บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 11
มาลัยเดินตามจันทิมาเข้ามาในห้องทำงานปฐวี กวาดสายตามองหาจนเจอใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของปฐวี
จันทิมาชี้บอก “อยู่นั่นไง พี่มาลัย”
มาลัยมองตามไป คนที่จันทิมาชี้บอกนั่งหันหลังก้มหน้าทำงานบางอยู่ รูปร่างสูงชะลูด ท่าทางคล้ายปัฐวีเอกมากๆ
จันทิมาเดินไปจนใกล้ จึงเรียก “นี่ เธอ”
หนุ่มคนนั้นหันมา ปรากฏว่าไม่ใช่ปัฐวี มาลัยอึ้ง นิ่งงันไป
“พาทีครับ” หนุ่มคนนั้นแนะนำตัว
จันทิมารีบพยักพเยิดบอกกับมาลัย “นี่ล่ะค่ะ หลานพี่มานะ”
ด้านปัฐวีเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังเดินไปที่ห้องทำงานตัวเอง แต่ก่อนจะถึงประตูก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของมาลัยดังออกมาจากในห้อง
“แล้วพ่อเป็นยังไง สบายดีไหม”
“สบายดีครับ แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นเบาหวาน”
“บอกพ่อให้กินแป้งให้น้อยลงซี”
ปัฐวีแน่ใจว่ามาลัยอยู่กับจันทิมาในห้อง เลยรีบฉากหลบออกไปโดยไว
เวลาผ่านไป มองจากหน้าต่างห้องทำงานก้องภพลงไปที่หน้าบริษัท เห็นจันทิมาเดินไปส่งมาลัยที่ประตูรั้ว โบกมือลากัน มาลัยเรียกแท็กซี่ รถจอดรับแล้วเคลื่อนตัวออกจากบริเวณบริษัทไป
ปัฐวียืนมองอยู่ที่หน้าต่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาในห้อง สีหน้าหมองเศร้าไม่สบายใจมาก
“ผมรู้สึกไม่ดีเลยครับคุณลุง”
ก้องภพยืนอยู่กับปัฐวี
“ถ้าน้ามาลัยเจอผมที่นี่ คุณลุงก็จะถูกต่อว่า ผมทำให้คุณลุงต้องลำบาก ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ผมจะขอลาออก”
“ฉันไม่ให้ออก”
ปัฐวียิ่งรู้สึกไม่ดี
“มาลัยเขาเจอเธอหรือยัง ฉันโดนเขาว่าหรือยัง มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เธอจะกังวลไปทำไม”
“แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ผมไม่อยากให้คุณลุงต้องมีปัญหา”
“เวลามีปัญหา เธอจะหนีอย่างเดียวไม่ได้หรอก” ก้องภพสอน
ปัฐวีนิ่งไป
“เรื่องรับเธอมาทำงานกับฉัน ถ้าถึงเวลาฉันจะบอกกับมาลัยเขาเอง แต่จากเหตุการณ์วันนี้ ฉันมีบางอย่างอยากจะพูดกับเธอ ถ้าเธอคิดจะคบหากับลูกสาวฉันจริงๆ เธอจะต้องฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆไปให้ได้ ไม่ใช่วิ่งหนี เพราะไม่อย่างนั้น ฉันจะไว้ใจให้ดุจเดือนอยู่กับเธอได้ยังไง”
ปัฐวีนิ่งคิดไตร่ตรอง สุดท้ายพยักหน้ารับคำสั่งสอนของก้องภพช้าๆ
ปานวาดกับปานดาวนั่งคุยกันอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
“พี่ปอดูท่าทางสบายใจจังเลย”
“เวลาที่เราตัดสินใจได้ว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป เราก็มีความมั่นใจ แล้วไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง มันก็สบายใจอย่างนี้แหละ”
“ฟังดูมันก็น่าจะเป็นยังงั้นนะ ป่านก็เพิ่งตัดสินใจบางอย่างไป แต่ทำไมมันถึงไม่สบายใจล่ะ รู้สึกมึนๆงงๆยังไงไม่รู้”
“เรื่องคุณพลน่ะเหรอ”
ปานดาวพยักหน้ารับ “ป่านเพิ่งยอมให้โอกาสเขาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรเลย”
“จริงๆ พี่ว่าเขาก็ดูแปลกๆ นะ ไม่ตรงไปตรงมาเหมือนชล พี่ชายเขา”
“พี่ปอโชคดี ไม่เหมือนป่าน”
ปานวาดนิ่งไปนิด “เรื่องแบบนี้มันไม่แน่หรอก ถึงที่สุดแล้ว ป่านอาจจะสมหวังมากกว่าพี่ก็ได้”
“ไม่เอาหรอก เราสมหวังไปพร้อมๆ กันดีกว่า”
“โอเคจ้ะ” ปานวาดสวมกอดน้องสาว “เราจะสุขไปด้วยกัน”
สองสาวหัวเราะเบาๆ ให้กัน
ปานดาวเข้ามาในห้องนอน รู้สึกดีขึ้นบ้าง
เสียงสัญญาณไลน์เข้าดังขึ้น ปานดาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดไลน์ดู แล้วนิ่งไป ที่หน้าจอเป็นข้อความไลน์จากแวนด้าชุดใหญ่ ส่งมารัวๆ ติดกัน
“ทำไมเธอถึงโง่ไม่เลิก” / “มีความสุขมากเหรอ เวลาต้องเจ็บปวด” / “ฉันจะช่วยเธอเป็นครั้งสุดท้าย” / “ดูคลิปนี้แล้วตาสว่างซักที” / “คลิปนี้ถ่ายเมื่อบ่ายนี้เอง”
ครู่ต่อมาที่หน้าจอมีภาพนิ่งของคลิปปรากฏขึ้น เป็นใบหน้าแวนด้า
ปานดาวถือโทรศัพท์นิ่งอยู่ ลังเลว่าจะเปิดคลิปดูดีหรือไม่ แต่แล้วก็ห้ามความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เธอกดเปิดคลิป
แวนด้าอยู่หน้ากล้อง ดูออกว่านางกำลังจัดมุมกล้องให้จับภาพไปจนถึงเตียงที่อยู่ด้านหลัง ไม่นานนักมีเสียงเคาะประตู แวนด้าเดินออกไปเปิดประตู แล้วถอยเข้ามาในห้อง มีชยพลในชุดเดียวกับที่ไปหาปานดาวที่สวนสาธารณะ ชยพลสวมกอดรอบเอวแวนด้า ซุกไซร้ซอกคอ
“ใจเย็นๆ ค่ะ แหม อดอยากมาจากไหน”
“ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา คิดถึงจนจะคลั่งตายแล้ว”
“นึกว่าไปมีความสุขกับนังเด็กล้างจานนั่นแล้ว”
“อย่าไปพูดถึงเขาได้ไหม เดี๋ยวหมดอารมณ์”
พร้อมกับว่า ชยพลจูบปากแวนด้าอย่างดุเดือดดูดดื่ม เขาค่อยๆ ดันร่างแวนด้าไปจนทั้งสองล้มตัวลงไปบนเตียงด้วยกัน ปานดาวทนดูไม่ไหวโยนโทรศัพท์ทิ้งลงที่เตียง รู้สึกเจ็บปวด
สักครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานดาวยังไม่รับครู่หนึ่ง เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่ ที่สุดปานดาวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอมีแต่หมายเลขโทร.เข้า แต่ไม่มีชื่อคนโทร. ปานดาวกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
มีเสียงแวนด้าดังลอดมาจากโทรศัพท์
“คุณป่านใช่ไหม ฉันแวนด้า”
“ต้องการอะไร”
แวนด้านั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนอน แล้วตัดสลับไปมาระหว่างแวนด้ากับปานดาว
“ก็อย่างที่ไลน์ไปไง ฉันอยากให้เธอตาสว่างซักที โดนเขาหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังโง่อยู่ได้”
“พอได้แล้ว ฉันจะไม่ยุ่งกับเขาอีกแล้ว”
“ถามจริงๆ เหอะ เธอเป็นของเขาหรือยัง”
“ทำไมต้องตอบเธอ”
“ก็แค่อยากบอกว่า ถ้ายัง เธอก็ควรจะทิ้งเขาซะ แล้วอย่าไปยุ่งกับเขาอีก แต่ถ้าเสียตัวให้เขาไปแล้ว ฉันก็เสียใจด้วย ภาวนาอย่าให้เธอท้องลูกของเขาก็แล้วกัน เพราะว่าเด็กที่น่าสงสารคนนั้น มันจะต้องเป็นลูกไม่มีพ่อแน่นอน”
“พอได้แล้ว พอที ฉันจะไม่ทนฟังอีกแล้ว”
ปานดาวกดวางสายโยนโทรศัพท์ทิ้งไปที่เตียง แล้วปล่อยโฮออกมา ร่างค่อยๆ ทรุดไปกองที่พื้น
“โง่จริงๆ ฉันมันโง่จริงๆ”
มาลัยกำลังจะลงบันไดมาชั้นล่าง แต่ได้ยินเสียงก้องภพกับดุจเดือนคุยอะไรซุบซิบกัน จึงยืนแอบฟังอยู่หัวบันไดชั้นบน
ดุจเดือนคุยกับก้องภพอยู่ที่โถงชั้นล่าง
“เกือบแย่น่ะซีคะวันนี้”
“ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ แต่อีกสองวันนี่ซี พ่อต้องไปพบลูกค้าที่สุราษฎร์”
“แล้วเอาไงดีคะ”
“ลูกก็บอกเขาไปว่า สองวันนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ”
“ได้ค่ะ”
มาลัยได้ยินไม่ถนัด เลยขยับลงมาอีกขั้น ดุจเดือนมองเห็นเงาของมาลัย เลยทำท่าชี้บอกพ่อ
ก้องภพเห็นเลยแกล้งพูดเสียงดัง “เสียดายจริงๆ ว่าจะชวนลูกไปเที่ยวสุราษฎร์ด้วยกัน”
ดุจเดือนตอบดังด้วย “งานยังไม่เสร็จจะไปได้ยังไงคะ”
มาลัยผิดสังเกต จนเห็นเงาตัวเอง ก็รู้ว่าสองคนรู้แล้ว จึงเดินกลับขึ้นไปบ่นเบาๆ
“จับไม่ได้คาหนังคาเขาไม่มีวันยอมรับ”
ดุจเดือนเข้าห้องนอนมา ลงนั่งที่ริมเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดไลน์ กดข้อความคุยกับปัฐวีไปว่า
“พ่อบอกพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ให้หยุดสองวัน”
ดุจเดือนรอข้อความตอบกลับอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่มี ครั้นมองดูนาฬิกาบนผนังห้อง เป็นเวลาสามทุ่มก็แปลกใจ
“ทำไมวันนี้นอนเร็ว”
ที่แท้โทรศัพท์ของปัฐวีแบตหมดวางอยู่บนโต๊ะ แต่ปัฐวียังไม่เข้านอน นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ไม่รู้ข่าวที่ดุจเดือนพยายามส่งมาบอก
ประตูห้องนอนปานดาว ถูกปานวาดเคาะเรียกแล้วเปิดเดินเข้ามาในห้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นน้องสาวนอนตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียง
“หลับแล้วเหรอ ลืมปิดไฟอีกแล้ว”
ปานวาดกำลังจะไปปิดไฟให้ แต่ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จึงเริ่มเอะใจรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับน้องสาว ปานวาดเดินอ้อมมาอีกฝั่ง พบว่าปานดาวนอนร้องไห้อยู่จริงๆ ก็ตกใจ
“ป่าน มีอะไร” ปานวาดลงไปนั่งที่เตียงถามน้องอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้นป่าน”
ปานดาวส่งโทรศัพท์ข้างตัวให้พี่สาว
“ดูที่ไลน์ แวนด้าส่งคลิปมา”
ปานวาดเปิดไลน์ กดดูคลิป ฉากรักอันดุเดือดระหว่างแวนด้ากับชยพลปรากฏขึ้น
ปานวาดเดือดดาล ดูไม่จบก็เข้าใจ กดปิดคลิป
“บ้าเอ๊ย มันเลวจริงๆ”
ปานดาวพูดไปสะอื้นไป “เขาหลอกป่านอีกแล้วพี่ปอ ป่านมันโง่จริงๆ”
ปานวาดขยับเข้าไปกอดปานดาวไว้
“ไม่ต้องร้องนะ เข้มแข็งไว้”
“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับป่าน ป่านไปทำอะไรให้เขา”
“มันคงแค้นตั้งแต่ป่านทำมันตกน้ำมั้ง ไม่ต้องไปแคร์คนอย่างนั้น เรามีค่ามากกว่ามันเยอะ”
ปานดาวพยายามบังคับตัวเองให้หยุดร้อง แต่ก็ยังสะอื้นอยู่ ปานวาดกอดปลอบอยู่อย่างนั้น
ผ่านค่ำคืนอันแสนปวดร้าวเข้าสู่รุ่งเช้าของวันใหม่ ปานดาวนอนตะแคงหลับอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้าน ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานดาวเอื้อมมือไปควานหามือถือจนเจอหยิบมาดู
พบว่าสภาพปานดาวร้องไห้ทั้งคืนจนตาบวม เห็นหน้าจอคนที่รอสายชื่อ “ชยพล” ปานดาวนิ่งไป เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่อีกสักระยะ ที่สุดปานดาวตัดสินใจรับสายบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“สวัสดีค่ะ”
อีกฟาก ชยพลพูดโทรศัพท์อยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“โทร.มาปลุกหรือเปล่าครับ เสียงยังงัวเงียอยู่เลย”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าบอกว่าคิดถึงล่ะครับ”
“ฉันก็กำลังคิดถึงคุณเหมือนกัน”
“จริงเหรอ ได้ยินแล้วมีความสุขมากเลยครับ”
ปานดาวยิ่งรู้สึกชิงชัง
“อยากเจอคุณมากเลย ว่างไหมคะ”
“สำหรับคุณป่าน ผมว่างเสมอครับ”
“ป่านอยากคุยเรื่องงานด้วย ชวนลูกค้าญี่ปุ่นของคุณมาด้วยนะคะ”
“ได้เลยครับ ที่ไหนเมื่อไหร่ดีครับ....ครับ แล้วเจอกันครับ”
ปานดาวกดวางสาย มีความชิงชังรังเกียจผู้ชายที่เพิ่งวางสายไปสุดจะคณานับได้ เธอคิดไว้ในใจแล้วว่าจะทำอย่างไรกับเขาดี
ชลกรเข้าสำนักพิมพ์แต่เช้า เวลานี้นั่งรอปานวาดอยู่ที่โต๊ะในสตูดิโอ เห็นอุปกรณ์กล้องวางอยู่บนโต๊ะหลายชิ้น ชลกรตรวจดูเครื่องมือเพื่อเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอ ผ่านไปครู่ใหญ่ ชลกรดูนาฬิกาแล้วรู้สึกแปลกใจ
“นี่มันเลตไปชั่วโมงนึงแล้วนะ”
ชลกรหยิบมือถือออกมาดูกดดู เผื่อว่าปานวาดอาจจะโทร.เข้ามา แล้วเขาไม่รู้ แต่ก็ไม่มีสายเข้าเลย
พนักงานของสตูดิโอคนหนึ่งยกของผ่านมา
“โทษนะครับ คุณปานวาดเขาโทร.มาบอกอะไรบ้างไหม”
“ไม่มีครับ”
ชลกรแปลกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น กดโทร.หาปานวาด แล้วถือหูรอ เสียงสัญญาณเรียกดังอยู่ 2-3 ครั้ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสายไม่ว่าง ชลกรลองกดโทรออกอีกครั้ง ก็เป็นแบบเดิม
ชลกรถามพนักงานคนดังกล่าวว่า “สัญญาณโทรศัพท์ที่นี่มันเป็นอะไร มีเสียงเรียก 2-3 ครั้ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสายไม่ว่าง”
“สัญญาณที่นี่ไม่มีปัญหาหรอกครับ อาการของพี่คือ อีกฝั่งเขาไม่รับสาย เขากดสายทิ้งน่ะครับ”
ชลการอึ้ง
ไม่นานต่อมาชลกรเดินมาตามทางเดินในตลาดน้ำ จนถึงร้านค้าของกลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง ในร้านมีแม่บ้านอยู่ 2-3 คน กำลังนั่งทำดอกไม้กันอยู่ ชลกรเดินเข้ามาในนั้น ทุกคนหันมามอง
“ปออยู่ไหมครับ”
แม่บ้าน 1 บอกว่า “วันนี้ยังไม่เข้ามาเลย”
ชลกรรู้สึกแปลกใจ เดินออกมาหน้าร้านมองหาปานวาดไปตามทางเดินในตลาด จนเห็นปานวาดกำลังเดินมาแต่ไกล ชลกรตรงเข้าไปหา
ปานวาดมองมาพอเห็นชลกร ก็หยุดชะงัก แล้วหันกลับรีบเดินหนีไป ปานวาดเหลียวหลังมามอง เห็นชลกรเดินเร็วขึ้น จึงออกแรงวิ่ง แต่ชลกรก็วิ่งตามมาไม่ลดละ ปานวาดเร่งหนีเร็วขึ้น หนีออกไปหน้าตลาด
ชลกรวิ่งออกมาที่ถนนหน้าตลาดน้ำ เหลียวหาจนเห็นปานวาดกำลังขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปชลกรตรงไปที่รถตัวเองทันที
ปานวาดขี่มอเตอร์ไซค์หนีมาตามถนน ที่ด้านหลังชลกรขับรถตามมาไม่ลดละ
รถชลกรไล่ตามใกล้เข้ามา ปานวาดมองกระจกส่องหลังก็พยายามเร่งความเร็วหนี ชลกรก็ยิ่งเร่งให้เร็วขึ้น
ปานวาดขี่มอเตอร์ไซค์มาจนถึงทางเข้าสวนสาธารณะ ชลกรแซงขึ้นมา แล้วเลี้ยวเข้ามาขวางมอเตอร์ไซค์ไว้ ปานวาดต้องจอดมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้ วิ่งหนีเข้าไปในสวนสาธารณะ ชลกรลงรถรีบตามปานวาดเข้าไปโดยเร็ว
ชลกรวิ่งเข้ามาในสวนสาธารณะ เห็นปานวาดวิ่งหนีไป เขาก็รีบวิ่งตาม ชลกรวิ่งมาจนทันปานวาด แล้วคว้าแขนปานวาดไว้
“ปอ หนีผมทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ”
ปานวาดยอมหยุด แล้วหันมามองชลกร จะเห็นว่าปานวาดน้ำตาไหลอยู่ ชลกรยิ่งรู้สึกแย่
“ปอ”
เวลาผ่านไป ชลกรนั่งลงที่ศาลาพักร้อนในสวนสาธารณะ ชลกรได้รู้เรื่องที่ชยพลทำกับปานดาวแล้ว
“เจ้าพลมันทำแบบนี้ได้ยังไง มันเลวมาก”
“ปอสงสารป่านมาก เมื่อคืนป่านร้องไห้จนหลับไปเลย”
“แต่ทำไมปอต้องหนีผมด้วย”
“ปอกลัว กลัวจะต้องเจอเหมือนป่าน”
“ผมไม่ใช่เจ้าพล ผมไม่มีวันเป็นแบบนั้น”
“ใครจะไปรู้”
ชลกรจับมือปานวาดมากุมไว้ “เชื่อผมซิ จะให้สาบานก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก”
ปานวาดปลดมือชลกรออกลุกขึ้น ชลกรลุกตาม
“ผมไม่มีวันทำร้ายปอแบบนั้น เพราะผมรู้ว่าผมขาดปอไม่ได้ ถ้าชีวิตผมไม่มีปอ ผมก็เหมือนคนตายไปแล้ว”
ปานวาดหันมามองหน้าเขา “ชล”
ชลกรสวมกอดปานวาดไว้ สองคนมองตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ชลกรน้ำตาคลอ “อย่าหนีผมแบบนี้อีกนะ”
ปานวาดน้ำตาไหลรินออกมา “ปอขอโทษนะ”
ชลกรค่อยๆ โน้มหน้าลงจูบริมฝีปากของปานวาด อีกฝ่ายไม่ขัดขืน สองคนกอดจูบกันอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน
ขณะที่ปัฐวีนั่งทำงานอยู่ที่บริษัท เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปัฐวีหยิบมาดู พอเห็นเป็นดุจเดือนโทร.มา ก็หยุดทำงานกดรับสาย
“ว่าไงครับดุจ”
ดุจเดือนโทร.มาหาและคุยสายอยู่ที่พักกองถ่ายละคร
“ปัฐอยู่ที่ไหนเหรอ”
“อยู่ที่บริษัท”
ดุจเดือนตกใจ “ไม่ได้อ่านไลน์เหรอ”
“ดุจส่งมาเหรอ วันนี้ยุ่งมากยังไม่ได้เปิดอ่านเลย”
“ส่งไปเมื่อคืน”
“เมื่อคืนแบตมือถือผมหมดไม่ทันรู้ตัว เพิ่งชาร์จเมื่อเช้า ทำไม มีอะไรเหรอ”
“พ่อต้องไปพบลูกค้าที่สุราษฎร์สองวัน พ่อว่าปัฐไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ พ่อกลัวแม่แอบไปตามหาปัฐอีก”
“งั้นผมก็ต้องกลับบ้านน่ะซี ขอบคุณนะ เดี๋ยวผมเก็บงานแป๊บ แล้วจะออกเลย”
“จะมาที่กองถ่ายก็ได้นะ”
“งั้นเดี๋ยวผมแวะไปนะ แล้วเจอกัน”
ปัฐวีกดวางสาย เก็บแฟ้มงานใส่ลิ้นชัก แล้วล็อคกุญแจ ลุกยืนมองความเรียบร้อยบนโต๊ะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกมา ผ่านโต๊ะเพื่อนร่วมงาน ปัฐวีเดินมาเกือบถึงประตูอยู่แล้ว แต่ต้องนิ่งอึ้งตะลึงตะไลอยู่กับที่
ด้วยตรงหน้าของปฐวียามนี้ เป็นมาลัยยืนตัวสั่นโกรธจัดจ้องเขม็งมายังเขา
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
ปานดาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างของร้านอาหาร หญิงสาวสวมแว่นกันแดดสีดำทรงโต เพื่อปิดบังดวงตา บนโต๊ะมีน้ำเย็นวางอยู่แก้วหนึ่ง ภายในห้องอาหารมีลูกค้าจำนวนหนึ่ง บริกรคอยบริการลูกค้าอยู่
ปานดาวมองเหม่อออกไปด้านนอก ครู่ต่อมารถของชยพลก็แล่นมาจอด ชยพลลงรถพร้อมกับโนริ ปานดาวถอดแว่นมองนิ่งไปที่ชยพลสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ปัฐวียืนเผชิญหน้ากับมาลัย อยู่ตรงมุมหนึ่งในบริษัทก้องภพ
“แกอยู่ที่นี่จริงๆ”
ปัฐวียกมือไหว้มาลัย
“ไม่ต้องมาไหว้ฉัน ฉันไม่รับไหว้แก”
ปัฐวีเอามือลงรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เขาไม่อยากเป็นศัตรูกับมาลัยเลย
“แกมาทำงานที่นี่ได้ยังไง” มาลัยไล่เบี้ยปัฐวี
“ลุงก้องรับผมเข้ามาครับ”
“แล้วอยู่ดีๆ เขารู้จักแกได้ยังไง”
ปัฐวีอึกอัก “เรา...เคยเจอกันครับ”
มาลัยคาดคั้น “ดุจพาแกมาหาเขาใช่ไหม”
ปัฐวีนิ่งงันไป รู้ว่าถ้าพูดไม่ดีทั้งก้องภพและดุจเดือนจะต้องเดือดร้อนไปด้วย
“ไม่ใช่ครับ ผมมาพบลุงก้องเอง”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่า ดุจพาแกมาหาคุณก้องภพ หรือว่าเขาเป็นคนอยากจะพบแกเอง”
“ผมมาหาลุงก้องเองจริงๆ ครับ”
“ช่างมัน ใครจะพาแกมาเดี๋ยวฉันสืบเอง แต่ตอนนี้ แกเก็บข้าวของๆ แกซะ แล้วออกไปจากที่นี่ได้เลย แกโดนไล่ออกแล้ว”
ปัฐวียืนอึ้ง จริงๆ ก้องภพไม่ใช่เจ้าของแต่เป็นผู้บริหารระดับสูง กรรมการผู้จัดการ ที่ได้รับหุ้นปันผล
“ไปเก็บของซี”
“ลุงก้องเป็นคนจ้างผม ผมขอรอพบลุงก้องก่อนนะครับ”
“ไม่ต้อง ถ้าฉันไม่พอใจใคร คนนั้นก็ต้องออก”
“ครับ ได้ครับ”
ปัฐวีกลับไปเก็บของที่โต๊ะทำงานของเขา มาลัยยืนเท้าสะเอวจดสายตาจ้องอยู่
ปานดาวสวมแว่นดำคืน นั่งนิ่งรอเวลา จนชยพลกับโนริเดินเข้ามาในร้าน ชยพลมองหาจนเห็นปานดาว จึงเดินนำโนริตรงไปหาที่โต๊ะ ชยพลยิ้มทักยังไม่รู้ชะตากรรม
“ผมมาตรงเวลานะ”
โนริคำนับทักทาย ปานดาวก้มรับ แล้วสองคนก็นั่งลง
ชยพลมองปานดาวที่ใส่แว่นดำไม่ยอมถอดสักทีจึงแซวเล่น “สงสัยในนี้แดดแรง”
ปานดาวตอบเสียงเรียบๆ “ขอโทษนะคะที่เสียมารยาท”
ชยพลพอรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บริกรเข้ามาพร้อมกับเมนู ชยพลกับโนริรับมา
“ขอน้ำเย็นก่อนนะ เผื่อจะมีคนคอแห้ง”
บริกรรับคำแล้วถอยออกไป
ปานดาวหันมาทางโนริ “ที่ต้องเชิญคุณมาด้วย เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณด้วย”
โนริพยักหน้ารับเอาคำ ปานดาวหันไปทางชยพล
“คุณชยพล เมื่อวานหลังจากเราได้พบกันแล้ว คุณไปไหนต่อเหรอคะ”
“ผมก็กลับเข้าออฟฟิศ”
“จำผิดหรือเปล่าคะ”
ปานดาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเปิดหาคลิปในไลน์อยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วนี่หมายความว่ายังไง”
ปานดาวกดเปิดคลิป พร้อมกับหันโทรศัพท์ให้ทั้งชยพลและโนริดู
ภาพในคลิปคือภาพตอนที่ชยพลเข้าไปในห้องพักของแวนด้า แล้วกอดจูบนัวเนียกันพัลวัน ชยพลนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก โนริเองก็ตกใจหันมามองชยพลอย่างคาดไม่ถึง
“พอแล้ว ปิดเถอะ”
“อายเหรอคะ แล้วรู้ไหม ฉันเห็นแล้วรู้สึกยังไง”
ปานดาวถอดแว่นตากันแดดออก เผยให้เห็นตาที่บวมฉึ่งของเธอ
ชยพลอึ้ง นิ่งงันไป โนริเองยิ่งรู้สึกไม่ดี
“ตอนเช้า คุณเพิ่งขอให้ฉันให้โอกาสคุณ ไว้ใจคุณ ยอมรับรักคุณ แต่พอบ่าย คุณก็ไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน ที่คนอ้างว่าเป็นแค่เพื่อน คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”
“คุณป่าน คือผม...”
“จะแก้ตัวอะไรอีก เก็บคำโกหกของคุณไว้เถอะ ไม่ต้องมาใช้กับฉันแล้ว เมื่อคืนนี้ ฉันร้องไห้ทั้งคืน แต่ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะฉันโมโหตัวเอง ที่โง่ซ้ำ โง่ซาก ให้คุณหลอกได้ตลอดเวลา” หญิงสาวหันไปทางโนริ “รู้ไว้ด้วยนะคะ คุณโนริ ผู้ชายที่คุณกำลังจะทำธุรกิจร่วมด้วย เขาเป็นแค่ไอ้จอมลวงโลก อย่าเอาเงินทองที่มีค่าของคุณ มาให้เขาไปใช้บำเรอความสุขของตัวเองเลย คุณจะต้องสูญเสียเงินทุกเยนของคุณแน่ๆ ค่ะ”
บริกรเดินเข้ามา ปานดาวหยุดพูด รอจนบริกรเสิร์ฟน้ำให้ชยพลกับโนริแล้วถอยออกไป จึงพูดต่อ
“ดื่มน้ำซีคะ ตอนนี้คุณน่าจะคอแห้งแล้ว”
ปานดาวสวมแว่นคืน เก็บมือถือสะพายกระเป๋า แล้วลุกขึ้นจะเดินออกไป ชยพลคว้าแขนรั้งไว้
“คุณป่าน อย่าเพิ่งครับ
ปานดาวหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะ แล้วสาดน้ำนั้นใส่หน้าชยพลทันที ชยพลปล่อยมือจากปานดาว
ทุกคนในร้านมองมาที่ชยพลกับปานดาว
“อย่าให้เราได้เจอกันอีก คราวหน้าจะไม่ใช่น้ำเย็น”
ปานดาวเดินคอตั้งออกจากร้านไปเลย
ปานดาวเดินหนีออกจากร้านอาหารตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ชยพลตามออกมาดักหน้าไว้
“ผมจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากขอโทษ ยกโทษให้ผมนะคุณป่าน”
ปานดาวหยุด ชยพลหยุดตามใจชื้นขึ้นมาคิดว่าปานดาวจะยอมพูดด้วย
“ผมมันเลว ผมรู้ แต่...”
ปานดาวตบหน้าชยพลสุดแรง ขนาดทำให้ร่างชยพลถึงกับเซไปนิดๆ ปานดาวเดินหนีไปขึ้นรถขับออกไปทันที
ชยพลจับแก้มตัวเอง “แรงกว่าน้ามาลัยอีกว่ะ”
โนริเดินตามมาชยพลหันมาหา ทำท่าจะพูดอธิบายโนริยกมือห้ามไม่ให้พูด
“ผมกลับเอง เสียดายที่เราไม่ได้ร่วมงานกัน”
จากนั้นโนริก็เดินไปขึ้นรถ ชยพลยืนเคว้งอยู่ลำพัง เวลานี้ไม่มีใครอยู่ข้างเขาซักคน
รถก้องภพแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ก้องภพก้าวลงจากที่นั่งด้านหลังสีหน้าร้อนใจมาก ดุจเดือนรออยู่รีบเข้ามาหา
“ได้คุยกับแม่หรือยัง”
“ดุจก็เพิ่งเข้าบ้านค่ะ แล้วพ่อกลับมาแบบนี้งานไม่เสียเหรอคะ”
“พอลูกโทร.ไปบอกเรื่องปัฐ พ่อก็คุยงานต่อไม่ไหวแล้ว เลยให้ฝ่ายขายเขาคุยแทน”
“แม่ต้องเล่นงานพ่อแย่แน่ๆ”
“เราเข้าไปคุยกับแม่เขาให้รู้กันไปเลยดีกว่า พ่อร้อนใจ”
ก้องภพเดินนำดุจเดือนเข้าบ้านไป
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
สองคนเข้ามาในโถงบ้าน มาลัยเดินออกมาจากครัวพอดี ถามสามีเสียงเรียบ
“ไหนว่าไปสุราษฎร์สองวัน”
“พอดีได้ยินข่าว...ที่มาลัยไปที่บริษัทวันนี้ เลยต้องรีบกลับมาคุย”
“อ๋อ ห่วงมันมากถึงขนาดทิ้งงานทิ้งการกลับมาเลยเหรอ” มาลัยแดกดัน
“มาลัย ที่มาลัยทำคราวนี้มันมากเกินไปรู้ไหม” ก้องภพพยายามควบคุมอารมณ์
“มากเกินไปยังไง”
“เข้าไปไล่คนที่พี่จ้างออกเนี่ย คนอื่นเขาจะคิดยังไง พี่เป็นเอ็มดีของบริษัทนะ”
“ถ้าเป็นคนอื่น มาลัยจะไม่ยุ่งเลย แต่นี่มันคือลูกของนังดาวราย มาลัยยอมไม่ได้”
“พี่จ้างเขา เพราะเป็นคนดีมีความสามารถ ไม่ได้มาดูหรอกว่าเป็นลูกใคร”
“พี่จ้างมัน เพราะมันกำลังคบกับลูกสาวพี่ต่างหาก ทั้งๆ ที่มาลัยบอกแล้วว่า สองคนจะคบหากันไม่ได้ แทนที่พี่จะช่วยมาลัยแก้ปัญหา กลับสมคบกับลูกมาหลอกมาลัย พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง”
ดุจเดือนทนฟังไม่ไหว “ปัฐเขาทำอะไรผิดคะ เขาเป็นคนดี เขาพยายามจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความรับผิดชอบ เขาต้องการเอาใจทุกคน ทำไมแม่ต้องกีดกันเราด้วย”
“เพราะลูกรักกับมันไม่ได้” มาลัยเสียงดัง
“ก็ทำไมล่ะคะ”
มาลัยอึดอัด คิดหาเหตุผล “จะต้องให้พูดกี่ร้อยครั้ง ครอบครัวมันกับครอบครัวเรา อยู่ร่วมกันไม่ได้”
“ดุจไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะแม่ เรื่องในอดีตมันไม่เกี่ยวกับดุจเลย ทำไมแม่ต้องบังคับให้ดุจทำตามที่แม่ต้องการ”
มาลัยขยับเข้ามาใกล้จับบ่าทั้ง 2 ข้างของดุจเดือนบีบอย่างแรงประกาศก้อง
“ใช่ ลูกต้องทำตามที่แม่สั่ง ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ต้องมาเป็นแม่ลูกกัน”
“มาลัย” ก้องภพตกใจเข้ามาขวาง ดึงมือมาลัยออก “ทำไมพูดกับลูกยังงั้น จะไม่เป็นแม่ลูกกันได้ยังไง เรื่องนี้มันเปลี่ยนไม่ได้หรอก
“แม่ไม่มีเหตุผลเลย”
ดุจเดือนเดินร้องไห้หนีขึ้นบ้านไป
ก้องภพยืนนิ่งพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
มาลัยนิ่งขึง “ดูลูกพี่ทำ”
ก้องภพหันมามองมาลัยพูดเสียงเรียบๆ “มาลัยน่าจะดูที่ตัวเองทำมากกว่า”
มาลัยโกรธ “พี่ก้อง”
“พี่กลับมา เพราะคิดว่าจะอธิบายให้มาลัยเข้าใจ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไว้ให้มาลัยเย็นลงกว่านี้ แล้วค่อยคุยกันใหม่”
ก้องภพเดินออกไป มาลัยหงุดหงิดพลุ่งพล่านวุ่นวายใจไปหมด
ชยพลในชุดทำงาน ยังอยู่ในห้องนอน ปล่อยชายเสื้อเชิ้ตออกนอกกางเกงแล้ว ชยพลถือโทรศัพท์มือถือในมือ เห็นชื่อ Nori ปรากฏบนจอ ชยพลกดโทรไปหาโนริแล้วถือสายรอ เสียงสัญญาณเรียกอยู่ครู่หนึ่งแล้วถูกตัดสายไป
ชยพลหัวเสีย เหวี่ยงโทรศัพท์ไปทิ้งลงเตียง แล้วทิ้งตัวลงนั่งตาม คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนปานดาวเปิดคลิปที่เขานัวเนียอยู่กับแวนด้าให้ดู และเห็นโนริก็มองดูคลิปด้วยด้วยอาการไม่พอใจ
ชยพลยังนั่งเครียดอยู่ที่เตียง สบถกับตัวเองด้วยอารมณ์โกรธ
“แวนด้า รู้ไหมคุณทำอะไรกับชีวิตผม มันพังหมดแล้ว บ้าจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นแวนด้าโทร.เข้ามา ชยพลก้มมองมือถือที่เตียงกดปิดเสียง ไม่รับสาย
“คุณกับผม ไม่น่าจะใช้ชีวิตร่วมกันได้นะแวนด้า”
วันต่อมา ดาวรายนั่งกินมะม่วงอยู่ที่ห้องรับแขก รสมะม่วงเปรี้ยวปรี๊ด
“คบไม่ได้ บอกหวานอมเปรี้ยว นี่มันมีแต่เปรี้ยว” ดาวรายบ่นบ้า
เสียงมาลัยดังขึ้น “ซื้อของถูกกินก็แบบนี้”
ดาวรายสะดุ้งรีบลุกขึ้นหันมาเห็นมาลัยยืนอยู่ในบ้านแล้ว สองคู่ปรับในวัยสาวจวบจนกลางคน ระเบิดสงครามปากกันขึ้น
“เธอเข้ามาได้ยังไง”
“ฉันต้องการมาทำความเข้าใจ เรื่องลูกชายเธอหน่อย”
“ทำไม มีปัญหาอะไรกับลูกฉัน”
“อย่าบอกนะ ว่าเธอไม่รู้ว่าลูกชายกำลังมายุ่งกับลูกสาวฉัน”
“ฉันว่ามันตรงข้ามนะ ทั้งลูกสาวเธอ แล้วก็ลูกชายนังมาลา กำลังพากันมะรุมมะตุ้มกับลูกฉันทั้งสามคนมากกว่า ฉันกำลังรอโอกาสอยู่ เมื่อไหร่เจอจังๆ ฉันจะเอาลูกซองส่องให้พรุนหมดทุกคนเลย”
“แล้วไม่กลัวคุกเหรอ”
ดาวรายชะงักไปนิดๆ “แล้วเธอล่ะ ไม่กลัวลูกตายเหรอ”
“ถ้าไม่อยากติดคุก ก็สั่งลูกชายเธอให้เลิกยุ่งกับลูกฉันซะ”
“พวกเธอ ต่างหากที่ต้องสั่งให้ลูกๆ เลิกยุ่งกับลูกฉัน ตายพร้อมกันสามคน ไม่ใช่เรื่องดีนะ แล้วบอกไว้เลย เรื่องคุกน่ะ ฉันไม่กลัวหรอก”
“ใช่ซี เพราะถ้าลูกฉันเป็นอะไร แกเตรียมโดนประหารได้เลย ยิงเป้า ไม่ต้องเสียเวลาติดคุกหรอก”
ดาวรายหัวเราะเยาะ “อีโง่เอ๊ย เขาเลิกยิงเป้ากันแล้ว เดี๋ยวนี้เขาใช้ฉีดยาให้ตายย่ะ”
“เออซี มันก็ตายเหมือนกันแหละ อยากใช่ไหม”
“ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ก็ลองดูสิ”
สองคนเถียงกันอยู่แบบนี้จนปกป้องเข้ามา
“อะไรเนี่ย อะไร ใครตาย” จนต้องประหลาดใจเมื่อเห็นมาลัย “มาลัย มาทำอะไร”
“อยู่ดีๆ ก็เข้ามาขู่ฉันว่าจะถูกฉีดยาตาย” ดาวรายฟ้องก่อน
“ก็อีนังแรด เมียพี่มันจะฆ่าลูกฉัน”
“อะไรดาว” ปกป้องหันมามองมาลัยอย่างเหนื่อยใจ “ไม่มีใครฆ่าใครทั้งนั้น มาลัยกลับไปได้แล้ว”
มาลัยจ้องหน้าดาวรายเขม็ง ทั้งคู่จ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
ปกป้องใช้มือดันหลังพามาลัยออกมาที่หน้าบ้าน มาลัยปัดมือปกป้องออก
“ไม่ต้องมาถูกตัวมาลัย”
ปกป้องยกมือขึ้น “เอาๆ ขอโทษ แล้วไงเนี่ย มาหาเรื่องดาวเขาถึงบ้านได้ไง”
“ก็ลูกพี่มันไม่ยอมเลิกยุ่งกับลูกสาวฉัน นี่ก็ยังแอบไปทำงานกับพี่ก้องอีก”
ปกป้องตกใจ “ยังไงนะ ที่เขาออกไปทำงานข้างนอกนี่ ไปทำงานกับพี่ก้องเหรอ”
“ทำให้ฉันทะเลาะกับพี่ก้องอีกต่างหาก แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไล่ออกไปแล้ว”
“พี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้ารู้ก็ไม่ยอมให้ไปทำอยู่แล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่พี่ถึงจะจัดการให้เด็ดขาด สองคนนั่น รักกันไม่ได้เด็ดขาด พี่ก็รู้”
“พี่ก็พยายามอยู่ วันก่อนก็ทะเลาะกันกับเจ้าปัฐ”
“ทะเลาะยังไงก็ต้องทำ ถ้าเราไม่หยุดพวกเขา มันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ยังไงพี่ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว แต่ เอ่อ วันหลังมาลัยไม่ต้องบุกมาถึงนี่นะ มาถึงถ้ำเสือ มันอันตราย”
“เชอะ ถ้ำเสื้อ ฉันว่าตะกร้าลูกแมวมากกว่า คนอย่างมาลัย ไม่กลัวใครหรอก”
ปกป้องอ่อนใจ
ปกป้องกลับเข้ามาในบ้าน เจอดาวรายยืนหน้าบึ้งรออยู่
“หมดเรื่องแล้ว เขากลับไปแล้ว”
“รู้สึกเป็นห่วงมันเหลือเกินนะ”
“ห่วงอะไรเขา พี่ห่วงดาวต่างหาก ไม่อยากให้มีเรื่องกับใคร”
“ดาวไม่เชื่อหรอก พี่ห่วงมัน เพราะมันเป็นน้องนังมาลา”
ปกป้องเซ็งหลาย “อ้าว โยงไปถึงนั่นได้ยังไง”
“คิดว่าดาวเชื่อเหรอ ที่พี่บอกไม่คิดอะไรกับนังมาลาแล้วน่ะ”
ปกป้องเริ่มหงุดหงิด “ไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้ มาคุยเรื่องที่เขาบุกมาถึงนี่ดีกว่า เรื่องเจ้าปัฐน่ะ พี่พูดกับมันจนทะเลาะกันแล้ว มันไม่ยอมเชื่อพี่ ดาวอาจจะพูดกับมันรู้เรื่องมากกว่า”
“กับลูกสาวดาวก็เป็นคนห้าม นี่ยังต้องห้ามลูกชายอีก ลูกมันจะเกลียดดาวกันหมดแล้ว” ดาวรายบ่น
“แต่ลูกก็ฟังแม่มากกว่า”
“จริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาของลูกชายเรา ถ้าลูกสาวมันไม่คอยให้ท่าคอยยั่วยวน ลูกเราก็ไม่หลงมันอย่างนั้น”
ปกป้องเผลอปากแก้แทน “เขาเปล่านะ”
“หมายความว่าไงเปล่า พี่รู้จักมันด้วยเหรอ”
“ก็...เท่าที่ฟังปัฐมันเล่าน่ะ บอกว่าผู้หญิงเป็นคนดี”
“คนมันติดผู้หญิง มันก็พูดยังงี้ทั้งนั้น”
“เอาเป็นว่า พยายามพูดกับลูกชายเราให้จริงจังดีกว่า กับฝ่ายโน้น เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นะ พี่ฝากหน่อย”
ดาวรายยังไม่ได้ตอบอะไร ปกป้องเดินหนีไปแล้ว ดาวรายหัวเสีย ใช้ความคิดรำพึงอยู่กับตัวเอง
“ทำไมจะทำไม่ได้ ถ้ามันไม่มีคุณค่าของความเป็นผู้หญิงเหลือ มันก็จะไม่มีค่าสำหรับลูกชายฉันอีก”
ออกจากป้านดาวรายมาลัยแวะมาหามาลาที่บ้าน
“อะไรนะ ไปบ้านดาวรายมาเหรอ”
“ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปพูดกับมันดีๆ ให้ลูกมันเลิกมายุ่งกับลูกมาลัย ที่ไหนได้ มันด่าเรากลับ แถมยังฝากด่ามาถึงพี่ด้วย”
“ไม่ต้องเล่าก็ได้มาลัย พี่ไม่รับรู้ซะก็หมดเรื่อง”
“มันต้องเล่า แล้วฝากพี่บอกลูกๆ พี่ด้วย มันขู่ว่า ถ้าเจอลูกชายพี่ไปยุ่งกับลูกสาวมัน มันจะเอาลูกซองส่องให้”
มาลาเหนื่อยใจ “เรื่องสองหนุ่มนั่นน่ะ พูดทุกวัน ไม่ใช่ไม่พูด เขาก็เหมือนจะฟังอยู่”
“ฟังแต่คงไม่ทำตาม ไม่งั้นนังดาวร้ายมันจะด่ากลับมาแบบนี้เหรอ เรื่องนี้ มีคนเดียวต้องรับคำด่าไปทั้งหมด”
“ใครอีกล่ะ”
“ก็คุณพี่ปกป้องตัวดีนั่นไง รักกับพี่อยู่ดีๆ ไหงถึงลื่นไถลไปแต่งกับนังแรดดาวรายได้ ถ้าเลือกพี่เป็นเมีย ก็คงไม่เกิดปัญหาวุ่นวายอย่างนี้หรอก ท่าทางก็ดี แต่ดันโง่ไปเลือกคนอย่างนังดาว”
มาลาอึ้งนิ่งงันไปกับคำพูดของน้องสาว
ดาวรายปรากฏตัวขึ้นที่มุมลับตาด้านหลังโฮมสเตย์ ไม่นานต่อมามีนักเลงคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด ดาวรายเดินเข้าไปหา หยิบซองเงินปึกหนึ่งในกระเป๋าออกมา
ระหว่างนั้นปัฐวีเดินเข้ามาอยู่ในเงามืด เห็นดาวรายอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งมาดเหมือนนักเลงจึงหยุดดู
ดาวรายส่งซองเงินให้ชายคนนั้น
นักเลงรับซองมา หยิบเงินออกมากรีดดูแล้วเก็บเข้าในซอง พยักหน้ารับแล้วเดินมาทางปัฐวี ส่วนดาวรายเดินกลับเข้าบ้านไป
ปัฐวีฉากหลบหลังต้นไม้ไม่ให้เห็น มองเห็นหน้าชายนักเลงชัด และรู้สึกสงสัย
“แม่ให้เงินผู้ชายคนนี้ทำไม”
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
รุ่งเช้าชยพลในชุดทำงานเดินลงบันได้มา กำลังจะออกจากบ้าน มาลาเดินออกมาจากห้องอาหาร
“ไปทำงานเหรอพล”
“ครับ”
“กินข้าวเช้าก่อนซี”
“ไม่ล่ะครับ ผมนัดลูกน้องไว้เช้าครับ ที่ออฟฟิศมีปัญหา”
“แม่ก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
“เขามาฟ้องแม่เหรอ”
“แม่ถามเขาเอง ยังไงลูกก็อย่าใจร้อน คนเรามันผิดพลาดกันได้ ช่วยกันคิดแก้ไขดีกว่า อย่าเอาแต่ตำหนิต่อว่าแรงๆ”
“ปัญหาบางอย่างควรจะแก้กันได้เอง แต่ต้องมารอผมหมด งานมันก็เสียซีครับ”
“ไปโทษเขาหมดก็ไม่ได้ หลังๆ มานี่ เอ็มดีไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ เพราะมัวแต่มีปัญหากับสาวๆ” มาลาพูดเชิงถาม
“ผู้หญิงก็มีปัญหาเหมือนกันหมด หึงบ้าบอจนพัง”
“แล้วเราไปทำอะไรล่ะ”
“ทำแบบที่ผู้ชายทุกคนทำนั่นแหละครับ” ชยพลหยุดคิดแล้วตัดสินใจถาม “ผมถามแม่หน่อย ถ้าแม่รู้ว่าพ่อไปมีอะไรกับผู้หญิงอื่น แม่จะทำยังไงกับพ่อ”
เขาถามในมุมตัวเองเพราะอยากรู้ความคิดปานดาว
มาลานิ่งไปครู่หนึ่ง “ตั้งแต่แต่งงานกัน พ่อลูกไม่เคยมีปัญหานั้น”
“ไม่ได้ช่วยเลยแม่ โอเคครับ ผมต้องไปแล้ว”
“ทำอะไรใจเย็นๆ นะลูก” มาลาเตือนสติ
“ผมจะพยายามใจเย็นละกัน”
ชยพลเดินออกไป มาลานั่งลงที่เก้าอี้รับแขก คิดถึงคำถามของลูกชายตอบตัวเองออกมาว่า
“พ่อลูกไม่เคยทำ แต่มีคนนึงที่ทำ”
มาลาคิดถึงเรื่องสมัยสาวๆ ในอดีต วันนั้นดาวรายบุกมาหาเรื่องถึงบ้าน มาลากับมาลัยอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน
“มาทำอะไรบ้านฉัน นังแรด”
ดาวรายยิ้มเยาะ “ก็มาดู คนที่มัวแต่ตากพริก ไม่ได้สนใจโลกภายนอกกับเขาเลยน่ะซิ”
“ทำไมล่ะ มีข่าวดีข่าวร้ายอะไรมารายงานเหรอ ถึงได้ลงทุนมาถึงนี่น่ะ”
“ข่าวดีสำหรับฉัน แต่อาจจะเป็นข่าวร้ายมากๆ สำหรับเธอนะมาลา”
ดาวรายหันมามองมาลาเต็มๆ ตา มาลานิ่งงันไป ไม่สบายใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“เรื่องอะไร”
“เร็วๆ นี้ ฉันกับพี่ป้องจะแต่งงานกัน”
โหลแก้วใส่พริกแห้งหลุดจากมือมาลาตกลงที่พื้นแตกกระจาย มาลายืนอึ้งตะลึงตะไล มาลัยเองก็เช่นกัน
มาลานั่งนิ่งดึงความคิดตัวเองกลับออกมา
“แม่ไม่ได้ทำอะไรเลย แม่ได้แต่ยอมรับมัน ยอมแพ้มัน และเดินออกมาจากชีวิตของผู้ชายคนนั้น ทั้งๆ ที่แม่รักเขามาก”
น้ำตามาลาไหลรินออกมาเป็นสาย
อีกฟากในที่พักกองถ่ายของฝ่ายเสื้อผ้า ดุจเดือนกำลังจัดเตรียมเสื้อผ้าของนักแสดง สักครู่หนึ่งปัฐวีโผล่หน้าเข้ามา มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีคนในครอบครัวของเขาหรือมาลัยมาเห็น จึงร้องเรียกเบาๆ
“ดุจ”
ดุจเดือนได้ยินหันมามอง
“มีใครอยู่ไหม”
“ไม่มีหรอก”
ปัฐวีเดินเข้ามาในบริเวณที่พัก ดุจเดือนถามอย่างห่วงใย
“ปัฐเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ก็...ตกงาน”
“พ่อบอกกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ จะให้ปัฐไปทำงานกับเขา”
“อย่าเลยดุจ พ่อดุจช่วยผมเยอะแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านมีปัญหากับแม่ดุจ ผมจะลองหางานเอง”
“ที่ผ่านมาก็ยังหาไม่ได้”
“ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องกลับไปทำที่โฮมสเตย์”
ดุจเดือนนิ่งไป รู้สึกเห็นใจปัฐวีมาก
“ไม่เป็นไรหรอก นายจ้างที่โฮมสเตย์อาจจะโหดหน่อย แต่ก็ไม่ไล่ผมออกง่ายๆ”
ดุจเดือนน้ำตาไหลรินออกมา ปัฐวีดึงมือเธอมากุมไว้เชิงปลอบ
“ทำไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
“ไม่มีใครที่สมหวังไปซะทุกเรื่องหรอก แต่ซักวันจะต้องเป็นวันของเรา”
ปัฐวีพูดเพื่อปลอบใจ ทั้งที่รู้เต็มอกว่าทางรักของพวกเขามากมายไปด้วยอุปสรรค
ดุจเดือนยิ่งรู้สึกแย่น้ำตาไหลออกมาอีก
โปรดิวเซอร์ทอมฮะเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ขอโทษนะ”
ปัฐวีปล่อยมือ ดุจเดือนหันหน้าหนีแอบเช็ดน้ำตา
“อีกครึ่งชั่วโมงจะเสร็จฉากนี้ แล้วจะเป็นมอนทาจ ผ่านเวลาหลายวันเลย ดุจเตรียมเสื้อผ้าไว้เยอะๆ เลยนะ ดูตามบทน่ะ”
“ได้ค่ะ”
โปรดิวเซอร์บอกกับปัฐวีว่า “งานกำลังเร่งนะ”
“ผมกำลังจะไปพอดีครับ”
โปรดิวเซอร์เดินออกไป
“ให้ผมช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมีน้องมาช่วย”
“เย็นๆ โทร.มานะ”
ดุจเดือนพยักหน้ารับเอาคำ ปัฐวีเดินออกไป ดุจเดือนมองตามสงสารปัฐวีจับใจ
เย็นนั้นปัฐวีกลับเข้าโฮมสเตย์ ตอนนี้กำลังรดน้ำต้นไม้ตามสวนหย่อมอยู่ ไม่นานนักดาวรายเดินมาจากฝั่งบ้าน หยุดมองลูกชายครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหา
“ยังไงเนี่ย จะกลับมาทำงานที่บ้านเหรอ”
“ถ้ามีตำแหน่งว่าง”
ดาวรายยิ้ม “มันเป็นของลูกอยู่แล้ว”
ปัฐวีหันไปรดน้ำต่อ ไม่ตอบอะไร ดาวรายถามขึ้นว่า
“โดนนังมาลัย ไล่ออกมาใช่ไหม”
ปัฐวีชะงักนิดๆ
“เขามาอาละวาดที่บ้านเมื่อวาน แล้วบอกกับพ่อว่าลูกไปทำงานกับสามีเขา เขาเป็นคนไล่ลูกออกเอง เป็นไงล่ะ เห็นฤทธิ์ของมันหรือยัง”
“ยังไงมันก็จบไปแล้ว จะพูดถึงมันอีกทำไมครับ”
“แม่พูดเพื่อให้ลูกรู้ไงว่ามันร้ายแค่ไหน ถึงขนาดมันขู่แม่ว่า จะเล่นงานแม่จนโดนโทษประหารเลยรู้ไหม”
ปัฐวีเบื่อเหลือเกินแล้ว “แม่ครับ”
“ทำไม รำคาญมากเหรอ รับฟังความทุกข์ของแม่เนี่ย ถามจริงๆ เหอะ ระหว่างแม่กับผู้หญิงคนนั้น ปัฐรักใครมากกว่ากัน”
“ทำไมต้องถามแบบนั้นด้วยครับ”
“งั้นถามยังงี้ ปัฐรักแม่บ้างไหม รักมากแค่ไหน”
“ผมต้องรักแม่สิครับ แต่แม่สิ รักผมบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงทำกับชีวิตผมแบบนี้”
“แม่ทำเพื่อลูกนะ ลูกจะไปอยู่กับคนบ้านนั้นได้ยังไง ลูกก็เห็นเองแล้วนี่”
“แต่ดุจไม่เหมือนแม่เขา ดุจเป็นคนดี”
“ลูกหลงมัน ลูกก็คิดว่ามันดี”
“แม่ไม่เคยรู้จักดุจด้วยซ้ำ”
“แม่ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากพบหน้าพวกมันทุกคน”
“ก็เป็นซะแบบนี้ แม่ไม่ฟังผมเลย” ปัฐวีเหนื่อยใจ
“ปัฐก็ไม่ฟังแม่เหมือนกัน ปัฐคิดว่ามันแสนดี แต่ปัฐอาจจะคิดผิดก็ได้ แล้ววันนึง เมื่อปัฐรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีดีอย่างที่ปัฐคิด ปัฐจะรู้สึก”
ปัฐวีมองแม่เขม็ง พอสายตาเจอกัน ดาวรายรีบหลบตาวูบ
“ทำไมแม่พูดอย่างนั้น”
ดาวรายอึกอัก “ก็จริงไหมล่ะ ไม่มีใครมันจะดีเลิศเลอไปซะทั้งหมดหรอก”
ปัฐวีรับรู้ว่าดาวรายมีความลับอะไรบางอย่าง
อีกฟากหนึ่ง ใครบางคน หลบอยู่หลังต้นไม้ เพ่งสายตามองไปที่มุมเสื้อผ้ากองถ่ายละคร เห็นดุจเดือนส่งของขึ้นไปเก็บในรถตู้ขนเสื้อผ้า มีเด็กทีมงานคอยรับ
“เรียบร้อยนะ”
ดุจเดือนเดินสะพายกระเป๋าออกมาเตรียมจะกลับบ้าน เจอพีดีทอมฮะเดินเข้ามาจากอีกทาง
“วันนี้พ่อให้คนมารับ หรือเปล่าดุจ”
“เปล่าค่ะคนรถไม่ว่าง เดี๋ยวดุจเดินออกไปเรียกแท็กซี่ปากทางค่ะ”
“รอพี่หน่อยซี ติดรถพี่ออกไป”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใกล้ๆ แค่นี้เอง ไปก่อนนะคะ”
ดุจเดือนยิ้มให้พีดีทอมฮะแล้วเดินไปที่ทางออก ใครคนนั้นมองตาม แล้วเคลื่อนตัวตามไปด้วย
ดุจเดือนเดินมาตามถนนในซอย ใครคนนั้นเดินตามมา จนดุจเดือนเริ่มรู้ตัว จึงเร่งฝีเท้าออกไปยังปากซอยให้เร็วขึ้น ทว่าคนที่ตามมาก็เร่งตาม
จู่ๆ คนร้ายที่ตามมาก็พุ่งเข้ามาทางด้านหลังรวบร่างดุจเดือนอุ้มขึ้นพาดบ่าโดยเร็วราวมืออาชีพ ดุจเดือนร้องดิ้นสู้ คนร้ายเอามือปิดปากดุจเดือนไว้ ลากดุจเดือนเข้าไปในป่ารกข้างทาง ดุจเดือนดิ้นสู้สุดแรงเกิด จนกระเป๋าถือของเธอตกหล่นลงข้างทาง คนร้ายลากดุจเดือนเข้าไปในป่ารกข้างทางจนสำเร็จ
คนร้ายอุ้มดุจเดือนลึกเข้าไปในป่ารกข้างทาง มือหนึ่งคอยปิดปากดุจเดือนไว้ตลอดทาง
เมื่อถึงจุดเหมาะ คนร้ายก็วางดุจเดือนลงนอนกับพื้น ดุจเดือนยังพยายามต่อสู้ คนร้ายต่อยท้องน้อยดุจเดือนจนจุกร้องไม่ออกหมดแรงสู้
คนร้ายพยายามจะถอดเสื้อผ้าดุจเดือนออก ดุจเดือนรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี ร้องขอความช่วยเหลือแล้วตบตี และข่วนคนร้าย จนมันโมโห ตบดุจเดือนเต็มแรง จนเธอหมดสติไป
คนร้ายมองดูเรือนร่างดุจเดือนอย่างหื่นกระหาย มันเริ่มปลดเข็มขัด รูปซิป ถอดกางเกงตัวเองออก ดูไม่ยากว่ากำลังจะทำอะไร
ด้านปัฐวีขี่มอเตอร์ไซค์ใช้งานของโฮมสเตย์ คันเดียวกับที่ปานวาดใช้เข้ามาในซอย ตั้งใจมารับดุจเดือน
กระเป๋าถือของดุจเดือนตกอยู่ข้างถนน กระเป๋าเป็นเงาสะท้อนอยู่ในความมืด แสงไฟหน้ามอเตอร์ไซค์สาดเข้ามาแสงสะท้อนยิ่งสว่างมากขึ้น แต่ปัฐวีขี่มอเตอร์ไซค์ขับผ่านเลยไปด้านใน
สักครู่หนึ่ง ปัฐวีก็ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับออกมา มองหาร่องรอยข้างทาง แสงไฟหน้าสาดไปที่กระเป๋าของดุจเดือนอีกครั้ง ปัฐวีจอดรถลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาเปิดดู เห็นมีของใช้ของดุจเดือนอยู่ในนั้น
“ของดุจนี่” ปัฐวีตะโกนหา “ดุจ ดุจอยู่ไหน”
ในป่ารก ดุจเดือนยังไม่รู้สึกตัวคนร้ายกำลังปลดกระดุมเสื้อของดุจเดือน จู่ๆ มีเสียงเรียกของปัฐวีดังเข้ามา
“ดุจ...ดุจอยู่ที่ไหน ดุจ ได้ยินผมไหม ดุจ”
เสียงเรียกนั้นของปัฐวีทำให้ดุจเดือนเริ่มรู้สึกตัว และเห็นว่าคนร้ายทำอะไรเธอ จึงร้องออกมาสุดเสียง
“ปัฐ ช่วยด้วย ดุจอยู่นี่”
คนร้ายตกใจ พยายามปิดปากแต่ดุจเดือนสู้สุดใจแกะมือคนร้ายออกแล้วร้องเรียกปัฐวีอีก
“ช่วยดุจด้วย ปัฐ ดุจอยู่นี่”
ปัฐวีได้ยินเสียงดุจเดือนดังออกมาจากป่าข้างทาง รีบกระโจนเข้าไปทางเสียง
ดุจเดือนต่อสู้กับคนร้ายอยู่ ปัฐวีโผล่เข้ามาถีบคนร้ายเต็มตีน คนร้ายกระเด็นไป ปัฐวีเข้าไปจะเล่นงานคนร้าย แต่คนร้ายลุกขึ้นมาได้ทัน แล้วต่อสู้กลับ ปัฐวีสู้กับคนร้ายไม่ได้ถูกต่อยจนล้ม
ดุจเดือนเห็นปัฐวีเสียท่าจึงร้องตะโกนขอให้คนช่วย
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ปัฐวีลุกขึ้นกระโดดเข้าไปจับตัวคนร้ายไว้ ให้หันหน้ามา พอเห็นปัฐวีถึงตกตะลึง จำได้ว่ามันคือคนที่ไปรับเงินจากแม่ของเขานั่นเอง จังหวะที่ปัฐวีตะลึงอยู่นั้น คนร้ายสบช่องชกปัฐวีไปหนึ่งที ปัฐวีไม่สู้ปล่อยมือจากคนร้าย ปล่อยให้มันหนีไป
ดุจเดือนร้องเรียก “ปัฐ”
ปัฐวีได้สติรีบเข้ามาดู พบว่าดุจเดือนมีบาดแผลที่หน้าหลายแห่ง ปัฐวีเองก็เช่นกัน ดุจเดือนตัวสั่นเพราะขวัญเสียความหวาดกลัวสุดขีด ปัฐวีกอดปกป้องเธอเอาไว้ทั้งตัว
“ไม่เป็นไรแล้ว ดุจปลอดภัยแล้ว”
อ่านต่อตอนที่ 12