บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 12
ปัฐวีนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องตรวจฉุกเฉิน ไม่นานนักก้องภพก็เดินรีบร้อนเข้ามาหา ปัฐวีเห็นรีบลุกไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้ถามอย่างร้อนใจ
“ดุจล่ะ เป็นยังไง”
“หมอกำลังตรวจอยู่ครับ”
“ลูกดุจถูกมัน...” ก้องภพจะถามว่าดุจเดือนถูกข่มขืนไหม แต่ยั้งคำไว้พูดไม่ออก
“แค่ทำร้ายครับ ยังไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมไปถึงพอดี”
ก้องภพโล่งอก “ขอบใจเธอมากนะ แล้วตัวเธอล่ะ”
“ผมไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเอง”
พยาบาลออกมาจากในห้อง
“ญาติคุณดุจเดือนค่ะ”
สองคนเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ดุจเดือนนั่งอยู่บนเตียงตรวจ มีหมอและพยาบาลดูอาการอยู่ใกล้ๆ พอดุจเดือนเห็นพ่อก็ร้องไห้โฮออกมา ก้องภพเข้าไปกอดลูกสาวไว้ ดุจเดือนกอดก้องภพร้องไห้อย่างคนขวัญเสีย ปัฐวีรู้สึกสงสารจับจิต
“เจ็บมากไหมลูก”
ดุจเดือนพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่
“มันผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว”
“โดยทั่วไปก็มีแค่บาดแผลที่ใบหน้า แล้วรอยฟกช้ำที่เกิดจากการต่อสู้กับคนร้ายนะครับ อาจจะเจ็บอยู่อีก 3-4 วัน แล้วก็จะค่อยๆ ดีขึ้น” หมอบอก
“ขอบคุณมากครับหมอ”
“โรงพยาบาลต้องแจ้งเหตุนี้ให้ทางตำรวจทราบนะครับ ถ้าคุณสะดวก ก็ไปแจ้งความไว้เลย เดี๋ยวหมอจะออกใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บให้”
“ได้ครับ” ก้องภพหันมาทางปัฐวี “เธอไปกับลุงนะ”
“ครับ” ปัฐวีรับคำ
ดุจเดือนมองปัฐวี ทั้งคู่ส่งสายตาปลอบโยนกันและกัน
แววตาปัฐวีแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อคิดถึงใครคนหนึ่ง
ปัฐวีเดินเข้ามาในบ้าน เจอปกป้องนั่งอยู่ในห้องรับแขก
“วันนี้กลับดึกมาก”
พอปัฐวีหันมา จึงเห็นว่าใบหน้าลูกชายมีรอยฟกช้ำ ปกป้องรีบลุกขึ้น เดินมาหา
“ไปโดนอะไรมา ใครทำลูก”
ดาวรายออกมาจากครัวทางหลังบ้าน
“บอกพ่อ ใครทำ”
ดาวรายตามเข้ามาดู ก็ตกใจ
“ตายแล้วปัฐ ไปโดนอะไรมา”
“มีคนพยายามทำร้ายดุจครับ ผมไปถึงพอดี เลยช่วยไว้ได้”
คำพูดลูกชายกระแทกเข้าหน้าดาวรายเต็มๆ เธออึ้งไป
ปกป้องตกใจ “ดุจเดือนถูกทำร้ายเหรอ”
“ผมกับลุงก้องพาดุจไปแจ้งความกับตำรวจไว้ เสร็จแล้วถึงได้กลับบ้าน”
“แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
ปัฐวีส่ายหน้า “แค่บาดเจ็บนิดหน่อย แล้วก็ตกใจกลัวครับ”
ดาวรายเดินกลับเข้าไปในครัว ปัฐวีมองตาม
ดาวรายยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะเตรียมอาหารทำครัว ไม่นานปัฐวีก็ตามเข้ามา ดาวรายรับรู้หันมา พอเห็นสภาพปัฐวีก็นิ่งอึ้งไปอีก ผินหน้าหนีมองไปนอกครัว
“พ่อขึ้นไปแล้วครับ”
ดาวรายมีท่าทีผ่อนคลายลง
“เรื่องที่มีคนไปทำร้ายดุจ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ได้บอกตำรวจหรอกว่า...” ปัฐวีนิ่งไปนิด “แม่อยู่เบื้องหลัง”
ดาวรายหันขวับมา “ลูก...พูดอะไร”
“ถึงแม่จะพยายามทำอะไร แต่ผมยืนยันว่า ความรู้สึกของผมที่มีต่อดุจ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผมขอบอกแม่ว่า อย่าได้คิดทำอะไรแบบนี้อีก ถ้ามีครั้งต่อไปผมจะไม่ยอมแม่อีกแล้ว”
ปัฐวีจ้องดาวรายนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินขึ้นห้องนอนไป ดาวรายยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
ก้องภพประคองดุจเดือนเข้ามาในบ้าน มาลัยเดินเข้ามาดูดุจเดือนด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบางลูก”
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยค่ะ”
“โธ่เอ๊ย ลูกแม่ ไอ้คนเลวใจสัตว์ มาทำลูกแม่ได้ยังไง รู้ไหมลูกว่ามันเป็นใคร”
ดุจเดือนส่ายหน้า
ก้องภพบอกว่า “แจ้งความไว้แล้ว ตำรวจเขารับปากว่าจะลากคอมันมาให้ได้”
“มันต้องเป็นคนแถวนั้นนั่นแหละ ลูกกลับมืดทุกวัน มันคงตามดูมาหลายวันแล้ว”
“โชคดีนะที่ปัฐเขามาช่วยไว้ได้ทัน ถ้าไม่ได้เขา ป่านนี้ลูกดุจจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
มาลัยอึ้งไป ก้องภพบอกต่อว่า
“มาลัยควรจะเลิกรังเกียจปัฐได้แล้ว”
จากนั้นก้องภพก็พยุงพาดุจเดือนขึ้นบ้านไป
มาลัยมองตาม ยิ่งรู้สึกอึดอัดสุดจะประมาณ
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ขณะที่มาลัยกวาดบ้านอยู่ รถปกป้องแล่นมาจอดที่ถนนหน้าบ้าน ปกป้องลงรถ เดินมาที่ประตูรั้ว พอมาลัยเห็นก็ตกใจ มองซ้ายมองขวา แล้วรีบเดินออกไปหาคุยกับปกป้องที่ประตูรั้วถาม เบาๆ ว่า
“มาทำอะไร”
“ปัฐมันบอกว่าดุจเดือนถูกทำร้าย เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรมากหรอก แต่ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แล้วก็มีรอยช้ำที่หน้า”
“ให้พี่เข้าไปเยี่ยมหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก กลับไปซะ”
“โธ่ ขอร้องล่ะ ให้พี่ได้เห็นหน้าเขาหน่อยเดียว”
“มันไม่ได้ช่วยให้ลูกมาลัยหายเจ็บหรอก”
“แต่พี่เป็นห่วงเขา”
“เดี๋ยวจะบอกเขาให้ละกัน” มาลัยจะกลับเข้าบ้านไป
“มาลัย พี่ขอร้องนะ ดุจเดือนก็เป็นลูกพี่คนหนึ่ง”
มาลัยนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง จึงยอมเปิดประตูรั้วให้
“อย่านานนะ”
“ขอบใจจ้ะมาลัย”
ปกป้องรีบเดินเข้าบ้านไป
มาลัยเดินนำปกป้องเข้ามาในบ้าน ปกป้องอดมองไปทั่วๆ บ้านไม่ได้
“ที่นี่น่าอยู่นะ”
“ดุจอยู่ข้างบน เดี๋ยวให้มาลัยบอกเขาก่อน”
มาลัยเดินขึ้นบันได ปกป้องตามไป
ดุจเดือนนอนตะแคงอยู่บนเตียงในห้องนอน แต่ไม่ได้หลับ จนมีเสียงมาลัยเคาะประตูเรียก
“ลูกดุจ ตื่นหรือยังลูก”
“ตื่นแล้วค่ะ”
ประตูห้องนอนดุจเดือนเปิดเข้ามา มาลัยเดินเข้ามาในห้อง
“มีคนมาเยี่ยมลูกน่ะ”
ดุจเดือนแปลกใจ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง พอเห็นปกป้องเข้ามาในห้องก็รู้สึกแปลกใจพลางยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ”
ปกป้องรับไหว้ หันไปมองมาลัย
“คุยกันตามสบายนะ”
มาลัยออกจากห้องไป ดุจเดือนยิ่งแปลกใจ ที่แม่ปล่อยเธอไว้กับปกป้องตามลำพัง
“เป็นไงบ้างลูก” หลุดปากพูดไปแล้วปกป้องจึงนึกได้ เลยอึกอักไปนิดๆ
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“ได้เห็นกับตาแบบนี้ ค่อยสบายใจหน่อย ตอนปัฐบอกฉันว่าเธอถูกทำร้าย ฉันตกใจมากเลย”
“ดุจโชคดีที่ได้ปัฐช่วยไว้”
“ใช่ ถ้าไม่ได้เจ้าปัฐไปช่วย คงแย่”
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”
“ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะ ปัฐบอกว่าไปแจ้งความไว้แล้ว ไม่นานตำรวจคงตามจับตัวคนที่ทำร้ายเธอได้”
ดุจเดือนพยักหน้ารับ รู้สึกดีที่ปกป้องมาเยี่ยม
“ตอนนี้ก็รักษาตัวให้หายดี ไม่ต้องคิดอะไรมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันพอจะเข้าใจว่ามันต้องน่ากลัวมากๆสำหรับเธอ เป็นไปได้ก็พยายามลืมมันไปซะ”
“คงลืมยากน่ะค่ะ”
ปกป้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดให้ข้อคิด “รู้ไหม เรื่องที่เกิดขึ้นนี่อาจจะเป็นคำเตือนก็ได้”
“คำเตือน? เตือนอะไรคะ”
“เตือนที่เธอกับปัฐคบหากันน่ะ ฟ้าดินอาจจะอยากบอกว่า มันไม่เหมาะสม”
ดุจเดือนอึ้ง ความรู้สึกดีๆ เมื่อครู่ หายไปจนสิ้น เปลี่ยนมาเป็นโกรธ
“ฉันอยากให้เธอคิดซะใหม่ ปัฐมีบุญคุณกับเธอ ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอกับปัฐจะต้องคบหากันแบบผู้ชายผู้หญิง เธอกับปัฐอาจจะเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ หรือแม้แต่รักกัน...” ปกป้องจงใจเน้นคำตอนท้ายนี้ “แบบพี่แบบน้อง...ก็ยังได้”
ดุจเดือนนิ่งไป ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ดุจอยากพักแล้วค่ะ”
มาลัยกลับเข้ามาในห้องมองปกป้องอย่างรู้กัน ปกป้องรู้ตัวว่าควรกลับไปได้แล้ว
“งั้นฉันกลับก่อนนะ พักผ่อนให้มากๆ แล้ว..เอ่อ..ฝากคิดถึงเรื่องที่ฉันพูดด้วย”
ดุจเดือนไม่แม้แต่ไหว้ลา
ปกป้องพ้นตัวจากห้องไป มาลัยกำลังจะตามไป
“แม่” มาลัยหยุดหันมา “อย่าให้ดุจเจอเขาอีกนะคะ”
มาลัยอึ้งไปเลย
ค่ำแล้วปานดาวเดินเล่นอยู่ในโฮมสเตย์ จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานดาวหยิบขึ้นมาดู แล้วนิ่งงันไปเลย เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่ ปานดาวตัดสินใจรับสาย
“โทรมาทำไมอีก...ไม่ ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับคุณอีกแล้ว...มันจบไปแล้ว เลิกกวนใจฉันซักที”
ปานดาวกดวางสายด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มที่
ชยพลนั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่ที่ถนนหน้าบ้านเตยหอมโฮมสเตย์ เขาถือโทรศัพท์นิ่งอยู่อย่างนั้น เพิ่งถูกปานดาววางหูใส่ แล้วค่อยลดโทรศัพท์ลง ชยพลนั่งเครียดอยู่เงียบๆ คิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี
ปานดาวเดินเข้ามาในล็อบบี้โฮมสเตย์ เห็นพนักงานนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เธอดูนาฬิกา แล้วเดินไปบอกพนักงาน
“กลับบ้านไปเถอะ วันนี้คงไม่มีลูกค้าแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวจะดูความเรียบร้อยของห้องพักให้ก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวป่านดูเอง”
พนักงานไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
ปานดาวรับไหว้ ยิ้มส่งพนักงานเดินออกไป
ปานดาวเดินมาถึงหน้าห้องพักหลังหนึ่ง เปิดประตูเข้าไปในห้องเพื่อตรวจตรา พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พอหันกลับออกมาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชยพลยืนจ้องอยู่ที่ประตู ปานดาวปิดประตูเดินหนีไปอีกทาง ชยพลตามไป
ปานดาวเดินหนีมาที่ข้างห้องพักอีกหลัง ชยพลตามมาทันจับแขนปานดาวไว้
“เราต้องคุยกัน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรจะคุย”
“ทำไมจะไม่มี รู้ไหมที่คุณทำ มันทำให้ผมเดือดร้อนแค่ไหน”
“คุณเดือนร้อนเหรอ คุณต่างหากที่ทำร้ายฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
ชยพลยิ่งบีบมือแน่นขึ้น “ไม่ปล่อย จนกว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากคุณ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ก็ที่คุณทำที่ร้านอาหารไง คุณทำธุรกิจผมพังหมด ลูกค้าญี่ปุ่นผมถอนตัวไปแล้ว”
“นี่ใช่ไหมที่สำคัญสำหรับคุณ เรื่องธุรกิจ เรื่องเงินทอง”
“ผมอาจจะทำผิดต่อคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิทำกับผมแบบนี้”
“คุณก็ไม่มีสิทธ์มาหลอกลวงฉัน” ปานดาวจับมือชยพล แล้วกระชากออกจากแขนตัวเอง “ไปให้พ้นนะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ”
ชยพลโกรธ “จะเอาผมเข้าคุกเหรอ เอาซี ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้มันถึงที่สุดไปเลย”
พร้อมกับว่า ชยพลเข้ามากอดเอวปานดาวไว้ อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง
“จะทำอะไร ปล่อยนะ”
ปานดาวทุบตีชยพล ปากก็ตะโกนร้องขอให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ชยพลปิดปากปานดาวไว้ แล้วช้อนอุ้มปานดาวขึ้นพาดบ่า พาออกไป
ชยพลพาตัวปานดาวมาที่หน้าห้องพักหลังหนึ่งโฮมสเตย์ ปานดาวดิ้นสู้แต่ก็แพ้แรงอีกฝ่าย ชยพลเปิดประตูห้องพักพาตัวปานดาวเข้าไปในห้องปิดล็อคห้องทันที
ร่างปานดาวถูกทิ้งลงบนเตียงชยพลรีบโถมตัวขึ้นมาทาบทับบนตัวปานดาว ใช้มือก็ปิดปากเธอไว้
“เก่งมากใช่ไหม ผมจะสอนให้คุณรู้ ว่าจะมาทำแบบนี้กับผมไม่ได้”
ขาดคำชยพลบังคับจูบซุกไซร้ปานดาวด้วยความแค้นใจ ปานดาวต่อสู้ขัดขืนเท่าเรี่ยวแรงที่พอมี
แต่ก็ยากจะสู้แรงแค้นประสมความหื่นกระหายของชยพลได้
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
ไฟแค้นแรงใคร่ของชยพลดับมอดลงแล้วหลังเขาลงมือทำร้ายขืนใจปานดาวจนสำเร็จ เวลานี้สาวเจ้านอนตะแคงสะอื้นไห้อยู่ ไหล่เนียนขาวโผล่พ้นผ้าห่มที่คลุมกายอยู่สะท้านสะเทือนอย่างน่าเวทนา
ส่วนชยพลนั่งเอนพิงพนักเตียงสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า มีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ห่อกาย เห็นร่องรอยขีดข่วนจากการขัดขืนของปานดาวชัดแจ้งตรงไหล่และคอ ชยพลเองสับสนถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่น้อย หันไปมองปานดาวที่ยังสะอื้นอยู่
ชยพลมองปานดาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ป่าน...ผม...”
ปานดาวพยายามบังคับตัวเองให้หยุดสะอื้น ชยพลเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของปานดาว
“ป่าน ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
ปานดาวใช้ปัดมือของชยพลออก “ไปให้พ้น”
“ผมแค่อยากให้คุณรู้”
ปานดาวยังไม่หันมามอง
“คุณมันเลว ฉันบอกให้ออกไป”
ชยพลรู้ว่าปานดาวได้เปลี่ยนจากโศกเศร้าเป็นเกลียดเขาเต็มขั้นแล้ว จึงลุกขึ้นคว้าเสื้อกางเกงมาใส่ จับชายเสื้อยัดใส่กางเกงมองหาเข็มขัดก่อนหยิบขึ้นมาใส่เร็วๆ เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงบอกว่า
“เอาไว้คุณใจเย็นลงแล้วเราค่อยคุยกันนะป่าน”
ปานดาวหันหน้ามามอง ก่อนค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นพิงหัวเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงคอ
“ออกไปจากที่นี่ แล้วอย่าให้ฉันได้เห็นหน้าคุณอีก”
ชยพลอึ้งๆ เดินไปเปิดประตูห้อง แต่ก่อนจะก้าวพ้นประตูออกไป เขาหันมามองปานดาวอีกครั้งด้วยความเสียใจ และรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ปานดาวสบตาแว่บเดียวแล้วเมินไปมองอีกทาง ชยพลเดินออกไปปิดประตูลงช้าๆ
พอประตูปิดลง ปานดาวดึงผ้าห่มมาคลุมร่างจนถึงคอก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง เสียใจสุดจะคณานับอยู่บนเตียง
ระหว่างนี้ปานวาดขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดรถข้างสำนักงานบ้านเตยหอมแล้วดับเครื่อง บริเวณนั้นค่อนข้างมืด ระหว่างนี้ชยพลเดินมาตามทางมุ่งหน้าออกไปทางหน้าโฮมสเตย์ ปานวาดชะงักประหลาดใจเมื่อเห็น
ชยพลเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ สตาร์ตเครื่องแล้วขับรถออกไปเลย ปานวาดเหลียวมองตามไปด้วยความสงสัย
ฟากปานดาวเดินออกจากห้องพักมาหยุดตั้งสติที่หน้าห้องพักโฮมสเตย์ ด้วยท่าทางอิดโรย แทบทรงตัวไม่อยู่ หญิงสาวจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ปานวาดเดินเข้ามาพอดี
“ป่าน”
ปานดาวชะงัก ไม่กล้าแม้จะหันหน้าไปหาพี่สาว
“มีอะไรเหรอพี่ปอ”
“พี่เห็นคุณชยพลเขาออกไปจากโฮมสเตย์”
ชื่อนี้ทำให้ปานดาวนิ่งไปเลย ไม่ตอบใดๆ
“เขามาทำอะไรเหรอ มากวนใจป่านอีกหรือเปล่า”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ปานวาดเดินอ้อมมายืนตรงหน้าน้องสาว
“ต้องมีอะไรแน่ๆ เขาทำอะไรป่าน”
ปานดาวชักหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ “ก็บอกว่าไม่มีอะไร เขามาหาแต่ป่านไม่มีอะไรจะคุย เลยไล่ให้ไปพ้นๆหน้าป่านก็แค่นั้น”
“แค่นั้นจริงๆ เหรอ” ปานวาดเล้าหรือไม่เลิกจนปานดาวพาลพาโล เผลอแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา
“ก็จริงน่ะซี ทำไมพี่ปอต้องคิดว่าป่านโกหกด้วย”
“แล้วทำไมต้องโกรธ”
“ไม่ได้โกรธ” ปานดาวนิ่งไปอีกนิด “ป่านรำคาญไอ้บ้านั่น แล้วยังมาถูกพี่ปอซักอีก”
“ก็พี่เป็นห่วง”
ปานดาวนิ่งไป รู้สึกผิดที่หงุดหงิดใส่พี่ไป “ขอบคุณค่ะพี่ปอ แต่ป่านไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
จากนั้นปานดาวก็เดินออกไปเลย มุ่งหน้ากลับเข้าบ้าน
ปานวาดมองตามไป ด้วยความรู้สึกแปลกใจในท่าทีน้องสาว
ด้านชยพลเดินเข้ามาในบ้าน เจอกับมาลาที่เดินออกมาจากหลังบ้านพอดี
“กลับแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยังลูก”
“มันไม่หิวน่ะครับ”
มาลามองหน้าตาเนื้อตัวลูกชาย แล้วตกใจ “นี่คอลูกไปโดนอะไรมา เหมือนรอยข่วน”
ชยพลอึกอัก “เหรอ...ครับ”
มาลาแตะที่คอลูก เห็นชัดว่ามีรอยเล็บข่วน
“ผม...เอ่อ...ทะเลาะกับแวนด้านิดหน่อยน่ะครับ”
“แวนด้า ที่ลูกคบกับเขาตอนอยู่อเมริกาน่ะเหรอ ไม่เห็นบอกเลยว่าเขากลับมาเมืองไทยแล้ว”
“กลับมาได้สองเดือนกว่าๆ นี่เองครับ”
“แล้วทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกันแบบนี้ มีปัญหาอะไร”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะครับ”
“ไม่เป็นเรื่องสำหรับผู้ชาย อาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงนะ นี่ ยังไงก็พาเขามาเที่ยวบ้านเราบ้างซี แม่จะได้รู้จักเขา มีปัญหาอะไรแม่จะได้ช่วย”
ชยพลนิ่งไป “อย่าเพิ่งเลยครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมยังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ใช่ สำหรับผมหรือเปล่า”
ชยพลตัดบทแล้วเดินหนีขึ้นห้องไปเลย มาลามองตามไปงงๆ
ชยพลเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอนทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง ถอนใจอย่างอ่อนล้า ชายหนุ่มสับสนหนักกับสิ่งที่ทำลงไป
เสียงปานดาวด่าและไล่ตะเพิดดังขึ้นมาในห้วงคิด
ยิ่งคิดชยพลยิ่งไม่สบายใจมาก
“นี่เราทำอะไรลงไป”
มีความเสียใจอยู่เต็มในแววตาคู่นั้น
“อะไรนะ ดุจเดือนถูกคนทำร้ายเหรอ”
มาลาตกใจเมื่อชลกรบอกอย่างนี้
“ใช่ครับแม่”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวานซืนครับ คนร้ายมันตั้งใจจะข่มขืนดุจ แต่โชคดีพี่ชายของปอ” ชลกรเว้นคำ มองหน้ามาลาแว่บหนึ่ง “เขาไปช่วยไว้ทัน”
มาลาไม่ทันคิดอะไรเพียงเป็นห่วงหลาน “แล้วทำไมน้ามาลัยไม่โทร.มาบอกแม่เลย”
“เหตุมันเพิ่งเกิดมั้งครับ”
“นี่เรื่องใหญ่นะ แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไร”
“ก็ต้องขอบคุณปัฐที่เขามาช่วยทัน” ชลมองหน้ามาลา ก่อนพูดต่อ “ผมเคยเจอปัฐพี่ชายปอหลายครั้ง เขาเป็นคนดีมากๆ รับผิดชอบงานดี เป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากๆ จริงๆ คนบ้านนั้นเป็นคนดีกันทุกคน ผมอยากให้แม่กับน้ามาลัยเปิดใจรับคนบ้านนั้นบ้างนะครับ”
มาลามองหน้าลูกชายนิ่งๆ ไม่ตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้ชลว่างไหม”
“ทำไมเหรอครับ”
“แม่อยากไปเยี่ยมดุจน่ะ ไปส่งแม่หน่อยซี”
“ได้ครับ แต่ผมจะต้องเลยไปทำงานต่อ แม่กลับเองได้นะครับ”
มาลาพยักหน้ารับ “ได้จ้ะ”
ดุจเดือนตื่นแล้วแต่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอน ใบหน้ายังมีร่องรอยฟกช้ำให้เห็นอยู่ ครู่ต่อมามีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ดุจเดือนหยิบขึ้นมาดูพอเห็นว่าใครโทร.มา ก็ยิ้มออกมาพร้อมกับรีบกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ โทร.มาแต่เช้าเลย”
อีกฟากปัฐวีนั่งคุยสายอยู่บนเตียงในห้องนอน ทั้งสองคุยสายกัน
“ดุจเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังเจ็บอยู่ ตามตัวเหมือนกับเจ็บมากขึ้น”
“มันก็คงระบมน่ะ อย่าลืมกินยาที่หมอให้นะ”
“กินเป็นกำเลย อิ่มยาแทนอิ่มข้าว”
“จะได้หายไวขึ้นไง”
“ดุจรู้”
“แล้วสภาพจิตใจล่ะ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
ดุจเดือนนิ่งไป น้ำตาคลอขึ้นมา “มันจะดีได้ยังไง”
“ขอโทษนะ ผมได้ตั้งใจ”
ดุจเดือนพยายามกลั้นสะอื้น “ไม่เป็นไรหรอก”
“ผมอยากไปหาดุจที่บ้าน แต่ก็กลัวว่าจะมีปัญหากับแม่ดุจอีก”
“อีก 2-3 วัน พออาการมันดีขึ้น ดุจจะไปหาปัฐที่โฮมสเตย์ละกัน”
ปัฐวีตกใจ เผลอห้ามเสียงเข้ม “ไม่ได้”
“ทำไมเหรอ มีอะไร” ดุจเดือนแปลกใจ
“ก็...ผมกลัวว่าดุจจะมีปัญหากับพ่อแม่ผมน่ะ”
“ไม่เป็นไร งั้นถ้าดุจไปทำงาน เราไปเจอกันที่นั่นละกัน” ดุจเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ น้ำตาไหลออกมาอีกจนได้
“ดุจต้องเข้มแข็งไว้นะ เราต้องผ่านเรื่องแย่ๆ นี่ไปให้ได้”
“แน่ใจเหรอ” ดุจเดือนสะอื้นออกมา
ปัฐวีจับน้ำเสียงได้ “ดุจร้องไห้เหรอ เชื่อผมนะดุจ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางความรักของเรา สักวัน มันจะเป็นวันของเรา”
ดุจเดือนน้ำตาไหล “ค่ะ ดุจเชื่อ ดุจจะรอวันนั้น”
ปัฐวีเองก็น้ำตาคลอ ไม่แน่ใจในคำมั่นที่เขาให้กับดุจเดือนเท่าไรนัก
ทางด้านปานดาวเดินซึมออกมาจากห้องอาหาร ดาวรายยืนอยู่แถวนั้นพอดี
“อิ่มแล้วเหรอลูก”
ปานดาวเพียงพยักหน้า แล้วเดินขึ้นชั้นบน ดาวรายมองไปที่โต๊ะทานอาหาร
“กินไปกี่คำเนี่ย กับข้าวไม่เห็นพร่องเลย”
“มันไม่หิวน่ะแม่ และป่านก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
ปานดาวเดินขึ้นบันไดไป สวนกับปานวาดที่เดินลงมา
“ป่านลงมากินอีกหน่อยซิลูก จะได้กินยาด้วย เดี๋ยวแม่เตรียมให้”
ปานดาวขึ้นบนบ้านไปโดยไม่ตอบคำแม่ ปานวาดลงมาถึงตีนบันได ดาวรายรักและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กมาก ตามมาชะเง้อคอมอง ก่อนจะหันมาถามปานวาด
“น้องสาวเราเป็นอะไร รู้มั้ยปอ”
“สงสัยเพราะเรื่องเมื่อคืนมั้งคะ”
ดาวรายแปลกใจ “เมื่อคืนมีอะไร”
“คุณชยพลเขามาที่โฮมสเตย์”
“มาอีกแล้วเหรอ” ดาวรายโมโหในเบื้องแรก แล้วมานึกแปลกใจ “แต่แม่ก็เห็นมันชอบมาหาป่านบ่อยๆ ทำไมคราวนี้ถึงได้ซึมขนาดกินข้าวไม่ลงล่ะ”
“ปอมาถึงก็เห็นเขากำลังกลับ พอถามป่าน ก็ไม่ยอมบอกอะไรมาก แค่บอกว่ามากวนใจ แล้วป่านก็ไล่ไป ก็เท่านั้น”
ดาวรายคิดตามแต่ไม่เชื่อ “ไม่จริงหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
“แม่คิดว่ามีอะไรเหรอ”
ดาวรายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่ามัน...” ปานวาดรอฟัง “กับน้องแก...เลิกกันแล้ว”
“เลิก แล้วแม่ไปรู้ได้ไงว่า 2 คนนั้นคบกัน”
“ก็แม่เห็นหมอนั่นเทียวไปเทียวมาหาน้องแกตลอดน่ะซิ”
“ปอว่าป่านอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจก็ได้”
ปานวาดเดินเข้าไปที่โต๊ะทานอาหาร ดาวรายมองขึ้นไปข้างบน เหมือนนึกอะไรได้ เดินไปหาปานวาดซึ่งตักข้าวใส่จานลงนั่งทานลำพัง
“ว่าแต่เราเถอะ เลิกยุ่งกับนายชลกร ตากล้องกระจอกนั่นหรือยัง”
“เราไม่เคยคบกัน แม่จะให้เราเลิกกันได้ยังไง” ปานวาดพยายามหลบตาแม่มีพิรุธนิดๆ
“ขอให้แกพูดจริงก็แล้วกัน แม่จะได้สบายใจ”
ดาวรายสะบัดหน้าออกไป ปานวาดมองตาม คิดเครียดว่าเรื่องเธอกับชลกรจะเป็นยังไงต่อไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วตักข้าวกินเนือยๆ
ปานดาวนอนตะแคงอยู่บนเตียงในห้องนอน น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูถูกเปิดเข้ามา ถือถ้วยยาลดไข้ใบเล็กๆ พร้อมแก้วน้ำมาด้วย
“แม่เองนะลูก เอายามาให้”
ปานดาวเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นนั่ง ดาวรายเอายาและแก้วน้ำวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วนั่งลงข้างๆ ลูก ใช้หลังมือแตะที่หน้าผากเพื่อตรวจดูไข้
“ไม่เห็นมีไข้เลย ไหนบอกว่าไม่สบาย”
“มันเวียนหัวน่ะค่ะ”
“เป็นเพราะไม่ได้กินอะไรด้วยน่ะซี น้ำตาลมันเลยต่ำ อยากกินอะไรล่ะ แม่จะทำให้ โจ๊กไหม หรือข้าวต้ม” ดาวรายลูบหัวลูก “แม่เป็นห่วงป่านนะ”
ปานดาวมองดาวราย รู้สึกเต็มตื้นกับความรักความห่วงใยของแม่โผเข้ากอดแม่ไว้ สะอื้นไห้ออกมา ดาวรายแปลกใจ แต่ไม่ได้ถามอะไร กอดปลอบลูกอยู่อย่างนั้น รอจนปานดาวสงบลง
“ลูกมีปัญหาอะไร เล่าให้แม่ฟังได้นะ”
ปานดาวค่อยๆ ถอนตัวออก แต่ไม่ตอบอะไร
“เรื่องนายชยพลใช่ไหม เขาทำอะไรลูก”
ปานดาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ป่านแค่...เหนื่อย เครียดเรื่องงานน่ะค่ะ”
ดาวรายรู้ว่าลูกไม่ได้พูดความจริง แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะซักต่อ
“ถ้าเหนื่อยก็พักผ่อน เรื่องงานยังไม่ต้องไปคิดอะไร มีปัญหาอะไรเดี๋ยวเราช่วยกันคิด”
ปานดาวพยักหน้ารับเอาคำ
ดาวรายเดินออกมาที่หลังบ้าน กดเบอร์ในโทรศัพท์มือถือ แล้วถือสายรอ ปลายสายคือพันลือซึ่งรับสายอยู่ที่บ้าน พันลือกับดาวรายคุยสายกัน
“มีอะไร”
“ฉันอยากเจอพี่หน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องลูกชายของพี่นั่นแหละ”
“มันไปกวนใจลูกสาวเธออีกเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี ลูกสาวฉันไข้ขึ้นเลย”
“ฉันไปไหนไม่ได้ วันนี้ต้องอยู่เฝ้าบ้าน เมียไม่อยู่”
“ไปเที่ยวเหรอ”
“เปล่า ไปเยี่ยมหลาน ลูกสาวมาลัยน่ะ ถูกคนดักทำร้าย”
ดาวรายอึ้งไป “เหรอ”
“อะไร เธอไม่รู้เรื่องเหรอ ก็ลูกชายเธอเป็นคนช่วยเขาไว้”
“เออ ใช่ รู้อยู่”
“ฉันไปไหนไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามาลาเขาจะกลับมากี่โมง ถ้าไม่เจอฉัน เดี๋ยวเขาจะบ่นเอา โอเคนะ”
ดาวรายยืนถือโทรศัพท์นิ่งฟังอยู่อย่างนั้น
ชลกรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศพร้อมกับปานวาด สองคนกำลังดูรูปในจอคอมพ์ที่ฝ่ายกราฟฟิกตกแต่งเอารูปปานวาดไปใส่ในฉากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว บางรูปปานวาดทำท่าตลก สองคนก็หัวเราะกัน มีรูปหนึ่งปานวาดทำหน้าเหยเก
“อุ๊ย รูปนี้ไม่เอา”
“น่ารักดีออก”
“น่าเกลียด ไม่เอา”
“ก็ได้ๆ”
ชลกรเปิดเลือกรูปต่อไป ปานวาดก็ช่วยดู พยักหน้าบอกโอเคเมื่อรูปนั้นดูดี จนกระทั่งเปิดดูมาถึงรูปหนึ่ง ปานวาดดูนิ่งๆ เหมือนเหม่อคิดอะไรอยู่ ชลกรนิ่งไปเมื่อมองรูปนั้น
“มีอะไรเหรอ”
“ชอบรูปนี้ที่สุดเลย”
“ไม่เห็นมีอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม”
“รูปนี้ปอดูน่าค้นหา อยากรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่...ยังคิดกับผมเหมือนเดิมหรือเปล่า”
ปานวาดทุบแขนชลกรไปหนึ่งที อีกฝ่ายยิ้มสุขใจ
“นี่แน่ะ วกมาเข้าเรื่องตัวเองจนได้ อยากรู้ใช่ไหมว่ากำลังคิดอะไร กำลังคิดว่า คนพี่จะทำให้เราต้องเจ็บ เหมือนกับที่คนน้องเขาทำกับน้องเราไหม”
ชลกรอึ้งไป หุบยิ้มทันที “ทำไมเหรอ ไอ้พลมันทำอะไรป่าน”
“ก็ไม่แน่ใจนะ แต่เมื่อเช้าป่านเขาซึมมาก เมื่อคืนนี้น้องชลไปหาเขาที่โฮมสเตย์”
ชลกรคิดตาม “มันทำอะไรของมันอีกวะ”
“แม่ปอเขาสันนิษฐานว่า น้องชายชลอาจไปบอกเลิกป่าน”
“จริงอ่ะ”
ชลกรอึ้งหนัก นึกสงสัยเช่นกันว่าชยพลไปทำอะไรปานดาว
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
ชยพลนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศโรงงาน คิดถึงแต่ปานดาว และสิ่งที่ตนทำลงไป
จนมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชยพลคิดว่าปานดาวโทร.มา รีบหยิบจากโต๊ะขึ้นมาดู แล้วก็ต้องผิดหวัง ชื่อหน้าจอรายสายเป็นชื่อ “แวนด้า”
ชยพลรำคาญกดปิดเสียง แล้วโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะตามเดิม
แวนด้าถือรายรออยู่ที่ห้องพักคอนโด มีเสียงสัญญาณรอสายดังอยู่ แล้วเสียงก็เงียบไป แวนด้าเอาดูโทรศัพท์หงุดหงิดที่ชยพลไม่รับสาย เจ้าหล่อนเดินไปคว้ากระเป๋าถือมาสะพายเดินออกจากคอนโดไป
ดาวรายไม่สบายใจเรื่องปานดาวมาก พาตัวเองมากดกริ่งประตูรั้วบ้านพันลือ ไม่นานนักจึงเห็นพันลือออกมาจากในบ้านชะโงกหน้ามองมาที่ประตูรั้ว พอเห็นว่าเป็นดาวรายก็ตกใจรีบวิ่งมาที่ประตูรั้ว
“มาทำอะไรที่นี่”
“ก็พี่ไม่ยอมไปหาฉัน”
“ถ้าเกิดมาลากลับมา บ้านแตกแน่”
“ก็ให้ฉันเข้าไปคุยเร็วๆ ซี จะได้กลับ”
พันลือเปิดประตูรั้วให้ไม่เต็มใจนัก
สองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะสนามข้างเรือน พันลือมองซ้ายมองขวา พร้อมกับชะเง้อคอดูมาลาที่หน้าบ้านตลอดเวลา
“นั่งคุยที่นี่แหละ”
ดาวรายมองหมั่นไส้ “กลัวเมียขนาดนี้เลยเหรอ”
“แค่ไม่อยากมีปัญหากัน เอา มีอะไรก็ว่ามา”
“ลูกสาวคนเล็กฉันตอนนี้ไม่สบายอยู่ เพราะนายชยพลลูกพี่ไปก่อกวน ส่วนคนกลางก็ทำลับๆล่อๆ ไม่รู้เลิกยุ่งกับลูกคนโตของพี่หรือยัง รู้นะว่ามันยุ่งกันไม่ได้”
“เออ รู้”
“ฉันอยากให้พี่สั่งห้ามไม่ให้เขาไปยุ่งกับลูกสาวฉันอีก”
“ฉันก็บอกเธอแล้วว่าฉันพูดทุกวัน พูดจนลูกมันเกลียดฉันแย่แล้ว ทำไมไม่ให้ไอ้ป้องมันห้ามลูกสาวมันบ้างล่ะ”
“เขาห้ามจริงจังแต่กับลูกชาย แต่ลูกสาวเขาคงไม่อยากพูดแรงๆ”
“มันคงอยากให้เป็นดองกับบ้านฉันน่ะซี มันโทร.หาเมียฉันด้วย”
ดาวรายของขึ้น “จริงเหรอ”
“ฝากไปบอกมันด้วยละกัน ขืนมาทำซี้ซั้วกับเมียฉัน ฉันไม่เอาไว้จริงๆ”
“ฉันก็ไม่ยอมหรอก” ดารายถอนใจเบื่อหน่าย “เฮ้อ มาพูดเรื่องลูก แต่ต้องมากลุ้มเรื่องพ่อมันอีก”
ประตูห้องทำงานชยพลมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชยพลเดินมาเปิดประตู แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นแวนด้ายืนยิ้มอยู่ แล้วเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องเชิญ
“เมื่อกี้ประชุมอยู่ใช่ไหมคะ แวนด้าพยายามโทร.หาแล้วแต่พอลไม่รับสาย” แวนด้าเข้ามาคล้องแขนเอาใจ “เลยตัดสินใจมาหาเองเลยดีกว่า”
ชยพลก้มมองมือแวนด้า เงยหน้ามาถาม “มาทำไม”
“ก็พอลหายไปเลย แวนด้าเป็นห่วง”
“คุณทำลายธุรกิจของผม แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นห่วงผมอีกเหรอ”
“ทำลายธุรกิจพอล” แวนด้างง ปล่อยมือที่เกาะแขนออก
“ก็ไอ้ที่คุณถ่ายคลิปผมกับคุณส่งไปให้คุณปานดาวไง เธอโกรธมาก บอกเลิกการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับผม คุณโนริลูกค้าญี่ปุ่นก็ทิ้งผมไปอีกคน ผมเสียหายแค่ไหนรู้ไหม”
ทั้งที่สะใจแต่แวนด้าทำเป็นรู้สึกผิด เสียใจ “แวนด้าขอโทษค่ะ แวนด้ากลัวว่านังนั่นมันจะแย่งพอลไปจากแวนด้า”
“คิดได้แค่นี้น่ะนะ”
“ก็แวนด้ารักพอลนี่คะ แวนด้าไม่ยอมเสียพอลไปให้ใคร”
“พอได้แล้ว ยิ่งพูดกับคุณ ผมยิ่งเสียอารมณ์ ไปให้พ้นไป”
“พอลไล่แวนด้าเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี ฟังไม่เข้าใจเหรอ”
แวนด้าอึ้งไป เจ็บจี้ดในใจขึ้นมา “พอลกำลังอารมณ์หงุดหงิดเรื่องงาน แวนด้าเข้าใจค่ะ ไว้ให้พอลใจเย็นก่อน แล้วเราค่อยคุยกันก็ได้ แวนด้าจะโทรมานะคะ รับสายด้วยละกัน”
ชยพลไม่ตอบ แวนด้าคุมแค้นรู้สึกโมโหเหมือนกัน แต่ไม่กล้าแสดงออก
แวนด้าเดินออกมาหน้าบริษัทบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ธุรกิจเสียหาย เชอะ รู้หรอกน่า กลัวจะเสียนังเด็กล้างจานนั่นต่างหาก” พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ต้องให้ด่ายังไง ถึงจะเลิกยุ่งกับผัวคนอื่น”
แวนด้ากดหาเบอร์โทรปานดาว แล้วกดโทร.ออกถือโทรศัพท์รอสาย
อีกฟากปานดาวนั่งพิงหัวเตียงน้ำตาไหลริน เหลียวมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ เมื่อเห็นเป็นแวนด้าจึงไม่รับสาย ปล่อยให้สั่นไปอย่างนั้น น้ำตาไหลเป็นสาย
ด้านแวนด้ารอจนสายตัดไป ออกอาการหงุดหงิด
“ฮึ่ย แกจะไม่ยอมเลิกยุ่งกับพอลจริงๆ ใช่ไหม”
แวนด้าโกรธจัด
มาลาเปิดประตูรั้วเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ขณะกำลังจะเดินเข้าตึกต้องชะงัก เมื่อมองไปที่พื้นหน้าประตู เห็นรองเท้าผู้หญิงวางอยู่มันไม่ใช่รองเท้าของเธอ มาลาแปลกใจ
เสียงหัวเราะของพันลือกับดาวรายที่ย้ายไปคุยข้างในดังออกมานอกบ้าน
“ฮ่าๆๆ พอพูดเรื่องผัวตัวเองนี่ พูดอะไรไม่ออกเลยนะ อึ้งไปเลยเหรอ”
มาลายิ่งแปลกใจ ค่อยๆ เดินเลาะไปตามสนามหญ้าริมหน้าต่างที่เปิดอยู่ มองผ่านหน้าต่างเข้าไปในบ้าน เห็นพันลือคุยอยู่กับดาวรายที่ห้องรับแขก
“อยู่กินกันมาจะสามสิบปีแล้ว ยังไม่รู้วิธีมัดใจผัวอีกเหรอ ถึงได้ปล่อยให้ผัวไม่อยู่ในโอวาทเนี่ย”
“ผัวฉันน่ะเขาไม่ไปมีอีหนูที่ไหนหรอก จะมีก็แต่กับเมียพี่นี่แหละ”
มาลาฟังอยู่ หน้าตึงไม่ชอบใจ
“ถ้าจะมาเอาเมียฉันเป็นอีหนู ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อนแหละ”
“ข้ามศพฉันด้วย”
“แกก็ต้องผูกใจผัวให้ได้ซีวะ”
“ก็เห็นว่าแก่ๆ กันแล้ว”
“แก่ๆ นี่แหละเว้ยตัวดี” พันลือนึกได้ถามไปว่า “ยังใช้ยาเสน่ห์ของอาจารย์อยู่หรือเปล่าล่ะ”
มาลาชะงักนิ่งไป
“ยาเสน่ห์อะไรล่ะ พอพี่แต่งกับมาลา ฉันก็เลิกใช้ นึกว่าไม่ต้องห่วงแล้ว”
“นั่นไง มิน่าถึงได้วอกแวกมายุ่งกับเมียกู ไปหาอาจารย์ขอยามาใหม่ไป”
“ตายไปหรือยังก็ไม่รู้”
“ยังอยู่ หรือจะต้องให้ฉันพาไปอีก ช่วยเหลือตัวเองบ้างซี คราวที่แล้วถ้าไม่เพราะอยากกันผัวแกให้ออกห่างจากมาลา ฉันไม่เสียเวลาพาไปหรอก”
“พอได้มาลาเป็นเมียแล้ว ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นเลยนะ”
“แกก็ได้ไอ้ป้องเป็นผัวเหมือนกัน ถ้าอยากเก็บมันไว้ ก็ต้องดิ้นรนเองบ้างซี”
มาลานิ่งอึ้งตะลึงตะไลไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“เออๆ ไปเองก็ได้ นี่ แต่ตอนนี้พี่ไปส่งฉันหน้าปากซอยหน่อยซี เมียพี่ยังไม่มาหรอก”
เห็นพันลือกับดาวรายเดินออกมาหน้าบ้าน มาลารีบหลบไปทางหลังบ้านไม่ให้ทั้งสองเห็น
มาลาคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน ที่แท้ปกป้องถูกดาวรายใช้ยาเสน่ห์ ทำให้เขาขอเลิกกับเธอ
มาลานึกทวนหวนย้อนไปถึงเรื่องในอดีต ปะติดปะต่อเรื่องราว เริ่มจากจู่ๆ ปกป้องบอกเลิก และบุกเข้ามาหาในห้องแต่งตัวเจ้าสาวที่โรงแรม ขอร้องไม่ให้แต่งงานกับพันลือ
เย็นลง มาลานั่งคิดสับสนอยู่ในห้องรับแขกอยู่อีกครู่หนึ่งพันลือจึงกลับเข้ามา และชะงักเมื่อเห็นมาลา
“กลับมาแล้วเหรอ พอดีพี่...เอ่อ ออกไปกดตังค์หน่อยน่ะ ไม่มีเงินสดเหลือติดบ้านเลย”
มาลาพูดน้ำเสียงเรียบ “มาลากลับมาตั้งแต่ดาวรายยังคุยอยู่กับพี่”
พันลืออึ้งไป คิดหำคำแก้ตัวเป็นที่วุ่นวาย
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ดาวรายมันบังเอิญผ่านมาแถวนี้น่ะ เลยแวะเข้ามาคุย”
“เรื่องนั้นมาลาไม่สนใจหรอก มาลาสนใจเรื่องที่พี่คุยกันมากกว่า” มาลาจ้องหน้าพันลือนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งจึงบอกไปว่า “เรื่องยาเสน่ห์”
พันลืออึ้งหนัก พูดอะไรไม่ออก
“มาลาคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วมาลาก็เข้าใจว่าทำไมพี่ป้องถึงเปลี่ยนไป”
พันลือใจหาย “มาลา”
ระหว่างนั้น ชยพลเดินเข้าบ้านมาพอดี ได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน จึงหยุดฟัง
“อยู่ดีๆ พี่ป้องก็บอกปฏิเสธมาลา ทั้งๆ ที่รู้ว่ามาลาท้องลูกของเขาอยู่ มาลาถูกรถชนจนแท้งลูก เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยม แต่กลับไปแต่งงานกับดาวรายแทน ทั้งหมดนี่เพราะพี่ พี่หายาเสน่ห์ให้ดาวราย เอาไปให้พี่ป้องกิน”
ชยพลอึ้งไปเมื่อได้ยินคำนั้น
มาลาจ้องหน้าพันลือแววตาแข็งกร้าว “ตอนนั้น พี่ทำลายชีวิตมาลาทั้งหมดเลยรู้ไหม” ความเสียใจถั่งโถมเข้าสู่จิตใจมาลาน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย
“มาลา พี่ขอโทษ พี่ทำไปเพราะรักมาลา”
“ทำแบบนั้นเขาเรียกว่ารักเหรอ พี่ทำเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง พี่เห็นแก่ตัว”
พันลือโต้ “ใช่ พี่อาจจะเห็นแก่ตัว แต่เชื่อพี่ซี มันไม่ได้รักมาลามากกว่าที่พี่รักหรอก”
“วัดด้วยอะไร พี่รู้ได้ยังไง”
“พี่รู้ซี เพราะขณะที่มันมีมาลา มันก็ยังไปสนใจดาวรายอีก พี่วัดด้วยใจของมัน”
มาลาย้อนแย้ง “แต่ไม่เคยวัดด้วยใจของมาลา ทำไมไม่ให้มาลาเป็นคนเลือกเอง”
พันลือโพล่งออกมาเสียงดังลั่น “เพราะพี่รู้ว่ามาลาจะไม่เลือกพี่”
ทั้งสองนิ่งอึ้งกันไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายมาลาลุกเดินหนีขึ้นไปบนบ้าน ส่วนพันลือฮึดฮัดเดินเข้าไปในครัว
ชยพลเดินเปิดประตูเข้ามาในบ้าน คิดถึงสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ตัดสินใจตามพ่อเข้าไปในครัว
พันลือยืนหันหลังให้กำลังรู้สึกแย่เอามากๆ ที่หลุดปากคุยเรื่องในอดีต จนทำให้ทะเลาะกับมาลา
ชยพลเดินเข้ามาใกล้ๆ ถามพ่อว่า “มันได้ผลจริงๆเหรอครับ”
พันลือหันมา ชะงักกับคำถามของลูกชาย
“ไอ้ยาเสน่ห์อะไรนั่นน่ะ”
พันลือถอนใจ “แกได้ยินด้วยเหรอ”
“พ่อทำแบบนั้นกับคนรักของแม่ได้ยังไง”
“เพราะฉันรักแม่แกไง ฉันเสียเขาไปให้คนอื่นไม่ได้”
“ความรักนี่มันมีผลรุนแรงมากเลยนะครับ”
“หมายความว่าไง” พันลืองงหนัก
“ผมก็แค่อยากให้พ่อได้เข้าใจความรักของผมกับพี่ชลด้วย เวลาเรารักใคร เราก็มีความรู้สึกรุนแรงแบบนั้น”
พันลือยัวะ “ไม่ต้องมาสอนฉัน”
“ผมไม่กล้าสอนหรอกครับ แล้วผมก็ไม่กล้าเกลียดพ่อ ในสิ่งที่พ่อทำด้วย เพราะถ้าไม่มีพ่อ มันก็คงไม่มีผมในวันนี้”
ชยพลเดินออกไปสองสามก้าวแล้วหยุดหันมาพูดดักคอ
“ว่าแต่ พ่อทำเรื่องผิดๆ อะไรไว้อีกไหมครับ ผมจะได้เตรียมใจไว้”
พันลือไม่ตอบ หันหน้าหนีหัวเสียโดนลูกย้อนแทงใจดำจังๆ
ชยพลเดินออกจากครัวไป
ดาวรายกลับเข้าบ้าน ได้ยินปกป้องกำลังใช้โทรศัพท์บ้านพูดสายกับใครบางคนอยู่
“แล้วพอรู้หรือยังครับว่ามันเป็นใคร...เหรอครับ...จะประมาณเมื่อไหร่ครับ อีกนานไหม...ผมเข้าใจครับ ยังไงต้องรบกวนสารวัตรด้วยนะครับ...ครับ ขอบคุณมากครับ”
รอจนปกป้องวางหูลงที่แป้นโทรศัพท์ ดาวรายจึงเดินเข้ามาหา
“พี่คุยกับใครเหรอ”
“ตำรวจน่ะ โทร.ไปถามเรื่องไอ้คนที่ทำร้ายลูกมาลัยเขาหน่อย ว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
ดาวรายชะงักนิดๆ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่”
“เกี่ยวซี”
“มันทำลูกมาลัย ไม่ใช่ลูกเราซักหน่อย”
ปกป้องอึกอักนิดๆ “ก็ที่ปัฐเข้าไปช่วยไงล่ะ ไอ้นั่นมันจำหน้าลูกเราได้แน่ ถ้าตำรวจจับมันไม่ได้ มันก็อาจจะย้อนมาทำร้ายลูกเราก็ได้”
“ทำไมมันต้องย้อนมาด้วย”
“มันก็ต้องคิดว่าลูกเราจำหน้ามันได้”
ดาวรายหลุดปากไปว่า “มันไม่มาหรอก”
“เธอรู้ได้ยังไง”
ดาวรายอึ้ง “ก็ ป่านนี้มันคงหนีเตลิดไปถึงไหนแล้ว จะกลับมาให้โดนจับทำไม”
“ตำรวจเขาบอกว่า คนร้ายมันน่าจะเป็นคนแถวนี้ มันหนีไปได้ไม่นานหรอก มันต้องย้อนกลับมาแน่ เขาขอเวลาแค่สองอาทิตย์ จะลากคอมันมาเข้าคุกให้ได้”
ดาวรายใจหล่นวูบ รู้สึกไม่ดี “สองอาทิตย์เหรอ”
“หรืออาจจะอาทิตย์เดียวด้วยซ้ำ” ปกป้องหัวเราะสะใจ
ดาวรายชักหงุดหงิด “พอแล้ว ไม่ต้องดีใจนักหรอก”
“อ้าว คนชั่วถูกจับเข้าคุก จะไม่ดีใจได้ไง เราเองก็มีลูกสาวตั้งสองคน ถ้ามันยังลอยนวลอยู่ มันก็อาจจะมาทำร้ายลูกเราก็ได้ เธอนี่แปลก ทำยังกับเป็นพวกเดียวกันมัน”
ปกป้องเดินหนีไป ดาวรายมองตามสีหน้าเครียดจัด
มาลานอนตะแคงอยู่บนเตียง พันลือเดินเข้ามาเห็นเมียนอนหันหลังให้ก็ชะงัก นิ่งไปรู้ว่ามาลายังคงโกรธเขาอยู่ พันลือเดินไปปิดไฟ เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมหัวเตียง
พันลือเดินมาที่ริมเตียงฝั่งตน หันไปมองมาลา คิดว่าจะพูดง้ออย่างไรดี
“มาลา” มาลาเงียบอยู่ “หลับหรือยัง พี่อยากคุยด้วย”
มาลาเงียบไม่ตอบอะไร
“มาลา พี่ขอโทษ พี่ผิดเอง คุยกันหน่อยเถอะ ไม่ชอบเลย เงียบแบบนี้”
มาลาก็ยังไม่ตอบ
ที่สุดพันลือก็ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหน้าไปทางมาลา มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปวางบนแขนของเมีย
มาลาใช้อีกมือปัดแขนพันลือออกทันที
พันลืออึ้งไป หันมานอนหงายเอามือก่ายหน้าผากกลุ้มหนัก
ด้านชยพลนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าเหม่อลอยคิดถึงสิ่งเกิดขึ้น ถูกมาลาเสี้ยมจนเกิดเป็นความแค้น และทำให้เขาถึงกับลงมือข่มเหงปานดาว ล่าสุดมารู้ความจริงตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันเมื่อหัวค่ำ
ชยพลรำพึงรำพัน
“ทั้งหมด พ่อเป็นคนเริ่ม แล้วนี่เราทำอะไรลงไป ป่าน ผมทำกับคนดีๆ อย่างคุณได้ยังไง”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของชยพลหมองเศร้า รู้สึกผิดเต็มหัวใจ
อ่านต่อตอนที่ 13