาทย่อมมีสิทธิ์นะครับ พี่หญิง” ภาณุกรตอกฝาโลง
ภาวิดากรีดร้องกับความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้
“ไม่จริ๊ง.....”
ด้วยความแค้นภาวิดาเป็นลมล้มตึงลงไปกับพื้น งานวันเกิดเลยล่มไม่เป็นท่า
รสสุคนธ์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สักพักสีหน้าเริ่มกระสับกระส่าย เรื่องราวปะทะคารมเดือดกับภาวิดาผุดขึ้นมาราวสายน้ำไหล
ภาวิดาไม่ยอมที่เห็นรสสุคนธ์สวมเครื่องเพชรชุดไพลินโผล่มาขัดจังหวะ จึงหันไปชี้หน้าด่าว่าอย่างคนสติแตก
“แกไปเอาเครื่องเพชรประจำตระกูลมาจากไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
แม้นมาศในร่างรสสุคนธ์เชิดหน้าไม่แยแส พร้อมประกาศหักหน้าภาวิดาโดยไม่เกรงกลัว
“เจ้าของเครื่องเพชรที่แท้จริงคือ ย่าเล็ก แล้วตอนนี้ดิฉันก็เป็นทายาทสายตรงคนเดียวของท่าน คุณหญิงแขไขเองก็แค่คนนอก ดิฉันไม่ถอดค่ะ”
ทั้งอุณนิษา จีรนันท์ จวง และปริกต่างดาหน้ากันเข้ามาจะรุมรสสุคนธ์
รามนรินทร์กับภาณุกรอยู่ใกล้ๆ เลยรีบเข้าไปขวางไว้ แต่ภาวิดาหันมาแหวใส่น้องชาย
“ชายกร ถ้าจะมาช่วยมัน ก็หลีกไป ถ้ามันไม่ยอมคืนเครื่องเพชรมา วันนี้ฉันต้องเห็นเลือดหัวนังรสสุคนธ์ให้ได้”
“แต่เครื่องเพชรนี้เป็นสินสอดที่พี่ชายทัตยกให้กับแม้นมาศ ดังนั้นหนูรสเป็นทายาทย่อมมีสิทธิ์นะครับ พี่หญิง”
เจอภาณุกรตอกฝาโลง ภาวิดากรีดร้องกับความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้
“ไม่จริ๊ง.....”
ด้วยความแค้นภาวิดาเป็นลมล้มตึงลงไปกับพื้น งานวันเกิดเลยล่มไม่เป็นท่า
รสสุคนธ์สะดุ้งตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงก็แปลกใจ
“ทำไมฉันมานอนอยู่นี่ แล้วงานเลี้ยงล่ะ”
รสสุคนธ์รีบลุกขึ้นจะออกจากห้อง น้อยเข้ามาพอดี
“ตื่นแล้วเหรอคะคุณรส เมื่อคืนคุณรสเจ๋งสุดๆ ไปเลยค่ะ เล่นเอาพวกคุณหญิงแพ้ราบคาบเลยค่ะ”
“เมื่อคืน...หรือว่า...มันจะเป็นเรื่องจริง”
รสสุคนธ์หน้าเสียจำเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว น้อยมองฉงน
“คุณรสมีอะไรหรือเปล่าคะ”
รสสุคนธ์ไม่ตอบรีบเดินออกไปโดยไว น้อยได้แต่มองตามด้วยความสงสัย
รอบๆ สระบัวยามเช้าตรู่ บรรยากาศยังดูวังเวง รสสุคนธ์เดินเข้ามามองหาแม้นมาศที่บริเวณนั้น
“ย่าเล็กคะ...ย่าเล็ก” ทุกอย่างเงียบงัน “รสรู้นะคะว่าย่าเล็กอยู่แถวนี้ ย่าเล็กก่อเรื่องไว้แล้วจะหลบหน้ารสแบบนี้ไม่ถูกนะคะ ออกมาคุยเหอะค่ะ”
แม้นมาศปรากฏตัวด้านหลังหลานสาว รสสุคนธ์สะดุ้ง เสียวหลังวาบ หันไปประจันหน้ากับผีย่าเล็ก
“ฉันไม่ได้หลบหน้าซะหน่อย มีเรื่องอะไรก็ว่ามา ฉันจะได้พักผ่อน”
“ทำไมย่าเล็กต้องใช้ร่างรสไปพังงานวันเกิดคุณหญิงภาวิดาด้วยคะ”
“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าคนที่เอาแหวนไพลินไปคือฆาตกร ฉันก็เลยใช้สร้อยไพลินนั่นล่อมันออกมาน่ะสิ แล้วก็ได้ผลจริงๆ ด้วยคุณหญิงภาวิดาเป็นฆาตกร มันเป็นคนฆ่าฉันไม่ผิดแน่”
แม้นมาศตาแดงก่ำด้วยแรงแค้นอาฆาต หันไปจ้องทางบ้านพรหมบดินทร์ตาเขม็ง
รสสุคนธ์ตกใจ กลัวแม้นมาศจะฆ่าคนส่งเดชอีก
“มันก็ไม่แน่นะคะ ตราบใดที่เรายังไม่เจอหลักฐาน คุณหญิงภาวิดาก็ยังคงเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย”
แม้นมาศหันขวับมา “แม่รส อย่าบอกนะว่าเธอใจอ่อน เราเดินหน้ามาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยกลับไม่ได้แล้วนะ”
“รสไม่เปลี่ยนใจแน่นอนค่ะ แต่ตอนนี้ย่าเล็กช่วยอยู่เฉยๆ ก่อนได้มั้ยคะ รสขอเวลาหาหลักฐานอีกนิดนะคะ”
“ก็ได้ ฉันจะข่มใจไว้ก่อน ไว้ให้ถึงตอนนั้น...คนที่ฆ่าฉันมันจะต้องได้รับกรรมอย่างสาสม”
แม้นมาศแสยะยิ้มแล้วเคลื่อนตัวผ่านร่างรสสุคนธ์หายวับลงไปในสระบัว เรือนตายของนาง
รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
รามนรินทร์นั่งคุยธุระกับภาณุกรอยู่ในห้องทำงาน รสสุคนธ์เข้ามาเห็นก็เคาะประตูหน้าห้องเบาๆ ภาณุกรชะงักหันไปเห็นเป็นรสสุคนธ์ก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“เข้ามาสิหนูรส”
รสสุคนธ์ยกมือไหว้ภาณุกรกับรามนรินทร์อย่างรู้สึกผิด
“รสมากราบขอโทษคุณชายกรกับคุณรามเรื่องเมื่อคืนค่ะ”
“เธอไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก คนที่ควรขอโทษคือคุณแม่ฉันต่างหาก” รามนรินทร์ตำหนิในที
“ฉันทราบค่ะ ไว้ฉันคุยธุระเสร็จแล้วฉันจะขึ้นไปกราบท่าน” รสสุคนธ์หันมาทางภาณุกร “คุณชายคะ รสมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณชายหน่อยหนึ่งค่ะ”
“มีอะไรให้ฉันช่วยก็ว่ามาได้เลย”
“ย่าแม้นศรีเคยเล่าให้รสฟังว่าย่าเล็กชอบเขียนการ์ดให้กับเพื่อนๆ ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะมีการ์ดของย่าเล็กเก็บไว้บ้างมั้ยคะ รสอยากจะขอดูหน่อยค่ะ”
“อ๋อ มีสิ เดี๋ยวเย็นๆ ฉันจะให้น้อยเอาไปให้”
“คุณรส คุณจะขอการ์ดนั่นไปทำไมครับ”
“ไว้พรุ่งนี้รสจะบอกเหตุผลให้ทราบค่ะ”
รสสุคนธ์ยิ้มตาเป็นประกาย รามนรินทร์เห็นท่าทีนั้นก็อดสงสัยไม่ได้
ขณะที่รสสุคนธ์กำลังเดินออกจากบ้าน รามนรินทร์เดินตามออกมาเรียกไว้
“คุณรส คุณกำลังจะทำอะไรกันแน่”
“ฉันก็กำลังหาหลักฐานพิสูจน์ไงคะ”
“นี่คุณยังไม่เลิกคิดเรื่องการตายของย่าคุณอีกเหรอ” น้ำเสียงรามนรินทร์ไม่พอใจนิดๆ
“ค่ะ ย่าของฉันต้องตายอย่างมีมลทิน ฉันจะต้องคืนความเป็นธรรมให้ท่านให้ได้”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งสามสิบปีแล้ว คุณจะหาหลักฐานที่ไหน”
“อีกไม่นานคุณก็จะได้รู้ แล้วคุณจะได้เป็นคนแรกที่ได้รู้แน่” รสสุคนธ์รีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณหญิงแม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ วันนี้ฉันยังไม่เห็นท่านเลย”
“คุณก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าท่านจะเป็นยังไง คุณจงใจใส่เครื่องเพชรประจำตระกูลนั่นมาเพื่อยั่วให้ท่านโกรธ ท่านเลยล้มป่วยข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนซมอยู่แต่ในห้อง คงสมใจคุณแล้วใช่มั้ยครับ”
รามนรินทร์ตัดพ้อต่อว่าเป็นเชิงตำหนิ รสสุคนธ์ได้ยินก็รู้สึกผิด
“ผมรู้ว่าคุณมีอคติกับคุณแม่ผม แต่ผมมั่นใจ คุณแม่ผมไม่ใช่คนร้ายที่คุณตามหาแน่”
รามนรินทร์มองหน้ารสสุคนธ์ด้วยแววตาผิดหวัง จากนั้นจึงเดินกลับเข้าบ้านไป รสสุคนธ์ปวดใจ
ภาวิดานอนซมอยู่บนเตียง มีรามนรินทร์นั่งกุมมือด้วยความเป็นห่วง
“คุณแม่ ลุกขึ้นมาหน่อยนะครับ อย่าเอาแต่นอนเลย เดี๋ยวจะป่วยได้นะครับ”
“ปล่อยให้แม่ตายๆ เถอะ แม่อับอายจนไม่มีหน้าอยู่อีกแล้ว”
“ถ้าขาดคุณแม่ แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ คุณแม่ต้องอยู่เป็นเหนือนาบุญให้ผมต่อนะครับ”
รามนรินทร์อ้อน ภาวิดาลูบหัวลูกชายอย่างแสนรักแสนหวง จวงกับปริกมองภาพนั้นอย่างซาบซึ้งใจ
ระหว่างนี้รสสุคนธ์เดินถือพวงมาลัยก้าวเข้ามา เห็นอาการของภาวิดาก็รู้สึกผิด จวงหันไปเห็นรสสุคนธ์ก็ชักสีหน้าใส่
“คุณหญิงคะ มีคนที่ไม่หวังดีมาเยี่ยมค่ะ”
ภาวิดาตวัดสายตาไปมอง “เธอมาทำไม คิดจะมาซ้ำเติมฉันเหรอ”
“เปล่าค่ะ รสเอาพวงมาลัยมากราบขอขมาและอวยพรวันเกิดย้อนหลังคุณหญิงค่ะ”
รสสุคนธ์คุกเข่าลง แล้วคลานเข้ามาเอาพวงมาลัยมาวางมอบให้ภาวิดา พร้อมกับกราบลงอย่างสวยงาม
“ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยอำนวยพรให้คุณหญิงมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ”
ภาวิดาวางท่าปั้นปึ่ง สีหน้านิ่งขึง รามนรินทร์รีบพูดไกล่เกลี่ย
“คุณแม่ครับ คุณรสมาขอโทษแล้ว ยกโทษให้คุณรสเถอะนะครับ”
ภาวิดาถอนหายใจมองรสสุคนธ์ดูตั้งใจมาขมาก็เริ่มมีท่าทีเหมือนจะอ่อนลง
“ขอบใจนะ”
ภาวิดาหยิบพวงมาลัยขึ้นมามอง แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“แต่ฉันจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าเธอออกไปจากบ้านฉัน”
ขาดคำภาวิดาเอาพวงมาลัยขยี้หัวรสสุคนธ์จนเลอะเละ รสสุคนธ์หน้าชา น้ำตาซึม
รามนรินทร์อึ้ง “คุณแม่”
จวงกับปริกพากันหัวเราะชอบใจ
“อีปริก คนอะไรวะหน้าทนโดนไล่แล้วยังกล้าอยู่อีก”
“ก็คนหน้าด้านไงจ๊ะ”
รสสุคนธ์ปาดน้ำตาแล้วรีบลุกเดินแกมวิ่งออกไป ภาวิดา จวงและปริกพากันหัวเราะสะใจ
รามนรินทร์มองตามรสสุคนธ์ไป รู้สึกผิดที่เคยต่อว่าเธอ
บริเวณชานเรือนชั้นบนบ้านพรหมบดินทร์ รสสุคนธ์หลบมายืนกลั้นน้ำตาพยายามข่มใจให้สงบอยู่ที่นั่น รามนรินทร์เดินเข้ามาหา ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“คุณรส”
“คุณกลับไปเหอะค่ะ ฉันมันก็แค่คนอาศัย คุณไม่ต้องมาเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ”
รสสุคนธ์ขยับเดินออกรามนรินทร์คว้ามือรสสุคนธ์ไว้
“เดี๋ยวสิครับคุณรส ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับคุณเลยนะ”
“แต่แม่คุณคิด ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวแม่คุณจะไม่พอใจฉันอีก”
รามนรินทร์อึ้ง รสสุคนธ์หันไปมองทางบ้านพรหมบดินทร์
จริงดังที่รสสุคนธ์กังวล เพราะมองจากหน้าต่างห้องนอนภาวิดามาจะเห็นสองคนพอดี และจวงกับปริกพยุงภาวิดาออกมายืนมองอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ภาวิดามองตาเขม็ง รามนรินทร์หันมาเห็นสายตามารดาก็ชะงัก ค่อยๆ ปล่อยมือรสสุคนธ์
“คุณอย่าลำบากใจเพราะฉันอีกเลย จากนี้ไปเราจะพบกันแค่เรื่องงานเท่านั้น จบงานระลึกร้อยปีตระกูลพรหมบดินทร์แล้วฉันจะไปจากบ้านนี้เองค่ะ”
รสสุคนธ์เดินกลับเรือนไม้หอม รามนรินทร์ได้แต่มองตามด้วยความเจ็บปวด
ภาวิดามองตาขวางตามรสสุคนธ์ไป ยังหงุดหงิดไม่หาย
“มารยาสาไถย ฉันล่ะเกลียดขี้หน้ามันจริงๆ”
“อดทนหน่อยนะคะ อีกแค่สองอาทิตย์มันก็จะไปแล้ว”
“ทน ฉันเบื่อจะทนแล้วนะ แค่เศษเสี้ยววินาทีเดียวฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งต้องใช้อากาศหายใจร่วมกับมันฉันก็หายใจไม่ออกแล้ว มันน่าจะจมน้ำตายตามย่ามันไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
“ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เราก็ใช้ไม้แข็งสิคะ”
“จะทำอะไรก็อย่าให้ตารามรู้ล่ะว่าฉันเป็นคนบงการ”
“ค่ะ ให้เป็นหน้าที่จวงเอง คุณหญิงไปพักผ่อนเหอะนะคะ”
จวงกับปริกประคองภาวิดาเข้าห้องไป
“พี่จวงพี่มีแผนอะไรเหรอ” ปริกอดถามไม่ได้
จวงยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ
ทวนซึ่งกำลังยกน้ำดื่มอยู่หน้าห้องพักเรือนคนใช้ ถึงกับแทบสำลัก เมื่อฟังจวงเล่าจบ
“ว่าไงนะ พี่จะให้ฉันหาวิธีจัดการคุณรสเหรอ”
“ใช่ เอ็งก็รู้ว่าคุณหญิงเกลียดมัน ถ้าเอ็งกำจัดมันออกจากบ้านนี้ได้ รับรองคุณหญิงต้องตบรางวัลอย่างงามให้เอ็งแน่”
“ไม่เอาล่ะ ฉันยังไม่อยากตาย” ทวนสยองเมื่อนึกถึงผีแม้นมาศ
“ไหนว่าพี่รักคุณหญิงไง แค่นี้ทำให้คุณหญิงไม่ได้เหรอ”
“นังโง่ รักก็ส่วนรัก แต่ข้าก็ต้องรักชีวิตข้าก่อนสิวะ”
“แต่เอ็งติดตังค์ข้าอยู่ ถ้าเอ็งไม่ทำก็เอาเงินคืนมา”
“งั้นก็เอาไปเลย ฉันให้ดอกพี่ด้วย”
ว่าพลางทวนควักเงินให้จวงเป็นฟ่อน จวงกับปริกเห็นก็ตาโตแปลกใจ
น้อยกำลังจะกลับห้องเห็นทวนเอาเงินให้จวงจึงรีบหลบมุมแอบดู พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิป
“โห พี่ทวน พี่ไปรวยมาจากไหน” ปริกแปลกใจ
จวงจ้องหน้าพูดทีเล่นทีจริง “อย่าบอกนะว่าเอ็งเป็นคนขโมยเครื่องเพชรคุณหญิง”
“ฉันขโมยที่ไหน ฉันถูกหวยต่างหาก เอ้า นี่ของเอ็งนังปริก”
“ขอบคุณจ้ะ แหม ไปได้เลขดีมาจากไหนเหรอจ๊ะพี่ บอกฉันหน่อยสิ”
“บอกไม่ได้เว้ย เดี๋ยวเอ็งจะมาแย่งโชคข้า ไปใช้เงินดีกว่า”
น้อยมองทวนแล้วรีบหลบออกไป ก่อนที่ทวนจะเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้ามา
“พี่จวงแล้วเรื่องคุณรส พี่จะเอาไงต่อ”
“จะเอายังไงเอ็งก็คิดสิวะ งานนี้ข้ายกให้เป็นหน้าที่ของเอ็ง”
“อ้าวไหงมาโยนให้ฉันล่ะพี่ โอ๊ย...อะไรๆ ก็มาลงที่ฉันทุกที”
จวงเดินหนีไม่สนใจ ปริกเครียดจนอยากจะร้องไห้
น้อยเอาคลิปมือถือให้รสสุคนธ์ดู
“จู่ๆ ก็ร่ำรวยผิดปกติแบบนี้ น้อยว่าไม่ใช่เพราะโชคหรอกค่ะ น้าทวนต้องเป็นคนขโมยเครื่องเพชรคุณหญิงไปแน่ๆ เราแจ้งตำรวจจับเลยดีมั้ยคะ”
“หลักฐานแค่นี้ยังไม่แน่นหนาพอ เราต้องมีหลักฐานรัดกุมกว่านี้ ไม่งั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ น้อยส่งคลิบเข้าไลน์มาให้พี่หน่อย”
“ได้ค่ะ” น้อยกดส่งให้ทันที “งั้นเดี๋ยวน้อยจะสวมบทบาทยอดนักสืบหาหลักฐานเด็ดมาให้คุณรสเองค่ะ”
“ระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาทล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เชื่อมือน้อยได้เลย”
น้อยยิ้มกริ่ม รสสุคนธ์เปิดดูคลิปอีกที สีหน้าครุ่นคิดตริตรอง
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 10 (ต่อ)
รสสุคนธ์ปรึกษาแม้นมาศเกี่ยวกับคลิปทวนใช้เงินมือเติบ ที่น้อยถ่ายมา
“ย่าเล็กคะ เป็นไปได้มั้ยคะว่าน้าทวนเป็นฆาตกร”
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น”
“ก็เพราะน้าทวนเป็นคนโลภน่ะสิคะ รสว่าน่าจะทำจนเป็นนิสัย ขนาดเครื่องเพชรของคุณหญิงยังกล้าขโมยได้ บางทีแหวนไพลินของย่าเล็กอาจถูกน้าทวนขโมยก็ได้”
แม้นมาศได้ยินก็ชะงัก คิดตาม แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“นั่นสินะ จะว่าไป ตอนนั้นนายทวนก็ทำท่าทางแปลกๆ เหมือนกัน”
“ย่าเล็กจำอะไรได้เหรอคะ”
“วันนั้นเป็นวันที่คุณชายทัตขอฉันแต่งงาน”
สีหน้าแม้นมาศมีแววรำลึกจดจำ
เมื่อ 30 ปีก่อน ภาณุทัตเดินจูงมือข้างซ้ายของแม้นมาศที่สวมแหวนไพลินไปที่รถ ตั้งใจจะไปส่งแม้นมาศที่บ้าน ภาวิดากับแขไขยืนมองอย่างไม่พอใจ แขไขบีบน้ำตา ร้องขอความเป็นธรรมเอากับภาวิดา
“แหวนนั่นควรจะเป็นของแข มันแย่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของแขไปหมดเลย”
“พี่จะทวงสิทธิ์ที่ควรจะเป็นของแขกลับมาให้เอง”
ว่าพลางภาวิดาเดินตรงเข้าไปหาภาณุทัตกับแม้นมาศ
“พี่ชายทัตจะไปไหนเหรอคะ เดี๋ยวแขกสำคัญของท่านพ่อก็มาแล้ว”
“พี่ไปแป๊บเองเดียวก็กลับมา หญิงแขกับชายกรรับหน้าไปก่อนนะ”
“ไม่ได้ค่ะ พี่ชายทัตเป็นทายาทคนโตของพรหมบดินทร์ พี่ชายควรจะอยู่ต้อนรับแขกสิคะ ไม่งั้นเค้าจะหาว่าเราไร้มารยาทได้นะคะ”
“แต่ว่า...”
แม้นมาศไม่อยากให้มีปัญหา จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายอยู่รับแขกเหอะค่ะ เรื่องของเราไว้วันหลังก็ได้”
“ถ้าพี่ชายทัตเป็นห่วงก็ให้คนขับรถไปส่งสิคะ” แขไขออกไอเดีย
“นายทวน ช่วยไปส่งคู่หมั้นของพี่ชายทัตทีนะ”
ภาวิดาหันไปขยิบตาให้ ทวนยิ้มปริ่มรีบเสนอหน้าเข้ามาทันที
“เชิญครับ ผมยินดีให้บริการ ขับขี่ปลอดภัยส่งถึงบ้านแน่นอนครับ”
“พรุ่งนี้พี่จะแวะไปคุยกับพี่ชายพี่สาวของเล็กที่บ้านนะ”
ภาณุทัตกับแม้นมาศยิ้มให้กัน แม้นมาศขึ้นไปนั่งเบาะหลังรถ
ทวนสตาร์รถแล้วทำทีขยับปรับกระจกมองหลังมองไปที่ใบหน้าแม้นมาศ แล้วค่อยๆ ไล่ลงไปที่นิ้วมือที่สวมแหวนไพลินอยู่ ทวนยิ้มตาลุกวาว
แม้นมาศเหลือบไปมองเห็นพอดี ทวนรีบขยับกระจกกลับ ขับรถออกไปช้าๆ แต่สายตาคอยเหลือบมองแม้นมาศอยู่ตลอดเวลา
แม้นมาศเริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทวนมองขาตัวเอง ก็ใจคอไม่ค่อยดี
อีกเหตุการณ์ ชุดแต่งงานสีขาวปักลวดลายดอกไม้ทั้งตัว สวยงามจับตาของแม้นมาศวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงเรือนไม้หอม ปริกเสนอหน้าเข้ามามองแล้วลูบไล้ไปมาอย่างตื่นเต้น
“ชุดแต่งงานของคุณแม้นมาศเหรอคะ”
“จ้ะ ชุดนี้คุณแม่ฉันเป็นคนออกแบบแล้วตัดให้”
“สวยจังเลยค่ะ คุณแม้นมาศใส่แล้วต้องเหมือนกับเจ้าหญิงแน่ๆ เลย”
“นั่นสิ น้องเล็กลองใส่ดูสิ พี่ก็อยากเห็นเหมือนกัน” ภาณุทัตยิ้มกริ่ม
“งั้นแป๊บหนึ่งนะคะ”
แม้นมาศหยิบชุดขึ้นมา แล้วเดินขึ้นไปเปลี่ยนชุด
เวลาผ่านไปแม้นมาศในชุดเจ้าสาวแสนสวย เดินลงมาจากบันไดด้วยท่วงท่าสง่างาม ภาณุทัตมองตะลึง แม้นมาศยิ้มเขิน ปริกมองตาโต
“เป็นไงบ้างคะ”
“งามมาก ชุดนี้เหมาะกับน้องเล็กจริงๆ” ภาณุทัตว่า
ปริกแซว “คุณชาย...คุณชายอย่าจ้องมองคุณแม้นมาศมากสิคะ เดี๋ยวคุณแม้นมาศก็ท้องป่องกันพอดี”
แม้นมาศขัน “เซี้ยวใหญ่แล้วนะปริก ฉันเป็นคนนะไม่ใช่ปลากัด”
ภาณุทัตชมไม่ขาดปาก “ก็น้องเล็กของพี่สวยจริงๆ นี่ พี่อดใจรอวันแต่งงานของเราไม่ไหวแล้วนะ”
“เล็กไปเปลี่ยนชุดดีกว่า ไม่คุยด้วยแล้ว”
แม้นมาศเขินจัดรีบเดินหนีขึ้นบันไดไปเปลี่ยนชุด
ประตูห้องนอนค่อยๆ แง้มเปิดออกช้าๆ เห็นแม้นมาศกำลังรูดซิบชุดแต่งงานลงเผยเห็นแผ่นหลังเนียนขาว แม้นมาศกำลังจะถอดชุด แต่แล้วมีเสียงประตูดังแอ๊ดขึ้นมา จึงชะงักหันไปเห็นประตูแง้มอยู่
“ใครน่ะ”
แม้นมาศขยับไปที่ประตูแล้วเปิดประตูออกท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แต่โล่งอกที่หน้าห้องก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ครั้นพอหันหลังกลับ ภาพสะท้อนในกระจกก็ปรากฏร่างของทวนยืนจ้องอยู่ด้วยสีหน้าหื่นกามก็สะดุ้งตกใจ
“ทวน”
รสสุคนธ์ฟังเรื่องที่แม้นมาศเล่าก็ตกใจไม่น้อย
“แล้วน้าทวนทำอะไรย่าเล็กหรือเปล่าคะ”
“เปล่า นายทวนอ้างว่ามาติดผ้าม่าน ตอนนั้นฉันก็อ่อนต่อโลก เลยไม่รู้ธาตุแท้ของมนุษย์ แต่พอเวลาผ่านมาฉันถึงคิดได้ คนเรามันหน้าเนื้อใจเสือ ฆ่ากันได้อย่างเลือดเย็น”
“การตายของย่าเล็ก มีทั้งพยานบุคคล มีทั้งจดหมายลาตาย รสคิดว่ามันต้องมีการวางแผนมาอย่างดี บางทีคนร้ายอาจมีมากกว่าหนึ่งคนก็ได้นะคะ”
“คนที่เจ้าคิดเจ้าแผนการก็มีแต่คุณหญิงภาวิดา ส่วนอีกคนต้องเป็นนายทวน พวกมันสองคนร่วมมือกันฆ่าฉันแน่ๆ”
แม้นมาศพูดเองเออเอง กัดฟันกรอดด้วยความอาฆาตแค้น
อีกฟากหนึ่ง เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาถึงหน้าคฤหาสน์ บ้านแขไข เป็นอุณนิษาที่กรีดร้องพร้อมกับหยิบ หนังสือเล่มหนาใกล้มือปาใส่อธิวัฒน์ด้วยความโมโห จีรนันท์คอยหลบด้านหลังผัว ส่วนแขไขนั่งเครียดดูอยู่เฉยๆ
“โอ๊ยๆ นิษา หยุด พี่เจ็บนะ”
“ไม่หยุด เจ็บแค่นี้มันยังน้อยกว่าที่นิษาเจ็บ ฉันเกลียดแก นังรสสุคนธ์”
จีรนันท์ร้องไปคอยหลบไป “ว้าย คุณนิษาโกรธนังรสสุคนธ์แล้วทำไมต้องมาลงที่พวกเราด้วย”
“ก็เพราะเธอกับพี่วัฒน์มันไม่ได้เรื่องไง ไหนว่าจะจัดการนังรสสุคนธ์ ดูสิผ่านมาตั้งนานแล้วมันยังลอยหน้าลอยตาอยู่เลย”
“ฉันกับพี่วัฒน์ก็ทำสุดความสามารถแล้วนะ ใครจะไปรู้ว่าผีย่ามันจะเฮี้ยนขนาดนั้น เธอจะมาโทษพวกฉันก็ไม่ถูกนะ”
อธิวัฒน์เห็นด้วย “ใช่ เมื่อวานแทนที่จะรวบหัวรวบหางประกาศหมั้นซะให้รู้แล้วรู้รอด มัวแต่พิรี้พิไรจัดงานเดินแฟชั่นอยู่ได้ เป็นไงล่ะ โดนรสสุคนธ์แย่งซีนไปหมด แทนที่ตัวเองจะเกิดกลายเป็นดับไม่เป็นท่า”
“อ๊าย พี่วัฒน์ พี่วัฒน์กล้าซ้ำเติมนิษาได้ไง”
โดนจี้ใจดำจังๆ อุณนิษากรี๊ดหันไปคว้าแจกันดอกไม้ได้จะปาใส่ อธิวัฒน์รีบจับมือไว้
“เลิกบ้าซะที มัวแต่แหกปากแบบนี้ไงผู้ชายถึงไม่เอา ในฐานะที่เราเป็นญาติกัน ยังไงพี่ก็เป็นพี่ แล้วพี่ก็จะไม่ทนคุณนิษาอีกแล้ว ผมลาล่ะครับคุณหญิงน้า”
อธิวัฒน์ยกมือไหว้แขไขที่นั่งหน้าเครียดเบื่อโลกอยู่ แล้วเดินออกไปโดยไว จีรนันท์เห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งตาม
“พี่วัฒน์รอจีจี้ด้วย”
“คุณแม่ คุณแม่ต้องจัดการให้นิษานะคะ”
“ใจเย็นๆ นิษา เรื่องหมั้นไม่ต้องห่วงนะลูก เดี๋ยวแม่จะคุยกับคุณหญิงดาให้ ยังไงซะนิษาก็จะได้เป็นเจ้าสาวของพี่รามแน่ เชื่อแม่เหอะนะ”
แขไขปลอบลูกสาวเพื่อให้เลิกอาละวาด อุณนิษายอมสงบลง แต่ใจกลับร้อนรุ่มครุ่นคิดแผนการบางอย่าง
ทางด้านปริกนั่งหน้าเครียด ครุ่นคิดหาแผนการจัดการกับรสสุคนธ์อยู่คนเดียวในห้องอเนกแระสงค์บนเรือนใหญ่
“โอ๊ย จะจัดการกับแม่รสยังไงดีวะ”
ปริกเกาหัวแล้วหันมาเจออุณนิษายืนมองอยู่ก็ตกใจ
“อุ๊ย คุณนิษา มาหาคุณหญิงเหรอคะ เดี๋ยวปริกไปเรียนให้นะคะ”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้มาหาคุณหญิงป้า แต่ฉันมาหาแก”
ปริกฟังแล้วแปลกใจ “หาปริก คุณนิษามีอะไรจะให้ปริกรับใช้เหรอคะ”
“ฉันมีงานสำคัญจะให้แกทำ งานนี้ต้องเป็นความลับห้ามใครรู้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ ว่าแต่คุณนิษาจะให้ปริกทำอะไรเหรอคะ”
ปริกรีบสาระแนแถเข้าไปประจบทันที อุณนิษาหันไปมองรอบๆ ดูว่ามีคนอื่นอยู่หรือเปล่า ท่าทีมีลับลมคมใน
พอมั่นใจว่าไม่มีใครผ่านมาแน่ อุณนิษาจึงหันมาพูดกับปริกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เยือกเย็น
“ฉันจะให้แกฆ่านังรสสุคนธ์”
ปริกได้ยินก็ตาเหลือกตกใจสุดขีด รีบปฏิเสธเสียงหลง
“ฆะ...ฆ่าคน ปริกทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ฉันไม่ได้ให้แกไปฆ่าเองซะหน่อย แกก็ไปจ้างใครทำก็ได้ งานนี้ถ้าสำเร็จฉันจ่ายไม่อั้น แต่ขอให้มันตายจริงก็แล้วกัน”
“แต่นังรสสุคนธ์มันมีผีย่ามันช่วยอยู่นะคะ ปริกกลัว ปริกยังไม่อยากถูกผีหักคอ”
“กลัวงั้นเหรอ”
อุณนิษาถลึงตาใส่ แล้วตบหน้าปริกเปรี้ยง ปริกเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น
“ว้าย คุณนิษาตบปริกทำไมคะ”
“แกเลือกเอา ระหว่างฉันกับผีย่านังรสสุคนธ์ แกจะกลัวใครมากกว่ากัน”
“ปริกก็กลัวคุณสิคะ”
“ดี งั้นก็ไปทำงานซะ ฉันรอข่าวดีอยู่ เข้าใจมั้ย”
ปริกพยักหน้าหงึกๆ รีบคลานออกไปประตูไปด้วยความหวาดกลัว
“นังรสสุคนธ์ แกจะต้องตายตามย่าแกไป”
อุณนิษาแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ดูคล้ายกับคนป่วยเป็นคนโรคจิตนิดๆ
เรือนไม้หอม ยามค่ำคืนตกอยู่ในความเงียบสงัด สองย่าหลานคนกะผีอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง
การ์ดทำมือน่ารักๆ ที่แม้นมาศเคยทำให้คุณชายภาณุกรตอนวันเกิดอยู่ในมือรสสุคนธ์
“น่ารักจัง”
“นั่นการ์ดอวยพรวันเกิดที่ฉันทำให้คุณชายกรนี่”
“ย่าเล็กนี่ช่างครีเอตประดิดประดอยจังเลยนะคะ”
“อย่ามัวแต่ชมฉันเลย รีบเทียบลายมือฉันก่อนเหอะ”
รสสุคนธ์เอาจดหมายลาตายมาเทียบกับการ์ดวันเกิดของภาณุกร เมื่อดูเผินๆ จะเห็นว่าลายมือเหมือนกันมาก รสสุคนธ์กวาดสายตาอ่านเปรียบเทียบอย่างขะมักเขม้น แม้นมาศมองลุ้นๆ
“เป็นยังไง เจออะไรแตกต่างมั้ย”
“ลายมือคล้ายกันมากแทบแยกกันไม่ออกเลยค่ะ”
“มันต้องมีจุดแตกต่างสิ ดูใหม่สิ”
รสสุคนธ์เพ่งสายตาไล่จับผิดที่ตัวอักษรอย่างพินิจพิเคราะห์ จนเจอความแตกต่างชัดเจน
ข้อความจากจดหมายลาตายเขียนว่า “เล็กมีเรื่องอยากจะสารภาพ” แล้วเพ่งมองข้อความจากการ์ด “ขอให้ชายกรมีสุขภาพที่แข็งแรง”
ที่ข้อความตัวอักษร พ. เห็นความแตกต่างของทั้งสองลายมือ มีหยักตรงกลางต่างกัน โดยในจดหมายเขียนลากจนสุดแต่ในการ์ดเขียนลากขึ้นไม่สุดแค่ 3 ใน 4 ซึ่งแม้นมาศจะติดนิสัยลากไม่สุด
“เจอแล้ว ดูตัวพอพานสิคะ ในจดหมายลากสุดแต่ในการ์ดลากไม่สุด”
“จดหมายลาตายนี้เป็นของปลอม ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย เชื่อฉันหรือยัง เธอต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฉันนะ รสสุคนธ์”
“ค่ะ เรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผย รสจะเอาตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้”
รสสุคนธ์มองหลักฐานในมือด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
รสสุคนธ์ทำตามที่ว่า เช้าวันนี้เธอพาตัวเองมานั่งประจันหน้ากับรามนรินทร์กับภาณุกร ที่รอฟังอยู่
“ตกลงคุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณขอการ์ดย่าคุณไปทำไม”
“ฉันเอาไปพิสูจน์ความจริงค่ะ”
ภาณุกรแปลกใจ “ความจริงอะไรหนูรส”
“ความจริงที่จดหมายลาตายเป็นของปลอมยังไงคะ”
รามนรินทร์ฉุนนิดๆ “นี่คุณยังไม่ยอมเลิกคิดอีกเหรอ”
“ใช่ค่ะ นี้คือหลักฐาน”
รสสุคนธ์วางจดหมายลาตาย กับการ์ดอวยพรวันเกิด ลงบนโต๊ะให้ภาณุกรกับรามนรินทร์ดู พลางอธิบาย
“ลองสังเกตตัวพอพานดูสิคะ”
รามนรินทร์หยิบจดหมายกับการ์ดอวยพร มาเทียบกันดูแล้วก็ต้องตกใจ
“ไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย”
รามนรินทร์ยื่นให้น้าชายดู ภาณุกรเองก็ตกใจเช่นกัน
“นี่ก็หมายความว่า…” ภาณุกรตะลึง
รสสุคนธ์บอกอย่างมั่นใจว่า “ย่าเล็กถูกฆาตกรรม”
สองน้าหลานได้ยินก็พากันอึ้งตะลึงตะไลไปเลย
ปริกสับมีดลงไปที่ผักกาดขาวบนเขียงอย่างแรงจนขาดเป็นสองท่อน แล้วสับๆ ๆ อย่างบ้าคลั่ง
“ตายๆๆ แกตาย”
จวงกับทวนที่นั่งกินข้าวอยู่ หันไปมอง จวงเห็นรีบโวยวายใหญ่
“อีปริก อีเวรตะไล เอ็งไปบ้าไกลๆ เลย ผักข้าเสียหายหมด ผักพวกนี้ข้าต้องใช้ทำอาหารตั้งสองมื้อนะโว้ย”
“ก็แค่ผักไม่กี่บาท จะงกอะไรนักหนา” ปริกเถียง
“เอ็งก็ไปบอกคุณหญิงสิวะ เงินค่ากับข้าวก็กำจัดกำเขี่ยอยู่ด้วย เดี๋ยวข้าจะหักจากเงินเดือนเอ็ง”
“เอ็งเครียดอะไรวะอีปริก” ทวนถาม
“ฉันก็เครียดเรื่องหาวิธีเล่นงานแม่รสสุคนธ์น่ะสิ ขืนทำอะไรมัน ฉันต้องโดนผีย่ามันหักคอแน่ๆ”
“มันจะยากอะไรวะ เอ็งก็อย่าทำให้มันเห็นสิ” ทวนทำเป็นปากดี
“โอ๊ย มันเป็นผีนะพี่ ฉันจะไปรู้ได้ไงว่ามันอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
จวงใช้นิ้วจิ้มกบาลปริก “อีโง่ เอ็งก็จัดการมันที่อื่นสิวะ หลอกมันไปให้ไกลเรือนไม้หอม แค่นี้ผีนังแม้นมาศก็ไม่รู้แล้ว”
“จริงด้วย งั้นพี่จวง พี่ทวน ช่วยฉันหน่อยนะ”
“เรื่องอะไร”
จวงกับทวนวงแตกรีบชิ่งหนีออกไปโดยไว ปริกเซ็ง
ฟากรสสุคนธ์เปิดกล่องเครื่องประดับไพลิน เครื่องประดับประจำตระกูลให้ภาณุกรกับรามนรินทร์ดู
“คุณชายจำชุดไพลินนี้ได้มั้ยคะ”
“จำได้สิ นี่เป็นเครื่องเพชรประจำตระกูลที่พี่ชายทัตเป็นคนมอบให้กับแม้นมาศ ว่าแต่มันมีอะไรเหรอ”
“คุณคงไม่ได้เอามายั่วให้คุณแม่ผมโมโหอีกนะครับ” รามนรินทร์อดเหน็บไม่ได้
“เปล่าค่ะ คุณชายดูดีๆ สิคะ ว่ามีอะไรหายไป”
ภาณุกรเพ่งสายตามองไปที่กล่องเครื่องเพชร เห็นในกล่องมีเพียงสร้อยคอและต่างหูเท่านั้น
ภาณุกรแหวนไพลินหายไป
“ใช่ค่ะ มีคนขโมยแหวนไพลินไป รสเชื่อว่าคนๆ นั้นก็คือฆาตกร”
“คุณก็เลยมาขอดูเครื่องเพชรคุณแม่ผม เพราะคิดว่าคุณแม่ผมเป็นคนร้ายใช่มั้ย”
“ค่ะ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด ตอนนี้คนที่น่าสงสัยที่สุดไม่ใช่คุณหญิงแต่เป็น น้าทวน”
“นายทวนเนี่ยนะ มีหลักฐานหรือเปล่า” ภาณุกรไม่เชื่อนัก
“ไม่มีค่ะ แต่รสมีหลักฐานอื่นที่เชื่อได้ว่าน้าทวนมีนิสัยชอบลักขโมย จริงมั้ยคะคุณราม”
รสสุคนธ์ยิ้มอย่างมั่นใจแล้วหันไปมองรามนรินทร์
“น้าทวนเป็นคนขโมยชุดเครื่องเพชรของคุณแม่ ไม่ใช่บัวครับ”
รามนรินทร์บอกพร้อมกับนึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ หลังจากเห็นรูปเครื่องเพชรจากรสสุคนธ์
เวลานั้นรามนรินทร์เดินเข้ามามองสภาพร้านขายเพชร แล้วเดินตรงไปที่พนักงานขายพูดด้วยสีหน้าขึงขัง
“ผมมาพบเจ้าของร้าน รบกวนช่วยตามให้ผมทีนะครับ”
“รอซักครู่ค่ะ”
พนักงานหน้าตื่นเข้าไปหาเจ้าของร้าน เพียงแป๊บเดียวไฮโซเจ้าของร้านก็ออกมา พอเห็นหน้าก็จำกันได้ รามนรินทร์รีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณอาสุชีรา”
“สวัสดีจ้ะ นึกว่าใคร ที่แท้ก็รามนรินทร์ พรหมบดินทร์ หลานชายคุณชายภาณุกรนี่เอง ว่าแต่มาหาอามีธุระอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ผมอยากจะขอดูเครื่องเพชรชุดนี้ครับ”
รามนรินทร์ยื่นรูปถ่ายเครื่องเพชรชุดที่หายไปให้ดู พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ได้จ้ะ หยิบเครื่องเพชรมาให้คุณรามดูเร็ว”
พนักงานรีบไขกุญแจหยิบกล่องเครื่องเพชรออกให้ เจ้าของร้านเปิดกล่องเครื่องให้ดู รามนรินทร์ถึงกับอึ้งไป
“คุณอาได้เครื่องเพชรนี้มายังไงครับ”
“มีคนพึ่งเอามาปล่อยให้อา เห็นว่าเจ้าของร้อนเงินอาก็เลยรับไว้ รามอยากรู้ไปทำไมจ๊ะ”
“เครื่องเพชรชุดนี้เป็นสมบัติของคุณแม่ผม มันหายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน”
“ตายจริง นี่อาเผลอรับของโจรเหรอเนี่ย แบบนี้ชื่อเสียงร้านอาก็เสียหายหมด” เจ้าของร้านทำเป็นตกใจ
“คุณอาไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะขอซื้อคืนพร้อมกับค่าเสียหายให้คุณอา เพียงแต่ว่า คุณอาจำได้มั้ยครับว่าใครเป็นคนเอามาขาย”
“จำได้สิจ๊ะ ร้านอามีกล้องวงจรปิดด้วย อาจะเอาหลักฐานให้รามเอง”
เจ้าของร้านดีใจรีบบอกสั่งลูกน้องไปก๊อปปี้ภาพให้ รามนรินทร์พยักหน้าพอใจ
พอเล่าจบ รามนรินทร์เสียบยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ต่อเข้าโน้ตบุ๊ก แล้วเปิดคลิปจากกล้องวงจรปิดร้านขายเพชรให้ภาณุกรดู หน้าจอโน้ตบุ๊คเห็นภาพทวนเอาชุดเครื่องเพชรมาขายกับเจ้าของร้านชัดเจน ภาณุกรโกรธจัด
“กินบนเรือนขี้บนหลังคา พวกไพร่สันดานโจรอย่างมัน น้าจะไม่เก็บมันไว้แน่”
“คุณน้ากรจะให้ผมแจ้งตำรวจมั้ยครับ” รามนรินทร์ถาม
“อย่าเพิ่ง เรื่องนี้น้าอยากให้รามกับหนูรสเงียบไว้ก่อน น้าไม่อยากให้มันไหวตัวทัน”
“ได้ค่ะ แล้วคุณชายกรจะทำยังไงต่อค่ะ”
“น้าจะจับตัวมันให้พี่หญิงดาลงโทษ พี่หญิงดาจะได้รู้ซะทีว่าคนโปรดของตัวเองทำเรื่องเสื่อมเสียให้แก่พรหมบดินทร์ขนาดไหน”
ภาณุกรมีสีหน้าดุดันเอาจริงมาก ต่างจากคุณชายใจดีที่ทุกคนเห็น จนรสสุคนธ์รู้สึกกลัว
ไม่นานต่อมาทวนขับรถแล่นเข้ามาจอดในที่จอดรถ หิ้วถุงช็อปปิ้งเสื้อผ้าแบรนด์หรูลงจากรถ ผิวปากอารมณ์ดีจะเดินไปหลังบ้าน แต่แล้วรามนรินทร์กับรสสุคนธ์ก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับรปภ. สองคน ทวนชะงักตกใจประสาคนมีชะนักติดหลัก
“จับ” รามนรินทร์สั่งการ รปภ.สองคนเข้ามาล็อกตัวทวนไว้
“เฮ้ย นี้มันอะไรกันครับคุณราม” ทวนฉุนกึก
รามนรินทร์จ้องหน้าชู้รักมารดา “ทำอะไรผิดก็น่าจะรู้ เอาตัวเข้าไป”
“ไม่ ปล่อย...ปล่อยกู”
ทวนไม่ยอม ดิ้นหนี สะบัดมือจนถุงช็อปปิ้งหล่นกระจาย จนหลุดไปได้ ตั้งท่าจะหนี
“จับไว้ อย่าให้หนีไปได้”
รปภ.เข้าไปจับ ทวนออกหมัดอัดรปภ.เซล้มไปนอนกองทั้งสองคน รามนรินทร์เห็นท่าไม่ดี จึงก็เข้าไปจัดการเอง เตะอัดเข้าที่ชายโครง จนทวนเซถลาไป ทวนชักโกรธหันมาสู้กับรามนรินทร์ ทวนซัดหมัดใส่รามนรินทร์ยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ดกันไว้ รสสุคนธ์มองลุ้น
“ระวังตัวนะคะคุณราม”
รามนรินทร์กับทวนสู้กันหนักหน่วงรุนแรง ระหว่างนี้จวงกับปริกพากันวิ่งหน้าตื่นออกมาดู
“เสียงใครตีกันวะ” จวงมองหา
ปริกหันไปเห็น “ว้าย คุณรามกำลังมีเรื่องกับพี่ทวน”
ทวนถูกรามนรินทร์ต่อยเตะจนล้มลง รปภ.รีบเข้ามาตะครุบตัวทวนไว้
“ปล่อย ปล่อยกู” ทวนร้องลั่น
จวงตกใจประสมไม่พอใจ “ทวนมันทำผิดอะไรเหรอคะ ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
“ผิดที่คิดไม่ซื่อไงครับ รบกวนน้าจวงเรียนคุณแม่ให้ด้วย ผมจับตัวคนที่ขโมยเครื่องเพชรของคุณแม่ได้แล้ว”
พูดจบรามนรินทร์กับรสสุคนธ์ก็เดินเข้าบ้านไป จวงกับปริกพากันอึ้งตกใจ
“พี่ทวน นี่พี่ทำจริงเหรอ” ปริกตกใจ
“เปล่า ฉันไม่ได้ทำ พี่จวงพี่ต้องช่วยฉันนะ”
รามนรินทร์สั่งเสียงเข้ม “เอาตัวไป”
รปภ.รีบดันตัวทวนเข้าไปในบ้าน รามนรินทร์กับรสสุคนธ์เดินตาม
“นังปริก แกรีบตามไปดู เดี๋ยวข้าจะไปรายงานคุณหญิงเอง”
จวงรีบวิ่งหน้าตื่นออกไป ปริกวิ่งตามหลังกลุ่มรามนรินทร์กับรสสุคนธ์ไป
ภาวิดาฉีดน้ำหอมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จวงหน้าตื่นวิ่งพรวดพราดเข้ามา
“คุณหญิงขา คุณหญิง เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณหญิง”
“มีอะไรจวง หน้าตื่นมาเชียว”
“ไอ้ทวนค่ะ ไอ้ทวนถูกคุณรามจับตัว”
ภาวิดาตกใจมาก “ว่าไงนะ แล้วตารามจับทวนทำไม”
“คุณรามบอกว่าไอ้ทวนเป็นขโมย นี่ต้องเป็นฝีมือแม่รสสุคนธ์ สงสัยมันยุคุณรามใส่ร้ายไอ้ทวนแน่ๆ ค่ะคุณหญิง”
“มันจะมากไปแล้ว ฉันไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาคนในบ้านฉันง่ายๆ หรอกนะ ไปจวง ฉันจะปกป้องทวนเอง”
ภาวิดาคำรามออกมา ก่อนจะโลดแล่นออกไปพร้อมกับจวง
ทุกคนรวมตัวอยู่ในห้องนั่งเล่น รามนรินทร์ ภาณุกร รสสุคนธ์ นั่งรอภาวิดาอยู่ ใกล้ๆ มีเฟื่องน้อยนั่งอยู่ที่พื้นรอฟังคำวินิจฉัย
ทวนโดนรปภ.จับตัวกดให้คุกเข่าอยู่กลางห้องรอการพิพากษา ปริกยืนชะเง้อคอรอท่าภาวิดากับจวงอยู่หน้าประตูห้องด้วยความร้อนใจ พอเห็นสองคนเข้ามาก็รีบเดินตามเข้าไปรวมกลุ่มในห้องทันที
ภาวิดาก้าวเข้ามามองรามนรินทร์กับภาณุกรด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจถึงขีดสุด
“มันอะไรกันชายกร ตาราม”
ทวนรีบออดอ้อน “คุณหญิง ช่วยผมด้วยครับคุณหญิง”
“ปล่อยทวนเดี๋ยวนี้” ภาวิดาประกาศก้อง
ภาณุกรไม่ยอม “ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับคุณพี่”
ภาวิดาแว้ดใส่ “ทำไม อย่าบอกนะว่าเราสองคนเชื่อคำพูดนังเด็กเมื่อวานซืนนี่ บ้ากันไปใหญ่แล้ว ทวนทำงานให้เรามาตั้งสามสิบปี ไม่มีทางเป็นขโมยไปได้หรอก”
“แต่ดิฉันมีหลักฐานนะคะ” รสสุคนธ์พูดแทรกขึ้น
ภาวิดาแหวใส่ “หลักฐานเท็จน่ะสิ แกพยายามจะทำลายครอบครัวฉัน ฉันไม่หลงกลแกหรอก ตาราม ชายกร แม่นี่มันสิบแปดมงกุฎ ตาสว่างกันซะที”
“คุณพี่นั่นล่ะครับที่ต้องตาสว่าง นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดร้านเพชรคุณสุชีรา คุณพี่ดูเองก็แล้วกัน”
ภาณุกรหยิบรีโมทมาเปิดทีวี ภาวิดา จวง และ ปริกเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดก็พากันตกใจ หลักฐานมัดทวนชัดแจ้ง เฉพาะภาวิดานั้นแทบช็อกถึงกับซวนเซจะเป็นลม ยืนไม่อยู่ จวงกับปริกรีบเข้าไปพยุง
น้อยคลานเข้าไปกระซิบกับรสสุคนธ์
“หลักฐานคาหนังคาเขาแบบนี้ พากันเงิบเป็นแถบๆ เลย คุณรสเชื่อมั้ยคะ ว่าคุณหญิงต้องปกป้องน้าทวนอีกแน่ๆ”
เฟื่องเอ็ดหลานสาว “เอ็งไม่ต้องมาสาระแนออกความเห็นเลย คุณหญิงท่านเป็นคนยุติธรรม ท่านไม่ปกป้องคนผิดหรอก”
รสสุคนธ์เองก็คิดเช่นเดียวกับน้อย “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิคะ รสก็อยากเห็นเหมือนกัน”
ภาวิดาเริ่มมีสติ ภาณุกรหันไปถามพี่สาว
“ว่าไงครับคุณพี่ คุณพี่จะตัดสินยังไง”
ภาวิดามองทวนด้วยแววตาเจ็บช้ำ ทั้งแค้นทั้งรัก ทวนหน้าซีดกลัวความผิดร้องไห้ อ้อนวอนขอให้ภาวิดาเชื่อ
“ผมเปล่านะครับ ผมถูกใส่ร้าย คุณหญิงต้องเชื่อผมนะครับ”
“คุณสุชีรายืนยันว่าทำแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายในชื่อน้าทวน หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ น้าทวนยังกล้าปากแข็งอีกเหรอ” รามนรินทร์ฉุนขาด
ภาณุกรเอ่ยขึ้นอีกว่า “คุณพี่ เลิกปกป้องคนผิดได้แล้วนะครับ”
“แก ไอ้คนเนรคุณ ฉันดีกับแกทุกอย่าง ทำไมแกทำกับฉันแบบนี้”
ภาวิดาเจ็บปวดเหลือแสน โถมตัวเข้าไปตบตีทวนอย่างบ้าคลั่ง ทวนร้องไห้ไหว้ปลกๆ หมดสภาพ
“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมด้วย”
ภาณุกรถามย้ำ “คุณพี่จะตัดสินโทษนายทวนยังไง ให้ผมแจ้งความดำเนินคดีมั้ยครับ”
“อย่าให้เรื่องมันถึงโรงถึงศาลเลย ถือว่าพี่มันโง่เองที่เชื่อคนผิด จากนี้ไป แกไม่ใช่คนบ้านฉันอีกแล้ว”
ทวนร้องไห้คลานเข้าไปกอดขาภาวิดา
“ไม่นะครับคุณหญิง คุณหญิงอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ”
“อย่ามาแตะต้องฉัน รีบไสหัวออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ อย่ามาให้ฉันเห็นอีก ออกไป”
ภาวิดาถีบทวนออกแล้วสะบัดตัวเดินกระแทกเท้าออกไปออกไป
“คุณหญิง...คุณหญิง”
ทวนพยายามจะคลานตามไป แต่ถูกรปภ.จับตัวไว้ จวงกับปริกกอดกันกันร้องไห้
น้อย และเฟื่องต่างอนาถใจ
รสสุคนธ์ถอนหายใจ ไม่พอใจนิดๆ สุดท้ายภาวิดาก็ไม่ยอมเอาผิดทวน
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 10 (ต่อ)
รามนรินทร์เดินมาส่งรสสุคนธ์ที่เรือนไม้หอม เห็นสีหน้านิ่งขรึมและเงียบผิดปกติมาตลอดทาง ก็มองออก
“คุณรส คุณไม่พอใจผลการตัดสินใช่มั้ย”
รสสุคนธ์ยอมรับตรงๆ “ค่ะ สุดท้ายคนผิดก็ไม่ได้รับโทษ แล้วแบบนี้บ้านเมืองจะมีกฎหมายไว้ทำไมคะ”
รามนรินทร์ถอนหายใจ “ผมอยากให้คุณมองในมุมคุณแม่ท่านบ้างนะครับ ท่านเองก็ลำบากใจ น้าทวนเป็นคนเก่าคนแก่ทำงานให้คุณแม่มานานแล้ว ต้องถูกคุณแม่ไล่ออกจากบ้านแค่นี้ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสแล้วล่ะครับ”
“ค่ะ ฉันทราบค่ะ แต่คุณอย่าลืมเรื่องปริศนาการตายของย่าฉันสิคะ ตอนนี้น้าทวนเป็นผู้ต้องสงสัย ถ้าเกิดน้าทวนหนีไป แล้วฉันจะเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครล่ะค่ะ”
“คุณก็เรียกร้องกับผมไงครับ ผมในฐานะทายาทของพรหมบดินทร์ ถ้าคนในบ้านของผมผิดจริง ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่หรือใครก็ตาม ผมยินดีจะชดใช้ทุกอย่าง คุณไว้ใจผมได้”
รสสุคนธ์อึ้งไป ที่รามนรินทร์แสดงความเป็นลูกผู้ชายยอมรับผิดแทนทุกคน
แม้นมาศเคลื่อนตัววูบออกมายืนหน้าเรือนไม้หอม ใบหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“กูไม่ต้องการแพะ ใครที่ทำผิดกับกู มันต้องชดใช้ด้วยตัวเอง ไอ้ทวน ไอ้สารเลว วันตายของมึงมาถึงแล้ว”
แม้นมาศแสยะยิ้มกว้าง ลมพัดมาวูบใหญ่ปะทะใบหน้าวิญญาณแค้นจังๆ ผมแม้นมาศสยายดูน่ากลัวหนักกว่าปกติทบทวี
ทวนเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าอย่างช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความชอกช้ำเจ็บปวด จวงกับปริกสะอื้นไห้ปาดน้ำตาป้อยๆ อยู่ข้างๆ
“พี่ทวน พี่ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“คุณหญิงไล่แล้ว ข้าจะมีหน้าอยู่ต่อได้ไงวะ”
“ทั้งหมดเป็นเพราะนังรสสุคนธ์ นังนี่มันจะจองล้างจองผลาญพวกเราไปถึงไหน” จวงคำราม
“คอยดูเหอะ ฉันต้องกลับมาแก้แค้นมันให้ได้” ทวนกล่าวอาฆาตมาดร้ายไว้
“เอ็งไปอยู่ไหนก็ส่งข่าวมาบอกบ้างนะ”
“จ้ะ พี่จวงก็ระวังตัวด้วยล่ะ นังรสกับผีย่ามันไม่หยุดแค่นี้แน่”
“ข้าไม่กลัวมันหรอก ลองมายุ่งกับข้าดูสิ ข้าจะเล่นงานมันให้ตายตกตามย่ามันเลย”
“พี่ทวน โชคดีนะ”
ทวนสะพายเป้แล้วหิ้วกระเป๋าอีกใบเดินออกไป จวงกับปริกมองตามด้วยความสงสาร
จวงโกรธรสสุคนธ์ถึงขีดสุด “อีปริก มึงคิดแผนจัดการนังรสได้ยังวะ”
“ได้แล้วพี่ คืนนี้นังรสสุคนธ์มันไม่รอดแน่”
ปริกยิ้มเหี้ยมโหด สีหน้าท่าทางแค้นสุดจะประมาณ
ทวนสะพายเป้หิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังเดินผ่านหน้าเรือนใหญ่ แต่หยุดหันไปมองหาภาวิดา ว่าจะมาส่งแต่พอไม่เห็นก็เลยยิ่งเศร้า
“คุณหญิง ผมคงไม่ได้อยู่ดูแลปรนนิบัติคุณหญิงแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ทวนเจ็บปวดยิ่งนัก มองหน้าต่างห้องอย่างอาลัยอาวรณ์ เดินทอดน่องไปช้าๆ หวังลึกๆ ว่าจะรอให้ภาวิดาโผล่มาเรียกห้ามไว้
ภาวิดาค่อยๆ โผล่หน้าออกมาตรงระเบียงบ้าน แอบเสามองทวนด้วยแววตาอันเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่ทำเป็นใจแข็งแล้วเดินหลบกลับเข้าไปในบ้าน
ทวนหันมามองบ้านอีกครั้ง แต่ภาวิดาก็ไม่โผล่มา มันจึงตัดใจเดินคอตกออกไป
ท้องฟ้าคืนพระจันทร์เต็มดวงเหนือบ้านพรหมบดินทร์สว่างจ้า ทวนเปิดประตูรั้วเล็กออกมา โดยไม่รู้ว่าผีแม้นมาศรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว แต่คนขับแท็กซี่เห็นทั้งสองเดินออกมาขึ้นรถด้วยกัน
ทวนขึ้นนั่งเบาะหลัง ข้างๆ อีกฝั่งแม้นมาศนั่งอยู่ ทวนชะงักกึกค่อยๆ หันไปมอง แต่แม้นมาศก็ไม่อยู่แล้ว
รถแท็กซี่แล่นออกไปช้าๆ โดยที่เบาะด้านหลังคนขับเห็นแม้นมาศแสยะยิ้มสมใจอยู่
เสียงโทรศัพท์สายในที่เรือนไม้หอมดังขึ้น รสสุคนธ์กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบลุกไปรับโทรศัพท์ด้วยความสงสัย เพราะปกติไม่ค่อยมีคนโทร.มาเบอร์บ้าน
“สวัสดีค่ะ รสสุคนธ์พูดสายค่ะ”
ปลายสายเงียบฉี่ แต่มีแต่เสียงลมหายใจดังฟืดฟาด เหมือนพวกโรคจิต
“ฮาโหลๆ ถ้าไม่พูดฉันจะวางสายนะคะ”
“ฉันรู้ว่าใครฆ่าย่าแก” ปริกโทร.มาแต่ดัดเสียงเป็นคนแก่
รสสุคนธ์ตกใจ ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ว่าอะไรนะคะ นั่นใครพูดคะ”
ปริกดัดเสียงพูดสาย โดยกำลังโทร.จากห้องพักที่เรือนคนใช้
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ถ้าแกอยากรู้ไปที่ประตูทางออกหลังบ้าน”
รสสุคนธ์ตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงโทรศัพท์ถูกตัดสาย
“ฮาโหล เดี๋ยวสิ ฮาโหล...ใครโทร.มานะ”
รสสุคนธ์วางสายไปอย่างเสียดาย
ด้านปริกวางสายไป สีหน้าถมึงทึง แววตาดูโหดเหี้ยมร้ายกาจ แสงจากฟ้าแลบวาบเข้าใบหน้าปริกยิ่งดูน่ากลัว
“แกเป็นคนบังคับให้ฉันทำเองนะรสสุคนธ์
ฝ่ายรสสุคนธ์รีบร้อนจะออกจากบ้าน น้อยเดินลงมาเห็นเลยถาม
“คุณรสจะไปไหนคะ”
รสสุคนธ์ไม่ตอบรีบวิ่งออกไปโดยไว น้อยรีบไปหยิบร่มแล้ววิ่งตามออกมา
“ฝนกำลังจะตก เอาร่มไปด้วยสิคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปแป๊บเดียว”
รสสุคนธ์ไม่รอรีบร้อนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว น้อยมองตามด้วยความสงสัยว่ารสสุคนธ์รีบไปไหนตอนดึกๆ
รถแท็กซี่แล่นมาบนถนนในซอยละแวกบ้านพรหมบดินทร์ สองข้างทางดูเปลี่ยว ทวนนั่งทอดอาลัยมองข้างทางอีกฝั่งถนนโดยหารู้ไม่ว่าภัยกำลังมาเยือนแล้ว ผีแม้นมาศค่อยๆ หันเฉพาะลำคอส่วนหัวมาจ้องทวนตาเขม็ง
กระจกประตูที่ทวนมองอยู่สะท้อนภาพของแม้นมาศหันมาแสยะยิ้มให้
“เฮ้ย”
ทวนสะดุดเฮือก เสียวสันหลังวาบ หันไปดูที่นั่งข้างๆ แต่เบาะกลับว่างเปล่า
คนขับแท็กซี่เห็นทวนมีท่าทางแปลกๆ จึงเหลือบมองอย่างสงสัย และชักแปลกใจที่เห็นทวนนั่งอยู่คนเดียว
ทวนไม่พอใจ “มองอะไร ขับไปสิวะ”
“แล้วแฟนพี่ไปไหนแล้วล่ะครับ” แท็กซี่ถามงงๆ
ทวนงงกว่า “แฟนอะไร”
“ก็ผู้หญิงคนที่มากับพี่ไง เมื่อกี้ผมยังเห็นนั่งอยู่เลย”
“ไอ้มั่ว เอ็งตาถั่วแล้ว ข้ามาคนเดียวโว้ย”
ทวนฟังแล้วรู้สึกหวั่นๆ นั่งไม่ค่อยติดแล้ว คอยมองเบาะข้างๆ แต่ก็ว่างเปล่าไม่เห็นอะไร
รามนรินทร์ยืนมองจดหมายเทียบลายมือของแม้นมาศอยู่ตรงระเบียงชั้นบน ครุ่นคิดถึงคำพูดของรสสุคนธ์ ตอนนั้นรสสุคนธ์ให้รามนรินทร์สังเกตจดหมายกับการ์ดอวยพร
“ลองสังเกตตัวพอพานดูสิคะ”
“ไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย”
รามนรินทร์ยื่นให้ภาณุกรดู ภาณุกรเองก็ตกใจเช่นกัน
“นี่ก็หมายความว่า”
รสสุคนธ์บอกอย่างมั่นใจว่า “ย่าเล็กถูกฆาตกรรม”
รามนรินทร์กับภาณุกรต่างก็พากันอึ้งนิ่งงันไป
สีหน้ารามนรินทร์เครียดจัดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“ใครกันที่เป็นฆาตกร”
รามนรินทร์หันไปเห็นรสสุคนธ์กำลังเร่งรีบเดินออกไปทางหลังบ้านก็แปลกใจ
“คุณรสจะไปไหน”
รามนรินทร์มองตามด้วยความสงสัย ลุ้นๆ ว่าจะตามไปหรือไม่
รถแล่นมาในซอยละแวกบ้านพรหมบดินทร์ คนขับแท็กซี่ขยับกระจกมองหลังภายในรถ เพื่อมองทวนให้ถนัดตา ทว่าภาพในกระจกกลับสะท้อนภาพของแม้นมาศให้เห็น
คนขับชะงักกึก ค่อยๆ มองจ้องกระจกเต็มสองตา แม้นมาศแสยะยิ้มมาให้ คนขับตกใจเหยียบเบรกเอี๊ยด จนทวนหัวคะมำโขกกับเบาะรถ
“เฮ้ย...หยุดทำไมวะ”
“ผี ผี...” คนขับปากคอสั่น
“ผีที่ไหนวะ”
คนขับแท็กซี่ค่อยๆ หันไปมองที่กระจกหน้ารถ เห็นมีเลือดไหลลงมาเป็นทาง และมีหัวผีแม้นมาศไหลเลื่อนตามลงมา ทวนตาเหลือกตกใจสุดขีด สองคนร้องลั่นพร้อมๆ กัน
“ผี....”
คนขับแท็กซี่เปิดประตูโกยแนบโดยไม่คิดชีวิต ประตูฝั่งคนขับปิดดังปัง!
ทวนขยับจะเปิดประตูออก แต่ก็โดนดันปิดกลับมา
ทวนขยับไปเปิดประตูรถอีกด้าน แต่ก็โดนดันปิดเข้ามาอย่างเร็วเหมือนเดิม
ฟากรสสุคนธ์เปิดประตูหลังบ้านพรหมบดินทร์ออก แล้วชะโงกหน้าส่องมองหาคนที่นัดไว้ กระทั่งมีชาย 1 เดินออกมาจากที่ซ่อน แสดงตัวถามว่า
“คุณรสใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันเอง แต่คนที่ฉันนัดเป็นผู้หญิงนี่” รสสุคนธ์แปลกใจ
“ตามมาเดี๋ยวก็รู้”
ชาย1 เดินนำไป รสสุคนธ์ชั่งใจแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจก้าวออกจากประตูหลังบ้านพรหมบดินทร์ เดินตามออกไป
ปริกแอบดูอยู่โผล่หัวออกมาพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นเตรียมถ่ายคลิปเด็ด
“ชะตาแกขาดแล้วรสสุคนธ์ ออกจากเขตบ้านนี้แล้ว แกอย่าหวังว่าจะได้รอดกลับมาเลย ปริกยิ้มเหี้ยมแล้วเดินตามรสสุคนธ์ออกไป”
ชาย 1 เดินนำรสสุคนธ์ออกมาไม่ไกลนัก จู่ๆ ก็หยุดกลางทางแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ รสสุคนธ์ชะงัก
“มีอะไรหรือเปล่า”
ชาย 1 ยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์อีกสองคนพุ่งออกมาจากที่ซ่อนมาจับตัวรสสุคนธ์ไว้
“ว้าย... จะทำอะไร”
รสสุคนธ์ตกใจ กลัวจับขั้วหัวใจ จนทำอะไรไม่ถูก
“พี่ก็จะพาน้องไปขึ้นสวรรค์ไงจ๊ะ” ชาย 1 ยิ้มกระหยิ่ม
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนพากันยิ้มหื่นมาให้ รสสุคนธ์หน้าซีดรู้ทันทีว่าหลงกลเข้าแล้ว
ปริกแอบตามมาหามุมหลบถ่ายคลิปเด็ดทันที
ฝ่ายทวนพยายามจะเปิดเปิดประตูไม่ออก แม้นมาศโผล่ข้างทวนเบาะหลังจิกหัวทวนไว้ ทวนตาเหลือกตกใจ แม้นมาศจับหัวทวนกระแทกใส่กระจกประตูหลังอย่างแรง
“โอ๊ย ปล่อยกู...ปล่อยกู”
ทวนแหกปากร้องลั่น ดิ้นพล่านด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 10 (ต่อ)
รสสุคนธ์ดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง พยายามสะบัดแขนออกจากมือชายฉกรรจ์สองคนที่จับอยู่
“ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ”
“ปล่อยให้โง่สิ สวยๆ แบบนี้มาให้พี่ชื่นใจก่อนเหอะนะ เฮ้ย เอาตัวไป”
ชาย 1 สั่งเพื่อนทั้งสองคนช่วยกันหิ้วรสสุคนธ์ให้เดินตามมา
“ไม่ ฉันไม่ไป ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
ชาย 2 ให้มือปิดปากรสสุคนธ์ไว้ แล้วลากตัวเดินตามชาย 1 ไป รสสุคนธ์ดิ้นสุดแรงเกิดแต่ก็สู้แรงชายฉกรรจ์ไม่ได้ ถูกดันตัวออกไป ปริกมองภาพรสสุคนธ์ในหน้าจอมือถือแล้วยิ้มสะใจ
“คุณนิษาต้องตบรางวัลกูอย่างงามแน่”
ปริกรีบส่งคลิปไปรายงานข่าวภาคดึกทันที
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านแขไข โทรศัพท์มือถือของอุณนิษาวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องโถง มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น จีรนันท์นั่งแชตมือถืออยู่หันไปมองด้วยความสงสัย พอไม่เห็นอุณนิษาอยู่แน่ จึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาเปิดดู
“คลิปอะไร”
จีรนันท์เปิดคลิปดูแล้วก็ต้องตกใจ เพราะคลิปนั้นเป็นภาพรสสุคนธ์ถูกชายฉกรรจ์ฉุดไป
“ยัยรสสุคนธ์โดนฉุด ตายๆ ฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะ”
จีรนันท์ปิดคลิปแล้วรีบวางมือถือกลับไว้ที่เดิม แต่ต้องชะงักเมื่อเงยหน้ามองเห็นอุณนิษายืนจ้องอยู่
“ไม่ทันแล้ว”
จีรนันท์ตกใจ “นิษา”
“เธอเห็นหมดทุกอย่างแล้วก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะร่วมมือกับฉัน หรือจะเป็นศัตรูกับฉัน”
“แหม ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ ฉันก็ร่วมมือกับเธอสิ”
“งั้นก็ดี อย่าได้เที่ยวปากสว่างเอาเรื่องนี้ไปพูดเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“ฉันไม่พูดหรอกน่า เธอก็รู้ว่าฉันเกลียดนังรสสุคนธ์จะตายไป สมน้ำหน้า ชอบทำตัวร่าน คืนนี้มันคงได้ผัวหนำใจ จะได้หายคัน”
“ผู้หญิงไร้ค่าอย่างมัน ก็เป็นได้แค่เครื่องระบายความใคร่ของผู้ชายเท่านั้น”
สองสาวพากันหัวเราะชอบอกชอบใจ
รสสุคนธ์กลัวสุดขีด ถูกดันตัวให้เดินมาถึงหน้าบ้านสวนร้าง ตัดสินใจกัดมือชาย 2 เต็มปาก
“โอ๊ย” ชาย 2 ร้องลั่น ปล่อยมือ รสสุคนธ์ได้โอกาส ผลักชาย3 ออก
แต่ถูกชาย 3 อัดหมัดเข้าไปที่ท้องน้อย รสสุคนธ์จุกทรุดตัวลงกับพื้น
ชาย 3 ช้อนอุ้มรสสุคนธ์ขึ้นฟาดบ่า รสสุคนธ์ร้องลั่น
“ปล่อย...ปล่อย ช่วยด้วย”
ชาย 3 อุ้มรสสุคนธ์เข้าบ้านสวนร้าง รสสุคนธ์ดิ้นสุดกำลังทั้งทุบทั้งตีชาย 3 แต่ไม่เป็นผล
ชาย 3 จับรสสุคนธ์ลงนอนที่แคร่หน้าบ้าน แล้วกดตัวรสสุคนธ์ขึงพืดไว้ ชาย 2 เข้าไปจับมืออีกด้าน รสสุคนธ์ร้องลั่น
“จะทำอะไร อย่านะ ไม่...”
ด้านรามนรินทร์เดินออกมาเห็นประตูหลังบ้านเปิดอยู่ก็แปลกใจ มองหารสสุคนธ์จนทั่วแต่ก็ไม่เจอ
“คุณรสไปไหนแล้ว”
รามนรินทร์เดินออกไปตามทางเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของรสสุคนธ์ดังขึ้นมา
“ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”
“คุณรส”
รามนรินทร์รีบวิ่งออกไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นปริกเดินสวนเข้ามา ปริกเห็นรามนรินทร์ก็ตกใจ คาดไม่ถึง
“คุณราม”
“น้าปริก คุณรสอยู่ไหน”
ปริกเลิกลักทำอะไรไม่ถูก เลยต้องสวมรอยแสร้งทำเป็นตกใจกลัว
“เออ...คือ...คุณรส คุณรสถูกจับตัวไป”
รามนรินทร์ตกใจ “ว่าไงนะ แล้วมันพาคุณรสไปไหน”
“บ้านสวนร้างท้ายซอยค่ะ”
“คุณรส”
รามนรินทร์ขยับตัวตามไป ปริกตกใจดึงไว้ไม่ให้ไป
“เดี๋ยวค่ะ คุณรามจะไปไหนคะ”
“ผมจะไปช่วยคุณรส น้าปริกรีบไปตามคนมาเร็ว”
รามนรินทร์สะบัดแขนปริกออก แล้ววิ่งสุดกำลังออกไป
“บอกก็ซวยสิ ปริกขอโทษนะคะคุณราม”
ปริกไม่รู้ไม่ชี้ รีบวิ่งกลับเข้าบ้านไป
จู่ๆ ฝนตกเทลงมาอย่างหนัก
ทวนหายใจไม่ออกพยายามดิ้นสุดแรงเกิด ใบหน้าแม้นมาศต้องแสงฟ้าแลบยิ่งชวนหลอน
“มึงฆ่านังบัวใช่มั้ย”
ผีแม้นมาศบีบคอทวนแน่น ไม่ยอมปล่อย พาคนรถชะตาขาดไปทบทวนความจำ
ตอนนั้นบัววิ่งหัวซุกหัวซุนหนีมาตามริมถนน กลัวผีแม้นมาศจนขึ้นสมอง มีรถแล่นผ่านไปมา บัวสติแตก ยิ่งหนีเตลิดไป ระหว่างนี้ทวนขับรถตามมาจอดดักรอ มองไปยังบัวที่วิ่งใกล้เข้ามา ทวนก้มหัวลงไม่ให้คนเห็นหน้าแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถเข้าใส่บัวที่กำลังวิ่งเข้ามา
ร่างบัวกระเด็นไป โดนรถอีกคันชนอย่างแรง เสียชีวิตคาที่ ทวนรีบขับรถแล่นหนีออกไป พอรถแล่นมาได้ไกลพอประมาณแล้ว ทวนจึงค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมายิ้มเหี้ยม
“ไปที่ชอบๆ เหอะนะอีบัว”
ทวนขับรถแล่นหนีหายไปในความมืด
ทวนยอมจำนน หวาดกลัวสุดขีด ร้องไห้ขอชีวิต
“ฉันขอโทษ ยกโทษให้ฉันเถอะ แล้วฉันจะทำบุญไปให้”
“กูจะไว้ชีวิตมึงก็ได้ แต่มึงต้องบอกมา ใครฆ่ากู มึงฆ่ากูใช่มั้ย”
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่รู้เรื่อง”
“โกหก กูให้มึงตอบอีกที...ใครฆ่ากู”
ทวนโดนแม้นมาศบีบเค้นคอแรงขึ้นๆ มันดิ้นหนี เห็นมือตะเกียกตะกายที่กระจกด้านข้างดูท่าไม่น่าจะรอด
ฟากรสสุคนธ์ถูกชายฉกรรจ์สองคนจับแขนจับขาไว้ ชายหนุ่มทั้งสามคนมองหื่น รสสุคนธ์กลัวสุดขีดพยายามดิ้นแต่ก็ถูกกดแขนกดขาไว้ ฝนตกหนักยิ่งทำให้เสื้อผ้าของรสสุคนธ์เปียกปอนลู่ติดตัวแนบเนื้อดูเย้ายวนตา
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ปล่อยฉันไปเหอะ”
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวได้เป็นเมียพวกพี่แล้วน้องจะติดใจ”
พร้อมกับว่า ชาย 1 ลูบไล้หน้ารสสุคนธ์ ไล่ลงมาที่คอมาที่หน้าอก
รสสุคนธ์กรีดร้องลั่น “อย่า...ปล่อยฉัน...ปล่อย”
ชายชั่วสามคนพากันหัวเราะชอบอกชอบใจ รสสุคนธ์ดิ้นใช้ปากกัดมือชาย1 แต่ชาย1 ตบหน้าอย่างแรง
“ฤทธิ์มากนะมึง กูจะบอกอะไรให้ ร้องไปก็ไม่มีใครช่วยหรอก อยู่เฉยๆ แล้วจะได้ไม่เจ็บตัว”
ชาย 1 ถอดเสื้อออกแล้วปลดกระดุมกางเกงกะจะมอบความเป็นผัวให้สาวสวย
“ไม่...ย่าเล็ก...ย่าเล็กอยู่ไหน...ช่วยรสด้วย”
รสสุคนธ์ดิ้นหนีร้องไห้เป็นที่น่าเวทนา ภาวนาหาแม้นมาศให้มาช่วย
ทวนดิ้นหลุดหนีมาด้านหน้ารถฝั่งคนนั่ง แม้นมาศบีบคอจากทางด้านหลัง ใบหน้าทวนติดกระจกรถ
“ปล่อยข้าเถอะ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
แม้นมาศโกรธจับหน้าทวนกระแทกเข้ากับกระจกอีก ทวนดิ้นพล่านมือฟาดเข้าศีรษะแม้นมาศ จนหลุดมาไก้ ทวนควานมือไปที่ประตูจนในที่สุดก็เปิดประตูรถได้ ทวนถีบแม้นมาศออกอย่างแรง แล้วรีบคลานลงจากรถแท็กซี่กลิ้งลงข้างทาง ล้มลุกคลุกคลานแต่ก็วิ่งหนีตายเข้าไปในวัดใกล้ๆ ได้ในที่สุด
วิญญาณแค้นมองตามทวนด้วยความเจ็บใจ
ท่ามกลางฟ้าฝนที่เทกระหน่ำลงมา ชาย 1 เดินยิ้มหื่นขึ้นคร่อมบนตัวรสสุคนธ์ที่ถูกจับขึงไว้ แล้วซุกหน้าลงไปไซร้คอ รสสุคนธ์หวีดร้องสุดเสียง ดิ้นหนีสุดแรงเกิด แต่ก็สู้ไม่ไหว
“ไม่...ออกไป ปล่อยฉัน ไม่...”
รามนรินทร์วิ่งเข้ามาถึง เห็นชายฉกรรจ์กำลังทำมิดีมิร้ายรสสุคนธ์อยู่ก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เข้าไปกระชากตัวชาย 1 ออกมาแล้วต่อยโครมจนมันเซไปแต่ยังไม่ยอมปล่อยรสสุคนธ์
“แกเป็นใครวะ มายุ่งอะไรด้วย” ชาย 1 โมโหที่โดนขัดจังหวะ
“ฉันเป็นใครก็ไม่สำคัญ ปล่อยคุณรสเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อยโว้ย อยากเป็นฮีโร่เหรอวะ เข้ามา กูจะอัดให้ยับ”
ชาย1 ตั้งการ์ดแล้วออกหมัดรัวใส่รามนรินทร์ สองคนสู้กันกลางสายฝน รามนรินทร์เอี้ยวตัวหลบแล้วอัดหมัดสวนกลับเสยปลายคาง ชาย1 เซ รามนรินทร์เตะอัดเข้าที่ชายโครง จนมันเสียหลักล้มลง ชาย 2 กับชาย 3 เห็นรามนรินทร์อัดเพื่อนล้มก็ลุกขึ้นมาสู้ ชาย 2 กระโดดถีบรามนรินทร์จนหน้าคว่ำคะมำไป ชาย 3 กระโจนเข้าไปจับตัวรามนรินทร์ไว้ ชาย 2 อัดหมัดเข้าที่หน้า ท้องและลำตัวรามนรินทร์รัวๆ
รสสุคนธ์เห็นรามนรินทร์แย่ก็หยิบท่อนไม้พิงอยู่ขึ้นมาจะฟาดชาย 2 แต่ ชาย 1 เข้ามาดึงไม้ไว้แล้วตบด้วยหลังมือรสสุคนธ์ร่วงผล็อย รามนรินทร์โกรธจัด ชาย2 เข้าไปอัดรามนรินทร์ซ้ำ รามนรินทร์กระโดดตัวลอยขึ้นใช้เท้าถีบเข้าที่ยอดอกชาย 2 จนล้มลง รามนรินทร์สับศอกอัดเข้าที่ชายโครงชาย 3 ชาย3 จุก เสียจังหวะ รามนรินทร์พลิกตัวหักมือชาย 3 แล้วอัดหมัดเข้าเสยหน้าชาย3 ลงไปนอน
ชาย 2 ลุกขึ้นมาจะสู้ รามนรินทร์เข้าไปเตะอัดเข้าที่ปลายคางชาย 2 ลงไปหมอบ ชาย 1 เห็นท่าไม่ดีก็ชักมีดออกมาพุ่งเข้าหารามนรินทร์ที่หันหลังอยู่
“ระวังค่ะคุณราม”
รามนรินทร์หันกลับมาจึงถูกแทงเข้าที่ท้องอย่างจัง รสสุคนธ์หวีดร้องลั่น รามนรินทร์เข่าอ่อนเซทรุดตัวล้ม รสสุคนธ์วิ่งเข้าไปประคองรามนรินทร์แล้วร้องตะโกนให้คนช่วย
“คุณราม ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยที”
ชาย 1 ยืนมองผลงานอย่างสะใจ เดินถือมีดย่างสามขุมเข้าไปหารสสุคนธ์กับรามนรินทร์ช้าๆ
จู่ๆ กรอบรูปรามนรินทร์ที่ติดอยู่บนตู้โชว์ในห้องนอน ตกลงมาแตก ภาวิดาสะดุ้งเฮือกหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะเดินไปหยิบกรอกรูปขึ้นมาดู รู้สึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
“หรือว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับตาราม”
“มันก็แค่ลมพัดค่ะ คุณหญิงอย่าคิดมากเลยนะคะ ไปนอนเหอะค่ะ เดี๋ยวจวงเก็บกวาดเอง”
“ไม่ต้อง ไว้ตรงนั้นล่ะ เดี๋ยวแกไปดูตารามให้ฉันทีซิ”
“ได้ค่ะ”
จวงรีบออกไป ภาวิดาลูบภาพลูกชายอย่างอ่อนโยน รู้สึกใจคอไม่ดี
รสสุคนธ์กอดรามนรินทร์ไว้ ค่อยๆ ถอยหลังหนี ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเดินดาหน้าเข้ามา
“รักกันมากใช่มั้ย เดี๋ยวกูจะส่งให้ไปอยู่ด้วยกันเลย”
ชาย1 ง้างมือจะจ้วงแทงรามนรินทร์กับรสสุคนธ์ แต่แล้วฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงเสียงดังครืนครัน
“ไอ้พวกชั่ว พวกมึงออกไปให้พ้นบ้านกูเดี๋ยวนี้”
ชายทั้งสามชะงักเงยหน้าขึ้นไปที่บ้านร้าง เห็นเงาของตาดำยืนอยู่ที่หน้าต่าง แสงจากฟ้าแลบเผยให้เห็นแผลเป็นเกือบครึ่งหน้าของตาดำ ดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ชาย1ตวาด “เฮ้ยไอ้แก่ ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามาสอด”
“ใครกันแน่ที่จะตาย”
สิ้นเสียงของตาดำ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาอีก ชายฉกรรจ์สามคนสะดุ้งโหยง มองขึ้นไปที่หน้าต่างบ้านอีกทีตาดำก็ไม่อยู่แล้ว
พอรู้ตัวตาดำก็โผล่เข้ามาด้านหลังแล้วใช้ด้ามปืนลูกซองฟาดมือชาย1 ที่ถือมีดอยู่อย่างแรงจนมีดหล่น ชาย1 ร้องลั่น ชายฉกรรจ์ที่เหลือจะเข้าไปช่วยเพื่อน แต่ตาดำเล็งปืนมาที่ทั้งสองด้วยใบหน้าถมึงทึง
“ออกไป”
ชาย 2 มองจ้องท่าทางงงๆ ว่าเป็นคนหรือผี “หรือว่าจะเป็นผีเจ้าที่วะ”
“อยู่ไม่ได้แล้ว เผ่นเร็ว” ชาย 3 ร้องบอกเพื่อน
ทั้งสามชายชั่วเห็นท่าไม่ดี จึงรีบพากันเผ่นหนีไปโดยเร็ว รามนรินทร์หายใจรวยรินเลือดไหลไม่หยุด รสสุคนธ์ร้องไห้พยายามกดปิดปากแผลไว้
“คุณราม คุณทำใจดีๆ ไว้นะคะ”
ตาดำเหลียวขวับมามองรสสุคนธ์กับรามนรินทร์ตาเขม็ง รสสุคนธ์มองตาดำอย่างหวาดกลัว ตาดำวางปืนแล้วปลดผ้าขาวม้าจากเอวมากดแผลห้ามเลือดให้
“อ้าวนังหนู รีบโทร.ตามรถพยาบาลเร็ว”
“ค่ะๆ ขอบคุณนะคะ”
รสสุคนธ์ควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงรามนรินทร์แล้วกดโทร.หาโรงพยาบาลทันที
จวงกับปริกพากันวิ่งเข้ามารายงานภาวิดาที่นั่งรออยู่ในห้องโถง
“ไม่เห็นคุณรามที่ห้องนอนเลยค่ะ”
“แล้วแกล่ะ นังปริกเจอตารามมั้ย”
ปริกรีบปฏิเสธ “ไม่ค่ะ ปริกไม่เห็นอะไรเลย”
ภาณุกรเดินลงมา เห็นภาวิดายังไม่นอนก็แปลกใจ
“มีอะไรครับคุณพี่”
“ตารามน่ะสิ ไม่รู้หายไปไหน”
“ไปหานัง เฮ้ย คุณรสหรือเปล่าคะ” จวงบอก
“ดึกดื่นแล้วตารามจะไปหามันทำไม”
ภาณุกรหันไปเห็นเฟื่องกับน้อยพากันเดินหน้าตื่นเข้ามาด้วยความร้อนใจ
“อ้าวนั่นนมเฟื่องกับยัยน้อยมาพอดี เฟื่อง น้อยเห็นรามมั้ย”
น้อยไม่กล้าพูด “เอ่อ ยายบอกสิ”
“คุณรามถูกแทงค่ะ”
“ว่าไงนะ รามถูกแทงได้ไง แล้วตอนนี้ลูกฉันอยู่ไหน”
“คุณรสพาคุณรามส่งโรงพยาบาลแล้วค่ะ เห็นว่าเสียเลือดมาก อาการหนักเลยค่ะคุณหญิง”
“ไม่...ไม่จริง รามลูกแม่”
ภาวิดาถึงกับเป็นลมคาที่ จวงกับปริกรีบถลาไปประคอง
“คุณหญิงขา คุณหญิง”
“น้อย เรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้ฉันฟังสิ”
ภาณุกรคาดคั้นถาม น้อยน้ำตาซึมเล่าเรื่องที่ได้ยินจากรสสุคนธ์ให้ฟัง
ทางด้านรสสุคนธ์พารามนรินทร์มาส่งโรงพยาบาลแล้ว กำลังยืนชะเง้อคอรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ใจคอไม่ดี
“คุณราม คุณต้องปลอดภัยนะคะ”
รสสุคนธ์เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ แล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ล้อรถเข็นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
“คุณรามคุณต้องไม่เป็นอะไรนะคะ”
รสสุคนธ์ร้องไห้จับมือรามนรินทร์แน่น เดินตามติดๆ
“คุณอย่าหลับนะคะคุณราม...คุณมองฉันสิคะ”
รามนรินทร์ฝืนยิ้มออกมา สีหน้าเจ็บปวด
“ขอบคุณนะคะที่เสี่ยงชีวิตช่วยฉัน”
“ดีนะที่ผมเจอน้าปริก ผมเลยมาช่วยคุณได้ทัน”
รามนรินทร์ฝืนยิ้มให้ รสสุคนธ์ได้ยินชื่อปริกก็แปลกใจ
“คุณเจอน้าปริกเหรอคะ”
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก บุรุษพยาบาลเข็นเข้าไปแล้วประตูปิดลง ทิ้งรสสุคนธ์ไว้หน้าห้องคนเดียว
เสียงตวาดอันอัดเต็มไปด้วยความแค้นดังขึ้น
“นังรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์สะดุ้ง หันตามเสียงไป เห็นภาวิดาเดินจ้ำเข้ามาพร้อมกับภาณุกร เฟื่อง น้อย และจวง ภาวิดาถลันเข้าไปหารสสุคนธ์แล้วตบหน้าอย่างแรงจนรสสุคนธ์หน้าหัน
“แกมันตัวซวย แกยังกล้าเสนอหน้าอยู่อีกเหรอ ถ้าลูกชายฉันเป็นอะไรล่ะก็ ฉันจะเอาเรื่องแกถึงที่สุด ไป..ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้”
ภาวิดาทุบตีรสสุคนธ์ระบายแค้น รสสุคนธ์ได้แต่ยืนนิ่งให้ภาวิดาตบตี พร้อมกับร้องไห้ออกด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ภาณุกรทนดูไม่ไหวต้องห้าม
“พอเหอะครับคุณพี่ นี่มันโรงพยาบาลนะครับ ทำอะไรก็เกรงใจคนอื่นบ้าง น้อยพาคุณรสกลับบ้านไป”
“ไปค่ะคุณรส ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ เดี๋ยวจะป่วยเอา”
รสสุคนธ์ยังไม่อยากกลับ จวงหันมามองจ้องพูดกระแทกเสียงใส่
“อ้าว ไปสิคะ อยากให้คุณหญิงโกรธจนล้มป่วยไปอีกคนหรือไง”
“กลับเถอะนะคะ ถ้าคุณรามฟื้นแล้วเดี๋ยวเฟื่องจะโทร.บอกค่ะ”
รสสุคนธ์พยักหน้าจำใจกลับ น้อยประคองออกไป จวงมองตามอย่างหมั่นไส้
ภาวิดากับภาณุกรยืนมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินอย่างร้อนใจ
เช้าแล้ว รามนรินทร์นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องผู้ป่วยพิเศษ มีเฟื่องคอยนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ เตียง รามนรินทร์ขยับตัวฟื้นตื่น เจ็บแผลแปล้บขึ้นมา
“โอ๊ย”
เฟื่องรีบลุกไปดู “คุณราม อย่าเพิ่งลุกนะคะ เดี๋ยวแผลจะปริ”
“นม คุณรสล่ะครับ คุณรสเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณรสปลอดภัยดีค่ะ ทูนหัวของนม พักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวนมจะบอกคุณรสให้นะคะ”
จวงเดินมาดูเห็นรามนรินทร์ฟื้นก็รีบกลับไปบอกภาวิดาที่นั่งพักผ่อนอยู่ในส่วนของญาติในห้องพิเศษ
“คุณหญิงคะ คุณรามฟื้นแล้วค่ะ”
“ราม รามลูกแม่”
ภาวิดาปรี่เข้าไปหารามนรินทร์ด้วยความเป็นห่วง
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา ปลอดภัยแคล้วคลาดแล้วนะลูก แม่นึกว่าแม่จะต้องเสียลูกไปเสียแล้ว”
“ผมยังไม่ได้ทันตอบแทนพระคุณแม่เลย ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ”
“อ้าวนมเฟื่อง ยืนอยู่ทำไมล่ะ รีบไปตามหมอมาดูตารามสิ”
เฟื่องรีบออกไป สวนกับอุณนิษาและจีรนันท์ที่ถือกระเช้าเยี่ยมไข้เข้ามา จวงหันไปเห็นก็รีบรายงานทันที
“คุณรามคะ มีคนพิเศษมาเยี่ยมค่ะ”
รามนรินทร์ได้ยินก็ดีใจรีบหันไป คิดว่าเป็นรสสุคนธ์ แต่กลายเป็นอุณนิษาแทน รามนรินทร์ยิ้มเก้อ
“พี่ราม เจ็บมากมั้ยคะ”
“พี่ดีแล้วจ้ะ ขอบใจคุณนิษานะที่มาเยี่ยมพี่”
“คุณรามรู้มั้ยคะว่าคุณนิษาห่วงคุณรามขนาดไหน พอรู้ข่าวก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ รีบมาเยี่ยมคุณรามเลยค่ะ” จีรนันท์ตอแหลเอาใจอุณนิษา
“ทีหลังพี่รามอย่าเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีกนะคะ ถ้าพี่รามเป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มนะคะ”
“ใช่ หนูนิษาพูดถูก ชีวิตเรามีค่านะราม อย่าได้เอาตัวไปแลกกับผู้หญิงพรรค์นั้น”
รามนรินทร์ได้แต่นอนนิ่งเงียบไม่อยากจะต่อความยาวด้วย
อุณนิษาเห็นสภาพรามนรินทร์ที่ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยรสสุคนธ์ก็ยิ่งเคืองแค้น
อุณนิษาเดินเข้ามาสงบสติอารมณ์ในสวนสวยของโรงพยาบาล จีรนันท์ทำทีตามเข้ามาปลอบ ทั้งที่ลึกๆ สมน้ำหน้าอยู่ในที
“นี่เรื่องมันยังไงคุณนิษา ไหนว่าให้คนจัดการนังรสสุคนธ์ ทำไมคุณรามถึงรับเคราะห์แทนได้”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ทำไมเรื่องมันถึงได้กลับตาลปัตรขนาดนี้ นังปริกนะนังปริก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำพลาด”
“พลาดแบบโง่ๆ ด้วย แถมยังสร้างซีนให้มันกับคุณรามได้ซาบซึ้งกินใจกันอีก คุณนิษาคราวนี้เธอแพ้มันแล้วล่ะ”
“ไม่มีทาง คนที่แพ้ต้องเป็นนังรสสุคนธ์ ไม่ใช่ฉัน”
อุณนิษาขบกรามแน่นแววตาวาวโรจน์ เคียดแค้นเกลียดชังรสสุคนธ์เหลือแสน
อ่านต่อตอนที่ 11