xs
xsm
sm
md
lg

ล่าดับตะวัน ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 20

หมอกเดินกลับเข้ามาในบ้านสวน หลินนั่งรออยู่ได้ยินเสียงรู้ว่าเป็นคนรัก จึงรีบลุกเดินเข้ามาหา

“เป็นยังไงบ้างค่ะ ทางคุณภูผาว่ายังไงบ้าง”
“เราตกลงจะร่วมมือกัน ตามล่านายตะวัน”
“แล้วตัวคุณละคะ คุณไม่ติดใจอะไรอีกแล้วใช่มั้ย”
“ผมเป็นทหารนะครับหน้าที่ต้องมาก่อนอยู่แล้ว ผมไม่ยอมแพ้นายตำรวจอย่างเค้าหรอก ส่วนเรื่องส่วนตัวค่อยว่ากันทีหลัง”
“ดีค่ะ คุณคิดถูกแล้ว นึกแล้วก็เสียดายคุณปานวาดนะคะ ไม่น่าตัดสินใจกลับไปหานายตะวันเลย”
“เราช้าไปจริงๆ ไม่คิดว่าปานวาดจะด่วนตัดสินใจแบบนั้น”
“หวังว่าเธอจะปลอดภัยนะคะ”
หมอกนึกเป็นห่วงปานวาดเช่นกัน

เวลาเดียวกัน ภูผากลับเข้าหน่วย ลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดจดหมายของปานวาดออกมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง ราวกับมีเสียงของปานวาดมาอ่านให้ฟังข้างๆ หู

“ถึงภูผา
ตอนที่คุณได้รับจดหมายฉบับนี้ วาดคงไปในที่ที่วาดควรจะอยู่ วาดกับคุณคงอยู่คนละฟากฟ้า ไม่สิ น่าจะบนสวรรค์กับนรกเลยก็ว่าได้ ตอนนี้วาดรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเก่า เพราะเดิมวาดคิดว่าแม้ตอนนี้จะไม่มีเมฆแต่วาดก็ยังมีคุณ แต่ความเป็น จริงมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ยังไงวาดก็หวังว่าคุณจะโชคดี และมีความสุขมากๆ นะคะ ภูผา
ปานวาด”

ภูผาวางจดหมายลงบนโต๊ะ
“คุณนี่มันโง่จริงๆ”
มนตรีวิ่งเข้ามาหาถึงที่โต๊ะ
“ขอโทษครับว่าที่สารวัตร”
“มีอะไร และอย่าเพิ่งเรียกผมอย่างนั้นเลย คือผม...”
มนตรียิ้มประจบ “อีกไม่นานก็ได้เรียกแบบเต็มปากเต็มคำแล้วหละครับ อุ๊ย! เกือบลืมไปครับ เรารู้พิกัดของไอ้ตะวันแล้วครับ ผู้การให้ผมมาแจ้งครับ”
“ดี แล้วผู้การว่าไงบ้าง”
มนตรีบอก “อีก 1 ชั่วโมงประชุมครับ”

เช้าวันเดียวกันนี้ ที่อีกฟากฟ้า รถตู้แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพักหลังใหญ่กลางป่าลึก ภายในค่ายของยี่เส่ง กลุ่มตะวันทยอยลงจากรถตู้ บรรดาลูกน้องของยี่เส่งเดินเข้ามาเพื่อขอตรวจค้น
ปราการขึงตาใส่ไม่พอใจ “พวกมึงทำอะไร”
ลูกน้อง 1 บอก “เป็นกฎ ขอความร่วมมือด้วยครับ”
ภัสสรชักกังวลเริ่มแสดงท่าทีมีพิรุธ เพราะเกรงว่าลูกน้องยี่เส่งจะค้นเจอเครื่องติดตามตัวที่ตำรวจติดตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือ หล่อนจึงพยายามจะเอามือเอื้อมไปปิดมือถือในกระเป๋า
ลูกน้อง 2 หันมาถามภัสสร “ทำอะไรน่ะ”
ภัสสรหยิบแป้งพับขึ้นมา “อากาศมันร้อนจนหน้าฉันเยิ้มหมดแล้ว แค่จะซับหน้านิดซับหน้าหน่อยไม่ได้เลยเหรอ หรืออยากให้ฉันซับให้พวกนายด้วยไหมละ”
ลูกน้อง 2 วางมาดเข้ม “ช่วยยืนนิ่งๆ ให้ทางเราค้นตัวด้วย”
ตะวันชักเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ เพราะเหมือนโดนดูถูก
ปราการบอกไปอีกว่า “เราเป็นแขกของท่านยีเส็ง ช่วยไปเรียนท่านด้วย”
ลูกน้อง 1 เล่นลิ้น “ได้...หลังจากทางเราตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว”
ปิงยัวะจัด “เฮ้ย! ไม่เข้าใจเหรอวะ รู้ซะบ้างว่าพวกกูเป็นใคร พวกกูเป็นแขกของนายพวกเอ็งนะโว๊ย”
ยี่เส่งเปิดประตูบ้านพักเดินออกมา
“ข้างนอกเอะอะอะไรวะ อ้าวคุณตะวันนี่เอง” ยี่เส่งหันไปด่ากราดลูกน้อง “พวกมึงมัวทำอะไร ทำไมไม่รีบพามาหากู ปล่อยให้แขกพิเศษของกูยืนตากแดดหัวแดงอยู่ได้ ไป” พร้อมกับว่านายพลคนดังเดินตรงเข้ามาหาตะวัน “ยินดีต้อนรับคู่ค้าคนสำคัญของผม”
ยี่เส่งจับมือทักทายกับตะวัน
“ยังไงช่วงนี้ผมขอรบกวนท่านด้วยแล้วกัน”
“ไม่ต้องทำท่าทางเกรงอกเกรงใจขนาดนั้น ไอ้เรามันคนกันเอง ช่วยได้ก็ต้องช่วยเหลือกัน ไปๆ เข้าข้างในกันก่อนเพราะเรามีธุรกิจที่ต้องคุยกันอีกยาว”
“ครับ” ตะวันเดินเข้าไปในเรือนรับรอง พวก#ทีมโจรตาม

#ทีมเมฆาพยัคฆ์ ภูผา ยักษ์ มนตรี ชบาพร้อมด้วยผู้การเด่นชาติ และนายตำรวจหน่วยอรินทราช อยู่ที่ห้องประชุมสำนักงานกองปราบฯ แล้ว
หมอก เทพ ตำรวจ ทหารอื่นๆ
ชบานั่งมองดูพิกัดค่ายนายพลยี่เส่งจากสัญญาณมือถือภัสสรผ่านทางโน้ตบุ๊ค เป็นไฟสีแดงกระพริบแสดงพิกัด แต่อยู่ดีๆ สัญญาณก็หายไป
“สัญญาหายไปแล้วค่ะผู้การ”
ภูผานั่งข้างๆ ยื่นหน้ามามอง “ไหน ตรงนี้มันเขตชายแดนนี่”
“ตรงตามข้อมูลที่ภัสสรเคยบอกเรา ไอ้ตะวันมันไปสบทบกับนายพลยี่เส่งจริงๆ”
“อย่างนี้ก็เท่ากับว่า ถ้าทางเราจัดการมันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยนะครับเนี่ย” มนตรียิ้มย่อง
“มากันครบแล้วสินะ งั้นผมขอเริ่มประชุมแผนเลยแล้วกัน” ผู้การเด่นชาติยืนอยู่ด้านหน้าเปิดประชุมเป็นทางการ
ภูผาทักท้วงขึ้น “รอก่อนครับผู้การ”
“นายจะรออะไรเหรอ ก็ครบกันแล้วนี่”
หมอกเคาะประตู เดินเข้ามาในห้องประชุม
“ขอโทษครับที่ต้องให้ทุกคนรอ”
เทพและทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่เคยร่วมรบกันมาอีกสามคนเดินตามเข้ามาด้วย
“งานนี้เราจะร่วมมือกันครับ” ภูผาบอก
“ครับ หน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์มันเป็นหน้าที่ของตำรวจและทหารอย่างพวกผมเช่นกัน และงานนี้มันก็ไม่ใช่งานเล็กๆ ผมว่ามีคนยิ่งมากเรายิ่งได้เปรียบ”
สองจ่าสยองเพราะเคยรู้ฝีมือฝีตีนหมอก ชบาประหลาดใจมาก คาดไม่ถึง
“นี่นายเป็น…”
ภูผารีบอธิบาย “ที่ยืนอยู่นี่คือหมอก พี่น้องฝาแฝดของนายเมฆที่ตายไปแล้ว หมอกเป็นทหารหน่วยพิเศษเข้ามาแฝงตัวอยู่กับนายตะวัน”
ชบาถึงบางอ้อ “อ้อ...ที่ผู้กำกับเคยสั่งให้ฉันไปสืบเรื่องนายเมฆที่เปลี่ยนไป ที่แท้ก็คนละคนกันนี่เอง”
ผู้การเอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าเราเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมดีใจที่คุณจะมาร่วมมือกับเรา ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มประชุมกันเลย”
“ครับ”
หมอกกับพวกเดินมานั่งแถบเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
ผู้การเริ่มเปิดวาระการประชุม โดยเล่าเหตุการณ์ตอนนี้โดยสังเขป

ภัสสรทำเป็นออกมาเดินเล่นสำรวจรอบๆ ค่าย แท้จริงหล่อนแอบติดกล้องเข็มกลัดไว้ ปิงเดินผ่านมาเจอ
“เจ๊ภัสสรมาทำอะไรตรงนี้”
“ก็เดินยืดเส้นยืดสายน่ะสิ ฉันไม่ชอบอุดอู้อยู่แต่ในห้อง เบื่อ แต่เอ๊ะ แล้วนายล่ะมาทำอะไรแถวนี้”
“ก็จะตามเจ๊ไปหานายน่ะสิ”
ปิงเดินนำ กลับไปทางเรือนรับรอง ภัสสรยังคงเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ระหว่างทางผ่าน อดีตเจ้าแม่เล้าจน์ทำเป็นยิ้มหวานทักทายบรรดาลูกน้องของยี่เส่งตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อแสดงให้ทีมที่กรุงเทพฯ เห็นภาพว่าค่ายนี้ไม่ได้ลักลอบเข้ามาได้ง่ายๆ

ฝ่ายปานวาดนั่งอยู่ในห้องพัก ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว หยิบภาพถ่ายรูปหมู่ทีมโจรในนั้นมีทั้งภูผากับเมฆและปานวาดอยู่ด้วย เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“ใครอ่ะ”
เสียงปราการดังเข้ามา “พี่เอง”
ปานวาดเดินมาเปิดประตูให้ปราการ
“พี่มีอะไรคะ”
“นายเรียก”
“อ๋อ ค่ะ เดี๋ยววาดตามไป”
ปราการเห็นรูปเมฆในมือปานวาด
“วาด”
“คะ”
“คิดถึงไอ้เมฆเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ แค่คิดว่าถ้าตอนนี้เมฆยังอยู่ วาดคงดีกว่านี้”
“แต่อย่าลืมละว่า วาดยังมีพี่ มีอะไรบอกพี่ได้นะ ถ้าพี่พอช่วยได้พี่จะทำ”
“ขอบคุณค่ะ แต่วาดสบายมาก ถ้างั้นเราไปหานายพร้อมกันเลยแล้วกัน”
ปานวาดไม่ได้รู้สึกรู้สมกับความห่วงใยที่ปราการแสดงออกชัดแจ้งเลย ปราการแอบถอนใจ ก่อนทั้งคู่ออกไปจากห้อง

ตะวันกับยี่เส่งนั่งรออยู่ที่โซฟาในโถงเรือนรับรอง โดยมีลูกน้องของยี่เส็งยืนยามอยู่ตามมุมห้อง ปราการกับปานวาดยืนอยู่ข้างตะวัน รอจนปิงกับภัสสรเดินเข้ามาสมทบ
“มาครบแล้วครับนาย” ปราการบอก
ตะวันเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ที่เรียกพวกแกมาก็เพื่อจะบอกว่า หลังจากวินาทีนี้คำสั่งของท่านยีเส็งทุกคำเปรียบเสมือนคำสั่งของฉัน หวังว่าพวกแกคงไม่ทำให้ฉันเสียหน้า”
ทั้งหมดรับ “ครับนาย” / “ค่ะนาย” พร้อมเพรียง
ยี่เส่งปรบมือรัวๆ “ดีๆ อย่างนี้ผมคงต้องแสดง สะปิริต อะไรบ้างแล้วละสิ”
พร้อมกับว่า ยี่เส่งหันไปพยักหน้าเรียกลูกน้องตรงมุมห้อง ลูกน้องถือกล่องเดินเข้ามาวางลง เปิดให้ตะวันดู ภายในกล่องเป็นสารเสพติดตัวใหม่
“ของเล่นใหม่นี่คงมูลค่ามหาศาล เลยสินะครับท่าน” ตะวันหันมายิ้มกับนายพลคนดัง
“ก็ดูอยู่ แต่แค่มันจะทำให้เราสบายไปทั้งชาติเลยก็ว่าได้”
ตะวันกับยีเส่งหัวเราะชอบใจให้กัน
ระหว่างนี้ตะวันสังเกตเห็นยี่เส่งคอยมองแทะโลมภัสสรชนิดไม่ละสายตา ตะวันสะกิดภัสสร
“ถึงคิวคุณแล้ว”
“หมายความว่าไง” ภัสสรทำงง
ตะวันส่งซิกให้ภัสสรรู้ตัวว่ายีเส่งอยากกินเธอ แล้วหันไปพูดกับยี่เส่ง
“ผมรบกวนท่านหน่อยได้ไหมครับ พอดีว่าภัสสรเขาขี้เหงา”
ภัสสรฝืนยิ้มสู้ น้อมรับชะตากาม
“ค่ะถ้าท่านกรุณา”

ที่ห้องประชุมในกองปราบ ทุกคนดูภาพผ่านทางจอคอมพิวเตอร์เห็นทุกอย่าง ชบาใจหายเป็นห่วงภัสสรตามประสาลูกผู้หญิงด้วยกัน
“พวกมัน ภัสสรกำลังจะแย่นะคะผู้การ”
“ภัสสรเธอทำตามสัญญา” ผู้การว่า
“เราจะไม่หาทางช่วยเธอเหรอคะ”
“ผมจนปัญญา”
“หมวดช่วยใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เราทำได้แต่ขอบคุณในความเสียสละของเธอ” ภูผาว่า
“พวกคุณไม่เห็นเหรอค่ะ ฉัน...สงสารเธอจริงๆ” ชบาหน้าเศร้า
“เราจะดำเนินการยังไงต่อไปดีครับ”
“เราจะเรียกปฏิบัติการนี้ว่า ล่าตะวัน”
มนตรียิ้มห้าว “ชอบชื่อนี้จังครับ”
ยักษ์สะดุดหู ทวนคำ “ล่า...ก็หมายความว่า...”
“พยายามจับเป็นแต่ถ้าทางนั้นไม่ยอมแล้วขัดขืน ผมอนุญาตให้จับตาย” ผู้การสั่งเบ็ดเสร็จน้ำเสียงเฉียบขาด
ภูผาตกใจ “หมายถึงเฉพาะไอ้ตะวันใช่ไหมครับ”
“ผมหมายถึงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เลิกประชุม แยกย้ายทำตามแผน”
ผู้การเดินออกจากที่ประชุมไปเลย หมอกลุกเดินไปหาจับบ่าภูผาเป็นเชิงปลอบ
“เราต้องช่วยคุณวาดได้แน่ ไงผมขอไปเตรียมตัวก่อนแล้วเจอกันที่จุดนัด”
ภูผาพยักหน้า ส่วนชบาได้ยินชื่อนางโจรสาวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจ แต่ก็ยังเดินมาหาภูผา
“นายคงเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นมากสินะ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ขอแค่อย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้กำกับแล้วกัน”
ชบาหันตัวจะเดินออกไป แต่ภูผาจับมือนางไว้
“ผมว่างานนี้คุณไม่ต้องลงไปลุยดีกว่า ผมกลัวว่า...”
“ฉันไม่ไปเป็นภาระของนายหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”
ชบาเดินพกอารมณ์บูดออกไป โดยไม่สบอารมณ์
ภูผาพึมพำอยู่คนเดียว “ชบา ผมเป็นห่วงจริงๆ นะ”

ในเวลาต่อมา หมอกกลับมาเตรียมตัว ตรวจสอบอาวุธอยู่ในบ้าน หลินหยิบเสื้อคลุมส่งให้ หลินใส่เสื้อคลุมให้หมอก และค่อยๆ กอดหมอกจากด้านหลัง
"คุณหลิน"
"คุณหมอกไม่ต้องพูดอะไรหรอกค่ะ คุณหมอกทำถูกต้องแล้ว หลินแค่กลัว..."
หมอกจับหลินให้หันหน้ามาสบตากัน
"ผมทำให้คุณร้องไห้จนได้สินะ"
หมอกเช็ดน้ำตาให้หลิน ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นเล็กพร้อมจี้ที่ใส่ประจำส่งให้คนรัก หลินคลำดูรู้ว่าเป็นสร้อยพร้อมจี้
"ผมฝากของสำคัญของผมไว้กับคุณ แล้วผมจะกลับมาเอามันคืน"
"สัญญานะคะ"
"ผมสัญญา"
หมอกใส่สร้อยให้ สวมกอดเต็มรัก สายตามองเห็นผ้าพันคอที่หลินพันอยู่ หมอกจึงปลดดึงผ้าพันคอผืนนั้นมา
"ผมขอพาตัวแทนคุณไปกับผมด้วยนะครับ" 
"แล้วเอากลับมาคืนหลินนะคะ" 
"ครับ ผมรับรอง"
หมอกเดินออกจากบ้านไป หลินตะโกนตามไป
“หลินจะรอคุณอยู่ที่นี่นะคะ คุณหมอก” ประโยคหลังเธอพูดคนเดียว “อย่าเป็นอะไรไปนะคะ”
หมอกหันกลับมามองหลินยิ้มให้อีกครั้ง แล้วค่อยๆ เดินไปขึ้นรถขับออกไป

ในขณะที่ชบากำลังเก็บเตรียมข้าวของลงใส่เป้ ซึ่งดูเยอะไปหมด จู่ๆ ภูผาก็เข้ามาในห้องพร้อมสัมภาระ
“นายเข้ามาได้ไง”
“ก็คุณไม่ได้ล็อกห้องไงล่ะ”
“อ้าวเหรอ...แล้วคุณมีอะไรอีก เตรียมตัวเสร็จแล้วเหรอ”
“อือ” ภูผาพยักหน้า
ชบามองไปมองมาใช้ความคิด “ส่วนฉันขาดอะไรอีกนะ”
ภูผาแซวเอา “นี่คุณจะไปเข้าค่ายลูกเสือหรือไง”
“ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ เตรียมให้พร้อมก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่ขาดเหลืออะไรทีหลัง”
ภูผาเดินมายกกระเป๋าเป้ชบาขึ้น
“หนักขนาดนี้ คุณจะวิ่งหนีทันใครเค้า”
“แล้วใครบอกว่าฉันจะหนี”
ภูผาเซ็ง “ก็คุณเป็นซะแบบนี้ไง ผมถึงห่วง”
“ขอบคุณ นายเป็นห่วงผู้หญิงของนายเถอะ” ชบาประชดประชัน
“คุณหมายถึง...คุณนี่ไม่รู้อะไรจริงๆ”
“ใช่ หาว่าฉันโง่ เออ...โง่ก็โง่ พอใจยัง ถ้านายว่างมากก็ช่วยฉันยัดมันลงกระเป๋าหน่อยเถอะ”
ภูผาช่วยยัดทุกอย่างลงกระเป๋าชบา
“คุณสัญญากับผมได้ไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ คุณต้องทิ้งทุกอย่างและหนีเอาตัวรอด”
ภูผาจับไหล่ชบาให้หันมามองหน้าตน พูดจริงจัง และดูซีเรียสมาก
“ผมพูดจริงๆ นะ รับปากผมสิ”
ชบายิ้มเขินเลยทีนี้ “อืม...หนีคนแรกเลยดีไหม”
“ดี คุณพร้อมแน่นะ” ชบาพยักหน้ารับ “ถ้างั้นเราไปลุยกัน”
ชบาตะเบ๊ะรับ
“รับทราบค่ะ”

เย็นวันนั้น รถภูผาที่นั่งมากับชบาแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดของกองกำกับการบินตำรวจในส่วนที่เป็นสนามบิน แล้วเดินเข้าโรงเก็บไปในโรงเก็บ
ในนั้นมี หมอก เทพ มนตรี และ ยักษ์รออยู่ ทหารการบินหันมามองภูผากับชบา แล้วหันกลับมาถามหมอก
“มากันพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ ทุกคนออกเดินทาง”

ทุกคนเดินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ด้วยท่าทีฮึกเหิมห้าวหาญ พอขึ้นครบเครื่องก็บินลอยลำขึ้นทันที

อ่านต่อหน้า 2


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 20 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา ฮ. ลำเลียงบินมาลงจอดที่ลานจอดของฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดน ภูผา หมอก ชบา เทพและสองจ่า พากันลงมาจาก ฮ.

สารวัตรองอาจ ผบ.ฐาน ยศพันตรีในชุดตชด. ตรงเข้ามาให้การต้อนรับอย่างยินดี ภูผาทักทายจับมือกันอย่างคุ้นเคย เพราะเป็น นักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นเดียวกัน
“นึกแล้วว่าแกต้องไม่เป็นอย่างที่เค้าลือกัน ไอ้เพื่อนยาก”
พลางกอดภูผาด้วยความดีใจ ภูผากอดตอบด้วยความดีใจ
“มันก็แน่อยู่แล้วไอ้เพื่อนบ้า”
ภูผาหันไปแนะนำคนอื่นๆ
“นี่หมวดชบา”
ชบาแสดงความเคารพสารวัตร
“สวัสดีค่ะ”
“นั่นจ่ายักษ์ กับจ่ามนตรี”
ยักษ์กับมนตรีทักสารวัตรองอาจมาดขึงขังพร้อมกัน
“สวัสดีครับ”
องอาจหันมองหมอกกับเทพอย่างคุ้นตา
“เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า”
หมอกบอกทันที “ปฏิบัติการชิงตัวประกัน 27”
“ใช่ คุณสองคนเป็น RECON ที่เข้าไปชิงตัวประกันชุดนั้น”
องอาจหมายถึง RECON หน่วยรบพิเศษลาดตระเวนระยะไกล
หมอกยิ้มรับเอาคำ สองจ่าหันมองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ
“แล้วไปไงมาไงครับเนี่ย ถึงได้มากับพวกนี้ได้” องอาจถาม
“ความถูกต้องและหน้าที่ไงครับ” หมอกบอก
เทพว่า “ส่วนผม ส่วนตัวชอบทำเรื่องสนุกๆ อยู่แล้วครับ”
องอาจชอบใจหันมาทางภูผา “ไอ้ภู งานนี้มีลุ้นขึ้นเกิน 40% เว้ย เพราะหน่วย RECON เลยนะเว้ย ถ้างั้นฉันคิดแผนดีๆ ออกแล้ว เชื่อมือ งานนี้แกถึงตัวไอ้ตะวันได้อย่างแน่นอน แต่งานนี้ต้องรบกวน” พลางหันไปหาหมอกกับเทพ “พวกคุณเยอะหน่อย”
หมอกยิ้มรับ “สบายมากครับ”
“เช่นกันครับ” เทพด้วย
“เราจะเริ่มบุกกันเมื่อไหร่ดีค่ะ” ชบาเครื่องร้อนเต็มที่
“คืนนี้” องอาจบอก

ปฏิบัติการ “ล่าตะวัน” เริ่มต้นขึ้นในค่ำคืนนั้น
หมอกเป็นผู้นำทุกคนในการพลางตัวเพื่อลอบเข้าไปในส่วนทางด้านหน้าค่ายยี่เส่ง โดยลัดเลาะไปตามเส้นทางที่มีคนของยี่เส่งคุ้มกันน้อยที่สุด เสียงองอาจตอนประชุมวางแผนดังก้องขึ้นในหัวทุกคน
“คุณ RECON คุณกับพวก รับหน้าที่เป็นตัวล่อเพื่อทำให้เป็นจุดสนใจ ทำยังไงก็ได้ให้พวกมันตามล่าพวกคุณ แต่อย่าลืม FOLLOW ตามเส้นทางที่สายเราบอกไว้เพราะอย่างน้อยพวกคุณยังพอมีทางหนีทีไล่ทัน”
เห็นหน่วยลาดตระเวนของยี่เส่งเป็นระยะๆ หมอกสั่งให้ทุกคนกระจายตัว แต่ละคนพากันเอาระเบิดไปวางตามจุดต่างๆ จึงกลับมารวมพลที่จุดนัด หลังจากนั้นหมอกจึงกดชนวนระเบิด เพื่อเป็นสัญญาณการปฏิบัติการ

ยี่เส่งกำลังลวนลานภัสสรอย่างเมามันส์ ภัสสรลุ้นสุดตัว เพราะรู้ว่าพวกตำรวจจะเข้ามาบุกอยู่แล้ว แล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้นจริงๆ ยี่เส่งชะงัก
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นวะ”
“หรือว่าจะเกิดเรื่องค่ะท่าน”
“กูจะฆ่าพวกมันให้หมด กล้าดียังไงมาบุกถิ่นกู ไม่รู้แล้วว่ากูเป็นใคร”
ยี่เส่งคำราม หยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วรีบเดินออกไป
หลังจากที่ยี่เส่งรีบร้อนออกไป ภัสสรก็รีบเอากุญแจทั้งหมดที่วางทิ้งไว้ ปั้มลงเครื่องมือที่ทางตำรวจมอบให้เธอมาโดยเร็ว

ชบา องอาจ และตำรวจที่เก่งด้านทำกุญแจเลียนแบบรออยู่ในรถตู้ ชบานั่งเช็คหน้าจอคอมพิวเตอร์พบว่าทางภัสสรได้ส่งแบบกุญแจมาแล้ว
“มาแล้วค่ะ”
องอาจหันไปสั่งตำรวจ “รีบจัดการ”
“ใช้เวลานานไหมคะ”
“ไม่เกิน 15 นาทีครับ”
“หน้าที่คุณคืออะไรครับ” องอาจถามชบา
“ค่ะ หาหลักฐานให้ได้มากที่สุด”
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นรีบติดต่อผมนะครับ”
“ค่ะ ถ้าไงฉันขอออกไปรอด้านนอกนะคะ”
“ครับ”
ชบาเดินออกไปรอด้านนอกรถตู้

ไม่นานต่อมา ชบาเดินไปหาหมอก
“ขอโทษนะคะ เห็นนายภูผาไหมคะ”
หมอกบอกว่า “ไปแล้วครับ”
“หมายความว่าไงคะ”
“เค้าจะลอบเข้าไปเพื่อช่วยคุณวาดก่อน แล้วพวกผมถึงทำตามแผน”
ชบาฟังแล้วเศร้าไปถนัดตา “เหรอคะ ขอบคุณค่ะ”

ชบาเดินกลับมาบ่นบ้าอยู่ข้างรถตู้
“เป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นจริงๆ สินะ แต่ยังไงฉันก็ขอให้คุณปลอดภัยแล้วกัน”
ยักษ์กับมนตรีเดินกลับเข้ามาสมทบ
“หมวดครับ เราไปตรวจสอบเส้นทางแล้ว” ยักษ์บอก
“แล้วว่าไงล่ะ”
มนตรีว่า “ปลอดโปร่งโล่งสบายเลยละครับ”
ชบานึกถึงหน้าอัคคเดช “อีกแค่อึดใจเดียวค่ะผู้กำกับ พวกมันหนีไปไหนไม่พ้นอีกแล้ว”

ยี่เส่งเดินออกมาที่ระเบียงเรือนรับรอง ตรงมาถามลูกน้องท่าทางไม่พอใจเอามากๆ
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
ลูกน้อง 1 รายงาน “มีคนบุกรุกครับท่าน”
“แล้วพวกมึงมัวยืนทำบื้ออะไร ก็ไปจัดการสิวะ”
ตะวันยืนอยู่ในนั้นอย่างสุขุมและใจเย็น
“ใจเย็นๆ สิครับท่าน ถ้าเราใจร้อนอาจจะหลงติดกับพวกมันก็ได้”
“คุณรู้เหรอว่าพวกมันเป็นใคร”
“ถ้าให้ผมเดา พวกมันก็เป็นแค่ลูกหมาที่กัดไม่ปล่อย”
“แต่มันมาผิดที่แล้ว เพราะที่นี่เข้าแล้ว ออกไม่ได้นอกจาก...”
ยี่เส่งหยิบปืนจากลูกน้องมายิงขึ้นฟ้า
“ไปจัดการพวกมันให้สิ้นซาก อย่าให้เสียชื่อนายพวกแก ไป”
“ครับ”

#ทีมหมอก อันมี เทพ และทหารอีก 2 คน กำลังเคลื่อนเข้าใกล้ค่ายยี่เส่งเป็นลำดับ โดยอีกด้านหนึ่ง เห็นหน่วยลาดตระเวนของยี่เส่งกำลังเดินตรวจตราใกล้เข้ามาทางนี้
เมื่อเห็นหน่วยลาดตระเวนกำลังเดินตรงมา หมอกให้สัญญาณมือทั้งหมดรีบกระจายกันแยกออกเป็นสี่จุด เข้าซ่อนตัวในที่ต่างๆ กัน
อึดใจต่อมาหน่วยลาดตระเวนก็เดินมาถึงที่ทั้งสี่หยุดยืนอยู่เมื่อครู่ ทั้งสี่แอบซ่อนตัวอยู่ มองลุ้นใจเต้นระทึก หน่วยลาดตะเวนเดินคุยกันใกล้เข้ามาอีก มีประมาณสิบคน
คนหนึ่งเดินผ่านจุดที่เทพซ่อนตัวไป อีกคนเดินผ่านหน้าทหาร 1 อีกคนเดินผ่านทหาร2
อีกคนเดินผ่านหมอกแล้วหยุด ดันปวดฉี่จึงหันมายืนเยี่ยวตรงที่หมอกซ่อนอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ทำกิจใดๆ ก็เหลือบเห็นหมอกเสียก่อน
หมอกตัดสินใจจับมันหักคอจนหมดสติไป ล้มลงกับพื้น เสียงสวบสาบของคนต่อสู้กันทำให้ที่เหลือหันกลับมามอง
หมอก และคนอื่นๆ ยังคงซ่อนตัวต่อ จนมีหน่วยลาดตะเวนหนึ่งในนั้นสังเกตเห็นเงาผิดสังเกต เลยเปิดฉากยิงใส่ก่อน หลังจากนั้นจึงเกิดการปะทะอย่างดุเดือด
#ทีมหมอก โจมตีกลับอย่างชำนาญการรบ จนคนของยี่เส่งจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าใครหรือทางไหนเป็นคนทำ
ณ จุดปะทะ เห็นหัวหน้าชุดลาดตระเวนวิทยุรายงานกลับไปที่ค่าย
“ลาดตระเวนเรียกศูนย์ เจอกองกำลังติดอาวุธ กำลังปะทะกันอยู่”
ขาดคำ คนเป็นหัวหน้าก็ถูกหมอกยิงหัวล้มลง

หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนรีบวิ่งแจ้นเข้ามาในโถงเรือนรับรอง แจ้งข่าวร้าย ในนั้นมียี่เส่ง ตะวัน ปราการ ปิง ปานวาด และ ภัสสร อยู่ด้วย
“เกิดการประทะที่ทางหน้าค่ายครับท่าน กองกำลังไม่ทราบจำนวน แต่มีอาวุธครบมือ แถบเชี่ยวชาญให้การหลบซ่อนตัวและลอบทำร้าย”
“แล้วพวกมึงไม่มีอาวุธหรือไง ทำไมยังจัดการพวกมันไม่ได้”
“ขอโทษนะครับท่าน ขอผมถามอะไรลูกน้องท่านหน่อย”
“ตามสบาย”
ตะวันส่งซิกให้ปราการทันที ปราการเดินไปกระซิบถาม แล้วเดินกลับมาหาตะวัน
“เป็นอย่างที่นายคิดครับ”
“หมายความว่าไง” ยี่เส่งงง
“ขอผมดูเกมต่ออีกนิดนะครับท่าน” ตะวันบอกนัยน์ตาวาววับ

#ทีมชบา พยายามลอบเข้าไปอีกด้านหนึ่งของค่าย โดยไม่ให้ใครจับได้
เสียงองอาจดังขึ้น “ส่วนทีมของคุณหลังจากที่ได้ข้อมูลจากสายเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้แผนลอบเข้าไปเน้นห้ามปะทะเด็ดขาด เพราะทีมปะทะจะคอยหันเหความสนใจเพื่อเปิดทางให้ทีมคุณ ซึ่งถ้าเกิดการปะทะแบบไม่คาดฝัน จำเอาไว้ว่าทีมคุณมีหน้าที่เดียวคือหนีเพื่อเอาชีวิตรอด”
ระหว่างทาง มีหน่วยลาดตระเวนของยี่เส่งผ่านมาเป็นระยะ ทว่ามีเสียงปืนดังขึ้นจากอีกฝั่ง ทำให้หน่วยลาดตระเวนรีบวิ่งไปสมทบ
“เริ่มแล้วสินะ” ชบามองไปทางเสียงปืน
“ลุยกันเลยนะครับหมวด” มนตรีบอก
ยักษ์ยกมือไหว้ลมแล้ว “ผู้กำกับคุ้มครองพวกเราด้วย”
ชบามุ่งมั่นมาดหมาดเอามากๆ “งานนี้ฉันไม่ยอมปล่อยให้พลาดอีกแน่ ไป”

ลูกน้องยี่เส่งกลับเข้ามารายงาน ซึ่งยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย จนทำให้ยี่เส่งเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว และเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ
“พวกมึงนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
“พวกมันมีฝีมืออยู่ครับท่าน”
ยี่เส่งหันมาทางตะวัน “ไหนคุณบอกว่าเป็นแค่ลูกหมาไง”
“สำหรับผมน่ะใช่ เพราะผมรู้ทันเกมของพวกมันหมดแล้วครับ”
“คุณหมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ” ยี่เส่งงงใหญ่
“แผนล่อเสือออกจากถ้ำ มันโบราณไปแล้วครับ”
“หรือว่านายมีแผนดีๆ”
“ครับ ผมมีแน่ ปราการ ปิง ปานวาด ตาพวกแกแล้ว”
ทุกคนรับ “ครับนาย” / “ค่ะนาย” พร้อมกัน
ปิงทำท่าคันไม้คันมือแอ็คติ้งเวอร์ “นายสั่งเลยครับเริ่มคันไม้คันมือแล้ว”
ตะวันเรียกทั้งสามมาบอกหน้าที่ทีละคน ภัสสรได้ยินคำพูดเหล่านั้นจึงแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา

จากนั้นทั้ง 3 จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

อ่านต่อหน้า 3


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 20 (ต่อ)

ชบาพยายามหากุญแจที่ทำขึ้นมาเพื่อเปิดประตูโกดังในค่าย แต่เพราะมันเยอะจัดจนต้องใช้เวลามาก สองจ่าคอยดูต้นทางให้

มีหน่วยลาดตระเวนอีกกลุ่มกำลังใกล้เข้ามา ชบารวมทั้งสองจ่าลุ้นระทึกว่าจะเปิดเข้าไปข้างในได้ก่อนหรือไม่ ในระยะฉิวเฉียดชบาสามารถเปิดประตูเข้าไปได้
“เกือบไปแล้วหมวด” ยักษ์ลุ้นจนเยี่ยวเหนียว
“โอ๊ย...ดีนะครับเพราะทุกคนบอกว่าพวกเราห้ามปะทะ” มนตรีว่า
“พวกจ่าเป็นอะไร กลัวเหรอ” ชบาเย้า
“เปล่าครับ แค่เลี่ยงได้ก็ดี”
“ผมก็เห็นด้วย” ยักษ์เสริมคำพูดมนตรี
ชบามองรอบๆ เห็นกล่องลังเต็มไปหมด เลยค่อยๆ จึงเดินตรวจ จนเห็นลังใบหนึ่งแง้มอยู่จึงเปิดดู พบยาเสพติดอยู่ด้านใน
“จ่าๆ อยู่ไหน เอากล้องมาฉันเจอของดีเข้าแล้ว”
ชบาหยิบหลักฐานบางส่วนใส่กระเป๋า แต่เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับจากใครๆ
“จ่าๆ ไม่เล่นนะ เราต้องแข่งกับเวลานะ”
ชบาเดินตามหาสองจ่า แต่ต้องตกใจสุดขีดที่เจอเข้าอย่างจังกับปราการ ชบาพยายามหาทางหนีแต่ก็ถูกล้อมไว้ทุกทาง เมื่อมองไปจึงเห็นว่าคนอื่นๆ ถูกล็อกตัวจับกุมไว้หมดแล้ว
ปราการยิ้มเยาะ “เอาไงดีละ”
ชบาเสี่ยงสู้ แต่ไม่ว่าจะสู้ยังไงก็แพ้ปราการราบคาบ และถูกจับกุมในที่สุด
“ปล่อยนะไอ้พวกบ้า ยอมมอบตัวซะดีๆ”
ชบาพยายามดิ้นสู้สุดตัว ขณะนั้นเอง สองจ่าก็ได้จังหวะสลัดตัวเองจนหลุด
“หนีไป ไม่ต้องห่วงฉัน ไป นี่คือคำสั่ง”
สองจ่าจำใจหนีเพื่อไปตั้งหลัก
ปราการต่อยเข้าไปที่ท้องของชบาจนเธอจุกสลบไป
ปราการสั่งลูกน้อง “ไปตามจับพวกมันกลับมา”

ยักษ์กับมนตรีพยายามหลบซ่อนตัวอยู่แถบโกดังเก็บยา จนสลัดพวกของยี่เส่งหลุดมาได้
“ทำไปได้ไงวะ ทิ้งหมวดชบา กูมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ยักษ์กังวลไปหมด ไม่สบายใจมาก
“จ่าเราแค่มาตั้งหลัก เราต้องตามคนไปช่วยหมวด” มนตรีปลอบ
“แล้วหมวดจะเป็นยังไงบ้าง”
“หมวดต้องไม่เป็นไร เรารีบไปแจ้งข่าวให้สารวัตรองอาจดีกว่า เพราะถ้าเรายิ่งช้า หมวดชบายิ่งตกอยู่ในอันตราย”
ยักษ์พยักหน้ารับ ทั้งคู่รีบหาทางติดต่อสารวัตรองอาจ

ชบาถูกปราการแบกตัวเข้ามาในโถง สภาพยังสลบอยู่ ตะวันเหยียดยิ้มสมใจ
“ได้ลูกหมา เออ...ตัวเมียด้วย เข้าท่า”
“จะให้ผมจัดการยังไงต่อดีครับนาย”
“หน้าตาแบบนี้...” ยี่เส่งยิ้มหื่น
“ถ้าท่านชอบผมก็ขอยกให้” ตะวันหันไปพูดกับปราการ “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“ครับ”
ภัสสรมองชัดๆ เห็นเป็นใครก็ร้องขึ้น “อุ๊ย”
ทุกคนรวมทั้งตะวันหันมามอง “เป็นอะไรของเธอ”
ยี่เส่งชิงตอบขึ้นก่อนว่า “น้อยใจละสิท่า ผมไม่ลืมคุณหรอกนะ เหมาสองผมก็ยังไหวนะ”
ภัสสรตามน้ำเอาใจยี่เส่งเนียนๆ “ค่ะท่าน แต่ที่สรอุ๊ย! ก็ดูสิคะ เนื้อตัวมอมแมม สรว่าให้สรขัดสีฉวีวรรณให้ก่อนจะดีกว่าไหมคะ และกว่าพวกท่านจะจัดการเรื่องวุ่นวายได้เรียบร้อย สรรับรองว่าจะเปลี่ยนลูกหมาตัวเมีย ให้เป็นกระต่ายน้อยแสนน่ารัก อย่างน้อยมันจะได้ไม่แว้งกัดท่านไงคะ”
ยี่เส่งชอบอกชอบใจ “คนของคุณนี่มันรู้งานจริงๆ ผมชอบ”
“ถ้างั้นหน้าที่นี้เธอจัดการ” ตะวันบอก
“ค่ะ ถ้างั้น นายพาไปที่ห้องฉันก่อน”
ปราการหันไปมองตะวันเป็นเชิงถาม ตะวันพยักหน้าให้ทำตามที่ภัสสรพูด ปราการจึงแบกชบาไปที่ห้องภัสสร

ระหว่างที่ยักษ์กับมนตรีพยายามหาทางไปยังฐาน สองจ่าต้องคอยลุ้นเยี่ยวเหนียวตลอดเวลา ด้วยว่ากว่าจะผ่านคนของยีเส่งได้ไม่ใช่ง่ายๆ
กระทั่งต้องสะดุ้งตกใจสุดขีด เมื่อมนตรีมาจ๊ะเอ๋กับหมอกจังๆ ทั้งคู่ชักปืนขึ้นทันที เทพต้องรีบร้องตะโกนให้หยุด
“พวกเดียวกัน”
ทั้งคู่รีบลดปืนลง
“เกือบไปแล้ว”
“ขอโทษครับ” มนตรีจ๋อยๆ
จู่ๆ มีลูกกระสุนยิงเฉียดมา เจ้าของผลงานคือปิงที่คันไม้คันมือไม่หาย
“มึงหลบกูไม่พ้นหรอก ส่วนพวกมึงมัวยืนทื่ออะไร รีบไปจัดการ อย่าให้เหลือซาก”
สองฝ่ายเปิดฉากยิงกันอย่างดุเดือด
ระหว่างที่สู้อยู่มนตรีซึ่งอยู่ใกล้กับหมอกที่สุดพยายามจะบอกเรื่องชบา
“คุณหมอกครับ หมวดชบาถูกจับไปแล้วครบ”
ยักษ์ตะโกนบอก “ความผิดพวกผมเอง ช่วยหมวดชบาด้วยนะครับ”
“เรื่องช่วยน่ะช่วยอยู่แล้ว แต่เราต้องรอดจากตรงนี้ไปก่อน” หมอกว่าพลางหันไปหาเทพ “คงต้องใช้แผนเก่า”
เทพยิ้มรับ รู้กัน “แต่เอามาเล่นใหม่สินะ คิดถึงจัง ถ้างั้นลุยมันเลย”
มนตรีกับยักษ์ทำหน้างง ก่อนที่ทั้งคู่จะออกไปลุยอย่างเข้าขากัน โดยทั้งคู่ใช้ทั้งปืนและระเบิดได้อย่างแม่นยำ จนฝ่ายปิงต้องถอยร่นไปตั้งหลัก
“ถอยก่อนโว๊ย”
“ติดต่อฐาน ว่าเราคงต้องเปลี่ยนแผน ส่วนตอนนี้เราคงต้องซ่อนตัวก่อน รอจนกว่าจะเช้าค่อยว่ากันอีกที เพราะถ้าฝืนลุยดะต่อไปเรานี่แหละจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” หมอกสั่ง
ทุกคนรับเอาคำ “ครับ” พร้อมกัน

ปานวาดกลับเข้าห้องมา กำลังเก็บปืน แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นใครคนหนึ่งโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ปานวาดตกใจจะหยิบปืนตวัดหา แต่ถูกล็อกปืนแล้วปิดปากปานวาดไว้
“อย่าส่งเสียง”
ปานวาดจำเสียงได้ว่าเป็นภูผา จึงนิ่ง ภูผาเอามือออก
“ภูผา คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ผมเป็นห่วงคุณ คุณมาที่นี่ทำไม”
“ฉันก็บอกคุณไปแล้ว ว่าฉันไม่มีที่ไป บ้านและครอบครัวของฉันคือที่นี่”
“ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณ วาด คุณฟังผม ผมรู้ว่าคุณกลัวอะไร ผมจะช่วยคุณเองผมรับประกัน แต่คุณต้องไปจากที่นี่”
“มันอันตรายมากรู้ไหม พวกคุณสู้ไม่ได้หรอก ถ้าทำได้ก็บุกเข้ามากันได้แล้ว”
“จะได้หรือไม่ได้ คุณก็ต้องออกไปกับผม”
“แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ วาดว่าขอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อนได้มั้ย อีกไม่นานก็เช้าแล้ว ตอนนี้คนของยี่เส่งด้านนอกเต็มไปหมด เพราะเจอพวกนายบุกมา ออกไปตอนนี้ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“ได้ ผมดีใจนะที่ได้เจอคุณอีก”
“วาดก็ดีใจค่ะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก
“ผมขอพักตรงนั้นนะ”
“ค่ะ”
ภูผาลงไปนั่งกึ่งนอนบนเตียง ปานวาดมองหน้าเขาแล้วรู้สึกดี

สักพักหนึ่งเมื่อเห็นภูผาเริ่มหลับ ปานวาดจึงเอาผ้ามาห่มให้ ยิ้มอ่อนโยนให้เขา

อ่านต่อหน้า 4


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 20 (ต่อ)

รุ่งเช้า ชบาฟื้นจากการสลบ มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ เห็นภัสสรอยู่ด้วยจึงถามขึ้น

“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ฉันช่วยเธอไง ฉันว่าพวกเราต้องแย่แน่ๆ ไอ้ตะวันมันฉลาดกว่าที่เราคิด มันเหมือนรู้ทุกอย่าง แล้วเราจะทำยังไงต่อไป”
“เป็นไปไม่ได้ แผนที่วางไว้มันสมบูรณ์แบบมาก”
“ไอ้สารเลวนั้นมันอ่านเกมออก เพราะถ้าไม่ เธอคงไม่โดนจับมาง่ายๆ”
ชบาชะงัก สนใจ “เธอรู้อะไรมา”
“คือ...”

ภัสสรเล่าเหตุการณ์หลังตะวันคุยกับยี่เส็งแล้ว หันมาสั่งการลูกน้องทุกคน
“ครับ ผมมีแน่ ปราการ ปิง ปานวาด ตาพวกแกแล้ว”
“ครับนาย” / “ค่ะนาย”
“นายสั่งเลยครับเริ่มคันไม้คันมือแล้ว” ปิงว่า ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ
“ปราการ แกไปที่โกงดังเพราะลูกหมาตัวแรกอยู่ที่นั่น ไปจัดการซะส่วนไอ้ปิง มึงอยากลุยมากใช่ไหม”
ปิงยิ้ม ทำท่าคันไม้คันมือ “แน่อยู่แล้วครับนาย”
“กูให้มึงไปลุย แต่ที่กูให้ไปไม่ได้ไปลุยเอาตาย กูแค่อยากรู้ว่าพวกมันมีใครบ้าง แล้วมึงก็ถอยกลับมาบอกกู”
“ครับนาย”
“ส่วนเธอ” ตะวันหันไปพูดกับปานวาด “หน้าที่ของเธอคือ ภูผา”
ปานวาดมีสีหน้าตกใจเอาการ
“ไม่ดีเหรอ จะได้ล้างแค้นให้ไอ้เมฆมันไง”
ปราการพยายามช่วย “แต่ผมว่า ภูผาให้ผมจัดการดีกว่าไหมครับ วาดสู้มันไม่ได้หรอก”
“กูไม่ได้ให้สู้นี่ กูรู้ว่ามันคิดยังไงกับวาด วาดจึงเหมาะสมที่สุดที่จะจัดการกับมัน”
ภัสสรได้ยิน มีสีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย
จากนั้นทั้ง 3 จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

สองสาวคุยกันอยู่ในห้องพักของภัสสร
“ไอ้สารเลว อย่างนี้ ฉันต้องไปเตือนนายภูผา”
“เธอนี่มันโง่หรือปัญญาอ่อน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ตอนนี้ทำได้คือหนี”
“ฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ” ชบาบอกหนักแน่น
“งั้นฉันตัวคนเดียวอาจจะไปรอด”
ชบาหยิบแผนที่ให้ภัสสร
“คุณแอบหลบไปตามแผนที่นี่ คุณจะเจอกับฐานของเราที่ตั้งอยู่ ซึ่งไม่ไกลมาก ที่นั่นคุณจะปลอดภัย”
“แน่ใจนะ ว่าจะไม่ออกไปด้วยกัน”
“แน่ใจ”
“ยังไงก็ขอให้โชคดีแล้วกัน ฉันคงช่วยได้แค่นี้ อ้อ! ฉันอัดเสียงพวกมันไว้แทบตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับพวกมัน เผื่อจะมีประโยชน์อะไร”
ภัสสรส่งเครื่องอัดเสียงให้ชบา
“ขอบคุณค่ะ ฉันมั่นใจว่าคุณจะได้ลดโทษ”
“ชีวิตอิสระ รอฉันอยู่ข้างหน้าแล้ว” ภัสสรยิ้มเปี่ยมความหวัง
“โชคดีนะคะ เพื่อชีวิตที่เป็นอิสระ”
ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่จะคิดหาทางออกไป โดยใช้หน้าต่างเป็นทางออก

ตะวันยืนคุมแค้นอยู่หน้าห้อง ได้ยินทั้งหมดที่ทั้งสองคนคุยกัน สั่งการกับปราการ
“ไปตามจับตัวนังตำรวจคนนั้นกลับมา ส่วนนังงูพิษฉันจะจัดการเอง อิสระเหรอได้เดี๋ยวกูจัดให้”

ภัสสรเดินฝ่าป่าดงหนีมาอย่างทุลักทุเล ทว่าแววตายังเต็มไปด้วยความหวัง ใกล้ถึงแสงไฟเรืองๆ เบื้องหน้า ภัสสรเพ่งมองเห็นรถตู้อยู่ไกลๆ ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เสียงตะวันดังขึ้น “คิดจะหนีเหรอ”
ภัสสรสะดุ้งสุดตัว
“คิดจะเข้ามาแฝงตัวเพื่อช่วยตำรวจแล้วจะรอดไปง่ายๆ เหรอ”
ตะวันพูดจบก็ยิงเปรี้ยงที่เข่า ภัสสรล้มลง อดีตเจ้าแม่เล้าจน์มองตะวันอย่างอาฆาตแค้น ชักมีดที่ซ่อนอยู่ตรงขา แต่ถูกตะวันยิงมือจนมีดหล่น
“ฆ่าฉันเลยสิ ไอ้ชาติชั่ว”
“อุตส่าห์ทำมาเป็นตีหน้าซื่อยอมเป็นลูกน้องกู อีสร มึงรู้จักกูน้อยไป”
พร้อมกับว่า ตะวันยิงขาอีกข้างของภัสสร จนภัสสรเริ่มหมดแรง แต่ยังกัดฟันพูด
“ไอ้สารเลว แกมันไม่ใช่คน แกมันชั่วช้าเลวทราม ขอให้แกตายไร้ดินกลบหน้า”
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ร่างภัสสรค่อยๆ ล้มลงกับพื้น
ภัสสรถูกกระสุนยิงแซกกลางแสกหน้า นอนตายตาไม่หลับ
“กูไม่อยากฟัง เอาเป็นว่ากูให้อิสระมึง อีสร”

ชบาแอบซ่อนตัวอยู่ พอได้ยินเสียงปืนก็ตกใจมาก
“เสียงปืนมาทาง คุณสร”
ขณะที่ชบาหันไปทางเสียงปืนนั้นเอง ปืนของปราการก็เคลื่อนเข้ามาจ่อที่ขมับของชบาทันที
“เธอนี่ซ่อนไม่เก่งเลยจริงๆ”
ปราการชี้ให้เห็นว่ากระเป๋าเป้โผล่ออกมา

ที่ห้องปานวาด ภูผาสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงปืน
“เสียงปืน”
ปานวาดก็สะดุ้งเช่นกัน และ จู่ๆ จังหวะนี้มีเสียงเคาะประตู ภูผารีบเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้า
“พี่เอง” เสียงปราการนั่นเอง
“พี่มีอะไรคะ”
“ไอ้ภูผามันไม่อยู่ทางพี่ วาดก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน พี่กลัวมันจะมา พี่เป็นห่วงวาดนะ”
ภูผาแง้มออกมาฟัง
“ขอบคุณค่ะ แล้วทางพี่เป็นไงบ้างค่ะ”
“พี่จับตำรวจหญิงได้คนนึง เป็นไปตามที่นายคาดการไว้”
ภูผาส่งซิกให้ปานวาดถามต่อ
“แล้วนายจะทำไงต่อไปค่ะ”
“คงยกให้ท่านนายพลยี่เส่ง ท่านชอบ”
“ค่ะ งั้นเดี๋ยววาดก็ลงไปแล้วค่ะ”
“ไงพี่รออยู่ข้างล่างนะ ส่วนเรื่องภูผา ถ้าวาดจัดการเองไม่ได้เดี๋ยวพี่จะจัดการแทนวาดเอง ไม่ต้องห่วง นายคงไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ถือว่าช่วยๆ กัน”
“ขอบคุณค่ะ”
รอจนเสียงปราการเดินห่างออกไปแล้ว ภูผาจึงพรวดออกมา
“ผมต้องไปช่วยชบา”
“ใจเย็นๆ สิ ตอนนี้คงยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายหรอก”
“แต่ผมจะไม่ยอมให้ชบาเป็นอะไรไป”
“ภูผาสนิทกับตำรวจที่ชื่อชบานี่มากเหรอ”
ปานวาดมองภูผาด้วยอาการประหลาดใจ
“พอสมควร ผมคงปล่อยให้เขาเป็นอะไรไม่ได้ แต่...งานของวาดคือจัดการผม ถ้าคุณไม่ทำคุณก็ตกในอันตรายเหมือนกัน ผมช่วยทีเดียวสองคนคงไม่ไหว ถ้างั้นผมคงจะต้องช่วยคุณออกไปก่อน”
ปานวาดดีใจที่ภูผาเลือกที่จะช่วยตนเองก่อน

ภูผาแอบพาปานวาดออกมาด้วยความเร็ว
“แล้วคุณจะพาฉันหนีไปไหนคะ”
“เราต้องไปสบทบกับทีม”
ภูผายังคงลากปานวาดไป แต่ต้องชะงักเมื่อมาเจอกับปิงเข้า ไวเท่าความคิดภูผาตีเนียนจับปานวาดเป็นตัวประกัน
“ถอยไปถ้าไม่อยากให้พวกแกต้องตาย”
“พี่ภูผา ปล่อยพี่วาด”
“ไม่ หลบไป”
“งั้นผมคงต้องไม่ยอม”
ปิงยิงใส่ภูผาทันที ภูผาเลยต้องลากปานวาดหลบ ปิงยังคงยิงใส่ไม่ยั้ง

อีกด้านไกลจากค่ายยี่เส่ง ทหาร และ ตำรวจ สนธิกำลังมาสมทบเพิ่มอีก ทุกคนเตรียมพร้อม เสียงปืนดังติดต่อกัน
“เหมือนทางด้านโน้นจะเกิดเรื่องนะครับ” มนตรีมองตามเสียงปืนไป
“พวกเราพร้อมมั้ย ครั้งนี้บุกแล้วยาวเลยนะ ไม่ได้เป้าหมายก็จะไม่ออกมา” หมอกสั่งการ
“ครับ”
ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง พากันวิ่งไปสมทบ

หมอกนำทีมเข้าบุกอีกครั้ง เกิดการปะทะเดือดกันขึ้น จนสองฝ่ายเหลือกำลังเท่าๆ กัน
มนตรีลนลานออกจากที่ซ่อนหาที่กำบัง เมื่อถูกกระหน่ำยิงไม่ยั้ง กระสุนปืนปลิวไล่หลังไปติดๆ แต่มนตรีหลบเข้าหลังต้นไม้ได้ทัน พอตั้งหลักได้ก็หันกลับมายิงโต้กลับ ยักษ์ยิงปะทะกับอีกคนหนึ่งชิงเชิงกัน กินกันไม่ลง

หมอกวิ่งมาเห็นภูผากับปานวาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ เลยรีบเข้าไปช่วย ส่วนทางด้านของปิงก็มีลูกน้องยี่เส่งตามมาสบทบเต็มอัตรา
ภูผายิงสู้กับปิง ส่วนหมอกเล่นเชิงล่อกับอีกสองคน พร้อมขยับเข้าหาเพื่อหามุมยิง คนที่ยิงสู้กับหมอก ออกจากที่กำบังหลังต้องหลบกระสุนที่หมอกยิงสวน แล้วหาหมอกไม่เจอ หันมองหา ก่อนต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อหมอกมาอยู่ข้างๆ แล้วยิงทิ้ง หมอกหยิบปืนของคนตายมาใช้ ก่อนเคลื่อนที่ต่อ
เทพเป็นหน่วยซุ่มยิง ซึ่งเล็งแล้วไม่เคยพลาดเป้า
ภูผากำลังยิงปะทะ หมอกปรากฏตัวขึ้นจากด้านข้าง แล้วยิงใส่คนหนึ่ง ก่อนภูผาจะเล่นงานอีกคนได้
สองคนที่ปะทะกับยักษ์ และมนตรี พากันหันหนี จึงถูกสองจ่าเก็บ ส่วนปานวาดก็หลบว้าวุ่นใจอยู่หลังต้นไม้ เพราะทำตัวไม่ถูกว่าตนควรช่วยฝ่ายไหน ภูผาหันหลังชนกับหมอก เอ่ยปากฝากปานวาด
“ผมฝากวาดกับนายด้วยแล้วกัน”
“แล้วนายจะไปไหน”
“ผมต้องไปช่วยชบา”
“แล้วผมจะตามไปสมทบ”
ภูผาวิ่งไปหาปานวาด “คุณอยู่กับทีมที่นี่ก่อนนะ”
“วาดไปด้วยค่ะ”
“ผมต้องไปช่วยชบา” ภูผาบอกตรงๆ
“วาดก็ไปช่วยด้วยไงคะ”
“ผมไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง คุณอยู่กับเขาดีแล้ว คุณจะได้ปลอดภัย”
ภูผาหาช่องว่างและเลี่ยงหลบ พาตัวเองหนีกลับเข้าไปในค่ายด้านใน ปิงเห็นวิ่งตามไปทันที ปานวาดกระโจนออกมาเพื่อตามภูผาไป ทำให้หมอกเสียหลักถูกยิงเข้าที่แขนซ้าย เพราะมัวไปพะวงกับปานวาด

เวลาเดียวกันนี้ หลินจัดดอกไม้ใส่แจกันไหว้พระอยู่ที่บ้านสวน แต่แจกันลื่นหลุดมือจนตกแตก
“คุณหมอก”
หลินใจหายวาบ ประนมมือไหว้พระขอพร
“ได้โปรดคุ้มครองคุณหมอก และทุกๆ คนด้วยนะคะ”
หลินหลับตาลงสวดภาวนา

ขณะที่ เทพ มนตรี และยักษ์จัดการเก็บคนที่เหลือ ปานวาดต้องกลับมาดูแลหมอก
“วาดขอโทษค่ะ วาดทำให้คุณโดนยิง”
“แค่เฉียดน่ะครับ สบายมาก”
“ไม่ได้นะเว้ย อย่างน้อยก็หาอะไรมาห้ามเลือดก่อน”
เทพเอื้อมไปหยิบผ้าที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าหมอก เป็นผ้าพันคอของหลิน หมอกไม่ยอม
“ผืนนี้ไม่ได้”
“ต้องใช้โว้ย หรือมึงอยากเสียเลือดจนตาย” เทพดึงมาจนได้
ปานวาดยื่นมือไปรับมา “มาค่ะวาดพันผ้าให้”
“ขอบคุณครับ”
“วาดมากกว่าที่ต้องขอบคุณคุณ”
ปานวาดใช้ผ้าพันคอของหลินพันแผลให้หมอก

ทางด้านชบาถูกจับมัดติดเก้าอี้ อยู่ในห้องพักเก่าของภัสสร
“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า”
“หนวกหู” ตะวันตวาด
ปราการตบปากเปรี้ยงทันที ชบาหน้าหัน เลือดกบปาก ตะวันพยักหน้าสั่ง ปราการจับยากรอกปากชบา หมวดสาวดิ้นอย่างทรมาน ปิงเข้ามาสมทบ
“นายครับ พวกมันบุกกันมาอีกแล้วครับ”
ตะวันยิ้มเยือกเย็น
“แล้วไอ้ภูผาล่ะ เจอรึยัง”
“เจอแล้วครับ แล้วท่าจะเข้ามาด้านในแล้วด้วย ตอนนี้ไม่รู้อยู่ตรงไหน แถมเอาตัวพี่วาดออกไปแล้วด้วยครับ” ปิงบอก
“จะเอายังไงครับนาย”
ตะวันหันมามองชบา ยิ้มชั่วออกมา
“นังนี่น่าจะมีประโยชน์ เป็นพวกมันนี่นา ฉันรู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง ตอนนี้สภาพของชบาแทบหมดเรี่ยวแรง หรือเรียกได้ว่าแค่จะครองสติยังยากเลย”
ชบาแทบจะโงหัวไม่ขึ้น พึมพำกับตัวเองเสียงเบาหวิว แทบไม่มีแรงแล้ว

“ภูผา...”

อ่านต่อตอนที่ 21 อวสาน

กำลังโหลดความคิดเห็น