บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 7
ดุจเดือนกับปัฐวีเดินตามโปรดิวเซอร์มายังจุดนั่งพักผ่อนริมแม่น้ำ มีผู้ช่วยผู้กำกับรออยู่ โปรดิวเซอร์ทอมฮะ บอกกับผู้ช่วยผกก.ว่า
“ได้เอ็กซ์ตร้าคู่รักมาแล้ว รับรองเล่นเนียน เพราะเป็นแฟนกันจริงๆ”
ดุจเดือนเขินกระซิบแก้ตัวเบาๆ “พี่อ่ะ ใช่ที่ไหน”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่...บอกคิวเลยนะ”
โปรดิวเซอร์ทอมฮะเดินออกไป
“ฉากนี้พระเอกนางเอกทะเลาะกันอยู่ตรงโน้น” ผู้ช่วยฯ ชี้ไป “แต่เราอยากเห็นแบ็กกราวนด์มีคู่รักนั่งอยู่ที่นี่ สองคนเล่นเป็นคู่รักกันได้นะ”
“ต้องเล่นแค่ไหนเหรอคะ”
“แค่นั่งเฉยๆ”
เวลาผ่านไป ดุจเดือนนั่งอยู่กับปัฐวีที่จุดนั่งพักผ่อนริมน้ำ สองคนท่าทางเกร็งๆ แข็งๆ ผู้ช่วยฯ เห็นร้องบอก
“ผ่อนคลายหน่อย นั่งชิดๆกันอีกนิด”
ดุจเดือนขยับเข้าไปนั่งจนชิดปัฐวี ปัฐวีก็ออกอาการเขินๆ
“ปกติเคยทำยังไงก็ทำยังงั้นเลย” ผู้ช่วยฯ บรีฟ
“คือ...ปกติเรา...ไม่ได้ทำ…”
ดุจเดือนตัดสินใจสอดแขนเข้าไปคล้องแขนปัฐวีไว้ จนเขาสะดุ้ง
“เออ เริ่มดีแล้ว ผู้ชายผ่อนคลายหน่อย” ผู้ช่วยฯว่า
ปัฐวีพยายามทำตัวผ่อนคลาย ดุจเดือนกอดแขนปัฐวีแน่นขึ้น แล้วซบหัวลงที่ไหล่เขา
ผู้ช่วยฯ ชอบใจใหญ่ “ดีเลย อยู่แบบนี้นะ คุยอะไรกันไปด้วยก็ได้ สบายๆ คอยฟังสัญญาณผมนับถอยหลัง ห้า สี่ สาม สอง แล้วจะเริ่มถ่าย พอผู้กำกับสั่งคัทถึงเลิก ฉากนี้ไม่ยาวหรอก”
ปัฐวีพยักหน้าหงึกๆ รับเอาคำ ผู้ช่วยฯ เดินออกไป
ดุจเดือนกอดแขนปัฐวีไว้ ซบหัวลงที่ไหล่อยู่อย่างนั้น ปัฐวีมีอาการเกร็งๆขึ้นมา
“ผ่อนคลายไว้ซี ถ้าเขาเทคเพราะเรา ถูกด่าแย่เลย”
ปัฐวีงง “เทค”
“หมายถึงต้องถ่ายใหม่”
“บอกผมด้วยละกัน ต้องทำยังไง คนมันไม่เคยน่ะ”
“ไม่เคยถ่ายละคร หรือไม่เคยมีผู้หญิงมากอดแขนแบบนี้”
ปัฐวีนิ่งไปนิด “ทั้งสองอย่าง”
“บอกให้ปัฐสบายใจ ดุจก็เคยกอดแขนผู้ชายมาก่อนแค่คนเดียว” ปัฐวีหันมามอง ดุจเดือนยิ้มบอก “พ่อของดุจเอง”
ปัฐวีโล่งอก ดุจเดือนกอดแขนปัฐวีแล้วซบหัวอยู่อย่างนั้น
เสียงผู้ช่วยผกก.ดังมาแต่ไกลๆ “ห้า สี่ สาม สอง...”
ปัฐวีผ่อนคลายมากขึ้น หันมาดอมดมเรือนผมของดุจเดือนที่ซบอยู่กับไหล่ตน รู้สึกดีเหลือเกิน ขณะที่ดุจเดือนเองก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดล้ำ
รถตู้ฝ่ายเสื้อผ้าละครจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ดุจเดือนกับปัฐวีช่วยกันเอาเสื้อผ้าเก็บขึ้นรถจนหมด ดุจเดือนปิดประตูรถ
“เรียบร้อย” ดุจเดือนมองปัฐวีนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง “ขอบคุณที่มาช่วยนะ”
ปัฐวีพยักหน้ารับเอาคำ “แล้ว...เอ่อ...ดุจจะกลับยังไง เอารถมาไหม”
“วันนี้ดุจมีรวมญาติที่บ้านยายน่ะ บ้านเขาอยู่ที่นี่ ตอนแรกคิดว่าจะนั่งวินไป ไม่นึกว่าวินที่นี่เลิกไว”
“ค่ำแล้วก็ไม่มีแท็กซี่เข้ามาแถวนี้ด้วย”
“นั่นซี”
“ผมคงต้องไปส่งดุจแล้วล่ะ”
“เกรงใจ”
“เรื่องนี้ง่ายกว่าต้องดมเสื้อพระเอกเยอะ” สองคนหัวเราะให้กัน ปัฐวีผายมือ “เชิญครับ”
ปัฐวีกับดุจเดือนพากันเดินไปที่รถปัฐวี
ไม่นานนักรถกระบะของปัฐวีแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านบัวผัน มาลัยเดินออกมาพอดี แปลกใจเมื่อเห็นประตูรถเปิดออกดุจเดือนก้าวลงจากรถ และปัฐวีลงตามมาด้วย
“หวัดดีค่ะแม่” ดุจเดือนหันมาทางปัฐวี “ปัฐคะ นี่แม่ดุจค่ะ”
“สวัสดีครับ” ปัฐวีไหว้ทัก มาลัยรับไหว้แต่ยังงงๆ อยู่
“นี่ปัฐเพื่อนของดุจไงคะ ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ”
“ฉันคุ้นหน้าเธอจัง เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า” มาลัยมองจ้อง
“ถ้าคุณน้าเป็นคนบางน้ำผึ้ง ก็อาจจะเคยเจอกันครับ ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด”
“งั้นเหรอ” มาลัยยังคิดไม่ออก
“พอดีวินหมดน่ะครับ ผมเลยอาสามาส่งดุจเขา ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
มาลัยรับไหว้ปัฐวีซึ่งหันไปยิ้มให้ดุจเดือน แล้วขึ้นรถขับออกไป
ดุจเดือนโบกมือบ๊ายบายส่ง มาลัยมองพฤติกรรมของลูกสาวกับปัฐวีด้วยสีหน้ากังวล นึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
ไม่มีใครเห็นว่าเวลานี้บัวผัน กับ เทศ ยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนมองลงมาอย่างไม่พอใจ
ดุจเดือนกับมาลัยเดินกลับเข้ามาในโถงบ้าน
“กลับมาซะดึกเลย แล้วกินอะไรมาหรือยัง”
“กินมาจากกองถ่ายแล้วล่ะค่ะ คนอื่นไปไหนหมดล่ะคะ”
“ดึกขนาดนี้เขาแยกย้ายกันไปนอนแล้ว เดี๋ยวขึ้นไปสวัสดีป้ามาลาน้ามาลีหน่อยก็พอ”
บัวผัน กับเทศเดินลงบันไดมาจากชั้นบน บัวผันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“ให้เขามาส่งได้ยังไง”
ดุจเดือนไหว้บัวผัน กับเทศ “สวัสดีค่ะ ตา ยาย”
“ฉันถามว่ามันมาส่งได้ยังไง” บัวผันคาดคั้น
“ปัฐน่ะเหรอคะ เขาเป็นเพื่อนดุจ”
“หลานเป็นเพื่อนกับมันไม่ได้ รู้ไหมมันเป็นใคร” เทศย้อนถามน้ำเสียงขุ่น
ดุจเดือนอึ้ง ไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ”
“ไอ้คนๆ นั้นน่ะ มันลูกชายคนโตนังดาวราย”
ดุจเดือนยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่มาลัยเข้าใจแล้ว หันมาถามลูกสาว
“ลูกว่าเจอกันที่ไหนนะ”
“ที่โฮมสเตย์ไงคะ”
มาลัยคิดตาม “เขาคือคนที่ให้ลูกซื้ออาหารเงินเชื่อนั่นใช่ไหม”
“ค่ะ”
มาลัยหันมาถามบัวผัน “เขาเป็นลูกของดาวรายกับพี่ป้องเหรอแม่”
“ก็ใช่น่ะซี นายปกป้องเป็นผัวนังดาวรายนี่ ไม่ใช่ลูกมันแล้วจะลูกใคร”
มาลัยมองบัวผันในอาการตะลึงตะไล
ภาพจำตอนถูกปกป้องข่มเหงจนตั้งท้องอ่อนๆ สองเดือนผุดขึ้นมาหลอกหลอน
มาลัยเบิกตาโต หันขวับมาที่ดุจเดือน
“ลูกจะคบกับเขาไม่ได้”
“ดุจไม่ได้คบกับเขา เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
มาลัยตวาด “เป็นเพื่อนก็ไม่ได้”
“มันเรื่องอะไรกันเนี่ยแม่ ทำไมแม่ต้องห้ามหนูเป็นเพื่อนกับปัฐ”
มาลัยอึดอัด คิดหาคำตอบ
“เพราะมันเป็นศัตรูของครอบครัวเราไง” เทศบอกแทน
“ใช่ ชาตินี้อย่าได้มาเผาผี ญาติดีกันเลย” บัวผันว่า
“ยาย” ดุจเดือนตกใจ อึ้งไปเลย ทำไมยายพูดแรงจัง
“ใช่ลูก ครอบครัวมันเป็นศัตรูกับครอบครัวเรา เป็นมาตั้งแต่รุ่นตายาย ทั้งหมดนี่ต้องเป็นแผนของมัน มันแกล้งทำดีกับลูก เพื่อให้ลูกตายใจ แล้วมันก็จะทำร้ายลูก”
“ไม่หรอกค่ะ ปัฐเขาไม่ทำร้ายดุจหรอก”
“ทำซี พวกมันพยายามทำร้ายเรามาตลอด” มาลัยนิ่งคิด หันมามองหน้าดุจเดือน “ถ้าลูกอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง แม่ก็จะเล่าให้ฟัง”
เวลาผ่านไป มาลัยเล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาให้ดุจเดือนรับรู้ เหมือนกับที่เล่าให้ชยพลฟังจบแล้ว ดุจเดือนฟังแล้วสับสน ออกมานั่งเหม่ออยู่ที่ระบียง สักครู่หนึ่งชลกรจึงเดินออกมาที่ระเบียง หยุดมองครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงข้างๆ ญาติผู้น้องหันมามอง
“พวกผู้ใหญ่เขาเป็นอะไรกันไปหมด”
“เรื่องความแค้นตั้งแต่รุ่นตายายใช่ไหม”
“อยู่ดีๆ มาสั่งไม่ให้เราเป็นเพื่อนกับใคร ไม่ให้คบกับใคร”
“เท่าที่ฟัง น้ามาลัยคงจะเกลียดเขามาก”
“แล้วทำไมเราต้องเกลียดด้วย เราไม่เคยรู้จักพวกเขาด้วยซ้ำ กรรู้จักใครในบ้านนั้นบ้างมั้ย”
ชลกรอึ้งไปนิดๆ ไม่ตอบคำถาม “นั่นซีทำไมต้องเกลียดกัน”
“ไม่รู้นะ แม่เขาอาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ลูกเขาต้องไม่ดีไปด้วยเหรอ”
“ผมก็เชื่อว่า คนแต่ละคนต่างกัน ลูกอาจจะไม่เหมือนพ่อกับแม่เลยก็ได้”
“ดุจไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ ปัฐเขาเป็นคนดี อยู่ๆจะให้เกลียดเขา ดุจทำไม่ได้หรอก”
สองคนเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง
“เราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เรารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีไม่ดี เราก็เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องซี”
“ยังไง”
“ทำให้ความแค้นตั้งแต่รุ่นตายาย รุ่นพ่อแม่ มันจบที่รุ่นของเรา”
ดุจเดือนหันมามองชลกร เธอยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้
มาลัยนั่งนิ่งใช้ความคิดเรื่องดุจเดือนกับปัฐวี สุดท้ายเอ่ยขึ้นเป็นเชิงสั่ง
“ลูกจะคบกับเขาไม่ได้”
“ดุจไม่ได้คบกับเขา เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
มาลัยตวาด “เป็นเพื่อนก็ไม่ได้”
ดุจเดือนไม่พอใจ “มันเรื่องอะไรกันเนี่ยแม่ ทำไมแม่ต้องห้ามหนูเป็นเพื่อนกับปัฐ”
มาลัยคิดในใจ “ที่แม่ห้ามแกคบกัน เพราะแกเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันน่ะซิ”
แต่พูดออกไปบอกใครดังคิดไม่ได้ มาลัยเครียดจัดน้ำตาไหลออกมา
ดาวรายเดินเข้ามาในวงสนทนา
“ปัฐ ลูกทำแบบนี้ได้ยังไง ลูกเป็นผู้จัดการโฮมสเตย์ แต่กลับหายไปทั้งวัน”
“ผมก็มีธุระบ้างซีครับ ป่านเขาดูแลได้นี่”
ดาวรายตำหนิ “จะให้น้องดูแลคนเดียวได้ยังไง”
“ก็...” ปัฐวีมองมาทางน้อง ปานวาดรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องเลยพี่ปัฐ ปอมีกิจการของปอต้องดูแลเหมือนกัน”
“ไอ้งานการกุศลกลุ่มแม่บ้านอะไรของเธอนั่นน่ะนะ ได้เงินกลับเข้าบ้านมาซักเท่าไหร่ มีแต่ควักเนื้อ”
ระหว่างนั้น ปกป้องเดินเข้ามาในบ้านพอดี ได้ยินเสียงดาวรายเอะอะโวยวาย เลยหยุดแอบฟัง
“ก็ได้ค่ะ วันหลังก็กำหนดมาเลย ใครอยู่เวรวันไหน เวลามีเรื่องจะได้ไม่ต้องโทษกันไปโทษกันมา”
“มีเรื่อง มีเรื่องอะไรเหรอ”
“พี่ยังไม่รู้ล่ะซี แม่กับป่านไปทะเลาะกับชาวบ้าน ตีกันตกลงไปในคลองเลย”
“ตกลงไปในคลอง” ปฐวีตกใจ หันมามองดาวราย “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอแม่”
“ไอ้พวกนั้นน่ะ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่มันเป็นศัตรูของเรา”
ปฐวีอึ้งไป “เรามีศัตรูด้วยเหรอ”
“รู้สึกจะเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่รุ่นปู่กับย่า” ปานวาดว่า
“จนวันนี้มันก็ยังเป็นอยู่ พวกบ้านนั้นน่ะ มันทำให้ลุงแกตาย รู้ไว้ด้วย”
ปัฐวีไม่ค่อยได้สนใจนัก “แม่ เราคนค้าคนขาย อย่าไปสร้างศัตรูกับใครเลยครับ”
“แต่ไอ้พวกนั้นมัน...”
ปัฐวีลุกขึ้น “ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอพักผ่อนก่อนละกันครับ ไว้พรุ่งนี้จะมาคุยด้วยใหม่”
พร้อมกับว่าปัฐวีเดินหนีขึ้นชั้นบนไปเลย ปานวาดลุกตาม
“ตกลงเอาอย่างที่ปอเสนอนะคะ ไว้มาจัดเวรกัน ใครจะเฝ้าโฮมสเตย์วันไหน”
ปานวาดเลี่ยงหนีขึ้นชั้นบนตามพี่ชายไป
“เดี๋ยวซียัยปอ”
ดาวรายเรียกลูกสาวไว้ แต่ไม่ทันแล้ว จึงเดินหงุดหงิดเข้าไปในครัว
ปกป้องพาตัวเองออกมาจากที่หลบฟังอยู่ คิดหนัก
ดาวรายพกความหงุดหงิดเข้ามาในครัว สักครู่หนึ่งปกป้องจึงตามเข้ามา
“ท่าทางกำลังเครียด”
“เครียดซี ลูกพี่น่ะมีอะไรไม่คิดจะช่วยกันเลย”
“ได้ยินว่ามีเรื่องอะไรกับใคร” ปกป้องหยั่งเชิง
“จะกับใคร ก็นังมาลามาลัยน่ะซี”
“พวกเขามาที่นี่เหรอ”
“มาเยี่ยมนังน้องสาวขี้โรคของมันมั้ง พากันมาหมด ลูกชายสองคนของมันด้วย มาถึงก็มาหาเรื่องลูกป่านเลย ดีนะที่ดาวอยู่ด้วย ไม่งั้นลูกป่านต้องถูกรุมแน่ๆ”
“ก็ไม่รู้จะไปมีเรื่องกับเขาทำไม”
ดาวรายปรี๊ด “เอ๊ะ นี่พี่ฟังดาวหรือเปล่า พวกมันมาหาเรื่องเราก่อน”
“ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันเป็นเรื่อง มันก็จบ”
“พี่เข้าข้างมันเหรอ”
“พี่ไม่อยากให้ดาวกับลูกไปมีเรื่องทะเลาะกับใคร แล้วเรื่องใครเป็นศัตรูกับใครเนี่ย พอซักทีได้ไหม ไม่ต้องไปเล่าให้ลูกฟังด้วย มันไม่ได้ประโยชน์อะไร”
“ทำไมจะเล่าไม่ได้ เรื่องของคนเลว ดาวต้องเล่าให้ลูกรู้ เขาจะได้ระวังตัว ไม่ไปยุ่งกับพวกมัน”
“พอเหอะ” ปกป้องขึ้นเสียงใส่ ด้วยอาการเบื่อหน่ายเหลือเกิน
ดาวรายพาลพาโล “พี่รับไม่ได้ใช่ไหม ที่ดาวด่ามันว่าเลวน่ะ พี่ยังมีใจให้มันอยู่ใช่ไหม”
ปกป้องหงุดหงิดเต็มที่ “โอ๊ย อะไรของเธอ”
“อย่าให้รู้เชียวนะ ถ้าพี่ไปยุ่งกับมัน ดาวไม่เอาไว้หรอก”
ปกป้องส่ายหน้าโบกมือไม่อยากใส่ใจ แล้วเดินออกจากห้องครัวไป
ดาวรายมองตามไป อย่างไม่เชื่อใจนัก
วันรุ่งขึ้น ชลกรอยู่ที่ห้องประชุมในออฟฟิศแล้ว
จอโปรเจ๊กเตอร์ในห้องประชุม ฉายภาพของปานวาดที่ชลกรถ่ายมา ภาพแล้วภาพเล่า ส่วนใหญ่เป็นภาพปานวาดกับดอกไม้ประดิษฐ์ และปานวาดกับมุมต่างๆ ในตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ยังมีภาพร้านรวงและผู้คนในตลาดน้ำดูมีชีวิตชีวาอีกหลายภาพ
บก.นั่งมองภาพบนจอไป ขณะที่ชลกรเคาะคีย์บนโน้ตบุ๊กเปลี่ยนภาพไป จนถึงภาพสุดท้าย เป็นภาพของปานวาดยิ้มสดใสให้กล้อง
“หมดแล้วครับ”
บก.หันมามองชลกรนิ่งไปครู่หนึ่ง ทำเอาชลกรลุ้นเยี่ยวเหนียว
“เห็นไหม คุณทำงานให้ดีก็ทำได้”
ชลกรยิ้มออก “บก.ชอบเหรอครับ”
“ชอบซี นี่แหละภาพที่มีชีวิตชีวา ผมซื้อทั้งหมด”
ชลกรยิ้มกว้าง “ขอบคุณครับ เอ่อ แล้วเรื่องบทความ ผมจะเขียนเรื่องตลาดน้ำบางน้ำผึ้งนะครับ”
“นั่นไง ผิดทางอีกแล้ว รูปของคุณที่มีชีวิตชีวา คือรูปของสาวน้อยคนนั้น คุณเขียนเรื่องของเขามาเลย รู้จักเขาแค่ไหน”
“ก็ เพิ่งรู้จักครับ เขาทำงานกับกลุ่มแม่บ้าน แล้วก็ทำโฮมสเตย์ของครอบครัว”
“นั่นแหละ ทำเรื่องของเขา ชีวิตของเขา โฮมสเตย์ด้วยก็ได้ ถ่ายรูปมาเพิ่มอีก” บก.ลุกขึ้น จะเดินออกไป แล้วหันกลับมา “แล้วเขียนบทความให้มันมีชีวิตชีวาด้วยล่ะ ทำให้ทุกคนที่อ่าน อยากจะไปเจอตัวจริงของสาวน้อยคนนี้เลย”
“ได้ครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด”
บก.ออกจากห้องประชุมไป
ชลกรยิ้มปลื้มรู้สึกดี มองไปยังภาพปานวาดบนจออย่างหลงใหล
อีกฟากหนึ่ง ขณะที่ดุจเดือนกำลังจัดเสื้อผ้าง่วนอยู่ที่มุมฝ่ายเสื้อผ้าของกองถ่าย เมื่อมองไปข้างนอกเห็นปัฐวีกำลังเดินตรงมา ใกล้จะถึงแล้ว เธอจึงมองหาที่หลบ รีบเข้าไปซ่อนตัวในนั้น
ปัฐวีเดินมาถึง มองเข้าไปในบริเวณมุมราวเสื้อผ้า ไม่เห็นมีใครอยู่ที่นั่นก็งงๆ สอดตามองหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอดุจเดือน
ปัฐวีละตัวออกมาจากบริเวณนั้น กำลังจะเดินไปหาที่อื่น โปรดิวเซอร์ทอมฮะเดินเข้ามาพอดี
“ขอโทษครับ วันนี้ดุจไม่มาเหรอครับ”
“มานี่ เมื่อกี้ยังทำงานอยู่ในนั้นเลย”
ดุจเดือนแอบซ่อนอยู่ เห็นและได้ยินปัฐวีกับโปรดิวเซอร์คุยกันด้วย
“แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
“คงไปห้องน้ำมั้ง รอแป๊บนึงเดี๋ยวก็มา”
ปัฐวีรับคำ ตกลงว่าจะรอ
โปรดิวเซอร์เออ วันก่อนที่คุณชวนให้ไปถ่ายที่โฮมสเตย์ของคุณน่ะ ยังสะดวกอยู่หรือเปล่า
ปัฐวีสะดวกซีครับ จะไปวันไหน ถ่ายตรงไหนบอกได้เลยครับ ผมยินดีมาก
โปรดิวเซอร์อาจจะเป็นอาทิตย์หน้า
เสียงดุจเดือนไม่ได้นะคะ
ทั้งปัฐวีและโปรดิวเซอร์หันไปมอง
ดุจเดือนออกมาจากที่ซ่อน เดินมาหาทั้งสอง
ดุจเดือนจะไปถ่ายละครที่โฮมสเตย์เขาไม่ได้นะคะ
ปัฐวีงง ไม่เข้าใจ ดุจเดือนก็พูดโดยไม่มองหน้าเขา
โปรดิวเซอร์ทำไมจะไปถ่ายไม่ได้ล่ะ
ดุจเดือนดุจขอร้องนะคะ อย่าไปถ่ายที่นั่น ถ้าจะไปถ่ายจริงๆ ดุจจะขอลาออก
ปัฐวีตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น
ปานวาดเดินเข้ามาหาแม่บ้านที่ปูเสื่อนั่งทำดอกไม้อยู่ลำพัง
“มาสายกันหมดเลย”
“เดี๋ยวก็คงทยอยกันมาล่ะจ้ะ แต่จริงๆ ดอกไม้ของเก่าก็ยังเหลือนะ”
“เราต้องทำให้ได้ยอดตามแผนซีคะ จะได้มีรายได้พอแบ่งกัน ถ้ามันเหลือเดี๋ยวปอจะเอาไปขายตลาดนัดให้เอง”
“กินแรงหนูปออีกแล้ว เออ นึกได้ มีคนเอาจดหมายมาฝากไว้ให้หนูปอ”
แม่บ้านลุกเดินไปหยิบซองจดหมายที่ตู้เอามาให้ ปานวาดรับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ แกะซองเปิดกระดาษข้างในออกมาอ่าน มีข้อความเขียนว่า
“รอคุณอยู่ที่สวนศรีนครฯ ชลกร”
ปานวาดเงยหน้าขึ้นมา มองซ้ายมองขวากลัวว่าแม่หรือปานดาวจะมาเห็น แล้วรีบพับจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง
“น้า ปอไปธุระแป๊บนะ ถ้าคนอื่นมาก็ให้ทำดอกไม้กันไปเลย”
แม่บ้านพยักหน้ารับคำ ปานวาดรีบออกจากร้านไป
ปานวาดเดินเข้ามาที่ทางเข้าสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ แล้วสอดตามองเข้าไปในสวน ชลกรก็เห็น เดินออกมาจากหลังต้นไม้โบกมือเรียก สองคนเดินเข้าหากัน
“รอนานหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ ผมเก็บภาพโน่นนี่ไปเรื่อย”
ปานวาดชี้ไปที่มุมหนึ่งในสวน “เราไปคุยกันตรงโน่นดีกว่า”
สองคนเดินออกไป
ที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ห่างจากสายตาผู้คนหน่อย ปานวาดและชลกรนั่งลงที่ม้านั่งนั้น
“ไม่อยากเชื่อว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน”
“พ่อแม่เราต่างหากครับที่เกลียดกัน แต่ผมไม่เคยคิดเหมือนพวกเขา คุณล่ะ”
“ฉันมันพวกแกะดำของบ้านอยู่แล้ว”
“หมายความว่า คุณไม่ได้เกลียดผม”
“หมายความว่า ดูๆ ไปก่อน ถ้าคุณทำไม่เข้าท่าค่อยเกลียด”
ชลกรยิ้มขำ “ช่วยเตือนผมด้วยละกัน จะได้ไม่ทำ”
“อืม ตกลงอยากเจอฉันเรื่องอะไร”
“ผมมีข่าวดีมาบอก รูปที่ผมถ่ายคุณ บก.ของผมเขาชอบ เขาตกลงจะเอาลงพิมพ์ ทีนี้พอดีมันเกิดเรื่องแย่ๆของพ่อแม่เราขึ้นมา ผมเลยต้องมาถามคุณก่อน ว่าคุณยังอยากจะให้ลงพิมพ์หรือเปล่า หรือถ้าเปลี่ยนใจ...”
ปานวาดบอกทันที “เอาลงได้เลย หน้าปกด้วยยิ่งดี”
ชลกรยิ้มดีใจ “ขอบคุณครับ ผมโล่งอกเลยรู้ไหม จริงๆแล้วผมอยากลงรูปของคุณมาก ผมไม่สนด้วยว่าบ้านผมเขาจะว่ายังไง”
“ฉันก็ไม่สน”
“บางทีมันอาจจะเป็นผลดีสำหรับครอบครัวเราด้วยนะครับ ถ้าการตีพิมพ์ครั้งนี้ช่วยโฆษณาโฮมสเตย์ให้ทางบ้านคุณ ครอบครัวเราอาจจะรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นก็ได้”
“อืม ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
สองคนยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
“ปอมีทางเพิ่มลูกค้าให้โฮมสเตย์ของเราแล้ว”
ปานวาดคุยอยู่กับดาวรายที่ล้อบบี้โฮมสเตย์ ดาวรายหันมาถามอย่างสนใจ
“จะทำยังไง”
“มีคนเขาพร้อมจะเอาเรื่องโฮมสเตย์ของเราลงพิมพ์ในนิตยสารท่องเที่ยว”
“จริงเหรอ ต้องจ้างเท่าไหร่ล่ะ”
“ฟรีค่ะ”
“หืม ทำไมเขาถึงจะทำให้ฟรีๆ มีเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า ขอห้องพักฟรีเหรอ”
“เขามีเงื่อนไขเดียว แม่จะต้องยอมให้เขาลงพิมพ์”
“แล้วทำไมแม่ถึงจะไม่ยอม”
“เพราะเขาคือ ลูกชายอีกคนของน้ามาลา”
ดาวรายตกใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง “อะไรนะ ทำไม ลูกไปรู้จักกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ถ้าแม่พยายามระงับสติหน่อย ปอก็จะเล่าให้ฟัง”
“แม่ไม่ระงับอะไรทั้งนั้นล่ะ ลูกจะไปยุ่งกับลูกบ้านนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“ยุ่งอะไรกันล่ะแม่ แค่รู้จักกัน เราเป็นเพื่อนกัน”
“เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ แม่ห้ามเด็ดขาด”
“แม่ เรื่องความแค้นของแม่เนี่ย มันเป็นมรดกตกทอดได้ด้วยเหรอ”
“ถ้ากับบ้านนั้น มันเป็น แม่บอกไว้ก่อนเลยนะ อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมัน”
“เขาจะช่วยโฆษณาให้ฟรีๆ ก็ไม่เอา ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว”
ปานวาดเดินเบื่อหน่ายออกไป ดาวรายมองตามไป ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ห่างออกมาจากกองถ่าย ดุจเดือนกับปัฐวีนั่งคุยกันอยู่แถวนั้น
“ผมตกใจหมดเลย ตอนที่ได้ยินดุจบอกว่าจะลาออก ถ้าละครไปถ่ายที่โฮมสเตย์ของผม”
“ต้องขอโทษด้วยนะ ตอนนั้นคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไง ถึงจะหยุดเรื่องนั้นได้ ถ้าเขาไปถ่ายที่นั่นจริง แม่ดุจรู้เข้า ก็จะต้องโกรธดุจมาก หรือถ้าแม่ปัฐรู้ว่าดุจเป็นใคร...อะไรจะเกิดขึ้นกับปัฐ”
“แม่ผมก็คงจะเล่นงานดุจด้วยแหละ ขนาดสู้กับแม่ดุจจนตกลงไปในคลองก็ยังทำได้”
ดุจเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะคิกคักนึกขำขึ้นมา
“ขำอะไร”
“กำลังนึกถึงภาพตอนแม่ดุจกับแม่ปัฐสู้กันจนตกลงไปในคลอง” ดุจเดือนหัวเราะขำอีก
“นั่นซี เขาทำได้ยังไง เคยเห็นคลิปเด็กวัยรุ่นตีกัน เราก็ว่ามันทุเรศแล้วนะ แต่นี่คนรุ่นแม่” ปัฐวีพลอยขำไปด้วย
“ไม่แน่ วันนั้นอาจมีคนถ่ายคลิปไว้ก็ได้ ต้องรอหน่อยอาจได้เห็นในเน็ต”
ปัฐวีหัวเราะ “อยากให้มีเหมือนกัน จะได้เอาไปใหเขาดู เผื่อจะรู้สึกอายบ้าง”
สองคนหัวเราะกัน แล้วก็พากันนิ่งไป ด้วยตระหนักว่า จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกเอาเลย
“แย่เนอะ”
“แย่ที่สุด” ปัฐวีนิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ผมไม่แคร์นะ เรื่องของพ่อแม่ทะเลาะกัน ทำไมต้องมาเกี่ยวกับเราสองคนด้วย แต่ดุจคงคิดไม่เหมือนผม”
“ดุจไม่บู๊เหมือนปัฐนี่ ดุจกับแม่ไม่เคยมีปัญหากันเลย”
ปัฐวีนิ่งไปอีก “แต่ถ้าดุจลำบากใจเรื่องนี้ ผมก็...”
ดุจเดือนขัดขึ้น “มันต้องมีทางออกอื่น บางที ถ้าพ่อกับแม่ได้รู้จักปัฐจริงๆ ก็จะรู้ว่าปัฐเป็นยังไง เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“ผมไม่ค่อยแน่ใจ”
“เรื่องนี้มันต้องวางแผนกันหน่อย ให้เวลาดุจคิดก่อน”
พร้อมกับว่า ดุจเดือนเอื้อมมือมากุมมือปัฐวีไว้ให้กำลังใจกัน
ปานดาวกำลังทำบัญชีรายรับรายจ่ายของโฮมสเตย์อยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารโฮมเสตย์ มีแฟ้มใส่ใบเสร็จอยู่ข้างหน้า พร้อมกับสมุดบัญชี และเครื่องคิดเลข
ปานดาวพลิกใบเสร็จแต่ละใบ แล้วจดลงไปในบัญชี พร้อมกับใช้เครื่องคิดเลขบวกเลข
ปานดาวทำไปจนถึงใบเสร็จใบสุดท้าย แล้วบวกเลข พอผลออกมา ปานดาวถึงกับถอนใจ แล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ เหมือนจะหมดแรง
“ติดลบตั้งสามหมื่นกว่า จะโลว์ซีซั่นแล้วด้วย แบงก์จะให้กู้อีกไหมเนี่ย เบื่อต้องหวานกับอีตาผู้จัดการคนนี้จริงๆ”
ปานดาวเปิดกระเป๋าถือ หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมา กำลังจะกดเบอร์
ทันใดเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นก่อน ปานดาวดูที่จอมือถือเห็นชื่อ “อวยชัย โรงงาน” จึงกดรับ คุยสาย
“สวัสดีค่ะ ปานดาวพูดค่ะ”
“ผมอวยชัยนะครับ จากโรงงานบรรจุภัณฑ์ จำได้ไหมครับ”
“จำได้ค่ะ”
“จะโทร.มาคุยเรื่องจัดประชุมผู้บริหารโรงงานน่ะครับ ตอนนี้วันเวลาเดิม ทางโฮมสเตย์ยังว่างอยู่ไหมครับ”
ปานดาวนิ่งฟัง
อีกฟากหนึ่ง อวยชัย หัวหน้าฝ่ายบุคคลของโรงงานยืนคุยสายอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชยพลนั่นเอง และเพิ่งวางสายจากปานดาว
“เขาบอกว่าตามแผนเดิม โฮมสเตย์ยังว่างอยู่ครับ”
ชยพลนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยิ้มพอใจ
“แต่เขาไม่รับงานโรงงานของเราครับ”
ชยพลชะงัก “ว่าไงนะ”
“เขาว่าเขาไม่สนใจเงินของเรา อย่าไปยุ่งกับเขาเลยครับ ผมกำลังหาที่อื่นให้อยู่ บางแสนเดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นเยอะนะครับ”
“ไม่ ผมต้องการใช้ที่นี่” ชยพลคิดปราดเดียว “เอางี้ คุณโทรกลับไปใหม่ บอกว่าผู้บริหาร ของเราส่วนใหญ่ชอบที่นั่น แล้วยืนยันว่าจะใช้บริการที่นั่น แล้วบอกไปด้วยว่า ผมจะไม่ไปร่วมงาน”
“นายน้อยไม่ไปแล้วมันจะ...”
“พูดกับเขาอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ พยายามตื้อให้เขารับงานเราให้ได้”
“ได้ครับ”
ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์มือถือของปานดาวดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มาดูชื่อหน้าจอ กดรับพูดสาย ด้วยท่าทีหงุดหงิดเอาการ
“นี่คุณ ดิฉันบอกแล้วไงว่าเราไม่รับงานโรงงานของคุณ”
“ทางผู้บริหารของเราเขายืนยันว่าต้องการใช้ที่นั่นน่ะครับ บางคนเคยไปใช้บริการแล้วเขาติดใจ”
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะคะ แต่ยังไงก็คงรับงานไม่ได้”
“เราจะเพิ่มงบประมาณได้อีกนิดหน่อยนะครับ”
“ดิฉันไม่หน้าเงินขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เอางี้ คุณจะรู้สึกดีขึ้นไหมถ้าผมบอกว่า เจ้านายผมเขาจะไม่ไปร่วมงานด้วย”
ปานดาวชะงัก “ไม่มาเหรอ”
“ครับ จะมีแต่ระดับรองๆ แล้วก็ผู้ถือหุ้นบางคน จำนวนตามที่คุณเคยทำแผนมาเสนอน่ะครับ นะครับ ผมขอร้อง รับงานของเรานะครับ”
“ก็ได้ค่ะ” ปานดาวฟอร์มใส่ “เราจะช่วยรับงานโรงงานคุณ”
“ขอบคุณมากเลยครับ แล้วผมจะโทรไปนัดแนะกับคุณอีกทีนะครับ...สวัสดีครับ”
อวยชัยวางสาย หันมาทางชยพลที่รอฟังผลอยู่
“เรียบร้อยครับ โฮมสเตย์รับงานของเราครับ”
ชยพลยิ้มร้าย แววตาเจ้าเล่ห์ “คุณทำได้ดีมาก ขอบคุณ”
ทางด้านดาวรายหอบตะกร้าใส่ผ้าที่ซักแล้วพับไว้ เดินขึ้นบันไดมา จะเอาผ้ามาเก็บในห้องนอน เดินมาจนถึงหน้าห้องนอน จับลูกบิดประตูจะเปิดเข้าไป แต่ได้ยินเสียงของปกป้องจึงชะงักไว้
“มาลีเหรอ นี่พี่ป้องเองนะ ได้ข่าวว่าไม่สบาย เป็นยังไงบ้างล่ะ”
ดาวรายค่อยๆ แง้มประตูมากขึ้น แล้วมองเข้าไป เห็นปกป้องนั่งหันหลังให้ประตู ดาวรายแอบฟัง
ปกป้องนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงในห้อง หันหลังให้ประตู
“ต้องพักผ่อนมากๆ แล้วก็กินอาหารให้ครบหมู่...เอ่อ ก็ไม่มีอะไรหรอก อยากขอเบอร์ของมาลาเขาน่ะ...เรื่องงานน่ะ อยากจ้างโรงงานเขาทำกล่องใส่ของฝากหน่อย...แหม ก็เรารู้จักกับเถ้าแก่เนี้ย คุยโดยตรงไม่ดีกว่าเหรอ...แค่เรื่องงานจริงๆ ไม่มีเรื่องอื่น...ได้จ้ะ แป๊บนะ”
ปกป้องเอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกามา จดเบอร์โทรศัพท์ของมาลาลงในกระดาษ
ดาวรายยังแอบดูอยู่ ท่าทางไม่พอใจ
“ขอบคุณมากจ้ะ หายป่วยไวๆ นะ”
ปกป้องกดเบอร์ที่จดไว้ ถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง
“มาลาเหรอ นี่พี่ป้องนะ...เดี๋ยวซี อย่าเพิ่งวางสาย ฟังพี่ก่อน...พี่รู้เรื่องที่มาลัยกับลูกของมาลาทะเลาะกับดาวรายแล้ว...พี่อยากจะขอโทษแทนดาวรายเขา”
ดาวรายหงุดหงิดหนักขึ้น
“เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม...ก็แค่อยากคุยด้วย อยากสอบถามสารทุกข์สุขดิบน่ะ ไม่ได้เจอกันยี่สิบห้าปีแล้วมั้ง...ได้ มื้อเย็นนี้ก็ได้ มาลาสะดวกที่ไหนล่ะ”
ดาวรายหึงหวง แววตาวาววับโกรธจัด
รถปกป้องแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถของร้านอาหาร ปกป้องลงรถเดินตรงเข้าไปในร้าน
แท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่บนถนนหน้าร้านอาหาร ดาวรายลงจากรถหยุดยืนอยู่ที่ฟุตบาทมองเข้าไปในร้าน นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
จู่ๆ ปกป้องเดินออกมาหน้าร้าน ดาวรายต้องรีบหลบเข้าหลังต้นไม้ แอบดูปกป้อง
ที่แท้ปกป้องลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในรถ ก้มหยิบออกมาแล้วปิดประตู จู่ๆ รู้สึกเหมือนมีใครแอบมองเขาอยู่ ปกป้องหันมามองที่ริมถนน ดาวรายทำตัวลีบเล็กติดกับต้นไม้
ปกป้องรู้สึกตัวว่ามีคนมองตามเขาแน่ ตัดสินใจเดินออกมาที่ริมฟุตบาท มองไปยังต้นไม้ซึ่งดาวรายแอบอยู่เมื่อครู่ แต่ที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้ว ปกป้องมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นใคร จึงเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร
ปกป้องเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ซึ่งมาลานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ปกป้องชวนคุยติดตลก
“สงสัยตื่นเต้นที่จะได้เจอมาลา เลยลืมโน่นลืมนี่” มาลายังคงนั่งเฉยๆ “สั่งอะไรหรือยัง”
มาลาส่ายหน้า “ยังค่ะ”
ปกป้องหันไปยกมือเรียกบริกร สักครู่บริกรเดินเข้ามาพร้อมกับส่งเมนูให้ทั้งคู่ คนละเล่ม ปกป้องเปิดเมนูดูรายการอาหารพลางบอก
“เลือกเมนูเลย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มาลาทานมาแล้ว”
“อ้าว พี่ก็กะจะเลี้ยงข้าวหน่อย”
“พี่อยากคุยอะไรก็ว่ามาเลยค่ะ หมดธุระแล้วมาลาจะได้กลับ”
“อยู่คุยกันนานๆ หน่อยซี ไม่ได้เจอกันตั้งยี่สิบกว่าปี”
“มาลาไม่มีอะไรจะคุย”
“แต่พี่มีเยอะมาก”
มาลานิ่งไปไม่ตอบอะไร แต่ทำมือเหมือนจะบอกว่าเริ่มพูดได้เลย
“เริ่มเลย ก็ต้องบอกว่าพี่ดีใจมากที่ได้เจอมาลา” มาลาพยักหน้ารับ แต่ไม่แสดงอาการอะไร “แล้วก็อยากจะขอโทษ ที่ดาวรายเขาไปมีเรื่องกับมาลัย”
“เรื่องนั้นพี่ควรจะไปบอกมาลัยมากกว่า”
“บอกผ่านมาลานี่แหละ แล้วก็อยากจะขอโทษเรื่องแย่ๆ ในอดีต ที่พี่ทำไว้กับมาลาด้วย”
“มาลาลืมไปหมดแล้ว”
ปกป้องดีใจ “มาลายกโทษให้พี่แล้วใช่ไหม”
“เปล่า แค่ตัดมันทิ้งไปจากความทรงจำ”
ปกป้องอึ้ง “พี่อยากให้เรา อย่างน้อยก็กลับมาเป็นเพื่อนกัน”
มาลาลุกขึ้นยืน “จะบอกให้นะพี่ แม้แต่เป็นแค่คนรู้จัก มาลาก็ว่ามันมากเกินไปแล้ว หมดเรื่องคุยแล้ว มาลาขอตัวก่อน”
มาลาเดินออกไปจากร้านอาหารทันที ปกป้องได้แต่นั่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก
ดาวรายรีบกลับบ้านมาก่อน เวลานี้นั่งรอปกป้องอยู่ในห้องรับแขก พยายามข่มความโกรธเต็มที่ จนกระทั่งปกป้องกลับเข้ามาในบ้าน และต้องชะงักเมื่อเห็นดาวรายเหมือนนั่งรออยู่ ดาวรายลุกขึ้นยืนถามขึ้นทันทีว่า
“วันนี้พี่หายไปไหนมาทั้งวัน”
“ไปหาเพื่อนน่ะ”
“เพื่อนคนไหนคะ”
ปกป้องคิดปราดเดียว “ก็...ไอ้อู๊ด”
“ไปหาพี่อู๊ดมาเหรอคะ แหม น่าจะชวนกันหน่อย คิดถึงแกอยู่ งั้นดาวโทร.ไปชวนแกมาทานข้าวเย็นพรุ่งนี้ดีกว่า” ดาวรายหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา
ปกป้องรีบบอก “ไม่ต้อง”
ดาวรายจ้องหน้าผัว “ทำไมล่ะคะ”
“มันไปต่างจังหวัดแล้ว ไปตั้งแต่ตอนแยกกัน”
“งั้นก็โทร.ไปบอกว่า เสียดายไม่ได้ไปกับพี่”
ปกป้องนิ่งงันไป “ตามใจ อยากโทร.ก็โทร.”
จากนั้นปกป้องก็เดินเข้าห้องครัวไป ดาวรายคุมแค้นมองตามปกป้องไปด้วยท่าทีโกรธขึ้ง
“จนป่านนี้แล้ว พี่ยังไม่ลืมนังมาลามันอีก”
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
หลายวันต่อมา ดุจเดือนยืนรออยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง สักครู่จึงเห็นก้องภพเดินยิ้มเข้ามาหา
“กลัวพ่อหลงหรือไง ถึงมารอที่นี่”
ดุจเดือนคล้องแขนก้องภพหมับพลางว่า “กลัวพ่อหนีมากกว่า”
“ลูกสาวจะแนะนำคนสำคัญให้พ่อรู้จัก พ่อจะหนีได้ยังไง”
“แค่เพื่อนอยู่ค่ะพ่อ เขาอยากขอคำแนะนำเรื่องธุรกิจจากจอมยุทธอย่างพ่อ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“มาเถอะค่ะ เขารออยู่แล้ว”
ดุจเดือนควงแขนก้องภพเข้าไปในร้านอาหาร
ปัฐวีมองไปเห็นดุจเดือนควงแขนก้องภพเดินเข้ามา ก็ข่มความตื่นเต้นเตรียมพร้อม พอสองคนเดินเข้ามาใกล้ ปัฐวีก็ลุกขึ้นไหว้ทักก้องภพ
“สวัสดีครับคุณพ่อ”
“สวัสดีครับ” ก้องภพรับไหว้แล้วหันมามองเหล่ดุจเดือน “แค่เพื่อนแต่เรียกพ่อเลยนะ”
ดุจเดือนตีแขนพ่อเบาๆ “เขาก็เรียกพ่อเพื่อนว่าพ่อกันทั้งนั้นแหละ”
ก้องภพหัวเราะขำๆ อาการเขินของลูกสาว ทั้งสามนั่งลง
“ผมชื่อปัฐวีนะครับ เรียกปัฐก็ได้”
“ส่วนฉันก็...เรียกพ่อก้องก็ได้”
ปัฐวียิ้มรับมุกของก้องภพ
ก้องภพหิวจัง สั่งอะไรกินกันเลยก็แล้วกัน
ทั้งสามคนเอาเมนูมาดู
เวลาผ่านไป มีจานอาหารอยู่ตรงหน้าทุกคน อาหารถูกกินไปเกินครึ่งแล้ว
ก้องภพเอ่ยขึ้นว่า “ดุจเขาบอกว่าเธออยากคุยกับฉันเรื่องธุรกิจ”
ปัฐวีเหลือบมองดุจเดือน แกฝ่ายพยักหน้าให้พูด
“ครับ คือทุกวันนี้ผมช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจของท่านอยู่น่ะครับ กำลังคิดอยากจะหากิจการของตัวเอง ดุจเขาแนะนำว่าคุณพ่อก้องเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เลยอยากขอคำแนะนำว่า ช่วงนี้เราควรจะจับธุรกิจตัวไหนดี”
“จริงๆ ช่วงนี้เศรษฐกิจบ้านเรามันก็ยังไม่ค่อยดีนะ ถ้าจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆมันอาจจะเสี่ยง แล้วก็มีธุรกิจบางตัวที่ไม่ควรคิดทำเลย อย่างร้านกาแฟ ร้านหมูกระทะ อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ร้านมือถือ พวกนี้ไม่ดีตั้งแต่ปีที่แล้ว”
“ฟังแล้วมีแต่ที่ผมเล็งๆ ไว้ทั้งนั้นเลย สงสัยหมดหวัง”
“มันก็ยังมีบางตัวที่น่าจะไปได้ดีนะ อย่างพวกธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจจักรยาน ขายอุปกรณ์กีฬาออนไลน์ แล้วก็พวกที่พักราคาถูก หรือโฮมสเตย์ พวกนี้ก็โอเค”
ปัฐวียิ้มออกหันมามองหน้าดุจเดือน อีกฝ่ายก็ยิ้มด้วย
“ทำไม มีอะไรเหรอ” ก้องภพมองฉงน
“ก็ที่ปัฐเขาทำอยู่ตอนนี้คือโฮมสเตย์ของพ่อแม่เขา”
“จริงเหรอ ทำอยู่ที่ไหน”
“ที่บ้านผมครับ บางน้ำผึ้ง”
“บางน้ำผึ้ง พ่อก็มีญาติทำโฮมสเตย์อยู่ที่นั่น” ก้องภพชะงัก “หรือว่า...รู้จักคนชื่อปกป้องไหม”
“นั่นพ่อผมครับ”
“ปัดโธ่ งั้นเราก็เป็นญาติกันน่ะซี เรียกฉันพ่อไม่ได้แล้ว ต้องเรียกลุง”
ดุจเดือนกังวลใจ “ยังไงเหรอคะพ่อ”
“ทวดของพ่อ เป็นพี่ของสามีของน้องสาวทวดพ่อของปัฐเขา”
“เดี๋ยวๆ เอาใหม่ซิครับ” ปัฐวีงง
ก้องภพหัวเราะ “พ่อว่าพูดได้ครั้งเดียวนะ พูดอีกจะเหมือนเดิมหรือเปล่า คืองี้นะ…ทวดของพ่อ เป็นพี่ของสามีของน้องสาวทวดของพ่อเธอ”
ปัฐวีส่ายหน้า ยังลำดับไม่ถูกอยู่ดี ดุจเดือนถามแทนว่า
“เป็นญาติระดับไหนกันเหรอคะ”
“จริงๆ เหมือนเป็นดองกันมากกว่า ทางสายเลือดน่ะแทบไม่เกี่ยวกัน แต่คิดแล้วก็ขำนะ โลกนี้มันแคบจริงๆ มิน่า ลุงถึงรู้สึกถูกชะตาเธอตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก”
ก้องภพยิ้มขำ ดุจเดือนกับปัฐวีมองหน้าสบตากัน หญิงสาวโล่งอก อย่างน้อยสองคนก็ไม่ได้เป็นญาติสนิทจนรักกันไม่ได้ และรู้สึกดีที่ก้องภพชอบปัฐวี
ในคืนนั้น เสียงเคาะประตูห้องดุจเดือนที่บ้านตายายดังขึ้น ดุจเดือนอยู่ในชุดนอนแล้วเดินมาเปิดประตู เห็นก้องภพในชุดนอนยืนอยู่หน้าห้อง
“มีอะไรคะพ่อ”
“พ่อคุยด้วยหน่อยซี”
ดุจเดือนถอยให้ ก้องภพเข้ามาในห้องหันมาหาดุจเดือนพลางว่า
“เรื่องปัฐวี”
ดุจเดือนชะงัก หน้าเสียไปนิด คิดไปว่าอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี “พ่อไมชอบเขาเหรอคะ”
ก้องภพยิ้ม “ใครบอก พ่อชอบเขามาก รู้สึกถูกชะตาเลยล่ะ”
“ดุจดีใจที่พ่อชอบปัฐ” ดุจเดือนยิ้มออก
“ที่พ่ออยากถามก็คือ ตกลงเขาเป็นแฟนลูกใช่ไหม”
“ไม่ใช่ค่ะ ก็บอกแล้วไงคะว่าเป็นแค่เพื่อน”
“งั้นก็ เพื่อนที่เป็นคนพิเศษ กว่าเพื่อนคนอื่นใช่มั้ย” ก้องภพยิ้มยื่นหน้าไปจ้องตาลูกสาวใกล้ๆ เป็นเชิงหยอกล้อที่ทำเป็นประจำ
ดุจเดือนขำๆ เขินๆ “เราเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ค่ะ ดุจไม่กล้าคิดอะไรมากกว่านั้นหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ทั้งตาทั้งยาย แล้วก็แม่ด้วย พวกเขาไม่ชอบปัฐเลย เพราะปัฐเป็นลูกของน้าดาวรายกับลุงปกป้อง”
“อ๋อ ต้องเป็นเรื่องความแค้นในอดีตแน่ๆ บ้านป้องเขาเกลียดบ้านแม่มาลัย เพราะผู้กองปองพล พี่ชายป้องจมน้ำตายตอนไปช่วยมาลี ทางบ้านตากับยายลูก ก็เลยพลอยเกลียดเขาไปด้วย เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาของลูกกับปัฐหรอก”
ดุจเดือนพ่อคิดอย่างนั้นเหรอคะ
ก้องภพใช่ แต่ในเมื่อลูกบอกว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน พ่อก็ว่าดีแล้ว เพิ่งรู้จักกัน ให้ใช้เวลาเรียนรู้กันไปอีกหน่อย ถ้าเมื่อไหร่แน่ใจว่าใช่ ค่อยมาว่ากันอีกที
ดุจเดือนยิ้มรับเอาคำแนะนำของก้องภพ
อวยชัย หัวหน้าฝ่ายบุคคล เดินนำคณะผู้บริหารบริษัทของชยพล 5-6 คน เข้ามาที่ล็อบบี้โฮมสเตย์ ทุกคนมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมๆของตัวเอง
“เชิญครับ ทางนี้ครับ”
ปานดาวพร้อมกับพนักงานอีกคนเดินออกมาต้อนรับ ปานดาวเดินเข้าติดช่อดอกไม้ให้ พลางไหว้ทักกล่าวต้อนรับทุกๆ คน
“สวัสดีค่ะ บ้านเตยหอมยินดีต้อนรับค่ะ”
“นี่ผู้บริหารผู้ใหญ่นะครับ แต่จัดห้องคู่ให้ก่อน ซักครู่จะมาอีกชุด รวมทั้งหมดก็ 20 คน พวกที่เหลือจัดเป็นห้องพัก 3-4 คน” อวยชัยแนะนำ
“ได้ค่ะ”
“มื้อเที่ยงเตรียมไว้ให้แล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ตามโครงการที่เสนอไป”
“งั้นเดี๋ยวคุณจัดคนเข้าที่พักก่อนได้เลยครับ”
ปานดาวเชื้อเชิญคณะผู้บริหารให้ตามพนักงานไปยังห้องพัก ทุกคนตามไปยกเว้นอวยชัยที่ยังรีๆ รอๆ อยู่
“ค่ะ แล้วเอ่อ ตกลงห้องเดี่ยว จะให้จัดไว้ไหมคะ”
อวยชัยอึ้งไปนิดๆ “เตรียมไว้แค่ห้องเดียวก็พอครับ”
ปานดาวไม่ได้คิดอะไร เพราะนึกว่าต้องมีแขกผู้ใหญ่มาทีหลัง “ได้ค่ะ แล้วไม่ทราบแขกผู้ใหญ่นี่จะมาถึงซักกี่โมงคะ”
เสียงชยพลดังเข้ามา “มาถึงแล้วครับ”
ปานดาวหันไปตามเสียง พอเห็นว่าเป็นชยพลลากกระเป๋าใบย่อมมาหยุดหน้าประตูก็อึ้งไป ชยพลยิ้มให้ทักปานดาวราวกับไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน
ปานดาวเหลียวขวับไปหาอวยชัยที่อยู่ในอาการหวั่นกลัว ต่อว่าอย่างไม่พอใจ
“นี่มันยังไงกัน ไหนคุณบอกว่าเขาจะไม่มาไง”
“เขาเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันน่ะครับ”
“ทำแบบนี้ไม่ได้ คุณผิดข้อตกลง”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ขอร้องเถอะครับ คุณก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นซะซี แบบเขาไม่มีตัวตนน่ะ”
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ คงต้องขอให้คุณพาผู้บริหารของคุณกลับไปซะ”
“นั่นผมยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ ผมโดนไล่ออกแน่ๆ เห็นใจผมเถอะครับ อีกอย่าง คุณไม่เสียดายเงินตั้งสองแสนเหรอ”
“ฉันเคยบอกแล้วไง เงิน...”
ชยพลฟังอยู่สวนขึ้นว่า “ซื้อฉันไม่ได้”
ปานดาวหันมามองชยพลอย่างโกรธขึ้ง
“พวกคุณหลอกฉัน ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ พากันกลับไปได้แล้ว”
ชยพลหันมาบอกอวยชัย “ไปก่อน ผมจะคุยกับคุณปานดาวเอง”
อวยชัยรีบเดินออกไปทางห้องพักทันที
ปานดาวเดินหนีออกไปอีกทาง
“อ้าว” ชยพลร้องเรียกพร้อมกับรีบตามไป “เดี๋ยวซีคุณ”
ปานดาวเดินหนีชยพลมาที่มุมหนึ่งข้างๆ สำนักงานโฮมสเตย์ ชยพลรีบตามมา จนถึงกับวิ่งเพื่อให้ทันปานดาว แล้วยื่นมือไปจับแขนปานดาวไว้
“คุยกันก่อนซี”
ปานดาวหยุด หันมามองที่มือของชยพลที่จับแขนตัวเองอยู่
“ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
ปานดาวโกรธ “เอ๊ะ คุณนี่”
“ผมจะไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะยอมคุยกับผมดีๆ”
“เออ คุยก็ได้ ปล่อยได้แล้ว”
ชยพลปล่อยมือจากแขนปานดาว
“ผมไม่ได้หลอกคุณนะ ผมตั้งใจจะไม่มาร่วมกิจกรรมที่นี่ตั้งแต่แรก แต่พอพวกผู้ใหญ่ถามผมว่าทำไมไม่มา ไอ้ผมจะบอกว่า ติดธุระที่อื่น เขาก็จะพากันตำหนิผม ว่าเป็นเอ็มดีภาษาอะไร ไม่มาร่วมงานสำคัญของบริษัท ผมก็เลยต้องบากหน้ามาที่นี่ มาทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องได้รับแต่ความเกลียดชังจากคุณ”
“ทั้งหมดน่ะ คุณเป็นคนเริ่มก่อนทั้งนั้น”
“ใช่ๆ ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณนะ คุณเกลียดผมน่ะถูกต้องแล้ว ผมมันทำตัวน่าเกลียดจริงๆ”
ปานดาวอึ้งๆ ไป ที่เห็นชยพลด่าตัวเอง แต่ไม่รู้จะเชื่อดีไหม
“ผมแค่อยากขอร้อง คุณอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงานเลย ผมรู้ว่าคุณเป็นนักธุรกิจที่ดีและเก่ง”
ระหว่างนั้น ดาวรายเดินมาจากทางเข้าด้านหน้า ใกล้จะถึงที่สองคนคุยกันอยู่ ดาวรายชะงักเมื่อเห็นชยพล กำลังจะเดินเข้าไปเฉ่ง แต่เกิดเปลี่ยนใจแอบหลบมุมฟังทั้งคู่คุยกัน
“ดิฉันให้บริการพวกคุณก็ได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ จะไม่มีการรับประกันความพอใจในการบริการใดๆ อย่างที่คุณต้องการทั้งสิ้น”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
ปานดาวทำท่าจะเดินไป
“อ้อ เดี๋ยวครับ ยังมีอีกอย่าง”
ปานดาวหยุดหันมา
“ผมอยากจะขอโทษคุณด้วย ที่ทำไม่ดีกับคุณและแม่เมื่อวันก่อน”
ชยพลล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกล่องสักหลาดกล่องหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ปานดาว
“ขอให้คุณรับมันไว้ แทนคำขอโทษจากผม”
“ฉันไม่รับ”
“ขอร้องนะครับ อย่างน้อยก็ดูก่อน”
ชยพลจับมือปานดาวมา แล้ววางกล่องนั้นลงบนมือปานดาว
ดาวรายแลตะลึง และไม่ชอบใจเอามากๆ
ปานดาวทำท่าเหมือนจะขว้างกล่องนั้นทิ้ง ชยพลคว้าแขนยั้งไว้
“จะขว้างทิ้งก็ได้ครับ มันเป็นของคุณแล้ว”
ชยพลก็หันกลับเดินออกไปเลย
ปานดาวอึ้งๆ แล้วอดไม่ได้ เปิดกล่องผ้าสักหลาดสีน้ำเงินเข้มนั้นดู
พบว่าในกล่องเป็นต่างหูเงิน รูปดาวหลายแฉก มีประกายจากพลอยที่ประดับอยู่บนดาวส่องแสงระยิบระยับสวยงาม
ปานดาวยืนอึ้งมองต่างหูในกล่องอยู่อย่างนั้น ดาวรายที่แอบดูอยู่ คุมแค้น ไม่ชอบท่าทีของชยพลที่มาวอแวลูกสาวเอาเลย
ดาวรายเดินหงุดหงิดมาตามทางเดินในตลาดน้ำ ใกล้จะถึงร้านค้ากลุ่มแม่บ้าน แล้วต้องชะงัก พาตัวเองรีบหลบเข้าไปหลังป้ายคัทเอาท์แถวนั้น มองไปที่ร้านกลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง พบว่าชลกรคุยอยู่กับปานวาดในร้าน
ดาวรายนิ่งไป ภาพอดีตวาบเข้ามาในห้วงคิด ตอนที่ชยพลวิ่งไปหยิบสากจากร้านส้มตำจะสู้กับปานดาวที่ถือมีดปังตอ แต่ชลกรมาแย่งสากจากมือชยพลไป
ดาวรายมองเขม็งไปที่ชลกร รู้แล้วว่าชลกรคือหนึ่งในลูกชายของมาลา
ฝ่ายชลกรคุยอยู่กับปานวาดอยู่ในร้านกลุ่มสตรี
“หมายความว่าไง ไม่ให้ลงพิมพ์เรื่องโฮมสเตย์ ได้โฆษณาฟรีๆ เลยนะ”
“ก็แม่เขาไม่ให้ลง ปอไม่รู้จะว่ายังไง กรก็ลงพิมพ์เรื่องของปออย่างเดียวละกัน ปอกับกลุ่มแม่บ้าน”
“ก็ดี” ชลกรคิดประเด็นสกู๊ป “สาวผู้อุทิศตนให้สังคม ช่วยกลุ่มแม่บ้าน มาทำดอกไม้ประดิษฐ์ขาย เพื่อสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน”
“ไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้น เอาเป็นช่วยโฆษณาดอกไม้ของกลุ่มแม่บ้านละกัน”
“ผมว่าดีนะ ช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่มีจิตสำนึกช่วยเหลือสังคมด้วย”
ปานวาดยิ้มเห็นด้วย ชลกรก็รู้สึกดี จู่ๆ ดาวรายก็เดินพรวดพราดเข้ามาในร้าน
“เธอเป็นลูกนังมาลาใช่ไหม”
ทั้งปานวาดและชลกรตกใจ
“มายุ่งอะไรกับลูกสาวฉัน”
ชลกรยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณแม่”
“ฉันไม่ใช่แม่แก ไปให้พ้น” ดาวรายเข้ามาผลักชลกรจนเซเกือบล้ม
ปานวาดตกใจพยายามห้าม “แม่คะ”
ดาวรายตะเพิดชลกร “ไปเลย แล้วไม่ต้องมาอีก ฉันไม่ให้แกมายุ่งกับลูกสาวฉัน”
ชลกรรีบคว้ากระเป๋า มองปานวาดแว่บหนึ่ง แล้วหันมาไหว้ลาดาวราย แต่ดาวรายำไม่สนคว้าของตรงเค้าน์เตอร์มาขว้างใส่อีก ชลกรเลยรีบหนีออกไป
“แม่ทำแบบนี้ได้ยังไง” ปานวาดไม่พอใจ
“ทำไมจะไม่ได้ บอกแล้วไม่ให้ยุ่งกับลูกนังมาลา ทำไมไม่รู้จักเชื่อ”
ปานวาดรู้สึกแย่เอามากๆ ขณะที่ดาวรายโมโหถึงขีดสุด
ฟากมาลีนั่งซ่อมเสื้อผ้าอยู่ที่โถงชั้นล่าง สักครู่หนึ่งมาลาก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินลงมาจากชั้นบน
“พอกลับกันไปหมด บ้านก็เงียบเหมือนเดิม”
“จริงๆ พี่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนมาลาอีก พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่อีกตั้ง 2 วัน กว่าจะกลับ แต่พี่ก็เป็นห่วงบ้านทางโน้น ว่าแต่มาลาอยู่คนเดียวได้นะ หรือจะไปพักบ้านพี่”
“อยู่ได้พี่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บ้านนี้อยู่มาแต่เล็กแต่น้อย เสียดายหลานๆ น่าจะอยู่อีกซักคืน จะได้กลับพร้อมกับพี่มาลา ไม่ต้องลำบากให้พี่พันลือมารับ”
“ชลกับพลเขามีงานต้องทำน่ะจ้ะ พี่พันลือก็อยู่ว่างๆ มารับพี่ได้ และก็แวะมาเยี่ยมพ่อกำนันกับแม่พี่เขาด้วย”
เสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านพอดี
มาลาชะโงกหน้าไปมองเห็นพันลือลงรถ มาลีลุกตามไปมอง เกิดหน้ามืดรู้สึกวิงเวียน ยืนโงนเงน
“พูดถึงก็มาพอดีเลย”
มาลาหันไปมองมาลีเห็นน้องสาวยืนโงนเงนก็ตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่ามาลี”
มาลีไม่ตอบ ซวนเซทำท่าจะล้ม มาลาขยับมาหา มาลีก็ทรุดตัวลงเป็นลมไปเลย มาลาประคองไว้ทัน
“มาลีๆ”
พันลือเดินเข้ามาเห็นพอดี รีบวิ่งเข้าไปดู
“อ้าวมาลี เป็นอะไรไป”
“เร็วเถอะพี่ รีบพาไปโรงพยาบาล”
พันลืออุ้มมาลีออกไป
พันลืออุ้มพามาลีมาขึ้นรถเก๋งวางไว้ที่นั่งด้านหลัง มาลาตามเข้าไปนั่งข้างประคองน้อง พันลือขึ้นรถขับออกไปโดยเร็ว
มาลาเขย่าตัวเรียกสติน้อง “มาลีๆๆ พี่พันลือขับเร็วๆ หน่อย”
“ก็เร็วอยู่เนี่ย”
มาลากังวลใจมาก ที่เห็นมาลีแน่นิ่งไปไม่ได้สติ
มาลาประคองมาลีออกมาที่หน้าห้องตรวจ พันลือนั่งรออยู่ มีคนไข้รอตรวจอยู่จำนวนหนึ่งและมีพยาบาลทำงานอยู่หน้าห้องตรวจด้วย
“หมอว่าไงบ้าง”
“โรคเก่านั่นแหละพี่ เดี๋ยวรอหมอสั่งยาให้”
มาลาประคองมาลีนั่งลงข้างพันลือ
“กลับไปคราวนี้อย่าลืมกินยานะมาลี”
“ความจริงไม่น่าลำบากต้องพามาเลยพี่มาลา”
“เป็นลมไปขนาดนั้นไม่พามาก็แย่น่ะซิให้หมอตรวจน่ะดีแล้ว จะได้เอายาไปกิน นี่ดีนะ ที่พี่พันลือมาพอดี เลยช่วยพามาได้”
มาลีไหว้พันลือ “ขอบคุณพี่นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“มาลีหิวข้าวมั้ย”
“ไม่จ้ะพี่มาลา ไม่อยากทานอะไร พี่หิวก็ไปทานเถอะ”
“มาลาไปกินก่อนเลย พี่จะอยู่เป็นเพื่อนมาลีเอง”
“งั้นเดี๋ยวพี่มานะ จะซื้อโกโก้ร้อนมาให้”
มาลียิ้มเนือยๆ พยักหน้ารับ มาลาเดินออกไป
พันลือถามมาลี “อยากได้ พวกยาดม หรือลูกอมมั้ย พี่จะไปดูให้”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ระหว่างนั้น ดาวรายรับยาเสร็จเดินออกมามองไปเห็นพันลือกับมาลีก็ชะงัก
“พี่พันลือ”
ดาวรายหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.หาพันลือทันที
เสียงโทรศัพท์มือถือของพันลือดังขึ้น พอเอามาดูเห็นชื่อดาวราย โทร.เข้าก็ชะงัก เหลือบมองมาทางมาลีเป็นเชิงขอตัว แล้วลุกเดินห่างออกไป ก่อนจะกดรับพูดสาย
มาลีมองไปทางพี่เขย เห็นท่าทางพันลือผิดปกติก็รู้สึกสงสัยตะหงิดๆ
พันลือพูดโทรศัพท์ต่ออีกนิดเดียว ก็วางสาย แล้วเดินกลับมาหามาลี
“พี่ไปห้องน้ำแป๊บนะ”
มาลีพยักหน้ารับ พันลือเดินออกไป
พันลือเดินมาถึงทางแยกก็เลี้ยวไปทางห้องน้ำ เจอดาวรายยืนรออยู่แล้ว
“มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันเครียดเลยมาหาหมอ กำลังคิดว่า อยากเจอพี่อยู่พอดี”
“มีเรื่องอะไร”
“อยากให้พี่ไปดูแลลูกชายตัวเองหน่อย อย่ามายุ่งกับลูกสาวฉัน”
“ลูกชายฉัน คนไหน”
“ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ มาทำเป็นอี๋อ๋อกับลูกสาวฉัน”
“ยังบ้าบอกับเรื่องความแค้นสมัยอดีตอยู่อีกเหรอ”
“มันไม่ใช่แค่นั้น ลูกชายของพี่ทั้ง 2 คนน่ะ ห้ามมายุ่งกับลูกสาวฉันเด็ดขาดโดยเฉพาะกับคนโตของพี่ ที่มายุ่งกับลูกปอ ลูกคนรองของฉัน”
พันลืองง “เจ้าชลเหรอ จริงๆ มันเป็นคนดีมากๆ เลยนะ ใจเย็นกว่าน้องชายมันตั้งเยอะ”
ดาวรายไม่สน “จะดีแค่ไหนก็มายุ่งกับปอไม่ได้”
“ถ้าอยากให้ฉันห้ามมัน ก็ต้องมีเหตุผลที่ดีหน่อยซี
“เหตุผลที่ดีเหรอ” ดาวรายอึดอัดมาก จริงๆ ไม่อยากพูดเลย “ฉันมีเหตุผลที่ดีแน่ๆ”
“ว่ามาเลย ถ้ามันหนักแน่นพอ ฉันจะทำตามที่เธอต้องการ”
ดาวรายตัดสินใจบอก “ก็ได้ ฉันจะบอกให้ ลูกคนโตของพี่ กับปอน่ะ เขาเป็นพี่น้องกัน”
พันลืออึ้ง มองเจ้าของคำพูดตะลึงตะไล “พูดอะไร”
“ต้องให้ฉัดพูดให้ชัดอีกเหรอว่า...ปอน่ะ...เป็นลูกของพี่” ดาวรายย้ำชัด
“เป็นไปได้ไง”
“พี่จำวันนั้นได้ไหม เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน วันที่รถมอเตอร์ไซค์ฉันเสียอยู่ในสวน แล้วพี่ขับรถมาเจอฉันน่ะ พี่จำได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
คำพูดประโยคนั้นกระแทกเข้าหน้าพันลือจังๆ เขาตะลึงตะไล นิ่งงันไป คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นเมื่อราว 25 ปีก่อน
ในตอนนั้นพันลือขับรถกระบะมาเจอดาวรายรถเสียอยู่ข้างทาง ดาวรายกับพันลือถกเถียงกันอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากเรื่องที่ดาวรายไปเม้าท์ทั่วตลาดว่ามาลาคอยมาอ่อยปกป้องผัวตัวเองไม่เลิก พันลือโกรธตบหน้าดาวรายจนสลบ แล้วอุ้มร่างดาวรายเข้าไปวางไว้บนแคร่ในกระท่อมเก็บของในสวนข้างทาง พร้อมกับปิดประตูลง
ดาวรายนอนหมดสติอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ สักครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัว พอมองไปเห็นพันลือยืนมองอยู่ข้างๆ แคร่ ดาวรายพยายามจะลุกขึ้น แต่พันลือขึ้นคร่อมร่างเธอไว้
“อย่านะ พี่จะทำอะไร”
“ก็แก้อยากให้เธอไง”
พันลือก้มหน้าลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอดาวรายอย่างรุนแรง แม้จะพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็สู้แรงของพันลือไม่ได้
สุดท้ายพันลือปลุกปล้ำและขืนใจดาวรายจนสำเร็จ
ใบหน้าของพันลืออึ้งตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น หลังฟังเรื่องที่ดาวรายเล่า ท่าทางตกใจมาก
“หลังจากนั้นสองเดือน ฉันก็รู้ตัวว่าท้อง”
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นลูกพี่ ไม่ใช่ลูกไอ้ปกป้อง”
“ช่วงนั้นพี่ป้องเขาไปต่างประเทศ ฉันมีอะไรกับพี่คนเดียวเท่านั้น”
พันลือแทบจะล้มทั้งยืน “บ้าเอ๊ย”
“ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงไม่ต้องการให้ลูกพี่มายุ่งกับลูกฉัน”
พันลือสับสนถึงขีดสุดไม่คิดว่าอารมณ์ชั่ววูบจะตามมาหลอกหลอนในวันนี้
พันลือกับดาวรายไม่รู้ว่า ตรงหัวมุมเลี้ยวมาทางห้องน้ำนั้น มาลียืนแอบอยู่ ได้ยินทุกอย่างที่ดาวรายกับพันลือคุยกัน มาลีปิดปากตัวเอง ตกใจไม่แพ้กัน รีบผละไปจากบริเวณนั้น กลับไปที่หน้าห้องตรวจโดยไว
ฝ่ายดาวรายจ้องหน้าพันลือ เครียดจัดทั้งคู่ พันลือเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า
“เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ อย่าให้ใครรู้”
“ฉันไม่บอกคนอื่นอยู่แล้ว ฉันก็ห่วงครอบครัวฉัน”
“อ้อ แล้วเธอเองก็ต้องห้ามลูกสาวเธอด้วย ผู้ชายน่ะ ลองมีผู้หญิงมาเสนอให้ ไม่มีใครปฏิเสธหรอกอย่างเธอกับปกป้อง ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่”
“อย่างปอ ถ้ามันจะทำตัวเลว น่าจะได้มาจากพ่อของมันมากกว่า” ดาวรายกัดแสบ
พันลือตวาดเสียงต่ำ ไม่ให้ดังนัก “พอแล้ว”
ดาวรายนิ่งไป
“นี่ แล้ววันนี้มาลาเขามาด้วย ยังไงอย่าให้เขาเจอเธอจะดีกว่า”
ดาวรายขึ้นเลย “จริงเหรอ มันมาด้วยเหรอ ฉันกำลังอยากเจอมันอยู่พอดีเลย”
“อย่าหาเรื่องมาลานะ”
พันลือชี้หน้าคาดโทษ แล้วเดินผละไป ดาวรายแสยะยิ้มไม่แยแส
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
มาลานั่งกินอาหารเย็นอยู่ในศูนย์อาหารของโรงพยาบาล ใกล้จะอิ่มแล้ว สักครู่หนึ่งมีคนเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะ พอมาลาเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นคู่ปรับหัวใจ
ดาวรายจ้องมาลาเขม็งด้วยแววตาเกลียดชัง แต่มาลากลับมองด้วยแววตานิ่งเฉย
“มีความสุขมากเลยนะ”
มาลานิ่งอยู่
“เป็นไงบ้างล่ะ ได้พบกับผัวฉันแล้วสดชื่นขึ้นเยอะไหม”
“รู้แล้วเหรอ”
“อย่าคิดนะ ว่าแกจะเก็บเรื่องชั่วๆ ของแกไว้เป็นความลับได้”
คนที่นั่งกินอยู่ใกล้ๆ ได้ยินคำพูดของดาวรายต่างพากันมองไปที่มาลาเป็นตาเดียว
มาลาชักโมโห “อย่ามาพูดแบบนั้นกับฉัน”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ฉันจะบอกให้คนเขารู้กันทั่ว ว่าแกน่ะแอบไปพบกับผัวฉัน”
“พี่ป้องเขาติดต่อมาหาฉันเอง บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เราเจอกันแค่สิบนาที เขาขอโทษแทนเธอ ที่ทำร้ายน้องสาวฉัน มันก็แค่นั้น แล้วฉันก็กลับบ้าน”
“จะให้ฉันเชื่อเหรอ ฉันรู้ว่าแกยังอาลัยอาวรณ์ผัวฉันอยู่ แกอยากจะได้เขากลับไปเป็นของแก คนหน้าด้านอย่างแกน่ะ โกหกฉันไม่ได้หรอก”
มาลายืนขึ้น ลุกออกมายืนใกล้ดาวราย
“หยุดได้แล้ว ฉันจะไม่ทนกับความหยาบคายของเธอ”
“แล้วไง ไม่อยากให้ฉันด่า ก็เลิกยุ่งกับผัวฉันซี ตัวเองมีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว มันยังไม่พอเหรอ ต้องเที่ยวมาแย่งผัวชาวบ้าน เพื่อสนองความสำส่อนของเธอ”
โดยไม่มีใครคาดคิด มาลาตบหน้าดาวรายเต็มแรง จนอีกฝ่ายหน้าหัน ดาวรายตกใจเหลียวขวับมามอง
“แก แกตบฉัน”
ดาวรายเงื้อมือจะเข้ามาตบมาลาคืนบ้าง แต่ทันใดนั้นพันลือก็เข้ามาคว้าแขนดาวรายไว้
“อย่านะ”
“พี่เห็นไหม มันตบฉัน”
“ก็เธอมันปากเสีย”
มาลาหันมามอง รู้ทันทีว่าพันลือมานานแล้ว นานพอที่จะได้ยินทุกอย่าง ดาวรายสะบัดแขนหลุดจากมือพันลือ
“ไปให้พ้นเลย ถ้าไม่ไป ฉันจะลากเธอไปเอง”
ดาวรายมองมาลาอย่างโกรธแค้น มองไปรอบๆ เห็นคนมองมาที่เธอ แล้วก็ซุบซิบกัน ดาวรายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมาลาเขม็ง
“จำไว้เลยนะแก”
ดาวรายสะบัดตัวเดินออกไปจากศูนย์อาหารอย่างโกรธแค้น
พันลือหันมามองมาลา ซึ่งเมินหน้าหนี มองตามดาวรายไปอย่างเบื่อหน่าย
รถของพันลือแล่นมาจอดที่หน้าบ้านพ่อตาแม่ยาย มาลาเปิดประตูด้านหน้าลงมาเปิดประตูหลังให้มาลีลงรถ ในมือมีถุงยาอยู่ด้วย มาลาพามาลีเข้าส่งให้บ้าน พันลือเดินตามลงมา
“อยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ดีขึ้นแล้วจ้ะพี่ นอนพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวก็หาย”
“เพราะอยู่คุยกับพี่ๆ จนดึกแน่เลย ตั้งใจมาเยี่ยมคนป่วย กลายเป็นยิ่งทำให้ป่วยหนัก”
“ไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ พี่ต้องมาเยี่ยมมาลีอีกนะ มาทุกอาทิตย์ยิ่งดี มาลีคิดถึงพี่มากเลย”
“ขอเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์ได้ไหม” มาลาหัวเราะเบาๆ “จะมาให้บ่อยที่สุดละกัน”
มาลีกุมมือพี่สาวไว้มองหน้านิ่ง อึดอัดคับอกกับความลับที่ไปได้ยินมาเอามากๆ
“มาลีมีอีกหลายอย่างที่อยากคุยกับพี่”
“ได้ แต่คุยแล้วก็ต้องพักผ่อน แล้วกินยาอย่าให้ขาดด้วย”
“จ้ะ”
“พี่กลับก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย”
“พี่ไปก่อนนะมาลี” พันลือบอกลา
มาลียกไหว้ลาพี่สาว พี่เขย พันลือรับไหว้ มาลากอดลาน้อง สีหน้ามาลีอัดอั้นอยู่อย่างนั้น พันลือขึ้นรถ มาลาขึ้นตาม รถเคลื่อนออกไปที่ถนน มาลีโบกมือลาพี่สาวสีหน้าที่ยิ้มแย้ม กลายเป็นเครียดลงถนัดตา ทันทีที่รถแล่นลับตาไป
พันลือคนขับมาตามทาง มาลานั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย พันลือคอยเหลือบมอง เห็นมาลาเอาแต่นิ่งเงียบ ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด จนที่สุดตัดสินใจชวนคุย พูดติดตลก
“ไม่นึกว่าคนอย่างมาลาจะบู๊ก็เป็น”
มาลานิ่งไปชั่วขณะหนึ่งจึงย้อนออกมาว่า
“มาลาก็ไม่นึกว่า พี่จะปล่อยให้ดาวรายมาหยาบคายกับมาลาได้อย่างนั้น”
พันลืออึ้งไป “ดาวรายเขามาหาหมอ พี่เจอเขาโดยบังเอิญ พอเจอกัน เขาก็มาบอกพี่ว่า อย่าให้ลูกชายเราไปยุ่งกับลูกสาวเขา พี่ยังไม่รู้เลยว่ามันไปยุ่งอะไรกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แต่ที่เขามาพูดกับมาลา ไม่ได้มีเรื่องนั้นเลย และที่มาลาไม่ชอบก็คือ พี่เห็นอยู่ว่าเขามาด่าว่ามาลา แต่พี่ก็ไม่มาห้าม”
พันลือโมโห “เออ ก็ได้ พี่ผิดหมดแหละ แล้วทีมาลาล่ะ ที่เธอแอบไปเจอกับไอ้ป้องน่ะ พี่ยังไม่คิดจะถามเลยซักคำ”
มาลาหันมามองพันลืออย่างไม่พอใจ
“ถ้าจะคิดกับมาลาเหมือนอย่างที่เขาคิด เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
มาลามองไปข้างหน้านั่งนิ่งขึงไม่พูดไม่จา พันลือยิ่งหงุดหงิด บวกรวมกับเรื่องของลูกสองคนที่ฟังจากดาวรายด้วยก็ยิ่งเครียด
“เห้ย มันจะอะไรนักหนาวะ”
หลังจากนั้นสองคนก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย
ทางด้านมาลีนั่งเครียดอยู่บนเตียง คิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา
“มันเป็นไปได้ยังไง ปานวาด เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่พันลือ ถ้าพี่มาลารู้เข้า มันจะเป็นยังไง”
มาลีไม่สบายใจเอาเลย
เช้าวันถัดมา มาลากับพันลือนั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารกันไปเงียบๆ ไม่พูดกัน เพราะยังโกรธกันอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน ครู่หนึ่งชลกรเดินเข้ามาสมทบ เขาอยู่ในชุดพร้อมจะออกไปทำงาน
“มีอะไรกินบ้างครับ”
ชลกรชะโงกหน้ามาดูกับข้าวบนโต๊ะ แล้วรู้สึกดี แต่พอหันไปมองเห็นทั้งแม่และพ่อ ไม่พูดอะไรกัน ก็เลยนิ่งไป แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
ชลกรไปหยิบจาน ตักข้าว แล้วมานั่งที่โต๊ะอาหาร
ชลกรเริ่มกินข้าวไป
พันลือมองลูกชาย นึกอยากจะพูดบางอย่าง แต่มีมาลาอยู่ด้วย เลยยังไม่พูด
ชลกรพูดหยอก “วันนี้วันโลกาวินาศเหรอครับ พ่อกับแม่ไม่พูดอะไรซักคำ หรือวันพระ สองคนเลยถือศีล”
“จะให้พูดพ่อก็จะพูด แกไปยุ่งอะไรกับลูกสาวดาวรายเหรอ”
มาลาหันมามองพันลือ แต่พันลือไม่สบตาด้วย
“พ่อหมายถึงปอใช่ไหมครับ ผมถ่ายรูปเขาจะเอาไปลงหนังสือ”
“ให้มันจบแค่นั้นนะ อย่าไปยุ่งกับเขาอีก”
“ถ้าเรื่องที่แม่เขาทะเลาะกับน้ามาลัยจนตกน้ำตกท่ากันล่ะก็ ผมไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนะครับ ปอเขาก็ไม่รู้เรื่อง”
พันลือสั่งน้ำเสียงจริงจัง เด็ดขาดแทบเป็นตวาด
“ยังไงก็ต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกัน”
ชลกรอึ้งวางช้อนลง หันมามองพ่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตวาดกัน มาลาเองก็แปลกใจ
“พี่ อะไรเนี่ย”
“ครอบครัวนั้นกับครอบครัวแม่ เขามีปัญหากันมานานแล้ว เมื่อวานพ่อเจอเขา เขาก็บอกมาว่าห้ามไม่ให้ลูกชายพ่อทุกคนไปยุ่งกับลูกเขา พ่อไม่ต้องการให้มีปัญหาอะไรกันอีก อยากอยู่อย่างสงบ”
“ไม่มีเหตุผลเลย”
“เออ ไม่ต้องมีเหตุผลหรอก แล้วเจ้าพลมันตื่นหรือยัง จะได้พูดเรื่องนี้กับมันด้วย”
“คงจะยากแล้วล่ะครับ”
“ทำไม”
“เขาไปนอนอยู่ที่โฮมสเตย์ของลูกสาวคู่แค้นบ้านแม่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ชลกรประชดอย่างสะใจ
พันลืออึ้งไป มาลาเองก็อึ้งพอกัน
เวลาเดียวกันนี้ ชยพลเพิ่งตื่นเปิดประตูเดินออกมาจากห้องพัก ยืนบิดขี้เกียจอยู่ สูดลมหายใจลึกๆ รู้สึกสดชื่นเป็นที่สุด มีพนักงานของโฮมสเตย์คนหนึ่งเดินผ่านมาชยพลเรียกไว้
“คุณ คนอื่นๆ เขาไปไหนกัน เที่ยวตลาดเหรอ”
“รออาหารเช้าอยู่ที่ร้านอาหารครับ”
ชยพลดูนาฬิกา “เฮ้ย นี่มันเกือบสิบโมงแล้วนี่ ยังไม่ได้กินมื้อเช้ากันเหรอ”
“แม่ครัวลาป่วยครับ พนักงานคนอื่นทำไม่เป็น คุณปานดาวต้องเข้าครัวเอง เลยช้าไปหน่อยครับ”
ชยพลนิ่งไป
ปานดาวกำลังวุ่นวายทำอาหารเช้าอยู่ในครัวของร้านอาหารโฮมสเตย์ ชยพลเดินเข้ามาในนั้น
“ทำอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอเนี่ย มาผมช่วย”
ปานดาวหันมามองงงๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“ผู้บริหารผมรออาหารนานๆ เดี๋ยวจะคลั่งกัน” ชยพลมองไปรอบๆ “ทำอะไรบ้าง อเมริกันเบรกฟาสต์ใช่ไหม”
“คงต้องงั้นก่อน เพราะเร็วที่สุด”
“โอเค ก็มีไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน แฮม แล้วก็ขนมปังปิ้ง มาลุยกันเลย”
ชยพลตอกไข่ใส่ในแบบ ทอดไข่ดาวลงไปในกระทะใหญ่ ครั้งละ 3 ฟองอย่างคล่องแคล่ว
“สมัยที่เรียนอยู่บอสตัน ผมมีงานเสริมเป็นพ่อครัว” เขาชี้ไปที่หม้อ “คุณต้มน้ำเลย เดี๋ยวลวกไส้กรอก เสร็จแล้วเอากระทะขอบสูงมา จะทอดเบคอน”
ชยพลลงมือทำมื้อเช้าอย่างแคล่วคล่อง ฝีมือขั้นเทพ
ที่กระทะทอดไข่ ชยพลยกแบบออก แล้วใช้ตะหลิวตักไข่ดาวมาใส่ลงในถาด
ที่หม้อซึ่งน้ำกำลังเดือดพล่าน ชยพลคีบไส้กรอกใส่ลงไปในหม้อ
ที่กระทะขอบสูง มีน้ำมันอยู่จำนวนหนึ่ง ชยพลตักเบคอนใส่ลงในกระทะ เบคอนถูกน้ำมันก็เดือด
ที่เครื่องปิ้งขนมปังแบบครั้งละหลายแผ่น ขนมปังเด้งขึ้นมา ปานดาวหยิบขนมปังใส่ลงในตะแกรง
ชยพลใช้กระชอนใหญ่ตักไส้กรอกที่ลวกแล้วขึ้นมาจากหม้อต้ม แล้วเทลงในถาด
ชยพลใช้ที่คีบ คีบเบคอนที่สุกกำลังพอดีออกจากกระทะ แล้ววางลงในตะแกรง
“ตามคนของคุณมา ทยอยเอาไปจัดที่ร้านอาหารได้เลย”
ปานดาวออกจากครัวไปครู่หนึ่ง จึงกลับเข้ามาพร้อมกับพนักงาน ให้พนักงานยกถาดอาหารออกไป ปานดาวช่วยยกด้วย ก่อนออกไปเธอหันกลับมามองเห็นชยพลกำลังง่วนทำอาหารอยู่ เขาตักไข่ดาวจากกระทะใส่ถาดใช้มือจับไข่ดาวร้อนๆ สะดุ้งนิดๆ แล้วรีบเช็ดมือกับผ้าใกล้ๆ
ปานดาวมองภาพนั้นแล้ว รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ้มบางๆ ก่อนจะยกถาดอาหารออกไป
เวลาผ่านไป บรรดาผู้บริหารเกือบยี่สิบคนกินอาหารอิ่มแปล้กันแล้ว ชยพลออกจากครัวมายืนดู ปานดาวออกมาด้วย ชยพลหันไปกระซิบบางอย่างกับพนักงานคนข้างๆ ก่อนที่พนักงานจะเดินออกไป สักครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมกับส่งไมโครโฟนให้ชยพล
“สวัสดีครับทุกๆ ท่าน” ชยพลพูดใส่ไมโครโฟน
บรรดาผู้บริหารหันมามองชยพล
“อาหารเช้าอร่อยไหมครับ”
ทุกคนตอบว่า “อร่อย”
“ถ้าอร่อย ก็ขอเสียงปรบมือให้กับแม่ครัวจำเป็นของเราหน่อยครับ” เขาผายมือมาที่ปานดาว “คุณปานดาวครับ”
แขกทั้งหมดพากันปรบมือ รวมทั้งพนักงานของปานดาวเองด้วย ปานดาวมองมายังชยพล
“คุณก็ช่วย”
“ผมไม่อยากให้พวกเขารู้ เดี๋ยวจะเกรงใจกัน”
ชยพลยิ้มให้ปานดาว เหมือนเรื่องนี้เขาไม่ทำเพื่ออวยเธอ แต่เป็นเรื่องของงานมากกว่า ชยพลพูดต่อ
“แล้วขอความกรุณาพวกเราด้วยนะครับ ท่านที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ช่วยรวบรวมจานของท่าน มาไว้ที่นี่ด้วยนะครับ อย่าลืมนะครับ ที่นี่เป็นโฮมสเตย์ ไม่ใช่โรงแรม เราต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย”
แขกที่กินเสร็จแล้วเริ่มทยอยเอาจานช้อนและแก้วน้ำมาวางไว้ตามที่ชยพลบอก
ระหว่างนี้ มีรถยนต์หรูคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าโฮมสเตย์ ประตูรถเปิดออกให้ขายาวเรียวของหญิงสาวในร้องเท้าส้นสูงสุดเปรี้ยวก้าวลงมาจากรถ
หญิงสาวคนนี้ เจ้าหล่อนคือ แวนด้า เซเลบสาวคนดังของสมุทรปราการ
แวนด้าเดินฉับๆ เข้าไปด้านในโฮมสเตย์ แล้วพาตัวเองเข้ามาในร้านอาหาร ที่ตอนนี้ยังมีผู้บริหารเหลืออยู่ 4-5 คน แวนด้ามองไปทั่วคล้ายหาใครบางคนอยู่ บรรดาผู้บริหารเฒ่าหัวงูทั้งหลายต่างก็มองมาที่แวนด้าอย่างสนใจ
ผู้บริหาร 1 ยิ้มกระหยิ่มถามไปว่า “มองหาใครอยู่เหรอจ้ะ บอกพี่ได้นะ”
เสียงแวนด้าแหลมดังขึ้น “พอลอยู่ที่นี่ไหมคะ”
ผู้บริหาร 1 หันไปถามคนอื่นๆ “ใครวะพอล”
แต่ทุกคนส่วยหัวไม่มีใครรู้จัก จนอวยชัยเดินเข้ามาสมทบ
“โธ่เอ๊ย พอล ชยพล ที่เป็นเจ้าของโรงงานบรรจุภัณฑ์น่ะ”
“อ๋อ คุณชยพลน่ะเหรอครับ” อวยชัยว่า
“นั่นแหละ พอลของฉัน”
“รู้สึกจะอยู่ในครัวน่ะครับ” อวยชัยชี้ไปที่ครัว
ผู้บริหารคนหนึ่งเตะขาอวยชัยไม่ให้พูด อวยชัยรู้ตัว
“เอ๊ะ หรือไม่ใช่ อาจจะไปเดินที่ตลาดก็ได้ครับ”
แวนด้าจ้องเขม็งไปที่อวยชัยเป็นเชิงคาดคั้น
“เอาให้แน่ เขาอยู่ที่ไหน”
ปานดาวยกถาดใส่จานที่ใช้แล้วเข้ามาในครัว พนักงานยกตามเข้ามาด้วย ปานดาวเอาจานทั้งหมดมาไว้ที่ซิ้งค์ล้างจาน แล้วจะกลับไปยกอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชยพลยกถาดใส่จานที่ใช้แล้วตามเข้ามาด้วยปานดาวรีบไปรับถาดจากชยพล
“ไม่ต้องช่วยแล้วค่ะ แค่นี้พอแล้ว”
ชยพลไม่ยอมให้ “ไม่เป็นไรหรอก ผมจะช่วยคุณล้างด้วย”
พร้อมกับว่าชยพลยกถาดไปวางไว้ที่ซิ้งค์ แล้วหันมาบอกพนักงาน
“คุณไปดูแลแขกเถอะ ผมจะช่วยคุณปานดาวล้างจานเอง”
พนักงานหันมามองปานดาวคล้ายจะถาม ชยพลพูดย้ำ
“ไปซี เผื่อข้างนอกจะต้องการอะไรเพิ่ม แล้วบอกพวกเขาด้วยนะ ให้เวลาพักผ่อนหลังอาหารครึ่งชั่วโมง แล้วเชิญไปรวมกันที่ห้องประชุม”
“ค่ะ” พนักงานรับคำ แล้วออกไป
ชยพลหันมาทางปานดาว “ผมรู้ว่าคุณยังต้องมีภารกิจอีกเยอะ ทำคนเดียวไม่ไหวหรอก” เขามองหาบางอย่าง “น้ำยาล้างจานอยู่ไหน อ้อ นั่นเอง”
ชยพลหยิบฟองน้ำกับน้ำยาล้างจานมาดูที่ซิ้งค์
“อันนี้ล้างน้ำยา อันนี้ล้างน้ำใช่ไหม คุณจะรับขั้นตอนไหนดี”
ปานดาวเดินมายืนอยู่ใกล้ๆ ชยพล “คุณพยายามจะทำอะไร”
“ก็ช่วยคุณไง”
“ไม่ใช่หรอก คุณต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ๆ”
ปานดาวจ้องหน้าชยพลนิ่งๆ ชยพลมองตอบ สองคนมองตากันเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ได้ ผมอยากทำเพื่อไถ่โทษที่ทำไม่ดีกับคุณ”
“เมื่อวานก็ให้ต่างหูมาแล้วนี่”
“ผมรู้ว่าคุณซื้อไม่ได้ด้วยเงินทองวัตถุ เลยอยากซื้อคุณด้วย ใจ”
“ที่สำคัญ มันจะต้องเกิดจากความจริงใจด้วย”
“ใช่ นี่แหละที่ผมพยายามทำอยู่ อยากให้คุณเห็นว่าผมจริงใจ”
“คุณต้องการ ให้ฉันยอมรับคำขอโทษของคุณ”
“นั่นเป็นอย่างแรก”
“ยังมีอย่างอื่นอีกเหรอ”
ชยพลพยักหน้า “แล้วให้คุณยอมรับผมเป็นเพื่อนคนนึง”
ปานดาวนิ่งมองชยพลอีกครู่หนึ่ง “ฉันไม่ใช่คนสำคัญขนาดจะเป็นเพื่อนกับคุณหรอก”
“ผมต่างหากที่จะต้องเป็นบอกว่า คุณสำคัญขนาดไหนสำหรับผม แล้วผมขอบอกว่า คุณนะ...”
ปานดาวตัดบทยกมือขึ้นห้าม “ฉันจะล้างน้ำยา ส่วนคุณล้างน้ำ”
จากนั้นปานดาวหันไปหยิบฟองน้ำมากดน้ำยาใส่ เริ่มหยิบจานมาล้าง ชยพลรอรับจานชามที่ล้างน้ำยาแล้วมาล้างน้ำต่อ สองคนช่วยกันล้างจานไปเงียบๆ
ปานดาวแอบเหลือบมองชยพล ไม่แน่ใจว่าชายเจ้าอารมณ์คนนี้จะเอายังไงกับเธอ
สักครู่ต่อมา ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในครัว มองภาพสองคนอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พอลคะ”
ทั้งปานดาวและชยพลชะงัก แล้วหันไปทางเสียง เห็นแวนด้ายืนอยู่ตรงประตู
“พอลมาทำอะไรในนี้คะ”
ปานดาวหันมามองชยพลเป็นเชิงถาม ชยพลอึกอัก หยิบผ้ามาเช็ดมือพลางขอตัวกับปานดาว
“ขอตัวแป๊บนะ”
ชยพลเดินไปหาแวนด้า จับแขนเจ้าหล่อนแล้วพาออกไปจากครัว
ปานดาวมองตาม ส่ายหน้าเบื่อๆ
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
ชยพลพาแวนด้ามาคุยกันที่ข้างห้องอาหารโฮมสเตย์
“แวนด้ามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มาถึงเมื่อวาน โทร.หาพอลก็มีแต่เสียงบอกว่าเลขหมายยังไม่เปิดใช้”
“ผมเปลี่ยนเบอร์ใหม่น่ะ”
“แล้วทำไม ไม่บอกแวนด้าคะ ต้องการไม่ให้แวนด้าติดต่อพอลได้ใช่ไหม”
“เปล่า ผมเปลี่ยนค่าย เพราะค่ายใหม่โทร.ทั่วประเทศถูกกว่า ผมต้องใช้ติดต่องาน แล้วรู้ได้ไงว่าผมอยู่นี่”
“ก็โทร.หาไปทั่วทุกคนนั่นแหละ จนรู้เบอร์บริษัทของพอล แล้วเลยโทร.ถามที่นั่น เขาถึงบอกว่าพอลอยู่ที่นี่ พอลมาทำอะไรที่นี่คะ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“คนไหน”
“ก็ที่ยืนเบียดล้างจานกันอยู่ในครัวนั่นน่ะ”
“อ๋อ นั่นคุณปานดาว เขาทำงานที่นี่ ผมพาผู้บริหารมาประชุมแล้วก็พักผ่อนที่นี่”
“แต่กลับไปขลุกอยู่กับคนล้างจาน”
“เขาเป็นลูกเจ้าของที่นี่ พอดีพนักงานเขาลาป่วย ผมเลยไปช่วยเขานิดหน่อย มันก็เท่านั้นเอง นี่ แวนด้า วันสองวันนี้ผมต้องอยู่ที่นี่ตลอด คุณกลับไปก่อนเหอะ เสร็จงานที่นี่แล้ว ผมจะโทร.หาคุณทันที”
“แล้วจะให้แวนด้าไปไหน”
“ก็แล้วแต่คุณ ไปเที่ยวพัทยาก็ได้ หรือไปภูเก็ตซักอาทิตย์นึง”
“คนเดียวเนี่ยนะ”
“ก็ไปรอผมไง เสร็จแล้วผมจะรีบไปหาคุณ”
แวนด้าดักคอ “รู้สึกพอลไม่อยากจะให้แวนด้าอยู่ใกล้เลยนะ”
“โธ่เอ๊ย ไม่ใช่อย่างนั้น”
“เอางี้ดีกว่า เพื่อความสบายใจ...”
ชยพลได้ยินคำว่าสบายใจก็พยักหน้ายิ้มรับ คิดว่าแวนด้าจะทำตามข้อเสนอของตน
“แวนด้าจะค้างกับพอลที่นี่ ถ้าพอลไม่มีอะไรกับคนล้างจานนั่นจริงๆ”
ชยพลอึ้งตะลึง คาดไม่ถึง
แวนด้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มหวานให้ ชยพลเครียดจัด เพราะผิดแผนหว่านเสน่ห์มัดใจปานดาวเอามากๆ
ไม่นานต่อมา แวนด้าเดินลากกระเป๋าเสื้อผ้ามาตามทางเดินตรงเข้าในล็อบบี้โฮมสเตย์ ซึ่งปานดาวยืนคุยงานกับพนักงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ แวนด้าลากกระเป๋าเข้ามาหา เรียกจิกเสียงดัง
“นี่เธอ”
ปานดาวหันมามอง อึ้งไปนิดๆ มองที่กระเป๋าแวนด้า
“เอากระเป๋าฉันไปเก็บที่ห้องคุณพอลด้วย คืนนี้ฉันจะค้างกับเขา”
“คุณชยพลยังไม่ได้บอกอะไรไว้เลย”
“ก็ฉันกำลังบอกอยู่นี่ไง รู้ไว้ด้วยนะ พอลกับฉันน่ะ ก็เหมือนบุคคลคนเดียวกัน”
ปานดาวย้อนถาม “คุณเป็นภรรยาคุณชยพล”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ จะเอากระเป๋าฉันไปเก็บ หรือจะให้ฉันบอกพอลมาเล่นงานเธอ เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาพอลโมโหน่ะ มันน่ากลัวแค่ไหน”
“ก็พอรู้” ปานดาวหันมาบอกกับพนักงาน “เอากระเป๋าคุณผู้หญิงไปไว้ที่ห้องคุณชยพลด้วย”
พนักงานออกมารับกระเป๋า
“จะเข้าพักในห้องเลยไหมคะ ตามน้องเขาไปได้เลย”
“ดีเหมือนกัน อยากล้างหน้าล้างตาหน่อย”
แวนด้าแยกตามพนักงานออกไป ปานดาวมองตามส่ายหน้าเอือมๆ
ภายในห้องประชุมของโฮมสเตย์เวลานี้ มีผู้บริหารบริษัทของ รวมทั้ง อวยชัยหัวหน้าฝ่ายบุคคล นั่งประชุมกันอยู่ ชยพลนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“ช่วงนี้ก็ช่วยกันระดมสมองหน่อยนะครับ เสร็จแล้วจะได้พักผ่อนกันเต็มที่ หัวข้อสัมมนาที่ผมให้ไป คงไม่ยากเกินไป อะไรคือปัญหาหลักของโรงงานเรา ใช้เวลาระดมความคิดกันซักครึ่งชั่วโมง แล้วเราจะมาสรุปสาเหตุของปัญหา และวิธีแก้ไขกันต่อไป”
พนักงานที่พาแวนด้าไปส่งห้องพัก ทำท่าขออนุญาตแล้วเดินเข้ามาในห้องประชุม ตรงเข้าไปหาชยพล กระซิบบางอย่าง ชยพลสีหน้าไม่ดีนัก พยักหน้ารับเอาคำนั้น พนักงานออกไป ชยพลหันมาบอกกับที่ประชุมว่า
“พวกคุณคุยกันไปเลยนะ เดี๋ยวผมจะกลับมา”
จากนั้นชยพลก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไป
ชยพลออกจากห้องประชุมเดินมาข้างโฮมสเตย์เจอปานดาวเดินอยู่ข้างหน้าพอดี
“คุณปานดาว เดี๋ยวครับ”
ปานดาวหยุดหันมา ชยพลเดินเข้ามาหา “คุณให้คนเอากระเป๋าเขาไปเก็บในห้องพักผมเหรอ”
“ค่ะ แล้วให้น้องเขาไปบอกคุณด้วย”
“แล้วทำไมคุณไม่ไปถามผมก่อน” เขาตัดพ้อมากกว่าจะตำหนิ
“ก็เขาบอกว่าคุณกับเขาเป็นบุคคลคนเดียวกัน เขาสั่งก็เหมือนคุณสั่ง”
ชยพลนิ่งไปนิด แล้วทำเป็นหงุดหงิด “เป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาบอกคุณว่าเขาเป็นภรรยาผมด้วยใช่ไหม”
ปานดาวพยักหน้ารับ หน้านิ่งๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
“จริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นแค่เพื่อนกัน แวนด้าเขาเรียนยูเดียวกับผม เราอาจจะสนิทกันมาก แต่มันก็แค่เพื่อน แล้วเขาก็จะเป็นแบบนี้ ชอบอ้างว่าเป็นภรรยาผม ใครไม่รู้ก็เชื่อตามเขา”
“แล้วคุณจะให้ดิฉันทำยังไงล่ะคะ ให้เข้าไปเอากระเป๋าเขาโยนไปไว้กลางถนนไหม” น้ำเสียงตอนท้ายมีวี่แววประชด
ชยพลชะงัก “กลางถนนเลยเหรอ”
“ก็ชอบใช่ไหมล่ะ เอาอะไรไปทิ้งกลางถนนน่ะ”
“แหม แต่มันคงไม่เหมาะมั้งครับ แวนด้าเป็นเพื่อนผม จะทำกับเพื่อนแบบนั้นได้ไง”
“งั้นเพื่อนนอนร่วมห้องกับเพื่อน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรมั้งคะ”
ชยพลอึ้งไป
“คุณชยพล ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอะไรกับคุณ คุณไม่ต้องมาแก้ตัวอะไรกับฉันหรอก ไม่ต้องห่วงเลย ใครจะเป็นอะไรกับใคร ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
ปานดาวเดินหนีไปเลย ชยพลอึ้ง รู้สึกเสียหน้านิดๆ ที่ปานดาวไม่แคร์อะไร
มาลัยจัดอาหารม้อค่ำลงบนโต๊ะจนเรียบร้อย จึงเดินไปที่ประตูห้องอาหาร มองออกไปเห็นดุจเดือนนั่งคุยกับก้องภพอยู่ที่ห้องรับแขก สองคนหัวเราะหัวใคร่กันไปอย่างอารมณ์ดี จนมาลัยรู้สึกแปลกใจ
“พี่ก้อง ลูกดุจ อาหารเย็นเสร็จแล้วจ้ะ มากินกันได้แล้ว”
สองคนที่หัวเราะกันอยู่ หยุดชะงักทันที หันมามองพอเห็นมาลัยจ้องอยู่ สองคนหยุดยิ้ม ก้องภพลุกขึ้น ดุจเดือนลุกตามเดินเกาะแขนก้องภพมาด้วยกัน สองคนเดินเข้ามาในครัว ก้องภพเดินไปดูกับข้าวบนโต๊ะ
“น่ากินทั้งนั้นเลย”
“ดุจล้างมือก่อนนะคะ”
ดุจเดือนเดินออกไปล้างมือตรงซิ้งค์ ก้องภพขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้ประจำ ยกโถข้าวมาตักข้าวใส่จานตัวเอง มาลัยยืนมองอยู่
“เมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
ก้องภพตักข้าวอยู่ ชะงักค้างไปนิดหน่อย “ก็คุยเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง เห็นหัวเราะกันใหญ่”
ก้องภพไม่ตอบ มาลัยเข้าไปนั่งเก้าอี้ ถามซักด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น
“หรือว่าเป็นความลับ”
“ความลับอะไร มาลัยก็คิดมากไปได้”
“งั้นทำไม ไม่ยอมบอกมาลัย”
“พ่อคงยังไม่อยากพูดมั้งคะ”
สองคนหันไปมองทางเสียง เห็นดุจเดือนเข้ามาในห้อง
“ลูกดุจ” ก้องภพกังวล
“บอกแม่เลยดีกว่าพ่อ”
มาลัยมองลูกสาวยิ่งอยากรู้ ดุจเดือนอธิบาย
“ที่เราหัวเราะกันเพราะ...ละครที่ดุจเป็นสไตลิสต์ให้ เข้าชิงเสื้อผ้ายอดเยี่ยมปีนี้ด้วย”
ก้องภพโล่งอก
“โธ่เอ๊ย นึกวาเรื่องอะไร” มาลัยยิ้มแย้มไปด้วย “ยินดีด้วยนะลูก”
“ยังไม่รู้จะได้หรือเปล่าแม่ คู่แข่งเขาก็เก่งๆ กันทั้งนั้น”
“พ่อตกลงกับเขาว่า ถ้าได้ พ่อจะเลี้ยงโต๊ะจีนเลย”
ก้องภพกับดุจเดือนมองกันแล้วหัวเราะ แต่มาลัยยังไม่วางใจว่านั่นเป็นเรื่องที่พ่อลูกคุยกันจริงๆ มองสองคนด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
อีกฟากหนึ่ง ที่สนามหญ้าลานกว้างภายในโฮมสเตย์ จัดเป็นโต๊ะอาหาร 5 โต๊ะ เลี้ยงรับรองผู้บริหารบริษัทของชยพล มีเวทีเล็กๆ อยู่ด้านหนึ่ง เสียงเพลงเบาๆ ดังคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศ
ที่โต๊ะประธาน ชยพลนั่งอยู่กับแวนด้าลำพัง โต๊ะอื่นๆ ก็มีผู้บริหารที่เหลือกระจายกันไป พนักงานของโฮมสเตย์เสิร์ฟอาหารลงทุกโต๊ะ พนักงานอีกส่วนคอยดูแลชงเครื่องดื่มให้
แวนด้าคอยตักอาหารป้อนเอาใจชยพลตลอดเวลา
“กินหน่อยซีคะ กินน้อยจะมีเรี่ยวแรงได้ยังไง”
ชยพลกินอาหารที่แวนด้าป้อน “ผมเป็นผู้บริหารนะ จะต้องเอาเรี่ยวแรงไปทำอะไรมากมาย”
แวนด้ากระแซะ “แหม ฟังพูดซี ก็เอามาใช้กับแวนด้าไงคะ”
ชยพลหัวเราะ สายตามองไปนอกสนาม เห็นปานดาวยืนอยู่และกำลังมองมายังเขา ชยพลรีบขยับตัวออกห่างแวนด้าทันที
“เอ่อ แวนด้า เครื่องดื่มผมหมดแล้ว ให้เด็กเติมหน่อยซี”
“ได้ค่ะ”
แวนด้าผละจากชยพลหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมา แล้วมองหาเด็กเสิร์ฟ
ชยพลหันกลับไปมองปานดาวอีกครั้ง แต่เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ชยพลเหลือบมองแวนด้า ทั้งเซ็งปนหงุดหงิด
ปานวาดกับชลกรเดินเข้ามาด้วยกัน ชลกรมีอาการหวั่นๆ มองซ้ายมองขวา
“แน่ใจนะว่าแม่ปอไม่อยู่”
“ค่ำแบบนี้แม่กลับเข้าบ้านไปแล้ว ถ้ามีแขก เขาก็ปล่อยให้ลูกๆมาดูแล”
ชลกรพยักหน้ารับเอาคำ แต่ก็ยังหวั่นๆ ใจอยู่
“ไม่อยากเชื่อว่าชลจะกลัวแม่ปอมากขนาดนี้” ปานวาดเย้า
“ผมไม่ได้กลัว แต่ผมไม่อยากให้ปอต้องมีปัญหา ไม่อยากให้ปอถูกแม่ปอด่าว่า...เพราะผม”
“งั้นก็สบายใจได้ ยังไงวันนี้ก็ไม่เจอแม่แน่
ปัฐวีเดินเข้ามา สมทบ
“พี่มาทันไหม เริ่มหรือยัง”
“ยัง รอน้องป่านอยู่”
ปัฐวีมองชลกร ปานวาดเลยแนะนำ
“พี่ปัฐ นี่ชล เพื่อนปอ”
ชลกรไหว้ทัก ปัฐวีรับไหว้
“ผมว่าเราอายุเท่าๆ กันมั้ง คุณใช่ไหมที่จะช่วยโฆษณาโฮมสเตย์เรา”
“ครับ แต่แม่คุณไม่ยอม เลยเปลี่ยนมาโฆษณาดอกไม้ประดิษฐ์ของกลุ่มแม่บ้านแทน”
“ไม่ต้องไปสนใจแม่ผมหรอก พ่อให้พวกเราดูแลที่นี่ เออจริงด้วย ไหนๆคุณก็มาที่นี่แล้ว ถ่ายกิจกรรมกลางคืนของเราไว้ซี ถ้าคุณพิมพ์เรื่องนี้ รับรองทุกคนจะประทับใจ”
ปัฐวีหันไปเห็นปานดาวเดินหงุดหงิดเข้ามาพอดี
“นั่นไง นักร้องประจำโฮมสเตย์ของเรา”
“มากันแล้วเหรอ” ปานดาวทักพี่ๆ หน้ามุ่ย
“ป่าน นี่ชลเพื่อนพี่”
ปานดาวไหว้ชลกร มองหน้าคุ้นๆ แต่จำไม่ได้เพราะวันนั้นชุลมุน แล้วหันมาพูดกับพี่ๆ
“คืนนี้ป่านขอพักได้ไหม”
“จะไม่ร้องเพลงเหรอ”
“อืม ไม่มีอารมณ์”
“ไม่ได้หรอก เนี่ย คุณชลเขามาถึงที่นี่แล้ว พี่ขอให้เขาถ่ายรูปกิจกรรมของเราไปลงหนังสือเขา” ปฐวีว่า
“ผมว่าจะถ่ายคลิปไปลงเว็บของสำนักพิมพ์ด้วย”
“สุดยอดเลย” ปฐวีอ้อนปานดาว “นะ ช่วยกันหน่อย บ้านเตยหอมต้องดังแน่ๆ”
ปานดาวถอนใจเซ็งๆ
ปัฐวีกับปานวาดขึ้นมาบนเวทีในลานจัดเลี้ยง ทำหน้าที่พิธีกร
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติ ขอต้อนรับสู่รายการบันเทิงมื้อค่ำจากบ้านเตยหอมครับ”
“ถึงแม้บ้านเตยหอมของเราจะเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ แต่เราก็พร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ท่านมีความสุข”
พลางปานวาดเดินไปที่คอมพิวเตอร์คาราโอเกะ เตรียมเปิดเพลง
ระหว่างนี้ แวนด้ายังพยายามป้อนอาหารให้ชยพลตลอดเวลา ชยพลกินบ้างไม่กินบ้าง
“และสำหรับค่ำคืนวันนี้ เราขอมอบความสุขระหว่างมื้ออาหารของท่าน ด้วยเสียงเพลงไพเราะจากน้องสาวสุดที่รักของเรา คุณปานดาวครับ”
ชยพลสนใจขึ้นมาทันที มองไปบนเวที
เสียงเพลงอินโทรดังเข้ามา ครู่หนึ่งเสียงร้องหวานใสกังวานก็ดังขึ้น ปานดาวเดินร้องเพลงขึ้นมาบนเวที
บรรดาผู้บริหารทั้งหลายพากับปรบมือ แล้วส่งเสียงเชียร์เจี๊ยวจ๊าวอย่างพอใจ
ชยพลมองนิ่งไปที่ปานดาว ขณะที่แวนด้ามองปานดาวอย่างชิงชัง และไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่ลงทุนเลยนะ เอาคนล้างจานมาเป็นนักร้อง”
ชยพลหันมาทำเสียงปรามให้แวนด้าเงียบๆ “เบาหน่อย”
ชยพลจดสายตามองแต่ปานดาว
ฝ่ายปานดาวเองระหว่างที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีนั้น ก็คอยส่งสายตามองลงมาในหมู่ลูกค้าคนดู จนมาเจอสายตาหวานเชื่อมของชยพลที่มองจ้องอยู่แล้วอย่างจังๆ สองคนสบตากันเพียงแว่บเดียว ปานดาวก็หันมองไปทางอื่น
ชยพลรู้สึกทึ่งในน้ำเสียงอันแสนไพเราะของนักร้องสาวหน้าหวาน เริ่มหลงเสียงนางเข้าให้แล้ว
ระหว่างที่ปานดาวร้องเพลงไป ชลกรก็ออกมาหน้าเวทีถ่ายรูปและคลิปปานดาว ชยพลเห็นพี่ชายก็แปลกใจ
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ขณะที่ชลกรกำลังเช็ครูปและคลิปในกล้องอยู่อีกมุมหนึ่ง ชยพลก็เดินเข้ามาหาสะกิดไหล่เรียก ชลกรหันมาพอเห็นน้องชายก็แปลกใจ
“เฮ้ย พล มาทำอะไรที่นี่”
“ผมเป็นลูกค้า”
“ได้ไง นายทะเลาะกับน้องป่านไม่ใช่เหรอ”
“แหมพี่ สนิทกันขนาดเรียกน้องป่านเลยเหรอ ผมยังเรียกคุณปานดาวอยู่เลย”
“ฉันสนิทกับปอพี่สาวเขา แล้วยังไง ยังไม่ได้บอกเลยว่ามาเป็นลูกค้าเขาได้ยังไง”
“ผมเปลี่ยนใจไม่เกลียดเขาแล้ว”
“เป็นไปได้ไง”
“ก็พอรู้จักเขามากขึ้น ก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี แล้วก็น่ารักมากๆ”
ชลกรเหล่มองชยพล ไม่อยากเชื่อ
“ตอนนี้ผมอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ อยากรู้ว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับผมมั้ย แต่โชคร้ายมาก แวนด้าดันตามกลับมาเมืองไทย”
“แวนด้า” ชลกรทวนชื่อ พยายามนึก “อ๋อ แฟนแกที่อเมริกาน่ะเหรอ เออแล้วตอนนี้แกกับแวนด้า นี่ยังไงกัน”
ชยพลอึกอัก คิดคำโกหก “เอ่อ ตอนผมกลับมาเมืองไทย ก็ได้ยินว่าแวนด้ามีแฟนใหม่แล้วก็เลยห่างๆกัน แต่เขาตามมาถึงที่นี่ แล้วเกาะไม่ยอมปล่อยเลย คืนนี้จะค้างกับผมด้วย คุณปานดาวเขาจะคิดยังไง”
เขาปิดท้ายคำพูดด้วยสีหน้าเศร้า
ชลกรนิ่งคิดไป แล้วตบไหล่ให้กำลังใจน้อง “ใจเย็นๆ ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้หรอก ว่าแต่เราน่ะเอาให้แน่ ว่าไม่ได้รักแวนด้าแล้วจริงๆ”
“เราเข้ากันไม่ได้หรอกพี่ชล ขืนแต่งกันไปก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ผมถึงได้ตัดสินใจถอยออกมา”
ชยพลทำสีหน้าจริงจังเป็นการสำทับคำพูด
หลังจากนั้นชลกรมองเข้าไปที่สนามหญ้า เห็นแวนด้านั่งเบื่อโลกอยู่ท่ามกลางโต๊ะผู้บริหารส่วนหนึ่ง อีกโต๊ะห่างออกมา อวยชัยอยู่กับผู้บริหารอีกกลุ่ม ส่วนบนเวทีปัฐวีร้องเพลงอยู่ ปานดาวอยู่กับปานวาดที่คอม
ชลกรเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของอวยชัย พออวยชัยหันมาเห็นก็รีบลุกขึ้นมาทักทายเพราะรู้ว่าเป็นพี่ชายเจ้านาย
“คุณชล สวัสดีครับ”
ชลกรไหว้อวยชัย “สวัสดีครับคุณอวยชัย เอ่อ ผมปรึกษาอะไรหน่อยซีครับ”
อวยชัยออกจากโต๊ะ ชลกรพาออกไปคุยกันห่างมาหน่อย
“อยากเอาใจเจ้านายไหม”
“อยากซีครับ จะให้ผมทำอะไรบอกได้เลย”
ชลกรกระซิบกระซาบบางอย่าง อวยชัยพยักหน้ารับ ยิ้มเห็นด้วย
บนเวที ปัฐวีร้องเพลงจบลง อวยชัยเข้ามากวักมือเรียก ปัฐวีเดินมาคุยกับอวยชัยพลางพยักหน้ารับ เอาคำยิ้มเห็นด้วย ก่อนจะกลับไปยืนกลางเวที
“ฟังพวกผมร้องกันไปหลายเพลงแล้ว ได้ทราบมาว่าในหมู่ท่านผู้มีเกียรติ ก็มีนักร้องเสียงแก้วเจียระไนอยู่เหมือนกัน ผมขอเชิญคุณชยพลมาร่วมร้องเพลงกับพวกเราด้วยครับ”
ชลกรพาตัวชยพลเข้ามาข้างเวที ชยพลยังงงๆ ไม่อยากขึ้นไป
“เชิญครับคุณชยพล ทุกท่านปรบมือให้เกียรติหน่อยครับ”
แขกที่มาร่วมงานพากันปรบมือดังสนั่น มีเพียงแวนด้าคนเดียวที่แสดงอาการหงุดหงิด ชยพลขึ้นไปบนเวที
“ต้องช่วยๆ กันร้องนะครับ”
“ได้เลยครับ” ปัฐวีบอกกับชยพลแล้วหันกลับมาหาผู้ชม บอกว่า “ผมขอเชิญคุณชยพลร่วมร้องเพลงกับนักร้องเสียงหวานของเรานะครับ น้องป่าน ปานดาว ครับ”
ปานดาวชะงัก หันมามองปัฐวีตาเขียว พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ปานวาดกลับจูงมือปานดาวมาหาชยพลที่กลางเวทีถามขึ้น
“สองคนร้องเพลงอะไรดีคะ”
ชยพลบอกชื่อเพลงไป แล้วหันมาถามปานดาว “ร้องได้ไหมครับ”
“ได้อยู่แล้ว”
ปานวาดแยกไปที่คอมเปิดหาเพลง คีย์เข้าไปในคิว ปัฐวีส่งไมโครโฟนให้ชยพลและปานดาว
เสียงดนตรีอินโทรเพลงดังขึ้น ชยพลยิ้มส่งให้ปานดาว แต่อีกฝ่ายเบะปากนิดๆ มาให้
ชยพลเริ่มร้องเพลงคู่กับปานดาว และร้องเข้าเขาเข้าคู่กันราวกับนักร้องคู่ขวัญก็ไม่ปาน จนเพลงจบ แขกทุกคนฟิน ปรบมือชอบใจรัวๆ ชยพลโค้งขอบคุณ แล้วมองเลยมาที่พี่ชาย ชลกรยกนิ้วให้
แวนด้ามองภาพบนเวทีตาคว่ำ หงุดหงิดเต็มที่
ชลกรพาอวยชัยออกมาข้างๆ สนามหญ้า”
“เยี่ยมมากเลยคุณอวยชัย พลเขาต้องปลื้มคุณมากแน่ๆ
อวยชัยดีใจ “จริงเหรอครับ แหม หาโอกาสทำให้เจ้านายปลื้มยากจริงๆ มีอะไรแนะนำอีกก็บอกได้นะครับ”
“พอดีมันมีอีกเรื่องนึงที่พลต้องการความช่วยเหลือ เรื่องนี้รับรอง พลยิ่งต้องขอบคุณคุณมากเลยล่ะ”
“ว่ามาเลยครับ ผมพร้อมจะช่วยเจ้านายทุกอย่าง”
ชลกรเริ่มเล่าให้อวยชัยฟัง
บนเวที ชยพลกับปานดาวร้องเพลงจบพอดี
ชยพลหันมายิ้มให้กับปานดาว “ขอบคุณนะครับ”
ปานดาวยิ้มตอบตามมารยาท แล้วเดินไปต่อว่าปัฐวี
“พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“เอาใจลูกค้าหน่อยน่า”
“อยากทำก็ทำไปเอง”
ปานดาวงอนใส่พี่ชาย เดินหงุดหงิดลงเวทีไป ปานวาดอยู่ที่หน้าจอคอมคอยเปลี่ยนเพลง
ชยพลเดินลงจากเวทีมาอีกด้าน ชลกรเข้ามาหา กระซิบบางอย่างกับน้อง
ชยพลมองไปที่แวนด้า เห็นแวนด้ากำลังหาวหวอดๆ ท่าทีง่วงนอนเต็มกำลัง
“กำลังหาทางออกไม่ได้อยู่เลย ขอบใจมากพี่”
ชลกรตบบ่าชยพลแล้วแยกไปที่โต๊ะ
ที่โต๊ะแวนด้า แวนด้ากำลังหาวนอน ชยพลเข้ามานั่ง ยิ้มๆ
“มีความสุขมากเลยนะ แผนคุณใช่ไหม ที่ร้องเพลงคู่กับเด็กล้างจานน่ะ”
“ทีมงานเขาอยากสร้างบรรยากาศน่ะ ให้ลูกค้ามีส่วนร่วม”
“อย่าให้แวนด้ารู้ละกัน” แวนด้าหาวนอนอีก
“แล้วเป็นไง เสียงผมมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันเหนื่อยน่ะ แวนด้ายัง เจ็ตแล็กอยู่เลย”
“เอางี้ดีไหม ถ้าคุณเหนื่อยก็ไปพักก่อน”
แวนด้ามองจ้องไม่วางใจ “มีแผนจะทำอะไรอีกล่ะ”
“ผมต้องประชุมผู้บริหาร ยังไม่นานหรอก คงซัก 2 ชั่วโมง คุณไปนอนรอในห้องก่อนเลย เสร็จแล้วผมจะรีบตามไป”
แวนด้ามองประเมินชั่งใจ “2 ชั่วโมงแน่นะ”
ชยพลยิ้มหวานตาใสให้ “ครับ”
แวนด้าเปิดประตูเข้ามาในห้องพักชยพล แล้วยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองมาวางบนเตียงเปิดออก หาชุดนอน หยิบออกมา ยกขึ้นดู มันเป็นชุดนอนที่เซ็กซี่เย้ายวนใจต่อผู้พบเห็นมากที่สุด แวนด้าดูชุดนอนในมือยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ไฟในห้องชยพลเปิดแสงสลัวๆ แวนด้าเดินหงุดหงิดงุ่นง่านไปมา เพราะชยพลไม่เข้ามาให้กินซักที แวนด้าเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ เปิดประตูออกไปทันที
อวยชัยซุ่มแอบดูความเคลื่อนไหวอยู่รีบฉากหลบไปโดยไว
ปานดาวเดินมาตามทาง เจอแวนด้าเดินสวนมาพอดี เซเลบสาวอยู่ในชุดนอนเซ็กซี่ แต่สวมเสื้อคลุมทับไว้ ปานดาวชะงัก
“นี่ พอลอยู่ไหน”
ปานดาวนิ่งไปนิด “ไม่ได้อยู่ในห้องกับคุณเหรอคะ”
“ถ้าอยู่กับฉัน แล้วฉันจะมาถามทำไม”
“ดิฉันก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่าเขาอยู่ที่ไหน” ปานดาวดูนาฬิกา “แล้วนี่มันก็หมดเวลางานของดิฉันแล้วด้วย คงต้องขอตัวก่อนค่ะ”
ปานดาวเดินเลี่ยงออกไป
“นี่ เดี๋ยวซี ดูแลลูกค้ายังไง ลูกค้าหายไปทั้งคนกลับไม่รู้เรื่อง”
ปานดาวหันกลับมา “จริงๆ คุณควรจะถามตัวเองมากกว่า เป็นภรรยายังไง ปล่อยให้สามีหายตัวไปได้”
“นี่เธอ จะมากไปแล้วนะ”
เห็นแวนด้าโกรธ ปานดาวคร้านจะทะเลาะ
“ขอตัวนะคะ”
ปานดาวก็เดินออกไปเลย ทิ้งให้แวนด้าเต้นเร่าๆ ด้วยความโมโหอยู่คนเดียว
อวยชัยมองขำๆ กับกริยาท่าทีของแวนด้า
อวยชัยย่องมาที่หน้าห้องพักตัวเอง มองซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นใครจึงเคาะประตูห้องเรียกเบาๆ สักครู่ประตูห้องค่อยๆ แง้มเปิดออก เห็นชยพลโผล่หน้าออกมา
“ผมเองครับ”
“เป็นไงบ้าง”
“คุณแวนด้าออกมาตามหาคุณพล แล้วก็กลับเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้วครับ”
“มา เข้ามาก่อน”
อวยชัยเข้าในห้อง
“คืนนี้ผมนอนห้องนี้กับคุณนะ”
“ได้ครับ แล้ว เอ่อ...เจ้านายไม่เสียดายเหรอครับ”
“เฮ้ย เสียดายอะไร”
ชยพลปิดประตูห้อง
ปานดาวยืนอยู่ตรงทางเดินหลังพุ่มไม้ มองมาที่ห้องพักอวยชัย ส่ายหน้านิดๆ แล้วเดินออกไป
บรรยากาศรอบๆ โฮมสเตย์ยามเช้าแสนสดชื่นแจ่มใส ปานดาวดูสมุดลงทะเบียนอยู่ที่เคาน์เตอร์ล็อบบี้ สักครู่หนึ่งชยพลค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ มองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นมีใคร จึงเดินเข้าไปทักปานดาว
“คุณปานดาว”
ปานดาวชะงักนิดๆ หันมามอง
“เป็นไงคะ หลับสบายไหม”
ชยพลส่ายหน้า “ไม่ไหว ลูกน้องผมกรนดังมาก”
“ถ้านอนกับภรรยา น่าจะมีความสุขมากกว่า” ปานดาวเหน็บ
“ก็บอกแล้วไงว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน”
ปานดาวยักไหล่ เป็นทำนองบอกว่าเธอไม่ได้สนใจอะไร
“ผมมีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือคุณหน่อย”
“อะไรอีกล่ะคะ”
“ถ้าแวนด้าเขามาถามหาผมอีก คุณช่วยบอกเขาทีว่าผมไม่อยู่แล้ว ผมไปทำงานด่วนที่เชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน”
“อ้าว อยู่ดีๆ คุณจะมาให้ฉันทำบาปได้ยังไง หรือคุณไม่รู้ว่า การโกหกน่ะมันบาป”
“ผมจะขอรับบาปนั่นไว้เองก็แล้วกันครับ”
“เอ่อ บาปกรรมมันยกให้กันได้ยังไง”
ชยพลตีหน้าเศร้า “ขอร้องเถอะครับ ผมเดือดร้อนจริงๆ คุณก็เห็นว่าแวนด้าเขาเป็นยังไง ลำพังผมต้องอายลูกน้องกับพวกผู้ถือหุ้นยังไม่เท่าไหร่ แต่งานการที่ผมเตรียมไว้ ไม่เป็นอันได้ทำกันเลย ผมมีเวลาแค่วันนี้อีกวันเดียว ถ้ายังไม่ได้งานอีก การมาทำกิจกรรมที่นี่ก็สูญเปล่าหมด ตอนนี้ ผมมีคุณเป็นความหวังสุดท้ายจริงๆนะครับ”
ชยพลตีหน้าเศร้าสุดๆ ปานดาวมองด้วยท่าทีอึดอัด ที่สุดปานดาวฉีกกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้ชยพล
“ขอเบอร์มือถือคุณหน่อย”
ชยพลงงๆ “ทำไมเหรอครับ”
“ถ้าจะต้องโกหก ก็ให้คุณทำเอง ฉันจะให้เขาโทร.ถามคุณ”
ชยพลอึ้งไปเลย มีความกวนเป็นที่สุด จริงๆ ยัยคนนี้
“ก็ยังดีครับ”
ชยพลเขียนเบอร์มือถือของตัวเองลงในกระดาษ
ฟากมาลัยนั่งอยู่ในห้องรับแขกแล้ว ขณะก้องภพกับดุจเดือนออกมาจากห้องอาหาร
“วันนี้พ่อไปส่งเหรอ”
“ใช่จ้ะ” ก้องภพโอบบ่าลูกสาวอย่างรักใคร่ “มีลูกสาวสวยต้องดูแลหน่อย”
“แล้วถ่ายกันที่ไหนล่ะลูก” มาลัยถามลูกสาว
“วันนี้ยังถ่ายอยู่ที่บางน้ำผึ้งค่ะริมแม่น้ำ”
“แม่อยากไปดูงานของลูกบ้างจัง”
ดุจเดือนชะงักไปนิดๆ จึงว่า “อย่าไปเลยค่ะ น่าเบื่อออก ร้อนก็ร้อน”
“จ้ะ วันไหนลูกสะดวกก็บอกละกัน แม่อยากไปช่วยงาน จะได้เห็นดาราด้วยอยู่บ้านเฉยๆ มันเบื่อ”
อันที่จริงมาลัยตั้งใจไปเฝ้าดุจเดือน
“แล้วดูอีกทีนะคะแม่”
ดุจเดือนรีบรุนหลังก้องภพพากันออกจากบ้านไป มาลัยมองตามนึกระแวงอยู่ในใจครามครัน
รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่บริเวณใกล้ๆ กองถ่ายละครช่อง 8 มาลัยลงจากรถ มองเข้าไปด้านในเห็นรถกองถ่ายหลายคัน มีคนของกองถ่ายคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี มาลัยเข้าไปถามบางอย่าง คนกองถ่ายชี้ไปยังที่พักด้านหลังกอง มาลัยขอบคุณ แล้วเดินไปทางนั้น
ดุจเดือนอยู่กับปัฐวี พูดคุยหยอกล้อหัวเราะหัวใคร่กันอยู่ตรงมุมฝ่ายเสื้อผ้า
“มันก็จริงนี่ ผลงานดุจได้เสนอชื่อด้วย”
“แต่ที่คุยกับพ่อไม่ได้คุยเรื่องนั้น เราปรึกษากันว่าจะแนะนำปัฐยังไงกับแม่ แล้วไม่ทำให้เขาอาละวาด”
“บอกว่าผมเป็นเพื่อนสนิทก็แล้วกัน”
ดุจเดือนจ้องหน้าเขา “อยากเป็นแค่นั้นจริงๆ เหรอ”
“แล้วอีกซักพักค่อยบอกแม่ดุจว่า ความเป็นเพื่อนพัฒนาไปอีกระดับแล้ว”
ดุจเดือนยิ้มขำ “ถึงระดับไหนดี”
เสียงมาลัยดังแหลมเข้ามา “ระดับที่แม่ไม่มีวันยอมไง”
ทั้งปัฐวีและดุจเดือนตกใจ หันไปมองเห็นมาลัยเดินตรงเข้ามาสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“ไม่คิดว่าลูกจะเป็นแบบนี้”
“แม่คะ” แม่ลูกเริ่มทะเลาะกัน
“แม่ห้ามแล้วใช่ไหม ไม่ให้คบหากับเขา นี่ลูกสมคบคิดกับพ่อมาหลอกแม่”
“ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยคะ ทำไมต้องคิดแค้นไม่จบไม่สิ้น”
“เพราะพวกเขาเป็นคนไม่ดี พวกเขาทำหลายอย่างที่ให้อภัยไม่ได้”
ดุจเดือนแย้ง “มันตั้งกี่สิบปีแล้วแม่”
“จะกี่ปีก็ไม่ได้ ลูกเข้าใจมั้ย ลูกทำแบบนี้ แม่ต้องเสียใจมากแค่ไหนรู้ไหม”
ปัฐวีเข้ามาขวางระหว่างมาลัยกับดุจเดือน
“อย่าว่าดุจเลยครับ ถ้าจะมีใครผิด มันก็ต้องเป็นผม”
มาลัยด่าอย่างรุนแรงโดยไม่มองหน้า “ไม่ต้องมาทำเป็นสุภาพบุรุษ ฉันรู้จักสันดานของพวกเธอดี”
ดุจเดือนตกใจ “แม่”
“ผมไม่อยากให้คุณอาเข้าใจดุจผิด ผมเป็นคนที่พยายามสนิทสนมกับดุจเขาเอง เขาก็ไม่ได้คิดจะยุ่งเกี่ยวกับผม ตามที่คุณอาสั่ง แต่ผมตื้อมาหาเขาเอง”
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ฉันขอบอกไว้เลยนะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับลูกดุจอีก รู้ไว้ด้วยว่า ชาตินี้ เธอกับดุจจะไม่มีวันได้รักกัน”
ปัฐวีมองดุจเดือนสองคนสบตากัน ความเสียใจพลุ่งขึ้นในใจของทั้งสอง ดุจเดือนน้ำตาร่วง ปัฐวีหันมามองหน้ามาลัย
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ปัฐวีมองดุจเดือนอีกครั้ง แล้วเดินคอตกออกไปจากบริเวณนั้นทันที ดุจเดือนเบือนหน้าไปทางอื่น สะอื้นไห้ออกมา
มาลัยเห็นดุจเดือนร้องไห้ก็ยิ่งเจ็บปวดและอัดอั้นตันอุราเหลือแสน ครั้นจะบอกความจริงกับลูกสาวก็ไม่ได้ว่า
เหตุใดตนถึงตั้งป้อมกีดกันอย่างรุนแรง และประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้รักกับผู้ชายคนนี้ได้เด็ดขาด
อ่านต่อตอนที่ 8