xs
xsm
sm
md
lg

ล่าดับตะวัน ตอนที่ 19

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 19

อัคคเดช เดินนำ ชบา และภูผา เข้ามายังบริเวณห้องควบคุมตัว อีกมุมหนึ่งในสำนักงานตำรวจฯ อันเป็นที่กุมขังเจ้าหน้าที่ที่มีความผิด จ่าเวรเฝ้าห้องขังรีบลุกขึ้นแสดงความเครารพ เมื่อเห็นอัคคเดชมาถึง และผู้กำกับถามขึ้นทันทีเพราะไม่เห็นอ้อยอยู่ในห้องขังแล้ว

“หมวดอ้อยล่ะ”
“ออกไปแล้วครับ” จ่าเวรบอก
ชบารีบหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาโทร.หาทันที แต่ติดต่อไม่ได้
“ติดต่อไม่ได้ค่ะ”
อัคคเดชนึกขึ้นได้
“มือถืออ้อยถูกยึดเป็นหนักฐาน โทร.ไปที่บ้าน”
“ค่ะ”
พร้อมกับว่าหมวดชบาโทร.หาหมวดอ้อยใหม่อีกครั้ง

รถแท็กซี่แล่นเข้ามาส่งอ้อยที่หน้าบ้าน อ้อยลงรถด้วยอาการเหนื่อยล้า พอเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจึงรีบไขประตูเข้าบ้าน ตรงไปรับสายในห้องโถง
“ฮัลโหล”
“พี่อ้อย ชบานะคะ”
อ้อยรู้สึกละอายใจที่จะพูดด้วย “มีอะไรคะ คุณน้อง”
ชบาหันมามองสบตามอัคคเดชเป็นเชิงบอก อีกฝ่ายพยักหน้าให้ชบาพูดไปเลย
“คือผู้กำกับให้หนูโทร.มาบอกว่า อยากให้พี่อ้อยมาอยู่ในความคุ้มกันของพวกเรา เกรงว่านายตะวันจะไปเอาเรื่องพี่ค่ะ”
อ้อยสะท้อนใจยิ่งนัก “ฝากขอบคุณผู้กำกับด้วยนะคุณน้อง แต่พี่ว่าอย่าดีกว่า พี่มันไม่สำคัญถึงขนาดนั้น”
ระหว่างนี้เองอ้อยรับรู้ได้ถึงการมาถึงของใครบางคนจึงหันขวับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นตะวัน ที่มีปราการตามหลังมา อ้อยถึงอุทานเสียงดังลั่น ตกใจสุดขีด
“คุณตะวัน”
“เออ กูเอง”
พร้อมกับว่าตะวันยกปืนติดที่เก็บเสียงขึ้นยิงแสกหน้าอ้อย อัคคเดช และพวกที่ฟังผ่านลำโพงอยู่อีกฟากสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ
อัคคเดชตะโกนสุดเสียง “อ้อย”
อ้อยถูกยิงแสกหน้า ล้มทั้งยืน ตายคาที่ ตะวันยิ้มชั่วมองร่างไร้วิญญาณด้วยความสะใจ

ไม่นานต่อมา หน้าบ้านหมวดอ้อยเต็มไปด้วยรถตำรวจ และ รถมูลนิธิ โดยมีเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานอยู่ในบ้าน อัคคเดชกับทีมเพิ่งมาถึง ทุกคนลงรถแล้วพากันเดินเข้าไปในบ้านเงียบๆ ด้วยท่าทางสลดหดหู่ใจ ดูออกชัดแจ้งว่าแต่ละคนรู้สึกสะเทือนใจที่ต้องสูญเสียหมวดอ้อย เพราะยังไงก็ผูกพัน เป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน
ภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ซึ่งมาถึงก่อนหน้าแสดงความเคารพอัคคเดชที่เดินนำทีมเข้ามา อัคคเดชพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมองไปยังศพอ้อยที่ถูกคลุมผ้าขาวอยู่ ทั้งทีมมองร่างไร้วิญญาณที่อยู่ใต้ผ้าขาวอย่างเศร้าใจ
อัคคเดชเดินเข้าไปเปิดผ้าดู เห็นศพอ้อยที่ถูกยิงแสกหน้านอนลืมตาโพลง ตายตาไม่หลับ
ชบายกมือปิดปากปล่อยโฮออกมาอย่างอดสูใจ ภูผากอดปลอบ ยักษ์กับมนตรีมองด้วยอาการเศร้าใจ อัคคเดชมองอย่างสะท้อนใจ ก่อนเอามือลูบปิดกตาให้
อัคคเดชบอกกับศพอ้อยว่า “ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะนะอ้อย ฉันสัญญาจะจับนายตะวันมาลงโทษให้ได้”
พลางผู้กำกับเอาผ้าปิดคลุมหน้าให้

ค่ำคืนนั้น ผู้ประกาศข่าวด่วนช่อง 8 อันเป็นรายการข่าวต้นชั่วโมง รายงานข่าวการเสียชีวิตของอ้อยด้วยมาดขึงขัง
“เมื่อเวลา สิบเอ็ดนาฬิกาที่ผ่านมา ได้มีการรับแจ้งความว่าพบศพหญิงสาวถูกยิงตายภายในบ้านพักย่านจรัญสนิทวงศ์ ผู้ตายเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมหน่วยเมฆาพยัคฆ์ที่ทำการบุกจับเจ้าพ่อมาเฟียชื่อดัง นายตะวัน แสงสุริยะ เมื่อสองวันก่อน และถูกพบว่ามีส่วนทุจริตในการขายความลับทางราชการให้กับนายตะวัน จากแหล่งข่าวเชื่อว่าเป็นการฆ่าล้างแค้นจากนายตะวัน ที่ผู้ตายกลับใจให้การเป็นประโยชน์ในการจับกุมการรับส่งยาของนายตะวันเมื่อสองวันที่ผ่านมา”
หมอกกับปานวาดที่นั่งดูข่าวอยู่ด้วยกัน มีหลินนั่งฟังอยู่ด้วย

ปานวาดนั่งเหม่อใจลอยอยู่ตรงระเบียงบ้าน หันมองไปเห็นหมอกเดินออกมาหา ยิ้มทักก่อนถามขึ้น
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“เรื่อยเปื่อยค่ะ”
หมอกยิ้มให้ และเงียบไป
“คุณหมอกมีธุระอะไรกับวาดหรือเปล่าคะ”
“ก็ไม่เชิงครับ ผมอยากถามว่า คุณวาดคิดจะทำยังไงต่อไป”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ”
“แล้วถ้านายตะวันมาชวนให้กลับไปทำงานด้วยล่ะ จะกลับไปหานายตะวันอีกหรือเปล่าครับ”
ปานวาดอึ้งไป “คงไม่แล้วล่ะค่ะ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว วาดไม่อยากกลับไปทางเก่าอีก” โจรสาวนิ่งนึกสะท้อนใจอยู่ในที “แล้วนายก็ไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด”
หมอกออกอาการแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
ปานวาดอึ้งอีก “คือวันนั้นตอนที่แยกกันหนี นายใช้วาดเป็นโล่เพื่อหนี”
หมอกแค้นใจ “ไอ้นี่ชั่วจริง เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด”
“ได้รู้อย่างนี้แล้ว วาดก็คิดว่า ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่นายเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ต่อไปจะได้ไม่ติดค้างกันอีก”
“คิดแบบนั้นก็ดีครับ”
ปานวาดยิ้มบางๆ ยังรู้สึกผิดหวังกับตะวันอยู่ไม่คลาย
“แล้วคุณวาดจะทำยังไงต่อไป”
ปานวาดถอนหายใจ “จะทำอะไรได้คะ ถลำตัวมาลึกขนานดนี้แล้ว กลับตัวตอนนี้จะทันเหรอคะ”
“ไม่มีคำว่าสายสำหรับคนที่ต้องการจะเริ่มต้นใหม่หรอกครับ สำคัญแต่ว่าเราตั้งใจจะเอาจริงหรือเปล่า”
ปานวาดรับฟังรู้สึกเห็นด้วย
“ถ้าคุณวาดเห็นด้วย พวกเราไปอเมริกากัน ไปเริ่มต้นใหม่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จัก เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนแซ่ ก็เหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง ลองคิดดูนะครับ”
“แล้วคุณหมอกล่ะคะ คิดจะทำยังไงต่อไปเรื่องเมฆ”
“ถ้าภูผาเป็นตำรวจ แล้วเค้าทำตามหน้าที่ของเค้า ผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปแก้แค้นเค้าเหมือนกัน แต่ถ้านายตะวันเป็นจอมบงการและอยู่เบื้องหลังการตายของเมฆ ผมไม่เอาคนชั่วๆ อย่างมันไว้แน่”
“วาดจะลองคิดดูคะ”
หมอกยิ้มให้กำลังใจ

หมอกเดินกลับมาหาหลินที่นั่งรอฟังผลอยู่ในบ้าน หลินถามขึ้นเมื่อหมอกลงนั่งแล้ว
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมพูดแล้ว ที่เหลือก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเค้าตัดสินใจ”
“คุณทำถูกแล้วค่ะ อะไรที่ช่วยได้ ก็ช่วยกันไป อย่างน้อยคุณวาดก็เป็นคนรักของคุณเมฆมาก่อน”
หมอกยิ้มรับ “แต่ผมว่าตอนนี้เค้าไม่ได้หนักใจเรื่องที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หรอก”
หลินมองฉงน สีหน้าแปลกใจ “แล้วคุณวาดหนักใจเรื่องอะไรคะ”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูผาอย่างแน่นอน”
“คุณหมายความว่า คุณวาดรักคนที่ชื่อภูผา”
“ผมว่าต้องเป็นแบบนั้น” หมอกหนักใจอยู่ในทีเมื่อบอกไป
หลินอึ้งไป มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ

อีกฟาก รถภูผาแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านชบา
“ถึงแล้ว”
ชบาที่กำลังใจลอยสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“ถึงแล้วเหรอ”
“เป็นอะไรใจลอย”
“ชบากำลังคิดถึงเรื่องพี่อ้อย”
“ทำไม”
“ก็แกไม่น่าจะต้องมาพบจุดจบแบบนี้”
ภูผามองอย่างเข้าใจก่อนบอกปลอบขึ้นว่า
“ก็อย่างที่ผู้กำกับว่า เค้าเลือกทางนี้เอง”
“เรื่องนั้นชบาเข้าใจค่ะ”
ชบามองสบตาภูผา
“คุณก็เหมือนกันต้องระวังตัวด้วยนะคะ ถ้านายตะวันเป็นพวกหมาบ้ากัดไม่ปล่อยอย่างที่คุณว่า บางทีเค้าอาจมาแก้แค้นคุณที่เป็นสายก็ได้”
“คุณห่วงผมด้วยเหรอนี่” ชบามองค้อน “ผมล้อเล่น ผมรู้คุณเป็นห่วงผม”
พร้อมกับว่าภูผาจับมือชบามากุมไว้
“ผมสัญญาจะดูแลตัวเอง และคุณเป็นอย่างดี”
ชบาหน้ายิ้มแก้มแทบแตกเมื่อได้ยินคำหลัง
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
ตาจ้องตาจนออกอาการเขินทั้งคู่
“งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ชบาหันตัวไปเปิดประตูรถ แต่ภูผารั้งแขนเอาไว้
“อะไร”
“ยังไม่กู๊ดบายคิสเลย”
ชบามองค้อนต่คว่ำ แต่ก็ทำตามหอมแก้มภูผาฟอด
“พอใจยัง ถ้ายังไม่พอ มีในแม็กอีกสิบสามลูก เดี๋ยวจะแถมให้”
ภูผาสะดุ้ง “พอแล้ว”
ชบามองหมั่นไส้ แล้วลงรถไป ภูผามองส่งจนชบาหายเข้าบ้านไปแล้ว ก่อนเสียงโทรศัพท์ภูผาจะดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นปานวาดโทร.มา เขาก็ยิ้มดีใจรีบรับสาย
“ฮัลโหลวาด”
อีกฟากปานวาดนิ่งฟังโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนที่บ้านสวน แต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ แล้วกดวางสายไป
ภูผารีบโทร.กลับมาทันที ปานวาดปล่อยให้เสียงดังโดยไม่ยอมรับ ตัดสินใจไม่ได้
“รับสิวาด รับ”
ปานวาดมองโทรศัพท์อย่างลังเล
“รับสิวาด รับ”
ปานวาดบอกกับตัวเอง “มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกว่า ตำรวจกับโจรจะรักกันได้ยังไง”
นางโจรหน้าหวานกดปิดเครื่องในที่สุด
เสียงเรียกเงียบไป ภูผาโทร.ไปใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว ภูผาออกอาการหนักใจ

เช้าวันนี้ ผู้การเด่นชาตินั่งคุยอยู่กับอัคคเดชในห้องทำงาน
“ผมเสียใจด้วยนะเรื่องหมวดอ้อย”
“ความจริงผมน่าจะคิดอะไรให้รอบครอบกว่านี้หน่อย”
“มันไม่ใช่ความผิดคุณ ไม่ต้องคิดมาก เค้าทำตัวเค้าเอง ถึงต้องมีจุดจบแบบนี้”
อัคคเดชยิ้มรับ หน้าเจื่อนๆ
“แล้วเรื่องนายตะวันไปถึงไหนแล้ว”
“หายเข้ากลีบเมฆไปเลยครับ ยังตามหาตัวไม่พบ”
“ตามหาตัวมาให้ได้ เบื้องบนสั่งมา จะปล่อยให้ลอยนวลไม่ได้”
“ครับ”

อัคคเดชนำกำลังหน่วยเมฆาพยัคฆ์ออกตามหาตะวัน โดยนำรูปในมือถือออกถามตามสถานที่ต่างๆ ที่คาดว่าตะวันจะไปซ่อนตัว และแบ่งลูกทีมไปตระเวนสอบถามพวกวินมอเตอร์ไซค์ นักเลงปากซอย และพวกคุมคิวรถ แม้กระทั่งท่าเรือประมง ท่าเรือเดินสมุทรก็ไม่เว้น

ส่วนอัคคเดชนำทีมเข้าไปถามกับพนักงานต้อนรับของโฮสเทลธุรกิจลับๆ ของตะวัน ปราการซึ่งกำลังจะเดินเข้าโรงแรมเหลือบมาเห็นอัคคเดชกับพวก จึงรีบฉากหลบไปอีกทาง
อัคคเดช ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการจากพนักงานที่ถามไป สุดท้ายต้องหันตัวเดินออกมา
ปราการแอบดูจนแน่ใจว่าอัคคเดชพ้นไปแล้ว จึงออกมาจากที่ซ่อน

ตะวันทวนคำอย่างไม่พอใจ เมื่อรู้เรื่องจากปราการว่าอัคคเดชดมกลิ่นมาจนถึงเซฟเฮ้าส์แล้ว
“กัดไม่ปล่อยเลยนะมึงไอ้เดช”
“แล้วนายจะเอายังไงต่อครับ จะไปอยู่กับนายพลยี่เส่งเลย หรือว่าหลบไปที่อื่นก่อน”
ตะวันอึ้งคิดไปอึดใจใหญ่ ก่อนบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า
“ยังไงก็ต้อง ขอสะสางบัญชีกับไอ้อัคคเดชก่อน ไม่งั้นชาตินี้นอนตายตาไม่หลับแน่”
ปราการนิ่งฟังไม่ออกความเห็นอะไรอีก

ในต่อมา ตะวันสั่งให้ปราการตามลูกน้องเก่า ปานวาด และปิง มาสมทบ และต้องสะใจมากเมื่อได้ล่วงรู้ความลับของหมอกจากปิง ขณะแอบสะกดรอยตามหมอกไป แล้วได้ยินหลินเรียกหมอกเต็มสองหู
ตะวันปะติดปะต่อเรื่องราว แล้วสั่งให้ปราการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดในวันที่เมฆถูกฆ่าให้ปิงนำไปให้หมอกถึงที่บ้านสวน

เช้าวันนี้ ภูผาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เตรียมไปรับคืนสถานะที่หน่วย ปฏิทินบนโต๊ะทำงานมีข้อความเตือนความจำบนวันที่วันนี้ ที่ตรงกับวันจันทร์ว่า
“วันคืนสถานะ”
ภูผาสำรวจตัวเองหน้ากระจกอย่างพอใจ

เมื่อเดินออกมาจากห้อง ภูผาต้องแปลกใจเมื่อเห็นชบามาคอยท่าอยู่ก่อนแล้วที่ทางเดินหน้าห้อง
“มาแต่เช้าเลยนะ”
ชบายิ้มให้ “ก็วันนี้วันสำคัญนี่ ก็เลยมาชวนไปทำบุญเอาฤกษ์เอาชัย จะกลับเป็นตำรวจวันแรก”
ภูผายิ้มรับเอาคำพูดอย่างยินดีปรีดา

เสร็จจากทำบุญตักบาตรด้วยกัน ภูผาเดินเข้ามาในหน่วยพร้อมกับหมวดชบา สองจ่า ยักษ์ และ มนตรี ชักแถวแสดงความเคารพเอาหน้าอย่างแข็งขัน ต่อว่าที่สารวัตรของหน่วย
“สวัสดีครับ”
ภูผายกมือรับการเคารพ “สวัสดีครับ”
ชบามองหมั่นไส้ แขวะเอาว่า
“แล้วฉันล่ะ”
“คนกันเอง ไม่ต้องก็ได้มั้ง” มนตรีบอก
ชบาแกล้งทำเป็นกระแอม พร้อมกับยกมือลูบบ่าว่ามีดาวนะขอบอก
สองจ่าหันมองหน้ากัน ก่อนแสดงความความเคารพอย่างเสียมิได้
“สวัสดีครับ”
“ดีมาก”
สองจ่าชักสีหน้ากวนๆ แล้วหันเดินหนี
“เดี๋ยวครับ”
สองจ่าชะงักหันมามองภูผา ยักษ์ถามงงๆ
“มีอะไรเหรอครับ”
ภูผาบอกกับชบาว่า “คุณยังไม่แสดงความเคารพตอบจ่าเค้าเลย”
ชบาทำหน้าเหรอหรา แต่ภูผาบุ้ยใบ้ให้ทำตามที่พูด สองจ่าอมยิ้มขำ
ชบามองค้อนตาเขียว ทำตามอย่างเสียมิได้
“สวัสดี”
สองจ่าหัวเราะขำ
ภูผาถามกับสองจ่า “ผู้กำกับล่ะครับ”
“ยังไม่มาครับ”
“วันนี้คงเข้าสาย เพราะเป็นวันครบรอบวันตายของคุณพิม” ยักษ์บอก
ภูผาพยักหน้ารับคำอย่างเข้าใจ

ฝ่ายอัคคเดชเดินเข้ามาในร้านดอกไม้หน้ากองปราบ คนขายให้การตอนรับอย่างคุ้นเคยกัน
“หวัดดีครับผู้กำกับ”
“หวัดดีครับ”
“วันนี้รับอะไรดีคะ”
อัคคเดชยิ้มให้แล้วหันไปเลือกดอกไม้ เห็นกุหลาบหลากสีวางเรียงโชว์อยู่ในตู้ ทำให้หวนนึกถึงความหลังตอนมาซื้อดอกไม้ที่ร้านนี้กับพิม

โดยครั้งนั้นพิมกำลังง่วนอยู่กับเลือกดูดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบหลากสี อัคคเดชเดินเข้ามาถาม
“เลือกได้รึยังครับ”
“ยังค่ะ ตัดสินใจไม่ถูก”
“ก็นี่ไงครับ ดอกกุหลาบเต็มเลย”
“แต่มันก็ต้องเลือกนะคะ”
“อันไหนก็ได้ มันก็ดอกกุหลาบเหมือนกัน”
“ไม่ได้ค่ะ กุหลาบเหมือนกันก็จริง แต่คนละสีมันก็ต่างความหมายกัน”
อัคคเดชแปลกใจ “ดอกไม่มีความหมายด้วยเหรอ”
พิมยิ้ม ก่อนอธิบายว่า “มีซิคะ ถ้าสีแดงหมายถึง การตกหลุมรักใครสักคน”
“งั้นผมต้องส่งให้พิมสักโหลแล้วแบบนี้”
พิมยิ้มเขินๆ ก่อนอัคคเดชซักต่อ
“แล้วสีชมพูล่ะ”
“ก็หมายถึงความรักเหมือนกันค่ะ”
อัคคเดชแย้ง “ไม่เห็นต่างกันเลย”
“ต่างซิคะ สีชมพูเป็นความรักแบบฉาบฉวยค่ะ”
“เหรอ”
“สีส้มเป็นความรักแบบอบอุ่นอยู่ใกล้แล้วมีความสุข ส่วนสีขาวเป็นรักบริสุทธิ์ที่ไม่มีข้อแม้นใดๆ”

อัคคเดชยิ้มชื่น สุขใจเมื่อได้นึกถึงคนรักผู้ลาลับ
“ผมขอกุหลาบขาวแล้วกันครับ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

ไม่นานต่อมาอัคคเดชพาตัวเองมาอยู่บนศาลาวัดแห่งหนึ่ง ถวายสังฆทานกับพระ แล้วจึงกรวดน้ำรับพร โดยมีกุหลาบขาวช่องามที่เตรียมเอาไปให้พิมวางอยู่ข้างๆ

ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ เวลาเดียวกัน จู่ๆ มนตรีก็บ่นบ้าขึ้นเสียงดังลั่นออฟฟิศ
“โอ๊ย หิวข้าวๆ”
คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วย
“จะลงไปซื้อก๋วยเตี๋ยว มีใครจะเอาอะไรหรือเปล่า”
ว่าพลางชบาหันไปมองหน้าภูผา
“ไปกินที่ร้านดีกว่า ผมเลี้ยงเอง”
ยักษ์กับมนตรีมองหน้ากัน ออกอาการดีใจ ลาภปาก โดยไม่ทันระวัง ยักษ์หันไปปัดเอากรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะตกหล่นพื้นจนกระจกแตกกระจาย
มันเป็นรูปหมู่ของหน่วยที่ถ่ายเล่นกันก่อนหน้านี้ ตอนอ้อยยังอยู่ ทุกคนตกใจทั้งแถบ หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
เสียงโทรศัพท์ภูผาดังขึ้นเขาแปลกที่เห็นชื่อ “เมฆ” โทร.มา ก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล” และหลังจากนั้นเขาก็คุยสายหน้าเครียดโดยไม่ได้ยินเสียง
ชบาจับสังเกตอย่างสนใจ สุดท้ายภูผาหันมาบอกชบาว่า
“คุณไปกินกับสองจ่านะ พอดีผมมีธุระ”
โดยไม่รอให้ชบาเล้าหรือ ใดๆ ภูผา ดิ่งออกไปที่รถตรงหน้าหน่วยขับออกไปตามนัดกับหมอกทันที

เมฆฝนหมู่ใหญ่ กำลังเคลื่อนเข้าบดบังดวงอาทิตย์ ท้องฟ้าเหนือสุสานมืดครึ้มไปทั่วบริเวณ ฟ้าคะนองให้เห็นเป็นระยะๆ คาดว่าฝนคงตกลงมาห่าใหญ่ในเวลาอีกไม่นานนี้
ดอกกุหลาบสีชมพูช่อหนึ่งถูกวางลงหน้ารูปถ่ายพิมตรงหลุมศพของเธอในสุสาน ตะวันซึ่งมากับปราการเป็นคนวางให้ อดีตประมุขแก๊งอัคคีมองจ้องรูปอดีตคนรักด้วยแววตาอาลัย พร้อมกับตัดพ้อออกไปว่า
“คุณเลือกผิดพิม คุณเลือกคนผิดตั้งแต่ต้น”
ระหว่างนี้ อัคคเดชลงรถที่หน้าสุสานเดินถือดอกไม้ช่อสวยมุ่งตรงไปยังหลุมศพพิมเช่นกัน ฝนที่ตั้งเค้า เริ่มลงเม็ดปรอยๆ อัคคเดชเร่งฝีเท้าขึ้น

อีกฟาก ภูผาและหมอกถึงที่นัดแล้ว และทันทีที่เจอหน้าทั้งคู่วางมวยใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตายบนดาดฟ้าตึกร้าง โดยต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมความกัน
“วันนี้ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่ๆ” ภูผาคำราม
“เชิญ ถ้าคิดว่าเอาชนะฉันได้” หมอกท้าทาย
ทั้งคู่ยังคงต่อสู้กันต่อจนฝนเริ่มตกลงมา ภูผาเผลอลื่นจนเสียหลักเปิดโอกาสให้หมอกขึ้นคร่อม ตะบันใส่หน้าภูผาแบบไม่ยัง ประหนึ่งว่ากำลังระบายความแค้นที่ภูผาได้ฆ่าน้องชายของตน
หมอกเหลือบไปเห็นปืนที่ตกอยู่ จึงคว้ามาจ่อที่หัวพร้อมเหนี่ยวไกเตรียมยิง
“ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ขณะที่หมอกกำลังจะลั่นไกยิงนั้นเอง ปานวาดได้ตะโกนห้าม
“หยุดก่อนค่ะคุณหมอก ถือว่าวาดขอร้อง”
อันเปิดจังหวะให้ภูผาได้ถีบตัวออกไปพร้อมหยิบปืนขึ้นมา พอทั้งคู่ตั้งหลักได้ก็ยกปืนขึ้นจ่อใส่อีกฝ่าย
ปานวาดวิ่งมาคั่นกลางเพื่อที่จะหยุดการประหัตประหารกันของทั้งคู่
หลินวิ่งตามมาสะดุดล้มเพราะลื่นน้ำฝน หมอกหันไปเห็นจึงรีบเข้าไปดู ส่วนปานวาดรีบไปดูภูผา
“อย่าฆ่ากันเลยนะคะ หลินคิดว่าหลินจะทนได้ที่คุณตัดสินใจแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วหลินอยากให้คุณคิดใหม่ อย่าคิดล้างแค้นต่อกันเลยนะคะ หลินขอร้อง”
หลินดึงรั้งคนรักไว้
“ไปเถอะภูผา นายออกไปก่อน เถอะ” ปานวาดหันมาขอร้องหมอก “อย่าเพิ่งฆ่ากันตอนนี้เลยนะคะ ใครจะตายมันก็ไม่ได้หมายความว่าเมฆจะฟื้นขึ้นมาได้ แล้วเราจะทำแบบนี้เพื่ออะไร”
ภูผานิ่งคิด สุดท้ายหันมาพูดกับหมอกแมนๆ ว่า
“ผมผิดเองที่ฆ่าน้องชายคุณ ถ้าคุณอยากแก้แค้น ผมก็ยอม แต่ขอหลังจากผมจัดการไอ้ตะวันให้ได้ซะก่อน เมื่อจัดการมันเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ คุณจะทำอะไรกับผม ก็ตามแต่ใจคุณ”
หมอกมองจ้องหน้าภูผาไม่วางตา ภูผาพูดจบแบบแมนๆ แล้วเดินออกไปเลย หลิน กับ ปานวาด พากันโล่งใจ ที่อย่างน้อยไม่มีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นในวันนี้
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของไอ้ปิง มันมองตามภูผาอย่างแค้นใจ

ปราการกางร่มให้ตะวัน สองคนหันไปมองเห็นอัคคเดชเลี้ยวมาจากหัวมุมตรงมาทางนี้
จากนั้นต่างคนต่างอึ้งมองกันและกันด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง ตะวันมองสบตาอัคคเดชอย่างเคียดแค้น
อัคคเดชทิ้งดอกไม้ในมือ ชักปืนขึ้นเล็งใส่ตะวันทันควัน ปราการชักปืนขึ้นเล็งใส่อัคคเดชเช่นกัน
“ยอมให้จับซะดีๆ ตะวัน วันนี้แกหนีไม่รอดแน่”
ตะวันยิ้มเยาะมาให้ พลางหันไปทำหน้าสั่งให้ปราการเก็บปืน แล้วหันมาหาอัคคเดชอีกครั้ง
“ฉันก็อยู่นี่แล้วไง ว่าแต่แกมีปัญญารึเปล่า”
“แกหนีไม่รอดแน่วันนี้”
“ใครบอกแกว่าฉันจะหนี วันนี้ฉันตั้งใจมาเพื่อสะสางบัญชีแค้นกับแกให้มันรู้ดำรู้แดงกับไปเลย ต่อหน้าสุสานของพิมนี่แหละ”
อัคคเดชอึ้งไปนิดกับคำพูดนี้ ตะวันหยิบมีดสั้นที่เตรียมไว้ ปาทั้งสองเล่มปักลงดินห่างตัวเองออกมา
“ว่าแต่แกลูกผู้ชายพอรึเปล่า”
อัคคเดชนิ่งคิด
“รึว่าแกปอด จะใช้ปืนในมือของแกก็ได้ ถ้าแกหน้าตัวเมียพอ”
อัคคเดชมองจ้องหน้าตะวันอย่างอาฆาตแค้น ตัดสินใจเก็บปืนในมือเข้าเอวตามเดิม ตะวันยิ้มสมใจ
ทั้งสองสบตาชิงเชิงกัน ปราการถอยห่างออกมา ระหว่างนี้สายฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก จนน้ำเจิ่งนองไปทั่วสุสาน
แล้วในวินาทีต่อมา ทั้งสองก็วิ่งเข้าหามีดที่ปักอยู่บนพื้นพร้อมๆ กัน ทันกัน ตะวันเอื้อมมือคว้ามีด ถูกอัคคเดชขวาง แล้ววางมวยกันก่อนรอบหนึ่ง ก่อนที่จะต่างคนต่างคว้ามีดมาได้คนละเล่ม
ทั้งสองฉากหลบห่างออกมา ต่างคนต่างควงมีดในมืออย่างชำนาญ จดจ้องชิงเชิงกัน แล้วตรงเข้าห้ำหั่น วาดมีดใส่กันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี ต่างคนต่างเรียกเลือดของอีกฝ่ายได้พอๆ กัน
ปราการมองลุ้นการต่อสู้อย่างเป็นห่วงเจ้านาย
ตะวันกับอัคคเดชจ้องตากันอย่างเครียดแค้น ก่อนตรงเข้าสู้กันอีกรอบอย่างสูสี แต่คราวนี้แค่เกือบทำร้ายอีกฝ่ายได้ เพราะต่างระวังตัวทั้งคู่
“พัฒนาขึ้นนี่หว่า” ตะวันยิ้มกวนประสาท
“คนมันเคนมีบทเรียน เจ็บแล้วต้องจำโว๊ย”
“แต่แกก็ไม่รอดมือฉันไปอยู่ดีไอ้เดช ฉันจะพิสูจน์ให้พิมเห็นว่าคิดผิดที่เลือกแก แกมันไอ้ขี้แพ้ ยังไงก็ต้องแพ้อยู่วันยังค่ำ”
“แน่จริงก็เข้ามา อย่ามั่วน้ำลายแตกฟองดีกว่า”
พร้อมกับว่าอัคคเดชรุกเข้าใส่ตะวันก่อน สองคนสู้กันอีกรอบ ในที่สุดอัคคเดชก็ปลดมีดในมือตะวันได้ เล่นเอาตะวันตกใจไม่น้อย
“เป็นไงล่ะ คราวนี้จะคุยอะไรอีก”
ตะวันมองอัคคเดชอย่างอดทึ่งไม่ได้
แต่แล้วอยู่ๆ อัคคเดชกลับปามีดสั้นทิ้ง หันไปวางมวยกับตะวัน อัคคเดชใช้ท่าเดิมที่เคยแพ้ตะวันมาก่อน และตะวันใช้ลูกเล่นเก่า แต่คราวนี้อัคคเดชแก้ลำได้ พลิกกลับจับตะวันล็อคไว้ได้ ปราการเห็นก็ตกใจ ขยับตัวเตรียมจะเข้าช่วย
“คราวนี้จะมีลูกเล่นอะไรอีก”
ตะวันไม่ตอบยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาอำมหิต ชักมีดที่ซ่อนอยู่ออกมาจ้วงแทงเข้าที่ชายโครงอัคคเดชจังๆ บิดจนมิดด้าม
อัคคเดชผงะถอย ตกใจคาดไม่ถึง ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมานที่แล่นเป็นริ้วๆ ทั่วกาย
ตะวันลุกขึ้นเหยียดยิ้มมองหยามหยัน แล้วเดินจากมา เมื่อเห็นชัดว่าคู่ปรับตัวฉกาจ ไม่มีทางรอดแน่แล้ว

ด้านชบากับสองจ่านั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้ากองปราบ จนเสียงโทรศัพท์มือถือหมวดชบาดังขึ้น
ชบารับสาย
“ฮัลโหลค่ะ”
หมวดสาวอึ้ง นิ่งงันไปด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ จนสองจ่าหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีนั้น
“มีอะไรเหรอ”
“ผู้กำกับถูกแทง”
ทั้งหมดตกใจทั้งแถบ
“จ่าไปแจ้งท่านผู้การด้วยนะ ด่วน”
ชบารีบร้อนออกไป โดยไม่ปล่อยให้มนตรีกับยักษ์ซักไซ้อะไรอีก
สองจ่าลุกเดินไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว แล้วรีบกลับเข้าหน่วยโดยไว

ชบาพยายามติดต่อหาภูผา ทว่ามือถือของเขาปิดเครื่อง ไม่สามารถติดต่อได้

ภูผาเดินออกมาที่รถ ถอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น รู้สึกผิดเช่นกัน แล้วนึกขึ้นได้ที่ชบาโทร.มาจึงเปิดโทรศัพท์แล้วโทร.กลับไปหา รอจนชบารับสาย และได้ยินเสียงร้องไห้ก็ร้อนใจ
“ชบา...คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าที่โทร.หาผม คุณเป็นอะไร คุณร้องไห้ทำไม นี่คุณ...ว่าไงนะ รอผมก่อน ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้”

ผู้การ ยักษ์ มนตรี รอกันอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดแล้ว ทุกคนเป็นห่วงอัคคเดชเดินวุ่นไปมา ภูผามาถึงหน้าห้องรีบตรงมาหาชบา
“เกิดอะไรขึ้น”
“ผู้กำกับถูกทำร้าย”
“ใคร...ใครทำ”
“คงไม่มีใคร นอกจากไอ้ตะวัน”
“ตะวัน” ภูผาแค้นแสนแค้น
ไฟแดงหน้าห้องผ่าตัดดับลง หมอออกมาจากห้องผ่าตัด ภูผาวิ่งถลาเข้าไปหา
“ผู้กำกับเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนเจ็บเลือดตกภายใน เสียเลือดมาก ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
ทุกคนร้องไห้เสียใจ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า โดยเฉพาะภูผาเสียใจสุดๆ

ณ ณาปนกิจสถานกรมตำรวจบ่ายวันนี้
รูปอัคคเดชที่เคยประดับอยู่หน้าโลง ถูกนายตำรวจในชุดปกติขาวยกรูปนั้นมาให้ญาติที่มารอรับเพื่อเข้าขบวนแห่ศพ
นายตำรวจในชุดปกติขาว พากันเดินแถวเข้าประจำที่ข้างโลงก่อนพากันยกแบกขึ้นบ่า เคลื่อนขบวนแห่รอบเมรุ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ภูผาและทีมเมฆาพยัคฆ์ตั้งแถวแสดงความเคารพ ทุกคนอยู่ในชุดปกติขาว ยกเว้นภูผาอยู่ในชุดดำ ทั้งหมดแสดงความเคารพเมื่อศพเคลื่อนผ่านด้วยความอาลัย ผู้การเด่นชาติมาเป็นประธานในพิธี แสดงความเคารพเมื่อศพเคลื่อนผ่านโต๊ะ โลงถูกแห่รอบเมรุสามรอบตามประเพณี

ชบามองตามขบวนแห่ศพผู้กำกับด้วยความเศร้าใจนึกถึงเหตุการณ์ ในวันที่อัคคเดชถูกตะวันแทง
ฝนตกลงมาอย่างหนัก ขณะชบาวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังร่างอัคคเดชที่นอนกองกับพื้นตรงหน้าหลุมฝังศพของพิม อัคคเดชใกล้จะสิ้นลมคิดว่าจับมือพิมพูดทั้งๆ ที่แท้จับมือชบาอยู่ ชบาพยายามเรียกสติอัคคเดชกลับมา
“ผู้กำกับ ...ผู้กำกับคะ นี่ชบาไงคะ ผู้กำกับ”
อัคคเดชได้สติ “คุณเอง ผมคงใกล้ตายแล้วสินะ”
“ผู้กำกับอย่าพูดอะไรอย่างนั้นสิคะ ผู้กำกับต้องไม่เป็นอะไร รอแป๊บนึงนะคะ ชบาจะเรียกรถพยาบาล”
อัคคเดชยื่นมือมาจับมือชบาที่พยายามควานหาโทรศัพท์
“เวลาของผมมันหมดลงแล้วล่ะ ผมมีเรื่องที่ต้องขอร้องคุณก่อนที่ผมจะตาย”
“เรื่องอะไรบอกชบามาเลย ชบาทำให้ได้ทุกอย่าง”
อัคคเดชหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าซ่อนในเสื้อเปื้อนเลือด
“ผมฝากขอโทษภูผาที่ผม ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้กับเค้าได้ ฝากให้เขาด้วย”
สิ้นคำนั้น อัคคเดชก็แน่นิ่งไป
“ผู้กำกับ...ผู้กำกับคะ...ฟื้นสิคะ”
น้ำตาชบาร่วงพรู ผสมปนเปกับเม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมา ราวกับฟ้าร้องไห้อาลัยต่อการจากไปของยอดนายตำรวจมือดี

ฝ่ายภูผาเดินด้วยความอาลัย พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ร่วมฟันผ่ามากับอัคคเดช ในฐานะ ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา
มันเริ่มจากการที่เขาได้รับแจ้งจากอัคคเดชว่าผ่านการสัมภาษณ์เพื่อคัดเป็นสายใน “ภารกิจหนอน”
จนต่อมามาถูกไล่ออกจากโรงเรียนนายร้อยเพราะงัดข้อกับครูฝึก กลายมาเป็นนักเลงหัวไม้ชื่อกระฉ่อนประวัติเสียยาวเหยียด และถูกส่งเข้าคุกเพื่อภารกิจไปตีซี้เฮียเสือ ลูกชายแป๊ะกง จนเมื่อออกมาได้เข้าแก๊งอัคคี
บ่อยครั้งที่แอบติดต่อกับอัคคเดช ครั้งแรกหลังสังหารเมฆช่วยชีวิตอัคคเดช เผยตัวตนว่าเป็นสาย
ต่อมาถูกตะวันกดดันหนักสงสัยว่าเป็นสาย และขนาดแม่ล้มป่วยแต่ไม่สามารถไปเยี่ยมได้ จึงคับแค้นใจโวยวายใส่อัคคเดช
จนถึงวันที่ร่วมกันทลายแก๊งอัคคี และอัคคเดชบอกว่าจะคืนสถานะให้ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์
คิดแล้วภูผากลืนก้อนสะอื้นลงคอด้วยความอาลัย

ดอกไม้จันท์ที่ถูกวางลงในโลง นำโดยผู้การเด่นชาติ จากนั้นเป็น สองจ่า และ ชบา
ยักษ์ร้องไห้ไม่อายใคร “ผู้กำกับไม่น่าทิ้งกันไปเร็วแบบนี้เลย”
“ใช่ครับ แล้วพวกผมจะทำยังไงต่อไปดีละครับ ผู้กำกับ” มนตรีร้องไห้ครวญคร่ำ
ชบาได้แต่ปลอบ “เข้มแข็งไว้จ่า เราต้องสานต่องานที่ผู้กำกับทำยังไม่เสร็จ พวกเราจะรับผิดชอบแทนคุณเอง พักผ่อนให้สบายนะคะ”
ภูผายืนนิ่งอาลัยเหลือแสน ก่อนวางดอกไม้จัน แล้วยกมือทำวันทยหัตถ์บอกกับวิญญาณอัคคเดช
“ผมให้สัญญาครับผู้กำกับผมจะจับมันมาให้ได้”

โลงถูกเคลื่อนเข้าเตาเผาโดยมีทีมเมฆาพยัคฆ์ยืนส่งวิญญาณ ทั้งหมดมองตามอย่างอาลัย ก่อนประตูเตาเผาจะถูกปิดลง

เวลาผ่านไป ชบาเดินตรงมาหาภูผา ซึ่งยืนเศร้าอยู่หน้าเมรุ ยื่นเอกสารเปื้อนเลือดที่อัคคเดชฝากไว้ก่อนตาย
“ผู้กำกับฝากไว้ให้นาย”
ภูผาเปิดอ่าน พบว่าเป็นเอกสารสำหรับการยื่นคืนตำแหน่ง แต่อัคคเดชยังไม่ได้เซ็นชื่อ
“ใบคืนสถานะ แต่ยังไม่ได้เซ็น”
“เขาฝากขอโทษนายด้วยที่ทำตามสัญญาไม่ได้”
“ถ้าผม...ยอมคุยกับคุณตอนนั้น มันอาจไม่เป็นแบบนี้”
ชบาจับไหล่ภูผา
“ฉันยอมรับว่าฉันยังรู้สึกโกรธที่คุณไม่ฟังเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดในตอนนั้น แต่มันก็โทษคุณไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้ ฉันหวังเพียงว่าไม่ว่ายังไงคุณช่วยทำความหวังของผู้กำกับให้เป็นจริงด้วย จับไอ้ตะวันมาเอาผิดมันให้ได้”
“ผมสัญญา แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของผมก็จะไม่มีวันปล่อยมันไป”

ตอนค่ำนั้นจอทีวีในห้องพักเซฟเฮาส์ของตะวัน รายงานข่าวพิธีฌาปนกิจศพของผู้กำกับอัคคเดช ผู้ประกาศข่าว ช่อง 8 เจ้าเก่า รายงานข่าวนี้
“เมื่อเวลาสิบสี่นาฬิกาที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีฌาปนกิจของพันตำรวจเอกอัคคเดช ผู้กำกับมือปราบแห่งหน่วยเมฆาพยัคฆ์ ซึ่งได้นำกำลังเข้าการจับกุมกวาดล้าง แก๊งอัคคีเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา ซึ่งได้เสียชีวิตลงอย่างไม่คาดคิด และได้มีการสันนิฐานเบื้องต้นว่า คนร้ายน่าจะเป็นนายตะวัน แสงสุริยะ เนื่องจากมีพยานพบเห็นนายตะวันปรากฏตัวที่สุสานของอดีตคนรักของผู้กำกับมือปราบ โดยคนร้ายได้ใช่มีดปลายแหลมแทงเข้าบริเวณจุดที่สำคัญหลายจุดเป็นเหตุของการเสียชีวิต ส่วนความคืบหน้าและรายละเอียดอื่นๆ ทางสถานีจะรีบนำเสนอ เมื่อมีความคืบหน้าดังกล่าวครับ”

ระหว่างนี้เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตะวันมองดู เห็นว่าเป็นภัสสรโทร.มา จึงกดรับ
“ว่ายังไง”
ภัสสรกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ฉันก็ไม่มีที่ไปแล้ว ขนาดผู้กำกับอัคคเดชยังไม่รอด ฉันเลยคิดว่าฉันคงไปไหนไม่รอดเหมือนกัน คุณอย่าฆ่าฉันเลยนะ”
ตะวันไม่เชื่อนัก “กลัวตายอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ ฉันกลัว คุณอยากให้ฉันทำอะไร ฉันทำได้ทุกอย่าง”
“เธอหมายความว่า จะยอมทำตามคำสั่งฉันว่างั้น”
“พูดแบบนั้นก็ได้ ฉันยอมก้มหัวให้คุณ ขอแค่อย่าทิ้งฉันก็พอ”
“ถ้างั้นเรียกฉันว่านายสิ”
ภัสสรเงียบไปครู่หนึ่ง “ค่ะ นายตะวัน”
ตะวันยิ้มสะใจ แล้ววางสายไป
ปราการอดถามไม่ได้ “จะรับกลับมาจริงๆ เหรอครับนาย ผมว่านายน่าจะฆ่าทิ้ง”
“ยัง ยังไม่ฆ่าตอนนี้”
“แล้วจะทำไงต่อครับนาย” ปิงถาม
“ฉันจะเอามันเป็นของขวัญส่งให้นายพลยี่เส็ง แบบนี้ท่านนายพลต้องถูกใจแน่ๆ” ปราการยิ้มร้ายออกมา
“ครับนาย”

อีกฟากภัสสรส่งโทรศัพท์ให้ชบา เจ้าแม่เล้าจน์อยู่ในห้องผู้การเด่นชาติที่กองปราบฯ พร้อมกับ ภูผา ชบา และผู้การ
“เรียบร้อย ไหนๆ ก็ไม่มีทางเลือกฉันก็แค่จะสู้กับมันอีกสักตั้ง”
ภูผาอดถามไม่ได้ “แม้ว่าเสี่ยงที่จะตายเหรอ”
“ทำไงได้ อยู่ไปเป็นตายเท่ากัน อย่างน้อยก็ได้ช่วยตำรวจจัดการไอ้ตะวัน”
“คุณมั่นใจแค่ไหน ว่าแผนนี้จะสำเร็จ”
“ฉันไม่รู้ แต่ก็สามารถทำให้พวกคุณรู้ถึงความเคลื่อนไหวของมันได้ ฉันว่ามันก็วิน วิน นะ ส่วนฉันอยากจะทำอะไรกับมัน มันก็เป็นความแค้นส่วนตัวของฉัน แต่อย่าลืมสัญญานะคะผู้การ ถ้าฉันช่วยจัดการกับมันได้ คุณจะขอลดโทษให้ฉันถึงที่สุด”
ผู้การเอ่ยขึ้น “คุณเอาตัวเองเข้าเสี่ยงขนาดนี้ ไม่ต้องกลัว ทางผมจะพิจารณาให้แน่นอน”
“แบบนี้ค่อยโล่ใจหน่อย ขอบคุณนะคะ ผู้การ”
ภัสสรหันมาหาภูผา แล้วอดทึ่งไม่ได้ พูดทีเล่นทีจริงเป็นเชิงสัพยอก
“นายนี่เก่งจริงๆ หลอกได้เนียนมาก แฝงตัวโดยที่ตะวันไม่รู้เลยว่านายเป็นใคร ถ้างั้นคราวนี้ มาดูละกันนะว่าฝีมือการแสดงของฉันกับนาย ใครจะแน่กว่ากัน”
“คุณก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
“ฉันรู้ดีเลยละเรื่องนั้น ขอบคุณ”
ผู้การหันมาหาชบา “หมวดชบา พาภัสสรไปพักก่อน”
“รับทราบค่ะ”
ชบาลุกเดินพาภัสสรออกไป ภูผาขยับขอตัว
“ถ้าไง หมดธุระแล้วผมขอตัวครับ”
“มีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ”
“เรื่องอะไรครับ”
“การพิจารณาคืนตำแหน่ง”

ภูผาได้ฟังถึงกับออกอาการไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง
“ยังคืนสถานะให้ผมไม่ได้”
ผู้การพยักหน้ารับเอาคำอย่างหนักใจเช่นกัน
“เนื่องจากผู้กำกับอัคคเดชที่เป็นผู้รับผิดชอบแฟ้มของคุณโดยตรงได้เสียชีวิตลงก่อนการคืนสถานะ ดังนั้นจึงขาดบุคคลรับรอง ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว คุณต้องผ่านการประเมินจากคณะกรรการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน จึงสามารถคืนสถานภาพให้คุณได้”
“เพราะอะไรเหรอครับ”
“เพราะการแฝงตัวเป็นสายของคุณมีระยะเวลานาน”
ภูผานึกเหตุผลออก “ก็เลยคิดว่าผมกลายเป็นพวกมันไปแล้วอย่างงั้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่ เราไม่ได้คิดแบบนั้น มันเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เราไม่อยากวัวหายแล้วล้อมคลอกทีหลัง ทางผู้ใหญ่จึงขอเวลาพิจารณาคุณอย่างถี่ถ้วน”
ภูผารับเอาคำเศร้าๆ
“ไม่ต้องกังวลผมจะช่วยเรื่องนี้คุณอย่างเต็มที่ ส่วนคุณก็ไปทำหน้าที่คุณให้เต็มที่แล้วกัน จับพวกที่เหลืออย่าให้มันหนีรอดไปได้”
“ครับ ผู้การ ผมสู้มาขนาดนี้แล้ว ผมไม่ยอมแพ้แน่ๆ ครับ”

ภูผาเดินออกมาสีหน้านิ่ง ถอนใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ยังไงต่อให้เขาคืนสถานะตอนนี้ไม่ได้ เขาก็จะต้องจัดการกับตะวันให้ได้ ชบาเข้ามา
“เป็นอะไร มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ผู้การบอกว่ายังไงตอนนี้ผมก็ยังคืนสถานะไม่ได้”
“ผู้กำกับถึงไม่สบายใจเรื่องนี้ก่อนตาย” ชบามองอย่างเห็นใจภูผา “แล้วนายจะทำยังไงต่อไป”
“ถึงยังไม่ได้คืนสถานะ แต่ผมก็ต้องจัดการนายตะวันให้ได้”
“ฉันจะคอยช่วยคุณด้วยค่ะ”
“ขอบคุณนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันยิ้ม แต่ชบานึกขึ้นได้
“ว่าแต่ที่ว่าจะจัดการนายตะวันเนี่ย รวมถึงพวกของมันทั้งหมดด้วยรึเปล่า หรือนาย...จะละเว้นไว้เฉพาะ..บางคน” ชบาลองหยั่งเชิงถามถึงนางโจรหน้าหวาน
“บางคน...” ภูผานึกได้ “นี่คุณ คุณไปแจ้งจ่ายักษ์กับจ่ามนตรีละกันว่าเราจะมีประชุมกัน”
ชบามองค้อน บ่นอุบกับตัวเอง “ทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง”
“แต่ยังไม่ใช่วันนี้นะ ผมขอเคลียร์ธุระส่วนตัวก่อน ขอเป็นวันอื่นละกัน”
“ธุระอะไรเหรอ”
“ถ้าบอก เขาจะเรียกธุระส่วนตัวเหรอคุณ”
ภูผาเดินออกไปหน้าหน่วย ชบามองตามด้วยสีหน้าสงสัย

เย็นแล้ว ขณะปานวาดขับรถมาตามทางพร้อมกับคิดถึงอดีตที่เธอมีความสุขกับเมฆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานวาดก้มมองเห็นเป็น ภูผาโทร.มา ปานวาดตัดสินใจกดรับ สองคนคุยสายกัน
“ผมขอโทษ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ผมยิงเมฆ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมทำตามหน้าที่”
“รู้ไหมคะ ว่าวาดภาวนาว่า ขออย่าให้คนๆ นั้นเป็นคุณเลย แต่...มันก็เป็นคุณจริงๆ”
“ผมทำผิด ผมขอโทษ”
“รู้ไหมค่ะว่าตอนนี้วาดรู้สึกยังไง” ปานวาดเงียบไปชั่วครู่ “วาดอยากฆ่าคุณ ทำไมคุณต้องทำกับเมฆแบบนั้นด้วย”
ภูผาละอายใจเหมือนใจ “ผม...”
“แต่ภูผารู้มั้ย ว่าวาดว่าวาดฆ่าคุณไม่ลงจริงๆ ตอนนี้วาดรู้แค่ว่าอย่างน้อยวาดจะต้องทำอะไรต่อไป เพื่อเมฆ”
“ตอนนี้คุณไม่ต้องทำอะไรเพื่อใครแล้ว ผมอยากให้คุณทำเพื่อตัวคุณเอง อย่าร่วมมือกับตะวันอีกเลย หยุดเถอะนะ วาด”
ปานวาดรีบตัดบท “แค่นี้ก่อนนะคะ” แล้วตัดสายจากภูผาไป
“วาด คุณจะทำอะไร”
สายที่โทร.ซ้อนเข้ามาพอดีคือปราการ
ปานวาดกดรับ “ค่ะ พี่ปราการ นึกว่าลืมวาดไปแล้ว...นายไปไหนวาดไปด้วยอยู่แล้วค่ะ”
ปานวาดวางสาย และรีบบึ่งรถไปหาปราการทันที

ใบหน้าของภูผาหมกมุ่นครุ่นคิดหนักด้วยความเป็นห่วงปานวาด
“วาดคุณกำลังจะทำอะไรของคุณ”
ภูผาตัดสินใจส่งข้อความนัดเจอปานวาด
“พรุ่งนี้เจอกันหน่อย”
ชบาตามมาแอบดู พอเดาออกว่าภูผาคงเป็นห่วงปานวาด ก็เศร้าใจ
เสียงข้อความดังขึ้น ปานวาดกดดู อ่านข้อความจากภูผา แล้วทอดถอนใจ

ปราการวางสายจากปานวาด มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปิงเดินเข้ามา
“มีอะไร”
“ผมอยากจะคุยกับพี่ เรื่องพี่วาด”
“วาดทำไม”
“พี่รู้ไหม พี่วาดเค้ารู้ว่าพี่เมฆตายมานานแล้วนะ แถมยังรู้ว่าคนที่ชื่อหมอกแฝงตัวมาเพื่อสืบเรื่องทุกอย่างจากพวกเราด้วย ที่สำคัญยังก็รู้ด้วยว่าพี่ภูผาเป็นคนฆ่าพี่เมฆ”
ปราการอึ้งไป “วาดรู้เรื่องทั้งหมดเลยเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ ผมเลยสงสัยว่าพี่วาดกำลังจะทรยศนายแหละพี่”
ปราการกังวล
“เอาไงดีพี่”
“รอดูไปก่อน เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ส่วนแกไม่ต้องยุ่ง ปิดปากเงียบก็พอ”
ปิงรับเอาคำ สีหน้าปราการเป็นกังวล และเป็นห่วงปานวาดเหนือสิ่งอื่นใด

หมอกเดินเข้าบ้านมาเห็นรายงานข่าวด่วน พิธีฌาปนกิจศพของอัคคเดชในจอทีวี โดยผู้ประกาศช่อง 8 คนเดิมรายงานข่าวขึงขังเช่นเคย
“ได้มีการจัดพิธีฌาปนกิจของพันตำรวจเอกอัคคเดช ผู้กำกับมือปราบแห่งหน่วยเมฆาพยัคฆ์ ซึ่งได้นำกำลังเข้าการจับกุมกวาดล้าง แก๊งอัคคีเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา ซึ่งได้เสียชีวิตลงอย่างไม่คาดคิด และได้มีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่า คนร้าย น่าจะเป็นนายตะวัน แสงสุริยะ”
หมอกเห็นข่าวตกใจ คิดหนัก
“ผู้กำกับอัคคเดชตาย แล้วภูผามันจะทำยังไงต่อไป”

หมอกนัดเจอเทพเพื่อนทหารคนสนิทของเขาในวันต่อมา เทพส่งซองเอกสารให้ หมอกเปิดออกมาอ่านดูคร่าวๆ
“ไอ้คนที่ชื่อภูผานี่มันสุดยอดไปเลยว่ะ แฝงเป็นสายให้ตำรวจได้เป็น 10 ปีแม่งไม่มีใครจับได้ ท่าทางมีฝีมือ แต่แกเอาข้อมูลมันไปทำไมวะ กูไม่ค่อยเข้าใจ”
“เออน่า ขอบใจมาก”
“สบายมาก มีอะไรให้ช่วยอีกบอกได้นะเพื่อนไม่ต้องเกรงใจ เต็มที่”
เพื่อนทหารออกไป หมอกค่อยๆ เปิดอ่านเอกสาร แล้วอดทึ่งไม่ได้
“นายนี่มันใจเด็ดจริงๆ ยอมติดคุกเพื่อแฝงตัว แกกับฉันนิสัยไม่ต่างกันเลย ฉันควรจะทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีต่อไป หรือควรทำสิ่งที่ถูกต้องดี”
หมอกเครียดจัด สับสนหนัก

ภูผามาถึงที่นัดหมาย มองหาปานวาดแต่ไม่เจอ สักครู่ปานวาดจึงค่อยๆ เผยตัวออกจากที่ซ่อน ปรากฏตัวขึ้น ภูผาหันมาเห็นยิ้มทักอย่างดีใจ ปานวาดยิ้มตอบเจื่อนๆ ด้วยมีเรื่องคิดหนัก พร้อมเดินเข้ามาหา
“เป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี”
ต่างคนต่างมองตากัน ด้วยความรู้สึกที่อยู่คนละฝั่งฝ่าย
“ภูผานัดวาดมา มีเรื่องอะไร อย่าบอกนะ ว่าจะพูดเรื่องเดิม”
“ผมมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้คุณมอบตัว”
“แล้วยังไงต่อ ถึงรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาก็ต้องติดคุกตลอดชีวิตอยู่ดี ใช่มั้ย ทำแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เลิกพูดเรื่องนี้ซะเถอะ วาดตัดสินใจแล้ว วาดจะกลับไปหานายตะวัน”
“วาด”
“เราเดินคนละเส้นทางแล้วภูผา วาดต้องมีชีวิตของวาด วาดเลือกทางนั้นแล้ว”
“แม้ผมจะบอกว่า ผมชอบคุณ ผมคิดที่จะร่วมชีวิตกับคุณ คุณก็จะกลับไปใช่มั้ย”
“งั้นหนีไปกับวาดมั้ยล่ะ เราหนีไปด้วยกัน ภูผาทำได้มั้ย”
ภูผาอึ้งไปถนัดตา ปานวาดสบตาลุ้นคำตอบ
“ผม ผมทำไม่ได้ ผมต้องทำหน้าที่อีกหลายอย่าง ผม…”
ปานวาดตบหน้าภูผาฉาดใหญ่
“ถ้าทำไม่ได้ แล้วพูดทำไมว่าอยากร่วมชีวิตด้วย ถือซะว่า ตบเมื่อกี้เพื่อเมฆละกัน แล้วเราจบกัน”
ปานวาดมองหน้าภูผาอย่างน้อยใจ ก่อนจะตัดใจเดินจากมา ภูผาได้แต่มองตามหน้าเศร้า

หลินกำลังดูดอกไม้ที่สวน หมอกเข้ามากอดหลิน
“ผมคิดไม่ออกว่าผมต้องทำยังไงต่อไปดี”
“ทำสิ่งที่ถูกต้องสิคะ คุณเป็นทหาร คุณก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องเช่นกัน หลินอยากให้คุณกลับมาเป็นคุณหมอกแต่ก่อนที่ทำเพื่อประเทศชาติ”
“คุณหมายความว่า”
“เว้นการล้างแค้น แล้วมาช่วยคุณภูผาทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยการจับคนเลวดีกว่าค่ะ แม้มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ แต่เราก็จะไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่เราเลือกไป ถ้าคุณจะร่วมมือกับตำรวจ หลินก็ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะคะ”
หมอกฟังแล้วอึ้งไป คิดตามคำพูดคนรัก

หมอกปล่อยน้ำจากฝักบัวราดรดหัวและเรือนร่างอันเปลือยเปล่า ราวกับฝนที่ตกไม่มีวันหยุด ภาพตอนเป็นทหารและการรับใช้ชาติผุดขึ้นมา เสียงคำปฏิญาณของทหารหาญว่าจะจงรักภักดีต่อชาติดังกึกก้องในหัว สำหรับทหารแล้วเรื่องชาติบ้านเมืองต้องมาก่อนเสมอ

อีกวันหนึ่ง ชบานั่งซึมรอเวลาที่ภูผาจะเข้ามาประชุมตามนัด ยักษ์กับมนตรีรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆเลยตัดสินใจพูดขึ้น
“เออ...ทำไม ว่าที่สารวัตรยังไม่มาอีกนะ จะรู้ไหมว่ามีคนรอ”
“ใช่ๆ รอนานๆมันไม่ดีนะ เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง”
“พวกจ่าบ่นอะไร รอเงียบๆไม่เป็นเหรอ”
มนตรีกับยักษ์พูดขึ้นพร้อมกันว่า “คร้าบ”
ภูผาเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยหน้าตาเศร้าๆ
“ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน”
ชบาสังเกตสีหน้าภูผา คิดว่าคงไปเจอปานวาดมาแน่ๆ
“พวกผมรอได้ แต่หมวดซิครับ” มนตรีมองเหล่ชบา
“คุณเป็นอะไร” ภูผาถาม
“เปล่าซะหน่อย อ่ะ คุณมีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”
“งั้นเรามาคุยกันเรื่องแผนกลยุทธ์ ผมคิดว่า...”
ภูผาไม่สนใจชบาเลยตั้งหน้าตั้งตาอธิบายแผนการ ส่วนชบาก็ตั้งใจฟังแผนการด้วยสีหน้าไม่พอใจเรื่องส่วนตัวตลอดเวลา

เวลาผ่านไป ทุกคนประชุมกันอย่างเคร่งเครียด
“งานนี้ผมขอให้ทุกคนเต็มที่ และขอบคุณทุกคนที่เชื่อใจผม”
มนตรีบอกว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมจะทำตามทุกอย่างของแค่จับพวกมันมาลงโทษให้ได้”
“แม้ต้องตาย ก็ขอแลกกับมันสักตั้งครับ แก้แค้นให้ผู้กำกับคือความตั้งใจสูงสุดของผม” ยักษ์เสริม
“ตามนั้น” ภูผามองมาทางชบา “หมวดคุณมีอะไรจะเสริมอีกไหม”
“ไม่ค่ะ หมดเรื่องแล้วใช่ไหมค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัว ไปทำธุระส่วนตัวก่อน”
ชบาลุกเดินออกจากห้องประชุมไปเลย
ยักษ์กับมนตรีส่งซิกให้ภูผาแต่ภูผาไม่เก็ตว่าให้ตามหมวดชบาไป
“ตามไปสิครับ” ยักษ์บอก
“ดูก็รู้ว่าหมวดงอนอยู่” มนตรีว่า
ภูผางงเต๊ก “งอนผมเนี่ยนะ”
“ตามไปเดี๋ยวก็รู้ ผู้หญิงก็เงี้ย ง้อนิดง้อหน่อยก็หายแล้ว” มนตรีบอกราวกับเป็นกูรูเลิฟ
“ไปก็ไป”

เย็นนั้น ภูผาไล่ตามชบาที่เดินงอนออกมาก่อนตะโกนเรียกไว้
“นี่คุณ รีบไปไหน ผมไปส่งเอาป่ะ”
“เกรงใจ ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
แต่ภูผาจูงมือลากชบาไปที่รถ
“นี่นาย”
ชบาขัดขืนแต่ไม่เป็นผล ภูผาลากไปจนได้
“พูดดีๆ ไม่ชอบ”

ภูผาผลักชบาไปติดข้างรถ แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงมาเพื่อจะไปเปิดประตู แต่นางกลับคิดว่าเขาจะจูบ
“ทำบ้าอะไรของนาย”
“ขึ้นรถ ผมไปส่ง”
“นายต้องการอะไรกับฉันกันแน่”
“ก็ไม่รู้สิ ผมรู้แค่ว่า ผมอยู่กับคุณแล้วผมสบายใจก็แค่นั้น เชิญครับ”
ชบางอนไม่เลิก “คือ...ฉันกลับเองได้”
ภูผารำคาญ ช้อนอุ้มชบาขึ้นไปนั่งบนรถโดยเร็ว
“จะบ้าเหรอนาย”
“ก็คุณไม่ขึ้นรถดีๆเอง ผมก็ช่วยไง”

ที่เซฟเฮ้าส์ ปราการเดินเข้ามาในห้องตะวัน
“ได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
“หมอกฝาแฝดเมฆไปเล่นงานภูผาแล้ว แต่ไม่สำเร็จครับ”
ตะวันชักสีหน้าเสียดาย
“อย่างงั้นเหรอ”
“คนของนายพลยี่เส่งเร่งมาแล้วครับว่า ต้องกลับไปรวมกับนายพลยี่เส่งในวันพรุ่งนี้ครับ”
ตะวันพยักหน้ารับเอาคำอย่างเข้าใจ
“แล้วที่ให้ไปตามปานวาดว่ายังไง ปานวาดมันรู้รึยังว่าไอ้เมฆเป็นตัวปลอม”
ปราการนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนตอบโกหกไป “อ๋อ ผมเพิ่งบอกให้วาดรู้ครับ วาดเลยจะรีบกลับมาสมทบกับพวกเราครับ”
“ดี ถ้าทุกคนพร้อม เราจะไปรวมตัวกับนายพลยี่เส่ง คราวนี้ไม่มีไอ้อัคคเดชขวางทาง ก็หมดปัญญาที่ตำรวจจะทำอะไรพวกเราได้”
ตะวันยิ้มพอใจ

ปานวาดเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง
“พรุ่งนี้แล้วสินะ ลาก่อนนะภูผา ถ้าวาดรอดกลับมา วาดจะลองให้โอกาสคุณ”
เก็บของเสร็จปานวาดหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับแรกเขียนขอบคุณหมอกกับหลิน ฉบับที่สองเขียนถึงภูผา
ปานวาดพับกระดาษใส่ซองจดหมาย มองจดหมายนิ่งนาน

หมอกนอนก่ายหน้าผาก คิดไม่ตกระหว่างเรื่องหน้าที่ต่อชาติ และหน้าที่พี่ชาย

ห้องปานวาดถูกเก็บอย่างเรียบร้อย ปานวาดวางจดหมายทั้งสองฉบับลงบนเตียงก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปแต่เช้ามืด

ชบากับภูผารออยู่ จนผู้การกลับเข้ามาสมทบ
“ได้เรื่องจากภัสสรยังไงบ้าง”
“พวกมันจะไปสมทบกับพวกยี่เส่งค่ะ”
“พวกมันเป็นนายพลมีอิทธิพลมากแถบชายแดน”
“จะเอาไงดีคะผู้การ เราไปจับไอ้ตะวันก่อนที่มันจะไปดีกว่าไหมคะ ถ้าเราพลาดโอกาสนี้เราอาจจะพลาดโอกาสที่ดีไปก็ได้นะคะ”
“ภูผา คุณว่ายังไงกับเรื่องนี้”
“ที่หมวดชบาพูดก็ถูกครับ ถ้าปล่อยตะวันไปรวมกับพวกที่ชายแดน คงจะยากที่จะจับมันกลับมา แต่ไม่ใช่ว่าจะจับมันไม่ได้ และอาจเป็นโอกาสที่ดีกว่า ที่ทางเราจะได้ทำลายล้างเครือข่ายใหญ่ของมัน”
“ผมก็คิดเหมือนกับคุณ”
ชบาทักท้วง “หมายความว่า เราจะปล่อยมันไปเฉยๆ เหรอคะ”
“ไม่ได้ปล่อย แต่พวกคุณต้องตรียมตัวให้พร้อม เพราะเรากำลังล่อเสือเข้าถ้ำ พร้อมที่จะลุยพวกมันให้ราบคาบรึยังล่ะ”
ภูผากับชบาประสานเสียงรับเอาคำสั่งอย่างแข็งขัน
“ครับ” / “ค่ะ”

มีความเคลื่อนไหวพวกตะวัน โดยภัสสรสวมแว่นดำอันโต ลากกระเป๋าเดินทางรออยู่หน้าที่พัก จนมีรถมาจอดรับ
ส่วนปิงกับตะวันมาหยุดอยู่ที่หน้าตึกสูง ตะวันมองขึ้นไปบนตึกสูงนั้นแล้วยิ้มด้วยแววตามุ่งมั่น
ปราการยืนรออยู่ใกล้ๆ ตึกเดียวกัน จนเห็นปานวาดเดินเข้ามา ปราการหันไปยิ้มให้
“พร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ พี่ปราการ”
ปราการรับกระเป๋าปานวาดมาช่วยถือ แล้วออกไปพร้อมกัน

ด้านหลินเดินมาเคาะประตูห้องปานวาดสักระยะแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับ หมอกผ่านมาทางนี้พอดี
“วาดไม่ตอบเหรอครับ”
“ค่ะ หลินรู้สึกกังวลยังไงไม่รู้ เมื่อคืนเรียกให้ทานข้าว ก็ไม่ออกมาทานค่ะ”
หมอกเลยตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป พบว่าภายในห้องถูกเก็บจนสะอาดเรียบร้อยแต่ไม่มีใครอยู่ มีเพียงจดหมาย 2 ฉบับทิ้งไว้บนที่นอน หมอกเดินไปหยิบจดหมายมาดู
“วาดไม่อยู่ แต่มีจดหมายทิ้งไว้สองฉบับ”
“จดหมาย ถึงใครคะ”
“ถึงพวกเรา กับ นายภูผา”
“เธอเขียนว่ายังไงคะ”
หมอกอ่านจดหมายให้หลินฟังด้วย เหมือนมีเสียงปานวาดมาอ่านข้างๆ หู

“ถึง คุณหลิน และ คุณหมอก
วาดตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าวาดจะกลับไปหานายตะวัน ขอโทษทีนะคะที่ตัดสินใจแบบนี้และไม่ได้รอบอกลา คุณหลินกับคุณหมอกดีกับวาดมากจนวาดไม่รู้จะขอบคุณพวกคุณยังไง ถ้าวาดยังพอมีดวงอยู่เราคงได้เจอกันอีกนะคะ วาดก็ขออวยพรให้พวกคุณมีความสุขตลอดไป ลาก่อน
ปานวาด”

หลินฟังแล้วตกใจไม่น้อย “เราจะทำยังไงต่อไปดีค่ะ”
“ผมคิดว่าผมคงอยู่นิ่งๆ แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะร่วมมือกับภูผาจับนายตะวัน”
หลินยิ้มกว้าง ดีใจเหลือเกิน “จริงเหรอคะ หลินดีใจที่คุณเลือกสิ่งที่ถูกต้อง”
“คุณทำให้ผมคิดได้ และผมจะทำให้วาดคิดได้เช่นกัน แต่ก่อนอื่น ผมคงต้องไปหาคู่หูเฉพาะกิจของผมก่อน”
“ค่ะ หลินภูมิใจในตัวคุณจริงๆ”
หมอกกอดหลิน หอมหน้าผากอย่างขอกำลังใจ แล้วรีบวิ่งออกไปขึ้นรถ พร้อมกับกดโทร.หาภูผาทันที

หมอกยืนรออยู่ในสถานที่นัด จนเห็นภูผาเดินเข้ามาหา จึงชักปืนเล็งใส่ ภูผายกมือขึ้น
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ขอเวลาจัดการตะวันก่อน แล้วนายจะทำอะไรฉันก็ยอม”
“ดี นายมันลูกผู้ชายดี ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเราคงต้องเคลียร์กัน แต่ตอนนี้...”
หมอกเอาปืนลง แล้วยื่นจดหมายของปานวาดให้ภูผา
“วาดทิ้งนี่ไว้ให้นาย”
ภูผาเปิดอ่าน
“วาดอยู่ไหน”
“ไปแล้ว”
“ไปไหน”
“กลับไปหานายตะวัน”
“ผมรั้งเขาไม่ได้จริงๆ” ภูผาใจหาย
“นายจะเอายังไงต่อ”
“ตามล่าไอ้ตะวัน แล้วดึงวาดออกมาจากมันให้ได้”
“ผมจะร่วมมือด้วย”
ภูผาได้ยินถึงกับชะงัก คาดไม่ถึง
“นายหมายความว่าไง”
“เราต้องร่วมมือกัน ช่วยคุณวาด และจัดการไอ้ตะวันให้ได้”
ภูผาอึ้งดีใจยื่นมือให้หมอกจับ หมอกจับมือตอบสองคนยิ้มให้กัน

ที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าตึกสูง เช้าวันเดียวกันนี้ ตะวันยืนรออยู่กับปิง จนปราการเดินเข้ามาสมทบพร้อมปานวาด
“มาแล้วครับนาย”
พอเห็นภัสสรเดินเข้ามา ทุกคนชักปืนใส่ ภัสสรยกมือ ตะวันพยักหน้าให้ปานวาดเป็นเชิงสั่งในที ปานวาดค้นตัวภัสสรอยู่สักครู่หนึ่งจึงหันมาพยักหน้าให้ตะวันเป็นเชิงตอบว่าเคลียร์ ตะวันเดินเข้าไปหาภัสสร
“ฉันไว้ชีวิตแก ให้แกมาอยู่ด้วย ก็อย่าคิดไม่ซื่อละกัน ไม่งั้นตายไม่สวย แน่”
“ค่ะนาย”
“ดี มันต้องแบบนี้“
“อีก1นาที เครื่องจะลงจอดนะครับ” ปิงบอก
“หวังว่าไม่มีใครคิดเปลี่ยนใจภายหลังนะ ไปแล้วอาจไม่ได้กลับมาอีกเข้าใจใช่ไหม”
ทุกคนรับเอาคำพร้อมกัน “ครับ นายตะวัน” / “ค่ะ นายตะวัน”
ฮ. บินมาจอดรับทุกคน ก่อนที่เครื่องจะลอยลำขึ้น เส้นทางบินมุ่งสู่ค่ายแถวตะเข็บชายแดนของนายพลยี่เส่ง

ปานวาดมองลงไปยังเบื้องล่าง คิดถึงภูผาจับใจ

อ่านต่อตอนที่ 20







กำลังโหลดความคิดเห็น