บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 6
ด้านปฐวีเดินหิ้วถุงขนมเข้ามาแถวที่พักหลังกองถ่าย ตรงมุมฝ่ายเสื้อผ้า ดุจเดือนกำลังเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับการถ่ายทำฉากต่อไป อยู่กับผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง
ปัฐวีเดินมาจนถึงหยุดมองไป เห็นดุจเดือนกำลังทำงาน เกิดไม่กล้าเข้าไป จึงหลบเข้ามุม มองดูดุจเดือนทำงานอยู่อย่างคล่องแคล่ว เปิดบทละครและโน้ตที่เตรียมไว้ เดินไปเลือกเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ที่ราวแยกต่างหาก แม้จะดูคล่องแคล่ว แต่ดุจเดือนก็มีอาการเหนื่อย ปัฐวีเห็นดุจเดือนเช็ดเหงื่อ
ปัฐวีมองแล้วรู้สึกชื่นชมดุจเดือนที่ทำงานเก่ง แต่ก็เห็นใจที่เห็นสาวเจ้าต้องเหนื่อยขนาดนี้
ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งวันนี้คึกคักเช่นทุกวัน มีลูกค้า นักท่องเที่ยว กับพ่อค้าแม่ขายในร้านต่างๆ ไม่มากนัก เพราะไม่ใช่วันหยุด
ชลกรสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปเดินมาตามทางเดินมองหาไปเรื่อยๆ สักครู่หนึ่งก็เห็นป้าย กลุ่มสตรีบ้านบางน้ำผึ้ง พร้อมลูกศรชี้เข้าไปในร้านๆ หนึ่งข้างหน้า ชลกรรีบเดินไปที่ร้านนั้น
ที่ร้านกลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง มีโต๊ะวางดอกไม้ประดิษฐ์ แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ชลกรเดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน แม่ค้า 1 ที่ขายของอยู่ที่บูธใกล้ๆ กันเห็นชลกรเลยเข้ามาถาม
“จะซื้อดอกไม้เหรอคะ ดอกละร้อย ถ้าเป็นช่อ 4 ดอกก็สามร้อย”
“อ๋อ เปล่าครับ ผมมาหาแม่ค้าดอกไม้นี่น่ะครับ คือผมทำงานหนังสือท่องเที่ยว อยากจะถ่ายรูปแม่ค้าดอกไม้กับดอกไม้ไปลงหนังสือ”
“เหรอ เขาไปธุระน่ะ รอหน่อยได้ไหมล่ะ จะไปตามมาให้”
ชลกรยิ้มดีใจ “ได้ครับ รอได้”
“รอตรงนี้นะ”
แม่ค้า 1 เอาเก้าอี้มาวางให้แล้วเดินออกไป ชลกรนั่งรอ รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบปานวาด
ฝ่ายปัฐวีแอบดูดุจเดือนอยู่ข้างห้องพักทีมงานกองถ่าย
“โทษนะคะ”
ปัฐวีสะดุ้งหันมาเห็นโปรดิวเซอร์ละครยืนอยู่ข้างหลังมองมายังเขา
“มาพบใครหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ ครับ คือ เอาขนมมาให้นะครับ”
โปรดิวเซอร์มองฉงน “ให้ใครคะ พระเอกหรือนางเอก”
“นางเอก เอ๊ย...คุณดุจน่ะครับ”
“เอาเข้าไปให้ได้เลยค่ะ”
ปฐวีอึกอักไม่กล้าอยู่ดี “ไม่เป็นไรครับ เขากำลังทำงานยุ่งๆ ผมฝากคุณไปให้ได้ไหมครับ”
โปรดิวเซอร์พยักหน้ารับ ปฐวีส่งถุงขนมให้
“ให้บอกว่าใครเอามาให้ล่ะ”
ปฐวีนิ่งไปชั่วครู่ “เขารู้ครับ ขอบคุณนะครับ”
จากนั้นปฐวีก็เดินดุ่มกลับออกไป
ถุงขนมของปฐวีถูกส่งให้ดุจเดือนโดยโปรดิวเซอร์
“มีคนฝากมาให้”
ดุจเดือนแปลกใจ รับถุงขนมมา
“เขาบอกว่าเธอรู้”
“แล้วเขาไปไหนล่ะคะ” ดุจเดือนเหลียวมองหา
“กลับไปแล้ว”
ดุจเดือนอึ้งๆ งงๆ
ไม่นานต่อมาดุจเดือนวิ่งเข้ามาในลานจอดรถภายในวัด มองไปที่ใต้ร่มไม้เห็นรถกระบะจอดอยู่ และปัฐวีกำลังจะขึ้นรถ ดุจเดือนรีบวิ่งไปหาร้องเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว”
ปัฐวีจับประตูค้าง หันมาทางดุจเดือนที่วิ่งหอบเหนื่อยมาหา
“จะรีบไปไหนเหรอ”
“เอ่อ...ต้องกลับไปที่โฮมสเตย์น่ะ”
“อย่างน้อยก็น่าจะอยู่รอรับคำขอบคุณก่อน”
ปัฐวีปิดประตูรถพลางบอก “ไม่เป็นไรหรอก”
“เป็นซิ ขอบคุณนะ สำหรับขนม”
ปัฐวียิ้มรับ “ยินดีครับ”
สองคนมองหน้ากัน ยิ้มให้กัน ต่างคนต่างนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ผมขอตัวนะ” ปัฐวีเปิดประตูรถใหม่
“งานยุ่งมากเหรอ”
“จริงๆ ก็...ไม่หรอก”
“งั้นอยู่คุยกันก่อนซิ”
“เห็นคุณยุ่งๆ”
“ตอนนี้ว่างแล้ว”
ปัฐวีพยักหน้ารับแล้วปิดประตูรถ
ดุจเดือนกับปัฐวีเดินเข้ามาในที่พักด้านหลังกองถ่าย
“ดุจเตรียมไว้ให้เสร็จหมดแล้ว ทีนี้ก็ง่ายจนเลิกกอง”
“เลิกดึกไหมล่ะ”
“วันนี้น่าจะแค่ค่ำๆ ค่ะ”
ดุจเดือนเดินมาที่โต๊ะ มีถุงใส่ขนมของปัฐวีอยู่บนนั้น แต่ในถุงไม่มีขนมเหลือแล้ว
“อ้าว ไปไหนหมดล่ะเนี่ย” ดุจเดือนหันไปถามผู้ช่วยคอสตูมอีกคน “ขนมดุจล่ะ”
ผู้ช่วยชี้ไปที่โปรดิวเซอร์ที่กำลังเดินเข้ามา
ดุจเดือนจึงหันไปถามโปรดิวเซอร์ “พี่ ขนมดุจล่ะ”
“กำลังจะมาบอกเลย เมื่อกี้ผู้กำกับกับพระเอกนางเอกเข้ามา หยิบคนละชิ้นสองชิ้น ห้ามไม่ทัน”
ดุจเดือนบ่น “อะไรเนี่ย”
“ไม่เป็นไร วันหลังเอามาให้ใหม่”
โปรดิวเซอร์รีบบอก “เอามาเยอะหน่อยนะ เขาชอบกันใหญ่เลย อร่อยมาก ขายยังไงไม่รู้”
“ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็นของฝากจากคนบางน้ำผึ้ง”
โปรดิวเซอร์สะดุดหู “คุณเป็นคนที่นี่เหรอ”
“คุณปัฐวีเขาทำงานอยู่ที่โฮมสเตย์บ้านเตยหอม” ดุจเดือนบอก
“เหรอ วันก่อนแวะไปดูอยู่ น่าพักมากเลย บรรยากาศดีมาก”
“จะไปถ่ายละครที่นั่นก็ได้นะครับ ให้ถ่ายฟรีเลย”
ดุจเดือนชะงัก อยากจะห้ามปัฐวี
โปรดิวเซอร์ยิ้มกระหยิ่มอยู่ดีๆ ก็ได้สถานที่ถ่ายฟรีๆ
“จริงเหรอ เออ น่าสนใจ เดี๋ยวจะถามฝ่ายโลเกชั่นดู”
ปัฐวียิ้มรับเอาคำ
ดุจเดือนเดินหน้ามุ่ยออกมา ปัฐวีตามมาด้วยท่าทีงุนงงสงสัย
“ทำไมเหรอครับ มีอะไร”
ดุจเดือนหยุดเดินหันมาหา “ไปพูดแบบนั้นได้ยังไง ที่จะให้ถ่ายฟรีน่ะ”
“ผมไม่มีปัญหาหรอก”
“รู้ไหม ที่อื่นเขาเช่ากันวันละหลายหมื่น”
“แต่ผมไม่คิดเงิน”
“อย่างน้อยก็ต้องคิดค่าน้ำค่าไฟบ้าง”
“มันไม่กี่ตังค์หรอก”
ดุจเดือนชักฉุน “คุณเป็นคนยังไงแน่ ขนมก็จะเอามาแจกอีก ชอบทำบุญนักเหรอ”
“ไม่หรอก ผมมีเหตุผลของผม”
ดุจเดือนเป็นฝ่ายงง “เหตุผลอะไร”
ปัฐวีนิ่งนึก ก่อนยิ้มออกมา “พูดตรงๆ เลยนะ จะโกรธผมก็ได้” ดุจเดือนมองฉงน ไม่เข้าใจอยู่ดี “ผมอยากเจอคุณ”
ดุจเดือนอึ้งไป เขินเลยทีนี้
“เพื่อแลกกับการได้เจอคุณ ต้องเสียมากกว่านี้ผมก็ยอม”
ดุจเดือนมองหน้าปัฐวีเหมือนค้นหาความจริง ปัฐวียิ้มจริงใจย้ำคำพูดจนดุจเดือนต้องหลบตา
ฝ่ายชลกรนั่งแกร่วรออยู่ที่ร้านกลุ่มสตรี เริ่มกระวนกระวาย จนแม่ค้า 1 ที่ไปช่วยตามเข้ามาด้านหนึ่ง
“มาแล้วค่ะ แม่ค้าดอกไม้ที่จะให้คุณถ่ายรูป” แม่บ้านผายมือไปอีกด้านของชลกร ชายหนุ่มยิ้มดีใจรีบหันไป แต่ก็ต้องชะงักกึก เมื่อพบว่าที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เขาเป็นหญิงวัยคราวแม่หกสิบอัพ
“จะถ่ายรูปพี่เหรอคะ” ป้าถาม
ชลกรอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
“ถ่ายที่ร้านนี่เลยใช่ไหม หรือจะลงไปถ่ายในเรือ”
“คือ...ผม”
ชลกรไม่รู้จะพูดปฏิเสธอย่างไร หันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อคิดหาทางออก แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปานวาดหิ้วถุงดอกไม้มาเติมในร้าน ปานวาดมาถึงร้าน เห็นชลกรก็ชะงักนิดๆ คิดในใจ
“นายคนนี้อีกแล้ว มาทำไมเนี่ย”
ปานวาดวางดอกไม้ลง บอกกับสมาชิกกลุ่มว่า
“เอาดอกไม้มาเพิ่มนะคะ”
“แล้วจะอยู่ขายไหม”
“ยังก่อนค่ะ ต้องไปธุระ”
ปานวาดเดินออกไปอีกทาง ชลกรเรียกไว้
“เดี๋ยวคุณ”
ชลกรทำท่าจะตามไป ป้าแม่บ้านคว้าแขนไว้
“ตกลงจะถ่ายรูปไหม”
“ขอโทษนะครับ เข้าใจกันผิดน่ะครับ”
ชลกรผละจากแม่บ้านนั้น แล้วรีบตามปานวาดไป
ปานวาดเดินมาตามทางเดินในตลาดน้ำ ชลกรเร่งฝีเท้าจนมาเดินอยู่ข้างๆ ปานวาด
“คุณ เดี๋ยวซีครับ”
ปานวาดไม่สนใจ เดินไปเรื่อยๆ
“คุณจำผมไม่ได้เหรอ ผมที่ถ่ายรูปคุณวันก่อนในตลาดนัดไงครับ”
“จำได้ แต่ไม่สน”
“ผมแค่อยากถ่ายรูปคุณกับดอกไม้เท่านั้นเอง ขอร้องนะครับ”
“จะมาถ่ายรูปฉันทำไม ฉันไม่ใช่นางแบบที่ไหน ไปถ่ายรูปพวกแม่ๆ กับดอกไม้โน่นไป”
ชลกรเร่งฝีเท้าจนเดินแซงปานวาด แล้วหันหน้ามาหาเธอ พร้อมกับล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา
“ผมไม่ได้ให้คุณทำฟรีๆ นะ ผมจะจ้างคุณ”
ปานวาดหยุดเดิน ชลกรหยุดด้วย
“คุณจะคิดเป็นชั่วโมงก็ได้ หรือถ้าผมจะเหมาทั้งวัน คุณจะคิดเท่าไหร่”
“เห็นฉันเป็นยังไง ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เงินซื้อฉันไม่ได้หรอก”
ปานวาดเดินทะลุซอยออกสู่ถนนใหญ่ด้านข้างๆ ชลกรรีบตามไป
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)
ปานวาดออกจากซอยเดินหนีมาที่ถนนใหญ่ หลบเดินมาตามไหล่ทาง ชลกรตามมาติดๆ มีรถวิ่งผ่านไปบนถนนเป็นระยะด้วยความเร็วพอประมาณ
“ผมไม่ได้คิดจะว่าอะไรคุณ ผมอยากจะจ้างคุณจริงๆ”
ปานวาดไม่สนใจ เดินหนีไปเรื่อยๆ ชลกรตื๊อไม่เลิก
“คิดว่าเป็นเรื่องงานซีครับ คุณเป็นแบบให้ผม คุณก็ได้เงิน”
ปานวาดก็ไม่สนใจอยู่ดี
“ช่วยผมหน่อยเถอะครับ ผมเดือดร้อนจริงๆ ผมต้องส่งงาน”
“นั่นมันเรื่องของคุณ”
ชลกรหยุด มองออกไปที่ถนน “ก็ได้ งั้นผมจะทำให้เป็นเรื่องของคุณ”
ปานวาดหยุดเดิน ไม่เข้าใจที่ชลกรพูด พอหันไปมองก็ต้องชะงัก เมื่อชลกรพาตัวเองออกไปยืนอยู่กลางถนน โดยมีรถคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาอย่างเร็ว ปานวาดตะลึง
รถวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้น พร้อมกับบีบแตรขอทาง แต่ชลกรยังคงยืนอยู่กลางถนนแถมยังหลับตา
รถยิ่งวิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีๆ เสียงแตรดังลั่น แต่ชลกรไม่ใส่ใจยืนนิ่งมีสิทธิ์ถูกรถชนในไม่กี่วินาทีนี้
ไวเท่าความคิด ปานวาดก็พุ่งเข้าไปกอดคอดึงร่างชลกรออกมาจากถนน สองคนล้มกลิ้งไปด้วยกัน หลายตลบ สุดท้ายปานวาดนอนหงายอยู่ข้างล่าง มีร่างชลกรคร่อมทับอยู่ข้างบน สองคนมองหน้ากันอึ้งๆ ต่างคนต่างพูดไม่ออก
รถวิ่งมาเบรกหยุดกึก ตรงจุดที่ชลกรยืนพอดี คนขับลดกระจกตะโกนด่า
“อยากตายหรือไง เป็นบ้าหรือเปล่า”
“จ้ะ คนมันบ้า ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
คนขับรถออกรถไปอย่างหัวเสีย
“ออกไปได้แล้ว”
ชลกรถูกปานวาดผลักออกไปนอนหงายลุกขึ้นนั่ง ปานวาดลุกขึ้นปัดฝุ่นดินออกจากตัวบ่นไม่เลิก
“น่าปล่อยให้รถชนตายไหมเนี่ย”
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมอยากจะถ่ายรูปคุณจริงๆ”
“ออกไปยืนกลางถนนอีกซี คราวนี้ไม่ช่วยแล้วนะ”
ชลกรลุกขึ้นยืน ทำท่าจะก้าวไปที่ถนน ปานวาดร้องห้าม
“เฮ้ เอาจริงเหรอ”
“ไม่แล้วครับ ถ้าคุณจะยอมฟังผมหน่อย”
ปานวาดส่ายหน้า ท่าทีเบื่อหน่าย
“ที่ผมอยากถ่ายรูปคุณ เพราะผมกำลังจะตกงาน ถ้าผมไม่ได้รูปที่มีชีวิตชีวาเอาไปส่งสำนักพิมพ์”
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นฉัน”
“เพราะพอผมเจอคุณ ผมก็รู้ว่าคุณต้องช่วยได้แน่ คุณทำให้รู้ว่า คำว่าชีวิตชีวาเป็นยังไง”
ปานวาดอึ้งไป เบะปาก ไม่รู้จะว่ายังไง
ภาพนิ่งปานวาดกับดอกไม้ประดิษฐ์หลายๆภาพหลายๆมุมทยอยเข้ามา มีทั้งที่ถ่ายในร้านกลุ่มสตรี มุมต่างๆในตลาดน้ำ สวนดอกไม้ และบนเรือ มีเพลงรักสดชื่นที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาคลออยู่
จนถึงรูปสุดท้าย เป็นรูปปานวาดกระโดดตัวลอย มือข้างหนึ่งอุ้มช่อดอกไม้ไว้ อีกมือชูขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ดูมีชีวิตชีวามาก แล้วค่อยๆซูมเข้าไปที่หน้าของปานวาดที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
ที่ร้านค้ากลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง ปานวาดและชลกรหอบดอกไม้ประดิษฐ์ที่เอาไปถ่ายรูปกลับเข้ามา มีแม่บ้านอยู่ด้วย แม่บ้านรับดอกไม้จากปานวาดและชลกรเอาไปจัดไว้ที่โต๊ะ ปานวาดทำงานโดยไม่รู้เหนื่อย ชลกรมองอย่างชื่นชม ปานวาดหันมามอง สองคนประสานสายตากันพอดี ชลกรเป็นฝ่ายหลบตา
“เหนื่อยมากไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วคุณได้อย่างที่ต้องการไหม”
“ได้ยิ่งกว่านั้นอีกครับ”
“งั้น...คงพอใจแล้วซีนะ”
“ครับ”
ปานวาดไม่รู้จะพูดอะไร รอให้อีกฝ่ายกลับไป ชลกรเองก็ไม่พูดอะไรได้แต่มองปานวาดอยู่อย่างนั้น จนปานวาดอึดอัดทนไม่ไหว
“จะกลับก็เชิญเลยนะ”
“อ๋อ ครับๆ” ชลกรรู้ตัวล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา “คุณจะคิดเท่าไหร่ครับ”
“บอกแล้วไง เงินซื้อฉันไม่ได้”
“แต่ผมต้องตอบแทนคุณบ้าง ไม่งั้นเหมือนผมเอาเปรียบคุณ”
“เอางี้ คุณจะเอารูปนั่นไปลงหนังสือใช่ไหมล่ะ”
ชลกรพยักหน้ารับ
“คุณก็ช่วยโฆษณาดอกไม้ประดิษฐ์ของกลุ่มสตรีบางน้ำผึ้งให้ด้วยละกัน แล้วก็” พลางหันไปหยิบนามบัตรกับโบรชัวร์ที่โต๊ะมาส่งให้ชลกร “ฉันมีที่พักโฮมสเตย์ชื่อ บ้านเตยหอม คุณช่วยโฆษณาให้ด้วย”
ชลกรรับโบรชัวร์กับนามบัตรมาดู “ไม่มีปัญหาครับ บางทีผมอาจมาขอใช้บริการด้วย”
“ยินดีค่ะ”
“แล้ว...เอ่อ...” ชลกรอึกอัก “บางทีผมอาจจะขอนัดเจอคุณอีก”
“อะไร ถ่ายไปกี่ร้อยรูปแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ ถ้า บก.เขาซื้อรูปพวกนี้ ผมต้องเอากลับมาให้คุณเลือก บางรูปถ้าคุณไม่ชอบ เราจะได้คัดออก”
“ไหนว่าฝีมือคุณดี”
“สำหรับผม ผมชอบทุกรูป แต่มันเป็นกฎน่ะครับ นางแบบต้องอนุญาตด้วย”
“ได้ โทร.นัดก็แล้วกัน เบอร์ฉันอยู่ในนามบัตรแล้ว”
“ครับ...งั้นผม...ขอกลับก่อน ขอบคุณมากนะครับ”
ปานวาดพยักหน้ารับเอาคำ ชลกรเก็บโบรชัวร์กับนามบัตรใส่กระเป๋าส่งยิ้มให้ปานวาดยิ้มตอบ ขณะจะเดินออกไป ชลกรนึกอะไรได้หันกลับมา
“อ้อ แล้วก็...ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ด้วย ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณแล้วนะ”
ปานวาดอึ้ง ชลกรยิ้มให้ แล้วเดินออกไป
ปานวาดตะโกนตามไป “ไม่ต้องมาใช้คืนนะ ฉันยกให้”
ชลกรไม่หันมา ยกมือทำเครื่องหมาย OK โบกไปมาแล้วเดินออกไป ปานวาดส่ายหน้า แต่กลับแอบยิ้มกับตัวเอง
คืนนั้น ดุจเดือนเลิกกองกลับถึงบ้าน กำลังเปิดตู้เย็นหาของกินอยู่ในครัว หญิงสาวฮัมเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี เจอผลไม้ปอกเสร็จใส่จานเรียบร้อยพร้อมทาน จึงหยิบออกมา พร้อมน้ำอีกหนึ่งขวด
เสียงมาลัยดังขึ้น “มีข้าวด้วยนะ”
ดุจเดือนหันไปมองเห็นมาลัยยืนยิ้มอยู่ที่ประตูครัว
“จะกินไหม แม่จะอุ่นให้”
“ไม่ล่ะค่ะ แค่ผลไม้นี่ก็อิ่มแล้ว” ดุจเดือนวางจานผลไม้กับขวดน้ำลงบนโต๊ะ “พ่อยังไม่กลับเหรอคะ”
“คงกลับดึก”
ดุจเดือนหยิบผลไม้กิน ฮัมเพลงไปด้วย มาลัยมองจ้อง
“วันนี้ไปอารมณ์ดีมาจากไหน”
“เปล่าค่ะ เพลงเขาเปิดในกองถ่ายน่ะ” ดุจเดือนเยื้อนยิ้มนิ่งคิดอะไรบางอย่าง “แม่เคยเจอใคร ที่เพิ่งรู้จักกัน แต่เหมือนกับสนิทกันมานานเป็นปีๆ ไหมคะ”
“เคยซี มีคนนึง” มาลัยคิดตามลูก “ก็พ่อก้องของลูกไง แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุ้นกันมาตั้งแต่แม่เป็นเด็ก ถึงไม่ได้เจอกันหลายปี พอเจอกันอีกครั้ง ก็สนิทกันเลย ทำไมเหรอ ไปเจอใครมาล่ะ”
“เขาเป็นคนบางน้ำผึ้งค่ะ อาจเป็นอย่างแม่ก็ได้ เคยวิ่งเล่นกันตอนเด็กๆ แต่จำไม่ได้ เจอกันอีกทีเลยคุ้นกันเร็ว ดุจเคยอยู่บางน้ำผึ้งจนถึงสี่ขวบใช่ไหมคะ ก่อนย้ายมาอยู่ที่นี่”
“ใช่จ้ะ แล้วเขาที่ว่านี่ คือคนที่ออกค่าข้าวให้ลูกวันนั้นใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ระวังไว้ด้วยก็แล้วกัน บางคนอาจมาตีสนิทกับเราเพราะเจตนาไม่ดีก็ได้”
“ดุจไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ ดูออกค่ะ”
“แล้วพรุ่งนี้ทำงานไหม แม่อยากพาไปเยี่ยมน้ามาลีหน่อย ตั้งใจจะค้างซักคืนด้วย”
“กลางวันต้องทำงานค่ะ แต่มะรืนหยุด พรุ่งนี้เลิกงานแล้วดุจไปได้ ถ่ายละครแถวนั้นอยู่แล้ว ไปเจอที่บ้านยายใช่ไหมคะ”
“จ้ะ เอางั้นก็ได้”
“เออ แม่ไปบางน้ำผึ้งพอดี ไม่แน่นะถ้าได้เจอเขา ดุจจะแนะนำให้แม่รู้จัก”
มาลัยพยักหน้ารับเอาคำ นึกอยากเจอหนุ่มที่มาติดลูกสาวคนเดียวขึ้นมาครามครัน
ชลกรนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้าน
“ได้ครับ ผมไปเป็นเพื่อนแม่ได้อยู่แล้ว”
ครอบครัวมาลายกเว้นพันลือ นั่งกินข้าวมื้อค่ำอยู่ด้วยกัน
“ไปค้างด้วยใช่ไหมครับ”
“ค้างซักคืนนึง แต่อยากอยู่ต่อก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง” มาลาหันไปทางชยพล “แล้วลูกพลล่ะ ไปกับแม่นะ”
“แม่ก็รู้ ผมไม่ชอบเลย ไอ้งานรวมญาติเนี่ย” ชยพลตั้งแง่
“รวมญาติที่ไหน มีแต่พี่น้องของแม่ กับพวกลูก”
“ก็นั่นล่ะครับ”
“ตั้งแต่กลับจากเมืองนอก ลูกยังไม่ได้ไปกราบตากับยายเลยนะ ไปให้ท่านรับขวัญหน่อย การงานจะได้เจริญรุ่งเรือง”
เห็นชยพลชักสีหน้า ท่าทีไม่อยากไป ชลกรเลยบอกว่า
“ไปเหอะพล ไปเป็นเพื่อนแม่ด้วยกัน จะได้ถือโอกาสพักผ่อนด้วย”
“ก็ได้ครับ แต่ผมอาจไม่อยู่ค้างนะ”
“ยังไม่ต้องวางแผนล่วงหน้า เชื่อซี ถ้าแกได้ไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบร่มเย็นของบ้านตายายแล้ว แกจะไม่อยากกลับเลย”
อันที่จริง สำหรับชลกรแล้ว เขาคิดถึงอย่างอื่นมากกว่าบรรยากาศที่นั่น
รถของชยพลเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้านตากะยายตอนสายวันถัดมา มาลาลงจากที่นั่งด้านหลัง ชยพลลงจากที่นั่งคนขับ ส่วนชลกรลงจากที่นั่งข้างคนขับ ชยพลกับชลกรเดินมาเอากระเป๋าเดินทางที่กระโปงหลัง
มาลีออกจากในบ้านมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พี่มาลา”
มาลาสวมกอดน้องด้วยความรักและความคิดถึง มาลีกอดตอบจนแน่น น้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน มาลาถอยออกมามอง
“อะไรกัน พี่มาแทนที่จะดีใจ”
“ก็ดีใจน่ะซี”
มาลากหอมแก้มน้องสาวอีกที แล้วถอยออกมา หันมาเรียกลูก
“ลูกชล ลูกพล มาไหว้น้าซี”
ชลกรกับชยพลเข้ามาไหว้น้าสาวขี้โรค มาลีรับไหว้ ลูบหัวลูบไหล่หลาน
“เป็นหนุ่มหมดแล้ว มีแฟนกันหรือยัง”
ชลกรยิ้ม พลางส่ายหน้า “ยังเลยครับ”
“พลล่ะจ๊ะ”
“ก็กำลังคุยๆ อยู่น่ะครับ” ชยพลว่า
ชลกรพูดทีเล่นเอาจริง “ผมว่าจะมาหาเอาที่นี่แหละ”
“ก็ดีนะ สาวๆ บางน้ำผึ้งสวยๆ ทั้งนั้น” มาลีบอกหลานอย่างอารมณ์ดี
มาลาเหลียวหา “แล้วนี่แม่กับพ่อ ไม่อยู่เหรอจ๊ะมาลี”
“ออกไปตลาดซื้อของเตรียมทำอาหารต้อนรับพี่กับหลานๆ น่ะจ้ะ”
“อ้อ แม่กับพ่อไม่น่าต้องเหนื่อยเลย” มาลาหันไปบอกลูกทั้ง 2 “เอาของลงก่อนลูก เดี๋ยวเข้าไปคุยกันในบ้าน”
ชยพลกับชลกรช่วยกันขนกระเป๋าลง
“มาลัยมาหรือยังมาลี”
“คงใกล้ๆ เที่ยงนั่นแหละจ้ะ”
มาลีเดินนำทุกคนเข้าในบ้าน
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลาผ่านไป ทุกคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก หลังเสิร์ฟน้ำแล้ว มาลีกระวีกระวาด จัดหาขนมไทยเข้ามาทานเล่น ชลกรรีบไปช่วยน้าสาว
“แล้วเป็นไงบ้าง มาลัยบอกยังไม่ค่อยดี” มาลาถามขึ้น
“ก็ทรงๆ แบบนี้ล่ะพี่ โรคของฉันมันไม่หายขาด”
“ที่สำคัญต้องอย่าลืมกินยา”
มาลีพยักหน้ารับเอาคำพี่ แล้วหันมาคุยกับหลาน
“เป็นไงบ้าง ไม่ได้มาเยี่ยมตายายนานเลย ที่นี่เปลี่ยนไปมั้ย”
“ร่มรื่นดีออกครับ สงบด้วย ผมชอบที่นี่มาก” ชลกรบอกเป็นนัย
“ผมจำที่นี่ไม่ค่อยได้น่ะครับ ไปตั้งแต่เล็ก”
“ส่วนใหญ่ก็เป็นที่สวนเหมือนเดิม แต่ถ้าจะเปลี่ยนไปก็ตรงมีตลาดน้ำ แล้วก็สวนสาธารณะ ทานขนมซิลูก ฝีมือยายทำไว้ให้”
ชลกรหยิบขนมมาชิมแล้วพยักหน้าบอกอร่อยมาก มาลาหยิบมาทานพร้อมกับหยิบให้ลูกชายคนเล็ก ชยพลรับมาชิม ยิ้มบอกว่าอร่อยเหมือนกัน
ไม่นานนักสองพี่น้องเดินออกมาหน้าบ้านตากับยาย
“จริงๆ ฉันเพิ่งมาตลาดน้ำเมื่อวานนี้เอง” ชลกรเอ่ยขึ้น
“เหรอพี่ แล้วทำไมไม่บอกน้ามาลีล่ะว่าพี่มาเห็นแล้ว”
“เป็นตลาดเก่าที่จัดได้ดีมากเลย น่าอยู่ น่าจับจ่ายซื้อของ อาหารก็อร่อย แล้วที่สำคัญนะ ถ้าโชคดี ฉันอาจเจอบางคนที่อยากแนะนำให้แกรู้จัก”
“มาแนวนี้ ต้องสาวแน่ๆ” ชยพลมองเหล่พลางยิ้มแหย่ “ใช่ไหมล่ะพี่ชล”
“เดี๋ยวไปด้วยกันเลยก็แล้วกัน อยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
มาลาออกมาจากบ้าน ได้ยินพอดี
“จะไปไหนกันเหรอลูก”
“พาพลไปเดินตลาดน้ำหน่อยครับ แม่ไปด้วยไหม”
“ไปเหอะ แม่จะอยู่ช่วยตากับยายทำมื้อเที่ยง”
“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”
สองคนเดินไปขึ้นรถ ขับออกไป มาลามองตามยิ้มบางๆ
ปานดาวเดินหงุดหงิดเข้ามาในบ้าน
“นี่มันอะไรกัน วันโลกาวินาสหรือยังไง”
ดาวรายเดินมาจากทางหลังบ้าน
“มีอะไรเหรอลูก หงุดหงิดเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องโฮมสเตย์น่ะซีคะ วันนี้วันหยุด แขกเยอะ แต่เด็กดันลากลับบ้าน ไม่มีใครอยู่ทำงานเลย ให้ป่านรับแขกอยู่คนเดียวเนี่ย”
“แล้วปัฐกับปอล่ะ”
“พี่ปัฐเอาอาหารไปส่งกองถ่ายละคร แล้วจะอยู่รอเก็บจานมาด้วยล่ะมั้ง”
“ยัยปอก็คงไปหาซื้อของทำดอกไม้อีกล่ะซี”
“ค่ะ แถมคุณปกป้อง ซีอีโอ ก็ไปออกรอบกับเพื่อน ปล่อยให้เจ๊งดีไหมเนี่ย”
“ได้ไงลูก มันหม้อข้าวเรา ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ไปช่วยดูให้เอง”
อีกฟากหนึ่ง มาลัยมาถึงบ้านพ่อแม่ทีหลัง เดินลากกระเป๋าใบย่อมๆ เข้ามาในบ้าน ส่งเสียงดังลั่นบ้าน
“มาแล้วค่า”
มาลาออกมาจากห้องครัว
“ไหนบอกจะมาเช้า”
“แหม ก็กว่าจะทำสวยเสร็จ”
มาลาหัวเราะแล้วชะเง้อมอง “หลานดุจล่ะ”
“เขาทำงาน แต่เย็นๆ จะตามมา” มาลัยมองหาไปรอบๆ “แล้วพี่ล่ะมาคนเดียวเหรอ ไหนว่าหนุ่มๆ จะมาด้วย”
“มาด้วย แต่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ โน่น ออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”
“ไปไหน”
“พากันไปตลาดน้ำ”
มาลัยชะงักกึก “อุ๊ย ไปได้ยังไง พี่ไม่รู้เหรอ นังแรดดาวรายมันอยู่ที่นั่น”
มาลาพลอยชะงักไปด้วย
ชลกรกับชยพลเดินมาด้วยกันตามทางเดินเข้าไปในตลาดน้ำ
“เป็นไง ร่มรื่นไหม”
“อืม ก็ดี แต่ร้อน” ชยพลบอก
“ที่นี่ปากน้ำ ไม่ใช่บอสตันนี่ครับคุณชยพล”
“แล้วไหน ใครที่พี่อยากแนะนำให้รู้จัก”
“ร้านเขาอยู่ข้างใน”
สักครู่หนึ่ง ชลกรกับชยพลก็เดินมาถึงร้านกลุ่มสตรี
“นี่ร้านเขา”
ชยพลมองเข้าไป เห็นมีแต่สมาชิกแม่บ้านรุ่นป้าๆ 2-3 คน
“รุ่นป้าๆ เนี่ยนะ พี่ชลรสนิยมแนวนี้เหรอ”
“บ้าซี” ชลกรมองไปเห็นแต่ป้าๆ จริงๆ “ไม่อยู่อีกแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงปานดาวก็ดังเข้ามา
“มาทำอะไรที่นี่”
ทั้งชยพลและชลกรชะงัก หันมามอง ชยพลนิ่งอึ้ง เห็นปานดาวยืนอยู่กับดาวรายที่หน้าร้าน
ดาวรายถามลูกสาวเบาๆ “ใครลูก”
ปานดาวบอกเสียงดังว่า “ตัวแสบน่ะแม่”
ชยพลโมโห “เอ๊ะคุณ พูดให้ดีๆ นะ”
“ก็คุณมันแสบจริงๆ นี่”
ชลกรแปลกใจ “พล รู้จักเขาด้วยเหรอ”
“อืม พวกงี่เง่า”
ปานดาวยัวะ “เฮ้ย ว่าไงนะ”
“ก็ทีคุณยังว่าผมตัวแสบได้”
“ไปเลย มาทางไหน กลับไปทางนั้นเลย”
“ผมเป็นนักท่องเที่ยว มาเที่ยวตลาดน้ำ คุณเป็นเจ้าของหรือไง ถึงมีสิทธิ์มาไล่ผม”
“ฉันเป็นคนที่นี่ ฉันเกลียดใคร ฉันมีสิทธิ์ไล่ทั้งนั้น หรืออยากจะลอง”
พร้อมกับว่า ปานดาวหันไปที่ร้านอาหารข้างๆ เห็นมีดปังตอวางอยู่ จึงหยิบขึ้นมายกมีดขู่ชยพล
“จะไปไม่ไป”
ชยพลหันซ้ายหันขวาเจอร้านส้มตำใกล้ เลยขยับไปหยิบสากออกมาจากครกแม่ค้า มาชูขู่กลับ
“เอาซี อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วผมจะไม่สู้นะ”
“เฮ้ย พล อย่าน่า”
สองคนเงื้อง่า ชูอาวุธขึ้นเหมือนจะสู้กัน โดยมีชลกรมาดึงมือข้างถือสากของชยพลไว้
ดาวรายเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาอยู่ข้างๆ ลูก แล้วร้องตะโกนขึ้น
“ช่วยด้วยจ้า ช่วยด้วย มันจะทำร้ายลูกสาวฉัน ช่วยหน่อยเร็ว”
ชาวบ้านและลูกค้าอื่นๆ เริ่มฮือฮา ดาวรายยิ่งตะโกนใหญ่
มาลากับมาลัยเดินมาถึงทางเข้า ได้ยินเสียงดาวรายโวยวาย ก็ชะเง้อมอง เห็นปานดาวกับชยพลยกอาวุธของตัวขู่กัน มีดาวรายตะโกนอยู่ข้างๆ ชาวบ้านและลูกค้าอื่นๆ พากันมุงดูอยู่ห่างๆ มาลาตกใจ
“นั่นมันลูกพี่นี่”
“นั่นนังแรดดาวราย”
สองคนรีบวิ่งตรงไปที่เกิดเรื่อง
“ช่วยด้วยซีคะ มันจะฆ่าลูกฉันแล้ว”
ดาวรายยังร้องเอะอะโวยวายอยู่ที่หน้าร้านกลุ่มสตรี ปานดาวกับชยพลถืออาวุธของตัวเงื้อง่าใส่กัน
“ลูกคุณนั่นแหละจะฆ่าผมก่อน”
“พล พี่ว่าเรา อย่ามีเรื่องกันเลย ไปกันเถอะ”
ชลกรจะดึงน้องชายไป แต่ชยพลยังไม่ยอม
“ถ้าหันหลังให้ แล้วเขาฟันลงมาใส่เราล่ะ”
ชลกรเห็นมาลากับมาลัยแหวกผู้คนเข้า
“แม่ น้ามาลัย”
ชยพลชะงัก หันมาเห็นแม่กับน้าจึงลดมือลง มาลัยแทรกขึ้นมาอยู่ข้างหน้าหลาน
“ไหน หมาตัวไหนมันรังแกหลานฉัน”
ดาวรายชะงักเมื่อเห็นมาลัยกับมาลา
“มาลัย นี่ หลานเธอเหรอ”
มาลามายืนข้างๆ มาลัย “ลูกฉันเอง มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
คราวนี้กลายเป็นปานดาวที่ต้องหันมาถามดาวราย
“แม่รู้จักกันเหรอ”
“เฉยๆ ลูก” ดาวรายบอกเบาๆ แล้วออกมายืนข้างหน้าลูกสาวบอกกับสองมา
“ลูกแก จะทำร้ายลูกสาวฉัน”
มาลัยฮึดฮัด “ด้วยสากกะเบือเนี่ยนะ คงสู้กับปังตอของลูกแกได้หรอก อีตอแหลเอ๊ย ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะนิสัย อ๋อ หรือว่ามันเป็นสันดาน”
“สันดานแกน่ะซี ฉันไม่ชั้นต่ำอย่างนั้นหรอก ไม่เหมือนพี่แกนั่นแหละ วันๆ คิดแต่จะแย่งผัวชาวบ้าน”
ชยพลกับชลกรหันมามองกัน แล้วหันไปมองแม่ ดาวรายอายคน
“ดาวราย ขอร้องเถอะ”
“ไปขออะไรมัน พูดจาแบบนี้ มันต้องเอาหมาออกจากปาก” มาลัยเข้าไปดึงสากในมือชยพลมากำมั่น “ขอน้า”
มาลัยออกมายืนข้างหน้า ใช้สากชี้หน้าเรียกดาวรายเหยงๆ
“มา แกกับฉันมาเจอกันซักตั้ง นังแรด รอมานานแล้ว”
“ได้เลย” ดาวรายหยิบมีดจากมือลูกมาถือ แล้วหันมาหามาลัย
ปานดาวตกใจ “แม่ จะทำอะไร”
ดาวรายมัวแต่หันไปมองลูกสาวจึงยังไม่ตั้งตัว มาลัยสบช่องเอาสากฟาดเข้าที่มือมีดหลุดกระเด็นจากมือดาวรายไปปักที่เสาดังฉึก
ดาวรายหันมาแล้วเข้าไปยื้อแย่งสากจากมือมาลัย สองคนยื้อยุดกันไปมา
มาลาหันมาบอกลูกชาย “ไปช่วยห้ามน้าซี อย่าให้มีเรื่องกัน”
ชลกรยืนนิ่งตกใจ ชยพลปราดเข้าไปช่วยน้า ปานดาวเองเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปช่วยแม่ตัวเองบ้าง กลายเป็นว่า ทั้งสี่คนยื้อยุดฉุดกระชากลากกันไปมา จนถอยร่นมาถึงริมคลอง โดยไม่ทันระวังทั้งสี่คนเสียหลักพลัดตกจากทางเดินหล่นลงน้ำเสียงดังตูม
ชลกรกับมาลายื่นมือไปช่วยแต่ไม่ทัน น้ำในคลองสาดกระเซ็น ตามแรงกระเพื่อมของคนสี่คนที่ตกลงไปในน้ำ
ทั้ง 4 คน มาลัย ชยพล ดาวราย และปานดาว ตกลงไปในคลอง ต่างก็พยายามว่ายไม่ให้จมน้ำ ส่วนบนระเบียงทางเดินริมคลอง ชลกรร้องเรียกให้คนไปช่วย
“ช่วยหน่อยครับ เอาเรือเข้าไปช่วยหน่อย”
ชาวบ้านที่เรือว่าง ต่างพายเรือลำนั้นเข้าไปหาทั้งสี่คน
เรือไปถึงด้านดาวรายกับปานดาวก่อน ปานดาวช่วยให้ดาวรายขึ้นไปบนเรือ
ชาวบ้านบนเรือหันไปจะช่วยมาลัย ยื่นมือให้
“ขึ้นมาเลยครับ จับมือผม”
มาลัยจับมือหมับ ชาวบ้านกำลังจะออกแรงดึงขึ้นเรือ แต่พอมาลัยมองไปเห็นดาวรายอยู่บนเรือ ก็สะบัดมือออกจากมือชาวบ้านทันที
“ฉันไม่ขึ้นเรือลำเดียวกับมันหรอก”
ดาวรายก็ยังไม่ยอมสงบศึก “ก็ลองขึ้นมาซี ฉันจะถีบแกกลับลงไปในคลอง”
ชลกรมองอยู่รู้แน่ว่าน้าสาวไม่มีทางขึ้นเรือกับอีกฝ่าย จึงตะโกนขอให้ลำอื่นช่วย
“ขอเรืออีกลำครับ ช่วยด้วยครับ”
ชาวบ้านอีกคนพายเรือเข้าไปรับมาลัยกับชยพล
ปานดาวถูกช่วยขึ้นไปบนเรือที่ดาวรายขึ้นมาก่อน
ชยพลช่วยมาลัยขึ้นไปบนเรือก่อน จากนั้นมาลัยกับเจ้าของเรือก็ช่วยดึงชยพลขึ้นเรือได้สำเร็จ ชยพลหอบเหนื่อย
เรือที่รับมาลัยกับชยพลเข้าเทียบท่าของตลาด มาลากับชลกรมาถึงพอดี สองคนช่วยรับมาลัยกับชยพลขึ้นมาบนท่า ทั้งมาลัยและชยพลต่างก็เปียกม่อล่อกม่อแลก
เรืออีกลำที่รับดาวรายกับปานดาวเข้ามาเทียบท่าอีกฝั่งหนึ่ง พอดาวรายขึ้นฝั่งได้ ก็เดินไปนั่งพักที่ม้านั่งใกล้ๆ ปานดาวขึ้นจากเรือตามมา แล้วหันไปไหว้ขอบคุณชาวบ้านที่ช่วย
“ขอบคุณนะน้า”
ชาวบ้านรับไหว้ แล้วถอยเรือออกไป ปานดาวมานั่งกับดาวราย
“ตอนแรกป่านก็คิดว่าแม่มาช่วยป่านเถียงกับนายนั่น ที่ไหนได้ แม่กลับมาทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้นแทน เขาเป็นใครเหรอแม่”
“นังนั่นน่ะ มันตัวแสบที่สุดในตำบลนี้”
“ป่านไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“มันย้ายไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ก่อนลูกเกิด”
“แสบยังไงเหรอแม่”
“มันแสบทั้งตระกูล พี่สาวมัน อีนางที่หลบอยู่ข้างหลังน่ะ คิดจะแย่งพ่อของลูกไปจากแม่ตลอดเวลา”
“อายุปูนนี้เนี่ยนะ”
“สมัยแม่สาวๆ น่ะ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ ไว้ใจมันไม่ได้หรอก”
“แล้วคนที่สู้กับแม่ล่ะ”
“นังนั่นมันก็คอยยุแยงตะแคงรั่ว ใส่ร้ายแม่ ทำทุกอย่างให้พ่อลูกเกลียดแม่ ถึงขนาดเรียกแม่ว่า...”ดาวราวหยุดชะงักค้างไป
“เรียกว่าอะไรคะ”
“แม่ไม่อยากพูดให้เป็นเสนียดปาก แต่ลูกรู้ไว้เลยนะ คนบ้านนั้นน่ะ มันเลวทุกคน อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันเด็ดขาด”
ปานดาวพยักหน้ารับเอาคำมารดา ยังไงเธอก็ไม่มีวันไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้บ้าขี้โมโหนั่นแน่ๆ
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)
บัวผันกับเทศเดินเข้ามาในวงสนทนา ถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอมาลา”
“นั่นน่ะซิ สู้กันกลางตลาด ถึงกับตกน้ำตกท่าไปเนี่ย”
ทุกคนอยู่ในห้องรับแขกพร้อมหน้า บัวผัน ชลกร อยู่กับแม่และมาลี บัวผัน เทศ และชยพลที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก็อยู่ด้วย มาลาหันไปมองชยพล ให้เล่าเรื่อง
“ผมน่ะ มีปัญหากับผู้หญิงที่ชื่อปานดาวอยู่ แต่อยู่ดีๆ แม่เขาที่มาทีหลังก็มาทะเลาะกับน้ามาลัย ผมก็งงเหมือนกัน”
มาลาอึดอัดนัก หันมามองมาลีเป็นเชิงบอกให้เล่าที แต่บัวผันชิงพูดขึ้นมาก่อน
“คนแม่น่ะชื่อดาวราย”
“มันน่าจะชื่อดาวร้ายมากกว่า” เทศว่า
“บ้านมันกับบ้านเรามีปัญหากันมาตั้งแต่รุ่นตายาย ครอบครัวฝั่งผัวมันน่ะ หาว่าเราทำให้ลูกชายมันจมน้ำตาย แล้วก็โกรธเกลียด แค้นกันตั้งแต่นั้นมาจนทุกวันนี้ยังไม่ยอมลืม มีโอกาสเป็นต้องทำร้ายกัน”
มาลาก้มหน้านิ่ง เธอเองเป็นเหยื่อคนหนึ่งในความแค้นนี้
“แต่เราไม่ได้ทำอะไรมันนะ ผู้กองเป็นตะคริวจมน้ำตายเอง” เทศเสริม
“เรื่องตั้งแต่สมัยตายายโน่น ทำไมยังเกลียดกันอยู่” ชลกรแปลกใจ
เสียงมาลัยดังแหลมเข้ามา
“ก็เพราะมันเลวไง”
ทุกคนหันไปมอง เห็นมาลัยเข้ามาจากห้องน้ำหลังบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว แต่ผมยังดูเปียกๆ อยู่
“มันเลวหมดทุกคน ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า จนถึงผัวมัน แล้วก็ตัวมัน”
“ลูกๆ มันสามคน ก็อย่าได้ไปคบเลย” บัวผันถามเอากับเทศและมาลี “ชื่ออะไรบ้างนะ”
“คนโตผู้ชายชื่อ ปัฐวี ทำโฮมสเตย์” เทศบอก
มาลีเสริมว่า “ทำอยู่กับลูกสาวคนเล็กชื่อป่าน หรือปานดาว ที่พลมีเรื่องด้วย”
ชลกรนิ่งไป ลุ้นฟังต่อว่าปานวาดจะเกี่ยวกับครอบครัวนี้หรือไม่
“ส่วนคนกลางไปช่วยกลุ่มแม่บ้านทำดอกไม้ประดิษฐ์ขาย ชื่อปอ ชื่อจริง ปานวาด”
ชลกรนิ่งอึ้ง ตะลึงตะไล
“จำไว้เลยนะ อย่าได้ไปยุ่งกับบ้านนั้นเด็ดขาด พวกมันเป็นตัวซวย” บัวผันกำชับหนักแน่น
มาลาเหลือบมองไปทางชลกร ไม่แน่ใจว่าลูกชายคิดอะไรอยู่ในใจ ถึงได้นิ่งเงียบไปแบบนั้น
ชยพลเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับมาลัย
“ผมต้องขอโทษน้ามาลัยด้วย ผมดึงตัวน้าไว้ไม่ทัน เลยต้องตกน้ำลงไปอย่างนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก เธอก็เปียกเหมือนกับน้าแล้วไง แล้วน้ายังได้สะใจที่พวกมันแม่ลูก ได้ลงไปในน้ำด้วย”
สองคนหัวเราะให้กันนิดๆ แล้วมาลัยก็หยุดนิ่งไป ชยพลนิ่งไปด้วย
“ที่ยายเล่าให้ฟังเมื่อกี้ ยังไม่ได้บอกเลยว่ามันทำอะไรกับพวกเราบ้าง แม่พลก็เป็นเหยื่อพวกมัน”
ชยพลสนใจ “มันทำอะไรแม่ครับ”
“ผัวมัน นายปกป้องน่ะ เคยรักกันกับพี่มาลามาก่อน”
ชยพลตกใจเอาการ “จริงเหรอครับ”
มาลัยพยักหน้า “มันทำให้แม่พลท้อง แล้วก็ไม่รับผิดชอบ กลับหาว่าแม่ของพลไปท้องกับคนอื่น” มาลัยนิ่งมองหน้าดูท่าทีหลาน “คนอื่นน่ะก็หมายถึงพ่อเราน่ะแหละ”
“แล้วเด็กนั่นอยู่ไหนครับ”
“พี่มาลาเจ็บปวดมากที่ได้ยินอย่างนั้น วิ่งออกมาบนถนน แล้วก็ถูกรถชน ทำให้เด็กนั่นแท้ง”
ชยพลอึ้งนิ่งงันไป รู้สึกเจ็บแทนแม่ไปด้วย
มาลัยใส่ข้อมูลใหญ่ “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ระหว่างที่แม่หลานรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากมันจะไม่เคยมาเยี่ยมแล้ว มันยังเที่ยวป่าวประกาศไปทั่ว ว่ามันกำลังจะแต่งงานกับนังแรดดาวราย คิดดูซี มันทำแบบนั้นกับผู้หญิงที่แสนดีอย่างแม่ของหลานได้ยังไง”
ชยพลโมโห “มันเลวจริงๆ”
“จนถึงทุกวันนี้ นังดาวรายมันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาจะหาเรื่องพวกเรา แม้ว่าแม่พลกับน้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่เมื่อไหร่มันได้เจอตายาย หรือน้ามาลี มันก็จะคอยหาเรื่องตลอด”
“ผมอยากแก้แค้นพวกมันแทนแม่จริงๆ”
มาลัยเหลือบมองชยพล เริ่มยุ “คิดแล้วก็น่าเสียดาย หลานพลดันไปมีเรื่องกับลูกสาวมันซะก่อน ไม่งั้นน้าจะบอกให้หลานจีบนังลูกสาวมัน”
“น้าพูดอะไร”
“จีบให้มันลุ่มหลงพล จัดการให้ได้มันเป็นเมีย แล้วถีบหัวส่งทีหลังไงล่ะ”
ชยพลนิ่งไป เข้าใจที่มาลัยบอก
“แต่คงทำไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ครับ”
มาลัยหันมามองหลานชาย ชยพลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวชิงชังครอบครัวดาวรายมากๆ
“ผมนี่แหละจะแก้แค้นแทนแม่ จะทำให้พวกมันต้องเจ็บปวดมากกว่าที่มันทำกับแม่ผม เป็นสิบๆ เท่า”
มาลัยมองหลานชายอย่างชื่นชม และสาสมใจ
ปานวาดเดินเข้ามาในร้านค้ากลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง พร้อมกับถุงวัตถุดิบสำหรับประดิษฐ์ดอกไม้ที่เพิ่งไปซื้อมา ในนั้นมีแม่บ้านคนหนึ่งเฝ้าร้านอยู่ ปานวาดวางถุงลงบนโต๊ะหันมาถาม
“เป็นไงคะน้า วันนี้ขายเป็นยังไง” พร้อมกับว่าปานวาดมองเห็นดอกไม้ที่เหลืออยู่ค่อนข้างเยอะก็แปลกใจ “ทำไมเหลือเยอะจัง”
“จะขายได้ยังไง ลูกค้าเพิ่งจะกล้าเข้ามาดูในร้านเมื่อซักชั่วโมงนี่เอง”
ปานวาดชะงัก “ทำไมคะ มีเรื่องอะไร”
“ก็แม่ของหนู กับหนูป่านน่ะซี ดันมามีเรื่องกับพวกบ้านยัยบัวผันที่หน้าร้านเรา”
“ยายบัวผัน สวนมะม่วงริมคลองนั่นน่ะเหรอคะ” ปานวาดนึกออก
“ใช่ นั่นแหละ”
“เขาไม่เคยมายุ่งกับตลาดน้ำเราเลยนี่คะ”
“แต่วันนี้พวกลูกสาวกับหลานๆ แกมาเยี่ยมบ้านยัยบัวผัน หลานชายมาเที่ยวตลาดนี่ พอเจอกับหนูป่านก็ทะเลาะกันใหญ่เลย”
“ใหญ่แค่ไหนคะ”
“ใหญ่มาก ตีกันตกคลองทั้งแม่ทั้งลูกเลย” แม่บ้านบอก
ปานวาดตกใจ “อะไรนะคะ ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จริงๆ ลูกค้าถึงไม่กล้าเข้ามาดูดอกไม้ของเรานี่ไง”
“ถ้าปอกลับมาทัน ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนั้น”
“ดีแล้วล่ะที่หนูปอไม่อยู่”
ปานวาดงง “ทำไมล่ะคะ”
“ก็ไอ้หนุ่มที่เคยมาถ่ายรูปหนูปอนั่นน่ะ เขาเป็นหลานคนนึงของยัยบัวผัน ที่มามีเรื่องที่นี่ด้วย”
ปานวาดอึ้ง นิ่งงันไป
มาลา มาลัย มาลี บัวผัน และเทศ คุยกันอยู่ในบ้าน
“มาลาอยากให้พ่อกับแม่ ลืมเรื่องต่างๆ ในอดีต ไม่อยากให้โกรธเกลียดบ้านลุงเช้ากับครูบานชื่น เรื่องมันก็นานมาแล้ว”
บัวผันไม่เห็นด้วย “คนเราน่ะเจ็บแล้วก็ต้องจำ โดยเฉพาะนังลูกสะใภ้มันนี่ตัวร้ายจริงๆ”
“ใช่นังนี่มันร้ายมากจนลูกมันโตหมดแล้ว ยังคอยแต่จะใส่ความมาลา” เทศผสมโรง
มาลาอึ้ง มาลัยนิ่งฟัง ไม่ออกความเห็น
“พี่ป้องก็พยายามห้ามเมียเค้า แต่พี่ดาวรายไม่เคยเปลี่ยนนิสัย” มาลีว่า
มาลัยเอ่ยขึ้นในที่สุด “มันจะเปลี่ยนนิสัยได้ยังไง นังแรดนี่ให้ท่าพี่ป้องจนต้องแต่งงานกับมัน”
“อย่าให้ลูกหลานเราไปคบค้าสมาคมกับบ้านนั้นเป็นดีที่สุด” เทศกำชับ
“มันคงถ่ายทอดกันมาทางสายเลือด ตาพลถึงได้ไม่ชอบลูกสาวบ้านนั้น”
มาลัยคิดเรื่องที่คุยกับชยพล
ในที่พักฝ่ายเสื้อผ้าของกองถ่ายละคร ปัฐวีมาช่วยจัดเสื้อผ้า ดุจเดือนแยกเสื้อผู้ชายที่ใช้แล้วส่งให้ ปัฐวีหยิบไม้แขวนเสื้อ จะใส่เสื้อกับที่แขวน
“อุ๊ย ไม่ใช่”
ปัฐวีงงๆ “ยังไง”
ดุจเดือนอึกอัก “มา เอามานี่ก่อน”
ปัฐวีคืนเสื้อให้ ดุจเดือนเอาเสื้อนั้นมาดม แล้วส่งคืนให้เขา
“อันนี้ใส่ในตะกร้าเลย ต้องเอาไปซัก”
“ต้องดมด้วยก็ไม่บอก” ปัฐวีรับเสื้อมาดมเสื้อ แล้วทำหน้าเหยเก “อืม ต้องซักจริงๆ ด้วย”
ปัฐวีเอาเสื้อใส่ในตะกร้า
“ลืมบอกไป แต่ดุจก็ไม่ควรให้ปัฐต้องดมหรอก”
“ไม่เป็นไร ผมอาสามาช่วยแล้ว ก็ต้องทำได้ทุกอย่าง”
ดุจเดือนเกรงใจ
“ห้ามเกรงใจเด็ดขาด”
สองคนมองตากัน ปัฐวียิ้มให้ ดุจเดือนยิ้มตอบ แต่มีอาการเขินๆอยู่
โปรดิวเซอร์ทอมฮะเดินเข้ามา
“อยู่พอดีเลย นี่ ดุจกับแฟนน่ะ รบกวนมาเข้าฉากหน่อยซี”
ทั้งดุจเดือนและปัฐวีต่างก็เขินๆ
“เข้าฉากอะไรพี่”
“ผู้กำกับอยากได้คนเข้าฉากเพิ่ม เอ็กซ์ตร้าไม่เหลือแล้ว”
ดุจเดือนหันไปถามปัฐวีเป็นเชิงขอร้อง “ช่วยเข้าฉากได้ไหม”
แม้จะยังงงๆ แต่ถ้าเป็นคำขอของดุจเดือนละก็ปัฐวีพยักหน้ารับโดยยินดี
อ่านต่อตอนที่ 7