ล่าดับตะวัน ตอนที่ 6
เสียงโทรศัพท์ดังกระชั้นได้ที่ ก่อนที่ภูผาจะเดินเข้ามาหยิบดู พอเห็นเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นชื่อ เมฆ เขาก็อึ้งไป มองอย่างชั่งใจชั่วขณะหนึ่งจึงกดรับสาย เสียงที่ดังลอดออกมาเป็นเสียงของเมฆอีกด้วย
“ฉันจำได้แล้วว่าแกทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”
ภูผาได้ฟังแล้วต้องกลืนน้ำลายฝืดคอ นิ่งฟังต่ออย่างใจคอไม่ดี
“ถ้าแกเป็นลูกผู้ชายตัวจริงก็มาวัดกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่า แกกับฉันว่า ใครแน่กว่ากัน”
แล้วเสียงปลายสายก็กดตัดไปเลย ภูผาอึ้ง นิ่งงันไป สีหน้าบ่งบอกว่าตกใจถึงขีดสุด
รถภูผาแล่นเข้ามาจอดยังโกดังร้าง ภูผาชักปืนพกประจำตัวออกมาตรวจตราความเรียบร้อย จนมั่นใจว่าพร้อมใช้งาน เขาจึงก้าวลงจากรถ เดินเข้ามาในโกดังร้าง
ในนั้น เมฆปรากฏตัวออกมา ยืนมาดเท่ห์ๆ ประจันหน้าภูผา
“จะเอายังไง”
“ก็วัดกันให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป”
สิ้นคำนั้น เมฆชักปืนมายิงใส่ภูผาก่อนทันที ภูผากระโดดม้วนตัวหลบกระสุน มาดราวกับ พระเอกหนังแอ็คชั่นยังไงยังงั้น สองคนเปิดฉากสาดกระสุนใส่กันมาดโครตเท่ห์หนึ่งชุด ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างหาที่กำบัง
“แกไม่รอดหรอกภูผา แกเสร็จฉันแน่”
“เก่งจริง ก็เข้ามา ดูซิว่าใครจะเสร็จใครกันแน่”
สองคนกระหน่ำยิงใส่กันอีกครั้ง เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ หลอกยิงชิงเชิงแบบรณยุทธ์ จนกระสุน
ภูผาหมดก่อน แล้วหลอกให้เมฆยิงจนหมดกระสุนเหมือนกัน
จากนั้นทั้งสองจึงออกจากที่กำบังมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง แล้วโรมรันสู้กันด้วยมือเปล่า
จนกระทั่งจังหวะหนึ่ง เมฆชักมีดที่ซ่อนอยู่ในท้องแขน หรือที่อื่นออกมา จ้วงแทงภูผาเข้าที่ลำคอ เป็นทักษะการหลอกซ่อนอาวุธ ภูผาพยายามเข้าแย่งจะปลดอาวุธ แต่เมฆทักษะเหนือกว่า
ภูผาตกใจ ผงะถอย จนหงายหลังตกลงจากที่สูงไปยังพื้นเบื้องล่างท่าเดียวกับที่เมฆเคยตกตึกการการถูกภูผายิงสกัด
ภูผาสะดุ้งตื่น หายใจหอบถี่สีหน้ายังคงตกไม่หาย มองไปรอบห้องจนแน่ใจว่าตัวเองฝันร้ายไป จึงถอนใจโล่งอกออกมา แต่ก็เครียดอีกครั้งเมื่อนึกถึงเมฆที่กลับมา
เพราะมันเป็นฝันร้ายของภูผาชัดๆ
ทางด้านหมอกยืนมองเหม่อไปไกลลิบตา นึกถึงอดีตซึ่งนำเขามาปลอมตัวเป็นเมฆในตอนนี้ คิดแล้วหมอกมีหน้าเข้มมากขึ้น
ปานวาดลืมตาตื่นขึ้นมา มองไปข้างๆ พบว่าเตียงว่างเปล่าก็ตกใจ กลัวว่าเมฆจะหายไปอีก
“เมฆ”
ปานวาดถลาออกจากห้องนอน มองหาคนรัก จนเจอหมอกยืนเหม่ออยู่ที่ริมระเบียง
“เมฆ”
ปานวาดโผเข้าไปกอดหมอกจากด้านหลัง
“มายืนทำอะไรตรงนี้ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเมฆไม่ได้เข้าไปนอนในห้อง”
หมอกพยักหน้าแทนคำตอบ
“นี่ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ เมฆเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า”
ปานวาดแตะตัวหมอก เขาขยับหนีออกตัวว่า
“ผมนอนไม่หลับเลยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วาดมีอะไรรึเปล่า”
“วาดตื่นมาไม่เห็นเมฆ ตกใจหมดเลย กลัวว่าเมฆจะหายไปอีก”
หมอกเข้าใจความรู้สึกของปานวาดที่เสียเมฆไป เพราะหัวอกเดียวกัน
“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ไปไหน ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น”
ปานวาดนึกบางอย่างได้
“วาดนึกออกแล้วว่าทำไงเมฆถึงจะจำได้”
ปานวาดเอาตุ๊กตาแก้วซึ่งมีรอยร้าวและต่อด้วยกาว ของขวัญที่เมฆเคยให้แต่ปานวาดทำตกแตก
หมอกมองฉงน สีหน้าแปลกใจ “อะไร”
ปานวาดรู้สึกผิดหวัง “จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”
หมอกส่ายหน้า
ปานวาดเสียใจ “ของขวัญวันครบรอบ เมฆให้วาดไว้ก่อนจะไปทำงานให้นาย เแล้วยังสัญญากับวาดว่าเสร็จงานแล้วจะกลับมาฉลองวันครบรอบด้วยกัน”
หมอกฟังแล้วเศร้า สะท้อนใจที่เมฆไม่มีวันได้กลับมาหาผู้หญิงที่รัก ปานวาดกอดออดอ้อน
“ตอนที่เมฆหายไป วาดใจคอไม่ดีเลย กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเมฆอีก”
ปานวาดมองตาหมอกลึกซึ้ง ยื่นหน้าเข้าหาหมายจะจูบ ทว่าหมอกกับผละหนีไปดื้อๆ
“เป็นอะไร”
“ผมจะไปสืบหาว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากจะจำทุกอย่างได้เร็วๆ”
“วาดไปด้วย”
“อย่าเลย ผมอยากอยู่คนเดียว ผมไปก่อนนะ”
หมอกรีบออกไปทันที ปานวาดมองตามงงๆ แต่ไม่ได้สงสัยอะไรเลย เพราะยังดีใจที่เมฆปลอดภัยกลับมาหา แค่นี้นางก็ดีใจแล้ว
หมอกออกจากคอนโด โดยไม่รู้ว่าที่มุมหนึ่งปราการดักรออยู่ พอเห็นหมอกออกมาจากคอนโดปานวาดก็ปวดใจ
“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
ปราการแอบสะกดรอยตามหมอกไปห่างๆ
ฝ่ายภูผาเดินมาตามทางตรงไปยังร้านปลาคนเดียว ปิงแอบสะกดรอยตาม โดยที่ภูผาไม่รู้ตัว
ภูผาเดินมาดูปลาที่ร้านขายปลาร้านเดิม ปิงแอบดูอยู่ห่างๆ ยืนรอจนเบื่อ เริ่มหาว ภูผาหันมา ปิงรีบหันหลังทำเป็นดูของไป ภูผาจึงยังไม่รู้ตัวว่าโดนตาม มองปลาทองในตู้แล้วนึกถึงคำพูดของชบา
“ไม่มีเวลาก็เลี้ยงพวกที่มันไม่ต้องดูแลมาก อย่างพวกปลาทองซิ ใส่โหลมีอากาศให้หายใจก็อยู่ได้แล้ว แต่มันจะไม่ค่อยเจริญตาเท่าไรเพราะเลี้ยงได้แค่ตัวเดียว”
ภูผานึกถึงชบาแล้วยิ้มออกมา ปิงแอบมองอยู่
“เฮ้ย ท่าจะบ้ารึป่าวเนี่ย ยิ้มให้ปลาก็ได้ด้วย”
ภูผามองหาชบาไปรอบๆ ร้าน แต่ไม่เจอ
“วันนี้คงไม่บังเอิญ”
ภูผาดูปลาต่อ แล้วเห็นเงาสะท้อนของปิงในกระจกตู้ปลา จึงรู้ตัวว่าโดนตาม แต่ทำเนียนๆ ดูปลาต่อไป
โทรศัพท์จากตะวันโทร.เข้ามาหา ปิงจึงรีบหลบมุมรับสาย
“ครับนาย”
“เป็นไงบ้าง”
“พี่ภูผาเอาแต่ดูปลาครับ ไม่รู้จะดูอะไรนักหนา อยู่แต่ร้านขายปลาเลี้ยงครับนาย”
“ตามต่อไป อย่าให้คลาดสายตา”
“ครับ”
ปิงวางสาย เห็นภูผาออกจากร้านไป ปิงตามติด
ภูผานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ รอจนพนักงานมาเสิร์ฟกาแฟให้ ภูผานึกถึงวันก่อน ตอนชบาที่ยื่นแก้วกาแฟมาให้ ภูผารับมาดื่ม ปิงหลบมุมแอบมองอยู่อย่างไม่วางตา
อีกฟาก หลินสะพายกระเป๋าออกจากร้าน บอกกับป้าที่ขายของอยู่หน้าร้านว่า
“หลินไปสั่งดอกไม้ ฝากร้านด้วยนะคะ”
หมอกเฝ้ามองอยู่ห่างออกไปจากคนละฝั่งถนน เห็นหลินออกจากร้าน และเดินไปตามทางโดยใช้ไม้เท้า หมอกตามไป มีปราการแอบตามหมอกไปห่างๆ
หลินเดินสั่งซื้อดอกไม้พูดคุยยิ้มหัวกับพ่อค้าแม่ค้า มีพ่อค้าแม่ค้าให้ดอกไม้เป็นตัวอย่างติดมือมาเล็กๆ น้อยๆ หมอกแอบมองห่างๆ เห็นความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของหลิน อดสงสัยไม่ได้
“ผู้หญิงคนนี้เกี่ยวข้องกับไอ้เมฆได้ไง”
ปราการแอบดูหมอกอยู่ไกลๆ หมอกเดินตามหลิน โดยหลินไม่รู้ตัว
ระหว่างทางเดินกลับจากตลาดดอกไม้
หลินเดินกลับ
ชาย1 เห็นหลินตาบอด แกล้งเดินชนหลินแล้วล้วงหยิบกระเป๋าเงินไปอย่างรวดเร็ว โดยที่หลินไม่รู้ตัว
ชาย1 ยิ้มร้ายเดินหนีมา แต่มาเจอหมอกขวางหน้า หมอกคว้ามือชาย1 ที่ถือกระเป๋าสตางค์ของหลินขึ้นมา
“อะไรวะ”
หมอกจ้องหน้าเอาเรื่อง “กับคนตาบอดก็ไม่เว้น”
ไม่เท่านั้นหมอกยังบีบข้อมือเต็มแรง จนชาย1 ร้องลั่น ปล่อยกระเป๋าสตางค์หล่น
“โอ๊ย กลัวแล้ว อย่าทำผมเลย”
หมอกปล่อยมือ ชาย 1 กลัว ลนลานหนีไป
หมอกหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและตามหลินไป หมอกลังเลว่าหลินไม่น่าเห็นตนเพราะตาบอด หมอกยื่นกระเป๋าสตางค์ให้หลิน
“ขอโทษครับ คุณทำกระเป๋าเงินหล่น”
หลินตกใจ ว่าทำหล่นตอนไหน ยิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
หมอกส่งให้หลิน หลินรับไป ไม่รู้เลยว่าเป็นใครเพราะไม่เคยเจอมาก่อน
“ถ้าไม่ได้คุณช่วย ฉันคงแย่แน่ เอ่อ..ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณเลย นอกจาก...”
หลินยื่นดอกไม้ตัวอย่างที่ได้มาจากพ่อค้าแม่ค้าให้หมอก
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”
“รับไว้เถอะค่ะ ดอกไม้ถึงจะดูบอบบาง แต่ก็สามารถมอบพลังดีๆ ให้เราได้นะคะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณค่ะ”
สาวตาบอดคนสวยยิ้มสดใสให้อย่างจริงใจ หมอกอึ้งกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของหลิน รับดอกไม้มา
“ฉันไปก่อนนะคะ”
หลินเดินจากไป หมอกมองตามหลินไป มีปราการแอบมองอยู่ห่างๆ ในจังหวะที่หมอกมองหลิน บังเอิญสายตาแลเห็นปราการอยู่ไกลๆ หมอกหันไปมองปราการรีบฉากหลบ
หมอกรู้ตัวแล้วว่ามีคนตาม
ฝ่ายภูผาเดินชำเลืองมองหลังด้วยหางตา เห็นปิงยังตามมาห่างๆ ภูผาคิดแผน เดินเข้าร้านนวดแผนไทยไป ปิงไม่ได้ตามเข้าไป มองร้านแล้วดูว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย
ภูผารู้จักกับพนักงานในร้าน
“อ้าว คุณภูผา สวัสดีค่ะ”
ภูผาแอบออกด้านหลังร้าน พนักงานเปิดประตูหลังให้ออก
ปิงนั่งแกร่วรอหน้าร้าน ไม่รู้เรื่อง คิดว่าภูผาเข้าไปนวดตามปกติจึงนั่งรอต่อไป
ทันทีที่เจอหน้าและฟังความจบ อัคคเดชย้อนถามอย่างเคร่งเครียด
“ตะวันส่งคนตามคุณเหรอ”
ภูผากังวล “ครับ หรือว่ามันจะรู้ความจริงแล้วว่าผมเป็นสาย ทำไงดีครับ”
อัคคเดชนิ่งคิด บอกไปอย่างมั่นใจ
“ไม่น่าใช่ ถ้าตะวันรู้ มันฆ่าคุณทิ้งแล้ว”
ภูผาเห็นด้วย
“แสดงว่ามันระแวง ตอนนี้มันคงสงสัยผมด้วย เราอาจจะต้องระวังตัวกันมากขึ้น”
“ใช่ คนอย่างมันไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอก ต่อไปนี้คุณกับผมถ้าจะเจอกันคงไม่ง่ายแล้ว เราต้องระวังตัวให้ดี”
“ครับ”
ฝ่ายหมอกแกล้งเดินเตร่ไปที่มุมเปลี่ยว ปราการเดินตามห่างๆ หมอกเลี้ยวมุมตึก ปราการเลี้ยวตามมาแต่หมอกหายไปแล้ว ปราการเหลียวซ้ายแลขวา
“ทำไมมันไวนักวะ”
หมอกไม่ได้หายไปไหนเขาถือปืนจ่อหลังปราการ จนมีเสียงขึ้นนกดังขึ้นข้าง ปราการจึงชะงัก หน้าเครียด รู้ดีว่ามีปืนจ่อหลังพร้อมยิง
“อย่านะไอ้เมฆ ฉันเอง...ปราการ”
“ตามฉันทำไม”
“ฉัน ก็แค่ได้รับคำสั่งจากนาย ให้ตามดูว่าแกว่าความจำเสื่อมจริงรึเปล่า เก็บปืนก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า”
หมอกยอมเก็บปืน
“ไม่เชื่อเหรอ ว่าความจำเสื่อม”
“ถ้าแกพอจะจำได้ แกก็ต้องรู้ว่านายไม่ชอบคนโกหก ถ้าใครคิดไม่ซื่อกับนาย นายไม่ปล่อยไว้แน่”
“ฉันกลัวคนที่คิดไม่ซื่อกับฉันมากกว่า”
หมอกย้อนจ้องหน้าปราการ สงสัยในตัวปราการเหมือนกัน
“แล้วจะเอายังไง จะตามฉันต่อมั้ย ตามได้นะ เพราะฉันสบายๆ อยู่แล้ว”
ปราการหน้าแตก
“อ๋อ เชิญแกทำอะไรตามสบายเถอะ ฉันคงจะรีบกลับไปรายงานนาย”
“ว่า...”
“ว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยไง ฉันไปละ”
ปราการตบไหล่หมอกแล้วจากไป หมอกมองตามอย่างไม่ไว้ใจ
กลับถึงคฤหาสน์ปราการรีบไปรายงานตะวันทันที
ตะวันนิ่งฟังที่ปราการรายงานแล้วสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“เจ้าของร้านขายดอกไม้ น่าจะเป็นคนที่ไอ้เมฆชอบไปหา”
“ทำไมไอ้เมฆถึงต้องไปที่นี่ ตอนที่มันหายไป ไอ้ปิงก็ไปเจอตัวมันที่นี่เหมือนกันนี่นา มันต้องมีอะไรกับผู้หญิงตาบอดนี่แน่ๆ”
“เหมือนว่ามันเคยทำให้ผู้หญิงคนนี้ตาบอด มันเลยมีจิตนึกถึงตลอดรึป่าวครับนาย เพราะตอนแรกผมก็สงสัยว่ามันว่ามันความจำเสื่อมจริงรึเปล่า แต่พอเห็นมันเข้าไปคุยกับสาวบอดนั่น มันก็เข้าไปคุยแบบแบบห่างเหินมาก เหมือนไม่สนิทกันมาก่อน ผมว่ามันคงความจำเสื่อมจริงๆ ครับนาย”
ตะวันรับฟังแต่ยังไม่เชื่อสนิทใจตามประสาคนศัตรูเยอะ ขี้ระแวง
“แล้วไอ้ภูผาละครับ”
“ให้ปิงตามอยู่ แต่ไอ้ปิงมันบอกว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย”
CUT TO
ภูผาออกมาจากร้านนวด ทำท่าบิดเนื้อบิดตัวอย่างสบายตัว เหมือนว่าเพิ่งนวดเสร็จ ปิงหยิบโทรศัพท์โทร.หาตะวันรายงานความเคลื่อนไหว
“นายครับ ผมว่าท่าทางไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยนะครับ วันๆทำอะไรก็ไม่รู้ ชิลล์เกิ๊น คิดว่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้นสักหน่อย ว้า เซ็งเลย ..ครับๆ งั้นผมกลับเลยครับ”
ปิงวางโทรศัพท์แล้วเดินจากไป มองจากหางตาภูผารู้ว่าปิงไปแล้ว จึงยิ้มออกมา
คลับของภัสสรคลาคล่ำไปด้วยชายรักสนุก ภัสสรในมาดนางพญาเดินทักทายแขกใบหน้ายิ้มแย้ม จนกระทั่งพรชัยจะเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างให้ฟัง ภัสสรสีหน้าเครียดขึ้นมาเห็นถนัดตา
เรื่องที่พรชัยรายงาน มีนักเลงเด็กแก๊งดาวเหนือแอบขายยาให้ลูกค้าภัสสรในห้องน้ำ เป็นลูกค้าเกรดดี อยู่ในวัยทำงาน แต่งตัวภูมิฐานดูมีฐานะ
ภัสสรมาดักรออยู่ข้างหน้าห้องน้ำชายพร้อมพรชัย ฉีกยิ้มให้ลูกค้าที่เดินนำออกมา ก่อนจะยกมือขวางหน้าเด็กขายยาเอาไว้
“มีอะไร”
“กล้าดียังไง เอายามาขายในนี้” พรชัยถามนำ ตามด้วยภัสสร
“ไม่รู้หรือไงว่านี่เป็นคลับของหงส์ขาว”
เด็กแก๊งดาวเหนือไม่ยี่หระ “จะหงส์ขาว หรือหงส์แดงแล้วทำไม”
ขาดคำ ภัสสรชักมีดสั้นออกมาจ้วงแทงปักเข้าที่ต้นขาของเด็กส่งยา พรชัยและสมุนจับรวบตัวล็อกไว้ เด็กส่งยาดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
“ใครใช้แกมา” ภัสสรจ้องตาถาม
“ผมบอกแล้วๆ พี่เหนือ แก๊งดาวเหนือครับ”
ภัสสรอึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
วันถัดมา แป๊ะกงเปิดบ้านต้อนรับตะวันและภัสสร ตะวันมาถึงก่อนและก้าวลงจากรถ เดินมาพร้อมกับปรากรและปิง ขณะจะเดินเข้าตัวบ้าน ก็หันไปเห็นรถภัสสรแล่นเข้ามา ตะวันยิ้มเจ้าเล่ห์นึกสนุก หยุดรอ
ภัสสรเห็นตะวันจากในรถแล้ว ชักสีหน้าบอกบุญไม่รับ ขณะก้าวลงจากรถ ตะวันเปิดปากแขวะทันที
“ว้าว แต่งตัว ลืมดูอายุไปหรือเปล่า เป็นมนุษย์ป้าแล้วยังทำตัวเป็นวัยรุ่นอีก หนังหน้ามันไม่ให้แล้วมั้ง”
ภัสสรเชิดใส่ไม่สนใจ
ปิงดันปากเปราะเอ่ยชมขึ้น “แต่ผมว่า เจ๊สรใส่ชุดนี้ก็สวยดีนะครับ”
ตะวันหันมามองปิงตาเขียว ปิงหลบตาวูบ เสือกผิดจังหวะอีกแล้ว ภัสสรยิ้มหยัน เดินเชิดผ่านไป โดยไม่แยแส ตะวันหงุดหงิดหันไปพูดกับปราการและปิง แซวไล่หลัง
“ไม่ได้แก่อย่างเดียวโว้ย หูตึงอีกต่างหาก”
ภัสสรไม่สน ตะวันแขวะอีกดอก
“หรือไม่ บ้างทีก็กลัวจนขี้ขึ้นสมองไปแล้วก็ได้”
ภัสสรชะงัก ก่อนจะหันกลับมาสวนขึ้นว่า
“ไม่ใช่เพราะฉันกลัวแกหรอกนะตะวัน แต่โบราณว่า อย่าเล่นกับหมา เดี๋ยวหมาจะเลียปาก”
ตะวันหัวเราะขำ ยั่วไปอีกดอก แถมยังใช้สายตาเจ้าชู้ลวนลาม “ไม่ใช่แค่ปาก อย่างอื่นก็เลียมาหมดแล้ว”
ภัสสรของขึ้น ตาเขียวปั้ด สะบัดตูดเดินเข้าไปในบ้าน
ตะวันมองตามอย่างสะใจที่ยั่วเจ้าแม่เล้าจน์ในตำนานจนของขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 6
สีหน้าแป๊ะกงยามนี้บูดบึ้ง แสดงอาการไม่พอใจชัดแจ้ง เมื่อรู้เรื่องที่แก๊งดาวเหนือแอบมาขายยาในคลับของภัสสร
“นี่มันกล้าอย่างงั้นเลยเหรอ”
ที่นั่งคุยหารือกันอยู่ มีภัสสร และ ตะวัน ลูกน้องคนอื่นรออยู่ด้านนอก
“ไม่แค่นั้นนะคะ สรไปสืบมาแล้ว มันขายข้ามถิ่นมาเขตเราอย่างโจ่งแจ้ง เหมือนไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
“อย่างงั้นเชียวรึ” แป๊ะกงออกอาการโมโห “มิน่าผู้ใหญ่ถึงได้ติงมาว่าอย่าขายยาโจงแจ้งเกินไปนัก เกรงใจตำรวจบ้าง ที่แท้ก็เป็นฝีมือพวกดาวเหนือนี่เอง”
“คงเพราะคนบางคนเอาเวลาไม่ทำอย่างอื่นหมด เลยไม่มีเวลาดูผลประโยชน์ให้แก๊ง”
ตะวันรู้ว่าภัสสรหมายถึงตน จึงรีบออกตัวขึ้นบ้างว่า
“ผมกำลังจะจัดการอยู่พอดีครับ แต่แป๊ะกงเรียกมาคุยเสียก่อน”
“แก้ตัวหรือเปล่า เรื่องนี้เกิดมาตั้งนานแล้ว เท่าที่ฉันรู้ ไม่งั้นเรื่องจะถึงหูผู้ใหญ่จนตำหนิแป๊ะกงมาได้ยังไง”
ตะวันคุมแค้นมองภัสสรอย่างไม่พอใจ แป๊ะกงตัดบท
“เอ้า ไม่ต้องเถียงกัน เกิดเมื่อไรไม่สำคัญ สำคัญต้องยุติให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่งั้นอาจมีปัญหาเรื่องยากับนายพลยีเส่งที่จะส่งมาล็อตใหม่”
ตะวันรีบรับเอาคำนั้น “ผมจะรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุดเลยครับ”
ภัสสรมองตะวันยิ้มเยาะสะใจ
รถของตะวันแล่นไปบนถนนสายหนึ่ง ตะวันเอ่ยถามปราการที่นั่งรถมาด้วยกัน
“ปราการ แกรู้จักกับไอ้เหนือ หัวหน้าแก๊งดาวเหนือใช่มั้ย”
“ครับนาย ผมเข้าวงการมาพร้อมๆ มัน”
“งั้นไปคุยกับมันหน่อย บอกมันอย่าล้ำเส้น ข้ามเขตมาอีก ไม่งั้นได้เห็นดีกัน”
“ได้ครับ”
ปิงขับรถมาฟังอยู่ ยิ้มโรคจิตที่จะได้ทำงานอีกแล้น
ส่งตะวันกลับคฤหาสน์แล้ว เห็นรถปราการแล่นมาจอดที่ริมถนนหน้าตึกหลังหนึ่ง ปราการหันไปบอกกับปิงที่เป็นคนขับ
“อยู่นี่แหละ”
ปิงดับเครื่องจะตามลงไปด้วย ชะงัก
“ทำไมล่ะพี่”
“คนเดียวก็พอ”
ปิงเซ้าซี้เสนอหน้า “แต่คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายนะพี่”
ปราการมองสบตาปิง จนมันรู้ตัว “รอในรถก็ได้พี่ มีอะไรก็โทร.มาแล้วกัน ผมจะได้ไปช่วย”
ปราการส่ายหัว หันไปบังคับเด็กขายยาที่เอาตัวมาด้วยให้ลงจากรถไป
รังแก๊งดาวเหนือ เป็นโกดังในซอยลับตาคน อยู่ในซอยแยกแคบๆ มีทางเข้าออกได้สองทาง ไม่สามารถปิดล้อมไม่ให้หนีได้
ดาวเหนือกำลังเล่นเป่ายิ้งฉุบกินเหล้ากับสาวๆ ข้างกายอย่างสนุกสนาน จนต้องชะงักเมื่อลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบข้างหู
“มีคนมาขอพบพี่”
“ใครว่ะ”
มีเสียงหนึ่งตอบสวนดังขึ้นว่า
“ฉันเอง”
ดาวเหนือหันมอง เห็นเป็น ปราการ กับเด็กส่งยาในแก๊ง จึงมองด้วยสีหน้าตกใจแกมแปลกใจ ก่อนจะร้องทักขึ้นนำเสียงกวนตีน
“โอ้โหเพื่อน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นั่งๆ กินเหล้ากันก่อน”
ว่าพลางขยับไล่สาวข้างๆ ออกไป
“ไม่เป็นไร แค่มาคุยธุระเฉยๆ เสร็จแล้วก็จะกลับ”
“ตามใจ มีอะไรก็ว่ามา”
ปราการบอกเป็นงานเป็นการ “เด็กแกล้ำเส้น ข้ามเขตไปขายยาในเขตฉัน”
ดาวเหนือทำเป็นหันไปถามเด็ก “จริงเหรอวะ”
“ก็พี่เป็นคนบอกเองให้ไปขาย” เด็กเตือนความจำให้
“เออจริงด้วยว่ะ ไอ้กระผมสั่งคุณมึงไปเองจริงๆ ด้วย” ดาวเหนือลอยหน้าถามปราการ “แล้วมีปัญหาอะไรเหรอ”
ปราการยื่นคำขาดเสียงเข้ม ขู่ในที “ถ้าไม่อยากมีปัญหา ก็อย่าทำอีก”
ดาวเหนือไม่ได้ให้ราคา แถมมองหน้าเยาะหยันกวนตีนไปให้
“แล้วถ้าอยากมีปัญหาล่ะ มีอะไรอ๊ะเปล่า”
ขาดคำนั้น นักเลงร่างยักษ์ลุกขึ้นแสดงตัว มันสูงใหญ่กว่าคนธรรมดาจนปราการต้องแหงนหน้ามอง
ดาวเหนือบอกอีกว่า “แกเอาชนะลูกน้องฉันให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดกัน
ปราการถอนใจเฮือกใหญ่ กูว่าแล้ว
นักเลงร่างยักษ์ไม่รอช้า ปรี่เข้าเล่นงานทันที ทว่าปราการระวังตัวอยู่แล้วก่อนหน้าฉากหลบดูเชิงก่อน
ดาวเหนือหันไปเล่นเปายิ้งฉุบกับสาวๆ ต่อ ปราการปล่อยให้นักเลงร่างยักษ์บุกอีกสองสามครั้ง แล้วปล่อยทีเด็ดใส่หมัดเดียวน็อกนักเลงร่างยักษ์มันล้มทั้งยืน ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว อะเมซิ่ง
ดาวเหนือหันมามองแทบไม่เชื่อสายตา ปราการหันไปสบตาดาวเหนือ ยิ้มเยาะ
“ยืนรอหาพ่อมึงเหรอ ยังไม่เล่นมันอีก”
บรรดาลูกน้องดาวเหนือจึงกรูกันเข้าเล่นงานปราการทันที ปราการเตรียมพร้อมรับมือโดยไม่สะทกสะท้าน
เบื้องแรกของการต่อสู้ปราการเพียงปัดป้อง ป้องกันตัว ดูเชิง พอเห็นฝีมือว่าไม่เท่าไรเริ่มตอบโต้
หลายคนโดยเล่นงานลงไปกองกับพื้น ดาวเหนือเห็นยิ่งแค้นประกาศก้อง
“ใครล้มมันได้ กูให้แสนนึง”
ลูกสมุนตาโตลืมตาย ปรี่เข้ารุมยำ ปราการสู้พลางถอยพลางอย่างชุลมุน ด้วยโดนรุมจากทุกทิศทุกทาง คอยมองหาทางหนีทีไล่ไปด้วย จนสบโอกาสตีฝ่าไปที่ช่องนั้น แล้วหนีไปได้
ดาวเหนือตะโกนก้อง “ตามไป”
พวกลูกสมุนไล่ตามไป
ในตรอกข้างถนนใกล้บริเวณที่ปิงจอดรถรออยู่ ปราการหนีลงมาได้ แต่เจอกับสมุนดาวเหนือที่มาดักรออีกเพียบและสู้กันอีกรอบ ระหว่างนี้มีชายชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงเอะอะต่อยตีกัน จึงเปิดประตูมาดู พอเห็นก็รีบกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ไม่แน่มันอาจหยิบมือถือมาถ่ายคลิปแพร่ภาพสดทางเฟซบุ๊กด้วย
ปราการพยายามสู้ เอาตัวรอด เริ่มอ่อนแรงลงทุกที
ปิงไม่รู้อิโหน่อิเหน่เปิดเพลงเสียงดังลั่น ส่ายหัวโยกตามอย่างเมามัน ไม่เห็นที่ปราการสู้กับลูกสมุนดาวเหนือ จนเห็นรถตำรวจหลายคันแล่นมาปิดล้อมตรอก ปิงจึงหันมามองตามอย่างผิดสังเกต และเห็นปราการที่กำลังลุยอยู่กับลูกสมุนดาวเหนืออยู่อย่างชุลมุน
“ฉิบหายแล้ว”
กำลังตำรวจกระจายกำลังเข้าจับกุมพวกที่กำลังตีกัน ทั้งหมดหยุดชะงักให้จับกุมอย่างไม่มีทางเลือก เพราะถูกปิดล้อมไว้ และไม่มีทางหนี ปิงดูอยู่จากในรถ ตกใจกับภาพที่เห็น
“ซวยแล้วงานนี้”
ปราการหันมามองสบตาเป็นเชิงสั่งปิงให้รีบโทร.แจ้งนาย
เวลาเดียวกันนี้ชามก๋วยเตี๋ยวถูกเสิร์ฟลงตรงหน้าทีมเมฆาพยัคฆ์ทุกคนที่นั่งสลอนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางหน้าหน่วยเมฆาพยัคฆ์
อัคคเดชยิ้มบอก “กินได้”
“ขอบคุณครับ” / “ขอบคุณค่ะ”
ลูกน้องทั้งหน่วยรับคำขึ้นพร้อมกัน แล้วลงมือจัดการก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าด้วยความหิวโหย
ชบาชิมคำแรกแล้วชอบรสชาติ “อร่อย”
“ผมบอกหมวดแล้ว ร้านนี้เด็ด” มนตรีว่า
“งั้นขอเบิ้ลสองเลยแล้วกัน”
อัคคเดชหันขวับมามองด้วยหางตาไม่อยากเชื่อ จนเสียงโทรศัพท์อัคคเดชดังขึ้น
ผู้กำกับกดรับสายอย่างอารมณ์ดี “ว่าไง” เขานิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทวนคำขึ้นอย่างแปลกใจ “ปราการลูกน้องนายตะวันถูกจับอย่างงั้นเหรอ ข้อหาอะไร”
อีกฟากตะวันรับสายอยู่ที่ห้องทำงานในคฤหาสน์ ออกอาการตกใจที่ได้รู้เรื่องปราการ
“ถูกจับข้อหาก่อการวิวาท”
เสียงปิงดังออกมาว่า “ครับนาย”
ตะวันถอนหายใจอย่างระอาที่เกิดเรื่องอีก
“แกรออยู่ที่นั่นแล้วกัน เดี๋ยวฉันให้ทนายไปจัดการประกันตัวให้”
ปราการนั่งอยู่คนเดียวในห้องขังบนโรงพักท้องที่ สมุนของดาวเหนือที่โดนจับถูกขังอยู่ในห้องเดียวกัน กระจุกอยู่อีกมุมอย่างเกรงๆ ปราการเหลือบมองด้วยหางตา สมุนดาวเหนือพากันหลบตาวูบ กลัวในฝีมือ จนจ่าเวรเดินมาไขกุญแจห้องขัง แล้วร้องเรียกขึ้น
“ใครชื่อปราการออกมา”
ปราการลุกขึ้น เดินออกมา
ถัดมาปราการนั่งอยู่กับทนาย ทำเรื่องประกันตัวอยู่กับร้อยเวรในโถงกลางโรงพัก
“ไม่มีอะไร เดี๋ยวทำเรื่องประกันตัวเสร็จก็กลับบ้านได้”
ปราการยิ้มรับ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของร้อยเวรจะดังขึ้น ร้อยเวรกดรับสาย
“ฮัลโหล สวัสดีครับ ครับ กำลังพูดครับ” ร้อยเวรนิ่งฟังครู่หนึ่ง “ทราบแล้วครับ”
ร้อยเวรวางสายแล้วหันมาหาปราการที่กำลังเซ็นเอกสารให้ทนาย
“ขอโทษนะครับ ให้ประกันตัวไม่ได้แล้ว”
ปราการกับทนายหันมามองหน้าร้อยเวรอย่างตกใจ
ทนายถามงงๆ “ทำไมล่ะครับ”
“คือมีการขออายัดตัวมาจากหน่วยอื่น เราจึงให้ประกันตัวไม่ได้”
ปราการกับทนายมองหน้าสบตากันอย่างแปลกใจ ไม่ชอบมาพากลแล้ว
ประตูห้องสอบสวนบนโรงพักเปิดออก เผยให้เห็นอัคคเดชที่เดินเข้ามาในห้องนั้นพร้อมกับหมวดชบา ปราการกับทนายที่นั่งอยู่หันมองสบตากันอย่างแปลกใจ ชบาจอมล้นแอบเซลฟี่ตัวเอง ก่อนอัคคเดชจะหันมามองตาเขียวอย่างตำหนิ
“ทำอะไร”
เก็บภาพการสอบปากคำครั้งแรกเป็นที่ระลึกค่ะ
อัคคเดชส่ายหัวระอาเหลือ
“ไม่ได้เหรอคะ”
อัคคเดชมองตาเขม็งบอกเสียงต่ำๆ แต่เข้มข้นว่า “ไม่ได้”
ชบาจ๋อยแต่ไม่สนิท
พออัคคเดชจะนั่ง ชบาชิงตัดหน้านั่งแทนเสียก่อน จนอัคคเดชต้องกระแอมขึ้น ชบาหันมามอง จนรู้ตัวว่าไม่ใช่ที่ตัวเองรีบลุกให้ อัคคเดชส่ายหัวอีกครั้ง
ชบาจ๋อยสนิท อัคคเดชนั่งลง แล้วมองสบตาปราการก่อนบอกชมกึ่งประชดขึ้นว่า
“ฝีมือดีนี่ หนึ่งคนรุมสิบคนได้ด้วย”
ปราการแสยะยิ้มคล้ายรับเอาคำชมนั้น
ทนายสอดขึ้น “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสั้น แล้วขอไปให้การในชั้นศาล”
ปราการยกมือห้าม ประชดขึ้นบ้างว่า
“อย่าว่าแต่หนึ่งต่อสิบเลย หนึ่งต่อทั้งหน่วยก็ยังได้”
“ชะอุ้ย แรง”
อัคคเดชยิ้ม ย้อนกลับไปว่า
“ก็ขอให้เก่งจริงดังปากว่า ไม่งั้นงานนี้มีหวังได้ติดคุกหัวโตแน่”
ปราการจ้องตาตอบโดยไม่หวั่นกลัวแม้นสักน้อย
ทนายขยับออกมาหน้าห้อง คุยโทรศัพท์อยู่กับตะวัน
“ปราการเป็นไงบ้าง”
“ถูกผู้กำกับอัคคเดชอายัดตัวครับ”
ตะวันแปลกใจ ถามกลับเสียงเขียว ของขึ้นไปแล้ว
“อะไรนะ อัคคเดชมันมาเกี่ยวอะไรด้วย”
อัคคเดชทำการสอบสวนปราการ
“ให้ความร่วมมือดีๆ ดีกว่านะ จะได้วินๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
ปราการทำเมินไม่สนใจ
“ผมรู้คุณภัคดีต่อเจ้านายคุณ แต่เจ้านายคุณจะดีต่อคุณด้วยหรือเปล่า อันนี้คงต้องคอยดูกันต่อไป”
ปราการนิ่งมองสบตากับอัคคเดชอย่างท้าทาย อัคคเดชหันไปมอง เมื่ออยู่ๆ ทนายลุกเดินมาหา
“มีอะไร”
“คุณตะวันต้องการพูดด้วยครับ”
ปราการได้ยินก็ยิ้มมุมปากสะใจ
อัคคเดชถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในหัว
“หมวดชบา”
ชบาสะดุ้งโหยง
“ขา”
“คุยหน่อยสิ”
ชบาตกใจกว่าเก่า “หนูเหรอคะ”
อัคคเดชย้อน “ในห้องนี้มีชื่อชบากี่คนล่ะ”
ชบาเหลียวมองไปจนรอบห้อง แล้วยิ้มแหะๆ
“ช่วยพูดทำให้เขาเข้าใจด้วยนะว่า เรามีสิทธิ์กักตัวผู้ต้องหาไว้สี่สิบแปดชั่วโมง” อัคคเดชเปิดทาง
“ชะอุ้ย” ชบาเอาโทรศัพท์จากทนายมาพูดสาย
“ผู้กำกับให้ดิฉันคุยแทนค่ะ คุณตะวันมีอะไรก็ว่ามา”
ตะวันอยู่ในห้องทำงานที่คฤหาสน์ โกรธหน้าเขียว ที่อัคคเดชเลี่ยงไม่ยอมคุยด้วย แถมดันให้ตำรวจหญิงมาคุยแทน ตะวันคุมแค้นพูดนิ่มนิ่ง
“ขอโทษนะครับ ไหนว่าผู้ต้องหาถูกจับเรื่องตีกันในที่สาธารณะ ก็แค่โดนระวางโทษเองไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงถูกอายัดตัวด้วย”
เสียงชบาลอดออกมาแจ้วๆ “ผู้กำกับบอกว่า นานๆ จะได้ตัวพวกคุณมาโรงพักสักที ก็ต้องขอตัวไว้นานๆ หน่อยค่ะ”
ตะวันฉุนกึก แต่คุยเสียงนิ่งๆ เหมือนเดิม
“ทำแบบนี้ มันไม่เข้าข่ายหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือครับคุณตำรวจ”
“อุ้ย ไม่หรอกค่ะ ก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายให้ไว้เฉยๆ”
ไม่เท่านั้น หมวดชบางัดเอา tablet ขึ้นมาเปิดข้อกฎหมายอ่านให้ฟังอีกด้วย
“ฟังนะคะ...มาตรา 87 ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี ในกรณีความผิดลหุโทษ จะควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และที่จะรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น ในกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว และมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน หรือการฟ้องคดี ให้นำตัวผู้ถูกจับไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับถูกนำตัวไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา 83”
ตะวันรำคาญ “ผมรู้แล้ว”
“งั้นเป็นอันว่าเข้าใจแล้วนะคะว่า ทางเราสามารถกักตัวคนของคุณไว้เพื่อขอความร่วมมือในการสอบปากคำได้ 48 ชั่วโมง”
ตะวันแค้นแทบกระอักเลือด
“หากคุณไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเราก็เชิญร้องเรียนได้” ชบาเล่นลิ้น เว้นวรรคไปนิดหนึ่ง ก่อนถามขึ้นอย่างพาซื่อว่า “ต้องให้หนูบอกด้วยหรือเปล่าคะว่าต้องไปร้องเรียนที่ไหน”
ตะวันฉุนขาด ที่ถูกนายตำรวจหญิงย้อนเอา วางสายไปเลย ชบายิ้มชอบใจ
“ถึงกับมึนไปเลย อิอิ”
อัคคเดชฟังอยู่ สุดแสนที่จะทึ่ง ยิ้มชมชบา
“ทำได้ดีมาก เลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
ชบาหน้าบานเป็นจานดาวเทียม
ตะวันโทร.หาทนายระเบิดอารมณ์ใส่ทนายอีกรอบ
“ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องประกันตัวปราการออกมาให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”
สีหน้าตะวันโกรธถึงขีดสุด
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 6
ปานวาด หมอกในคราบเมฆ ภูผา และ ปิง ถูกเรียกตัวมาพบเป็นการด่วน ตะวันยืนหน้าเคร่งอยู่ตรงหน้าทุกคน
“พวกแกคงรู้เรื่องที่แก๊งดาวเหนือกันแล้ว”
ภูผา หมอก ปิง และปานวาด ต่างพยักหน้ารับเอาคำดังกล่าว
“พวกแกไปเตรียมตัวให้พร้อม เราจะลุยกับมันในรู้ดำรู้แดงกันไป”
ปานวาดแปลกใจมาก “นายจะออกโรงเองเลยเหรอคะงานนี้”
“อือม...พวกมันหยามเราแบบนี้ ถ้าฉันไม่ออกโรงเอง คนอื่นจะคิดว่าเรากลัว”
ภูผานิ่งฟังลอบยิ้ม โอกาสมาถึงแล้ว แต่หมอกดันโพล่งอาสาขึ้นมาว่า
“ไม่ต้องถึงมือนายหรอกครับ แค่ผมคนเดียวก็พอ”
ทุกคนอึ้ง แปลกใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภูผา
“แกจะอาสาเหรอเมฆ” ตะวันมองจ้องหน้า ลูกน้องความจำเสื่อม
“ครับ เพื่อพิสูจน์ความภักดีที่ผมมีต่อนายยังไงล่ะครับ นายจะได้หายข้องใจเรื่องที่ผมหายไปเสียที” ตะวันใช้ความคิดชั่วครู่หนึ่ง
“ก็ได้ เอาปานวาด กับปิงไปด้วยละกัน”
ปานวาด กะ ปิง รับคำ “ครับ” / “ค่ะ” ทันที
หมอกในคราบเมฆสร้างความแปลกใจให้ทุกคนอีกครั้ง
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมต้องการลงมือคนเดียว”
ที่แปลกใจยิ่งกว่าเก่าคือภูผา
“แกแน่ใจเหรอ” ตะวันถามย้ำ
“ครับ” หมอกหันมามองสบตาภูผาที่ลอบมองอยู่แล้วจงใจพูดบอกกลายๆ ว่า “ผมต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผมไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด”
ตะวันมองตามรู้ว่าหมอกต้องการสื่อสารกับภูผาเป็นการเฉพาะ ก็ยิ้มในสีหน้าอย่างชอบใจ
“ได้ในเมื่อแกมั่นใจเช่นนั้น ก็ตามใจ”
หมอกยิ้มรับอย่างยินดี
ภูผาคิดหนัก มองประเมินหมอก มันจะมาไม้ไหนของมัน แล้วมันจะไหวเหรอ บาดเจ็บอยู่ด้วย
ปานวาดเดินคุยออกมาที่รถกับหมอก
“เมฆจะไปคนเดียวจริงๆ เหรอ”
“ทำไม ไม่เชื่อฝีมือผมเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่สองคนย่อมดีกว่าคนเดียว ให้วาดไปช่วยนะ” ประโยคหลังเธอเสนอตัวช่วย
หมอกอึ้งไปนิดๆ และเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้อง
และเห็นจากหางตาว่า ภูผานั่นเองที่แอบยืนสังเกตอยู่ห่างออกมา
หมอกหันไปมองสบตาภูผาแว่บหนึ่ง ก่อนหันมาบอกปานวาดว่า
“ก็ดีเหมือนกัน”
ปานวาดยิ้มกว้างดีใจ
“แล้วเมฆจะลงมือเมื่อไหร่”
“คืนนี้”
ภูผาได้ยินชัด ก่อนจะเดินจากไป หมอกแอบมองตามด้วยหางตา ประเมินผลในใจว่า
“ไอ้หมอนี่ดูท่าทางสนใจวาดเป็นพิเศษ หรือว่ามันแอบชอบวาดอยู่”
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์เมฆ เวลาเดียวกันนี้ อัคคเดชคุยงานอยู่กับจ่ามนตรี มีทีมงานชายคนหนึ่งนำโปสการ์ดมายื่นให้ผู้กำกับ
“ของผู้กำกับครับ”
มันเป็นทำมือที่ภูผาทำขึ้นเองมาให้ ภาพในโปสการ์ดเป็นสถานที่นัดหมายระหว่างภูผากับอัคคเดช ลงท้ายด้วยตัวอักษร P
อัคคเดชรับมาดูแล้วรู้ทันทีว่าเป็นการนัดแนะด่วนจากภูผา
ชบาสังเกตเห็นทั้งหมด นางสงสัยมาก แต่ไม่พูดอะไร
ภูผารีบเอาข่าวสำคัญมาบอกอัคคเดช สองคนนัดเจอในสถานที่ลับตาไม่เคยซ้ำกันเลย
“พวกมันจะลงมือกันแล้วเหรอ”
“แค่เมฆคนเดียวครับ”
อัคคเดชแปลกใจเอาการ “คนเดียว”
“มันอาสาจะไปจัดการคนเดียว แต่อาจจะมี แฟนมันไปช่วยด้วย”
อัคคเดชอึ้งไป แปลกใจยิ่งกว่าเก่า
“แต่ก็ดีครับ เป็นโอกาสของเราแล้ว ที่จะรวบมัน ผมจะได้ไม่ต้องคอยเสียวสันหลังอยู่แบบนี้ว่ามันจะจำความได้เมื่อไร
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“มันจะลงมือคืนนี้ ผู้กำกับก็แค่ไปดักรอให้มันลงมือ ก่อนแล้วค่อยจับกุมมันก็พอ จะได้มีหลักฐานเล่นงานมัน”
“ได้ มีหลักฐานมัดตัวมันแบบนี้ยิ่งดี
ภูผาอยากจับเมฆมากเพียงใด ในใจก็เป็นห่วงปานวาดมากเพียงนั้น
ค่ำวันนั้นทุกคนถูกเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมหน่วยเมฆาพยัคฆ์เป็นการด่วน อัคคเดชเปิดไอแพดซึ่งมีแผนที่รังแก๊งดาวเหนือวางลงบนโต๊ะให้ทุกคนดู พร้อมกับสั่งการ
“จ่ามนตรีกับชบาประจำจุดเอ จ่ายักษ์ประจำจุดบี หมวดอ้อยกับผมจะอยู่ตรงนี้”
“ไปกันทั้งหน่วยแบบนี้ พวกมันมีกันเยอะเหรอครับผู้กำกับ”
“ใช่ คนเยอะ แต่เป้าหมายหลักคือคนนี้คนเดียว”
อัคคเดชเปิดภาพเมฆให้ดู
“ชื่อเมฆ คนของแก๊งอัคคี จับตัวมันมาให้ได้ ย้ำว่าจับเป็น ใครมีคำถามอะไรมั้ย”
ชบายกมือถามทันที
“ผู้กำกับรู้ได้ไงคะ ผู้กำกับมีสายอยู่ในแก๊งดาวเหนือหรือแก๊งอัคคีหรือว่าทั้งสองแก๊งคะ”
อัคคเดชสะอึกอึ้ง
“ถ้าผมมีสายก็ดีสิ หรือว่าผมจะส่งคุณไปเป็นสายดี ดูท่าทางสอดรู้สอดเห็น”
ชบาเหวอยิ้มเจื่อนๆ อัคคเดชกลุ้ม ปวดตับกับความช่างสงสัยของหมวดจอมรั่ว
นาฬิกาบนผนังห้องนอนปานวาดบอกเวลาว่าจะห้าทุ่มแล้ว ปานวาดนั่งรอคนรักอยู่อย่างกระวนกระวาย
“ทำไมยังไม่มาอีกน๊า...”
เธอยังออกอาการหงุดหงิด อยู่ไม่สุข จนในที่สุด อดใจไม่ได้ยกโทรศัพท์ขึ้นโทร.หาเมฆ แต่เสียงที่ดังตอบมากับเป็นระบบรับฝากข้อความ
ปานวาดหงุดหงิด ไม่พอใจ “เอาอีกแล้ว ไปคนเดียวแน่ๆ เลยแบบนี้”
ที่ถนนหน้าซอยรังแก๊งดาวเหนือ
ชบาสัปหงกอยู่ในรถที่จอดซุ่มอยู่บริเวณนั้น เพราะง่วงเต็มแก่ จ่ามนตรีที่นั่งคู่อยู่ที่นั่งคนขับ แอบมอง และกำลังจะหัวเราะขำ แต่ชบากับบอกดักคอขึ้นเสียก่อน
“รู้นะคิดอะไรอยู่ มีดาว” ชบาเอามือแตะบ่า “ถ้าหัวเราะถือว่าดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา”
มนตรีที่กำลังจะหัวเราะ อึ้งไปถนัดตา
“หมวดรู้ได้ยังไง”
“เคยดูหนังจีนหรือเปล่า เค้าเรียกว่าหลับแต่ตา แต่ใจไม่หลับ”
“แต่ผมว่านะ อีกเดี๋ยวหมวดก็ได้ไปเฝ้าเจ้าแม่กวนอิมแล้วแบบนี้”
ชบาลืมตาขึ้น มองค้อนมนตรี แล้วสะบัดหน้าไล่ความง่วง บ่นบ้าตามประสา
“ทำไมมันไม่ทำอะไรกันในเวลาราชการบ้างน๊า ทำนอกเวลามันไม่โอทีกันหรือไง”
มนตรีเห็นด้วย “ถูกต้องนะครับ”
ขาดคำนั้นเสียงวิทยุก็ดังขึ้น เป็นเสียงจากผู้กำกับอัคคเดช
“อินทรีเรียกหงส์หยก”
ชบาตอบรับ “หงส์หยกทราบ เปลี่ยน”
สองฝั่งคุยกัน จากรถที่ซุ่มอยู่ตรงแยกปากทางเข้าไปยังรังของแก๊งดาวเหนือ กับรถผู้กำกับอัคคเดชที่อยู่กับหมวดอ้อย
“ทางนั้นเป็นไงบ้าง”
“เงียบเป็นเป่าสากเลยคะ แมลงวันซักตัวยังไม่มี”
“จับตาดูไว้”
“รับทราบค่ะ”
จากจุดซุ่มในรถจ่ายักษ์
ก็มีเสียงอัคคเดชถามไปเช่นกันว่า “กระรอกเป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนกันครับ ยังไม่มีอะไรผิดสังเกต”
มีรถเอ็มพีวี กับรถตู้อีกคันแล่นผ่านหน้ารถของยักษ์เลี้ยวเข้าซอยไป จ่ายักษ์มองตามอย่างสนใจ โดยรถทั้งสองคันจอดที่รังแก๊งดาวเหนือ ยักษ์รีบรายงาน
“มีรถเข้าสองคันครับ สงสัยจะเป็นดาวเหนือ”
“จับตาดูเอาไว้” อัคคเดชสั่งเข้ม
รถแก๊งดาวเหนือสองคันนั้นแล่นเข้าไปด้านใน แล้วปิดประตู หมอกแฝงตัวอยู่ในเงามืดแอบดูอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนเขาพร้อมจะลงมือแล้ว
ในอาคารมีห้องควบคุมกล้องวงจรปิด โดยมีคนนั่งดูอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่หน้าจอ มันจะรีบวิทยุลงไปบอกคนข้างล่างอย่างทันท่วงที
หนึ่งในรถสองคัน เป็นรถที่ดาวเหนือนั่งมาด้วยคันหนึ่ง มาจอดที่หน้าอาคาร ก่อนดาวเหนือจะประคองสาวลงจากรถ คลอเคลียนัวเนียกันเข้าไปในตัวอาคาร โดยมีคนคอยเปิดประตูรับจากด้านใน
พอดาวเหนือผ่านเข้าไป จึงเผยให้เห็นว่าที่นี่เป็นทั้งโรงงาน เป็นโกดัง และเป็นที่อยู่อาศัยในเวลาเดียวกัน มีคนเฝ้ายามอยู่ข้างล่างอย่างเข้มงวด ดาวเหนือตรงเข้าลิฟต์ไปหยอกเอินสาวที่พามาด้วยไป
ยามร่างอ้วนหน้าประตูใหญ่ กำลังเพลินกับการดูถ่ายทอดบอลบนมือถือ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีปากกระบอกปืนจี้เข้าที่หัว เป็นหมอกที่อำพรางตัวปิดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า ปากกระบอกปืนสะกิดกระตุ้นให้ยามลุกขึ้นพาไปที่ประตูเข้าอาคาร
ลูกน้องที่อยู่ชั้นล่างราวสามสี่คนกำลังสังสรรค์เล่นไพ่กันอยู่ เมื่อเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น ทั้งหมดหันไปมองอย่างแปลกใจ ก่อนที่คนใครคนหนึ่งจะลุกเดินไปเปิดดู เมื่อประตูเปิดออกเผยให้เห็นยามยืนอยู่เป็นอันดับแรก จนหมอกที่อยู่แอบอยู่ด้านหลังโผล่หน้าออกมาพร้อมปืนติดที่เก็บเสียง ยิงใส่คนที่มาเปิดล้มลง พวกที่อยู่ที่โต๊ะหันมามองตาเหลือก วงไพ่แตกกระเจิง
หมอกจึงหันไปจัดการพวกที่เหลือที่กำลังจะชักปืนสู้รวดเดียวหมด เจ้ายามหน้าประตูที่เป็นโล่กำบังกำลังออกอาการกลัวจนฉี่ราด ก่อนจะสลบไปเอง
หมอกแสยะยิ้มหยันพวกมัน หน้าตาย
ภาพที่จอมอนิเตอร์ในห้องควบคุม เห็นเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชั้นล่าง คนคอนโทรลที่เฝ้าอยู่มองอย่างตกใจ ก่อนที่จะหันไปตะโกนบอกเพื่อนที่นั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟาอีกสามสี่คน
“มีคนบุกเข้ามา”
พวกที่โซฟาดีดตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ พากันชักปืนออกมาเตรียมต่อสู้ พร้อมกรูกันออกไปที่หน้าห้อง
สมุนดาวเหนือกรูออกมาลงบันไดไป ทิ้งคนคอนโทรลเฝ้ามอนิเตอร์ รั้งท้ายคุมเชิงอยู่ที่ชั้นนั้น ระหว่างนี้มีลิฟต์ทำงานมันค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมา คนคอนโทรลหันไปมองอย่างใจระทึก เมื่อประตูเปิดออก กลับเห็นเป็นยามหน้าประตูใหญ่
คนคอนโทรลมองฉงน ก่อนจะถูกยิงแสกหน้าจากหมอกที่แอบอยู่ด้านหลังยามอ้วน แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา พยักหน้าสั่งให้ยามอ้วนกดลิฟต์กลับลงไป
ยามสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูชั้นบนที่พักของดาวเหนือ มองหน้ากันอย่างแปลกใจเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ทั้งสองชักปืนออกมาเตรียมพร้อมยิง พลางมองหน้ากันแล้วให้สัญญาณเปิดประตูพร้อมๆ กัน เล็งปืนใส่คนก็ตามที่อยู่หลังประตูนั้นกะยิงให้ไส้แตก
ประตูเปิดออกกลับมีแต่ความว่างเปล่าให้เห็น ทั้งสองผงะแปลกใจ
หมอกนอนราบอยู่กับพื้นเล็งปืนใส่ทั้งสองคนก่อนจะลั่นกระสุนแสกหน้าด้วยปืนคู่ ทั้งสองล้มลงทั้งยืน
หมอกจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านในปิดประตูลงเบาๆ
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 6
ดาวเหนือนอนคว่ำร่างให้สาวที่หิ้วมาด้วยนวดตัวให้อยู่ จนมีปากกระบอกปืนมาจ่อที่ท้ายทอย ดาวเหนือคว้าปืนใต้หมอน แต่ปากกระบอกปืนกระทุ้งที่หัวเป็นเชิงบอกว่าอย่าขยับ ทำให้ต้องชะงัก ขณะที่เด็กสาวกลัวจนตัวสั่นกระโดดลงไปหลบอยู่มุมหนึ่งของห้อง
“ช้าๆ”
ดาวเหนือทำตามอย่างหมดทางเลือก หมอกรับเอาปืนไป ก่อนส่งโทรศัพท์ให้
“โทรไปเบอร์นี้”
ดาวเหนือทำตามอย่างรู้ตัวว่าชะตาถึงฆาต
เสียงโทรศัพท์มือถือที่กำลังดังกระชั้นถี่ๆ เรียกให้ตะวันที่กำลังละเลียดไวน์อยู่รีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
หมอกส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้พร้อมกับออกคำสั่ง “อ่านตามนั้น”
ดาวเหนือรับเอาไปอ่านอย่างใจไม่ดี
“ผมขอโทษที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องก็ได้ เพราะแกคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”
ตะวันยิ้มพึงใจ แล้วกดวางสายไป
ฝ่ายดาวเหนือกลืนน้ำลายฝืดคอ ถูกหมอกหยิบเอาโทรศัพท์คืนไป แล้ววินาทีต่อมาประตูห้องก็เปิดออก เห็นพวกที่ลงไปข้างล่างยืนอยู่ ก่อนหนึ่งในกลุ่มจะเปิดฉากยิงใส่หมอกก่อน หมอกรีบกระโจนหลบไปทางเดียวกับน้องหนูที่อยู่กับดาวเหนือก่อนหน้า กระสุนปลิวไปโดนเจ้าหล่อนตายคาที่ หมอกตั้งหลักได้รีบยิงสู้
เสียงปืนที่ดังขึ้นเรียกให้กลุ่มของอัคคเดชรู้ตัว อัคคเดชรีบเปิดประตูลงมาจากรถเช่นเดียวกันกับหมวดอ้อย ผู้กำกับสั่งการทางวิทยุ “มันลงมือแล้ว ปิดล้อมจับมันให้ได้”
ชบากับมนตรีตกใจเสียงปืน รีบลงจากรถเช่นกัน จ่ายักษ์ได้ยินเสียงปืนก็รีบลงจากรถ
หมอกยิงสู้กับบรรดาลูกสมุนดาวเหนือ แล้วอาศัยจังหวะได้เปรียบยิงเก็บทีละคน พร้อมกับหนีไปรอบๆ ห้อง คนสุดท้ายล้มทั้งยืนเมื่อถูกยิงแสกหน้า
เวลาเดียวกันนี้ที่ด้านนอกตัวอาคาร อัคคเดชกับทีมกำลังชาร์จเข้าหาตัวอาคารพร้อมอาวุธในมือ อัคคเดชออกคำสั่งด้วยมือให้ลูกทีมกระจายกันไปรอบอาคาร โดยให้จ่ายักษ์จับหมวดอ้อยไปทางขวา แล้วให้ชบากับมนตรีไปทางด้านซ้าย ในขณะที่ตัวเองเข้าทางประตูหน้าคนเดียว ทั้งสองทีมทำตาม
อัคคเดชค่อยๆ ย่องเงียบเข้าหาประตูหน้า
อัคคเดชเดินเข้าไปด้านในอาคาร เห็นพวกที่ถูกหมอกจัดการนอนตายอยู่เกลื่อนห้อง ก็ตะลึง ฝีมือมันเหนือชั้นกว่าที่คาด ผู้กำกับหันมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จนมีเสียงลิตฟ์ดังขึ้น ก่อนประตูจะเปิดออกช้าๆ อัคคเดชหันไปเล็งปืนใส่อย่างระวัง
หากแต่พอประตูเปิดออกเขากลับพบแต่ความว่างเปล่า โมงยามนั้นเองใครคนหนึ่งก็จู่โจมเข้าแย่งปืนจากเขาไปด้วยเทคนิคเหนือชั้น พริบตาเดียวปืนในมือถูกหมอก แย่งไปถอดแยกชิ้นส่วนออกอย่างว่องไวและง่ายดาย
อัคคเดชมองด้วยสีหน้าตกใจเหลือคณา แต่กระนั้นก็ไม่ยอมละความพยายาม ตรงเข้าสู้ด้วยมือเปล่าอีกครั้งเพื่อทำการจับกุม หมอกสู้ด้วยทักษะขั้นเทพ แล้วชกจนอัคคเดชตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนจะชักปืนเล็งใส่ ผู้กำกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจที่ปืนจ่ออยู่ตรงหน้า
หมอกมองดูตราตำรวจที่ห้อยอยู่ที่คออัคคเดชจึงรู้ว่าเขาเป็นตำรวจ เลยทำมือสั่งให้เงียบเสียงแล้วให้หมอบราบไปกับพื้น แล้วจะค่อยๆ ถอยออกไปทางประตูหน้า ก่อนที่ทั้งสองทีมที่แยกไป จะบุกชาร์จเข้ามาในตัวอาคาร ชบาที่นำมาคนแรกเห็นหลังไวๆ ของหมอกที่กำลังจะพ้นออกประตูจะแล่นตาม
อัคคเดชรีบห้ามไว้ “อย่าตาม”
ชบาเบรกตัวโกร่งหันมามองอย่างงๆ
“ทำไมล่ะคะ”
“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้เค้าหรอก”
ผู้กำกับชี้ให้ดูศพที่นอนตายอยู่เกลื่อนพื้น
จ่ายักษ์มองอย่างเหลือเชื่อ “แสกหน้าทั้งนั้นเลย”
ชบามองตามเห็นจริงดังที่ยักษ์ว่า อัคคเดชลุกขึ้นเก็บปืนที่ถูกถอดแยกชิ้นส่วน
“นี่มันปลดปืนผู้กำกับด้วยเหรอครับ” มนตรีอึ้งหนัก
อัคคเดชพยักหน้า “ผมถึงบอกไม่ให้ตามไง”
ทั้งทีมอึ้งไปถนัดตากันทั้งแถบ
คฤหาสน์ทั้งหลัง แทบลุกเป็นไฟ ตะวันโกรธจัด
“ไอ้อัคคเดชมันรู้ความเคลื่อนไหวของเราได้ไง”
ปราการ และภูผาต่างพากันเครียดตาม ปิงวิ่งเข้ามาพร้อมมือถือที่เพิ่งคุยสายเสร็จ
“ปานวาดโทร.มาบอกว่าพี่เมฆไปคนเดียว เอาไงดีครับนาย ตำรวจเพียบอย่างนั้น พี่เมฆไม่รอดแน่”
“ติดต่อไอ้เมฆรึยัง”
“ติดต่อไม่ได้เลยครับ ไม่รู้เป็นหรือตาย” ปราการบอก
“ผู้กำกับอัคคเดชมาเอง ท่าจะรอดยาก แน่ๆ ครับ”
มีเสียงหมอกพูดขัดภูผาขึ้นมาว่า “เสียใจด้วยที่ฉันยังไม่ตายง่ายๆ”
ภูผาตกใจเหมือนเห็นผี ที่เมฆรอดตายจากอัคคเดชมาได้
ตะวัน ปราการ และปิง ต่างก็ตกใจ
ปราการอุทานเหลือเชื่อ “ไอ้เมฆ”
ปิงร้องลั่นด้วยความดีใจ “พี่”
ตะวันยิ้มพอใจมาก
“ทำดีมาก”
ภูผามองหมอกอย่างจับผิด มันรอดได้ไงว่ะ หมอกจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง
เช้าวันต่อมา ตะวัน ภัสสร และ หมอก นั่งอยู่ต่อหน้าประมุขแก๊งอัคคีในห้องรับแขก แป๊ะกงยิ้มร่าอย่างพึงพอใจเมื่อได้ทราบข่าวเรื่องแก๊งดาวเหนือถูกจัดการจนลุกมาเป็นเสี้ยนหนามไม่ได้แล้ว
“ทำได้ดีมาก”
หมอกยิ้มมุมปากรับเอาคำชม ปล่อยให้ตะวันโชว์เดี่ยว ใช้ความสามารถเขาเป็นเครื่องประจบแป๊ะกงต่อ
“นี่ขนาดความจำเสื่อมนะครับเนี่ย”
“เหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ผมจำอะไรไม่ได้เลยครับ คงต้องถามนายจะดีกว่า” หมอกออกตัว เปิดช่องให้ตะวันอีกรอบ
“ผมใช้ให้เจ้าเมฆกับเจ้าภูผาไปจัดการฆ่าไอ้อัคคเดช แต่ดันทำพลาดกันซะได้ หลังจากนั้นไอ้เมฆก็หายตัวไป พอกลับมามันก็ความจำเสื่อม ดูจากร่องรอยตามตัวมัน ก็สันนิษฐานว่าน่าจะตกลงมาจากตึกที่ให้มันไปซุ่มยิง”
หมอกฟังด้วยความตั้งใจเก็บข้อมูล ภัสสรฟังแล้วแทบไม่อยากเชื่อ คิดว่าเมฆแผนสูงรึป่าว? แป๊ะกงเองก็นึกสงสัยจนต้องซักถามเป็นชุด
“ตกลงมาเหรอ ตกมาได้ไง แล้วใครทำแกล่ะ จำไม่ได้เลยรึ นี่ฝีมือพระกาฬอย่างแกยังถูกคนเล่นงานได้อีกเหรอ”
“ถ้าโดนลอบกัด เก่งแค่ไหนก็ไม่รอดหรอกครับ” หมอกว่า
“ลอบกัด” แป๊ะกงสะดุดหู มองหน้าตะวัน รู้กัน “เรื่องนี้เราคงต้องคุยกันละเอียดหน่อยนะตะวัน”
“ครับท่าน”
แป๊ะกงไม่อยากพูดอะไรต่อหน้าหมอก ไว้ค่อยคุยส่วนตัวกับตะวัน จึงเปลี่ยนเรื่องหันไปสั่งภัสสร
“หมดเรื่องแก๊งดาวเหนือแล้ว เรื่องรับยาจากนายพลยีเส่งก็ดำเนินการต่อได้นะภัสสร”
“ค่ะแป๊ะกง งั้นสรขอภูผามาทำงานด้วยนะคะ”
แป๊ะกงคิดปราดเดียว “เอาซิ”
“ขอบคุณค่ะ”
ภัสสรยิ้มเยาะตะวันอยู่ในที ตะวันมองสบตายิ้มหยามคล้ายมีแผนอยู่ในใจ
ปราการยังไม่ได้รับการปล่อยตัว และยังถูกอายัดตัวอยู่ ตะวันคุยกับหมอก ข้างรถที่ปิงเคลื่อนมารอรับ ด้วยสีหน้าชื่นชม
“ทำได้ดีมาก”
“คราวนี้นายก็คงหายระแวงผมแล้วนะ เรื่องที่ผมหายไป”
ตะวันยิ้มเยือกเย็นคิดในใจ กูยังไม่ได้หายสงสัยว้อย แต่พูดออกไปอีกคำ
“อย่าเรียกว่าระแวงเลย เรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
หมอกยิ้มรับทราบ
“แล้วก็ต้องขอชมว่า ฝีมือแกดีขึ้นมาก”
“ศัตรูแยะ ก็ต้องพัฒนาเพื่อความอยู่รอดครับ”
“ไม่มีอะไรแล้ว แกก็กลับไปพัก แล้วเตรียมตัวให้พร้อม เพราะอีกไม่นานจะมีงานใหญ่อีก”
“ครับ”
ตะวันตบไหล่หมอกแล้วขึ้นรถไป หมอกปิดประตูให้ มองตามรถจนเคลื่อนออกถนนไป
หมอกยืนนิ่ง จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทันทีที่รถตะวันลับตาไป พอหยิบมาดู เห็นเป็นเบอร์ภัสสรโทร.เข้ามา หมอกอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนกดรับ
“ฮัลโหลครับ”
เสียงภัสสรดังมาว่า “มาเจอกันหน่อยซิ”
หมอกมองหา เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในที่เดียวกัน จนเห็นภัสสรยืนยิ้มอยู่หน้าประตูบ้านแป๊ะกงมองมาที่ตน
ภูผาอยู่ที่ยิมในคฤหาสน์ตะวัน ถอดเสื้อโชว์นมเกือบชมพู ซ้อมมวยมาดเท่ นึกถึงตอนเห็นหมอกรอดกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหงุดหงิด กระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น ภูผาหยุดซ้อม เดินมาหยิบกดดู เห็นเป็นเบอร์ตะวันโทร.มา
ภูผาแปลกใจนิดๆ ก่อนกดรับสาย
“ครับคุณตะวัน มีอะไรเหรอครับ”
ตะวันคุยโทรศัพท์ในรถที่ปิงขับแล่นมาตามทาง
“แค่โทร.มาเตือนว่า เรื่องที่เคยขอให้ทำน่ะลืมหรือยัง”
ภูผาจำได้ “เรื่องเจ๊ภัสสรใช่มั้ยครับ ไม่ลืมหรอกครับ แต่ยังไม่มีกำหนดลงมือนี่ครับ”
“งั้นก็ตกลง คอนเฟิร์มนะว่ายังเหมือนเดิม”
“ครับ”
ตะวันวางสาย ยิ้มกระหยิ่ม ก่อนจะหันไปถามปิงเรื่องปราการ
“แล้วปราการจะได้ปล่อยตัวเมื่อไร”
“พรุ่งนี้ครับ”
ตะวันพยักหน้ารับรู้
คลับ หรืออีกนัยหนึ่ง ซ่องไฮโซ ของภัสสรคึกคักทุกค่ำคืน แขกชายร่างสันทัดซุกไซ้คลอเคลียสาวสวยทรงเซ็กซ์ตามโต๊ะใต้แสงสลัว หมอกเดินเข้ามาในบรรยากาศชวนเสียตัวนั้น ด้วยสีหน้าอึดอัดขัดเขินกับภาพที่เห็น
แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อหันไปเจอมาม่าซังแต่งหน้าฉ่ำ อวดเนินนม ฉีกยิ้มกล่าวทักขึ้นอย่างคุ้นเคย
“อุ๊ยตาย เฮียเมฆ หายไปนานเลยนะคะ นึกว่าลืมน้องที่นี่ไปแล้วเสียอีก”
หมอกยิ้มเจื่อนๆ แก้เขิน แล้วรีบเข้าเรื่อง “คุณสรล่ะ”
“อยู่ข้างในคะ”
“ไปบอกทีว่าผมมาพบ”
“งั้นนั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่เข้าไปบอกให้”
มาม่าซังพาหมอกในคราบเมฆไปนั่ง แล้วเดินไปทางด้านใน
ภายในโซนลูกค้าวีไอพียามนั้น ภัสสรกระดกเหล้าโชว์รวดเดียวหมดแก้ว โดยมีแขกและสาวนั่งดริงค์มองอย่างอึ้งๆ พร้อมกับเชียร์ไปด้วย ภัสสรคว่ำแก้วโชว์เมื่อดื่มหมด ยิ้มให้ ทุกคนตบมือรัวๆ
“คุณสร คอแป๊บแบบนี้ ผมยอมสิโรราบ”
ภัสสรหยอกเอินเล่น “แป๊บสั้น หรือแป๊บยาวคะ”
“โอ๊ย อย่างนี้แป๊บข้ามคืนแล้วครับแบบนี้”
ภัสสรยิ้มรับเอาคำชม ก่อนที่จะเห็นพรชัยเปิดประตูเข้ามาในห้อง ภัสสรหันมอง
“มีอะไร”
พรชัยเดินมาจนใกล้แล้วจึงกระซิบบอก “เมฆมาแล้วครับ”
ภัสสรพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปออกตัวกับแขก
“สรขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีแขกมาพบ”
“ตามสบายเลยครับ”
ภัสสรกำชับลูกสาว “ดูแลเสี่ยเค้าดีๆ ล่ะ”
สาวนั่งดริงค์ตอบพร้อมกัน “ค่ะ”
ภัสสรลุกเดินออกมาพร้อมกับพรชัย
หมอกหันมองบรรยากาศรอบๆ อย่างอึดอัด ก่อนที่เด็กเสิร์ฟจะนำเครื่องดื่มโปรดมาเสิร์ฟให้ หมอกยิ้มมุมปาก “ขอบใจ” ยังไม่ทันจะยกดื่ม สองสาวที่เคยบริการเมฆประจำ ก็ปรี่เข้ามานั่งด้วย คนหนึ่งนั่งข้างซ้าย หมอกขยับหนี อีกคนนั่งประจบที่ข้างขวา ล็อคหมอกกลายเป็นไส้แซนด์วิชอยู่ตรงกลาง
สองสาวเอามือเท้าพนักพิง หน้ายื่นเข้ามาประกบหน้าเมฆ นมกระแซะ แทบจะทับหน้าหมอกให้จมหายไป สองนางยังยกขาก่ายขาหมอก พร้อมส่งสายตายั่วยวนมาปลุกอารมณ์
สาว 1 จ๊ะจ๋า “วันนี้ลมอะไรพัดมาคะ ถึงหนีแฟนมาที่นี่ได้”
หมอกอึ้งไปรู้จะตอบยังไง เขินๆ อยู่ในที โดยสาวรุม ไม่คุ้น
“หรือว่าแฟนทำให้ไม่ถึงใจ เลยมาหาที่ระบาย”
สาว 2 อ้อน เอามือเล่นปูไต่ที่หน้าอกหมอกยิ้มยั่วยวนปลุกกำหนัดตลอดเวลา
หมอกอึ้งมองตาโต ตัวแข็งทื่อ ไม่คุ้นเคยกับเรื่องพรรณ์นี้
สาว 1 ทำแบบเดียวกัน
“อยากได้แบบไหนบอกได้เลยนะคะ แองจี้ กับเฟิร์นจัดให้”
“แซนด์วิชประกบสองพร้อมกันแบบนี้ก็จัดได้” สาว 2 เสริม
สองสาวประสานการเล่นปูไต่ลงต่ำไปอีก ก่อนสองนางจะสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ หมอกคว้าข้อมือของทั้งสองเอาไว้ แล้วจับบิดออกจากตัวโดยแรง
แองจี้ และ เฟิร์น ร้องขึ้นเสียงหลงด้วยความเจ็บ สะลัดออกจากการกุมของหมอกอย่างไม่พอใจ
สาว 1 ตวาดขึ้นเสียงหลงอย่างไม่พอใจ
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย”
สาว 1 โกรธสุดขีด “เจ็บนะ”
หมอกบอกเสียงเข้มแทบเป็นตวาด “ผมไม่ชอบ”
สองสาวชะงัก มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหันมามองหน้าหมอกอย่างหมั่นไส้
“ไม่เอาก็บอกดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำรุนแรงด้วย”
“ช้ำหมดเลยเนี่ย” สาว 2 เสริมพร้อมกับยกมือให้ดู
หมอกเห็นแล้วอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ผมขอโทษ”
สองสาวมองหน้าหมอกอย่างไม่พอใจจะเอาเรื่องให้ได้ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะกระแอมดังขึ้น ทั้งสองหันมองก็เห็นว่าเป็นภัสสร
“มีอะไรกัน”
สองสาวหลบตาวูบประสานคำ “ไม่มีคะ” แล้วรีบจรลีหลบไป
ภัสสรติดค้างในใจ เหล่มองหมอกด้วยแววตาแปลกใจแว่บหนึ่ง ที่เห็นหมอกในคราบเมฆแสดงออกแบบนั้น
ภัสสรอยู่กับหมอกตามลำพังสองต่อสองในห้องส่วนตัวของเจ้าแม่เล้าจน์
“เป็นอะไรอารมณ์ไม่ดี หรือว่าสาวๆ ทำอะไรไม่ถูกใจ”
“เปล่า แค่ผมไม่มีอารมณ์เฉยๆ”
ภัสสรมองสบตาอย่างจับผิด แกล้งหัวเราะขำกลบ
“แต่เมื่อก่อนนะ คนที่จะล้วงเป็นเธอ ไม่ใช่พวกสาวๆ นะ”
หมอกอึ้งไปนิด สังเกตได้ว่าภัสสรกำลังแอบจับผิดตน
หมอกแกล้งเนียนตามน้ำ “เหรอครับ หรือเพราะว่าผมความจำเสื่อม นิสัยเลยเปลี่ยนตามไปด้วย”
ภัสสรยิ้ม ไม่เชื่อนัก
“งั้นเรื่องความจำเสื่อมก็ไม่ใช่มุข”
หมอกมองประเมินท่าทีภัสสร ก่อนบอกขึ้นว่า
“ไม่ใช่มุข เสื่อมจริงๆ”
ภัสสรอึ้งไป
“แล้วจำได้มั้ยว่าเราเคยมีธุรกิจอะไรร่วมกันไว้”
หมอกแสยะยิ้มหน้าตาย บอกขึ้นว่า
“คุณคงต้องเตือนความจำผมหน่อยแล้วว่า ไอ้ธุรกิจที่ว่านั่นมันอะไร ผมจำไม่ได้จริงๆ”
ภัสสรตริตรองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนเตือนความจำขึ้นว่า
“ก็เรื่องที่เธอบอกว่ามีหลักฐานเล่นงานนายตะวัน”
หมอกนิ่งพักแปลกใจ ก่อนแสยะยิ้มเยือกเย็น พร้อมบอกขึ้นว่า
“คุณคงต้องผิดหวังแล้วละ เพราะเรื่องนี้ผมยังจำไม่ได้เหมือนกัน”
ภัสสรอึ้งไปนิดๆ ชักไม่แน่ใจว่าเป็นเพียงมุข เล่นตัว หรือว่าเรื่องจริง ก่อนบอกขึ้นอย่างเสียดายว่า
“จำไม่ได้ไม่เป็นไร ยังไงข้อตกลงก็ยังคงเหมือนเดิม” หล่อนเว้นวรรคเล่นลิ้น นิดหนึ่ง “หรือว่า ถ้าคิดว่า มันยังไม่คุ้มค่าเหนื่อย ก็ตกลงราคากันใหม่ได้”
“ได้ไม่มีปัญหา”
ขณะยิ้มรับเอาคำนั้น หมอกจ้องตาภัสสร ตระหนักชัดในใจว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเกลียดตะวันจนเข้ากระดูกดำ
หมอกกลับมาที่บ้านสวน กำลังเก็บโต๊ะเพื่อจะทำงาน แล้วไปเจออัลบัมรูปเก่าจึงหยิบมาเปิดดู เห็นรูปถ่ายในวัยเด็กในวาระต่างๆ เช่น รูปหมู่ครอบครัว รูปในงานเลี้ยง รูปเป็นนักเรียน จนมาเจอรูปสองแฝดในชุดคาวบอยคาดปืนของเล่นที่เอว อายุราวสิบขวบ หมอกนึกถึงความหลังในวันที่ถ่ายรูปนี้
ตอนทั้งสองเด็กชายคู่แฝดถ่ายภาพด้วยกัน โดยพ่อในชุดข้าราชการนับและถ่ายรูปให้
จากนั้นจึงออกไปเล่นซน หมอกกะเมฆยืนประจันหน้ากันเหมือนในหนังคาวบอยดวลปืน เมฆโพกผ้าเป็นผู้ร้าย ส่วนหมอกมีตรานายอำเภอที่หน้าอก สองพี่น้องเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันอยู่
“ยอมมอบตัววะดีๆ ไอ้เสือเมฆ อย่าให้ต้องใช้กำลังปราบปราม”
“แน่จริง มีฝีมือก็เข้ามาจับเลยนายอำเภอหมอก โจรพันธุ์เสืออย่างไอ้เสือเมฆ ไม่ยอมให้ใครจับได้อยู่แล้ว นอกเสียจากมันจะไม่มีลมหายใจเท่านั้น”
“งั้นก็ได้เห็นดีกัน”
ทั้งสองมองสบตากัน แล้วชักปืนมาดวลกันแบบเด็กๆ แต่ลีลาผู้ใหญ่ แถมใช้ปากทำเสียง ปังๆๆ
ทั้งสองยิงสู้กันไปมา สุดท้านนายอำเภอหมอกยิงไอ้เสือเมฆล้มลง
“ในที่สุด แกก็เสร็จฉันไอ้เสือเมฆ”
แต่อึดใจต่อมา เสือเมฆกับลืมตาฟื้นขึ้นมา แล้วโวยวายลั่นบ้าน
“ไม่เอาอ่ะ ทำไมโจรต้องตายตอนจบทุกที ทำไมตำรวจไม่ตายบาง แล้วโจรหนีไปได้”
นายอำเภอหมอกอึ้งไปตอบไม่ได้ในตอนนั้น
หมอกดึงตัวเองกลับมา นึกสะท้อนใจขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงคำพูดน้องชายผู้ลาลับ เขามีคำตอบให้เมฆแล้ว
“เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ความดีย่อมชนะความชั่วอยู่วันยังค่ำไงเมฆ ไม่ว่าความชั่วจะยิ่งใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องพ่ายต่อความดีและความถูกต้องอยู่ดี”
หมอกรวบรวมอัลบัมรูปใส่กล่องเก็บไว้อย่างดี
หลังโต๊ะทำงานถูกเคลียร์เรียบร้อยแล้ว หมอกงัดเอาฟิวเจอร์บอร์ด ขึ้นมาปะรูปคนในแก๊งอัคคีและอัคคเดช ทำเป็นชาร์ตแสดงสายสัมพันธ์ของผู้ต้องสงสัยในการตายของเมฆ มีคอมเม้นต์ของหมอกไปตามรูปที่หมอกแปะ
ตะวัน - เจ้านายขี้ระแวงที่ไม่ยอมไว้ใจ แม้แต่ลูกน้องคนสนิท
อัคคเดช - เป้าหมายที่จะเก็บ / ตำรวจคู่ปรับ
ภูผา - คู่ปรับ / ไปทำงานด้วยแล้วถูกยิง
ปราการ - นักเลงรุ่นพี่ที่ทำตามคำสั่ง
ปิง - ลูกไล่
ปานวาด - แฟนสาว
แป๊ะกง - นายใหญ่
หมอกติดรูปภัสสรเข้าไปด้วยเป็นคนสุดท้าย พร้อมคำบรรยายว่า
“ภัสสร - ร่วมมือกันหักหลังตะวัน” แล้วนิ่งมองอย่างใช้ความคิด
“หรือว่าของที่เมฆมันซ่อนไว้ คือ หลักฐานที่ผู้หญิงคนนี้ว่า”
ในวันต่อมา หมอกในคราบเมฆพาตัวเองมาแอบยืนมองอยู่หน้าร้านดอกไม้น้องหลินสักครู่แล้ว
จนป้าหน้าร้านติดกันมองไปเห็น จึงเปิดประตูเข้ามาบอกหลินซึ่งอยู่ในร้าน
“หนูหลินๆ”
“มีอะไรคะป้า”
“ลูกค้าคนหล่อๆ ที่ชอบมาซื้อดอกไม้หนูมาอีกแล้ว”
หลินรู้เลยทันที “คุณเมฆ”
“แต่วันนี้ดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้ เอาแต่ยืนดูอยู่ถนนฝั่งนู้นตั้งนานแล้ว”
หลินแปลกใจ “เหรอคะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่ใส่ซิมเบอร์ของเมฆดังขึ้น หมอกออกอาการแปลกใจ ก่อนหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นเบอร์ “น้องหลิน ร้านดอกไม้” โทร.เข้ามา
หมอกมองฉงน ก่อนจะมองไปที่ร้านดอกไม้ เห็นหลินกำลังโทรศัพท์อยู่ จึงกดรับสาย
“ครับ”
หลินอยู่ในร้าน “ยืนทำอะไรอยู่หน้าร้านคะ ทำไมไม่เข้ามา หรือว่าไม่อยากอุดหนุนดอกไม้ร้านหลินแล้วคะ”
หมอกแปลกใจอีก “รู้ได้ยังไงว่า ผมอยู่ตรงนี้”
“ป้าหน้าร้านแกบอกหลินเมื่อกี้ค่ะ”
หมอกเลยถึงบางอ้อ
หมอกเข้ามาในร้านดอกไม้เป็นครั้งแรก เบื้องแรกหลินนึกว่าเป็นเมฆหันไปยิ้ม แล้วจะเรียกชื่อแต่ พอฟังจากเสียงเดินและภาษากาย หลินนิ่งไป รู้สึกได้เลยว่าเป็นคนอื่น
“เอ่อ สวัสดีคะ จะรับดอกไม้แบบไหนดีคะ”
หมอกลังเลไม่กล้าตอบ จะเอาไงดี หมอกจะตอบ แต่แล้วหลินจำได้ว่าเคยเจอหมอกตอนเขาช่วยไว้
“เอ๊ะ คุณคะ เราเคยเจอกันใช่มั้ย ใช่คุณที่เคยเก็บกระเป๋าสตางค์คืนฉันรึเปล่าคะ”
หมอกอึ้งหนัก แต่ต้องรีบปฏิเสธกลัวถูกจับได้
“เอ่อ ไม่ใช่นะ นี่ผมเมฆนะ เมฆจริงๆ”
หลินประหลาดใจ “คุณคือคุณเมฆจริงๆเหรอคะ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณไม่ใช่คุณเมฆ”
เจอคำทักนี้ หมอกอึ้งหนักเข้าไปอีก
“หมายความว่าไง”
“ถึงฉันจะตาบอด แต่ฉันจำเสียงเดินกับกลิ่นน้ำหอมของคุณได้ ปกติคุณเมฆจะใส่น้ำหอมกลิ่นประจำแต่วันนี้ไม่ใส่ เสียงของคุณคล้ายคุณเมฆมาก แต่เสียงการเดินของคุณไม่เหมือนเดิม อย่างกับ...ไม่ใช่คนเดียวกัน”
หมอกทึ่งมากกว่าอึ้งที่หลินแยกคนได้ขนาดนี้
“ตกลงคุณคือคุณเมฆจริงๆ เหรอคะ ฉันงงไปหมดแล้ว”
หมอกคิดหนัก ว่าจะเอาไงดี หาวิธีที่จะทำให้หลินเชื่อว่าเขาคือเมฆ
มุขความจำเสื่อมถูกนำมาใช้อีกหน หลินตกใจที่รู้เรื่องโกหกจากหมอก
“ความจำเสื่อมเหรอคะ”
“ครับ แค่บางส่วน”
หลินนึกเป็นห่วง “โถ...แล้วนี่ตัวคุณเมฆเป็นอะไร หรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลินประติดประต่อเรื่องราว
“เพราะอย่างนี้นี่เอง วันที่คุณช่วยฉัน คุณถึงไม่บอกว่าคุณคือคุณเมฆ แถมยังเปลี่ยนไปจนฉันจำไม่ได้”
“อย่าว่าแต่คุณเลย ผมก็จำตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”
หลินอดสงสัยไม่ได้ “แล้วคุณจำร้านฉันได้ยังไงคะ”
หมอกเนียนตามน้ำ รีบเข้าเรื่อง
“ผมจำไม่ได้หรอก แต่รู้สึกคุ้นๆ เหมือนว่าผมเคยฝากของอะไรเอาไว้กับคุณ”
“ฝากอะไรไว้กับฉัน” หลินทวนคำพลางนิ่งนึก แต่นึกไม่ออก “ไม่มีนี่คะ”
หมอกแปลกใจจนต้องถามย้ำ “เหรอครับ ไม่ได้ฝากอะไรไว้เลยเหรอครับ”
คำสั่งเสียของเมฆก่อนสิ้นใจตายดังขึ้นท้ายคำ
“ของ...อยู่...ที่...แจกัน...ร้านดอกไม้”
หมอกถามตัวเองในใจ “หรือเมฆมันแค่แอบเอามาซ่อนไว้ ไม่ให้ผู้หญิงคนนี้รู้”
พร้อมกันนี้เขาหันไปมองสำรวจรอบๆ ร้าน
“ถ้างั้นไม่รบกวนเวลาคุณแล้วครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หมอกลุกขึ้น หลินถามตามว่า “แล้ววันนี้จะไม่รับดอกไม้ด้วยเหรอคะ”
“ดอกไม้…ดอกไม้อะไร” หมอกงง
“ก็ดอกไม้ที่ปกติคุณเมฆจะเอาไปให้แฟนคุณไงคะ”
หมอกนิ่งคิดอีกครู่หนึ่งแล้วตามน้ำไป “อ๋อ...งั้นเอาเหมือนเดิมแล้วกันครับ”
หลินยิ้มยินดี แล้วหันไปจัดดอกไม้ให้อย่างคล่องแคล่วจนหมอกต้องได้ทึ่งอีกหน
ระหว่างรอหมอกเหลียวมองสำรวจรอบๆ ร้าน นึกถึงคำสั่งเสียของเมฆอีกครั้ง
“ของอยู่ในแจกัน”
ที่จริงแล้วหมอกมองเห็นแจกันที่เมฆซ่อนของไว้แล้ว แต่กลับไม่สนใจ มองข้ามไปที่แจกันหลายสิบใบที่วางอยู่ หมอกชักเครียดถามเมฆในใจว่า
“แกซ่อนของที่ว่านั้นไว้ที่ไหนของแก เมฆ”
ตะวันอยู่ในห้องทำงานที่คฤหาสน์ กลังนั่งคิดทบทวนเรื่องราว ตอนคุยอยู่กับแป๊ะกงสองคน
“แกจะเอายังไงกับไอ้เมฆ”
“ยังสรุปไม่ได้ครับ คงต้องรอดูไปก่อนเพราะวันนี้มันก็โชว์ฝีมือได้ดีทีเดียว”
“ยังไงก็จับตาดูมันให้ดีละกัน เพราะถ้ามันไม่คิดหักหลังแก ก็ต้องมีคนหักหลังมัน หรือไม่งั้นก็ต้องเป็นฝีมือของไอ้ผู้กำกับนั่น”
คิดแล้ว ตะวันมีหน้านิ่งเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
ปราการเดินออกมาจากโรงพักเจอแดดแล้วรู้สึกแยงตา เลยหยิบแว่นตากันแดนขึ้นมาสวม ก่อนที่เสียงบีบแตรรถจะดังขึ้น ปราการหันไปมอง เป็นปิงที่นั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ และเป็นคนบีบเรียก ปราการเดินมาขึ้นรถ
ปิงยิ้มทักหน้าแป้นแล้นน่าถีบมาก “เป็นไงบ้างพี่นอนมุ้งสายบัว”
ปราการประชด “อยากรู้ก็ลองไปนอนดูเองสักคืนซิ”
“อุ้ย งั้นไม่อยากรู้ดีกว่า”
ปราการยิ้มขำ
“น้ำมนต์พี่” ปิงส่งขวดน้ำใส่น้ำมนต์มาให้
ปราการงง “เอามาทำอะไร”
“ก็ล้างหน้าไล่ความซวยออกไปไง ต่อไปจะได้เฮง เฮง เฮง ไงพี่”
“ฉันคงไม่ซวยแบบนี้ ถ้าแกไม่เอาแต่ฟังเพลงเพลิน”
ปิงจ๋อยโดนประชดแดกหัว
“แต่ก็ขอบใจนะ” ปราการยอมรับไปปิงเลยยิ้มออก
“ระหว่างฉันถูกขังเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
“หลายเรื่องเลยพี่ ทั้งแผ่นดินไหว้ ไฟไหม้...”
ปราการสวนขึ้นทันควัน “เอาที่เกี่ยวกับเรา”
ปิงยิ้มรับแหยๆ “ก็มีเรื่อง พี่เมฆไปจัดการพวกแก๊งดาวเหนือซะเรียบร้อยโรงเรียนพี่เมฆไปแล้ว แถมไปคนเดียวด้วยนะ”
ปราการทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “คนเดียวเนี่ยนะ”
“อือม์ จริงๆ ไม่ได้โม้” ปิงพยักหน้าหงึกๆ
ปราการยิ่งแปลกใจ
“นายจะให้ผมกับเจ๊วาดไปด้วย พี่เมฆแกก็ไม่เอา ผมเลยอดแสดงฝีมือเลย”
ปราการอึ้งไป ใช้ความคิด ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี
“นายล่ะ”
“แหมพี่ มาถามผม นายไม่ค่อยบอกอะไรผมหรอก คงออกไปทำธุระข้างนอกน่ะ”
ปราการพยักหน้ารับรู้
“กลับกันเลยมั้ยพี่”
“ยัง ไปที่นึงก่อน”
ปิงย่นคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ
สถานที่ที่ปราการว่า คือร้านค้าเล็กๆ ในกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ปราการมาถึงสักครู่แล้ว และกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่หน้าในร้านนั้น จนกระทั่งมีคนเดินเอาซองเอกสารมาส่งให้ ปราการเปิดออกดู แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
เห็นปราการเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมซองเอกสาร ปิงถามขึ้นอย่างอยากรู้
“อะไรนะพี่”
ปราการโกหกไปว่า “ฉันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่านายสั่งให้มารับของ”
ปิงได้ยินชื่อนายก็หุบปากสนิทไม่กล้าซักถามอะไรอีก ขับรถเคลื่อนออกไป
ส่วนปราการนั้นสีหน้านิ่ง จนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ
อ่านต่อ ตอนที่ 7