ล่าดับตะวัน ตอนที่ 14
ตกกลางคืนในขณะที่หมอกนั่งดูรูปเมฆ นึกทบทวนเรื่องราวของน้องชายอยู่ในห้องนอน ไม่นานนักก็มีเสียงหลินร้องกรี๊ดดังขึ้นมา
หมอกรีบวิ่งมาที่หน้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเหมือนหลินกำลังฟาดตีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องน้ำ จึงรีบเคาะเรียก
“เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
อึดใจต่อมาประตูห้องน้ำเปิดออก หมอกมองเข้าไปเห็นหลินที่อยู่ในอาการตกใจกลัวถึงขีดสุด ในมือกำไม้เท้านำทางในสภาพหงิกงอเพราะใช้ฟาดบางอย่างจนพัง
หลินยังหวาดกลัวไม่หาย รีบเดินเขย่งมาหา หมอกอึ้งไปอย่างถนัดตา เมื่อจู่ๆ หลินตรงเข้ากอดเขาเอาไว้ราวกับยึดเป็นที่พึ่ง
“ตัวอะไรไม่รู้ค่ะอยู่ในห้องน้ำ”
หมอกเหลียวมองหา จนเห็นหนูชะตาถึงฆาตตัวหนึ่งนอนตายอยู่ตรงพื้นมุมห้องน้ำ เพราะน้ำมือหลิน หมอกอดที่ยิ้มขำกับตัวเองไม่ได้
“ตัวอะไรคะ”
“ลูกหนู”
หลินถอนใจอย่างโล่งอก
“ลูกหนู แล้วมันไปรึยังคะ”
“มันตายแล้ว นี่คุณรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่ากำลังเป็นฆาตกรอยู่” หมอกขำไม่หาย
“คือ...หลินไม่ได้ตั้งใจ หลินตกใจก็เลย...”
“ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ทำไปแล้ว คุณนี่มือหนักเอาการนะ ทำเอาลูกหนูน็อกไปเลยว่าแต่ตอนนี้คุณหายกลัวรึยัง”
“หายแล้วค่ะ”
“งั้นผมขออนุญาติเอามือคุณออกก่อนนะ ผมหนักมาก เริ่มจะไม่ไหวล่ะ”
หลินเพิ่งนึกได้ว่ากอดเขาอยู่ จึงผละตัวออกอย่างอายๆ แต่พอถอยหลังออกห่างก็เซจะล้ม เพราะขาที่เจ็บยังลงน้ำหนักไม่ได้ หมอกตาไวรีบขยับเข้าประคองรับเธอเอาไว้ในอ้อมแขนทัน
วินาทีนั้นหน้าเกือบชนหน้า ลมหายใจรดราดกันและกัน หลินใจเต้นระทึกที่อยู่ตรงหน้าหมอกเช่นนั้น ฟากหมอกเองก็ออกอาการเขินอยู่ในที แต่ก็ยังจดสายตามองจ้องใบหน้าสวยของหลินไม่วางตา
หมอกดึงตัวเองออกจากภวังค์ แต่พอหลินจะผละออก เขาก็ห้ามไว้
“อย่าขยับเดี๋ยวก็ล้มอีกหรอก”
หลินนิ่งทำตามอย่างว่าง่าย
“คุณทำธุระของคุณเสร็จรึยัง”
“เสร็จแล้วค่ะ”
สิ้นคำนั้น หมอกก้มลงช้อนร่างหลินขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน หลินร้องถามด้วยความตกใจ
“จะทำอะไรคะ”
“ก็พาคุณกลับห้องไง ไม้เท้านำทางคุณง้อเป็นกุ้งไปแล้ว จะเดินกลับเองได้ยังไง”
หลินนิ่งไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ หมอกจึงอุ้มพาเธอเข้าห้องนอน
หมอกอุ้มหลินมาวางลงบนเตียง ในอาการขัดเขินด้วยกันทั้งสองคน
“ขอบคุณค่ะ”
“ต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” หมอกชวนคุยแก้เขิน
“ไม่แล้วค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
“ถ้าต้องการอะไรก็เรียก ผมยังอยู่ข้างนอก”
"ค่ะ"
หมอกจึงผละเดินจากมา ส่วนหลินลอบยิ้มขำ และเขินลับหลังที่ใกล้ชิดหมอกขนาดนั้น
พอพ้นออกมาจากห้องแล้วดึงประตูปิดลง หมอกถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อพ้นสภาวะนั้นมาได้
"จะตื่นเต้นทำไมเนี่ยะ แค่อุ้มมาส่งเข้านอน"
หมอกยิ้มขำความคิดตัวเอง พร้อมหันมองไปยังประตูที่เพิ่งพ้นออกมา
ฝ่ายหลินเอื้อมมือไปปิดไฟที่โต๊ะหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนความรู้สึกตอนตกอยู่ในอ้อมแขนหมอกแล้วหน้าเก็บชนกันก็ผุดขึ้นในหัว
ตอนนั้นหลินเซจนเกือบล้ม แต่หมอกรับไว้ทัน หน้าเกือบชนหน้าในระยะประชิด
นึกถึงแล้วหลินให้ใจเต้นระทึก ก่อนจะบอกปรามตัวเองในใจว่า
“เขาแค่สงสารเธอ ไม่ได้คิดอะไรกับเธอสักหน่อย”
หลินถอนใจอย่างเจียมตน พยายามข่มตาเข้านอน แต่ช่างยากเย็นเหลือแสน หลินแอบคิดถึงหมอกไม่เว้นวาย
ไม่ต่างจากหมอก ที่ยังคงนอนไม่หลับ คิดถึงเหตุการณ์ที่เขาใกล้ชิดกับหลินหลายวาระ
คาดว่าในราตรีนี้ อีกนานนัก กว่าที่สองหนุ่มสาวจะหลับ
รุ่งเช้าภาพบนจอทีวีเป็นข่าวการทลายฮาเล็ม ของภัสสรที่ถูกนำเสนอในคุยข่าวรับอรุณช่อง 8
“จากปฏิบัติการบุกทลายฮาเล็มลับในรีสอร์ตกลางกรุงเทพฯ เมื่อวาน ทางตำรวจได้ทำการขยายผลเพื่อจับกุมจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังการค้ามนุษย์รายนี้ พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังฮาเล็มนรกแห่งนี้คือ นางสาวภัสสร เอี่ยมสะอาด หรือที่คนในวงการรู้จักกันในนามเจ๊สร หัวหน้าแก๊งหงส์ขาว หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของแป๊ะกง เจ้าพ่อคนดังที่เสียชีวิตไปก่อนหน้า ตำรวจชุดปราบปรามพิเศษได้บุกเข้าจับกุมนางสาวภัสสรในทันทีที่ได้เบาะแส แต่นางสาวภัสสรไหวตัวทันหลบหนีการจับกุมไปได้”
มีภาพเหตุการณ์ตอนกองกำลังชุดปราบปรามพิเศษ นำทีมโดยอัคคเดชเข้าทลายฮาเล็ม และบุกจับทั้งนายหน้า ลูกค้า และสาวๆ พร้อมกับภาพถ่ายของภัสสร ประกอบการรายงาน
ภูผานั่งมองจอทีวี ด้วยแววตาแค้นใจ มองออกว่าเป็นผลงานใคร
“เขี่ยเจ๊ภัสสรให้พ้นทางได้อีกคนแล้วสินะ นายตะวัน”
อีกฟากในแสงสวยยามเช้าที่บ้านสวน หลินกำลังทำอาหารด้วยตัวเองตามที่บอกหมอกเอาไว้ โดยมีเสียงรายงานข่าวชิ้นเดียวกันกับที่ภูผาดูดังแว่วเข้ามา และรายงานเกือบจบแล้ว
“สำหรับความคืบหน้าในคดีนี้ทางช่องแปดจะได้ติดตามมานำเสนอในโอกาสต่อไป”
หมอกนั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ไกลจากครัวนัก แม้จะตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจนัก เพราะเขาแอบคาดการณ์ไว้แล้ว
ว่าภัสสรต้องถูกตะวันเขี่ยให้พ้นทางเข้าสักวัน
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
ผ่านไปอีกหน่อย หมอกนั่งกินอาหารอยู่กับหลิน ด้วยท่าทางใช้ความคิดหนักเอาการ สีหน้ามีวี่แววความกังวลอยู่เต็ม และเอาแต่เขี่ยอาหารพร้อมกับมองหน้าหลิน ไปมาไม่ยอมกิน หมอกคิดอยู่นานจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ”
“จะถามหลินเรื่องอะไรเหรอคะ”
หมอกนิ่งไป เรียบเรียงคำพูดอยู่อึดใจ “คุณแน่ใจหรือว่าผมไม่ได้ฝากอะไรคุณไว้จริงๆ ตอนที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะความจำเสื่อม”
หลินอึ้งไปถนัดตาเมื่อได้ยินคำถาม และแอบน้อยใจอยู่ลึกๆ อดที่จะตัดพ้อออกไปไม่ได้
“เพราะเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ คุณถึงช่วยหลินมาตลอด”
หมอกอึ้งนิดๆ เมื่อได้ยินคำตัดพ้อนั้น รีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะ”
หลินยังคงน้อยใจอยู่ในที “แต่คุณก็ยังถามหลินอีก ทั้งที่หลินเคยบอกคุณไปแล้วว่า คุณไม่เคยฝากอะไรหลินเอาไว้เลยสักอย่างเดียว”
หมอกรู้สึกผิดจับใจ ที่คำพูดของเขาเหมือนไม่ยอมเชื่อใจเธอ
“ผมแค่อยากรู้เท่านั้น เพราะมันสำคัญกับผมมาก เพราะมันอาจนำไปหาจอมบางการ ที่เป็นคนสั่งยิงผมจนตกจากที่สูงลงมาเจ็บปางตาย แถมความจำยังเสื่อมอีกต่างหาก”
คราวนี้หลินอาการตกใจเมื่อได้ยิน
“ของชิ้นนั้น มันสำคัญถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ใช่” หมอกนิ่งไปชั่วครู่จึงเอ่ยต่อ “คุณรู้รึเปล่าว่าผมมีอาชีพอะไร”
“ไม่ทราบค่ะ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า คงไม่ใช่อาชีพธรรมดาเหมือนคนปกติทั่วไป”
หมอกยิ้มเยาะโชคชะตาของน้องชาย “ผมเป็นมาเฟีย”
หลินต้องตกใจอีกครั้ง แถมยังมีท่าทีหวาดกลัวให้เห็น หมอกดูออก
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ใช่นักเลงแบบที่มาเก็บค่าคุ้มครองคุณพวกนั้นหรอก”
“หลินรู้ค่ะว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะไม่อย่างงั้นคุณคงไม่ช่วยหลินเอาไว้ตั้งหลายต่อหลายครั้ง”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“หลินตาบอด แต่ไม่ได้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ”
หมอกรับฟังด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจไม่น้อย
“หลินรู้ว่าคุณแอบย่องขึ้นบ้านหลินสองครั้ง ครั้งแรกคุณเล่นงานนักเลงพวกนั้น ส่วนครั้งที่สองคุณมาหาอะไรไม่รู้ ซึ่งหลินขอเดาว่าคงเกี่ยวกับเรื่องที่คุณพยายามถามหลินมาโดยตลอดแน่ๆ” สาวนักจัดดอกไม้เว้นคำพูดไปนิดหนึ่ง “แต่หลินก็ขอยื่นยันอีกครั้งว่า คุณไม่เคยฝากอะไรไว้กับหลินจริงๆ ค่ะ”
หมอกอึ้ง นิ่งงันไปด้วยอาการผิดหวัง หลินรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ เธอนิ่งคิดก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“หมดเรื่องของคุณแล้ว มาเรื่องของหลินบ้าง หลินมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณอย่างนึงค่ะ”
“เรื่องอะไร”
หมอกมองจ้องหน้าหลินรอฟัง
“หลินอยากกลับไปเอารูปพ่อแม่ที่ร้านคะ หลินกลัวว่าพวกนักเลงอาจกลับมาเผาไล่ที่ ช่วยพาหลินกลับไปเถอะนะคะ มันเป็นรูปสุดท้ายที่หลินมี หลินไม่อยากเสียมันไป เพราะคงหาไม่ได้อีกแล้ว”
หมอกฟังแล้วเข้าใจความรู้สึกหลิน
“ตกลง เดี๋ยวคืนนี้ผมจะพาคุณไปละกัน”
“ขอบคุณนะคะ คุณเมฆ” หลินยิ้มออก
หมอกรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ของเธอ ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังทำลายบรรยากาศซึ้งๆ ขึ้น หมอกเห็นเบอร์จึงรีบลุก เดินออกไปคุยนอกบ้าน
เป็นปานวาดโทร.หาเมฆจากห้องพักคอนโดของเธอ และกำลังคุยสายอยู่กับหมอก
“เมฆรู้ข่าวเจ๊ภัสสรแล้วรึยัง”
“อืมม์ รู้แล้ว เพิ่งดูข่าวเมื่อกี้”
“ต่อไปแก๊งเราคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงกว่าเดิมแน่ๆ”
“นี่คงเป็นแผนนายแน่”
“วาดก็ว่าอย่างนั้นแหละ ว่าแต่ ตอนนี้เมฆอยู่ไหน อยู่ห้องรึเปล่า เดี๋ยววาดไปหานะ”
หมอกรีบออกตัว “อย่าเลย คือ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากพักซักหน่อย”
ปานวาดเป็นห่วง “ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เปล่าๆ แค่นอนน้อยอ่ะ เดี๋ยวขอนอนพัก ก็น่าจะดีขึ้น”
“ค่อยโล่งใจหน่อย คิดว่าเป็นอะไรมาก โอเคงั้นพักเยอะๆ นะคะ แต่ถ้าอาการไม่ดีหรือมีอะไรผิดปกติ รีบบอกวาดเลยนะ วาดจะไปดูแลเอง”
“ครับ ขอบคุณนะครับวาด”
หมอกวางสายแล้วหันไปมองหลินที่ทำโน่นนี่อยู่ไกลๆ
ส่วนปานวาดวางสายแล้วก็รู้สึกห่วงเมฆ
รถป้ายแดงคันใหม่เอี่ยม แล่นมาจอดตัดหน้าเจ๊หวีแม่ปิง ที่เพิ่งเดินกลับมาถึงบ้านในชุมชน เจ๊หวีมองรถคันงามอย่างโมโห
“ป้ายแดงแล้วใหญ่เหรอว่ะ เสือกเอามาจอดตัดหน้ากู จะอวดร่ำอวดรวยยังเสือกหาเรื่องเดือนร้อนให้ชาวบ้านอีก เดี๋ยวแม่ก็ขูดให้เสียโฉมเลยนี่”
มีเสียงหนึ่งตอบสวนขึ้นทันควัน พร้อมเปิดประตูออกมา
“เอาดิ จะได้แจ้งตำรวจจับซะเลย ข้อหาทำให้เสียทรัพย์”
เจ๊หวีหันมามอง เห็นปิงก็ด่าทันที
“อ้าว ไอ้ปิง ไอ้ลูกเวร เจอหน้าก็หาคุกให้กูเลยนะ”
ปิงหัวเราะขำแม่ เจ๊หวีนึกได้ตาโตขึ้นมาทันทีทันใด
“นี่รถมึงเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
พร้อมกับว่าปิงหยิบรีโมทมากดเปิดล็อคโชว์ เจ๊หวีตาโตลูบรถใหม่มือระวิง
“นี่มึงไปรวยอะไรมาไอ้ปิง”
“จะรวยอะไรไม่สำคัญ สำคัญแค่ ต่อไปห้ามขายของเก่ากินเด็ดขาด”
แม่ปิงอ้าปากจะด่า แต่พอเห็นเงินปึกใหญ่ที่ปิงยกขึ้นมาโชว์ตรงหน้า ก็ตาค้างพูดไม่ออก แต่พอจะคว้า ปิงก็ชักหลบ เจ๊หวีค้อนตาคว่ำ
“สัญญามาก่อน ถ้าทำอีกล่ะก็อด ไม่ส่งให้อีกแล้ว”
“เออ สาบานเลยก็ได้ ได้แบบนี้ กูนอนตากพัดลมให้สบายดีกว่า”
ปิงยิ้มรับเอาคำอย่างพอใจ ก่อนส่งเงินให้ ปิงมองแม่รับเงินไปนับด่วยความดีใจ ก็ยิ้มออก ที่มันได้ทำให้แม่มีความสุข
ภูผากำลังให้อาหารปลาอยู่ในห้อง จนมีเสียงกริ่งดังขึ้น ภูผาเดินไปเปิดประตู เห็นเป็นปิงก็ยิ้มทัก
“ว่าไง วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่”
แทนคำตอบ ปิงหยิบเอาซองหนึ่งขึ้นมาส่งให้ ภูผามองอย่างแปลกใจ
“อะไรอ่ะ”
“เงินที่พี่เคยให้ผมยืมไง”
“เอ้ย เคยบอกแล้วไงไม่ต้องคืน แกเก็บไว้เถอะ”
ภูผาไม่รับแล้วเดินเข้ามาในห้อง ปิงตามตื้อ
“อย่าดีกว่าพี่ ผมเกรงใจ”
ภูผาออกตัว “ไม่เป็นไร บอกแล้วว่าให้ก็ให้ซิ เงินแค่นี้เอง อย่าคิดมากน่า”
ปิงคิด ก่อนตอบว่า “ไม่เอาเองนะ งั้นเก็บ”
ภูผาตบไหล่ปิงอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่ ไปรวยอะไรมา”
“นายให้รางวัลมาพี่”
ภูผาอึ้ง นึกแปลกใจนิดๆ แล้วคิดได้ว่าน่าจะได้จากงานขนยาล็อตก่อน
“ทำงานถูกใจคุณตะวันละซิ”
“นิดหน่อยพี่ ช่วงนี้นายปลื้ม”
“อืม ดีละ มีเงินก็เก็บๆ ไว้” ภูผาเอ็นดูปิงอยู่แล้วจึงเตือนอย่างหวังดี “เก็บให้เยอะที่สุดแล้วก็เลิกซะ”
“โหพี่ งานดีๆ เงินดีๆ แบบนี้ จะให้หยุดง่ายๆ ได้ไง”
“แต่แกควรหยุด ทำพวกนี้มันไม่ยืนยาวหรอก ไม่เห็นแป๊ะกงเหรอ ใหญ่คับฟ้า สุดท้ายเป็นไง”
“ก็เหนือฟ้า มันยังมีฟ้าไงพี่ ใครพลาดก็จบไป”
“ก็แล้วแต่ ข้าก็แค่แค่เตือน เอาที่สบายใจละกัน”
ภูผาตัดบทไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะประเมินดูแล้วท่าทีของปิงมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานสายมาเฟียนี้ ส่วนปิงก็ยิ้มรับเอาคำอย่างสบายใจไม่ติดใจอะไร จนหันมาเห็นตู้ปลาก็ชอบใจ
“พี่นี่ถ้าจะชอบปลาจริงจังนะเนี่ย ถึงกับเอามาเลี้ยงในห้องเลย” พลางหยิบอาหารมาโปรยให้ “อะๆ กินนะ กินซะ”
ภูผาเหนื่อยใจกับปิง ที่ไม่ฟังอะไร เอาแต่เล่นไปวันๆ
เย็นวันนั้นปานวาดนั่งมองโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องนานแล้ว จะกดหาเมฆ แต่ไม่ได้กด
“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เอาไงดี ไปเยี่ยมดีกว่า”
ปานวาดหยิบกระเป๋าลุกเดินออกจากห้องไป
เพียงไม่นาน รถปานวาดแล่นมาจอดที่ริมถนน ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับที่เมฆเคยจอดตอนมาซื้อดอกไม้ ปานวาดมองไปยังถนนฝั่งเดียวกับร้านหลิน พบว่าร้านรวงปิดไปหลายร้าน ก็ออกอาการแปลกใจ
“อ้าว จะซื้อดอกไม้ไปให้เมฆสักหน่อย ร้านปิดซะนี่”
มีแม่ค้าแถวนั้นเดินผ่านมา ปานวาดจึงเดินเข้าถาม
“โทษนะคะ ร้านขายของฝั่งนู้นหายไปไหนหมดคะ”
พร้อมกับว่าเธอชี้มือให้ดูด้วย
“อ๋อ เขาถูกพวกนักเลงกวน ไล่จะเอาที่ เลยย้ายไปขายที่อื่นน่ะ”
“เหรอคะ”
ปานวาดหันกลับไปมองที่เดิมอีกครั้งด้วยอาการเสียดาย จนสายตาเหลือบไปเห็นรถหมอกที่จอดอยู่ เธอถึงกับชะงัก เพ่งมองด้วยสีหน้าแปลกใจ และต้องอึ้งตามมาเมื่อเหลือบไปเห็น หมอกประคองหลินพากันเดินถือกล่องใส่รูปพ่อแม่เดินกลับมาที่รถ ปานวาดแปลกประหลาดใจมากขึ้นๆ ต้องรีบหลบแอบมอง
“เมฆ ทำไมมาอยู่ที่นี่”
หมอกพาหลินขึ้นรถแล้วขับออกไป ปานวาดรีบขึ้นรถแล้วขับตาม แอบสะกดรอยตามไป
รถหมอกแล่นมาตามถนน โดยมีรถของปานวาดแล่นตามมาห่างๆ สีหน้าปานวาดเต็มไปด้วยความสับสน งุนงน และกังขาในเวลาเดียวกัน
“ทำไมเมฆถึงได้อยู่กับผู้หญิงตาบอดคนนั้นนะ” มือปืนหน้าหวานแอบหวั่นใจอยู่ในที “จะไปไหนกันเนี่ย ทำไมต้องไปไหนกันสองคนด้วย อย่าเพิ่งคิดมากสิ”
สุดท้ายปานวาดบอกปลอบใจตัวเองเมื่อความคิดว่าทั้งสองมีอะไรกันแว้บขึ้นมาในหัว
“ตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้”
รถปานวาดตามรถหมอกไป
รถหมอกจอดนิ่งที่หน้าบ้านสวน เขารีบลงจากรถมาเปิดประตูประคองหลินลงรถพาเดินเข้าบ้าน ปานวาดจอดรถซุ่มมองเข้าไปอย่างแปลกใจ
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย เมฆไม่เคยพาเรามาเลย หรือว่า…”
ปานวาดตาโต คิดเองเออเองว่าอาจเป็นรังรักของทั้งสองคน ปานวาดใจสั่นแต่พยายามหักห้ามความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน แล้วรีบลงรถแอบตามไป
หมอกพาหลินเดินตรงไปที่ประตูเข้าบ้าน แต่แล้วหลินลงน้ำหนักที่เท้าผิด จนเท้าพลิก เซเข้าหาหมอก
“โอ๊ย” หลินร้องอย่างเจ็บปวดและตกใจ
หมอกรับหลินเอาไว้ในอ้อมแขน หลินเขินอยู่ในที ก่อนจะรีบดันตัวลุกขึ้นแต่เสียหลักล้มอีก คราวนี้หมอกรีบประคองรับเอาไว้ไม่ให้ล้ม แล้วพยุงพาไปนั่งที่เก้าอี้สนามแถวนั้น
พอหลินนั่งลงจนถนัด หมอกก็นั่งลงจับขาหลินมาแกะผ้าที่พันข้อเท้าหลินออกดูอาการทันทีด้วยความเป็นห่วง หลินสะดุ้งชักเท้ากลับ หมอกเงยหน้าขึ้นมอง
หลินอึ้งไปนิดๆ ยอมเปลี่ยนใจนั่งนิ่งให้หมอกดูอาการ
ปานวาดแอบย่องตามเข้ามาแอบดู ถึงไปอึ้งนิ่งงันไปกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
หมอกกำลังดูเท้าให้หลินด้วยความห่วงใย ก่อนจะบรรจงนวดเท้าให้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน
ปานวาดมองด้วยแววตาอิจฉา
ต่างจากหลินที่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข รู้สึกดีกับสิ่งที่เขากำลังทำให้ หมอกมองหลิน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะจูบ โดยที่หลินไม่รู้ตัว
ปานวาดมองภาพนั้นด้วยความริษยาถึงขีดสุด เดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า
“เมฆ”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวนั้นมันทำให้หมอกละสายตาจากเท้าหลินที่กำลังจะหอมแล้วหันมอง เห็น ปานวาดที่กำลังมองเขากับหลินอย่างไม่พอใจถึงขีดสุด สองตาจ้องหลินตาเขม็ง
“ทำไมทำกับวาดแบบนี้ วาดอุตส่าห์เป็นห่วงแทบตาย เมฆบอกเมฆไม่สบาย แล้วที่เห็นอยู่นี่คืออะไร มันคืออะไร มาพรอดรักกันแบบนี้ เมฆทำกับวาดแบบนี้ได้ยังไง”
“เดี๋ยววาดฟังก่อนมันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”
“ไม่ใช่อย่างที่คิดเหรอ เห็นเต็มสองตาแบบนี้จะให้คิดยังไงอีก อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถึงเนื้อถึงตัวกันแล้วบอกว่าไม่มีอะไรกัน ใครจะไปเชื่อ”
หลินตั้งหลักได้รีบอธิบายขึ้นอีกคน
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ดิฉันกับคุณเมฆไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ”
ปานวาดตวาดลั่น “หุบปากเลยนางตัวดี นึกว่าแกตาบอดแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรงั้นเหรอ พอถูกจับได้ก็ทำมาเป็นใสซื่อ ทำตัวหลงให้ฉันเคยสงสารอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็อยากได้ของๆ เขาจนตัวสั่น”
หมอกขึ้นเสียงกำราบ “พอได้แล้ววาด กลับไปได้แล้ว”
“ไม่ วาดไม่กลับ เมฆเห็นมันดีกว่าวาดใช่มั้ย ได้”
ปานวาดเดินไปกระชากร่างหลิบมาตบตีอย่างรุนแรงด้วยฤทธิ์รักแรงหึง
“แกแย่งแฟนฉัน อยากได้มากใช่มั้ย
ปานวาดลุยสุดพลังด้วยแรงหึงหวงที่แล่นโลดอยู่ในใจ หมอกสงสารหลินรีบเข้าไปดึงแล้วเหวี่ยงปานวาด ผลักออกสุดแรง จนปานวาดล้มลง ปานวาดเจ็บปวดหัวใจมาก หมอกเข้าไปประคองห่วงใยหลินสุดๆ ภาพบาดตาเกิดขึ้นซึ่งๆ หน้า จนเกินห้ามใจ จนปานวาดตัดสินใจควักปืนออกมา ฝืนบังคับนิ้งแตะโก่งไกจะยิง
“รักมันมากใช่มั้ย”
ปานวาดพูดพร้อมจ่อปืนไปทางหลิน หมอกหันไปเห็นก็ตกใจ ร้องห้ามเสียงหลง พร้อมกับพยายามขัดขวางสุดกำลัง
“อย่านะวาด”
หลินตกใจ งงๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมอกถลันเข้าไปหาปานวาดเพื่อแย่งปืนในมือ
ปานวาดยิ่งฉุนขาด มองหลินด้วยความเคียดแค้นที่หมอกออกรับแทนขนาดนั้น มือปืนหน้าหวานแข็งใจเหนี่ยวไกออกไปจนได้ ปืนลั่นขึ้นอีกหนึ่งนัด หลินสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในเสียงปืน
กระสุนนัดนี้เฉี่ยวใบหน้าหลินไปชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด ลมพัดผมหลินจนปลิว
หมอกตะลึงตะไลตกใจกับภาพที่เห็น ก่อนถอนใจอย่างโล่งอกที่กระสุนไม่โดนหลินอย่างที่กลัว
ปานวาดยิ่งแค้น พยายามจะยิงซ้ำ แต่คราวนี้หมอกไม่ยอม จับล็อคแขนหักปลดอาวุธปานวาดอย่างเอาจริงด้วยท่าหักแขน แล้วกดปานวาดลงไปนอนคว่ำหน้าแนบกับพื้น ปานวาดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ถูกจับหักแขน
หมอกตวาดเสียงเขียวขุ่นใส่ “หยุดบ้าได้แล้ว ผมไม่ใช่คนที่คุณเห็นว่าเป็นอยู่” เขาตัดสินใจชั่วเสี้ยววินาทีนั้นบอกไปในที่สุดว่า “ผมไม่ใช่เมฆ”
ปานวาดอึ้งไปนิด ก่อนจะแผดเสียงคำรามใส่อย่างไม่เชื่อ
“ไม่ใช่เมฆเหรอ นี่คือข้อแก้ตัวที่คิดว่าดีแล้วใช่มั้ย นี่คือสิ่งที่จะให้วาดออกไปให้พ้นๆ ใช่มั้ย”
“ผมพูดจริงๆ” สีหน้าท่าทางของหมอกจริงจังมากๆ “ผมไม่ใช่เมฆ”
คราวนี้ปานวาดอึ้งไปอย่างแปลกใจ
“ผมว่าคุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่เมฆ”
ปานวาดเริ่มคิดหนัก อ่อนท่าทีอันแข็งกร้าวลงอย่างเห็นได้ชัด
หลินที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ถึงกับหูผึ่งด้วยความสนใจ
สุดท้ายปานวาดก็ยังไม่เชื่อ พยายามยื้อ บอกออกไปอย่างน้อยใจ “นี่เมฆชอบมันมากถึงขนาดนั้นจริงๆ เหรอ ชอบมันมากขนาดโกหกว่าตัวเองไม่ใช่เมฆเลยใช่มั้ย”
หมอกสวนขึ้นทันควัน พูดแทบเป็นตวาด “วาดมองผม มอง คุณมองเห็นมั้ยว่าผมไม่ใช่เมฆ”
ปานวาดกลืนน้ำลายฝืดคอ สีหน้ายอมรับว่าใช่อย่างที่หมอกว่า
“ผมเป็นพี่ชายของเมฆ”
พร้อมกับว่า เขาหันหลังเปิดเสื้อให้ดูปานกลางหลังช่วงล่วงของลำตัว
“เมฆไม่มีปานแบบนี้ใช่มั้ย”
ปานวาดอึ้งมองตามที่หมอกบอก ก่อนอึ้งหน้าถอดสีอย่างถนัดใจ ช็อกสุดๆ หลินอึ้งไปเหมือนกันที่ได้ยินเช่นนั้น
ปานวาดอึ้งอยู่ทรุดลงนั่งอย่างคนหมดแรงกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
“ไม่จริงๆ ทำไมต้องทำกับวาดแบบนี้ด้วยทำไม”
ปานวาดร้องไห้คร่ำครวญน้ำตาไหลพราก หมอกเข้าไปปลอบพูดดีๆ ด้วย
“คุณก็รู้ว่าเมฆคนก่อนกับคนปัจจุบันนี้ มันต่างกันแค่ไหน ผมพยายามทำให้เนียนที่สุด แต่ผมก็ทำได้แค่นี้ คุณลองนึกดูดีๆ ก็แล้วกัน ตั้งแต่วันที่ผมกลับมาแล้วบอกว่าความจำเสื่อม ผมเหมือนเมฆคนเดิมรึเปล่า”
ปานวาดเริ่มคิดได้ ภาพจำต่างๆ ตั้งแต่ตอนที่เมฆกลับมาใหม่ๆ ประดังประเดเข้ามาในหัวเธอทันที เมฆเปลี่ยนไปจริงๆ โดยเฉพาะชอบความสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ และที่ผิดสังเกตสุดๆ คือเขาจับตะหลิว เคาะกระทะ ใช้หม้อทำกับข้าวอย่างแคล่วคล่อง เริ่มรู้สึกตามว่าไม่ใช่เมฆจริงๆ จึงตัดสินใจถาม
“ถ้าคุณไม่ใช่เมฆ งั้นแล้วตอนนี้เมฆอยู่ไหน”
หมอกยืนนิ่งมองประสานสายตากับปานวาดจังๆ โดยไม่ตอบ
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา หมอกพาปานวาดเดินเข้ามาในบ้าน ปานวาดเดินตามมาอย่างใจเต้น ลุ้นระทึก ไม่รู้ว่าเมฆตายแล้ว หมอกหันมาบอกกับปานวาด
“เมฆอยู่นั่น” พร้อมกับว่าหมอกชี้นิ้วบอก
ปานวาดเหลียวมองตาม เห็นโถกระเบื้องปิดปากมิดชิด เป็นโกฏิใส่เถ้ากระดูกเมฆวางอยู่บนชั้น
ปานวาดที่ยืนช็อกมองโกฏินั้นอยู่ โดยมีหมอกยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย”
“นี่คือเรื่องจริง คุณไม่ได้ฝัน และผมไม่ได้โกหกคุณ เมฆตายแล้ว”
ปานวาดครวญครางออกมาเสียงเบาหวิว ยากจะยอมรับได้
“เมฆ”
“เข้าไปสิ เขารอคุณมาหานานแล้ว”
ปานวาดเดินเข้าหาโกฏิช้าๆ ด้วยอาการเศร้าเสียใจถึงขีดสุด มือเรียวบางค่อยๆ ยื่นไปแตะโกฏิด้วยความรักที่มีต่อเมฆอย่างเหลือล้น พอได้สัมผัส น้ำตาแห่งความรักและอาลัยก็ถั่งโถมพรั่งพรูออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่...เมฆ”
ปานวาดครวญเรียกชื่อคนรักด้วยความอาลัยหา ก่อนจะก้มหน้าซบลงกับโกฏิปล่อยโฮออกมาโดยไม่อายใคร
หมอกมองปานวาดด้วยความสงสาร
ปานวาดร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ หมอกมองอยู่ถึงกับต้องเมือนหน้าหนีต่อภาพสะเทือนใจใหญ่หลวงตรงหน้า
ปานวาดคร่ำครวญหวนไห้อาลัยรักโดยไม่รู้เหนื่อย ภาพความรักความหลังของเธอกับเมฆประดังเข้ามา โดยเฉพาะของขวัญเซรามิคคู่แต่งบ่าวสาวที่เมฆให้เธอก่อนตาย
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ปานวาดนั่งพักใจสงบสติอารมณ์อยู่มุมหนึ่งที่หน้าบ้าน สักครู่หนึ่งหมอกจึงเดินเข้ามาหา
“หักอกหักใจซะเถอะครับ เมฆเค้าไปสบายแล้ว”
ปานวาดพยักหน้ารับเอาคำปลอบ ด้วยสีหน้าหมองเศร้า
“ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเมฆ เพราะอย่างงี้คุณถึงปลอมเป็นเมฆเพื่อจะสืบหาความจริงว่าใครเป็นคนฆ่าเมฆอย่างงั้นเหรอคะ”
“ใช่ครับ”
ปานวาดกลืนก้อนสะอึ้นลงคอ ก่อนหันไปถามหมอก
“แล้วรู้รึยังว่าใคร” น้ำเสียงนั้นแฝงความอาฆาตอยู่เต็มเปี่ยม
“ยังครับ แต่เบาะแสชี้ไปที่นายตะวัน เพราะเมฆมีความลับที่สามารถเอาผิดนายตะวันได้อยู่ในมือ เมฆเป็นคนบอกผมเองก่อนจะสิ้นใจ”
ปานวาดได้ฟังอึ้งไปอย่างแปลกใจ
“ความลับที่เอาผิดนายเหรอ”
“ใช่ เมฆแอบร่วมมือกับภัสสรจะหักหลังนาย นั่นคือเหตุผลที่บางทีนายตะวันอาจสั่งฆ่าเมฆได้”
“วาดไม่รู้เรื่องนี้เลย ถ้าอย่างงั้นอาจเป็นไปได้ที่นายจะสั่งเก็บ แต่นายให้ใครฆ่าเมฆล่ะ” ปานวาดเว้นช่วงให้ความคิดนิดหนึ่ง ก่อนบอกขึ้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ภูผา อาจจะเป็นภูผา เพราะวันนั้นเมฆไปทำงานกับภูผาสองคน แล้วภูผาก็มาบอกว่าเมฆหายไป”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ว่าอาจเป็นฝีมือภูผา”
ปานวาดพยักหน้าเห็นด้วย หมอกมองปานวาดอย่างชั่งใจอยู่อีกครู่หนึ่ง
“วาด ถ้าคุณรักเมฆจริง ก็ร่วมมือกับผมหาความจริงว่าใครเป็นคนฆ่าเมฆ คนที่มันทำกับเมฆ จะต้องชดใช้”
ปานวาดนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่
“ค่ะ วาดก็อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างที่พวกเราสงสัยกันอยู่รึเปล่า ใครกันแน่ที่ฆ่าเมฆ”
ประโยคหลังมีความอาฆาตแค้นอยู่ในน้ำคำนั้นเต็มเปี่ยม
หมอกยิ้มดีใจ
“งั้นก็ตกลงตามนี้เรามาร่วมมือหาคนที่ฆ่าเมฆกัน”
ส่งปานวาดขึ้นรถและกลับไปแล้ว หมอกเดินกลับเข้ามาในบ้าน เจอหลินนั่งรออยู่ และหันมาหาเมื่อได้ยินฝีเท้าที่เดินเข้ามา พร้อมกับถามขึ้น
“คุณเมฆตายแล้วจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่”
หลินสลดหดหู่ใจ
“ผมชื่อหมอก เป็นพี่ชายเมฆ เราเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน”
“งั้นตลอดเวลาที่คุณปลอมเป็นคุณเมฆเพื่อมาหาหลิน คือคุณต้องการหาของชิ้นหนึ่งที่มันเกี่ยวกับการตายของคุณเมฆใช่มั้ยคะ”
หมอกอึ้งไปนิด “ใช่ครับ ขอโทษด้วยที่โกหกคุณมาตลอด เมฆเคยบอกผมก่อนตายว่า ของสำคัญที่จะสาวไปถึงคนที่ฆ่าเขาอยู่ที่แจกันร้านคุณ ผมถึงไปหาคุณที่ร้านตลอด”
“หลินเข้าใจล่ะค่ะ”
“แต่ถ้าคุณยืนยันว่าไม่มี ผมก็คงจะต้องหาทางสืบอย่างอื่นต่อไป”
หลินสะดุดคำพูด ฉุกคิดขึ้นได้ แต่ยังไม่ยอมบอกไรอีก
“ค่ะ ในเมื่อหลินไม่มีของที่คุณต้องการ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณกับหลินจะต้องเกี่ยวข้องกันอีก หลินคิดว่าคงจะอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วไปหาที่อื่นอยู่ค่ะ หลินคงรบกวนคุณไม่นาน”
หมอกฟังแล้วอึ้งหนัก อยากจะบอกห้ามว่าอย่าไป แต่พูดไม่ออก จึงต้องฝืนพูดไม่ตรงกับใจออกไปแทน
“ก็ถ้าคุณมีที่อื่นที่ดีกว่าที่นี่ ก็ตามใจคุณละกัน”
“ค่ะ งั้นเราก็ความคิดเหมือนกัน ตามนั้นนะคะ”
หลินพูดจบก็เดินคลำๆ เข้าห้องไป ส่วนหมอกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่กล้าเผยความในใจออกไป
หมอกทิ้งตัวลงนอน ถอนหายใจด้วยอาการหนักใจอย่างที่สุด
“กับอีแค่บอกความในใจแค่นี้ มันยากมันเย็นแค่ไหนกัน”
แล้วออกอาการหงุดหงิดตัวเองอีก
ฝ่ายหลินนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน คิดทบทวนเรื่องของหมอก
ไล่เรียงเหตุการณ์ที่เธอได้เจอกับหมอกมาตามลำดับ นับจากหมอกปลอมเป็นเมฆมาหาที่ร้านดอกไม้ LIN ครั้งแรก หลอกถามเรื่องแจกัน จากนั้นเขาได้แอบเข้ามาในร้านอีกรอบ และได้ช่วยเธอไว้จากโจรชั่วที่จะมาข่มขื่น แอบย่องมาหาของในแจกันอีกเมื่อได้เบาะแสตอนคุยกันวันที่ไปทำบุญด้วยกันที่วัด หมอกมาช่วยเธอตอนนักเลงไล่ที่รอบ 2 จนกระทั่งเขาตามไปช่วยเธอจากการถูกนักเลงจับตัวไป
และสุดท้ายเธอได้รู้ความจริงว่าหมอกไม่ใช่เมฆ
“ค่ะ ในเมื่อหลินไม่มีของที่คุณต้องการ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณกับหลินจะต้องเกี่ยวข้องกันอีก หลินคิดว่าคงจะอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วไปหาที่อื่นอยู่ค่ะ หลินคงรบกวนคุณไม่นาน”
“ก็ถ้าคุณมีที่อื่นที่ดีกว่าที่นี่ ก็ตามใจคุณละกัน”
“ค่ะ งั้นเราก็ความคิดเหมือนกัน ตามนั้นค่ะ”
หลินเดินคลำทางเข้าห้องนอนไป
นึกทวนหวนย้อนเรื่องราวขึ้นมาแล้ว หลินให้รู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่ในที ตัดพ้อขึ้นกับตัวเองอย่างน้อยใจในโชคชะตาว่า
“เธอมันแค่สาวตาบอด ใครเค้าจะมาสนใจ”
หมอกตื่นแต่เช้า มาตระเตรียมอาหารอยู่ในครัวอย่างกระวีกระวาด สีหน้ายิ้มแย้มสุขใจ ไม่เท่านั้นหมอกยังจัดโต๊ะดูเป็นมื้อพิเศษกว่าทุกวัน มีแจกันดอกไม้ที่เก็บจากสวนวางประดับ อย่างมีรสนิยม
หมอกสำรวจความเรียบร้อย แล้วจัดช้อนที่วางไว้ให้เข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ ยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ แล้วนั่งลงรออย่างใจระทึก ด้วยคิดถี่ถ้วนตัดสินใจจะบอกความในใจกับหลินแล้ว
อึดใจต่อหาหลินจึงเปิดประตูออกมาจากห้อง หมอกหันไปยิ้มให้ ทว่าสีหน้าเปื้อนยิ้มขอเขาเจื่อนลงไปอย่างถนัดตา กลายเป็นตื่นตกใจอย่างที่สุด
หลินเดินออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า
“นั่นคุณจะไปไหน” หมอกตกใจไม่คลาย
หลินบอกอย่างเย็นชา “กลับบ้านค่ะ”
หมอกรีบลุกขึ้น เดินมาขวางเอาไว้
“จะกลับไปได้ยังไง คุณก็รู้ว่ามันอันตราย เกิดพวกนักเลงพวกนั้นมาอีกจะทำยังไง”
หลินประชดออกไป “มาก็มาค่ะ ก็ยังดีกว่าต้องมาอาศัยคนอื่นเค้าอยู่แบบนี้ให้เป็นหนี้บุญคุณกัน”
หมอกอึ้งไปถนัดตา เลยหาเรื่องเปลี่ยนประเด็น
“ก็ไหนบอกว่าจะหาที่อื่นที่ดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปไง”
หลินนึกน้อยใจ “หลินจะไปหาที่ไหนได้ละคะ ผู้หญิงตาบอดญาติก็ไม่มีแบบนี้ หาที่ไหนไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นหลินขอไปจากที่นี่ซะตอนนี้เลยจะดีกว่า”
“ก็ถ้าไม่มีที่ไหน ก็อยู่ที่นี่ไปเลยละกัน ผมโอเค คุณอยู่ที่นี่ได้ไม่มีปัญหา”
“อย่าดีกว่าค่ะ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ยิ่งเป็นบุญคุณกันเปล่าๆ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะตอบแทนคุณหมดมั้ย”
หมอกขัดใจนัก “ผมยังไม่เคยบอกสักคำว่า คุณต้องตอบแทนบุญคุณผม”
“ถึงคุณไม่เคยพูด แต่มันต้องติดที่ในใจหลินตลอดไป หลินยิ่งรู้สึกไม่ดีค่ะในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ญาติก็ไม่ใช่ แค่คนรู้จักที่เคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง แล้วจะให้หลินอยู่ที่ไปเรื่อยๆหลินทำไม่ได้หรอกค่ะ”
หมอกอึ้งไปอีกคำรบ
“ขอบคุณคุณหมอกละกันนะคะ สำหรับที่ผ่านมา หลินลาก่อนค่ะ”
หลินจะออกเดิน แต่หมอกกลับคว้ามือไว้
“อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ”
“ปล่อยหลินไปตามทางของหลินเถอะคะ ยังไงวันหนึ่งหลินก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองอยู่ดี สู้เผชิญหน้ากับปัญหาวันนี้เลยดีกว่า อย่างน้อยก็มีเวลาตั้งหลักที่รับมือกับมันได้”
ประโยคหลังบอกอย่างปลงตก ในชะตาชีวิตตัวเอง หมอกจำใจต้องปล่อยมือที่รั้งเธอเอาไว้ หลินถอนใจแล้วเดินจากมาอย่างตัดใจ หมอกมองตามอย่างอาลัย คิดหนัก
ในขณะที่หลินกำลังจะพ้นออกนอกประตู หมอกก็ตัดสินใจบอกขึ้น
“แล้วถ้าผมบอกว่า ผมอยากให้คุณอยู่ต่อ เพราะผมชอบคุณ คุณจะอยู่ที่นี่กับผมต่อได้มั้ย”
หลินชะงักอึ้งไปชั่วครู่
“ผมชอบคุณ อยากมีคุณอยู่ใกล้ๆ”
ใบหน้างามของหลินค่อยๆ คลี่ยิ้มสุขใจออกมาทันที เพราะเธอหันหลังให้หมอกจึงไม่รู้ ยังพลั่งพรูความรู้สึกในใจออกมา
“ผมมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคุณ แต่ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับผมก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ
หลินยิ้มหน้าบานดีใจสุดขีด ส่วนหมอกคอตกเมื่อหลินไม่ตอบคำเอาเลย หากแต่อึดใจต่อมา เสียงหลินดังขึ้น
“คุณหมอกบอกว่าชอบหลินเหรอคะ”
“ครับ ผมชอบคุณ ผมทำใจไม่ได้ถ้าคุณจะต้องจากผมไป”
หลินวางกระเป๋าลงข้างตัวช้าๆ
“คุณไม่ไปแล้วใช่มั้ย”
หลินยิ้มหวานหยด “ก็วางกระเป๋าแล้วนี่คะ คุณจะไม่มาช่วยเก็บเข้าไปเหรอ”
หมอกรีบมารับกระเป๋าไปถือไว้อย่างยินดี หลินคว้าหาตัวหมอกเกาะ ก่อนบอกขึ้นต่อว่า
“หลินกินเก่งนะคะ”
“กินเยอะแค่ไหนผมก็เลี้ยงไหว”
“แล้วเมื่อกี้เตรียมอาหารเช้าอะไรคะ”
หมอกประคองหลินเดินกลับเข้ามา
“ข้าวต้มกุ้งครับ”
“ฟังดูน่าอร่อยจัง”
“กินให้เยอะๆ นะครับ ผมจะได้ชื่นใจ”
หลินยิ้มเขิน ทั้งสองพากันเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารร่วมทานด้วยกันอย่างสุขสม
เวลาเดียวกันนี้ ปานวาดนั่งนิ่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่บนเตียงนอน สารรูปและสภาพที่เห็นดูออกว่านางยังไม่หลับไม่นอน ใบหน้าเลอะมาสคาร่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ปานวาดเริ่มเคลื่อนไหวหันไปมองที่ว่างข้างๆ บนเตียงนอน
ภาพจำของเมฆที่เคยคลอเคลียเคียงคู่ กันอยู่บนเตียงค่อยๆ ปรากฏขึ้น แต่ครั้นพอเอื้อมมือไปหาหมายจะสัมผัส ภาพจำนั้นก็พลันจางหายไป
ภาพตอนที่ตอนที่หมอกบอกว่าไม่ใช่เมฆ และพาเธอไปดูโกฏิของเมฆ ผุดซ้อนขึ้นมาไล่หลัง
ปานวาดอึ้งตกอยู่ในภวังค์นิดหนึ่งด้วยความถวิลหา อาลัยอาวรณ์ สุดท้ายปล่อยโฮออกมาอีกรอบด้วยความอาลัยรัก เพลงรักระหว่างปานวาดกับเมฆ ดังคลอในใจบรรยากาศเศร้าโคตรๆ
ปานวาดพาตัวเองลุกจากที่นอนมาเก็บของใช้ของเมฆที่ทิ้งไว้ในห้องลงกล่องด้วยสีหน้าหมองเศร้า แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นคัดมากองรวมกันเอาไว้ โดยไม่สามารถตัดใจทิ้งอะไรได้สักอย่าง มองข้าวของแล้วยิ่งเศร้า
ช่อดอกไม้ซึ่งเมฆเคยซื้อให้ในวาระสำคัญๆ ปานวาดนำเอาไปตากจนแห้งเก็บเอาไว้ และเอามากองรวมกันไว้ กลั้นใจเก็บเข้าตู้ล็อกกุญแจ
กรอบรูปบนโต๊ะหัวเตียงที่เป็นรูปถ่ายคู่กัน ปานวาดหยิบขึ้นดู เอามากอดด้วยความคิดถึงด้วยสีหน้าโศกศัลย์ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น
เป็นปราการยืนอยู่หน้าห้องพร้อมถุงของกินในมือ เขายืนคอยอยู่จนเห็นว่านานแล้ว จึงจะยกมือขึ้นกดอีกครั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำการ ประตูก็เปิดออกเสียก่อน ปราการยิ้มทัก
เมื่อเห็นว่าปานวาดเปิดประตูออกมารับในสภาพน้ำตานองหน้า สีหน้าที่กำลังเปื้อนยิ้มของปราการก็เจื่อนลงด้วยความตกใจเอาการ ก่อนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรวาด”
ปานวาดไม่ตอบ กลับขยับเข้าหาอิงซบกับอกปราการร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจในการจากไปของเมฆ ปราการอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกใจ ที่อยู่ๆ ปานวาดทำกับตนเองเช่นนั้น
ถัดมาปานวาดนั่งอยู่ในโถงรับแขก สีหน้าเริ่มดีขึ้น ปราการส่งแก้วน้ำที่เพิ่งไปรินจากตู้เย็นมาให้
“ขอบคุณค่ะ” เธอรับมาดื่ม
ปราการนิ่งมองปานวาดอย่างชั่งใจ
“มันเกิดอะไรขึ้นวาด บอกพี่ได้มั้ย”
ปานวาดเงยหน้ามองสบตาปราการ พลางนึกถึงคำพูดที่คุยกับหมอก
“วาด ถ้าคุณรักเมฆจริง ก็ร่วมมือกับผมหาความจริงว่าใครเป็นคนฆ่าเมฆ คนที่มันทำกับเมฆจะต้องชดใช้”
หมอกบอก ปานวาดนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ ตัดสินใจร่วมมือดด้วย
“ค่ะ วาดก็อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างที่พวกเราสงสัยกันอยู่รึเปล่า ใครกันแน่ที่ฆ่าเมฆ”
ปานวาดทำเป็นนิ่งคิด ก่อนตัดสินใจพูดออกไป
“วาดเลิกกับเมฆแล้วคะ”
ปราการตกใจ “ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
“เมฆเค้ามีคนใหม่ค่ะ”
ปราการอึ้งไปถนัดตา ลึกๆ ดีใจมาก ย้อนถามทีเล่นทีจริง
“เมฆมันแค่เล่นๆ เท่านั้นหรือเปล่า”
ปานวาดส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่ค่ะ ถึงขนาดย้ายไปอยู่ด้วยกันขนาดนั้น คงไม่แค่เล่นๆ แล้ว”
ปราการนิ่งคิดอีกนิดหนึ่ง
“แล้ววาดจะทำยังไงต่อไป”
ปานวาดเล่นละครต่ออย่างสมบทบาท “ในเมื่อเมฆเลือกที่จะอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ก็คงต้องจบกันแค่นี้”
ปราการเนื้อเต้นลอบยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนตีเนียนทำเป็นเห็นใจปานวาด
“ก็ดีแล้ววาด ในเมื่อเค้าไม่มีใจให้ ก็อย่ายื้อเค้าเอาไว้เลยดีกว่า”
ปานวาดมองสบตาปราการรู้ทันว่าเขาคิดอะไรกับหล่อน แล้วรีบแกล้งหน้าตายทำเป็นไม่รู้ บอกกับตัวเองในใจ อย่างอาฆาตแค้น
“ถ้าพี่เป็นคนฆ่าเมฆล่ะก้อ ฉันไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”
ปราการลอบยิ้มกับตัวเอง โอกาสของเขามาถึงแล้ว
“แล้วพี่ปราการมาหาวาดทำไมเหรอคะ”
“พอดีเห็นขนม จำได้ว่าวาดชอบเลยซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วก็จะมาบอกว่า วันอาทิตย์นี้นายเรียกประชุมนะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“น่าจะเป็นเรื่องที่จะค้ายากับพวกมาเฟียต่างชาติ”
ปานวาดพยักหน้ารับเอาคำ
“แต่ถ้าวาดไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ พี่จะบอกนายให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ วาดไหว วาดก็อยากเจอนายบ้างเหมือนกัน”
ปราการยิ้มรับเอาคำด้วยความยินดี โดยไม่รู้ว่าปานวาดจับสังเกตดูท่าทีเขาตลอดเวลา
ถึงวันนัดหมาย ภูผาเดินเข้ามาในบริเวณสวนสวยหน้าคฤหาสน์ แล้วต้องมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นปานวาดนั่งเหงาอยู่คนเดียวที่ริมสระน้ำ ก่อนที่จะหันมองหมอกที่เพิ่งเดินเข้ามา
หมอกกับปานวาดหันมาสบตากันโดยบังเอิญ แล้วแสดงสายตาเย็นชาต่อกันแว่บหนึ่ง ก่อนหมอกจะหันเดินหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากเจอหน้ากัน
ภูผามองทั้งสองอย่างแปลกใจ
ครั้นเมื่อหันมองปานวาดอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าปานวาดตกอยู่ในอาการเซื่องซึม หงอยเหงา ไร้ชีวิตชีวา ไม่ร่าเริงยิ้มหัวเหมือนเคย ภูผามองปานวาดอย่างพินิจพิเคราะห์
คาดเดาเอาว่าสองคนต้องมีเรื่องกันแน่ และมั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ด้วย
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
ตะวันแอบยืนดูเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากระเบียงชั้นสองของบ้าน ตะวันคิดหนัก รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างปานวาด และเมฆเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าอะไร ก่อนเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ตะวันหันตัวจากระเบียงไปมอง เห็นปราการเปิดประตูเข้ามา
"มากับครบแล้วครับนาย"
ตะวันพยักหน้ารับเอาคำ แล้วออกเดินจะออกจากห้อง แต่ขณะที่ผ่านปราการกลับชะงักหันไปถามขึ้น
"วาดกับเมฆมันมีเรื่องอะไรกันอีก"
ปราการอึ้งไปนิดเมื่อถูกถาม ก่อนตอบขึ้นว่า
“เลิกกันแล้วครับ”
ตะวันถามอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“เมฆมีคนใหม่ครับ”
“มันแค่เล่นๆ รึเปล่า” ตะวันไม่อยากเชื่อ
“ผมก็ถามแบบนี้ครับ แต่วาดยืนยันว่าคนใหม่จริงจัง เพราะเอาเข้าบ้านแล้วด้วย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้เมฆนี่จริงๆ เลย”
ปราการนิ่งฟัง ไม่แสดงความเห็นอีก
“งั้นก็ดูๆ วาดมันหน่อยก็แล้วกัน ท่าทางคงเสียใจอยู่ไม่น้อย”
“ครับ” ปราการรับคำโดยยินดี
ตะวันออกเดินนำออกจากห้อง ตรงไปยังห้องประชุม
ปิงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นตะวันกับปราการผ่านมา ปิงจึงรีบลุกขึ้นยืนรับหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักตะวันอย่างนอบน้อม
“หวัดดีครับนาย”
“อือม์”
ตะวันพยักหน้า รับเอาคำเสียงอยู่ในลำคอเดินผ่านไป แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าปิงนั่งลงอีกครั้ง หันมาถาม
“นั่งทำอะไร”
“ก็เฝ้าหน้าห้องนายครับ”
“ต่อไปทุกครั้งไม่ต้องให้ฉันเรียกอีก แกเข้าไปรับงานด้วยกันกับปราการเลย”
ปิงยิ้มแก้มแทบแตก ดีใจสุดๆ “ครับ”
ตะวันเดินเข้าห้องไปเลย ทิ้งให้ปิงหันไปยิ้มดีใจกับปราการอย่างคาดไม่ถึง
ปราการตบไหล่ให้กำลังใจปิง ก่อนเดินเข้าห้องไปด้วยกัน
ทุกคนอยู่ในห้องแล้ว ตะวันกำลังอธิบายเรื่องตัดสินใจค้ายากับมาเฟียต่างชาติ ให้ฟัง
“อาทิตย์หน้าเราจะต้องให้การต้อนรับลูกค้าต่างประเทศที่จะเดินทางมาเจรจาเรื่องค้ายากับเรา เพราะฉะนั้นพวกเราต้องให้การต้อนรับแขกที่มาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะความปลอดภัย จะต้องพยายามกันไม่ให้อัคคเดชตามมาก่อกวนได้” ตะวันหันมาทางปราการกับปิง “ปราการ ปิง แกคอยเป็นหูเป็นตาแทนฉันคอยให้การต้อนรับแขกด้วย”
ระหว่างที่ตะวันอธิบาย ภูผาแอบมองหมอกและปานวาดที่นั่งห่างกันคนละฝั่ง ไม่นั่งตัวติดกันเหมือนเคย และโดยเฉพาะปานวาดมีอาการมึนตึงปั้นปึ่งต่อกันอยู่ในที่
“ครับนาย” ปราการกับปิงรับคำ
ตะวันหันมาทางปานวาด “วาด”
เงียบไม่มีเสียงขานรับ ภูผาหันมองพบว่าปานวาดนั่งเหม่อ
ตะวันเรียกซ้ำเสียงดังขึ้น “วาด”
นั่นจึงทำให้ปานวาดรู้สึกตัว รีบหันมามอง
“คะนาย”
“ใจลอยไปไหน”
ปานวาดยิ้มหน้าเจื่อนๆ “ขอโทษค่ะ”
“วาดไปช่วยปราการกับปิงดูแลลูกค้า เพราะเธอได้ภาษา”
“ค่ะ”
ตะวันบอกต่อว่า “ภูผากับเมฆไม่ต้องไปงานนี้ แต่ให้ไปเตรียมตัวเรื่องรับยาที่ต้องรับของล็อตใหม่จากนายพลยี่เส่ง”
“ครับนาย” / “ครับคุณตะวัน” สองคนรับเอาคำขึ้นพร้อมกัน
ตะวันพูดสำทับขึ้นอีกว่า “และที่สำคัญ งานกับเรื่องส่วนตัว ขอให้ทุกคนในที่นี้แยกแยะด้วย ห้ามเอามารวมกันเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้เราทำงานกันเป็นทีมไม่ได้”
“ครับ” / “ค่ะ”
ทุกคนรับเอาคำ แต่ปานวาดกับหมอกก็ยังนิ่งๆ ภูผาแอบสังเกตปานวาดตลอดเวลา เห็นนางเศร้าอยู่ในทีก็ยิ่งสงสัย
ภูผาเดินใช้ความคิดออกมาอีกมุมหนึ่งในคฤหาสน์ เขาติดใจเรื่องปานวาดกับเมฆที่มีท่าทีแปลกไป สักพักปิงเดินออกมาปะหน้ากันพอดี ภูผาจึงทักถามหยั่งเชิง
“เมฆกับวาดเค้ามีเรื่องอะไรกันเหรอ วันนี้ถึงได้ดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
“อ้าว! พี่ยังไม่รู้เหรอ”
“รู้อะไร”
ปิงทำเป็นป้องปากแอบกระซิบกลัวคนได้ยินทั้งที่อยู่กันลำพัง
“ก็เรื่องพี่เมฆกับเจ๊ปานวาดไง พวกเค้าสองคนเลิกกันแล้ว”
ภูผาหูผึ่ง อึ้งไปนิด ตกใจหน่อยๆ
“จริงเหรอ”
“คราวนี้รับรองชัวร์ไม่มัวร์นิ่ม”
ถึงกระนั้นภูผาก็ทำหน้าไม่เชื่ออยู่ดี แกล้งถามอีกว่า
“แล้วแกไปรู้เรื่องของเค้าได้ยังไง”
“พี่ปราการเล่าให้ฟังพี่ เฮ้อ สงสารเจ๊เนอะ วันๆ คงเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง โดนพี่เมฆหักอก”
ภูผานิ่งคิด ถ้าปราการบอกน่าจะเป็นเรื่องจริง
อีกฟากหนึ่งกระป๋องที่ใช้เป็นเป้าซ้อมยิง ถูกยิงล้มทีละใบๆ อย่างแม่นยำ เจ้าของผลงานคือภัสสร อดีตเจ้าแม่เลาจน์ผู้ตกอับ ยิ้มอย่างพอใจ
คราวนี้กระป๋องถูกแยกตั้งสามจุด คนละทิศกัน ดูออกว่าเจ้าแม่เลาจน์คนดังตั้งใจฝึกยิงแบบรณยุทธ์ด้วยการเคลื่อนที่
ภัสสรหลับตาตั้งสติชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงลืมตาโพลงขึ้น พร้อมชักปืนยิง และเคลื่อนที่ไปด้วย ยิงนัดแรก แล้วพุ่งม้วนหน้ายิงนัดที่สอง พลิกเอียงตัวกลับมายิงนัดที่สาม มาดราวกับแองเจลิน่า โจลี่ กระนั้น
นัดที่สามนี้เอง พรชัยเพิ่งมาถึง ตกอยู่ในทางปืนจึงชะงัก สะดุ้งด้วยความตกใจ
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
“ขอโทษครับเจ๊” พรชัยสยองไม่หาย
“มีอะไร”
“มีข่าวนายตะวันครับ”
ภัสสรตาเบิกโพลง มองลูกน้องคนสนิทด้วยความสนใจ
“ข่าวอะไร”
“นายตะวันจะเจรจาค้ายากับต่างชาติครับ”
ในความดีใจ ภัสสรยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางถาม
“แล้วรู้เวลากับสถานที่หรือเปล่า”
“ทราบครับ”
ภัสสรยิ้มเหี้ยมเกรียมดีใจอีกครั้ง
“ดี วันนั้นจะเป็นวันตายของแก ไอ้ตะวัน”
ภัสสรหันไปเล็งยิงอีกกระป๋องที่เหลือ แม่นยำราวกับจับวางดังเคย
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ อัคคดชเรียกชบามาสอบถามเรื่องการสืบหาสายในหน่วย
“ตกลงได้อะไรคืบหน้ามาบ้าง”
ชบายิ้มหน้าเจื่อนๆ ก่อนบอกขึ้นว่า
“ยังไม่คืบหน้าอะไรเลยค่ะ”
อัคคเดชมองตาเขม็ง อย่างตำหนิอยู่ในที
ชบารีบแก้ตัว ประชดเจ้านายกลายๆ “หนอนนะคะ ไม่ใช่ไก่ย่างข้างถนนจะได้หาเจอกันง่ายๆ”
อัคดเดชมองตาขุ่นขวางอีกครั้งอย่างเอาจริง ชบาจ๋อย
“ผมถึงให้คุณหาไง”
“ก็กำลังพยายามอยู่นี่ไงคะ”
อัคคเดชพูดเหมือนปรารภกับตัวเอง “หรือว่าจะเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสาย”
“อาจเป็นไปได้คะ”
พลันมีเจ้าหน้าเอกสารในหน่วย นำโปสการ์ดมาให้อัคคเดช เห็นว่า มีชื่อ P ลงชื่อท้าย ชบาแอบมองเห็น ถึงกับทำตาโต
อัคคเดชนึกขึ้นได้ว่าชบาอยู่ด้วยจึงหันมาบอกขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรแล้ว ออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
ชบาลุกขึ้นเดินออกมา อัคคเดชมองตามเป็นเชิงตำหนิชบาที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
อัคคเดชเดินออกมาจากห้องทำงาน พร้อมบอกขึ้นว่า
“ผมจะออกไปข้างนอกนะ มีอะไรก็โทร.มา”
อ้อยรับคำ “ค่ะ”
ชบาเหลียวมองตาม ใช้ความคิดหนัก
“หรือว่าผู้กำกับจะไปพบกับไอ้หมอนั่น”
คิดดังนั้นแล้ว ชบารีบหันมาทางอ้อย “หมวดอ้อย ฉันไปข้างนอกก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
มนตรีดูอยู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ขอทำตามบ้าง
“หมวด ผมไปข้างนอกนะ”
อ้อยหันมามองหน้าจ้องตามนตรีเขม็ง บอกเสียงเขียวว่า
“ไม่ต้องเลยแก กลับไปนั่งที่ แล้วทำงานไป ไม่งั้นฉันจะทำบันทึกส่งนายว่าแกละทิ้งหน้าที่”
มนตรีมองค้อนท่าทีน่าขัน ยักษ์หัวเราะขำ
“ใจร้าย ทีคนอื่นล่ะก็ได้”
“ก็แกมันมีคดีเก่าอยู่ หรือจะเอา”
“ไม่ไปก็ได้”
พร้อมกับว่ามนตรีเดินเซ็งกลับมานั่งที่
ตรงจุดใกล้ๆ กับสถานที่นัดพบของอัคคเดชกับภูผา อัคคเดชแล่นรถเข้ามาจอดในนั้น ก้าวลงจากรถ เดินไปยังจุดนัดพบ โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าชบาแอบสะกดรอยตามมาห่างๆ ทางด้านหลัง
ชบาตามลุ้นชนิดเยี่ยวเหนียว ว่านางกำลังจะได้เจอกับภูผา
อัคคเดชเดินตรงไปยังจุดนัดพบกับภูผา โดยมีชบาแอบสะกดรอยตามมาห่างๆ ชบาลุ้นระทึก เมื่อเห็นอัคคเดชยืนรออยู่ สักครู่หนึ่งจึงมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาใส่หมวกหรุบปิดหน้า รูปร่างคล้ายภูผามากๆ ชบาใจเต้นโครมคราม จ้องมองด้วยความตื่นเต้น ลุ้นจนเยี่ยวเหนียว
“นายเสร็จฉันแน่”
แต่พอชายคนนั้นหันหน้ามา กลับไม่ใช่ภูผาอย่างที่นางคาดวาดหวังไว้ ชบาอึ้งไปเลย
“ทำไมไม่ใช่หมอนั่นล่ะ”
ชบาผิดหวังอย่างแรง อัคคเดชคุยกับชายใส่หมวกแล้วรับถุงขนมกับอาหารมา แล้วส่งเงินให้
“อ้าว คนส่งอาหาร จบกัน”
ชบาเซ็งโคตรๆ ถอนใจเฮือก หันกลับเดินคอตกจากมา
ภูผาซ่อนตัวอยู่อีกมุม แอบมองชบาแล้วยิ้มขำสะใจ
“ดีนะที่ผู้กำกับเตือนไว้ก่อน ไม่งั้นความแตกแน่”
อัคเดชกับภูผาสบตากัน มองชบาที่เดินออกไป
รอจนมั่นใจว่าหมวดแสบไม่อยู่แน่แล้ว อัคคเดชจึงเดินออกไปคุยกับภูผา
“แม่นี่แสบจริงๆ ครับ” ภูผาอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึง
อัคคเดชพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็แอบชื่นชมนางอยู่ในที
“คราวนี้คงเลิกสงสัยได้แล้ว” ภูผาพยักหน้าเห็นด้วย “ว่าแต่ มีเรื่องอะไรจะรายงานผมอย่างงั้นเหรอ”
“นายตะวันกำลังจะเจรจาค้ายากับต่างชาติครับ”
อัคคเดชฟังแล้วแค้น “ไอ้บ้านี่มันไม่รู้จักพอจริงๆ แต่ก็ดีจะได้จับมันมาลงโทษตามกฎหมายเสียที แล้วมันจะส่งยากันเมื่อไร”
“ยังไม่กำหนดครับ”
“งั้นได้เวลาพวกมันรับส่งยากันจริงๆ แน่นอนเมื่อไหร่ก็รายงานมา แต่ต้องชัวร์อย่าให้พลาดเหมือนคราวที่แล้วอีกล่ะ”
“ผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วครับ”
“งั้นการเจรจาครั้งนี้ เราจะขุดบ่อล่อปลาให้มันคุยกันไปก่อน เอาไว้ส่งของจริงๆ เมื่อไหร่ ค่อยตระครุบมันทีหลัง”
“ครับ”
ภูผารับเอาคำสั่งโดยยินดี
ฝ่ายชบากลับเข้าบ้าน นั่งหงอยมองปลาในตู้ เซ็งโคตรๆ ที่การสะกดรอยตามอัคคเดชไม่เป็นตามที่คิดไว้
“หรือว่าเราจะคิดไปเองว่านายภูผาเป็นสายให้ผู้กำกับ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงโจรโขมยจูบ
“ว่าแต่ตอนนี้นายทำอะไรอยู่น้า”
ชบามองดูปลา แก้คิดถึงภูผา เอากะนาง?
ทางด้านภูผาก็นั่งมองปลาในตู้แล้วนึกสงสารชบาวันนี้
“ยัยตัวซวย ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง” พอนึกๆ ไปก็ยิ้มออกมา
“แต่ก็น่ารักดีเนอะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือภูผาดังขึ้น เขาเดินมาดูตรงโต๊ะทำงาน เห็นว่าเป็นปานวาดโทร.มา ก็ออกอาการแปลกใจ ก่อนรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงปานวาดดังขึ้นเหมือนจะร้องไห้
“ออกมาเจอกันหน่อยได้มั้ย”
ภูผาจับน้ำเสียงนั้นได้ ตกใจเอาการ “เป็นอะไรวาด”
“วาดมีเรื่องจะปรึกษา”
ภูผาอึ้งไปด้วยสีหน้าแปลกใจ ขณะพยักหน้ารับคำนัด
โดยไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่าเขากำลังหลงกลมือปืนสาวหน้าหวาน ผู้ที่ความแค้นสุมแน่นเต็มอกในยามนี้
อ่านต่อตอนที่ 15