xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก – Diamond Lover ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Daimond Lover ตอนที่ 4

ทุกสายตาจดจ้องมองไปยัง มี่เหม่ยลี่ หรือ มี่โตะ กับเซี่ยวเลี่ยงที่ยืนพร้อมอยู่ในฉาก ซือหยวนเองก็ยังอดลุ้นเอาใจช่วยไม่ได้ในใบหน้าอันเชิดหยิ่งของหล่อน

“ดีมากมาๆๆ” น้ำเสียงปลื้มปริ่มของผู้กำกับดังขึ้นเมื่อมองภาพในมอนิเตอร์ ก่อนจะหยิบวิทยุตะโกนสั่งการ “ทีมงานเตรียมพร้อม แอ็คชั่น”
เซี่ยวเลี่ยวเป็นฝ่ายเดินเข้าหาช้าๆ ยกมือขึ้นจับแขน เหม่ยลี่กลับประหม่าซวนเซเสียหลัก
ผู้กำกับตะโกนมาถาม “สแตนด์ อิน เป็นอะไร”
เหม่ยลี่หน้าเสียหันมาโค้งขอโทษผู้กำกับ “ขอโทษค่ะผู้กำกับ”
เซี่ยวเลี่ยงปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้กินคุณสักหน่อย ไม่ต้องตื่นเต้นคุณทำได้”
“มาๆๆๆๆ เตรียมพร้อม แอ็คชั่น”
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้าใจจับแขนเบาๆ ประคอง โน้มหน้าลงจะจูบ เหม่ยลี่หลับตาปี๋และเบือนหน้าหนี
“คัทๆๆ ไม่ได้ๆ สแตนด์ อิน ผมบอกกี่ครั้งแล้ว เวลาเขาจูบอย่าหลบเด็ดขาด ต้องกล้าหาญกว่านี้เข้าใจมั้ย”
เหม่ยลี่ได้แต่หน้าเสีย “ขอโทษค่ะ” กับทุกคนอย่างเกรงใจ
เซี่ยวเลี่ยงหันไปทางผู้กำกับและทีมงาน “ถ่ายใหม่อีกรอบ”
“มาทีมงานเตรียมพร้อม...เตรียมพร้อม...แอ็คชั่น”
เทคนี้นี้เซี่ยวเลี่ยงจับประคองใบหน้าเหม่ยลี่ โน้มหน้าลงไปจูบ เหม่ยลี่หลับตาปี๋ แถมหันหน้าหนีอีก เล่นไม่ได้อยู่ดี หันไปขอโทษทีมงาน
“ขอโทษค่ะทุกคน”
ผู้กำกับชักหัวเสีย “นี่ คนสวย คุณผู้หญิง ผมเรียกว่าคุณผู้หญิงแล้วนะ เมื่อไหร่คุณจะหายตื่นเต้นซะที”
“ขอโทษค่ะผู้กำกับ”
เซี่ยวเลี่ยงหงุดหงิดไม่น้อย จับแขนเหม่ยลี่ให้มองมายังตน ปลุกปลอบขวัญให้กำลังใจตามสไตล์ของเขา
“มัวแต่พูดขอโทษอยู่ได้ ทำไมคุณไม่ให้กำลังใจตัวเองล่ะ มั่นใจแบบตอนทำงานในออฟฟิศของผมน่ะ”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำ “ค่ะ”
สองคนมองสบตากัน
“ให้โอกาสอีกครั้งนะ มา” ผู้กำกับตะโกนใส่วิทยุในมือ “ทีมงานทุกคนเตรียมตัว แอ็คชั่น”
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้าหาช้าๆ จับแขนเหม่ยลี่ โน้มหน้าลงจะจูบ แต่แล้วเหม่ยกลับยื่นริมฝีปากมาประกบริมฝีปากเขา เซี่ยวเลี่ยงยื่นแขนมาโอบร่างเหม่ยลี่ประคอง เหม่ยลี่กอดเซี่ยวเลี่ยงตอบ สองคนจูบกันอย่างดูดดื่มสมบทบาท
“คัท ดี...ดีมาก...โอเค” ผู้กำกับปลื้มปริ่มสุดๆ
เซี่ยวเลี่ยงและเหม่ยลี่คลายวงกอด ถอนริมฝีปากออกจากกันช้าๆ เหม่ยลี่หลับตาปี๋ เซี่ยวเลี่ยงมองซึ้งๆ
ซือหยวนมองจ้องสองคน ยิ้มในสีหน้า ไม่รู้อารมณ์ไหน แต่อย่างน้อยหล่อนก็ดีใจที่งานลุล่วง
ยืนประจันหน้าเทพบุตรในฝันระยะประชิด แถมเพิ่งจะได้จูบจริงกับเขา แม้จะเป็นเพียงแสตนด์อินของเกาเหวินในหนังโฆษณาเรื่องนี้ก็ตามทีเถอะ เหม่ยลี่ยิ้มขัดเขินอายเหลือเกินแล้ว ยกสองมือปิดหน้า เซี่ยวเลี่ยงมองหน้ายิ้มหล่อออกมา

ค่ำแล้ว ขณะรถอี้หมิงที่เกาเหวินเป็นคนขับ แล่นเข้ามาจอดริมถนนหน้าโลเกชั่นสถานที่ถ่ายโฆษณา ซุปตาร์สาวปลดเข็มขัดออก หันมาทางอี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยื่นหน้าไปตะโกนใส่ข้างหูหมอหนุ่ม
“ฉันกลับแล้ว”
อี้หมิงนอนกอดตุ๊กตากำลังหลับเพลินๆ สะดุ้งตื่นตกใจ แต่ยังไม่ลืมตา “เฮ้ย”
เกาเหวินหัวเราะชอบใจ
อี้หมิงงัวเงีย ถอนใจเซ็งๆ “คุณทำอะไรเนี่ย”
มองออกไปด้านนอกรถ เห็นกลุ่มนักข่าวจอมเผือกยังยืนออปักหลักรอทำข่าวอยู่หน้าประตูทางเข้า
“ฉันบอกว่าถึงแล้ว ขอบคุณมากนะ”
“ขอบคุณแบบนี้เหรอ” อี้หมิงลืมตา เห็นซุปตาร์สาวไม่ยอมขยับลงรถสักที “ทำไมยังไม่ไปอีก”
“รออีกแป๊บนึง เฮ่อ” เกาเหวินประวิงเวลาเอนพิงเบาะหลับตาพริ้ม แล้วลืมตาขึ้น “วันนี้ฉันมีความสุขมาก ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้มานานแล้ว”
อี้หมิงไม่พูดไม่จา เกาเหวินหันมามองเห็นเขายุกยิกๆ กดเช็คดูมือถือสีหน้าเคร่ง เลยอดถามไม่ได้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น จะรีบกลับเหรอ”

เหลยอี้หมิงเช็คมือถือเพราะเป็นห่วงยัยอ้วนของเขา เลยออกอาการอึกอักหลบหน้าหลบตา คิดหาข้อแก้ตัวพัลวัน
“เอ่อ...ผม...ผม...เอ่อ คือว่าวันนี้ที่ผมมาที่นี่ เพราะว่าสัตว์เลี้ยงของผมหายไป ไม่เจอหลายวันแล้ว ผมกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน”
อี้หมิงหันไปมองนอกรถ เห็นนักข่าวยืนอออยู่ตรงทางเข้า
เกาเหวินยิ้มขำ เพิ่งจะเจอผู้ชายประหลาดไม่หลงเสน่ห์ตน
“คุณนี่แปลกคนจริง เป็นผู้ชายคนแรกที่ไม่อยากอยู่กับฉัน เป็นห่วงแต่สัตว์เลี้ยงทั้งวัน”
เกาเหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา แกล้งโยนลงข้างเบาะที่อี้หมิงนั่ง แล้วโน้มตัวมาหาจับต้นขาหมอหนุ่มลูบเบาๆ
อี้หมิงสะดุ้งสุดตัว ขยับไปจนชิดหน้าต่าง โวยลั่น “เฮ้ย! คุณทำอะไร! ผมไม่ใช่คนมักง่ายอย่างที่คุณคิดนะ”
เกาเหวินหัวเราะชอบอกชอบใจ ก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมา โชว์ให้เขาดู
“ฉันเก็บกระเป๋า…กระเป๋า”
พร้อมกับว่าเกาเหวินเปิดกระเป๋าสะพายออก ล้วงหยิบเอาลิปสติกมาเติมสีปาก ซุปตาร์สาวหัวเราะคิกคักไม่เลิก พลาง “มักง่ายอะไรของคุณเล่า กำลังคิดอะไรอยู่ เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”
“ผมว่าดาราสาวอย่างพวกคุณ จูงหมาออกไปเดินเล่นก็ต้องแต่งหน้าด้วยใช่มั้ย เป็นตัวของตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ”
“ฉันถึงบอกว่าวันนี้มีความสุขมากไง” เกาเหวินย้ำคำเก็บลิปสติกคืนปิดกระเป๋า
อี้หมิงแขวะ “คนแก่มีความสุขก็ดีแล้วล่ะ”
เกาเหวินยื่นมือมาฉกตุ๊กตาที่หล่อนหยิบจากตู้ได้ แต่อี้หมิงดึงไว้ไม่ยอมปล่อย สองคนยื้อยุดกันไปมา สุดท้ายเกาเหวินยอมปล่อยมือ หมอหนุ่มกอดไว้อย่างหวงแหน
“ฉันจะจำคุณไว้” เกาเหวินว่าพลางคว้ากระเป๋าถือแล้วเปิดประตูลงรถไป
อี้หมิงเหลียวมองตาม เกาเหวินเดินอ้อมหน้ารถมาทางฝั่งที่เกาเหวินนั่ง พึมพำออกมาอย่างอารมณ์ดี ทำมือเป็นปืนยิงใส่
“น่าสนใจดีนิ นี่แน่ะ”
อี้หมิงจับมือตุ๊กตายิงตอบ ซุปตาร์สาวหัวเราะอย่างสุขใจเดินเข้าไปในดงนักข่าวจอมเผือก โดยไม่ยอมหลบหลีกอย่างเคย อี้หมิงมองตาม
กลุ่มนักข่าวที่อออยู่หันมาเห็น ร้องบอกกันเป็นทอดๆ
“เกาเหวินมาแล้ว” / “เกาเหวินมาแล้ว” / “อยู่ทางโน้น”

อี้หมิงหันกลับมาถอนใจเฮือกใหญ่ กลับสู่โลกของตัวเอง
“ตอนนี้น่าจะถึงเวลาพักแล้ว เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่”
หมอหนุ่มควักมือถือมาจะกดโทร.หาเหม่ยลี่ แต่แล้วเปลี่ยนใจไม่โทร. ทอดถอนใจ จึ๊ปาก จับตัวการ์ตูนที่ยึดจากเกาเหวินไปรองศีรษะ แล้วเอนพิงพนักเบาะรถหลับตาลง

เช้าวันต่อมา กองถ่ายโฆษณายังทำงานต่อไม่ได้ เพราะสร้อยที่จะใช้ถ่ายทำฉากนี้หายไป ซือหยวน ยืนข้างๆ โต๊ะกล่องเครื่องประดับ กำลังอธิบายหน้าเครียดต่อหน้าผู้กำกับและทีมงาน มีเหม่ยลี่และเจสันยืนอยู่ทางด้านหลัง
“ผู้กำกับ เมื่อวานฉันเป็นคนให้คุณเลือกเกาเหวินเอง ทีมงานก็อยู่ ทุกคนเป็นพยานให้ฉันได้”
เจสันหันไปเห็นเกาเหวินเดินเข้ามาพอดี
“ที่รัก”
เกาเหวินเดินไปยืนข้างๆ เหม่ยลี่มองฉงน “พูดอะไรกัน”
“เธอไปไหนมาเนี่ย” ผู้กำกับถามอย่างไม่พอใจที่เมื่อวานถูกซุปตาร์สาวเทกองถ่าย
เกาเหวินไม่ทะเลาะด้วย หันมาถามผู้จัดการ “เขาพูดถึงสร้อยคออะไร”
“ก็สร้อยคอที่จะถ่ายฉากต่อไป” เจสันอธิบายให้ฟัง พลางพยักพเยิดไปทางซือหยวน “เขาบอกว่าให้เธอแล้ว”
เกาเหวินเหลียวขวับไปมองหน้าซือหยวนอย่างไม่พอใจ “ใครพูดล่ะ เธอให้ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผู้กำกับต่อว่าซือหยวนที่ยืนอึ้งอยู่ “คุณเป็นคนของบริษัทไม่ใช่เหรอ เครื่องประดับที่คุณรับผิดชอบอยู่ไหน คุณเองยังไม่รู้เลย”
ซือหยวนยืนกรานเสียงแข็ง “แต่ฉันให้คุณเกาเหวินกับมือเลยนะ”
เกาเหวินโต้กลับ “ฉันจะพูดครั้งสุดท้ายฉันไม่ได้รับสร้อยคอเส้นนั้น เธอบอกว่าให้ฉันแล้วมีพยานมั้ย”
เหม่ยลี่ที่ฟังมาตั้งแต่ต้น มีสีหน้าเคร่งเป็นกังวลที่เกิดปัญหาขึ้นมาอีก
ผู้กำกับหันไปถามทีมงาน “มีใครเห็นบ้าง”
ทีมงานหญิงเสื้อเหลืองไม่พอใจซือหยวน “ใส่ร้ายพี่เกาเหวินของเรารึเปล่าเนี่ย”
ทีมงานชายชุดดำผสมโรง “หรือว่าเมื่อวานเธอต่อว่าคุณ คุณเลยแก้แค้นพี่เกาเหวิน”
ซือหยวนหน้าเสีย ตกใจ แค้นใจที่ถูกรุม เหม่ยลี่พูดแทรกขึ้น
“ฉันเป็นพยานได้” ซือหยวน เกาเหวิน และคนอื่นๆ มองจ้องเหม่ยลี่เป็นตาเดียวกัน
“ฉันเห็นพี่ซือหยวนเอาสร้อยคอไปให้คุณเกาเหวินแล้ว อีกอย่างในรายการก็มีจดบันทึกไว้”
ซือหยวนคาดไม่ถึงที่เหม่ยลี่พยายามช่วย เกาเหวินฉุน “เธอหมายความว่าฉันเป็นขโมยสินะ”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น เราแค่สงสัยว่าเครื่องประดับจะหายไปรึเปล่า ดังนั้นจึงอยากให้คุณตรวจสอบให้ละเอียดค่ะ”
“ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยแล้ว เจสัน ขึ้นรถพักผ่อน”
เกาเหวินจะเดินออกไปพร้อมเจสัน แต่คราวนี้ผู้กำกับไม่ยอมให้ไป ถลามาคว้าแขนไว้ เกาเหวินสลัดแขนเขาออก
“เดี๋ยวๆๆ นี่ๆ ถ้าวันนี้คุณไปอีก เราจะอธิบายคุณเซี่ยวว่ายังไง”
ผู้กำกับหันมาเอาเรื่อง ชี้หน้ายื่นคำขาดกับเหม่ยลี่กับซือหยวน
“พวกเธอเป็นคนรับผิดชอบเครื่องประดับยังจะหาข้อแก้ตัว จะให้ฉันลำบากไปด้วยเหรอ ตอนนี้ไม่ว่าพวกเธอแก้ปัญหายังไง ต้องรีบไปหาสร้อยคอที่เหมือนกันมาให้ได้”
ซือหยวนไม่ยอม “สร้อยคอไม่มีเส้นที่สอง สร้อยคอเส้นนี้มีเส้นเดียว ราคาก็สูงมากด้วย ถ้าสร้อยคอเส้นนี้ถูกขโมยไป ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน”
ผู้กำกับเครียดจัด เกาเหวินปรายตามอง พูดแดกดันซือหยวน
“ที่จริงฉันอยากพูดมานานแล้ว สร้อยคอที่คุณสวมใส่ ยี่ห้อนี้ไม่เคยวางขายมาก่อน ดังนั้นระหว่างคุณกับฉัน ใครกันที่น่าจะเป็นขโมยมากกว่า”
ซือหยวนโกรธ “คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
เหม่ยลี่พยายามไกล่เกลี่ย และปกป้องช่วยซือหยวนอีก “คุณเกาเหวิน พี่ซือหยวน ปกติเขาเป็นคนรับผิดชอบเครื่องประดับ เครื่องประดับจะต้องผ่านมือของเขาทุกวัน เขาจะเป็นคนขโมยได้ยังไงล่ะ”
เกาเหวินหันมาแหวใส่เหม่ยลี่ “แล้วเธอล่ะ เธอก็เป็นคนรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่ได้ขโมยแน่นอน”
เกาเหวินจ้องหน้า “มีพยานมั้ยล่ะ”
เหม่ยลี่อึ้งไป ซือหยวนคุมแค้นจ้องหน้าเกาเหวินเขม็ง

“พวกคุณทะเลาะอะไรกัน”
เสียงเซี่ยวเลี่ยงดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินมาถึง ทุกคนหันไปมอง
ผู้กำกับกระแอมกระไอ คนอื่นเงียบทั้งแถบ
เซี่ยวเลี่ยงหันมาทางซือหยวน “เกิดอะไรขึ้น”
“คุณเซี่ยว สร้อยคอของบริษัทหายไปเส้นหนึ่ง แต่ฉันให้คุณเกาเหวินกับมือแล้วค่ะ”
“ผมไม่ได้มาฟังคำอธิบายของคุณ” เซี่ยวเลี่ยงตัดบท แล้วหันไปทางผู้กำกับ “ถ่ายทำต่อไป สร้อยอีกเส้นจะส่งมาทันที”
“ได้ครับ” ผู้กำกับยิ้มออก เดินออกไป ตะโกนสั่งทีมงาน “มาๆ ถ่ายต่อ เตรียมตัวถ่ายฉากต่อไป เร็วๆๆ”
เจสันผายมือให้เกาเหวินเป็นเชิงบอกให้ไปแต่งตัว สองคนเดินออกไป เซี่ยวเลี่ยงขวางไว้ เอ่ยถามเกาเหวิน
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เกาเหวินหันไปทางซือหยวนและเหม่ยลี่แว่บหนึ่ง “ถามพนักงานของคุณเองเถอะ”
จากนั้นสองคนก็เดินออกไป

เหม่ยลี่เดินเข้ามาหาเซี่ยวเลี่ยง พยายามจะอธิบาย
“คุณเซี่ยว พี่ซือหยวนไม่ได้ขโมยสร้อยคอจริงๆ ค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินหนีมาหาซือหยวน “คุณเป็นคนรับผิดชอบเครื่องประดับ ต้องเข้าใจกฎของบริษัทดี ทำเรื่องลาออกจากฝ่ายออกแบบไปซะ อีกอย่าง ถ้าหาสร้อยกลับมาไม่ได้ คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบ เข้าใจมั้ย”
ซีอีโอหนุ่มหน้าเคร่งเดินออกไปเลย ไม่ฟังคำอธิบายใดๆ อีก ซือหยวนแทบหมดแรง เหม่ยลี่เองก็อึ้งไป พยายามปลอบใจซือหยวน
“พี่ซือหยวนอย่าเสียใจเลย ฉันต้องช่วยพี่ตามหาสร้อยกลับมาให้ได้”
ซือหยวนกลับตอบแทนด้วยการตวาดใส่ “ฉันไม่ต้องการความสงสารจากเธอ”
เหม่ยลี่อึ้ง นิ่งงันไป มองซือหยวนด้วยความสงสารจากใจจริง

เหม่ยลี่เดินไปหาทีมช่างไฟ หยิบรูปสร้อยคอเส้นดังกล่าวยื่นให้ทุกคนดู
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณเคยเห็นสร้อยคอเส้นนี้มั้ย”
ชายชุดดำหนึ่งในนั้นบอกว่า “ไม่เลย ไม่เคยเห็น”
เหม่ยลี่หันไปทางหญิงชุดสีฟ้าที่เดินสวนมา “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณเคยเห็นสร้อยคอเส้นนี้มั้ย”
“ไม่เคย” หญิงชุดฟ้าส่ายหัวดิก
เหม่ยลี่ไม่ท้อ เดินไปถามหญิงเสื้อเหลือง ยื่นรูปให้ดู
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณเคยเห็นสร้อยคอเส้นนี้มั้ย”
“ไม่เคย” สาวนางนั้นบอกแล้วหันไปเตรียมงานต่อ
เหม่ยลี่ยื่นรูปให้ทีมงานที่สวนมาดู “สวัสดีค่ะ เคยเห็นสร้อยคอเส้นนี้มั้ยคะ”
ชายคนนั้นไม่มองรูปด้วยซ้ำเดินหนีไปเลย
เหม่ยลี่ไม่ท้อเดินไปอีกทาง

ด้านซือหยวนกำลังค้นหาสร้อยอยู่ในห้องแต่งตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะตรงหน้ากระจกที่เธอวางกล่องเครื่องประดับไว้ก่อนจะเดินออกไปเมื่อวานนี้ รื้อหาค้นดูทุกซอกทุกมุม
เหม่ยลี่เดินเข้ามาในนี้ “พี่ซือหยวน”
ซือหยวนประหลาดใจไม่น้อย “เธอมาได้ยังไง”
“ฉันมาช่วยพี่หาสร้อยคอค่ะ”
ซือหยวนอึ้งไป “เธอเชื่อจริงเหรอ ว่าฉันไม่ได้ขโมย”
“แน่นอนค่ะ ฉันจะสงสัยพี่ได้ยังไงล่ะ”
“ขอบคุณมากมี่โตะ”
“ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ พี่หาตรงนี้แล้วกัน ฉันจะไปหาทางโน้น”
“ได้”
เหม่ยลี่เดินออกไปดูตรงราวแขนเสื้อข้างๆ ตรวจดูอย่างละเอียด
ซือหยวนมองตามด้วยแววตาเต็มตื้น ซาบซึ้งใจ อคติที่เคยมีต่อเหม่ยลี่ สลายไปจนสิ้น
สองสาวช่วยกันหาอย่างแข็งขัน สแกนดูทุกจุด จังหวะหนึ่งขณะที่เหม่ยลี่เหลียวหาสร้อยอยู่นั้น สายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับกล้องวงจรปิดตรงผนังมุมห้อง เหม่ยลี่เบิกตาโต

ภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นจากด้านหลังว่าเกาเหวินเดินหุนหันเข้ามาในห้องแต่งตัว เจสันซึ่งนั่งเตรียมชาไว้ให้ ลุกมาหา
“ที่รัก มาสินี่อาหารว่างของเธอ”
เหม่ยลี่นั่งอยู่หน้าจอคอมในห้องคอนโทรลของอาคาร เช็คกล้องวงจรปิดอยู่กับซือหยวน ซึ่งนั่งเท้าแขนหลับอยู่ข้างๆ เธอเองก็ยกมือปิดปากหาวหวอดๆ เหนือโต๊ะตัวนั้นมีจอทีวีแสดงภาพตรงจุดต่างๆ ในอาคาร
“ชุดของฉันอยู่ไหน” เกาเหวินถามหาชุด
“ชุดเหรอ เป็นอะไร พวกเค้าเปลี่ยนฉากแล้วเหรอ”
“ไม่ได้เปลี่ยนฉากแต่เปลี่ยนคน”
“เปลี่ยนคนเหรอ เปลี่ยนคนเรื่องอะไร หา”
เกาเหวินหอบชุดออกไป เจสันยืนบ่นบ้าอยู่คนเดียว
ในจอคอม เห็นซือหยวนเดินเข้ามาตอนนี้วางกล่องสร้อยตรงหน้ากระจกแต่งตัวพร้อมกับบอกว่า
“นี่เป็นเครื่องประดับที่คุณเกาเหวินต้องใส่ในฉากต่อไป”
เจสันไม่สนใจ “ใครเป็นคนทำให้เธอโกรธนะ”
ในขณะที่เหม่ยลี่จดจ่ออยู่กับกับภาพในจอ มีเสียงมือถือดังขึ้น ปลุกให้ซือหยวนตื่น หยิบมือถือมากดดู แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับใคร กดปิดมือถือไปเลย ก่อนจะหันมาเห็นเหม่ยลี่บริหารเปลือกตาชั่วขณะหนึ่ง แล้วหันกลับไปจ้องจอดูภาพวงจรปิดต่อ
“ช่างเถอะ ไม่ต้องหาแล้ว คงหาไม่เจอแล้ว เรากลับบริษัทเถอะ กลับไปรายงานสถานการณ์ก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ วิดีโอกล้องวงจรปิดเหลือไม่กี่นาทีแล้ว ฉันดูให้จบก่อนดีกว่า เอาอย่างนี้พี่กลับไปก่อนฉันจะดูต่อเอง”
ซือหยวนมองจ้องหน้าเหม่ยลี่อย่างซาบซึ้งใจ
“งั้นฉันกลับก่อนนะ”
“ค่ะ”

ซือหยวนหยิบกระเป๋าถือลุกเดินออกไปอย่างเหนื่อยล้า หยุดที่ประตูห้องคอนโทรล หันมามองเหม่ยลี่ที่คร่ำเคร่งเช็คภาพโดยไม่ท้อถอยอีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้ง และรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

เหม่ยลี่เช็คดูกล้องวงจรปิดในห้องแต่งตัวต่อ จนมาถึงตอนสำคัญ

เจสันกำลังเตือนสติและเกลี้ยกล่อมเกาเหวินที่วีนแตกทะเลาะกับผู้กำกับ และกำลังเทกองถ่ายโฆษณา
“เธอเซ็นสัญญาแล้วถ้าเธอไปเราต้องชดใช้ค่าเสียหายนะ”
“ฉันบอกแล้วไงอย่าทำให้ฉันรำคาญได้มั้ย” เกาเหวินวีนแตกกวาดของทุกอย่างตรงโต๊ะกระจกแต่งหน้าลงพื้น หนึ่งในนั้นคือ กล่องสร้อยเพชร ซึ่งสร้อยเส้นนั้นตกลงในกระเป๋าสะพายของซุปตาร์สาวโดยไม่รู้ตัว
เหม่ยลี่ชะงัก กดย้อนดูภาพเหตุการณ์ตอนนี้อีกครั้งตั้งแต่ต้น
“ที่รัก คือว่า มีอะไรค่อยพูดค่อยจาสิ ทุกคนกำลังรอเราเข้าฉากอยู่นะ เธอเซ็นสัญญาแล้วถ้าเธอไปเราต้องชดใช้ค่าเสียหายนะ”
“อย่าทำให้ฉันรำคาญได้มั้ย”
“เธอบอกว่าเธอไม่ถ่าย เราต้องชดใช้ค่าเสียหายนะ”
“อย่าทำให้ฉันรำคาญได้มั้ย”
“ที่รัก...ที่รัก”

ไม่นานต่อมา เจสันยืนอยู่หลังเกาเหวินซึ่งนั่งเล่นเกมมือถืออยู่หน้าโต๊ะกระจกในห้องแต่งตัว ไม่อนาทรร้อนใจ และไม่เชื่อ หลังเหม่ยลี่ให้ดูเหตุการณ์จากวิดีโอกล้องวงจรปิดแล้ว
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เอาไป นี่คงทำขึ้นมาเองใช่มั้ย”
“ถ้าทำขึ้นมาเองได้ ฉันคงทำให้คุณตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เอ่อ...ฉันไม่ได้ว่าพวกคุณขโมยนะ”
เกาเหวินเงยหน้าจากเกมมือถือมามองเหม่ยลี่แว่บหนึ่ง
“เธอนี่เก่งจริงๆ นะ เขาว่าเธอขนาดนี้แล้วยังจะช่วยเขาอีกเหรอ เธอได้รับผลประโยชน์อะไรจากเขา”
“มันไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้เราดูวงจรปิดแล้ว ฉันต้องแสดงความบริสุทธิ์ของพี่ซือหยวนค่ะ”
“ฮึ ช่วยเขาเหรอ” เกาเหวินยิ้มเยาะหมั่นไส้ไม่หาย “แต่เขาไม่ได้สนใจความหวังดีของเธอเลย ตอนที่ฉันสงสัยเธอทำไมเขาไม่ออกมาช่วยเธอล่ะ”
“ตอนนี้ ฉันแค่อยากใช้ความจริงพิสูจน์เท่านั้น ตอนนี้พวกคุณก็เห็นทุกอย่างแล้ว”
เกาเหวินโกรธ กระแทกมือถือลงกับโต๊ะกระจก ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายใบเก๋มายัดใส่มือเหม่ยลี่
“หาเอาเองแล้วกัน”
เจสันพยามบอกให้เกาเหวินนึกดีๆ “ที่รัก สร้อยคอตกไปในกระเป๋าเธอ เธอจำไม่ได้เลยเหรอ”
เกาเหวินเหลียวขวับมามองตาขวางเจสันหุบปากทันที
“คุณไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยคิดจะสงสัยคุณเกา ฉันเชื่อว่าคงเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไปค่ะ”
เกาเหวินพอใจ “ดูเธอเชื่อใจฉันมาก ถือว่าไม่เลว”
เหม่ยลี่หาดูในกระเป๋าจนทั่ว แต่ก็ไม่เจอสร้อยเพชร
“แล้วทำไมสร้อยคอไม่อยู่ในนี้ล่ะ หรือว่าตกหายไป”
“เป็นไปไม่ได้” เกาเหวินเองก็แปลกใจ คว้ากระเป๋ามาเปิดดูเอง “ฉันยังไม่เคยแตะของในนี้เลย และฉันไม่ได้ไปในที่มีคนเยอะๆ ด้วย”
เกาเหวินนิ่งนึก แล้วชะงักกึก นึกไปถึงตอนแกล้งวางกระเป๋าลงข้างเบาะนั่งอี้หมิง ยกแขนไปลูบขา จนอีกฝ่ายสะดุ้ง แหกปากร้องโวยวาย
“เฮ้ย คุณทำอะไร ผมไม่ใช่คนมักง่ายอย่างที่คุณคิดนะ”
เกาเหวินหัวเราะคิกคัก ล้วงหยิบกระเป๋าขึ้นมาโชว์ให้ดู “ฉันเก็บกระเป๋า...กระเป๋า”

เกาเหวินนึกออก “อาจจะตกอยู่ในรถคันนั้น”
เหม่ยลี่ กะ เจสัน ประสานเสียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ในรถเหรอ”
“ใช่รถคันนั้น ไม่ใช่ รถคันนั้นฉันขึ้นไปนั่งโดยไม่รู้จักเจ้าของรถ แต่ฉันคิดว่าสร้อยคอต้องตกอยู่ในรถของเขา”
เจสันตกใจ “เธอขึ้นรถคนอื่นโดยพลการเหรอ รถคนแปลกหน้าเธอก็กล้าขึ้นเหรอ ถ้าเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมาเธอจะทำไง”
“งั้นสร้อยคอจะทำยังไงฉันจะไปหาที่ไหนล่ะ” เหม่ยลี่กังวลไม่หาย
“ไม่เป็นไรเธอไม่ต้องห่วง ถ้าสร้อยคอตกอยู่ในรถของเขาจริงเขาไม่มีทางปฏิเสธแน่ และเขาไม่มีทางบอกนักข่าวแน่” เกาเหวินหันไปทางเจสันที่ยืนกังวลอยู่ “เธอไม่ต้องห่วง”
“คุณมีวิธีตามหาเขาได้มั้ย”
เกาเหวินถอนใจเฮือก ส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเหมือนนึกบางอย่างได้ หันไปมองเจสันบอกยิ้มๆ ว่า “แต่ว่าเพื่อนเก่าของเราอาจจะรู้”
เจสันไม่เก็ต “เพื่อนเก่าเหรอ”
“ปาปารัซซี่ไง เรื่องอย่างนี้มีเหรอพวกเขาจะพลาด ต้องถ่ายตอนที่ฉันขึ้นรถได้แน่” เจสันตาเหลือก ตกใจ “ ถ้าถ่ายเจอตอนฉันขึ้นรถก็ต้องเจอเลขทะเบียนรถ ถ้าเจอเลขทะเบียนรถก็ต้องเจอสร้อยคอสิ จริงมั้ย ฮิๆๆ”
เกาเหวินมองหน้าเหม่ยลี่ที่ยืนงงอยู่ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมั่นใจ
เจสันแทบกระอัก ไม่เห็นด้วย “เธอบอกให้ไปหาปาปารัซซี่ ฉันว่าไม่เธอก็ฉันคงบ้าไปแล้ว ไม่ได้ๆ”
“งั้นเธอก็บ้าแล้ว เพราะเธอทำได้” เกาหวินสั่งแล้วหันมาทางเหม่ยลี่
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันต้องขอบคุณคุณมาก คุณฉลาดมากค่ะ”
“แต่คนใหญ่มักชมว่าฉันสวยนี่” เกาเหวินหัวเราะคิกคักชอบใจ เหมือนคนบ้ายอ
“งั้นฉันไปก่อนล่ะ”
เหม่ยลี่เดินออกไป เกาเหวินบ๊ายบายส่ง
“จ้ะ บ๊ายบาย แม่สาวน้อย”
เจสันแปลกใจ ประหลาดกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของซุปตาร์สาวจอมเหวี่ยงเอามากๆ
“ที่รัก ทำไมเธอถึงช่วยเขาล่ะ ไม่ใช่นิสัยของเธอเลยนะ”
“ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี ไร้เดียงสา”
เกาเหวินวางกระเป๋าถือไว้ ยิ้มบางๆ มองตามเหม่ยลี่ไป ก่อนจะหันมาส่งสายตาพิฆาตใส่เจสัน
“หาเลขทะเบียนรถสิ”
“เฮ้อ” เจสันถอนใจเฮือก สุดท้ายก็ช้านน
เกาเหวินเร่ง “โทรศัพท์สิ”
“จริงๆ เลย” เจสันบ่นบ้าหน้าคว่ำ

ไม่นานต่อมา ในความวุ่นวายรีบเร่งของมหานครเซี่ยงไฮ้ เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณมี่ใช่มั้ยครับ”
เหม่ยลี่ซึ่งยืนรอใครบางคนอยู่สักระยะหนึ่งแล้วหันมาทางเสียง เห็นเป็นนักข่าวหนุ่ม ถือกล้องในมือบ่งบอกวิชาชีพ เดินเข้ามาหา
“อ้อ สวัสดีค่ะ”
“นี่ครับ” นักข่าวยื่นกล้องซึ่งเปิดหน้าจอ ภาพถ่ายตอนที่เขาและเพื่อนนักข่าววิ่งตามเกาเหวินซึ่งหนีขึ้นรถอี้หมิงไป
เหม่ยลี่รับมายิ้มขอบคุณ “ขอบคุณที่ช่วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่เจสันวานมาทั้งทีเราต้องช่วยแน่นอน”
กดเลื่อนดูจากรูปด้านข้างจนเห็นรูปจับภาพท้ายรถ เหม่ยลี่สะดุดตากับทะเบียนรถคันดังกล่าว จึงกดขยายดูชัดๆ ให้มั่นใจ ก่อนจะพึมพำออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ คาดไม่ถึง
“เหลยอี้หมิง”

อี้หมิงรีบบึ่งรถมาหามี่เหม่ยลี่ในสวนสวยสถานที่หมาย เห็นรถของเขาทะยานเข้ามาจอดเทียบ ส่งเสียงโวยวายดังลั่นออกมานอกรถ
“โทร.เรียกฉันมาด่วนอย่างนี้ทำไม มีเรื่องอะไร”
เหม่ยลี่เปิดประตูทางฝั่งคนขับออก “อย่าเพิ่งถามเลยกำลังรีบ” แล้วยื่นหน้าพรวดเข้าไปค้นหาของอย่างร้อนใจ อี้หมิงตกใจยกมือปัดป้องร้องโวยวายพัลวัน เหม่ยลี่ค้นหาเปิดดูทุกซอกที่คิดว่าสร้อยจะตกหล่น แถมล้วงหาดูตามเบาะที่อี้หมิงนั่ง
“หลบไปๆๆ ฉันจะหาของ”
หมอหนุ่มขยับออกไปอย่างทะลักทุเล แหกปากโวยวายไม่หยุด
“เฮ้ย เธอจะหาอะไร อย่าจับมั่วนะ”
เหม่ยลี่แทรกตัวเข้ามานั่งตรงที่นั่งคนขับ “นายไปทางโน้น ฉันจะหาของ”
อี้หมิงงง “ไปไหน”
“นายไปนั่งทางโน้น” เหม่ยลี่ทั้งผลักทั้งดันอี้หมิงเร่งให้ไปนั่งอีกฝั่ง “เร็วๆๆ”
“อย่าผลักฉันได้มั้ย”
เหม่ยลี่เร่งใหญ่ “เร็วสิ”
“เป็นอะไร”
เหม่ยลี่สั่ง “ยกขาขึ้นมา...ยกขึ้นมา”
อี้หมิงเสียววาบ ยกขากระเถิบขึ้นไปเบียดตัวอยู่กับกระจกรถ
“เฮ้ยๆ เธอทำเกินไปแล้วนะ ห้ามจับมั่วสิ”
“ฉันหาของอยู่นะ”
มี่เหม่ยลี่ก้มหน้าก้มตาหาของอยู่พักหนึ่ง ก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“นี่ไง ดูสิ” เหม่ยลี่ยกสร้อยคอเพชรขึ้นมาโชว์
อี้หมิงงงเป็นไก่ตาแตก “นี่คืออะไร มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ในที่สุดก็หาเจอสักที นายนี่ถามแปลกๆ ฉันจะเอามาไว้ได้ไงเล่า ช่างเถอะฉันค่อยเล่าให้นายฟัง ไปขับรถนายรีบไปส่งฉันก่อน” เหม่ยลี่เก็บสร้อยใส่กระเป๋าเสื้อ บ่นบ้าปิดประตูรถปังคาดเข็มขัด หันมาสั่งอี้หมิงให้ออกรถ ทั้งที่เจ้าหล่อนนั่งอยู่หน้าพวงมาลัย “ขับรถสิ ทำไมต้องมองฉันด้วย”
อี้หมิงนั่งไขว่ห้างมองเฉย “เธอทำอะไร”
“พูดมากอยู่ได้ ขับรถสิ” อี้หมิงผายมือไปที่พวงมาลัย เหม่ยลี่หน้าแตก กลอกตาพลางบอก “เปลี่ยนที่นั่งดีกว่า”
สองคนเปิดประตูเดินอ้อมหน้ารถมาชนกันโครม อี้หมิง ร้องลั่น
“โอ๊ยๆๆ”
ทั้งคู่ขึ้นนั่งประจำที่ เหม่ยลี่เร่งใหญ่ “นายนี่ เร็วเซ่”
“รัดเข็มขัดก่อน”
เหม่ยลี่ “รู้แล้ว”
“เตรียมพร้อม”
เหม่ยลี่พยักหน้าหงึก “ไปได้”
อี้หมิงร้องบอก
“Let’s go”
รถทะยานออกไปจากสวนสาธารณะแห่งนั้น แรงเร็วราวกับจะบินเหมือนตอนขามาเปี๊ยบ

เซี่ยวเจิ้นตง บิดาของเซี่ยวเลี่ยง ให้คนโทร.ตามลูกชายมาทานข้าวด้วยกันที่บ้าน เวลานี้นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารอย่างพร้อมหน้า กับ น้าหลิน แม่เลี้ยง และจื่อเหลียง ลูกชายคนเล็ก แต่บรรยากาศดูมาคุ อึมครึม มึนตึงพิกล และมองออกได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ไม่สู้จะดีนัก
ที่แท้ประธานเซี่ยวเลี่ยง กับ รองประธานหลินจื่อเหลียง เป็นพี่น้องร่วมบิดา แต่ต่างมารดากัน
น้าหลินพยายามเอาใจคีบอาหารโปรดให้ “เซี่ยวเลี่ยง น้ารู้ว่าเธอชอบกินเลยทำให้เป็นพิเศษ มา”
เซี่ยวเลี่ยงเมินมอง แถมหันไปคีบอย่างอื่นกิน น้าหลินหน้าเสีย เจิ้นตงไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไรให้บรรยากาศเสีย จื่อเหลียงเห็นเซี่ยวเลี่ยงดื่มเหล้าเจริญอาหารจนหมดแก้ว จึงลุกหยิบเหยือกเหล้ามาจะเทเติมให้
“พี่...พี่ มา ดื่มหน่อยสิ” แต่จื่อเหลียงต้องชะงักค้างเก้อไป เพราะ เซี่ยวเลี่ยงคว่ำแก้วลงกับโต๊ะ ดังปึง
น้าหลินรู้ดีว่าเซี่ยวเลี่ยงไม่ชอบขี้หน้าตนและลูกมาตั้งแต่สมัยยังเด็กๆ แล้ว และเป็นเหตุผลที่เซี่ยวเลี่ยงย้ายออกไปอยู่ข้างนอก จึงรีบลุก ขอตัวกับเจิ้นตง
“ฉันไม่หิว พวกคุณทานเถอะค่ะ”
“ถ้าไม่หิว ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน เรายังมีงานต้องคุยกัน” เจิ้นตงเข้าใจ หันมาทางจื่อเหลียง “จื่อเหลียง”
“ครับ”
“ไปดูแลแม่สิ”
“ครับ” จื่อเหลียงตามแม่ขึ้นห้องไป
เจิ้นตงวางตะเกียบลงอย่างหงุดหงิด ต่อว่าลูกชายเสียงขุ่นเขียว “นานทีจะได้กินข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัว ทำไมแกต้องทำให้เป็นเรื่องด้วยล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะย้อนแย้ง “ครอบครัวเหรอพ่อ ผมบอกแล้วว่าเวลากินข้าวกับพ่อผมไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ด้วย”
เจิ้นตงยัวะ “จื่อเหลียงเป็นน้องชายของแก น้าหลินก็เป็นแม่ของเขา ไม่มีคนนอกอย่างที่แกเข้าใจหรอก”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มหยัน “น้องชายเหรอ พ่ออย่าลืมว่ารองประธานหลิน เขาแซ่หลิน ไม่ใช่เซี่ยว”
เจิ้นตงตวาด “หุบปากนะ”
เซี่ยวเลี่ยวขุ่นมัวในอารมณ์เอาการ “ถ้าพ่อไม่อยากให้ผมกลับ คราวหน้าช่วยบอกล่วงหน้าด้วย”
เจิ้นตงโกรสุดขีด “น้าหลินเขาทำอะไรไม่ดีกับแก ตอนที่เขาคลอดจื่อเหลียง กลัวว่าแกจะเสียใจ เขาเป็นคนเสนอเองว่าจะให้จื่อเหลียงแซ่เดียวกับเขา หลายปีมานี้เขาดูแลบ้านเรา ทำหน้าที่แทนแม่ของแกทุกอย่าง”
เซี่ยวเลี่ยงไม่พอใจที่พ่อเอาแม่ไปเปรียบกับแม่เลี้ยง
“นั่นเป็นความต้องการของพ่อ อย่าเอาผู้หญิงอื่นมาเทียบแม่ผม เพราะไม่มีใครเทียบแม่ผมได้”
“จะมากไปแล้วนะ” เจิ้นตงโมโหสุดขีดตบโต๊ะปัง ลุกพรวดขึ้น ถอนใจอย่างเอือมระอา “ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ที่ฉันหย่ากับแม่แก ไม่เกี่ยวข้องกับน้าหลินเลย หลังจากแม่แกจากไปฉันถึงอยู่กับเขา ฉันต้องพูดยังไงแกถึงจะเข้าใจ”
คำตอนท้ายเจิ้นตงพูดแทบเป็นตวาด เซี่ยวเลี่ยงหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ เราทะเลาะกันมาหลายปีแล้ว ทะเลาะกันต่อไป ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก”
ชายสูงวัยทอดถอนใจ คว้าแก้วเหล้ามาดื่มจนหมด วางแก้ว แล้วลงนั่ง หันมาทางลูกชาย
“ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่า ทำไมตัวแก ถึงไม่ยอมเชื่อใจใครเลย แล้วยังไปคบกับดาราหญิงคนนั้นอีก ฉันคิดว่า เป็นเพราะเรื่องที่เยี่ยฉี เลิกกับแกตอนนั้นใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงลุกพรวด คว้าสูทตรงพนักเก้าอี้มาสวมเดินหนีออกไปเลย ไม่สนใจเสียงเรียกของบิดา
“แกจะไปไหน”

เจิ้นตงทุบโต๊ะอีกปัง แล้วก้มหน้าลงอย่างเหนื่อยใจ

เช้าวันต่อมา เหม่ยลี่สะพายกระเป๋าคล้องเสื้อคลุมกับแขน เดินเข้ามาในแผนกออกแบบแต่เช้า ในมือถือกล่องสร้อยเพชรมาด้วย หยุดตรงโต๊ะคุยงานเหลียวพลางมองหาซือหยวนแต่ไม่เห็น

เจอยิวยิวเพื่อนในแผนก ถือแก้วกาแฟเดินสวนมาจากแพนทรีพอดี จึงเรียกไว้
“ยิวยิว”
ยิวยิวหันมามองฉงน “หืม?”
“วันนี้พี่ซือหยวนไม่มาเหรอ”
“ไม่รู้สิฉันยังไม่เห็นเลย” ยิวยิวเดินไปที่โต๊ะ
“ขอบคุณนะ”
เหม่ยลี่วางกล่องสร้อย และเสื้อคลุมลงบนโต๊ะ กดโทร.หา ซือหยวน แต่สายถูกโอนให้ฝากข้อความเสียงไว้
“สวัสดีค่ะฉันหลิวซือหยวน ตอนนี้ไม่สะดวกรับโทรศัพท์ กรุณาฝากข้อความเสียง”
เหม่ยลี่วางสายไป ด้วยสีหน้ากังวลระคนเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่
“ทำไมไม่รับสายนะ”

ไม่นานต่อมา กล่องสร้อยเพชรถูกวางลงบนโต๊ะทำงานต่อหน้าเซี่ยวเลี่ยง
“คุณเซี่ยว ตามหาสร้อยเจอแล้วค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงผายมือให้ ถามด้วยสีหน้าโล่งใจแกมประหลาดใจ “เชิญนั่ง หาเจอได้ยังไง”
เหม่ยลี่ลงนั่ง เรียบเรียงคำพูดอธิบายออกไปตามจริง แต่พูดความจริงไม่หมด เพราะไม่อยากให้ใครเสียหาย โดยเฉพาะเกาเหวิน
“เอ่อ...เราไปดูกล้องวงจรปิด ต่อมา...ต่อมาพบว่า ความจริงแล้วทำตกหาย ตอนนี้หาสร้อยคอเจอแล้ว เราตรวจสอบดูแล้วด้วย ไม่มีความเสียหายเลยค่ะ”
“อืม งั้นก็ดี” เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับรู้ จนสังเกตเห็นสีหน้าอันซีดเซียวของเหม่ยลี่ “เอ่อ...คุณเป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีเลยท่าทางเหมือนเหนื่อยมาก คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยใช่มั้ย วันนี้คุณไม่ต้องทำงานกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบคุณคุณเซี่ยว อืม แต่ว่าคุณเซี่ยว...” เหม่ยลี่รวบรวมความกล้า เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้าจากงานบนโต๊ะมามอง
“ในเมื่อตอนนี้ปัญหาคลี่คลายแล้ว คุณจะไม่ คาดโทษพี่ซือหยวนแล้วใช่มั้ยคะ”
เซี่ยวเลี่ยงเองก็ลำบากใจ “ไล่ออกก็ส่วนไล่ออก ไม่เกี่ยวกับตามหาสร้อยเจอแล้ว บริษัทจะไล่เขาออกตามกฎ”
“แต่ตอนนี้ก็เจอสร้อยแล้ว เราก็ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วด้วย ในเมื่อพี่ซือหยวนไม่ได้เป็นคนทำหาย งั้น คุณจะยกโทษให้เขาสักครั้งไม่ได้เหรอ”
“ถ้าทุกคนทำผิด ต้องให้ผมยกโทษให้ แล้วจะมีหัวหน้าแผนกไว้ทำไม” เซี่ยวเลี่ยงว่า
เหม่ยลี่อธิบายด้วยเหตุผล “แต่ถ้าคุณไล่เขาออกล่ะก็ คนอื่นจะคิดว่าเขาขโมยจริง เขาแค่กลัวว่าจะถูกไล่ออกจึงตามหาสร้อยคอมาจนได้ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาจะเผชิญหน้ากับทุกคนยังไง ฉันเกรงว่าทั้งบริษัทจะไม่ยอมรับเธอค่ะ”
“เขาไม่ได้รับการยอมรับจากทุกคนมันเกี่ยวอะไรกับผม สิ่งที่ผมพูดแล้ว จะไม่มีทางคืนคำแน่ คุณกลับไปได้”
เซี่ยวเลี่ยงย้อนแย้งยกหลักการมาอ้าง แล้วหันไปดูงานบนจอคอมตรงหน้าต่อ
เหม่ยลี่ลุกเดินออกไป แต่หยุดในอีก 2-3 ก้าว นิ่งนึก สูดลมหายใจ หันมาเผชิญหน้าซีอีโอหนุ่มอีกครั้ง
“คุณเซี่ยว คุณอาจไม่เคยยอมใครมาก่อน” เซี่ยวเลี่ยงฟังไป โดยมือจับเมาส์ตรวจงานบนจอไป “ดังนั้น คุณจึงไม่สนใจความรู้สึกของพนักงานอย่างเรา แต่ถึงแม้ตำแหน่งเล็กๆ ที่คุณไม่เคยสนใจ ก็อาจเป็นความหวังเล็กๆ ของใครคนหนึ่ง คุณต้องการไล่คนออก เพียงแค่พูดคำเดียว แต่คนที่อยากทำงานอย่างพวกเรา ต้องทุ่มเทหลายสิบเท่าหรือแม้แต่ความพยายามทั้งหมด เพียงเพื่อให้ได้ทำงาน เพียงแค่คุณบอกว่า ‘ผมเชื่อคุณ’ บางทีเขาอาจรู้สึกว่าทั้งชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความหวัง การละเมิดกฎเพื่อให้อภัยอีกคน มันดีกว่า ทำลายความหวังทั้งชีวิตของเขาไม่ใช่เหรอคะ”
เซี่ยวเลี่ยงละมือจากงานหันมาถาม “คุณพูดจบรึยัง”
“จบแล้วค่ะ”
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว”
เหม่ยลี่เดินหน้าเศร้าคอตกออกไป โดยไม่รู้ว่าเซี่ยวเลี่ยงถอนหายใจออกมาเหมือนคนคิดหนัก ขณะเหลียวมองตามเธอจนพ้นประตูไป ก่อนจะคลายเนกไทที่รัดคอเขาจนแน่นออกด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง

เหม่ยลี่กลับเข้ามาในแผนกออกแบบ เดินไปชงกาแฟ เห็นซือหยวนนั่งเศร้าอยู่ตรงเคาน์เตอร์ในแพนทรีมีแก้วกาแฟและเอกสารบางอย่างวางตรงหน้า จึงเดินไปหา
“ทำไมคุณไม่รับสายเลยล่ะ ฉันเจอสร้อยคอแล้วค่ะ”
ซือหยวนหันมาหาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ “จริงเหรอ ไปหาเจอที่ไหน เธอเอาให้คุณเซี่ยวแล้วเหรอ”
เหม่ยลี่หน้าเศร้าลง “แต่คุณเซี่ยว ยังให้คุณรับผิดชอบความผิดครั้งนี้ ขอโทษค่ะพี่ซือหยวน ฉันพยายามที่สุดแล้ว”
ซือหยวนอึ้งไปอย่างยอมรับชะตา มองจ้องหน้ารุ่นน้องในแผนกที่เธอร้ายใส่มาตลอด
“แต่ตอนนี้ฉันอยากถามเธอเรื่องหนึ่ง ปกติฉันไม่ดีกับเธอ ทำไมเธอต้องช่วยฉัน”
เหม่ยลี่ถอนใจเฮือก “ฉันไม่รู้เหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่า ฉันคงเศร้าเสียใจบ่อยๆ มั้ง ฉันจึงรู้ว่าในช่วงเวลานั้น ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นที่สุด”
ซือหยวนแค่นยิ้ม “ใครจะเชื่อเธอล่ะ ผู้หญิงที่สวยอย่างเธอ ตั้งแต่เล็กจนโต คงจะมีแต่คนชอบเธอมากกว่า จะมีช่วงเวลาแบบนั้นได้ยังไงล่ะ”
เหม่ยลี่ไม่ตอบอะไรอีก

ตอนสายวันนั้น พนักงานระดับหัวหน้างานและผู้ช่วยทุกคนพร้อมอยู่ในห้องประชุมเทซีโร่แล้ว รวมทั้งซือหยวนกับเหม่ยลี่จากแผนกออกแบบเครื่องประดับ เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามานั่งตรงหัวโต๊ะเป็นคนสุดท้าย มีฉีหยูตามหลังมาเช่นเคย
“สถิติยอดขายเดือนนี้ออกแล้วเหรอ”
พนักงานชายฝ่ายขายรายงาน “ออกมาแล้วครับ แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
จื่อเหลียงมองหน้าเซี่ยวเลี่ยง เอ่ยขึ้นว่า “คุณเซี่ยว ดูเหมือนจะไม่บรรลุ เป้าหมายที่คุณตั้งไว้นะ”
พนักงานชายคนเดิมเสริมว่า “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คุณคาดหวังเท่านั้น เพราะสถานการณ์ตลาดผันผวนอยู่ตลอดเวลา”
“ในเมื่อผมสัญญาแล้ว ต้องไม่เป็นเพียงความคาดหวังแน่นอน เพราะการโฆษณารอบใหม่จะเข้าสู่ตลาดเร็วๆ นี้ สถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขอให้ทุกแผนก อย่าทำงานสะเพร่าล่ะ”
จื่อเหลียงเยื้อนยิ้มทักท้วงขึ้น “ถึงจะมีการโฆษณาใหม่ แต่จะดึงให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ได้ยังไงล่ะ คุณเซี่ยว ความคิดของคุณ มองโลกในแง่ดีเกินไปรึเปล่า”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มมุมปากมองหน้าน้องชายต่างมารดาเขม็ง “ในเมื่อความคิดของผมดีเกินไป มองโลกในแง่ดีหรือไม่ คอยดูก็แล้วกัน เรื่องนี้รองประธานหลินไม่ต้องเป็นห่วง อ้อ แต่ปัญหาเกี่ยวกับการขโมยเครื่องประดับ”
ซือหยวนหน้าเครียด สูดลมหายใจ พร้อมยอมรับชะตากรรม
“คุณเซี่ยว เรื่องนี้ผมตัดสินใจแล้ว ไล่ผู้รับผิดชอบหลิวซือหยวนออก” จื่อเหลียงแจ้งที่ประชุม
แม้จะทำใจมาแล้วแต่สองสาวก็พากันตกใจ เหลียวขวับไปยังหัวโต๊ะ เหม่ยลี่คัดค้านขึ้นทันควัน
“คุณเซี่ยว ให้โอกาสพี่ซือหยวนสักครั้งเถอะ เขาไม่ได้ขโมยสร้อยไปจริงๆ”
จื่อเหลียงไม่พอใจ หันมามองปรามด้วยสีหน้าตำหนิ “ผู้ช่วยมี่ ระวังฐานะของด้วย”
“ในเมื่อตามหาสร้อยเจอแล้ว ก็ทำงานที่เหลือไปตามปกติเถอะ”
คำพูดของเซี่ยวเลี่ยงทำเอาที่ประชุมอึ้งไปทั้งห้อง ซือหยวนประหลาดใจถึงขีดสุดไม่อยากเชื่อหู
จื่อเหลียงทักท้วงทันที “คุณเซี่ยว ไม่เอาผิดหลิวซือหยวนแล้วเหรอ แต่มันเป็นกฎระเบียบของบริษัทนะ”
เซี่ยวเลี่ยงวางปากกาในมือ หันมาจ้องหน้าน้องชายต่างมารดาเขม็ง “หรือว่าคุณไม่เคยทำผิดพลาดมาก่อน ถ้าละเมิดกฎ เพื่อให้อภัยอีกคน มันดีกว่าทำลายความหวังของเขาไม่ใช่เหรอ”
เหม่ยลี่นิ่งฟังอย่างพึงพอใจ ที่ซีอีโอหนุ่มเอาคำพูดเธอไปคิดและทำตาม
“ผมตัดสินใจ ไม่เอาเรื่องคนรับผิดชอบเรื่องนี้ แต่ว่า ครั้งนี้แค่ครั้งเดียว เลิกประชุม”
เซี่ยวเลี่ยงลุกเดินออกไปทันที ฉีหยูรวบเอกสารบนโต๊ะรีบตามไป
เหม่ยลี่ยิ้มให้กำลังใจซือหยวนแล้วเก็บของ ลุกเดินออกไป ทุกคนทยอยลุกเดินออกไปจากห้องประชุม

จื่อเหลียงคลายเนกไทในสีหน้าอันขัดเคืองใจ ซือหยวนรวบแฟ้มตรงหน้าเดินมาหาจื่อเหลียงโค้งต่ำขอบคุณ
“ท่านรองหลิน ขอบคุณค่ะ”
“ตอนนี้เธอยกย่องคุณเซี่ยวแล้วไม่ใช่เหรอ มาขอบคุณฉันทำไม”
จื่อเหลียงลุกเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว เพราะวันนี้เขาเสียหน้าในที่ประชุมเป็นอย่างมาก

ไม่นานต่อมา เซี่ยวเลี่ยงต้องพบกับความประหลาดในทันทีที่เขาพาเรือนร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามาในล็อบบี้เทซีโร่ เพื่อออกไปทำธุระข้างนอก พร้อมกับฉีหยู
พนักงงานหญิงชุดดำเดินสวนมาค้อมหัวยิ้มทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเซี่ยว”
ไม่กี่ก้าว หญิงชุดฟ้า และหญิงชุดเขียว ก็ค้อมหัวยิ้มทักทายเช่นกัน “สวัสดีค่ะ”
กลุ่มพนักงานที่นั่งอยู่ตรงโซฟาล็อบบี้ ยืนขึ้นทักเสียงเกรียวกราว
“สวัสดีค่ะคุณเซี่ยว” / “สวัสดีครับคุณเซี่ยว”
ฉีหยูยิ้มกริ่มดีใจเดินนำไปเตรียมรถ เซี่ยวเลี่ยงอึ้งๆ งงๆ อยู่ ดีดนิ้วเรียกไว้ ป้องปากถามฉีหยูที่หันมาหาเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ อาจเป็นเพราะเมื่อกี้คุณช่วยพนักงานทุกคนเลยรู้สึกว่าคุณเป็นกันเองมาก”
เซี่ยวเลี่ยงฉงนทวนคำ “เป็นกันเองเหรอ”
“เมื่อก่อนเวลาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คุณจะไล่พนักงานออกตามกฎระเบียบนี่ครับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณไม่เอาผิดพนักงาน” ฉีหยูยิ้มกว้างชื่นชมผู้เป็นนาย “คุณเซี่ยว คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงถามเสียงเบาอีกเหมือนไม่อยากเชื่อ
ฉีหยูยิ้มทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “บางครั้งการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เซี่ยวเลี่ยงเหลียวไปมองพนักงานในล็อบบี้ ยิ้มเก้อๆ ทำหน้าไม่ถูก เดินนำออกไป ฉีหยูยิ้มกริ่มสุขใจแล้วรีบหมุนตัวตามเจ้านายไป

พ้นประตูออกมาเซี่ยวเลี่ยงหยุดยืนที่หน้าตึก
ฉีหยูบอกว่า “คุณเซี่ยว ผมไปเอารถมานะ”
“อื้ม” เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าให้

เหม่ยลี่วิ่งกระหืดกระหอบออกมาหน้าตึก เห็นเซี่ยวเลี่ยงยืนอยู่รีบเข้าไปหา
“คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงหันมามองงงๆ “มีอะไรล่ะ”
เหม่ยลี่ยิ้มให้ “ฉันมาขอบคุณคุณค่ะ ขอบคุณที่คุณเชื่อฉัน ขอบคุณที่ไม่ไล่พี่ซือหยวนออก”
“เรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตเลย” เซี่ยวเลี่ยงยิ้มบางๆ
“แม้ว่าสำหรับคุณแล้วอาจเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่สำหรับฉันแล้วมีความสำคัญมาก เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ฉันทำถูกต้อง ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่คำว่าผลประโยชน์ไม่ใช่เหรอคะ”
เซี่ยวเลี่ยงขยับเข้ามาใกล้ “เพราะความมุ่งมั่นของคุณ คุณรู้มั้ยว่ามันนำอะไรมา ทุกครั้งที่คุณปรากฏตัวต้องเกิดปัญหาเสมอ มันสามารถทำให้ปัญหาคลี่คลายได้จริง แต่ไม่เคยทำอะไรตามกฎระเบียบ ผมเกลียดคนที่มาเปลี่ยนหลักการของผม ไม่ว่าใคร ก็อย่าคิดจะเปลี่ยนความคิดผมเด็ดขาด”
เหม่ยลี่อึ้งไป “คุณคิดว่าทำพลาดเหรอคะ”
“ทำพลาดสิ เพราะวันนี้ผมไม่ควรเชื่อคุณ” เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ “อย่าใช้สายตาอย่างนี้มองผม และไม่ต้องโผล่มาให้ผมเห็นหน้าอีก ไปซะ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินไปขึ้นรถที่ฉีหยูเปิดประตูรออยู่แล้ว ฉีหยูสตาร์ตเครื่อง เคลื่อนรถออกไปช้าๆ
เหม่ยลี่ยืนอึ้ง มองตามรถเซี่ยวเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเศร้า

สุดท้ายเซี่ยวเลี่ยงก็ยังมองเธอในแง่ร้ายอยู่ดี

เย็นนั้นอี้หมิงเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูในบ้าน เพราะเห็นเลยเวลาเลิกงานนานแล้ว จนได้ยินเสียงคนเดินใกล้ประตูเข้า จึงรีบเผ่นมานั่งเก๊กขรึมอยู่ที่โต๊ะทานอาหาร ร้องทักขึ้นพร้อมๆ กับ เหม่ยลี่ ที่เปิดประตูเข้ามา

“กลับมาแล้วเหรอ” / “ฉันกลับมาแล้ว”
อี้หมิงลุกเดินไปหา “เรื่องสร้อยคอเป็นไงบ้าง”
“เรียบร้อยแล้ว”
อี้หมิงเห็นสีหน้าเบื่อโลกของเหม่ยลี่ก็แปลกใจ “ทำไมเธอยังทำหน้าอย่างนี้ล่ะ”
เหม่ยลี่ทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะทานอาหาร อี้หมิงเทน้ำจากเหยือกใส่แก้ววางให้ส่วนตัวเองลงนั่งอีกฝั่ง
“เซี่ยวเลี่ยงต่อว่าฉันชุดใหญ่เลย เขาบอกว่าเจอฉันเมื่อไหร่ ก็มีปัญหาทุกทีท่าทางเขาจะไม่ชอบฉันมาก”
“เธอไม่ได้ทำสร้อยคอหาย เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าเธอ” อี้หมิงของขึ้นโมโหแทน
เหม่ยลี่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไปอึกแล้ววางลง “คงจะเป็นเพราะเขาเกลียดขี้หน้าฉัน เลยต้องการกำจัดฉันออกไปมั้ง”
“กำจัดก็กำจัดสิ แค่คนที่เธอแอบรักไม่เห็นต้องแคร์เลย ยัยอ้วนเอาความกล้าหาญของเธอออกมา ต่อไปอย่าไปสนใจเขาอีก ดูสิว่าเขาจะทำอะไรได้”
“นั่นสิ เขาคงคิดว่าฉันชอบเขามากสินะ” เหม่ยลี่หน้าเศร้าลง
อี้หมิงพูดด้วยหน้าตาจริงจัง “ยัยอ้วน ที่จริงฉันอยากบอกเธอมานานแล้ว เซี่ยวเลี่ยงไม่ดีพอจะให้เธอรักหรอก เธอคิดดู 20 ปีมานี้ ฉันเห็นเธอลำบากมากขนาดไหน ถ้าตอนนี้เธอจะชอบใครสักคน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องดีกว่าฉัน ฉันจะยกเธอให้เซี่ยวเลี่ยงง่ายๆ ได้ไงล่ะ”
เหม่ยลี่งงเพราะเมื่อก่อนอี้หมิงออกโรงเชียร์เหยงๆ “นายสนับสนุนฉันให้จีบเซี่ยวเลี่ยงมาตลอดไม่ใช่เหรอ วันนี้ทำไมจู่ๆ ถึง...”
อี้หมิงอึกอักไปชั่วขณะ “เพราะว่า...เป็นเพราะเซี่ยวเลี่ยงไม่รู้จักรักษาเธอไว้ คิดดูสิตั้งแต่รู้จักเซี่ยวเลี่ยงจนถึงตอนนี้ เธอลำบากแค่ไหนต้องเสียน้ำตาไปเท่าไหร่ เอางี้ฉันจะยกตัวอย่างให้เธอดู เธอดูโรมีโอกับจูเลียตสิ พวกเขาลำบากแค่ไหนเสียน้ำตาไปเท่าไหร่ แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ”
เหม่ยลี่บอกว่า “สุดท้ายพวกเขาก็ตายและกลายเป็นผีเสื้อ”
“ไม่ใช่ นั่นมันเรื่องเหลียงซานป๋อกับจูอิงไท่ ฉันพูดถึงโรมีโอกับจูเลียต สุดท้ายโรมีโอกับจูเลียตก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย พวกเขาไม่ได้…”
อี้หมิงขยี้จนเหม่ยลี่ทนฟังไม่ไหว “พอแล้วฉันรู้แล้ว นายพูดเยอะขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหลียงจูหรือโรมีโอกับจูเลียต นายจะบอกฉันว่า ยังไงก็ห้ามยอมแพ้ใช่มั้ย”
“รอเดี๋ยวนะ” อี้หมิงลุกไปหาของหลังเคาน์เตรียมในแพนทรี “อยู่ไหนนะ” ได้ขวดน้ำมันแบบกดฉีดติดมือกลับมา นั่งลง สาธิตมาดขึงขัง
“เธอดูนะ น้ำแก้วนี้ เป็นตัวแทนเธอที่บริสุทธิ์” อี้หมิงหยิบแก้วน้ำเมื่อครู่วางลง แล้วชี้ขวดน้ำมัน “และขวดนี้เป็นตัวแทนเซี่ยวเลี่ยง เธอคิดว่าน้ำกับน้ำมัน เข้ากันได้มั้ยล่ะ”
อี้หมิงจัดการฉีดน้ำมันลงไปในน้ำ
“ดูให้ดีนะ เธอดูเอาเอง เธอดูสิ”
เหม่ยลี่เห็นน้ำมันลอยตัวขึ้นมาอยู่เหนือน้ำจนหมด
“ฉันรู้ว่านายกลัวฉันจะเสียใจ ไม่เสียแรงที่นายเป็นเพื่อนรักของฉัน ดังนั้นในบางครั้ง ฉันคิดว่ามิตรภาพสำคัญกว่าความรัก เพราะในใจของฉันนายคือลมหายใจที่สำคัญที่สุด”
อี้หมิงทำหน้าไม่ถูก ที่จนแล้วจนรอดยัยอ้วนก็มองเขาเป็นเพียงเพื่อน ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
“อื้ม”

กลางดึกคืนหนึ่ง เกาเหวินเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งในห้องรับแขกที่คอนโดเจสัน
“อีกแล้วๆๆๆ มีข่าวฉาวอะไรอีกแล้วถึงเรียกฉันมาดึกขนาดนี้”
เจสันเลื่อนรูปถ่ายอัดลงบนกระดาษหลายใบไปให้ เกาเหวินรับไปพลิกดู ฟังผู้จัดการบ่นไป
“พรุ่งนี้จะออกแล้ว เธอดูเอาเองเถอะ รีบบอกฉันมาว่าเขาเป็นใคร ทำไมไม่รายงานฉันก่อน หะ ทำไมต้องคบกับเขาด้วย”
รูปทั้งหมดเป็นรูปคู่ของเกาเหวินกับอี้หมิง ตอนที่ทั้งคู่กำลังสนุกสนานสุดเหวี่ยงอยู่กับสารพันเครื่องเล่นในห้าง ทั้งตอนขี่รถมอ’ไซค์แข่งกัน และโยนบาสลงห่วง เกาเหวินวางรูปลงไม่ได้สะทกสะท้านสักนิด
“เขาเป็นคนที่ฉันเจอโดยบังเอิญ เขาเป็นคนขับรถให้ฉัน วันที่สร้อยคอหายไปไง เธอก็แถลงข่าวไปสิ เรื่องแค่นี้ก็มาหาฉันเหรอ”
เจสันปวดตับ ลุกมานั่งข้างๆ จ้องหน้าเตือนสติซุปตาร์สาว “โธ่เอ๊ย ฉันบอกเธอแล้วไง ให้เธอเก็บอารมณ์บ้าง ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอจะเสียเปรียบนะ อย่าลืมว่าครั้งแรกเธอปีนขึ้นมาได้ยังไง หรือว่าเธออยากกลับไปเหมือนเดิม หะ อยากกลายเป็นคนเดิมงั้นเหรอ”
“คอยดูแล้วกัน” เกาเหวินยักคิ้วให้
เจสันค้อนควัก “คอยดูน่ะสิ”
เกาเหวินหยิบรูปมาดูอีกที ยื่นออกไปสุดแขน หากเป็นเมื่อก่อนคงอาละวาดระเบิดลงไปแล้ว แต่คราวนี้นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชอบใจ
“ถ่ายได้สวยมากเลยนี่”
เจสันหันหน้าหนี อยากจะบ้าตาย

คืนเดียวกันนี้เซี่ยวเลี่ยงจัดเลี้ยงขอบคุณทีมงานถ่ายทำโฆษณาที่โรงแรม ฮิลตัน เซี่ยงไฮ้ หงเฉียว
เหม่ยลี่ต้องออกจากบ้านมารับซือหยวนซึ่งมาร่วมงานด้วย และเวลานี้อยู่ในสภาพเมาแอ่นไม่ได้สติ เพื่อพากลับบ้าน
“ระวังๆ ค่อยๆ เดิน”
สองสาวเดินออกมาที่หน้าโรงแรม ซือหยวนซวนเซส่งเสียงอ้อแอ้มาตลอดทาง เฝ้าแต่ขอบคุณเหม่ยลี่เรื่องสร้อยคอ
“วันนี้ฉันมีความสุขมาก คุณเซี่ยวเลี้ยงอาหารเราด้วย ฮิๆๆ ฉันขอบคุณเธอมาก สร้อยคอหาเจอแล้ว”
เหม่ยลี่ถามที่อยู่บ้านซือหยวน “พี่ซือหยวนดื่มมากแล้ว บ้านพี่อยู่ไหน ฉันจะให้แท็กซี่ไปส่งพี่”
“ถนนชิงผู ชุมชนผิงฝาง”
เหม่ยลี่จับซือหยวนพามาขึ้นแท็กซี่ที่จอดรอบริการลูกค้าโรงแรมอยู่ “พี่ขึ้นรถก่อน แท็กซี่”
ซือหยวนไม่ยอมขึ้นจะเดินหนี “ฉันไม่ไปรถแท็กซี่...ไฟฟ้าใต้ดิน...ฉันจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน”
“ไม่เป็นไรๆ ใช่ๆๆ ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน มาๆๆ เข้าไปก่อน”
เหม่ยลี่หลอกว่ากำลังขึ้นรถไฟฟ้า แล้วจับซือหยวนขึ้นนั่งเบาะหลังจนได้
ซือหยวนโบกมือ “บ๊ายบาย”
“ระวังหน่อยนะ” เหม่ยลี่โบกตอบ รีบมาบอกทางแท็กซี่ “แท็กซี่ ช่วยไปส่งชุมชนผิงฝางด้วย ขอบคุณมากค่ะ”

รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไป ในจังหวะที่ผู้กำกับและทีมงานถ่ายทำโฆษณาเดินออกมาหน้าโรงแรม พร้อมกับเซี่ยวเลี่ยงที่ออกมายืนส่ง
“คุณเซี่ยว ขอบคุณมากครับที่เลี้ยงอาหารเรา” ผู้กำกับโค้งขอบคุณยื่นมือมาจับ
เซี่ยวเลี่ยงจับตอบ ยิ้มให้ “ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณครับ งั้นเรากลับก่อนครับ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้า “อื้ม”
หญิงชุดเหลืองผู้ช่วยผู้กำกับโบกมือลา “ขอบคุณคุณเซี่ยวค่ะ บ๊ายบายค่ะคุณเซี่ยว”
ทีมงานที่ทยอยเดินตามออกมา โบกมือลาเซี่ยวเลี่ยง เดินไปขึ้นรถที่ลานจอดรถ
เซี่ยวเลี่ยงมองไปแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเหม่ยลี่ซึ่งหันมามองเขาเช่นกันและยิ้มบางๆ ให้
ไม่ทันที่ซีอีโอหนุ่มจะแยกเขี้ยวใส่ ฉีหยูก็เข้ามาขัดจังหวะก่อน
“คุณเซี่ยว” เซี่ยวเลี่ยงหันไปหา “เกาเหวินบอกว่าจะมาหาคุณ”
“ตอนนี้เหรอ”
ฉีหยูพยักหน้า “เธอกำลังออกเดินทางมา และใกล้ถึงแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ได้สนใจฟัง มองเลยไปตรงที่เหม่ยลี่ยืนอยู่ แต่ไม่มีพนักงานสาวจอมจุ้นอยู่ตรงนั้นแล้ว เหลียวหาจนทั่วก็ไม่เจอ
“คุณเซี่ยว” ฉีหยูงงว่าเจ้านายมองหาใคร
เซี่ยวเลี่ยงไม่พูดอะไร เดินกลับเข้าไปในโรงแรมพร้อมกับฉีหยู

เซี่ยวเลี่ยงนั่งจิบไวน์อยู่ตรงโซฟาในห้องของโรงแรมที่เปิดรอเกาเหวิน ไม่นานซุปตาร์สาวก็มาถึง ในชุดเดิมกับที่ไปปรากฏตัวในห้องพักเจสัน
“บังเอิญจัง ผมจะไปหาคุณพอดี”
“ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินพูดคำตอนท้ายเป็นประโยคเดียวกัน พร้อมๆ กัน
“ผมต้องการประกาศความสัมพันธ์” / “ฉันต้องการประกาศความสัมพันธ์”
สองคนหัวเราะให้กัน
“นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราเข้ากันได้นะคะ” เกาเหวินว่า
“บริษัทผมจะออกโฆษณาตัวใหม่ ผมอยากประกาศความสัมพันธ์เลย คุณต้องเตรียมตัวให้เร็วที่สุด”
เกาเหวินลงนั่งข้างๆ “ฉันใจร้อนกว่าคุณอีก ฉันอยากประกาศความสัมพันธ์พรุ่งนี้เลย”
เกาเหวินคว้าไวน์ในมือเซี่ยวเลี่ยงมาดื่ม เซี่ยวเลี่ยงมองฉงน “เอ่อ...เกิดเรื่องอะไรกับคุณ”
“ฉันต้องการใช้ผลประโยชน์ของคุณไง”
“อื้ม เข้าใจแล้ว ผมจะให้ฉีหยู จัดการเรื่องราวทุกอย่าง ตามที่คุณบอกแล้วกัน”
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้น เตรียมตัวกลับ เกาเหวินเอ่ยขึ้น “แต่ตามประสบการณ์ของฉันแล้ว การยืนยันความสัมพันธ์ของเรา ต้องทำให้ปาปารัซซี่เห็นเราเข้าไปในโรงแรมด้วยกันจะดีที่สุด”
เซี่ยวเลี่ยงนิ่งฟังคิดตาม
เกาเหวินคืนแก้วไวน์ให้ ซีอีโอหนุ่มรับมาดื่ม
เซี่ยวเลี่ยงวางแก้วลงเดินไปที่ประตูห้อง ถามซุปตาร์สาวว่า
“คุณพร้อมรึยัง”
เกาเหวินหยิบแว่นตาสีดำทรงโตมาใส่ “พร้อมนานแล้วล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้า “อื้ม”
เกาเหวินออกปากชมเชิงเหน็บแนม “คุณน่าจะไปเป็นนักแสดงนะ”
สองคนเปิดประตูห้องพักของโรงแรมสุดหรู ออกไปพร้อมๆ กัน
เมื่อพ้นประตูออกมาเซี่ยวเลี่ยงยื่นแขนให้ เกาเหวินยิ้มระรื่นคล้องแขนควงกันเดินออกไปราวกับเป็นคู่รักที่เพิ่งออกจากห้องพักหลังจู๋จี๋กันเสร็จ
ซีนหวานดังกล่าวปรากฏอยู่ในจอภาพของปาปารัซซี่ที่หลบมุมแอบถ่ายอยู่ตรงสุดทางเดิน และเก็บภาพจนสองคนเดินหายลงลิฟต์ไปด้วยกันในยามวิกาล

อี้หมิงออกเวรในตอนเย็นวันนี้ เปิดฟังรายงานข่าวระหว่างขับรถมุ่งหน้ากับบ้าน
“ตามข่าวที่ได้รับจากบริษัทเทซีโร่ คืนนี้เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินจะมีการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อเพื่อประกาศความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นเรื่องจริง”
“ยัยอ้วนคงไม่ทำเรื่องโง่ๆ นะ” อี้หมิงใจหาย พึมพำออกมา เป็นห่วงเหม่ยลี่ตะหงิดๆ กดมือถือโทร.หาแต่ดันเป็นฝากข้อความ
“สวัสดีค่ะฉันมี่โตะ ตอนนี้ยังไม่สะดวกรับโทรศัพท์ กรุณาฝากข้อความ...”
หมอหนุ่มขับรถพุ่งทะยานไป ใจคอไม่ดีเป็นห่วงยัยอ้วนของเขาจับจิต

เป็นจริงดังที่เหลยอี้หมิงเป็นกังวล ในตอนค่ำวันนั้น มี่เหม่ยลี่ในชุดกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน สวมสเว็ตเตอร์สีส้มทับเสื้อยืด เดินหน้าเศร้าเข้ามาในงานเลี้ยงคอกเทล เพรส คอนเฟอร์เรนซ์ ของเทซีโร่ ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรู บรรดาแขกเหรื่อ ทั้งคนจีนและฝรั่งต่างชาติ คนสำคัญในแวดวงอัญมณี ดื่ม กิน พูดคุยสนทนากันอยู่ตามจริต และความชิดเชื้อใครมัน
เหม่ยลี่หยุดยืนมองป้ายงานในกรอบสีทองวิจิตร ถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินในการประกาศความสัมพันธ์ของซีอีโอคนดัง และซุปตาร์สาวสวย ในไม่กี่นาทีนับจากนี้
ไม่นานนักสื่อมวลชน ช่างภาพ ส่งเสียงฮือฮา สายตาทุกคู่ในงานโฟกัสมายังเซี่ยวเลี่ยงที่ปรากฏตัวขึ้นในงานพร้อมเกาเหวิน และพากันจดสายตามองหนุ่มหล่อสาวสวยซึ่งเดินควงแขนตรงไปยังเวที ท่ามกลางแสงแฟลช จากกล้องถ่ายรูปที่สว่างวาบตลอดเวลา พร้อมผู้คนที่ส่งเสียงจอแจไปตลอดทาง

เหม่ยลี่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านหลังกลุ่มคน มองภาพบาดตาเฉือนหัวใจบนเวที แววตารื้น พยายามอย่างที่สุดไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมาประจานตัวเอง
คู่รักคนดังโบกมือให้สื่อด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เซี่ยวเลี่ยงโอบประคองแขนเกาเหวินตลอด ก่อนจะละตัวไปยืนตรงโพเดี้ยมบนเวที กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ
“เอ่อ...ขอบคุณผู้สื่อข่าวทุกท่านที่มาร่วมงานแถลงข่าวของบริษัทเทซีโร่ วันนี้ผมกับเกาเหวิน จะประกาศให้ทุกท่านทราบอย่างเป็นทางการ เราสองคนคบหาดูใจกันมานานพอสมควรแล้ว อืม...หวังว่าทุกคน จะสนับสนุนเกาเหวินต่อไปเหมือนเดิม และสนับสนุนความรักของเราด้วย เอ่อ...ผมกับเกาเหวินได้พบกันเพราะเพชร ผมหวังว่าเราจะมีความรักที่แข็งแกร่งเหมือนเพชร นิรันดรและบริสุทธิ์ครับ”
แขกในงานปรบมือเกรียวกราว เซี่ยวเลี่ยงผินหน้าไปยังข้างเวทีเชิงให้สัญญาณ ถอยลงจากโพเดี้ยมมายืนข้างเกาเหวิน ทีมงานหญิงเดินถือกล่องเครื่องประดับซึ่งเปิดอยู่ขึ้นมาให้ เซี่ยวเลี่ยงหยิบสร้อยคอเพชร ดีไซน์หรู คอลเลกชั่นล่าสุดขึ้นมาโชว์ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ขอให้เรามีความสุขตลอดไป”
เรียกเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกหน
เซี่ยวเลี่ยงสวมสร้อยคอเส้นนั้นให้เกาเหวิน กระซิบข้างหูได้ยินเพียงสองคน
“ดูแลเครื่องประดับให้ดีล่ะ”
เกาเหวินยิ้มอย่างรู้กัน
หนุ่มหล่อสาวสวยหันมาฉีกยิ้ม โบกมือให้ทุกคน เซี่ยวเลี่ยงดึงรั้งร่างแบบบางของเกาเหวินมาชิดใกล้บรรยากาศชื่นมื่นแสนหวาน
เสียงปรบมือดังเกรียวกราว นักข่าวส่งเสียงจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ในทำนองซักถามเรื่องความสัมพันธ์ทั้งคู่

หลังงานประกาศความสัมพันธ์ เป็นงานเลี้ยงปาร์ตี้ แขกในงานควงคู่กันออกไปเต้นรำกลางฟลอร์ เริงลีลาศไปตามจังหวะดนตรีพลิ้วหวาน
เหม่ยลี่ยืนพิงผนังห้องจัดเลี้ยงหันหลันให้ฟลอร์เต้นรำเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
เซี่ยวเลี่ยงสนทนาอยู่กับแขกผู้ใหญ่ชายหญิง แล้วชนแก้วไวน์ ขณะจะยกแก้วขึ้นดื่มก็ต้องชะงัก สีหน้ามีวี่แววประหลาดใจนิดๆ เมื่อมองไปเห็นเหม่ยลี่ยืนหันหลังอยู่
เขาวางแก้วไวน์ลงพลางขอตัว “ขอตัวก่อนครับ”

“เชิญคุณเต้นรำด้วยกันหน่อยได้มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกไปให้จับ เหม่ยลี่หันมาทางเสียงโดยไม่ทันมองหน้า พอเห็นว่าเป็นเซี่ยวเลี่ยงจึงเพียงตกใจนิดๆ มองมือที่ยื่นรอตรงหน้าอย่างลังเล สุดท้ายก็วางมือลงบนมือเขา เซี่ยวเลี่ยงจูงแขนเหม่ยลี่ลงไปเต้นรำในฟลอร์ร่วมกับคู่เต้นคนอื่นๆ
สองคนเต้นรำกันไปคุยกันไป “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
เหม่ยลี่หลบตาวูบ “ฉัน...ฉันมาแสดงความยินดีกับคุณค่ะ”
“แต่สายตาคุณเหมือนไม่ยินดีเลย” เซี่ยวเลี่ยงมองจ้องอ่านสายตาอีกฝ่ายที่คอยหลบวูบ “ผมรู้สึกแปลกมากๆ ทำไมคุณชอบมาให้ผมเห็นอยู่เรื่อยเลย”
“คุณเดาเหตุผลได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่ผมไม่ชอบเดา ผมอยากให้คุณบอกเองมากกว่า”
“เพราะว่าฉันชอบคุณไง” เซี่ยวเลี่ยงอึ้ง ชะงักค้าง
เหม่ยลี่ละแขนลงจากสองไหล่ของเขา ตัดสินใจบอกทุกความในใจออกไป “คุณคงคิดว่าฉันพูดไม่เกรงใจใช่มั้ย เพราะว่าเราเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่ฉันก็ยังพยายามทุกอย่าง เพื่อจะได้อยู่ใกล้คุณ และทำให้คุณสนใจฉัน แต่คุณไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ฉันได้ตัดใจแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ตามรังควานคุณอีก ขอให้คุณมีความสุขเซี่ยวเลี่ยง”
สองคนยืนจ้องหน้าสบสายตากันอยู่อย่างนั้น

จู่ๆ ทุกอย่างในห้องก็ดับมืดลง ก่อนจะมีเสียงลั้นลาของเจสันเป็นแม่งานพาทุกคนเล่นเกม
“ทุกคนเงียบสงบ เกมต่อไปให้ทุกคนตั้งใจนะครับ สงบนิ่งในความมืดห้าวินาที ให้ความมืดเป็นโชคชะตาในการเลือกคู่เต้นให้คุณ มา ทุกคนนับถอยหลังพร้อมผมนะครับ ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง”

ไฟสว่างพรึบขึ้นทั้งห้อง เหม่ยลี่ยังยืนเศร้าอยู่ที่เดิมคนเดียว ตรงหน้าไม่มีแม้เงาของเซี่ยวเลี่ยง เหม่ยลี่ยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้อง เหลียวมองหาไปรอบๆ ตัว แต่ต้องชะงัก เมื่อเจออีกคนยืนอยู่ บอกเธอน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบประโลม พร้อมๆ กับยื่นแขนมาโอบไหล่ประคอง
“ไปเถอะ ฉันจะพาเธอกลับบ้าน”

ออกจากห้องจัดเลี้ยงพ้นโรงแรมมาแล้ว เหม่ยลี่ไม่พูดไม่จา เดินหน้าเศร้าเหมือนคนหัวใจสลาย สภาพคล้ายศพเดินได้ไปเรื่อยๆ โดยมีสายตาแสนห่วงใยของหมอหนุ่มเพื่อนรักคอยประคอง
อี้หมิงทนไม่ไหว ร้องเรียกขึ้นในจังหวะที่ทั้งคู่ขึ้นบันไดเลื่อนมาบนสะพานลอยด้วยกัน
“ยัยอ้วน”
เหม่ยลี่หยุดกึก หมอหนุ่มเดินมาหา “ยัยอ้วน ไม่ว่ายังไง เธออย่าเงียบแบบนี้สิ”
“ฉันเหนื่อยแล้ว” เหม่ยลี่บอกเสียงแผ่ว
“งั้นกลับบ้านเถอะ”
“นายแบกฉันสิ”
“มา”
อี้หมิงย่อตัวลงให้เหม่ยลี่ขึ้นขี่หลัง กระชับสองแขนเกี่ยวสองขาแบกร่างยายอ้วนของเขาไปตามทางเดิน 

“ฉันจะเป็นกามเทพที่เธอรัก เหมือนในนิยาย...”
เหลยอี้หมิงแบกเหม่ยลี่บนหลัง แหกปากร้องเพลงแอบรักชาวบ้านไปตามทาง ท่ามกลางแสงสียามราตรีและตึกสูงระฟ้าของมหานครเซี่ยงไฮ้ 

อ่านต่อ ตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น