xs
xsm
sm
md
lg

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 13

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 13

เช้าวันนี้ ครูบานชื่นกับตาเช้าแวะมาเยี่ยมหลานๆ เดินเข้ามาในโถงบ้านปกป้อง ตาเช้าหิ้วกระสอบใส่มะม่วงดิบใบโตติดมือมาด้วย

“เฮ้ย ไปอยู่ไหนกันหมดวะ”
ปานวาดกับปัฐวีได้ยินเสียง เดินออกมารับ สองคนไหว้ย่ากับปู่
“สวัสดีค่ะย่า ปู่”
“สวัสดีครับ ไปไหนกันมาครับเนี่ย”
“ปู่เขาคิดถึง ผลไม้ออกเลยเอามาฝากด้วย” บานชื่นบอก
ปัฐวีรีบมารับกระสอบผลไม้จากปู่ ยิ้มขำๆ “โอ้โห เยอะเลย”
“กิจการเป็นยังไงบ้างล่ะ” เช้าถามถึงโฮมสเตย์
“ก็พอได้ครับ ช่วงนี้ผลไม้ออกเยอะ คงจะได้แขกเพิ่มอีก”
“เออดีแล้วลูก ต้องขยันทำมาหากินแบบนี้แหละ จะได้เจริญๆ” บานชื่นยิ้มแย้มชื่นใจ
“เชื้อปู่มันแรง” ปานวาดกับปัฐวียิ้ม “แล้วนี่พ่อกับแม่ไม่อยู่เหรอ”
“ไม่อยู่ค่ะ พ่อกับแม่ออกไปธุระข้างนอก”
“สบายดีกันอยู่ใช่ไหม พ่อแม่เราน่ะ” เช้าถาม
“ค่ะ สบายดี”
“กายสบาย แต่ใจน่าจะไม่” ปัฐวีบอก
“ยังไงกันลูก มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ”
บานชื่นมองหน้าเช้า นึกสงสัยคำพูดหลานชาย

ตาเช้ากับบานชื่นนั่งลงดื่มน้ำฟังเรื่องราวจากหลานทั้งสองจบแล้ว หญิงชายชรามีท่าทีผ่อนคลายไม่คิดแค้นใดๆ แล้ว
“ความแค้น ของ 2 บ้านน่ะ ปู่กับย่าลืมมันไปหมดแล้ว”
“ตอนนี้เราก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับพวกเขา ต่างคนต่างอยู่”
“จะว่าไปตอนนั้น ปู่กับย่าก็ กำลังเสียใจ เรื่องลุงปองพลจมน้ำตาย มาคิดๆ ดูมันก็ไม่ใช่ความผิดของคนบ้านนั้น ปู่กับย่าก็เลยเลิกคิดแค้น”
“เรื่องมันผ่านมา 20 กว่า ปีแล้ว จำไปก็รกสมองเปล่าๆ” เช้าว่า
“แล้วทำไมพ่อกับแม่ ยังแค้นคนบ้านนั้นอยู่ล่ะครับ ไม่ให้พวกเราคบหากับคนบ้านนั้นเพราะความแค้นในอดีต”
บานชื่นกับตาเช้ามองหน้ากัน
บานชื่นแปลกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ไปๆ มาๆ พ่อกับแม่คิดไปเองเหรอ ทำเอาทุกคนวุ่นวายกันไปหมดเลย” ปานวาดบ่น
ปัฐวีกับปานวาดหันมายิ้มให้กัน ปัฐวีนึกขึ้นได้รีบพูด
“ปู่กับย่า ช่วยบอกพ่อกับแม่ด้วยนะครับ ว่าไม่ได้ถือโทษโกรธบ้านตาเทศกับยายบัวผันแล้ว”
“จ้ะ เดี๋ยวย่าจะบอกให้” บานชื่นยิ้มให้หลาน
เช้าเสริมว่า “ไม่ต้องห่วง ปู่กับย่าจัดให้ จะจัดให้หนักๆ เลย มาอ้างปู่กับย่า”

ฝ่ายชยพลยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่หน้าบ้าน
“โทร.มาทำไม”
แวนด้าโทร.มาจากคอนโด ทั้งสองคนคุยสายกัน
“ก็พอลไม่โทร.หาแวนด้าเลย”
“ทำไมผมไม่โทรหาคุณรู้ไหม ก็เพราะคุณไงที่เป็นต้นเหตุ”
ระหว่างนี้ ชลกรกำลังเดินออกมาที่ประตู หยุดฟังเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของชยพล
“ผมต้องเสียเวลาไปเจรจากับลูกค้าผมใหม่ เพราะสิ่งที่คุณทำ มันทำลายชื่อเสียงผมหมด ตอนนี้ผมไม่มีเวลาทำอะไรทั้งนั้น ต้องวิ่งวุ่นเคลียร์ตัวเอง แล้วคุณยังมีหน้ามาบอกว่า เพราะผมไม่โทร.หาคุณอีกเหรอแวนด้า”
“แวนด้าขอโทษนะคะ”
“ขอโทษมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย”
“แล้วจะให้แวนด้าทำยังไง พอลถึงจะหายโกรธแวนด้า”
“ลองไม่มายุ่งกับผมซักพักดีไหม”
“ซักพักนี่ นานแค่ไหนคะ”
“ซักสองปีเป็นไง”
“โอ๋ย นานขนาดนั้นแวนด้าทนไหม่ไหวหรอกค่ะ เปลี่ยนเป็นสองอาทิตย์ได้ไหมคะพอล นะ อย่าโกรธแวนด้าเลย”
“จะกี่อาทิตย์ก็ตามใจคุณละกัน แต่ถ้าโทร.มาแล้วเจอผมกำลังหงุดหงิดแบบนี้ ก็อย่าบ่นละกัน”
ชยพลกดวางสาย แล้วเดินเข้าบ้านไป

ชยพลเดินเข้ามาในบ้าน ชะงักเมื่อเจอชลกร แล้วเดินหนีไป
“พล” ชยพลหยุด “คุยกันหน่อยซี”
“มีเรื่องอะไรพี่ชล”
“นายกับแวนด้านี่ ตกลงยังไงกันแน่”
“ก็ไม่ยังไง ผมคิดว่าผมกับเขาคงไปไม่รอด”ฃ
“เรื่องนี้แกบอกฉันตั้งแต่ไปจัดงานสัมมนาที่โฮมสเตย์แล้วน่ะ” ชยพลอึ้งไป นึกขึ้นได้ว่าเคยโกหกชลกร ที่โฮมสเตย์ ว่าห่างกับแวนด้าแล้ว “แต่ที่ฉันได้ยินเมื่อกี้มันเหมือนกับว่าแกกับแวนด้ายังคบหากันอยู่นะ นี่หรือเปล่าที่ทำให้แกไปมีปัญหากับน้องป่าน”
ชยพลอึ้งไป “ยังไง”
“นายไปทำอะไรน้องป่านล่ะ ปอเขาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว”
“พี่รู้เรื่องอะไรมา คุณปอเขาบอกอะไรพี่บ้าง”
“ก็ฉันกำลังถามนายอยู่นี่ไง ปอเขาบอกเห็นนายออกมาจากโฮมสเตย์ แล้วเข้าไปก็เจอน้องป่านท่าทางผิดปกติ แล้วจากนั้นก็ซึมมาตลอด สองวันแล้วเนี่ย”
ชยพลโล่งอกที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องลึกซึ้งของเขากับปานดาว
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เราทะเลาะกันน่ะ พี่ก็รู้ คนเราคิดไม่เหมือนกัน มันก็ต้องมีวันทะเลาะกันจนได้”
“โดยเฉพาะเมื่อนายมีแวนด้าเป็นตัวเป็นตนอยู่”
“ก็...ด้วย”
“ฉันว่านายรีบตัดสินใจให้แน่ดีกว่า จะเลือกใคร ถ้ารักน้องป่าน ก็ต้องบอกเลิกแวนด้าให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าจะเลือกแวนด้าก็บอกมา ฉันจะได้ไปบอกน้องป่านเขา”
“มันง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะซี”
“แต่มันก็ไม่ได้ยากหรอก เพียงแค่ถามใจตัวเองว่านายขาดใครไม่ได้ คนนั้นแหละคือคนที่นายรัก”
ชยพลนิ่งงันไป
“แต่ก็อย่าให้นานนัก ฉันให้คำแนะนำได้แค่ว่า ถ้านายทะเลาะกับผู้หญิง แล้วเขามีอาการซึมหนักอย่างที่น้องป่านเป็น แสดงว่าเขามีใจให้นาย”
ชยพลมองพี่ชาย ชลกรตบบ่าน้องเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ชยพลคิดหนัก

ปานดาวท่าทางยังซึมๆ อยู่ ตรวจดูแฟ้มปฏิบัติงานของพนักงานอยู่ในล็อบบี้ มีพนักงานของโฮมสเตย์ยืนอยู่ด้วย
ปานดาวออกอาการหงุดหงิด “นี่อะไรเนี่ย เมื่อวานไม่เห็นตรวจเช็คห้องเลย”
“มันไม่มีแขกเข้าพักน่ะค่ะ” พนักงาน 1 บอก
“ไม่มีแขกก็ต้องตรวจเช็คทุกวัน เผื่อมีแขกเข้ามาฉุกเฉินเราจะได้พร้อม” ปานดาวพลิกดูรายการต่อไป “แล้วอาหารสดพวกนี้ล่ะ ดูบ้างหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“ช่วยหน่อยซิคะ ช่วงแขกไม่เข้าเนี่ย อันไหนเสียก็ทิ้งไป ถ้ายังไม่เสียแต่เก่า ก็ ให้พี่ปอเอาไปขายลดราคาถูกๆ ให้พวกกลุ่มแม่บ้าน”
พนักงาน1แย้งว่า “คุณปอไม่ค่อยอยู่เลยค่ะ”
“คุณก็โทร.ไปถามที่ร้านกลุ่มแม่บ้านเองเลย พวกน้าๆ เขารออยู่แล้วล่ะ ให้เขามาเอาที่นี่เลย”
“ได้ค่ะ”
“ไหนดูซิ มีอะไรยังไม่ได้ทำอีก”

ระหว่างนั้น ชยพลเข้ามาตามทางเดินในโฮมสเตย์ เมื่อเห็นปานดาวก็หยุดดู เห็นปานดาวท่าทางยุ่งๆ และออกอาการหงุดหงิด พูดสั่งงานกับพนักงานอยู่ ปานดาวแกะเอกสารหลายรายการออกมาจากแฟ้ม แล้วส่งให้พนักงาน พนักงานมองมาเห็นชยพลยืนอยู่ เลยพยักพเยิดให้ปานดาวดู ปานดาวมองตามพอเห็นชยพลก็ชะงักนิดๆ สั่งพนักงาน
“ไปจัดการพวกนั้นก่อน แล้วตามชบามา”
พนักงานรับเอาคำ ถือเอกสารเดินออกไป ชยพลเดินเข้ามาหา
“สวัสดีครับ”
ปานดาวพูดโดยไม่หันมาหา เปิดดูรายการในแฟ้มไปเรื่อยๆ “มาทำอะไร”
“อยากเจอคุณ”
“แต่ฉันไม่อยาก”
“แค่อยากคุยด้วย ใช้เวลาไม่นานหรอก”
“ฉันงานยุ่ง ไม่มีเวลาให้เรื่องไร้สาระ”
“ผมเป็นเรื่องไร้สาระของคุณซีนะ” ชยพลตัดพ้อ
พนักงาน 2 เดินเข้ามา ปานดาวพูดกับพนักงานโดยไม่สนใจชยพล
“พี่พงษ์มาดูต้นไม้ให้หรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“เขาต้องมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ โทร.ตามหน่อย จริงๆ ต้องโทร.หาเขาล่วงหน้า”
“ปกติคุณปัฐเป็นคนตามน่ะค่ะ”
“พี่ปัฐไม่อยู่ เราก็ต้องช่วยกันทำซิ”
พนักงาน 2 รับเอาคำ แล้วเดินออกไป
ชยพลเรียกขึ้นอีก “คุณป่าน”
ปานดาวหันมามองหน้า ชยพลนึกว่าจะได้คุย
“พูดไม่เข้าใจเหรอ ฉันบอกกำลังยุ่ง ไม่มีเวลาจะคุย”
ชยพลอึ้งๆ
“โอเค งั้นผมไม่กวนคุณแล้ว จะมาอีกทีตอนคุณไม่ยุ่งละกัน”
ชยพลเดินออกไป

ปานดาวหันกลับ เพียงครู่เดียวน้ำตาก็ไหลรินออกมาเป็นสาย ในใจนั้นรักชยพลไปแล้วเต็มหัวใจ

อ่านต่อหน้า 2

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 13 (ต่อ)

ฝ่ายปัฐวีขับรถเข้ามาจอดใกล้ประตูรั้วบ้านมาลัย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มท่าทีมีความสุข หยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์โทร.หาดุจเดือน ถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง

“ดุจ นี่ผมเองนะ อยู่ในบ้านใช่ไหม ออกมาหน่อยได้ไหม ผมรออยู่หน้าบ้าน...ผมมีข่าวดีมาบอก ได้ ผมจะรอนะ”
ปัฐวีกดวางสาย เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วรอครู่หนึ่งประตูรั้วบ้านเปิดออก ดุจเดือนโผล่หน้าออกมา มองหากวักมือเรียก ปัฐวีลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปหา
“มาคุยข้างใน แม่ไม่อยู่ออกไปข้างนอก”
ปัฐวีตามเข้าไปในบ้าน

ดุจเดือนยังมีรอยช้ำนิดๆ ลงนั่งกับปัฐวีนั่งลงที่โต๊ะสนามในบริเวณบ้าน ปัฐวีได้เล่าเรื่องที่เช้ากับบานชื่นบอกให้ดุจเดือนฟังแล้ว
ดุจเดือนพลอยดีใจไปด้วย “ปู่กับย่าปัฐลืมเรื่องเก่าๆ ไปหมดแล้วเหรอ”
“ใช่ ท่านบอกกับผมเอง”
“เป็นข่าวดีจริงๆ ด้วย”
“ปู่กับย่ารับปากจะคุยกับพ่อแม่ผมให้”
“ดีใจจังเลยปัฐ” ดุจเดือนเอื้อมมือมากุมมือปัฐวี อีกฝ่ายยิ้มกุมมือตอบ
“ถ้าทางพ่อผมโอเคแล้ว ผมจะขอให้ท่านมาคุยกับบ้านดุจด้วย รวมถึงตากับยายดุจด้วย ปัญหาของเราคงจะจบเร็วๆ นี้แหละดุจ”
“ไม่อยากเชื่อเลย”
ปัฐวีเอื้อมมือไปโอบบ่าดุจเดือนให้มาพิงไหล่ตน “ผมบอกแล้วไง เราต้องมีความหวังไว้ จากนี้ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
ดุจเดือนยิ้ม สองคนต่างก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น

เช้ากับบานชื่น นั่งกินผลไม้กันอยู่ในโถงรับแขก ปกป้องเดินเข้ามาจากหน้าบ้าน เจอพ่อกับแม่ก็ไหว้ทักด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อ้าว สวัสดีครับ พ่อกับแม่มาทำอะไรครับเนี่ย”
“เอาผลไม้จากสวนมาฝาก” บานชื่นบอก
ปกป้องลงนั่งคุยด้วย
“ขอบคุณมากนะครับ จริงๆ พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากมาเองก็ได้ โทรมาเดี๋ยวผมแวะไปรับเองก็ได้ พ่อกับแม่สบายดีนะ”
“สบายดี จริงๆ ตั้งใจจะกลับแล้วล่ะ แต่พ่อเขาไม่สบายใจ เลยอยากรอคุยกับลูกให้รู้เรื่อง” บานชื่นว่า
ปกป้องหันมาทางเช้า “ไม่สบายใจเรื่องอะไรพ่อ”
“ก็เรื่องที่แกบอกกับลูกว่า ฉันกับแม่แกเกลียดคนบ้านนังบัวผันกับตาเทศ แล้วสั่งให้ลูกเกลียดพวกเขาไปด้วยไง แกพูดแบบนั้นพวกฉันเสียหายนะ” เช้าตำหนิลูกชาย
บานชื่นผสมโรงว่า “ใช่ เรื่องมันตั้งกี่สิบปีแล้ว เราลืมกันไปหมดแล้ว มายัดเยียดบาปกรรมให้พ่อกับแม่ทำไม”
ปกป้องอึดอัด รู้สึกผิดด้วย “คืองี้ครับพ่อ แม่ ลูกๆ ผมมันมีปัญหาน่ะครับ เจ้าปัฐไปชอบลูกสาวมาลัย ส่วนลูกสาวผมสองคน ก็ถูกลูกชายมาลาตามจีบ”
“แล้วมันมีปัญหาอะไร” เช้างง
“แหม ก็พวกเขายังเด็ก”
บานชื่นสวนขึ้นว่า “เด็กกับผีน่ะซี มันเรียนจบทำงานทำการกันหมดแล้ว ควรแต่งงาน ออกบ้านออกเรือนกันได้แล้ว”
“ใจคอแกจะไม่ให้ฉันกับแม่บานชื่นได้อุ้มหลานปู่หลานย่าเลยหรือไง จะรอให้แก่ตายกันก่อนงั้นเหรอ” เช้าบอก
“ไม่ใช่ยังงั้นครับพ่อ”
“แม่รู้เรื่องจากเจ้าปัฐ ยัยปอ ยังนึกดีใจด้วยซ้ำ ถ้าหลานสองบ้านเป็นทองแผ่นเดียวกัน ปัญหาเรื่องที่เคยโกรธเคืองกันมันจะได้จบๆ คิดแล้วยังรู้สึกผิดอยู่ ที่ไปโทษว่าพวกเขาทำให้พี่ชายแกจมน้ำตาย”
“เลิกขัดขวางเด็กๆ มันได้แล้ว แล้วไม่ต้องโยนบาปมาให้เราด้วย” เช้าบอกเชิงสั่ง
“แต่ว่า...”
บานชื่นจ้องหน้าลูก “ทำไม ยังมีปัญหาอะไรอีก”
ปกป้องอึดอัด ไม่รู้จะพูดยังไง
“แหม แต่ก่อนเห็นแกอยากแต่งกับมาลาลูกสาวเขานักนี่ ตัวเองไม่ได้แต่ง ให้ลูกมันไปเป็นดองแทนซะ จริงๆแกควรจะดีใจด้วยซ้ำ” เช้าว่า
ปกป้องได้แต่พยักหน้ารับ ไม่รู้จะบอกพ่อกับแม่ยังไง

ชยพลกลับจากทำงานถึงบ้านตอนค่ำ พอเดินเข้ามาในบ้านเห็นมาลานั่งอยู่ที่โซฟา ในมือมีงานผ้ากำลังปักอยู่ แต่สายตากลับมองเหม่อคิดอะไรไป ชยพลเดินมาหา
“แม่ครับ”
มาลาเหลียวมาหามองหน้าชยพล
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
ชยพลพยักหน้า “ครับแม่ กินข้าวหรือยังครับ”
“กับข้าวอยู่บนโต๊ะน่ะ พลไปกินซี”
“แล้วแม่ล่ะครับ”
“แม่ยังไม่หิว”
ชยพลพ่อล่ะครับ กินหรือยัง
“แม่ไม่รู้ เขาไม่อยู่”
มาลาลุกเดินขึ้นบันไดไปเลย
ชยพลมองตามไป รู้สึกเป็นห่วงแม่ แม้จะติดนิสัยและสนิทกับพ่อมากกว่าก็ตามที

ชลกรนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในห้องนอน หันขวับมาทางน้องชาย
“พ่อทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
ชลกรอยู่กับชยพลในห้องนอนชลกร
“เมื่อวานเย็น ผมได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องยาเสน่ห์ ว่าจะเล่าให้พี่ฟังเมื่อเช้า ก็พอดีมีเรื่องป่านกับแวนด้าเข้ามา” ชยพลมองหน้าชลกร
ชลกรคิดตาม “พ่อใช้ยาเสน่ห์กับแม่ ไม่อยากเชื่อเลย แล้วมันได้ผลจริงๆ เหรอ”
“คงได้มั้ง ไม่งั้นพ่อก็คงไม่ได้แต่งกับแม่”
ชลกรนิ่งไป คิดเป็นห่วงความรู้สึกแม่
“ที่ผมโมโหคืออะไรรู้ไหม ตลอดเวลาพ่อไปด่าว่าฝ่ายโน้นว่าสร้างปัญหา บังคับให้เราต้องโกรธต้องเกลียดพวกเขา แต่ไปๆ มาๆ ต้นเหตุมันเกิดจากตัวพ่อเองต่างหาก พ่อเราน่ะเป็นคนสร้างปัญหา”
ชลกรพยักหน้าเห็นด้วย “ธรรมชาติของคน ไม่มีใครอยากคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดหรอก เออ แล้วแม่เป็นไงบ้าง”
“แม่ก็คงโกรธพ่อมาก ไม่เคยเห็นแม่แสดงอารมณ์มากขนาดนั้น วันนี้แม่ก็ดูเงียบๆ ไม่ยอมกินข้าว พอผมกลับมาบ้านถามถึงพ่อ ก็ขึ้นห้องไปเลย นี่พ่อก็ยังไม่กลับมา”
“ถ้าเรารักใคร แล้วอยู่ดีๆ มีคนทำให้คนนั้นทิ้งเรา เราก็คงไม่ชอบหรอก”
ชลกรยิ่งคิดเป็นห่วงแม่

เช้าวันใหม่ มาลานั่งเหม่อคิดอะไรอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน ไม่นานนักชลกรจึงเดินเข้ามานั่งคุยด้วย
“พลบอกพ่อกับแม่ทะเลาะกัน”
มาลาหันมามองลูกนิ่งไป “เขาได้ยินเหรอ แล้วเขาบอกหรือเปล่า ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร”
ชลกรพยักหน้ารับ “เรื่องยาเสน่ห์”
มาลาถอนใจ รู้สึกแย่ “พ่อของลูก เขาหายาเสน่ห์ให้ดาวราย เอาไปใช้กับลุงปกป้อง ทำให้ลุงปกป้องไปลุ่มหลงดาวราย แล้วบอกเลิกกับแม่”
“ตอนนั้นแม่คงรู้สึกแย่มาก”
“แม่แทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยล่ะ บางทีก็เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ควรจะทำยังไง ควรจะคิดยังไง”
“เขาเรียก สูญเสียบุคลิกภาพ มันเกิดขึ้นเวลาเราเสียใจอย่างรุนแรง”
“เหรอ สูญเสียบุคลิกภาพ ตอนนั้นแม่คงเป็นอย่างนั้น โชคดีที่แม่มีตากับยายและน้าๆ ของลูก คอยให้กำลังใจ ถึงผ่านวันนั้นมาได้”
“แต่พอรู้เรื่องที่พ่อทำ แม่ก็เลยย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องวันนั้นอีก”
“ใช่ ถ้าพ่อลูกไม่ทำอย่างนั้น แม่ก็คงแต่งงานกับลุงปกป้องไปแล้ว ชีวิตคงแตกต่างจากที่เป็นอยู่วันนี้”
ชลกรอึ้งอดถามไม่ได้ว่า “มันจะดีกว่าวันนี้เหรอครับ”
มาลานิ่งไป น้ำตาเริ่มไหลออกมา “อย่างน้อย แม่ก็จะได้ใช้ชีวิตกับคนที่แม่รัก”
ชลกรตกใจที่ได้ยินคำนี้
“วันนี้แม่ยังรักเขาอยู่เหรอครับ” มาลานิ่งไปไม่ได้ตอบ ชลกรจึงถามต่อว่า “แล้ว พ่อล่ะครับ”
มาลาน้ำตาไหลอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วได้สติ รีบเช็ดน้ำตา
“ลูกว่า แม่ควรจะเกลียดพ่อไหม ที่ทำกับแม่แบบนี้”
ชลกรนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกัน “ผมตอบไม่ได้หรอกครับ ยังไงพ่อก็คือพ่อ ปกติ ผมเองจะเป็นคนทำอะไรตามที่ใจคิด ตามที่ใจอยากทำ แต่ผมก็รู้ว่า กับบางเรื่อง เราก็ควรทำโดยใช้เหตุผล”
มาลานิ่งงันไป ชลการกอดเอวมาลา แล้วซบหัวอิงลงที่ไหล่ของแม่
“แต่ผมบอกแม่ไว้ตรงนี้เลย ไม่ว่าแม่จะทำอะไร ผมก็จะอยู่ข้างแม่”
มาลาเอามือลูบหัวชลกรเบาๆ ยิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบใจมากลูก”
ชลกรสวมกอดแม่ของเขาอยู่อย่างนั้น

พันลือยืนอยู่ในบ้านมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นชลกรกับมาลานั่งกอดกันอยู่ พอจะรู้ว่าลูกชายกำลังปลอบแม่ อดนึกขัดใจไม่ได้ สายตาพันลือมองไปที่โซฟารับแขก เห็นกระเป๋าเป้ของชลกรวางอยู่ มีนิตยสารท่องเที่ยวที่ชลกรทำแลบออกมาจากกระเป๋า หน้าปกเป็นรูปปานวาด
พันลือเดินมาหยิบนิตยสารออกมาดู แล้วนิ่งไปเมื่อพบว่าหน้าปกนิตยสารเป็นปานวาดจริงๆ พันลือเปิดหนังสือพลิกดูเร็วๆ ข้างในยังมีรูปปานวาดอีกหลายหน้า พันลือหน้าตึง ไม่พอใจมาก
ไม่นานต่อมาชลกรก็กลับเข้ามาในบ้าน หันมามองพ่อ สองพ่อลูกมองจ้องตากันแว่บหนึ่ง จากนั้นชลกรจึงเดินขึ้นบันไดไป

ชลกรง่วนอยู่บนโต๊ะในห้องนอน ปิดโน้ตบุ้คจะเก็บใส่กระเป๋า แต่มองหากระเป๋าเป้ของตัวเองไม่เจอ
“เป้หายไปไหนนะ”
พันลือเปิดประตูห้องเข้ามา มือถือของซ่อนของไว้ข้างหลัง ข้างหนึ่งถือกระเป๋าเป้ของชลกร อีกข้างถือนิตยสารท่องเที่ยว ชลกรหันมาเห็นเป้
“อ้ออยู่นั่นเอง พ่อเจอที่ไหนครับ กำลังหาอยู่เลย”
ชลกรดึงกระเป๋าจากมือพ่อ
“ขอบคุณครับ ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย”
พันลือโยนนิตยสารลงบนโต๊ะทำงาน
“แล้วไม่ลืมนี่เหรอ”
ชลกรอึ้งไปนิด แล้วหยิบนิตยสารขึ้นมาเก็บลงในกระเป๋าเป้
“ทำไมในนั้นมันมีแต่รูปปานวาด”
“เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของนิตยสารครับ”
“แล้วมันก็พิมพ์ไว้ว่า แกเป็นคนถ่ายภาพ”
“ครับ ก็มันงานของผม”
“มันไม่ใช่แค่งานหรอก ไหนแกบอกฉันว่าแกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปานวาดแล้ว แล้วนี่มันอะไร” พันลือชี้ไปที่หนังสือ “แสดงว่า แกยังคบหากันอยู่ แกโกหกฉันใช่ไหม
“ใช่ครับ ผมโกหกพ่อ ก็เหมือนกับที่พ่อโกหกแม่ไงล่ะครับ”
“มันไม่เกี่ยวกัน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวกันครับ พ่อกีดกันผมกับปานวาด อ้างว่าครอบครัวฝ่ายนั้นเป็นคนไม่ดี แต่จริงๆ แล้ว ปัญหามันเกิดจากตัวพ่อเองต่างหาก”
พันลือโกรธจัด “หยุดนะ”
“ความรักมันเป็นสิ่งสวยงามไม่ใช่เหรอครับ พ่อยังยอมทำสิ่งผิดๆเพื่อให้ได้แม่มาเลย ทำไมถึงต้องกีดกันผมกับปานวาดด้วยครับ”
“แกสองคนรักกันไม่ได้” พันลือเสียงดังมากขึ้น
“ผมไม่สนหรอกครับ ว่าพ่อจะสั่งยังไง ผมรักปอ แล้วก็จะรักตลอดไป พ่อต่างหากควรจะเลิกยุ่งกับผม แล้วหันไปแก้ปัญหาของพ่อเองดีกว่า รู้ไหมครับ ว่าพ่อทำให้แม่ต้องเจ็บปวดแค่ไหน รีบไปขอให้แม่ยกโทษให้ดีกว่าครับ ผมรู้สึกเหมือนว่า แม่กำลังจะกลับไปหาแฟนเก่าเขาแล้ว”
พันลือทนไม่ไหวชกเปรี้ยงเข้าที่หน้าชลกรเต็มหมัด ร่างชลกรเซถลาล้มลงกับพื้น
พันลือยืนคุมแค้นกำหมัดแน่นด้วยความโกรธอยู่อย่างนั้น

มาลาเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกตกใจ เดินตรงมาที่บันไดมองขึ้นไปชั้นบน เห็นพันลือเดินหงุดหงิดลงบันไดมา
“มีอะไรเหรอ เสียงเอะอะตึงตัง”
“พี่สั่งสอนเจ้าชลที่มันปากเสีย”
“ปากเสียเรื่องอะไร”
พันลือไม่ตอบมองหน้ามาลาแว่บเดียว แล้วเดินออกจากบ้านไปเลย มาลารีบขึ้นบันไดไปดูลูก

ชลกรนั่งซึมอยู่ที่พื้นห้องหลังพิงผนัง มุมปากแตกมีรอยเลือดซึมออกมาเพราะถูกพันลือชก มาลาเข้ามาในห้อง เห็นสภาพลูกก็ตกใจรีบเข้าไปดูอาการ
“เป็นไงบ้างชล”
“ไม่เป็นไรครับ”
มาลาจับดูปากชลกร
“ดูซิพ่อชกลูกซะปากแตกเลย เจ็บมากมั้ยชล”
“นิดเดียวเองแม่ เด็กๆ ถูกตีหนักกว่านี้”
ชลกรลุกขึ้น มาลาช่วยพยุงดึงตัวลูกขึ้นมาด้วย พาชลกรไปนั่งที่เก้าอี้
“แล้วไปทำอะไรท่าไหน พ่อเขาถึงรุนแรงกับเราแบบนี้”
“ก็เรื่องเก่าๆ นั่นแหละครับ พ่อเขาบอกให้ผมเลิกยุ่งกับปอ ผมเลยถามว่า ปัญหาเกิดจากพ่อ ทำไมถึงต้องมาลงที่ผม”
“แค่นั้นเหรอ”
ชลกรชะงักนิดๆ “แล้วผมก็บอกว่า พ่อควรจะแก้ปัญหาของพ่อเองให้ได้ ก่อนที่...”
เห็นชลกรนิ่งไปมาลาจึงซัก “ก่อนที่อะไร”
“ก่อนที่แม่จะกลับไปหาแฟนเก่า”
มาลาอึ้งไป ต่อว่าเสียงขุ่น “พูดแบบนั้นได้ยังไงชล”
“ก็แม่พูดเอง”
“แม่พูดอะไร”
“แม่พูดเหมือน...ยังมีใจให้ลุงปกป้อง”
มาลานิ่งงันไป “ไม่ต้องมารู้ใจแม่ขนาดนั้นหรอก มิน่าล่ะพ่อถึงโกรธขนาดลงไม้ลงมือ”
มาลารู้ซึ้งว่าพันลือรักตัวเองมาก จึงพอจะทำใจอภัยเรื่องยาเสน่ห์ได้บ้างแล้ว
“ผมรู้ว่าพ่อรักแม่มาก แต่เมื่อได้แม่มาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกลียดลูกของลุงปกป้อง”
“แต่ก่อนชลไม่เคยเถียงพ่อ เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น ทำให้ชลกล้าเถียงพ่อ แม่อยากรู้จริงๆ เขามีอะไรดีนักหนา ถึงเปลี่ยนลูกชายแม่ได้”
“ถ้าแม่ได้รู้จักปอ แม่จะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงที่อะเมซิ่งมากๆ” ชลกรยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงปานวาด
“งั้นก็...พามาให้แม่รู้จักซี”
มาลายิ้มตอบเริ่มเปิดใจมากขึ้น หลังจากรู้ว่าปกป้องทิ้งตนไปเพราะยาเสน่ห์ ทำให้ความโกรธแค้นบ้านนั้นลดลงไปทันที

ชยพลอยู่ในห้องทำงานที่โรงงาน แต่ดูออกว่าไม่มีสมาธิกับการทำงานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาปานดาว
อีกฟาก ปานดาวอยู่ที่บ้าน มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากกระเป๋าถือ ปานดาวเดินมาหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อ “ชยพล” โทร.มา
ฝ่ายชยพลยังคงถือโทรศัพท์รอสาย สุดท้ายปานดาวตัดสินใจกดตัดสายทิ้ง
ชยพลอึ้งไปที่ถูกตัดสาย วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง
ปานดาว เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ปานวาดเดินเข้ามา
“ใครโทร.มาเหรอ”
“ต่อผิดน่ะพี่” ปานดาวหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ยังไม่ทันรับ รู้แล้วเหรอ”
ปานดาวชะงักไปนิดๆ “เบอร์นี้ไม่คุ้น”
“อาจจะเป็นลูกค้าก็ได้”
“ไม่หรอกพี่ เบอร์ป่านไม่เคยให้ลูกค้า เอ่อ เดี๋ยวป่านไปที่โฮมสเตย์ก่อนนะ”
ปานดาวเดินออกจากบ้าน ขับรถออกไปเลย

ฟากมาลัยกับดุจเดือนนั่งทานอาหารมื้อค่ำอยู่ในห้องอาหารที่บ้าน ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์มือถือของดุจเดือนดังขึ้น มาลัยจับสังเกตท่าทีลูก ดุจเดือนหยิบโทรศัพท์มาดู บอกมาลัยว่า
“กองถ่ายน่ะค่ะ”
มาลัยมีท่าทีผ่อนคลายลง
ดุจเดือนกดรับ พูดสาย
“ดุจพูดค่ะ...อ๋อ พี่เหรอคะ...ก็ยังเจ็บอยู่น่ะค่ะ หน้าก็ยังบวมช้ำอยู่...” ดุจเดือนยิ้มกว้างดีใจ “จริงเหรอคะ ดีใจด้วยค่ะ...งานมะรืนนี้เหรอคะ อยากไปนะคะ แต่ร่างกายคงไม่อำนวยเท่าไหร่ ถ้าได้ก็ฝากผู้กำกับรับแทนก็แล้วกันนะคะ...ค่ะ น่าเสียดาย ขอบคุณนะคะที่โทร.มาตาม...ค่ะ อาทิตย์หน้าก็กลับไปทำงานได้แล้วค่ะขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ”
รอจนดุจเดือนกดวางสายมาลัยจึงถาม
“ดีใจกับเขาเรื่องอะไรเหรอ”
“ละครที่ดุจดูแล ได้เข้าชิงเครื่องแต่งกายดีเด่น เขาจะประกาศรางวัลพรุ่งนี้”
“ลูกได้รางวัลเหรอ”
“แค่เข้าชิงน่ะค่ะ ยังไม่รู้จะได้รางวัลหรือเปล่า”
“แค่นี้ก็เก่งมากแล้วล่ะลูก ดีใจด้วยนะ”
“แต่คงต้องดูถ่ายทอดพิธีมอบรางวัลอยู่ที่บ้าน”
“ดีแล้วล่ะ สภาพแบบนี้จะไปได้ยังไง คิดดูซี เกิดได้รางวัลแล้วต้องขึ้นไปบนเวที กล้องทุกตัวจับอยู่ที่ลูก แล้วภาพของลูกก็ถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศ”
“แม่คะ มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น เพราะดุจไม่ไปแน่ๆ”
ดุจเดือนกินอาหารต่อไป ลึกๆ แล้วรู้สึกเสียใจ ที่ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงาน แต่แทนที่จะได้รับความเห็นใจจากแม่ กลับกลายเป็นการพูดเหมือนจะซ้ำเติมให้เธอยิ่งช้ำใจ

ตกตอนกลางคืน ชยพลเดินเข้ามาในโฮมสเตย์ เห็นปานดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้ ตรงหน้ามีโน้ตบุ๊คเปิดอยู่ ชยพลเดินเข้าไปหา ปานดาวเงยหน้ามองพอเห็นชยพลจึงปิดจอโน้ตบุ๊คลงหยิบมาถือ
“มาทำไม พูดไม่รู้เรื่องเลยนะ ฉันบอกว่าฉันงานยุ่ง”
“ผมพยายามโทรหาคุณ คุณก็ตัดสายผมทิ้ง”
“ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็รู้ตัวแล้วล่ะ”
“ขอเวลาผมนิดเดียว ผมรู้ว่าที่ผมทำลงไปมันไม่ถูก”
“กลับไปได้แล้ว”
“ให้ผมอธิบายก่อนซี”
ปานดาวบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่”
พร้อมกับว่าปานดาวจะเดินเลี่ยงไป ชยพลจับแขนไว้ แล้วดึงโน้ตบุ๊คปานดาวออกมา วางลงบนโต๊ะ
“ปล่อยนะ”
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าเราจะได้คุยกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยฉัน”
ปานดาวพยายามจะบิดตัวให้หลุดจากชยพล แต่ชยพลกลับใช้แขนอีกข้างกอดปานดาวไว้ แล้วดึงตัวปานดาวมาจนชิดตัวเอง
“ผมไม่เชื่อ ถ้าผมขอโทษที่ทำกับคุณแบบนั้นล่ะ”
“ขอโทษทั้งๆ ที่กำลังทำตัวต่ำๆ กับฉันแบบนี้น่ะนะ”
“แล้วแบบไหน ถึงจะเรียกว่าสูง แบบนี้เหรอ”
ขาดคำชยพลซุกไซ้ซอกคอปานดาว คิดว่าจะทำให้เคลิ้มได้บ้าง แต่ปานดาวกลับยืนนิ่ง ราวกับเป็นท่อนไม้
ชยพลชะงักค้างถอนตัวออกมา แต่ยังกอดปานดาวไว้
“เราพูดดีๆ กันไม่ได้เหรอ หรือจะต้องให้ทำอะไรมากกว่านี้”
ปานดาวเบะปากให้ “คนอย่างคุณ ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เอาซี อยากทำอะไรก็ทำเลย ฉันไม่แคร์หรอก อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานกับพี่ภาคี สำหรับคุณน่ะ ฉันถือว่าให้ทาน”
ชยพลอึ้งไป ยอมปล่อยตัวปานดาว
“ให้ทานงั้นเหรอ คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ไม่แคร์อะไรเลย”
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือสิ่งที่คุณทำ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันทั้งนั้น”
ชยพลชักโกรธ “ก็ดีที่ได้ยินจากปากคุณแบบนี้ ผมเกือบหลงผิดคิดว่าทำร้ายคนดีๆ ไป แต่จริงๆ คุณสมควรจะได้รับมันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“พ่อคุณทำกับแม่ผมไว้เยอะ หลอกลวงให้แม่ผมหลงรัก แล้วก็ทอดทิ้งแม่ผม ทั้งๆ ที่มีลูกของเขาอยู่ในท้อง รู้ไว้ด้วยนะ ตั้งแต่แรกที่ผมทำดีกับคุณ เพราะผมตั้งใจมาแก้แค้นแทนแม่ของผม ผมอาจจะสับสน คิดว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมไม่ผิด จริงๆ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ คุณมันก็เหมือนพ่อคุณ คนไม่มีหัวใจ”
ชยพลเดินหุนหันออกไปเลย

ปานดาวยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย

อ่านต่อหน้า 3

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 13 (ต่อ)

มาลารีบเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ เดินตรงมาที่ตีนบันไดชะเง้อมองขึ้นไปชั้นบน เห็นพันลือเดินหงุดหงิดลงมา

“มีอะไรเหรอ เสียงเอะอะตึงตัง”
“พี่สั่งสอนเจ้าชลที่มันปากเสีย”
“ปากเสียเรื่องอะไร”
พันลือไม่ตอบมองหน้ามาลาแว่บเดียว แล้วเดินออกจากบ้านไปเลย มาลารีบขึ้นบันไดไปดูลูก

ชลกรนั่งซึมอยู่ที่พื้นห้องหลังพิงผนัง มุมปากแตกมีรอยเลือดซึมออกมาเพราะถูกพันลือชก มาลาเข้ามาในห้อง เห็นสภาพลูกก็ตกใจรีบเข้าไปดูอาการ
“เป็นไงบ้างชล”
“ไม่เป็นไรครับ”
มาลาจับดูปากชลกร
“ดูซิพ่อชกลูกซะปากแตกเลย เจ็บมากมั้ยชล”
“นิดเดียวเองแม่ เด็กๆ ถูกตีหนักกว่านี้”
ชลกรลุกขึ้น มาลาช่วยพยุงดึงตัวลูกขึ้นมาด้วย พาชลกรไปนั่งที่เก้าอี้
“แล้วไปทำอะไรท่าไหน พ่อเขาถึงรุนแรงกับเราแบบนี้”
“ก็เรื่องเก่าๆ นั่นแหละครับ พ่อเขาบอกให้ผมเลิกยุ่งกับปอ ผมเลยถามว่า ปัญหาเกิดจากพ่อ ทำไมถึงต้องมาลงที่ผม”
“แค่นั้นเหรอ”
ชลกรชะงักนิดๆ “แล้วผมก็บอกว่า พ่อควรจะแก้ปัญหาของพ่อเองให้ได้ ก่อนที่...”
เห็นชลกรนิ่งไปมาลาจึงซัก “ก่อนที่อะไร”
“ก่อนที่แม่จะกลับไปหาแฟนเก่า”
มาลาอึ้งไป ต่อว่าเสียงขุ่น “พูดแบบนั้นได้ยังไงชล”
“ก็แม่พูดเอง”
“แม่พูดอะไร”
“แม่พูดเหมือน...ยังมีใจให้ลุงปกป้อง”
มาลานิ่งงันไป “ไม่ต้องมารู้ใจแม่ขนาดนั้นหรอก มิน่าล่ะพ่อถึงโกรธขนาดลงไม้ลงมือ”
มาลารู้ซึ้งว่าพันลือรักตัวเองมาก จึงพอจะทำใจอภัยเรื่องยาเสน่ห์ได้บ้างแล้ว
“ผมรู้ว่าพ่อรักแม่มาก แต่เมื่อได้แม่มาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกลียดลูกของลุงปกป้อง”
“แต่ก่อนชลไม่เคยเถียงพ่อ เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น ทำให้ชลกล้าเถียงพ่อ แม่อยากรู้จริงๆ เขามีอะไรดีนักหนา ถึงเปลี่ยนลูกชายแม่ได้”
“ถ้าแม่ได้รู้จักปอ แม่จะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงที่อะเมซิ่งมากๆ” ชลกรยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงปานวาด
“งั้นก็...พามาให้แม่รู้จักซี”
มาลายิ้มตอบเริ่มเปิดใจมากขึ้น หลังจากรู้ว่าปกป้องทิ้งตนไปเพราะยาเสน่ห์ ทำให้ความโกรธแค้นบ้านนั้นลดลงไปทันที

ชยพลอยู่ในห้องทำงานที่โรงงานแล้ว แต่ดูออกว่าไม่มีสมาธิกับการทำงานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาปานดาว
อีกฟาก ปานดาวอยู่ที่บ้าน มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากกระเป๋าถือ ปานดาวเดินมาหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อ “ชยพล” โทร.มา
ฝ่ายชยพลยังคงถือโทรศัพท์รอสาย สุดท้ายปานดาวตัดสินใจกดตัดสายทิ้ง
ชยพลอึ้งไปที่ถูกตัดสาย วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง
ปานดาว เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ปานวาดเดินเข้ามา
“ใครโทร.มาเหรอ”
“ต่อผิดน่ะพี่” ปานดาวหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ยังไม่ทันรับ รู้แล้วเหรอ”
ปานดาวชะงักไปนิดๆ “เบอร์นี้ไม่คุ้น”
“อาจจะเป็นลูกค้าก็ได้”
“ไม่หรอกพี่ เบอร์ป่านไม่เคยให้ลูกค้า เอ่อ เดี๋ยวป่านไปที่โฮมสเตย์ก่อนนะ”
ปานดาวเดินออกจากบ้าน ขับรถออกไปเลย

ฟากมาลัยกับดุจเดือนนั่งทานอาหารมื้อค่ำอยู่ในห้องอาหารที่บ้าน ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์มือถือของดุจเดือนดังขึ้น มาลัยจับสังเกตท่าทีลูก ดุจเดือนหยิบโทรศัพท์มาดู บอกมาลัยว่า
“กองถ่ายน่ะค่ะ”
มาลัยมีท่าทีผ่อนคลายลง ดุจเดือนกดรับคุยสาย
“ดุจพูดค่ะ...อ๋อ พี่เหรอคะ...ก็ยังเจ็บอยู่น่ะค่ะ หน้าก็ยังบวมช้ำอยู่...” ดุจเดือนยิ้มกว้างดีใจ “จริงเหรอคะ ดีใจด้วยค่ะ...งานมะรืนนี้เหรอคะ อยากไปนะคะ แต่ร่างกายคงไม่อำนวยเท่าไหร่ ถ้าได้ก็ฝากผู้กำกับรับแทนก็แล้วกันนะคะ...ค่ะ น่าเสียดาย ขอบคุณนะคะที่โทร.มาตาม...ค่ะ อาทิตย์หน้าก็กลับไปทำงานได้แล้วค่ะขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ”
รอจนดุจเดือนกดวางสายมาลัยจึงถาม
“ดีใจกับเขาเรื่องอะไรเหรอ”
“ละครที่ดุจดูแล ได้เข้าชิงเครื่องแต่งกายดีเด่น เขาจะประกาศรางวัลพรุ่งนี้”
“ลูกได้รางวัลเหรอ”
“แค่เข้าชิงน่ะค่ะ ยังไม่รู้จะได้รางวัลหรือเปล่า”
“แค่นี้ก็เก่งมากแล้วล่ะลูก ดีใจด้วยนะ”
“แต่คงต้องดูถ่ายทอดพิธีมอบรางวัลอยู่ที่บ้าน”
“ดีแล้วล่ะ สภาพแบบนี้จะไปได้ยังไง คิดดูซี เกิดได้รางวัลแล้วต้องขึ้นไปบนเวที กล้องทุกตัวจับอยู่ที่ลูก แล้วภาพของลูกก็ถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศ”
“แม่คะ มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น เพราะดุจไม่ไปแน่ๆ”
ดุจเดือนกินอาหารต่อไป ลึกๆ แล้วรู้สึกเสียใจ ที่ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงาน แต่แทนที่จะได้รับความเห็นใจจากแม่ กลับกลายเป็นการพูดเหมือนจะซ้ำเติมให้เธอยิ่งช้ำใจ

ตกตอนกลางคืน ชยพลเดินเข้ามาในโฮมสเตย์ เห็นปานดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้ ตรงหน้ามีโน้ตบุ๊คเปิดอยู่ ชยพลเดินเข้าไปหา ปานดาวเงยหน้ามองพอเห็นชยพลจึงปิดจอโน้ตบุ๊คลงหยิบมาถือ
“มาทำไม พูดไม่รู้เรื่องเลยนะ ฉันบอกว่าฉันงานยุ่ง”
“ผมพยายามโทรหาคุณ คุณก็ตัดสายผมทิ้ง”
“ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็รู้ตัวแล้วล่ะ”
“ขอเวลาผมนิดเดียว ผมรู้ว่าที่ผมทำลงไปมันไม่ถูก”
“กลับไปได้แล้ว”
“ให้ผมอธิบายก่อนซี”
ปานดาวบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่”
พร้อมกับว่าปานดาวจะเดินเลี่ยงไป ชยพลจับแขนไว้ แล้วดึงโน้ตบุ๊คปานดาวออกมา วางลงบนโต๊ะ
“ปล่อยนะ”
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าเราจะได้คุยกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยฉัน”
ปานดาวพยายามจะบิดตัวให้หลุดจากชยพล แต่ชยพลกลับใช้แขนอีกข้างกอดปานดาวไว้ แล้วดึงตัวปานดาวมาจนชิดตัวเอง
“ผมไม่เชื่อ ถ้าผมขอโทษที่ทำกับคุณแบบนั้นล่ะ”
“ขอโทษทั้งๆ ที่กำลังทำตัวต่ำๆ กับฉันแบบนี้น่ะนะ”
“แล้วแบบไหน ถึงจะเรียกว่าสูง แบบนี้เหรอ”
ขาดคำชยพลซุกไซ้ซอกคอปานดาว คิดว่าจะทำให้เคลิ้มได้บ้าง แต่ปานดาวกลับยืนนิ่ง ราวกับเป็นท่อนไม้
ชยพลชะงักค้างถอนตัวออกมา แต่ยังกอดปานดาวไว้
“เราพูดดีๆ กันไม่ได้เหรอ หรือจะต้องให้ทำอะไรมากกว่านี้”
ปานดาวเบะปากให้ “คนอย่างคุณ ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เอาซี อยากทำอะไรก็ทำเลย ฉันไม่แคร์หรอก อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานกับพี่ภาคี สำหรับคุณน่ะ ฉันถือว่าให้ทาน”
ชยพลอึ้งไป ยอมปล่อยตัวปานดาว
“ให้ทานงั้นเหรอ คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ไม่แคร์อะไรเลย”
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือสิ่งที่คุณทำ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันทั้งนั้น”
ชยพลชักโกรธ “ก็ดีที่ได้ยินจากปากคุณแบบนี้ ผมเกือบหลงผิดคิดว่าทำร้ายคนดีๆ ไป แต่จริงๆ คุณสมควรจะได้รับมันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“พ่อคุณทำกับแม่ผมไว้เยอะ หลอกลวงให้แม่ผมหลงรัก แล้วก็ทอดทิ้งแม่ผม ทั้งๆ ที่มีลูกของเขาอยู่ในท้อง รู้ไว้ด้วยนะ ตั้งแต่แรกที่ผมทำดีกับคุณ เพราะผมตั้งใจมาแก้แค้นแทนแม่ของผม ผมอาจจะสับสน คิดว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมไม่ผิด จริงๆ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ คุณมันก็เหมือนพ่อคุณ คนไม่มีหัวใจ”
ชยพลเดินหุนหันออกไปเลย
ปานดาวยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดสุดจะประมาณ หญิงสาวค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย

ด้านปานวาดคุยโทรศัพท์มือถือกับชลกรอยู่ในห้องนอนด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
“จริงหรือเปล่า แม่ชะลอยากเจอปอเหรอ”
ชลกรนอนพูดสายอยู่บนเตียง ท่าทางเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
“แม่ผมเขาสงสัยว่าทำไมผมถึงกล้าเถียงกับพ่อเพื่อปอ ผมเลยโฆษณาสรรพคุณปอซะใหญ่เลย”
“โหย แบบนี้ก็เกร็งแย่น่ะซี”
“ไม่หรอก ก็พูดแต่ความจริง แบบที่ปอเป็นจริงๆ”
“ไม่ค่อยอยากเชื่อ เดี๋ยวพูดซะดีเลิศเลอ พอเจอตัวจริงแม่ชลจะผิดหวัง”
“ผมก็อยู่ด้วย ถ้ามีอะไรจะยักคิ้วให้สัญญาณ”
“นั่นไง สงสัยจะอวยไว้เยอะจริงๆ ชักกลัวแล้วซี” ปานวาดพูดขำๆ
“ไม่ต้องกลัวผมว่าถ้าแม่ได้รู้จักปอ เรื่องของเรามันต้องง่ายขึ้นแน่ๆ นะ มาวันไหนดี พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า”
ปานวาดนิ่งคิด “พรุ่งนี้ก็ได้”
“โอเค ผมจะไปรอที่ตลาดหน้าปากซอยนะ เผื่อจะซื้ออะไรมาทำกินมื้อเที่ยงด้วย”
สองหนุ่มสาววางสายไป ยิ้มกับตัวเอง ต่างคนต่างรู้สึกดีและมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

ปานดาวเดินหอบเอาความซึมเศร้าเข้ามาในบ้าน ปกป้องนั่งจิบชา อ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกหันมาเห็น
“กลับมาแล้วเหรอลูก พ่อก็นึกเป็นห่วงอยู่”
ปานดาวหันมามองปกป้อง นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้ามาหา
“พ่อคะ ป่านถามอะไรพ่อหน่อยซี”
“ถามอะไรเหรอ”
“พ่อช่วยพูดความจริงด้วยนะคะ”
ปกป้องอึ้งกับคำพูดลูกสาว
“พ่อกับน้ามาลา เคยรักกันใช่ไหมคะ”
ปกป้องนิ่งงันไปอีก “มันนานมากแล้ว ก่อนพ่อจะแต่งงานกับแม่ลูก”
“พ่อทิ้งน้ามาลามาแต่งงานกับแม่ ทั้งๆ ที่น้ามาลา” ปานดาวอัดอั้นเว้นวรรคไป “กำลังท้องลูกของพ่อใช่ไหมคะ”
“เรื่องนั้นน่ะ...” ปกป้องอึกอัก “มันไม่มีอะไรพิสูจน์”
“พ่อจะบอกว่า น้ามาลาท้องกับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่เขารักพ่อคนเดียวงั้นเหรอคะ พ่อพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง”
ปกป้องรู้สึกแย่ “ลูกพูดถูกแล้ว เด็กในท้องมาลา เป็นลูกพ่อได้คนเดียวเท่านั้น พ่อคงต้องบอกป่านว่า ตอนนั้น พ่อก็ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงได้ทิ้งเขา ทั้งๆ ที่พ่อเองก็...รักเขามากที่สุด จนวันนี้ พ่อก็ยังรู้สึกผิดอยู่”
ปานดาวนิ่งงันไป ปวดร้าวในใจ “ถ้างั้นมันก็ไม่ผิด ถ้าพวกเขาจะโกรธแค้นเกลียดชังพวกเราใช่ไหมคะพ่อ”
ปานดาวเดินขึ้นบันไดไปเลย ปกป้องลุกเดินตาม
“ป่าน เดี๋ยวซีลูก”
ปกป้องรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ปานดาวเข้ามาในห้องนอนวางกระเป๋าสะพายไว้ที่โต๊ะทำงาน เดินมานั่งที่เตียง ทั้งเสียใจและน้อยใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากพ่อ
“มันถูกแล้วเหรอคะ ที่ป่านต้องรับกรรมที่พ่อก่อไว้”

ทางด้านชยพลยืนพิงกำแพงห้องนอน รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับปานดาวเช่นกัน ภาพเหตุการณ์ที่ปานดาวด่าทอ ย้อนเข้ามาในความคิด
ชยพลกอดปานดาวไว้ ปานดาวเบะปาก
“คนอย่างคุณ ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เอาซิ อยากทำอะไรก็ทำเลย ฉันไม่แคร์หรอก อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานกับพี่ภาคี สำหรับคุณน่ะ ฉันถือว่าให้ทาน”
ชยพลอึ้งไป ยอมปล่อยตัวปานดาวออก
“ให้ทานงั้นเหรอ คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ไม่แคร์อะไรเลย”
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือสิ่งที่คุณทำ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันทั้งนั้น”
“ก็ดีที่ได้ยินจากปากคุณแบบนี้ ผมเกือบหลงผิดคิดว่าทำร้ายคนดีๆ ไป แต่จริงๆ คุณสมควรจะได้รับมันแล้ว”
ชยพลโมโหตัวเองเหมือนเป็นคนโง่ กำหมัดชกเข้าไปที่กำแพงเปรี้ยง

ปกป้องยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ท่าทียังซึมๆ จากเรื่องที่คุยกับปานดาวเมื่อคืนนี้
“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะลดราคาให้เป็นกรณีพิเศษ”
ปานวาดโผล่หน้ามาแอบดูพ่อ เหมือนรอจังหวะ
“เจ้านายเก่าก็ต้องดูแลเป็นพิเศษครับ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”
ระหว่างที่ปกป้องหันหลังให้ ปานวาดรีบชิ่งออกจากบ้าน เดินเร็วรี่ไปที่ประตู แต่ปกป้องหันมาเห็น ปานวาดชะงักกึก ปกป้องมองงงๆ
“ไปไหนล่ะลูก”
“ไป เอ่อ โฮมสเตย์ค่ะ”
“ป่านเขาออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้ กินข้าวก่อน” ในบรรดาลูกทั้งสาม ปกป้องสนิทกับปานวาดมากที่สุด
“เอ่อ ปอว่าจะแวะไปที่กลุ่มแม่บ้านด้วยน่ะค่ะ ก็เลยจะรีบไป”
“วันนี้ไม่มีตลาดนี่” ปกป้องมองลูกสาว พอจะรู้ทัน “ไปหาเขาใช่ไหม”
ปานวาดหวาดหวั่นนิดๆ “เรื่องงานน่ะค่ะ”
ปกป้องอยากแก้ไขความผิดของตนผ่านปานวาด มองซ้ายมองขวากระซิบบอกลูกเบาๆ ว่า
“ปอ เรื่องของลูกกับลูกชายมาลา ชลกรน่ะ พ่อ...ยอมรับได้ แต่อย่าให้แม่รู้นะ”
ปานวาดยิ้มกว้าง “จริงเหรอคะ”
ปกป้องนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง “ปู่กับย่าไม่อยากให้หลานๆ เข้าใจผิด ว่าพวกท่านยังคิดแค้นกับบ้านนั้น พ่อก็เห็นด้วย น่าจะถึงเวลาที่สองตระกูลจะเริ่มกลับมาปรองดองกันซักที”
ปานวาดซึ้งใจโผเข้ากอดปกป้องทันที “ขอบคุณค่ะพ่อ”
ปกป้องกอดลูกสาวตอบ รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ตอนนี้เรื่องนี้เรารู้กันแค่สองคนนะ ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
“ได้ค่ะ ไม่ให้แม่รู้” ปานดวาดนิ่งไปเหมือนใช้ความคิด “ปอ มีอีกเรื่องที่น่าจะบอกพ่อ”
ปกป้องมองเป็นเชิงถาม
“ปอไม่ได้ไปหาชลคนเดียว...ปอจะไปเจอกับแม่เขาด้วย”
มีแววยินดีในดวงตาของปกป้อง “ไปเจอมาลาเหรอ”
“ใช่ค่ะ แม่ชลเขาอยากเจอปอ”
ปกป้องนิ่งไป “มาลาเป็นคนดีมาก พ่อถึงแน่ใจว่าลูกเขาจะเป็นคนดี”
“ค่ะ ชลเป็นคนดี”
“ฝากความคิดถึงไปให้มาลาด้วยนะ”
“ได้ค่ะ”

ปานวาดเดินยิ้มร่าเริงออกไป ปกป้องมองตามลูกไป อดคิดถึงมาลาไม่ได้

อ่านต่อหน้า 4

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 13 (ต่อ)

ปานดาวนั่งทำงานด้วยโน้ตบุ๊คอยู่ในล็อบบี้ ท่าทียังซึมๆ เหม่อลอย ไม่ได้สนใจงานตรงหน้านัก สักครู่หนึ่งพนักงานหญิง เดินเข้ามา พอเห็นปานดาวก็ชะงัก

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ มาสายหน่อย พอดีเกิดเรื่องที่อพาร์ตเม้นต์”
ปานดาวถามไปงั้นๆ จริงๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ “เรื่องอะไร”
“ผู้หญิงที่อยู่ในตึกเดียวกัน เขากระโดดตึกลงมาตายค่ะ”
ปานดาวหันมามองพนักงานของเธอ
“เป็นหนี้เยอะเหรอ”
“ถูกผู้ชายทิ้งค่ะ”
ปานดาวอึ้ง นิ่งงันไปเลย
“โง่จริงๆ เลย ตายเพราะผู้ชายเนี่ย ถ้าเป็นเรื่องเงินอย่างคุณป่านบอก ยังน่าตายมากกว่า” พนักงานบ่นบ้าออกมา
ปานดาวแย้ง “ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องโง่ๆ ล่ะ”
“ก็ผู้ชายมีคนเดียวในโลกที่ไหนล่ะคะ”
“แต่ถ้าคนนั้นเป็นคนๆ เดียวที่เขารัก เป็นคนที่เขาไว้ใจ คิดจะฝากชีวิตไว้ การถูกทิ้ง มันก็คือการไม่เหลืออะไรอีกเลยนะ บางทีถ้าต้องอยู่โดยไม่มีใคร การตายไปจากโลกนี้ซะ อาจจะดีกว่า”
พนักงานอึ้งไป รู้สึกสยอง “พูดอะไรอย่างนั้นคะคุณป่าน”
ปานดาวไม่ตอบอะไร นั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไป

ด้านปัฐวีคุยสายกับดุจเดือนอยู่ในสวนสวยหลังบ้าน
“ได้เข้าชิงด้วยเหรอ ดีจังเลย แล้วพี่เขาบอกหรือเปล่าว่ามีสิทธิ์ลุ้นแค่ไหน”
อีกฟากดุจเดือนนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน ทั้งสองคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เขาจะรู้ได้ยังไง”
“โธ่เอ๊ย เขารู้ล่วงหน้ากันทั้งนั้นแหละ คนที่รู้ว่าไม่ได้เขาถึงไม่ไปไง”
ดุจเดือนฟังแล้วขำ “รู้ดีจังเลยนะ เอาเป็นว่า ถ้าพี่เขาบอกว่าอยากให้ดุจไปมากๆ ล่ะ”
“งั้นดุจต้องชนะแน่ๆ เลย”
“คิดงั้นเหรอ แต่ดุจไม่ได้ไปหรอก หน้าตาเยินขนาดนี้”
“น่าเสียดายจังเลย”
“ใช่ น่าเสียดาย ถ้าไปได้ ดุจกะจะชวนปัฐไปกับดุจด้วยรู้ไหม”
“เฮ้ นี่ ผมนึกออกแล้ว ทำไมดุจไม่มาที่โฮมสเตย์ผมล่ะ”
“อะไรนะ”
“เรามาฉลองด้วยกันที่นี่ไง เปิดทีวีดูกับผมที่นี่ พรุ่งนี้วันพุธไม่ค่อยมีแขกเข้าพัก”
ดุจเดือนยิ้ม นิ่งคิด “ต้องดูก่อนนะว่าออกจากบ้านได้หรือเปล่า ถ้าไปได้จะโทร.ไปบอก”
“เก่งอย่างดุจต้องมาได้อยู่แล้ว ผมจะเตรียมของไว้รอนะ”
ปัฐวียิ้มชื่นสุขใจ

ชลกรพาปานวาดเข้ามาในบ้าน สองคนหิ้วถุงอาหารสดมาด้วย ปานวาดดูตื่นเต้นปนหวาดๆ มองสำรวจบ้าน
“บ้านชลน่าอยู่จัง”
“จะน่าอยู่กว่านี้ ถ้าปอมาอยู่ด้วย” ชลกรยิ้มเจ้าเล่ห์
ปานวาดทุบแขนไปที “ฝันไปก่อนละกัน”
“แค่ฝันก็มีความสุขแล้ว”
มาลาได้ยินเสียงเดินออกจากครัวมารับ
“มากันแล้วเหรอลูก”
มาลาเดินมาหาทั้งสองคน ชลกรแนะนำ
“ปอ แม่ผม”
ปานวาดไหว้ทัก “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ” มาลารับไหว้มองปานวาดยิ้มให้อย่างถูกชะตา “ลูกพี่ป้องเหรอนี่ แต่ไม่เหมือนพี่ป้องนะ”
“แม่บอกวาดเหมือนแม่ค่ะ”
มาลานิ่งไป ชลกรมองแม่ “อืม เหมือนดาวราย แล้วก็...บางมุมก็เหมือนชลนะ”
ปานวาดอึ้งๆ
“เขาบอกเนื้อคู่จะมีหน้าเหมือนกันไงแม่”
ปานวาดสะดุ้ง ใช้เท้าเตะเบาๆ ที่ขาชลกร
“จริงด้วยซินะ” มาลาหัวเราะมองถุงในมือทั้งสอง “แล้วนั่นซื้ออะไรมาน่ะ”
“ปอเขาอยากมาทำอะไรอร่อยๆ ให้แม่กินครับ”
“ปอมีสูตรลับเฉพาะผัดไทยเส้นจันทน์ค่ะ รับรองคุณแม่ต้องติดใจ”
“จริงเหรอ ดีจัง แม่กำลังหาสูตรอยู่เลย ไปลูกไปทำกัน”
มาลาเดินพาปานวาดเข้าไปในครัว ชลกรยิ้มมองตาม ปานวาดหันมามอง ชลกรยิ้มให้กำลังใจก่อนเดินตามไป

สองคนช่วยกันทำผัดไทยเส้นจันทน์อยู่ในครัว ชลกรช่วยซอยหอมแดงให้
“ไปได้สูตรมาจากไหนล่ะ”
“แม่บ้านที่เป็นสมาชิกในกลุ่มสตรีเขาสอนให้ค่ะ”
“ที่เห็นร้านในตลาดน้ำใช่ไหม”
“ค่ะ ปอเป็นอาสาช่วยงานกลุ่มแม่บ้าน”
“ผมว่าเป็นผู้จัดการมากกว่ามั้ง รับผิดชอบเกือบทุกอย่าง”
“ไม่หรอก ว่างๆ ก็ช่วยกัน”
“ดีนะ เสียสละทำงานเพื่อชุมชนเนี่ย พ่อกับแม่คงภูมิใจ”
“แม่บ่นทุกวันค่ะ แต่พ่อคอยช่วยแก้ตัวให้” ปานวาดเล่าขำๆ ไม่ได้คิดอะไร
มาลานิ่งไป “พ่อหนูเป็นยังไงบ้าง”
ปานวาดได้ยินไม่ถนัด “คะ”
ชลกรลอบมองแม่
“พ่อหนูสบายดีไหม”
“ค่ะ สบายดี หลังๆ นี่พ่อยกงานให้ลูกๆ ทำเกือบหมด พ่อจะไปสนุกกับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ ไหว้พระบ้าง ออกรอบบ้าง”
“สุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม”
“แข็งแรงดีค่ะ แต่ก็มีความดันสูงนิดหน่อย พ่อชอบลืมกินยา”
“บอกพ่ออย่าลืมบ่อยนะ โรคมันจะรุนแรงขึ้น แล้วก็ต้องคุมอาหารด้วย”
ชลกรเหลือบมองมาลา รู้สึกว่าแม่จะเป็นห่วงพ่อปานวาดเหลือเกิน
“บางทีพ่อก็ไม่ค่อยสนใจตัวเองค่ะ เขาบอกอยู่มาจนขนาดนี้ได้ ตายไปก็ถือว่าคุ้มแล้ว”
“พูดแบบนั้นได้ยังไง ไม่คิดถึงหัวอกคนที่ยังอยู่บ้าง คนอื่นจะเสียใจแค่ไหน”
“นั่นซิคะ”
ระหว่างที่ชลกรกำลังซอยหัวหอมอยู่นั่นเอง น้ำตาดันไหลออกมาชลกรเช็ดน้ำตา
มาลาเห็น “อ้าวชล เป็นอะไรล่ะลูก”
“หัวหอมมันทำให้แสบตาน่ะครับ”
“พอแค่นั้นแหละ แม่ทำต่อเอง ไปล้างหน้าล้างตาซะ”
ชลกรวางมีดลง แล้วเดินไปล้างหน้าที่ซิงค์

พอเสร็จ สามคนมานั่งทานกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทยด้วยกันที่โต๊ะอาหาร มาลาติดใจรสชาติมาก
“อืม สูตรนี้ใช้ได้จริงๆ นะ อร่อยมาก”
“ผมเองก็เพิ่งได้ชิมฝีมือปอเป็นครั้งแรกนะครับเนี่ย รู้งี้ให้ทำกินทุกวันก็ดี” ชลกรยิ้มร่า
“เปิดร้านขายได้เลยนะ” มาลาบอก
“ไม่ได้หรอกค่ะ ป้าเขามีร้านอยู่ในตลาดนัดอยู่แล้ว”
“ก็มาเปิดแถวบ้านแม่ไง ที่ตลาดมีห้องแถวว่างๆ อยู่ หนูปอผัดก๋วยเตี๋ยว ให้ชลเป็นคนเสิร์ฟ”
“เอ๊ะๆ ยังไงแม่ ผมเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็วางแผนอนาคตให้ครอบครัวลูกไง”
ทั้งชลกรและปานวาดต่างก็หันมามองกัน ยิ้มให้กัน
“ยัดเยียดความเป็นสะใภ้ให้ปอเขาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอแม่ ถามปอก่อนมั้ย”
ปานวาดวางช้อนทุบแขนชลกรไปอีกหนึ่งครั้ง
“อ้าว แล้วไม่ใช่หนูปอเหรอ ที่ชลว่าจะพามาให้แม่ดูตัว” มาลาแซวไม่เลิก
ชลกรเขินใหญ่ ร้องทักท้วง “แม่คร้าบบบ”
มาลาหัวเราะ ชลกรกับปานวาดก็หัวเราะไปด้วย
เสียงพันลือดังแทรกเข้ามา “ขำอะไรกัน”
มาลากะชลกรชะงัก เมื่อมองไปเห็นพันลือเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“มีอะไรกินกัน”
พันลือชะงักเมื่อเห็นปานวาด ปานวาดลุกขึ้นยืนไหว้พันลือ
“สวัสดีค่ะ”
ชลกรเหลือบมองท่าทีพ่อ แล้วหันมามองแม่
“เอ่อ มาลา พี่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
พยักหน้าเรียกมาลาแล้วเดินนำออกไป มาลาลุกเดินตามไป ชลกรกับปานวาดได้แต่มองหน้ากันดูออกว่าไม่สบายใจนัก

“นี่มันอะไรกันมาลา”
พันลือกับมาลาออกมาคุยกันในห้องรับแขก
“ลูกสาวดาวรายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“มาลาให้ชลพามา”
“แต่เราไม่ต้องการให้เขาคบกันไม่ใช่เหรอ”
“พี่คนเดียวนะ มาลาไม่เกี่ยว”
“ก็ครอบครัวมาลามีปัญหากับครอบครัวไอ้ป้อง มาลาบอกเองว่าอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่มีวันมีความสุข”
“มาลาถึงต้องการรู้จักปานวาดไง อยากรู้ว่าทำไมชลถึงได้ติดอกติดใจนัก”
“ผู้ชายมันก็ติดใจผู้หญิงทุกคนแหละ”
“ไม่ใช่เลย เด็กคนนี้ต่างจากผู้หญิงคนอื่น ลูกเราเลือกได้ไม่ผิด ปานวาดเป็นคนน่ารัก มีสัมมาคารวะ เก่ง แล้วยังมีน้ำใจ เป็นลูกสะใภ้ในฝันของแม่ผัวเลยล่ะ”
“ไปกันใหญ่แล้วมาลา ยังไงสองคนนั่นก็ไม่เหมาะสมกัน”
“มาลาว่าเขาเหมาะกันมาก ยังกับ...เกิดมาเพื่อกันและกันเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” พันลือลืมตัวทำเสียงดังใส่
“งั้นบอกเหตุผลมาซิ ทำไมสองคนถึงไม่เหมาะสมกัน” พันลือทำท่าจะพูด แต่มาลาพูดขึ้นก่อน “แต่ไม่ใช่เรื่องสองครอบครัวมีปัญหากันนะ”
พันลือนิ่งไปครู่หนึ่ง คิดสรรหาเหตุผล แล้วลองใช้เหตุผลที่คิดว่าดี “พี่ไม่อยากเป็นดองกับไอ้ป้อง แล้วยิ่งมาลากระตือรือร้นเรื่องนี้ พี่ก็ยิ่ง...ไม่ชอบ”
“หมายความว่าไง”
“พี่ไม่ไว้ใจไอ้ป้อง พี่ว่ามันยังคิดอะไรกับมาลาอยู่”
“แล้วคิดว่ามาลายังคิดอะไรกับพี่ป้องด้วยไหม”
พันลือนิ่งไป ลึกๆ ก็เป็นห่วงเรื่องนั้น
“ที่มาลาคิดคืออะไรรู้ไหม” พันลือนิ่งฟัง “ถ้าพี่ไม่สมคบกับดาวรายเอายาเสน่ห์ให้พี่ป้องกิน วันนี้คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ามาลา ควรจะเป็นพี่ป้องด้วยซ้ำ”
พันลือใจแป้ว “โธ่ มาลา อย่าพูดอย่างนั้นซี”
“จริงๆ ก็ไม่อยากพูดหรอก ถ้าพี่ไม่เริ่มก่อน”
พันลือจ๋อย “พี่ขอโทษ”
“เอาเป็นว่า เรื่องของชลกับปานวาด มาลาจะดูแลเอง ถ้าสองคนเขารักกันจริง เราก็ควรสนับสนุนเขา”
พันลืออัดอั้นไม่รู้จะพูดอะไรอีก

มาลากับพันลือกลับเข้ามาในห้องอาหาร ทั้งชลกรและปานวาดต่างก็ระวังตัว
“พ่อเขาอยากกินผัดไทยด้วย”
พันลือยิ้มเจื่อนๆ เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างมาลา
ปานวาดลุกไปตักผัดไทยใส่จาน แล้วเอามาเสิร์ฟให้พันลือ
“ขอบใจจ้ะ”
“ลองชิมเลย แล้วพี่จะรู้ว่ามาลาพูดไม่ผิด”
พันลือตักผัดไทยเข้าปาก เคี้ยวไปครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าส่งเสียงอืมม
มาลายิ้มให้ชลกรกับปานวาด
“ไปได้สูตรมาจากไหนเนี่ย อร่อยจริงๆ” พันลืออดชมไม่ได้
“แม่บ้านในตำบลน่ะค่ะ”
ชลกรกับปานวาดมองกัน ยิ้มให้กัน รู้ว่าแม่ปราบพ่ออยู่หมัดแล้ว ทั้งสองรู้สึกโล่งใจ

ปานดาวเดินซึมกลับเข้ามาออฟฟิศโฮมสเตย์ หลังออกไปข้างนอกสักพัก ในมือมีถุงใส่กระปุกยามาด้วย ปานดาววางถุงยาไว้ที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินหายเข้าไปด้านหลัง
ไม่นานนัก มีพนักงานคนหนึ่งเดินจากอีกทาง เข้ามาประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์
เมื่อมองเห็นถุงยาวางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของปานดาวเลยเปิดดูของในถุง
“ของใครเนี่ย” พนักงานหยิบกระปุกยาออกมาดู “นี่มันยานอนหลับนี่นา เป็นกระปุกเลย”
ปานดาวถือขวดน้ำดื่มออกมาจากด้านหลัง เห็นพนักงานยุ่งกับถุงยาของตน ก็หงุดหงิด
“ทำอะไรน่ะ”
พนักงานสะดุ้ง “ของคุณป่านเหรอคะ”
ปานดาวเดินมา หยิบกระปุกยาจากมือพนักงานเก็บคืนถุง
“คุณป่านนอนไม่หลับเหรอคะ”
“ใช่ ป่านอยากจะหลับไปยาวๆ แล้วไม่ต้องตื่นเลย”
ปานดาวถือถุงยากับขาดน้ำเดินออกไป พนักงานมองตามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

กลับถึงบ้าน ปานดาวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนในอาการซึมเศร้าเหม่อลอย ในมือมีถุงยาและขวดน้ำ เธอเดินมานั่งที่เตียง วางถุงยากะขวดน้ำข้างๆ ตัว คิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเธอกับชยพลตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
เหตุการณ์ครั้งแรกที่เธอเจอกับชยพลตอนเสนองาน แต่ดันไปจอดรถขวางรถชยพล เธอโดนชยพลปฏิเสธที่จะใช้บริการโฮมสเตย์อย่างชาเย็น เธอเองก็ชิงชังเขา
ชยพลสั่งรปภ. เคลื่อนรถของเธอไปทิ้งไว้กลางถนน
เหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เธอเจอกับชยพล ถึงกับใช้อาวุธข่มขู่จะทำร้ายกัน ดาวรายกับมาลัยมาร่วมด้วย สี่คนชุลมุนจนตกลงไปในคลอง
กระทั่งต่อมาชยพลกลับคำ มาขอใช้บริการโฮมสเตย์ พร้อมกับขอโทษเธอ ทั้งสองร่วมร้องเพลงด้วยกันบนเวทีในงานเลี้ยงการสัมมนา
สองคนนัดเจอกันที่สวนสาธารณะ ชยพลบอกรัก และขอโอกาสจากเธอ ถูกมาลัยตามมาเจอแล้วตบหน้าด่าทอชยพลอย่างรุนแรง
จนเมื่อครั้งล่าสุดนี้ ชยพลพูดความจริงกับเธอ
ปานดาวเบะปาก “คนอย่างคุณ ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เอาซิ อยากทำอะไรก็ทำเลย ฉันไม่แคร์หรอก อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานกับพี่ภาคี สำหรับคุณน่ะ ฉันถือว่าให้ทาน”
ชยพลอึ้งไป ยอมปล่อยตัวปานดาวออก
“ให้ทานงั้นเหรอ คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ไม่แคร์อะไรเลย”
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือสิ่งที่คุณทำ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันทั้งนั้น”
“ก็ดีที่ได้ยินจากปากคุณแบบนี้ ผมเกือบหลงผิดคิดว่าทำร้ายคนดีๆ ไป แต่จริงๆ คุณสมควรจะได้รับมันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“พ่อคุณทำกับแม่ผมไว้เยอะ หลอกลวงให้แม่ผมหลงรัก แล้วก็ทอดทิ้งแม่ผม ทั้งๆที่มีลูกของเขาอยู่ในท้อง รู้ไว้ด้วยนะ ตั้งแต่แรกที่ผมทำดีกับคุณ เพราะผมตั้งใจมาแก้แค้นแทนแม่ของผม ผมอาจจะสับสน คิดว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมไม่ผิด จริงๆ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ คุณมันก็เหมือนพ่อคุณ คนไม่มีหัวใจ”
รอยยิ้มเยาะเย้ยหยามหยันของชยพลผลุดเข้ามาในห้วงคิดเป็นระลอก
ยิ่งคิดปานดาวยิ่งเจ็บช้ำ น้ำตาไหลรินออกมา
“คุณหลอกป่านมาตลอด จริงๆ แล้ว คุณต้องการแก้แค้นป่าน ต้องการทำร้ายป่าน ป่านโง่จริงๆ ทำไมถึงมองไม่เห็น”
ปานดาวหยิบกระปุกยาออกมาเปิดฝา แล้วเทยาจากขวดหลายสิบเม็ดลงบนมือ

สีหน้าปานดาวเหมือนคนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น