ล่าดับตะวัน ตอนที่ 5
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์เช้าวันนี้ หมวดอ้อยกำลังนั่งเสริมสวยก่อนถึงเวลาเข้างาน หันไปมองตรงทางเดินในหน่วยเมื่ออยู่ๆ ชบาพุ่งพรวดเข้ามาหา พร้อมถามขึ้นว่า
“ผู้กำกับล่ะคะ”
อ้อยแต่งหน้าไปคุยไป “ยังไม่มาค่ะ”
ชบาดูนาฬิกาอย่างแปลกใจ
“ปกติมาแล้วนี่คะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“มีเรื่องด่วนจะรายงานน่ะค่ะ”
อ้อยพยักหน้ารับ
“งั้นโทร.ตามดีกว่า” ชบาหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง
อ้อยร้องห้ามจนเสียงหลง “อ๊ะๆ อ๊า! อย่าเชียวนะคะคุณน้องขา”
“ก็ผู้กำกับเคยบอกไว้เอง ว่ามีเรื่องด่วนให้โทร.ตามได้”
“วันอื่นได้ แต่วันนี้ห้ามเด็ดขาด”
ชบาแปลกใจมาก “ทำไมล่ะคะ”
“ก็วันนี้วันครบรอบวันตายคุณพิม แฟนผู้กำกับที่เสียไป”
ชบาพยักหน้า ถึงบางอ้อ
ดอกไม้ช่องามล้วนเป็นดอกไม้โปรดของอดีตคู่หมั้นผู้ลาลับที่อัคคเดชมาวางไว้อาลัยที่สุสานพิมด้วยความคิดถึง อัคคเดชมองรูปพิมที่ติดอยู่ที่สถูป
ภาพความรักความหลังซ้อนเข้ามา ตอนที่อัคคเดชถ่ายรูปแต่งงาน (เล่าคราวๆ ว่าอัคคเดชนึกถึง) ต้องซิงค์กับดนตรี
พิมอมยิ้มรับเขินๆ มองสบตากัน
อัคคเดชกุมมือพิมไว้ “ผมดีใจนะที่จะได้ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตร่วมกับคุณ”
“พิมก็เหมือนกัน”
อัคคเดชยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึง เขาพูดกับภาพพิม
“ผมคิดถึงคุณจัง”
พร้อมกับเอามือลูบที่รูปของพิมด้วยความคิดถึง
“ผมสัญญา ผมต้องจับไอ้คนที่มันทำให้คุณตายให้ได้”
อัคคเดชลุกขึ้นเดินจากมา โดยไม่รู้ว่าตะวันแอบดูอยู่ตั้งแต่ต้น
ตะวันยืนอยู่หน้าสถูปของพิม ด้วยความรู้สึก ทั้งรักทั้งแค้นในเวลาเดียว ขณะวางดอกไม้ให้
วันที่เขาแค้นสุดขีด คือเหตุการณ์ในร้านอาหาร ตะวันยื่นแหวนเพชรให้พิม
“แต่งงานกับผมนะพิม”
พิมไม่ยินดี แถมสีหน้าดูออกว่าอึดอัดสบายใจพิกล
ตะวันพูดอย่างมั่นใจ ภูมิใจในตัวเอง
“ตอนนี้ผมไม่ใช่ตะวันคนเดิมแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ว่าพิมอยากได้อะไร ผมหามาให้ได้ทุกอย่าง รับรองว่าพิมจะสุขสบาย”
พิมมองตะวันที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยความผิดหวัง ตัดสินใจพูด
“พิมรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ตะวันชะงัก เสียใจ “ทำไมล่ะ เพชรมันเล็กไปเหรอ ผมซื้อให้ใหม่ก็ได้”
“พิมไม่อยากได้เงินที่มาจากงานผิดกฎหมาย”
ตะวันอึ้ง นิ่งงันไป
“สิ่งเดียวที่พิมอยากได้คือตะวันคนเดิม คนที่เชื่อมั่นในความดี”
ตะวันฉุนกึก ไม่พอใจกรุ่นๆ ระเบิดใส่พิม “ไอ้คนโง่คนนั้นมันตายไปแล้ว คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ผมทุ่มเททั้งชีวิต ยอมลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แล้วผมได้อะไรตอบแทนบ้าง มีใครเคยเห็นความดีของผมบ้าง ผมไม่มีวันกลับไปลำบากอย่างนั้นอีกแล้ว”
“แต่งานผิดกฎหมายมันไม่ยั่งยืนหรอกตะวัน พิมขอร้องเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
ตะวันเสียใจ “แม้แต่พิมก็ไม่เห็นความดีของผม ทั้งๆ ที่ผมทำทุกอย่างเพื่อพิม”
“ตะวันไม่ได้ทำเพื่อพิมหรอก ตะวันทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
ตะวันจับแขนพิมไว้ พร่ำรำพัน
“ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตเราสองคนดีขึ้น ทำไมพิมไม่เข้าใจบ้าง ทำไม”
ตะวันโมโหจนลืมตัวบีบแขนพิมอย่างแรง
“โอ๊ย พิมเจ็บ”
อัคคเดชเห็นก็รีบมาห้าม ปกป้องพิม
“หยุดนะไอ้ตะวัน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันสิ”
“แกใช่มั้ยที่เอาความคิดบ้าๆ มาใส่หัวพิม พิมถึงเปลี่ยนไป”
พิมสอดขึ้นว่า “พิมคิดเองได้ คนอื่นไม่เกี่ยว”
“แกต่างหากที่เปลี่ยนไปตะวัน กลับตัวกลับใจเถอะ อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้”
ตะวันพูดใส่หน้าอัคคเดช “ไม่! ฉันไม่มีวันเปลี่ยนใจ! แกอยากเป็นตำรวจก็เป็นไปคนเดียว! ต่อไปนี้ฉันกับแกเป็นศัตรูกัน” แล้วจึงหันไปหาพิม “พิมจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธผม”
ตะวันเดินหนีไปอย่างหัวเสีย
“ตะวัน”
พิมร้องไห้โฮออกมา ทั้งผิดหวังและเสียใจ อัคคเดชกอดปลอบใจ
ตะวันหยุดเดินหันกลับมามองอัคคเดชดูแลพิม นึกรู้แล้วว่าสองคนนี้มีบางอย่างมากกว่าเพื่อนก็เจ็บใจ รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนหักหลัง
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ตะวันยิ้มเยาะออกมา พูดกับภาพพิมอีกว่า
“คุณเลือกคนผิดพิม...แล้วผมก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เลือกเส้นทางนี้”
ตะวันหวนนึกถึงก้าวแรก บนเส้นทางสายมาเฟียที่เขายอมหันหลังให้เครื่องแบบตำรวจ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปหาแป๊ะกงถึงบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ประมุขแก๊งอัคคีดีใจมากขนาดไหนชายชราออกอาการดีใจได้มือดีอย่างตะวันมาร่วมงานอย่างเต็มตัว
“ฉันดีใจนะที่เธอตัดสินใจได้ในที่สุด”
ตะวันยิ้มรับ พลางหันไปยิ้มกับภัสสรที่อยู่ด้วย ภัสสรยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ถูกใจกันอยู่ในที
“ฉันกำลังจะมีงานใหญ่อยู่พอดี”
“อะไรครับ”
เฮียเสือลูกชายแป๊ะกงเสริมว่า “เราจะปล้นรถขนเงินกัน งานนี้ค่าเหนื่อยก็คนละสิบล้านสบายๆ”
ตะวันยิ้มยินดี ก่อนพูดดักคอขึ้นอย่างรู้ทันว่า
“แต่ผมว่า ถ้าแค่เงินไม่กี่สิบล้าน เฮียคงไม่เสี่ยงออกโรงเองแบบนี้”
เฮียเสือกับแป๊ะกงหันมองสบตากัน แล้วยิ้มออกมา
“ปิดอะไรเธอไม่ได้เลยนะ”
ตะวันยิ้มรับ “นิสัยมันเคยน่ะครับ”
เฮียเสือจึงเปิดสมาร์ทโฟนให้ดู เห็นรูป WHITE SHARK รูปร่างจึงน่าจะเรียวๆ เหมือนฟันฉลาม
“นี่มัน white shark นี่ครับ”
เฮียเสือบอก “ใช่”
“แบบนี้ก็เป็นร้อยล้าน”
“เงินปล้นได้เท่าไร พวกเธอเอาไปแบ่งกัน ฉันของแค่เพชรเท่านั้น เพราะลูกค้าสั่งมา” แป๊ะกงบอก
ตะวันพยักหน้ารับ ยิ้มอย่างยินดี
ถึงวันลงมือ เห็นรถขนเงินแล่นมาตามถนนในเมือง มีรถของเสือแล่นตามหลังมา ในรถมีสมุนพร้อมอาวุธครบครัน
อีกฟากตะวันนั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านกับภัสสร สองคนมาสังเกตการณ์ทางหนีทีไล่รอบๆ จุดที่จะลงมือปล้น จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเฮียเสือโทร.มา ตะวันรับสาย ได้ยินเสียงดังออกมาว่า
“ของมาแล้ว”
ตะวันตอบไปว่า “ที่พร้อม ปลอดโปร่ง”
วางสายแล้วตะวันหันไปส่งซิกให้กับภัสสรที่นั่งอยู่ด้วยกัน ภัสสรลุกขึ้นเข็นรถเข็นเด็กเดินออกมาด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
รถขนเงินแล่นมาตามทาง เห็นแต่ไกลว่าภัสสรเข็นรถเข็นเด็กข้ามถนนโผล่ออกมาในระยะกันชั้นชิด ภัสสรนั้นสวมแว่นตาใหญ่ และมีผ้าปิดปากไซส์ใหญ่ คนขับรถขนเงินต้องชะลอความเร็วลงกว่าเก่า
ภัสสรเล่นละครต่อแกล้งทำของตก แล้วหยุดเก็บ ทำให้รถขนเงินต้องชะลอและเบรกในที่สุด รถมอเตอร์ไซค์ที่รอจังหวะอยู่แล้วก็แล่นเข้าประกบยิงยางรถ
คนขับตกใจ รีบกด ปุ่มฉุกเฉิน เรียกตำรวจทันที
รถเฮียเสือตามหลังมา ขับเข้าขวางลำปิดท้ายไม่ให้รถขนเงินถอยหนีได้ เฮียเสือหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม เช่นเดียวกับลูกน้องอีกห้าคนที่มาด้วยในรถ ทุกคนคว้าปืนลงจากรถ
อันเป็นเวลาเดียวกับที่ภัสสรหันไปหยิบเอา Mp5 ในรถเข็นเด็กขึ้นมากราดยิงใส่ที่กระจกหน้า แต่กระติดกระจกกันกระสุน คนขับที่อยู่ในรถก้มหลบหนีตายด้วยความตกใจ
เสียงปืนทำเอาผู้คนแถวนั้นแตกตื่น พากันวิ่งหนีด้วยความตกใจ
ตะวันลุกขึ้นเปิดเป้ใบใหญ่ คว้าหน้ากากขึ้นมาสวม แล้วหยิบปืนกลขึ้นมา เข้าไปช่วยภัสสรถล่มรถขนเงินอีกแรง
ลูกน้องสองคนของเฮียเสือรีบเอาระเบิดทีเอ็นทีไปติดที่ประตูท้ายรถขนเงิน เฮียเสือกับพวกฉากหลบมาที่ข้างรถ ก่อนกดระเบิด
เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ประตูหลังเปิดออก เฮียเสือรีบตรงดิ่งไปเปิดดู แล้วต้องผงะหงายเงิบด้วยความตกใจ เพราะเห็นแต่ความว่างเปล่า ช่วงนี้เสียงหวอรถตำรวจดังแว่วมาไกลๆ
กำลังตำรวจที่แอบซุ่มอยู่ 5 คัน แล่นเข้าปิดล้อมทุกทิศทุกทาง กำลังตำรวจราวยี่สิบคน แต่งตัวนอกเครื่องแบบสนธิกำลังกับหน่วยคอมมานโด
ตะวันมองหน้าภัสสรด้วยความตกใจ ตะโกนบอกไปทางเฮียเสือ
“เราถูกหลอกแล้ว”
เฮียเสือไม่สนใจ เปิดฉากยิงใส่ตำรวจก่อนทันที จากนั้นสองฝ่ายก็ยิงตอบโต้กันไปมา ปะทะเดือด
ภัสสรกับตะวันเข้าที่กำบังยิงสู้ตำรวจ จากนั้นถล่มยิงกันหูดับตับไหม้ เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย สมุนและตำรวจถูกเก็บไปทีละคนสองคน
ตะวัน กับ ภัสสร โดยบีบให้เข้าไปรวมตัวกับเฮียเสือ
“ตำรวจล้อมไว้หมดแบบนี้ คงต้องตีฝ่าออกไปแล้ว”
“เอาไงเอากัน” เฮียเสือว่า
“สร เธอคุ้มกันพาเฮียเสือหนี ฉันจะระวังหลังให้เอง”
“ได้” ภัสสรพยักหน้ารับ เว้นช่วงไปนิดหนึ่งบอกตะวันไปว่า “ระวังตัวด้วยล่ะ”
ตะวันยิ้มรับคำ
“พร้อมนะ”
ทั้งสองพยักหน้า แล้วหันไปเปิดฉากยิงเปิดทางใส่ตำรวจ ตำรวจยิงสู้
เฮียเสือพุ่งพรวดออกไปก่อน ภัสสรโดนยิงสกัดตามไม่ได้ ต้องปักหลักสู้ก่อน
เฮียเสือถูกปืนติดกล้องยิงเข้าที่ขาล้มลง ตะวันกับภัสสรตกใจสุดขีด
“คุ้มกันเฮียเสือเร็ว”
ภัสสรยิงเปิดทาง โดยมีตะวันยิงกันให้อีกทอด แล้ววิ่งไปช่วยพยุงเฮียเสือที่ล้มฟุบอยู่กับพื้น
เฮียเสือเลือดขึ้นหน้า ลุกขึ้นได้ไม่หนี แถมถอดหน้ากากออก แล้วยิงใส่ตำรวจอย่างบ้าคลั่ง
“หนีก่อนเถอะเฮีย”
ภัสสรพยายามคว้ามือให้หนีตาม แต่เฮียเสือสะบัดหนีแล้วยิงใส่ตำรวจไม่ยั้ง
ตะวันกำลังยิงสกัดเหลือบมาเห็นก็ออกอาการขัดใจ รีบยิงเปิดทางเข้าไปหา
“มัวรออะไร ทำไมไม่หนี”
สองคนคุยพลางยิงพลาง
“ก็เฮียเสือไม่ยอมไป”
พวกภัสสรถูกตำรวจยิงใส่จนเงยหัวไม่ขึ้น
“อยากตายหรือไง ตำรวจล้อมเต็มไปหมดทุกด้านแบบนี้”
“ก็ไปบอกเองซิ” ภัสสรชักยัวะ
“งั้นคอยยิงคุ้มกันปิดท้าย” ตะวันอารมณ์เสีย
ภัสสรมองค้อนอย่างไม่พอใจ ตะวันผละไปหาเฮียเสือที่ยิงปะทะเดือดกับตำรวจ แต่เฮียเสือยิงจนหมดกระสุนกำลังจะเปลี่ยนแม็กกาซีน แล้วต้องชะงักกึกเมื่อรู้สึกถึงปืนที่จ่อหัวตัวเองอยู่ โดยฝีมือตะวัน
เฮียเสือฉุนขาด “มึงจะทำอะไร”
“โทษนะเฮียที่ต้องทำแบบนี้ ก็เฮียไม่ยอมถอย พวกผมก็ลำบาก เกิดเฮียเป็นอะไรไปขึ้นมา แปะกงเอาพวกผมตายแน่”
ตะวันกระดิกปืนกระตุ้นให้เฮียเสือเตรียมตัว
“เออ กูรู้แล้ว”
ตะวันหันไปส่งซิกกับภัสสร ภัสสรพยักหน้ารับ แล้วเปิดฉากยิงเปิดทางให้
ตะวันควักระเบิดควันโยนตูมออกไปอำพรางทางหนี ลูกน้องคนหนึ่งตรงเข้าหิ้วปีกเฮียเสือ แล้วพากันวิ่งหนีไป ลูกน้องที่เหลือเข้ามาช่วยคุ้มกันรั้งท้าย
จากนั้นตะวันนำกำลังชาร์จเข้าใส่ตำรวจที่ขวางอยู่ด้วยการยิงแบบรณยุทธ์โดยปืนยาวในมือ อันเป็นอาวุธที่เขาถนัดตั้งแต่สมัยเรียน ตะวันจัดหนักยิงเปิดทางด้วยปืนยาวอย่างแม่นยำ เคลื่อนไปข้างหน้า กระทั่งหมดกระสุนแล้วชักปืนสั้นมายิงสู้จนกำจัดตำรวจนอกเครื่องแบบที่ขวางหมดในชุดเดียว สามารถเปิดทางพาเฮียเสือออกไปได้ในที่สุด จากนั้นจึงหันมาผิวปากเรียกภัสสรให้ถอยตามมา ลูกน้องที่เหลือปิดท้าย จะถอยตาม คอมมานโดรุกบี้เล่นงานลิ่วล้อลูกสมุนเฮียเสือตายเกลี้ยง
เหตุการณ์เลวร้าย และนำไปสู่จุดจบ ขณะที่ภัสสรพาเฮียเสือหนี เฮียเสือถูกยิงโดยอัคคเดช และถูกตำรวจจับตัวไป และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พิมถูกลูกหลงจนเสียชีวิตไป
ที่บ้านแป๊ะกงคืนนั้น ใบหน้าของชายสูงวัย ค่อยๆ ถอดสีลงด้วยความเศร้า เมื่อทราบข่าวว่าลูกชายถูกจับกุม
“อาเสืออีถูกจับได้ยังไง”
ตะวันกับภัสสรยืนอยู่หน้าแป๊ะกงอย่างสำนึกผิด ทั้งสองหันมองหน้ากันไปมา
“เราถูกตำรวจซ้อนแผนล้อมจับค่ะ”
แป๊ะกงได้ฟังยิ่งแค้นกำหมัดแน่นอย่างโกรธแค้น
“มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่องานนี้มีคนรู้ว่าเป้าหมายคืออะไรแค่สี่คนเท่านั้น”
ตะวันสะอึ้งใจคอไม่ดี คิดหาทางเอาตัวรอด ภัสสรมองสบตาหารือ ทว่าตะวันกลับบอกขึ้นมาว่า
“อันนี้แปะกงคงต้องถามคนของแปะกงเองแล้วล่ะว่าใครทำแผนรั่ว หรือว่า... เกลือเป็นหนอนเสียเองกันแน่ เพราะผมมาทีหลังสุด รู้เรื่องน้อยที่สุด”
พร้อมกันนี้เขาว่าหันไปทางภัสสรเป็นเชิงบอกให้รู้ว่า เขาหมายถึงเจ้าหล่อน
ภัสสรอึ้งไปถนัดใจ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนหันมองสบตาตะวันอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากคนที่เธอแอบปิ๊งและหลงรัก
แป๊ะกงหันมองหน้าภัสสรอย่างไม่พอใจขึ้นมาทันที
ทางด้านตะวันแอบหลบซ่อนตัว รอจนปลอดคนจึง เดินเข้าไปหาพยาบาลเวรที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ขอโทษครับ คนไข้ชื่อพิมพา ที่ถูกยิงแล้วส่งเข้ามารักษาตัวอยู่ห้องไหนครับ”
“สักครู่นะคะ”
พยาบาลคีย์หาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ อึ้งไปนิดเมื่อข้อมูลแสดงผลว่าคนไข้ตายแล้ว
“ขอโทษด้วยนะคะ เสียชีวิตแล้วคะ”
ตะวันอึ้งนิ่งงันไป ใบหน้าสลดลงไปเห็นถนัดตา จากเสียใจ กลายเป็นความแค้นอัดแน่นใจใน
ตะวันยังอยู่ที่หน้าสถูปของพิม ดึงตัวเองกลับมาอีกครั้ง คำรามออกมาเมื่อนึกถึงคนที่ทำให้พิมตาย
“ฉันไม่ปล่อยให้แกอยู่เป็นสุขแน่ อัคคเดช”
ขึ้นตอนที่ 5
ภาพบนจอทีวีที่ห้องทำงานอัคคเดชในหน่วยเมฆาพยัคฆ์ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นภาพด้านหลังของภูผาที่เดินออกจากอาคารผ่านกล้องวงจรปิดไป ภูผาสวมหมวก เห็นหน้าไม่ชัด แต่สะพายกระเป๋าใส่กีตาร์ซึ่งแท้จริงข้างในคือปืนสไนเปอร์
อัคคเดชอึ้งไป เพราะจำได้ว่าคนในภาพคือ ภูผา
ชบายืดยิ้ม อวดผลงานการสืบสวนต่ออย่างภาคภูมิใจ
“คนนี้แหละค่ะ น่าสงสัยว่าจะเป็นมือปืนอีกคนที่ถูกส่งมายิงผู้กำกับ”
“หมวดแน่ใจได้ยังไง”
ชบายิ้มอมภูมิ “ของง่ายๆ ค่ะ ก็คนที่เข้าออกอาคารส่วนใหญ่แต่งชุดทำงานไงคะ”
อัคคเดชทักท้วง “แต่ก็มีคนที่แต่งชุดไปรเวตด้วยนี่”
“ใช่ค่ะ แต่ในอาคารแห่งนี้ ไม่มีร้านอาหารที่มีดนตรีเล่น ไม่มีร้านขายเครื่องดนตรี หรือว่าอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลย แต่หมอนี้สะพายกระเป๋ากีต้าร์เข้ามา เลยน่าสงสัยว่าจะแอบซ่อนปืนเข้ามาด้วย
อัคคเดชพยายามแย้งแก้ต่างให้ภูผา “บางทีเขาอาจแค่แวะมาทำธุระก็ได้”
ชบาย้อนว่า “อย่างงั้น มันก็ละครไทยแล้วล่ะค่ะ ที่บังเอิญว่ามาทำธุระในช่วงเดียวกับที่มีปืนยิงผู้กำกับพอดี หนูเช็คเวลาเข้าออกมาแล้วด้วย เขาเข้ามาก่อนหน้าจะยิงผู้กำกับไม่นาน แล้วรีบออกไปหลังผู้กำกับถูกยิง และที่หนูนั่งดูเทปมาทั้งหมดก็มีคนนี้ที่น่าสงสัยที่สุด”
อัคคเดชอึ้งไป คาดไม่ถึงว่าชบาจะสืบจนได้ข้อมูลมาแน่นถึงขนาดนี้
“ถ้าเขาเป็นสายของผู้กำกับล่ะก็ ต้องเตือนเขาหน่อยแล้วนะคะว่า ทิ้งหลักฐานให้ตามรอยไว้เพียบแบบนี้ มีหวังได้กลายเป็นศพโดยไม่รู้ตัวแน่”
อัคคเดชอึ้งกว่าเก่า เกินคาดสุดๆ ผู้หญิงคนนี้
ชบาฝอยต่อ “ยังไม่หมดค่ะ”
อัคคเดชมองอย่างแปลกใจ “คุณได้อะไรมาอีก”
“ก็มือปืนอีกคนที่ผู้กำกับบอกว่า เป็นคนยิงผู้กำกับ แต่ถูกคนของผู้กำกับยิงตกตึกไงคะ”
อัคคเดชอึ้งไป ก่อนจะอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“จริงอ้ะ”
“ค่ะ”
อัคคเดชชะงัก “ได้ภาพกล้องวงจรปิดมาด้วยเหรอ”
“ไม่มีค่ะ แต่มีพยานที่น่าจะเห็นหน้ามือปืนกำลังให้ปากคำเพื่อสเก็ตช์ภาพอยู่ค่ะ”
อัคคเดชทึ่ง แปลกใจถึงขีดสุด “คุณไปหาเจอได้ยังไง
“ก็ผู้กำกับบอกว่าเค้าถูกยิงตกตึก แล้วหายไป หนูก็เลยลองถามคนแถวนั้น มีคนเห็นว่าเลือดเลือดท่วมออกไป แสดงว่ายังไม่ตาย แต่ต้องเจ็บหนักแน่ เพราะทั้งตกตึก แถมถูกยิงอีกด้วย ถ้าเป็นหนูก็ต้องหาที่ทำแผลให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ก็ต้องไปหาหมอใช่มั้ยคะ แต่ไปไม่ได้ เพราะต้องมีการแจ้งตำรวจเป็นเหตุคนถูกยิง ก็ต้องทางเลือกที่สอง เอาที่ไกลเคียงกัน”
อัคคเดชได้ตาค้างแปลกใจอีก “มีหมอใกล้เคียงกันด้วยเหรอ”
“มีค่ะ ก็หมอหมาไงคะ” ชบาบอกอย่างภูมิใจนำเสนอ
อัคคเดชอึ้งไปอย่างเห็นด้วย
“หนูก็เลยลองหาดูร้านสัตว์แพทย์แถวนั้น ก็เลยได้เรื่อง มันไปหาหมอหมาให้ทำแผลจริงๆ”
อัคคเดชอึ้งมองอย่างสุดทึ่งในความสามารถของหมวดชบา ที่เขาคาดไม่ถึง
“ไหนลองลองเอามาดูซิ”
ไม่นานต่อมา อัคคเดชถึงกับอึ้งนิ่งงันไป เมื่อมองภาพสเก็ตช์ตรงหน้า ก่อนถามขึ้นว่า
“ทำไมเป็นแบบเนี้ยล่ะ”
ว่าพลางส่งภาพคืนให้ชบา รูปสเก็ตช์นั้นมีเพียงใบหน้า แต่ไม่มีตา ไม่มีจมูก ชบายิ้มเจี๋ยมเจี้ยม ก่อนอธิบายเสริมว่า
“พยานถูกเอาปืนขู่ เลยไม่กล้ามองหน้ามือปืนค่ะ จำได้แค่นี้”
อัคคเดชได้ฟังแล้วต้องส่ายหัว สุดท้ายก็ โก๊ะ ล้น รั่ว เหมือนเดิมยัยหมวดชบา
ภูผาจอดรถที่ริมถนนในตลาดนัดสวนจตุจักร แล้วก้าวลงจากรถ จนมีเสียงหนึ่งดังเรียกขึ้น
“คุณครับ”
ภูผาเหลียวมองไปเห็นคนพิการนั่งรถเข็นกำลังพยายามจะขึ้นฟุตบาท แต่ขึ้นไม่ได้
“ช่วยดึงผมขึ้นฟุตบาทหน่อยได้มั้ยครับ”
ภูผาพยักตรงเข้าไปช่วยยกรถขึ้นให้ จนรถเข็นขึ้นมาอยู่บนฟุตบาทเรียบร้อยแล้ว
“เอาล่ะครับ เรียบร้อยแล้ว” เขาบอกสีหน้ายิ้มๆ
“ขอบคุณครับ” ชายพิการยิ้มพิมพ์ใจขอบคุณ
ภูผายิ้มตอบ ยินดีช่วย
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาชบา ที่นั่งมองจากรถบนถนนฝั่งตรงข้ามอย่างสนใจและ รู้สึกดีที่ได้เห็นภาพดีๆ เช่นนั้น ชบาขยับรถเข้าจอดแทนรถที่เคลื่อนออกมา แต่พอหันมามองอีกครั้ง ภูผาก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว ชบารู้สึกเสียดาย
หมอกนั่งอยู่ในรถแท๊กซี่ที่กำลังแล่นมาตามทางเส้นหนึ่งในกรุงเทพฯ พลางนึกถึงคำสั่งเสียของเมฆ
ก่อนน้องชายจะขาดใจตาย
“ไปร้านดอกไม้ มี…ของ…อยู่... ใน... แจกัน”
หมอกคิดตามถามน้องชายในใจ
“ของอะไรของแกวะเมฆ ถึงได้สำคัญนัก”
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ฝ่ายภูผากำลังเดินดูปลาสวยงามอย่างเพลิดเพลิน ชบาเองก็เดินดูอยู่ห่างออกมาไม่มากนัก ทั้งสองไม่เห็นกัน ชบานึกถึงเรื่องที่เคยเข้าใจภูผาผิด คิดว่าเขาเป็นโจรวิ่งราวกระเป๋า จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม
แต่ถูกภูผาล็อกแขนไขว้หลัง เอามือพาดนมเธอไว้ สุดท้ายภูผาคืนกระเป๋าตังค์ให้ และเหตุการณ์ล่าสุด ตอนภูผาช่วยคนพิการ
ชบาครุ่นคิดหนัก “สงสัยเราจะเข้าใจผิดเขาจริงๆ”
หมวดสาวจอมล้นอมยิ้มขันที่เข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น
“เจออีกครั้งก็ขอโทษเขาแล้วกัน จะได้ไม่ติดค้างกัน”
จากนั้นจึงเดินดูปลาต่ออย่างสบายใจ
ทั้งสองเดินดูปลาสุดโปรดไปเรื่อยๆ อีกพักหนึ่ง จนกระทั่งชบามาหยุดดูที่ตู้ปลาขนาดใหญ่สวยงามเวอร์วังตู้หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ใครคนหนึ่งที่อยู่อีกด้านของตู้ก็หันมาดูที่ตู้เดียวกันนี้
ชบาตะลึงตะไล ไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะใครคนนั้นคือภูผาที่สนใจดูแต่ปลาในตอนแรกจนรู้สึกตัวว่าถูกจ้องจึงมองตอบ เห็นหน้าสวยๆ ของชบาส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ผ่านตู้ปลามาจากอีกด้าน
ภูผาอึ้งไปนิด สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อไปถึง ตอนถูกเธอกระทุ้งกล่องดวงใจจนจุก เจ็บเจียนตาย
ภูผาไม่ยิ้มตอบใดๆ รีบหันหลังให้แล้วเดินหนีไป ชบาหุบยิ้มแทบไม่ทัน มองตามอย่างงงๆ ก่อนจะตะโกนเรียกไล่หลัง
“คุณ”
ภูผาไม่สนเร่งฝีเท้าเดินหนี
ชบามองฉงน ที่อีกฝ่ายเรียกไม่หัน จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับกระเป๋าตังค์ของภูผาที่ตกอยู่ที่พื้น
หมอกลงจากแท็กซี่แล้วยืนมองป้ายชื่อถนนตามที่อยู่ที่หลินบอก และเริ่มออกเดินหา
ด้านภูผาพยายามเร่งฝีเท้าเดินหนี โดยมีชบาตามเรียกไล่หลังมาห่างๆ
“คุณๆ”
ชบาชักหัวเสียที่อีกฝ่ายเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหยุด เลยบ่นบ้าออกมา
“อะไรของเค้า เรียกไม่หัน จะรีบไปไหนๆ”
แล้วรีบกวดไล่ตามหลังภูผาไปอีกครั้ง
ภูผาเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งไปชบามองประเมินอย่างเจนเส้นทาง ตัดสินใจเดินไปดักหน้าแทนที่จะไล่ตาม
ภูผาเร่งฝีเท้าหนีมาแล้วต้องชะงักจนตัวโก่ง เมื่ออยู่ๆ ชบาก็โผล่ออกมาดักขวางหน้าเอาไว้ พร้อมกับขึ้นเสียงใส่
“นี่คุณ หูตึงรึไง เรียกไม่ยอมหัน”
ภูผาเสียงเขียวสวนกลับเช่นกัน “นี่คุณกัดไม่ปล่อยเลยนะ! จะเอายังไงอีก ผมบอกแล้วว่า ผมไม่ได้ล้วงกระเป๋าคุณจริงๆ”
ชบามองหน้าภูผานิ่งฟังจนจบ กลอกตามองบนแพ้บ แล้วส่ายหัวเอือมระอา ก่อนจะยื่นกระเป่าตังค์ในมือคืนให้โดยไม่พูดไม่จา ภูผามองฉงนสะดุดตากระเป๋านั้น ยกมือตะปบคลำหาของตัวเองแล้วไม่พบ
“คุณทำตกที่ร้านปลาเมื่อกี้ ตอนพยายามจะหนีฉัน”
ภูผาอึ้งหนัก รู้สึกเสียหน้าที่หลงเข้าใจผิด ก่อนจะเอ่ยขอโทษขึ้นมาอย่างสำนึกผิด
“ขอโทษที่เข้าใจคุณผิดเมื่อกี้” พร้อมกับรับกระเป๋าตังค์คืนมา
“ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ต้องขอโทษคุณที่เข้าใจผิดคุณคราวที่แล้วเหมือนกัน”
ภูผาพยักหน้าให้ “ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ซิ”
ภูผามองหน้าชบา ผู้หญิงคนนี้แปลกคน
“ว่าแต่คุณเจ็บมากรึเปล่าคราวที่แล้ว”
“ก็ลองมาโดนดูบ้างซิ แล้วคุณจะรู้ว่า โดนจริง จุกจริง เจ็บจริงเป็นยังไง” พูดถึงแล้วโมโหไม่หาย
ชบายิ้มรับคำหน้าเจื่อนๆ ก่อนบอกขึ้นว่า
“จะได้ยังไง ก็ฉันไม่มี ไอ้นั่นเหมือนคุณ”
ภูผาสะอึกอึ้งไป จริงของชบา
“งั้นฉันขอเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษคุณแล้วกัน โทษฐานที่ทำให้คุณต้องเจ็บตัว”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แค่คุณขอโทษเมื่อกี้ ผมก็พอใจแล้ว”
ภูผาออกเดินจากมา
ชบาตื้อต่อพูดซะดัง “น๊านะ! ฉันจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นที่ไปทำร้ายน้องชายคุณเข้าแบบนั้น”
ภูผาสุดเซ็ง เหลียวมามองชบาด้วยตายตาตำหนิ จะเสียงดังไปทำไมเนี่ย
“กลัวชาวบ้านเขาจะไม่รู้หรือไง”
“เปล่า แค่อยากอธิบายให้คุณฟังเฉยๆ” นางแถไปได้ตาหลอด
ภูผาถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมบอกตัดรำคาญไปว่า
“กาแฟแล้วกัน”
อีกฟากหนึ่ง หลินเดินมาตามถนน จนมาถึงหน้าร้านดอกไม้ของตัวเอง พลังหันไปบอกขอบคุณ ป้าร้านขายของที่หน้าร้านติดๆ กัน
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูร้านให้หลิน”
“ไม่เป็นไรหนูหลิน ช่วยๆ กัน” ป้าบอก เต็มใจช่วยสาวตาบอดแสนดี
หลินเปิดประตูเข้าไปในร้าน โดยมีหมอกแอบซุ่มยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกเริ่มจากอีกฝั่งของถนน
สายตาของหมอกหยุดที่ป้ายหน้าร้านเขียนติดไว้ว่า “ร้านดอกไม้น้องหลิน” หมอกมองเลยเข้าไปในร้านอย่างแปลกใจ เห็นหลินซึ่งตาบอดกำลังทำงานอยู่ในร้านอย่างคล่องแคล่ว
หมอกมองด้วยความทึ่ง ตัดสินใจจะข้ามถนน แต่พอจะก้าวออกเดิน ดันมีเสียงหนึ่งเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“พี่เมฆ”
หมอกชะงัก อึ้ง ตกใจระคนแปลกใจ ใครเรียก เขานิ่งประเมินสถานการณ์
เจ้าของน้ำเสียงลิงโลดเป็นปิงที่อยู่ห่างออกไปบนถนนฝั่งเดียวกัน และกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
“หายไปไหนมาพี่ พวกเราตามหาแทบพลิกแผ่นดิน”
หมอกนิ่งฟัง คิดตาม สายตาบอกชัดว่ากำลังรวบรวมข้อมูล แล้วแกล้งถามขึ้นเป็นการหยั่งเชิงในที
“หาทำไม”
ปิงอึ้งไปใบ้กิน มองหน้าลูกพี่อย่างงงๆ
“อะไรกันพี่ ก็พี่ไป...”
ปิงนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูด จึงรีบเข้ากระซิบข้างหู “ยิงไอ้ผู้กินกับพี่ภูผาแล้วก็หายตัวไป พี่ภูผากลับมาคนเดียวใส่ไฟกับนายใหญ่ว่าพี่ทรยศ”
หมอกนิ่งฟังอย่างสนใจ เบาะแสที่สองรองจากร้านดอกไม้น้องหลิน
“แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะ เพราะผมเชื่อพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น”
หมอกยังคงนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทีไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ
“ว่าแต่พี่เถอะ หายไปไหนมา ปล่อยให้นายเข้าใจผิดอยู่ได้”
หมอกถามไปว่า “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”
“น่าจะอยู่ที่บ้านนะ เราไปหานายกันดีกว่าพี่ นายอยากพบพี่”
หมอกพยักหน้ารับคำนั้น มองไปยังร้านดอกไม้สีหน้านิ่งไม่รู้ว่าคิดอะไร
แก้วกาแฟถูกส่งมาให้ภูผากล่าว “ขอบคุณ” แล้วคว้าไปดูดดื่มดับกระหาย รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา
ชบาดูดกาแฟอยู่ตรงหน้า ดูผลงานตัวเองแล้วยิ้มภูมิใจ ก่อนชวนคุยขึ้นว่า
“เป็นไง ดีขึ้นใช่มั้ยล่า...” ภูผาหันมายิ้มให้ ชบาชวนคุยต่อ “คุณมาแถวนี้บ่อยเหรอ”
“ก็บ่อย”
“มาทำอะไรเหรอ”
“ก็มาเดินเล่น ดูปลาไปเรื่อยเปื่อย
ชบาพุ่งพรวดให้ความสนใจขึ้นมาทันที
“คุณชอบเลี้ยงปลาเหมือนกันเหรอ”
“ชอบปลา แต่ยังไม่เคยเลี้ยง ไม่ค่อยมีเวลา”
“ไม่มีเวลาก็เลี้ยงพวกที่มันไม่ต้องดูแลมาก อย่างพวกปลาทองซิ ใส่โหลมีอากาศให้หายใจก็อยู่ได้แล้ว แต่มันจะไม่ค่อยเจริญตาเท่าไร เพราะเลี้ยงได้แค่ตัวเดียว”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าคุณเป็นเซียนปลาซิท่า”
“ไม่ถึงขนาดนี้ แค่พอมีความรู้อยู่บ้าง ชิลล์ๆ”
“แล้วที่บ้านคุณเลี้ยงอะไร”
“ก็มีแค่หมอสีสอง แล้วก็ทองหัววุ้น สิงห์จีน สิงห์ญี่ปุ่น สิงห์ดำตามิด รันชู ลูกโป่ง ตากลับริวกิ้น ออรันดา เกล็ดแก้ว ลักเล่ห์แพนด้า เดเมกิ้น โทะซะกิน อย่างละตู้”
ภูผาอึ้งไปถนัดตา ก่อนจะถามเป็นเชิงประชดขำๆ ขึ้นว่า
“บ้านหรือฟาร์ม”
“บ้าน ถ้าเป็นฟาร์ม ต้องเป็นบ่อนู้น ยิ่งเป็นบ่อปลาคราฟด้วยละก็สุดยอดปรารถนาเลยล่ะ เอาบ่อใหญ่แบบสระว่ายน้ำเลย จะได้ลงไปว่ายน้ำเล่นกับมันได้ พูดแล้วอยาก” หมวดจอมล้นยิ้มหน้าบานเมื่อพูดถึง
ภูผาอมยิ้มขำ ก่อนแซวขึ้นว่า
“ท่าทางจะบ้าปลาเข้าเส้นนะคุณเนี่ย”
“ก็นิดหน่อย”
ภูผาอารมณ์ดีที่ได้คุยกับชบา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เป็นปราการโทร.มา
“ครับพี่”
เสียงปราการดังออกมาว่า “นายต้องการพบเดี๋ยวนี้”
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมจะรีบไป”
ภูผากดวางสาย แล้วหันมาหาชบา
“พอดีผมมีธุระต้องไปก่อน ขอบคุณสำหรับกาแฟ”
“ด้วยความยินดี แล้วเจอกัน”
“แต่ผมว่า อย่าดีกว่า ผมไม่อยากให้น้องชายผมต้องบาดเจ็บโดยไม่จำเป็นอีก”
ภูผาอำขำๆ ชบายิ้มรับหน้าตาเหยเก ภูผาโบกมือให้ แล้วเดินจากมาพร้อมแก้วกาแฟ ท่าทีเป็นมิตรมากกว่าตอนแรก
ไม่นานต่อมา ภูผาเดินมาเข้ามาในคฤหาสถ์ เห็นตะวันยืนคุยอยู่กับปราการ ปิง และใครอีกคนที่ปราการและปิงยืนบังอยู่ จนเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นว่ามีใครอีกคน และใครคนนั้นเป็น หมอกที่เขาเข้าใจว่าเป็นเมฆ ภูผาตะลึงตะไล เหมือนโดนผีหลอกกระนั้น เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ตะวันแอบสังเกตเห็นท่าทางตกใจของภูผา
“มาพอดีเลยภูผา จะได้ถามกันต่อหน้าให้รู้เรื่องกันไป”
หมอกหันมองสบตา คนนี้นี่เองที่ปิงบอกว่าเมฆไปทำงานด้วยแล้วเมฆหายไป
ตะวันแปลกที่เห็นหมอกมองสบตาภูผานิ่งๆ โดยไม่แสดงท่าทีโวยวายอะไรออกมาอย่างที่เคยเป็น เลยถามหมอกขึ้นว่า
“แกหายไปไหนมา”
หมอกมองสบตาตะวัน นิ่งคิด ภูผาโล่งนิดๆ ที่รู้ว่าสองคนยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย
“ผมรู้แค่ว่า ผมถูกยิง แล้วหลังจากนั้นก็ ความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลย”
ทั้งหมดอึ้งนิ่งงันไป ไม่เชื่อหู โดยเฉพาะภูผา
ตะวันไม่เชื่อตวาดเสียงขุ่นเขียว “อย่ามาแก้ตัวดีกว่า แกทรยศฉันเป็นสายให้ตำรวจใช่มั้ย”
หมอกนิ่งนึกตรึกตรองประเมินสถานการณ์อีก ภูผาลุ้นรอฟังคำตอบใจเต้นโครมคราม
“ถ้าผมเป็นสายอย่างว่าจริง ผมจะกลับมาหาที่ตายทำไม”
ตะวันอึ้งไป เห็นด้วย
ภูผาอึ้งกว่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้
“ถูกยิงเหรอ ไหนล่ะ” ตะวันถาม
ภูผาลุ้นคำตอบอย่างใจระทึก ทุกคนก็ลุ้นจะดู
หมอกนิ่งไป แล้วจึงค่อยๆ ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตออก เลิกเสื้อกล้ามตัวในให้ดูแผลที่พันผ้าทับไว้ ทุกคนอึ้งไป โดยเฉพาะภูผาที่เหมือนโดนผีหลอกตอนกลางวัน แต่ตะวันไม่เชื่อ ตรงเข้ากดที่แผลอย่างแรงจนเลือดออก หมอกยืนนิ่งให้กด จ้องสบตาตะวัน ไม่ร้องสักคำ ทุกคนตะลึง
ตะวันลดท่าทีเกรี้ยวกราดลง มองหน้าหมอกอย่างชั่งใจ แต่ยังไม่รู้จะเชื่อใครดี สับสนเหมือนเดิม ภูผานั้นมองลุ้นจนเยี่ยวเหนียวว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป มือกุมปืนระวังตัวสุดๆ
หมอกมองว่าตะวันจะเอายังไง
“เข้าไปคุยกันในห้อง”
ตะวันเดินนำไป ปิงสะเออะจะตาม ตะวันหันมามองตาขุ่น ไม่ใช่เรื่องของแก ปิงชะงัก รู้ตัวว่า งานนี้แค่สามคน
ภูผากับหมอกเดินตามตะวันไป ต่างคนต่างเหล่มองกันและกัน หยั่งเชิงกันอยู่ในที คิดในใจ
“เป็นไปได้ยังไง มันยังไม่ตาย”
“ไอ้หมอนี่เองที่ไปทำงานกับเมฆ แล้วเมฆถูกยิง”
ตะวันมองเหล่ทั้งคู่ คิดหนักเหมือนกัน
“ใครโกหกกันแน่”
ปราการมองตามทั้งสาม จนลับหายเข้าห้องไป จึงถามปิงว่า
“แกไปเจอเมฆที่ไหน”
“ที่ร้านดอกไม้ที่พี่เมฆชอบแวะไปซื้อพี่ ผมคิดเอาเองว่า ถึงจะหลบหน้ายังไง แกก็ต้องไปที่แกชอบไป แล้วดอกไม้เนี่ย แกก็อุดหนุนเป็นประจำ แบบคนขายสวยนะ แต่เสียอย่างเดียวตาบอด ถ้าไม่บอดคงจะดีกว่านี้”
ปราการมองอย่างระอา ถามคำเดียว มันตอบมาเป็นชุด เขาเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากข้อมูลข้อที่ได้รับรู้มา
เริ่มจากตอนที่ภูผาพูดเหมือนใส่ไฟเมฆ
“นี่แกจะบอกฉันว่า เกลือเป็นหนอนอย่างงั้นเหรอ”
“ผมคงไม่กล้าฟันธงลงไปแบบนั้นหรอกครับ เพราะผมเป็นคนนอก ถึงจะเป็นเด็กของแป๊ะกงที่คุณตะวันยืมตัวมาทำงานด้วย แต่เมฆก็อยู่กับคุณตะวันมานานกว่าผม”
อีกฉากตอนเขาโทร.บอกกับปานวาดเรื่องเมฆถูกภูผาใส่ไคล้ แต่ปานวาดสวนทันควัน
“ไม่จริง วาดไม่เชื่อ เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น เมฆไม่มีวันทรยศนายได้”
เขายังนึกไปถึงตอนภูผาออกอาการตกใจชัดแจ้งตอนเห็นหน้าหมอก เมื่อกี้
“ผม...ความจำเสื่อม จำไม่ได้”
หมอกเปิดแผลที่ถูกยิงให้ดู จนตะวันเปลี่ยนท่าทีจากเกรี้ยวกราดเป็นเย็นลงในทันทีทันใด
ปราการคิดหัวแทบแตก แต่คิดไม่ตก
“แล้วความจริง มันเป็นยังไงกันแน่”
ในเวลาเดียวกัน ปานวาดอยู่ที่คอนโด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายปราการที่โทร.มาจากคฤหาสน์นาย
“ฮัลโหล พี่ปรากร”
“วาด เจอไอ้เมฆแล้วนะ”
สีหน้าปานวาดยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“จริงเหรอคะ”
“จริงซิ พี่จะโทร.มาล้อเราเล่นทำไม”
“แล้วตอนนี้เมฆอยู่ไหนคะ”
“คุยอยู่กับนาย”
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
บรรยากาศในห้องทำงานตะวันอึมครึมอยู่สักระยะ จนกระทั่งหมอกเป็นฝ่ายอธิบายขึ้นว่า
“ผมรู้สึกตัวขึ้นมาจำอะไรไมได้เลย จึงรีบหาที่รักษาตัวก่อน”
ตะวันนิ่งนึกตรึกตรอง ก่อนถามขึ้นอย่างสงสัยว่า
“แต่ปิงมันบอกว่าไปเจอแกที่ร้านดอกไม้ แกไปที่ร้านดอกไม้ทำไม”
“ผมจำได้ลางๆ ว่ารู้จักที่นั่น เลยลองไปดูเผื่อจะมีเบาะแสให้ตัวเองบ้าง”
“แต่แกจำปิงได้นี่หว่า”
“จำไม่ได้ครับ ปิงมันทักผมก่อน ผมถึงรู้ว่ามันรู้จักผม แล้วบอกว่านายกำลังตามหา ผมก็เลยตามมันมา เผื่อจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร”
ภูผาได้ฟัง แล้วยิ่งเหลือเชื่อ ตะวันอึ้งไป ใช้ความคิดอีกครั้ง
“แล้วใครเป็นคนยิงแก”
ภูผาลุ้นฟังคำตอบอย่างระแวงระวัง หวั่นกลัวในที หมอกหันมามองสบตาตะวันและจงใจมาหยุดที่ภูผาบอกว่า
“ผมไม่รู้”
ภูผาแอบโล่งอกเล็กน้อย แต่ก็ยังกลัวอยู่ดี
ตะวันเปรยขึ้นอย่างงงๆ ว่า
“มันจะเป็นไปได้ยังไงว่ะ ในเมื่องานนี้มีคนรู้แค่สี่คน คนที่รู้ว่าเป้าเป็นใครตั้งแต่แรกมีแค่ฉันกับท่านกฤษชัย แกสองคนรู้ก็ต่อเมื่อไอ้อัคคเดชมันขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วเท่านั้น ถ้าแกสองคนไม่ทรยศ แล้วเป็นใคร”
คราวนี้ภูผาเสียววาบ
“ผมไม่รู้”
หมอกยืนกรานหันมองไปหน้าภูผา เป็นเชิงบอกว่ามันหรือเปล่า?
ตะวันมองตามไป หมอกโยนขี้มาให้ภูผา
“ก็คุณเป็นคนบอกเองว่ามีแค่ผมกับมันที่ไปลงมือ ก็ต้องถามมันแล้วล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น”
ภูผาร้อนตัวสวนขึ้นมาทันควันหวังผลกลบเกลื่อน
“นี่แกจะว่าฉันเป็นสายอย่างงั้นเหรอ”
หมอกนิ่งฟัง ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ จนภูผาร้อนตัว บอกขึ้นอีกว่า
“ก็อย่างที่แกบอกเมื่อกี้ ถ้าฉันเป็นสายจริงๆ แล้วฉันจะย้อนกลับมาทำไม มาหาที่ตายหรือไง”
หมอกยังคงสบตาภูผานิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ภูผายิ่งอึดอัด
ตะวันคิดตาม มันมีเหตุผลกันทั้งคู่
“ใครจะไปรู้ บางทีแกอาจมีแผนอย่างอื่นก็ได้” หมอกโยนขี้อีก
“พูดแบบนี้มันหาเรื่องกันนี่หว่า” ภูผากลบเกลื่อนต่อด้วยการเหวี่ยงใส่ “ถ้าจะหาคนน่าสงสัย แกนั่นแหละน่าสงสัยมากกว่าเมฆ แกหายไปเป็นวันๆ จนมีคนไปเจอแล้วกลับมาบอกว่า ความจำเสื่อม สร้างเรื่องขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิด ตะวันตัดบทขัดทัพขึ้นว่า
“พอเลยทั้งสองคน ไม่ต้องเถียงกัน”
ทั้งสองต่างสงบปากไป แต่ต่างคนต่างมองเขม่นกันอยู่ในที
ระหว่างนี้รถปานวาดแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ ปานวาดพุ่งลงจากรถไม่สนใจจะกดล็อกด้วยซ้ำ โลดแล่นเข้าคฤหาสน์ไป
ปราการอยู่กับปิงหันมาเห็นปานวาดเดินตรงมา เขายิ้มทัก แต่ปานวาดไม่ยิ้มตอบกลับถามขึ้นเร็วปรื๋อว่า
“เมฆล่ะคะพี่ปราการ”
ปราการหุบยิ้มผิดหวังที่ปานวาดสนใจแต่เพียงเมฆคนเดียว
“คุยกับนายอยู่ในห้อง”
“ออกมากันแล้ว”
ปิงบอกขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองออกมาจากห้องทำงานตะวัน ปราการกับปานวาดมองตาม เห็นทั้งสองเดินเขม่นกันออกมาทางนี้
ปานวาดโผเข้ากอดหมอกที่เธอเข้าใจว่าเป็นเมฆด้วยความเป็นห่วง
“เมฆ”
หมอกชะงักมองปานวาดจำได้แม่น ว่าเคยเห็นเธอคนนี้จากภาพคู่ในล็อคเก็ตของน้องชาย
ฝ่ายภูผานั้นเล่า เขาได้แต่มองจ้องด้วยความน้อยใจประสมความอิจฉา ที่เห็นปานวาดแสดงออกนอกหน้าแบบนั้น
ปราการเองก็เช่นกันความรู้สึกไม่ต่างจากภูผา ปิงยิ้มหื่น คิดเลยเถิดไปถึงไหนไม่รู้
หมอกสะดุ้งออกอาการเจ็บให้เห็น ขณะปานวาดซบหน้าลงโดนแผล ปานวาดรู้ตัวผงะออก เห็นเลือดซึมที่แผลก็ยิ่งตกใจ
“เป็นอะไรเมฆ”
“นิดหน่อย ไม่เป็นไร”
ภูผาน้อยใจที่ปานวาดห่วงเมฆออกนอกหน้าแบบนั้น ปานวาดจะหันมาแหวใส่ให้เขายิ่งช้ำใจหนัก
“ไหนเธอว่าเมฆทรยศไง แล้วนี่อะไร ใส่ความกันชัดๆ”
ภูผาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจเดินหนีไปดื้อๆ คร้านจะทะเลาะ ไม่อยากเถียงด้วย เดี๋ยวเข้าตัว
ปานวาดมองตามอย่างไม่พอใจ
หมอกมองตามภูผาอย่างประเมินว่า หมอนี่ต้อง เกาเหลา ชามโตกับเมฆแน่
ภูผาเดินหนีมา สีหน้าสับสน งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสงสัย หนักใจ และกลัวถึงขีดสุดในเวลาเดียวกัน
ปราการลอบสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมด มั่นใจว่าเรื่องนี้จบยากแน่
ภูผาร้อนใจเรื่องที่เมฆกลับมาแถมยังบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาจึงโทร.นัดเจอผู้กำกับเป็นการด่วน ทันทีที่อัคคเดชมาถึงเขารีบรายงานทันที
“ไอ้เมฆมันยังไม่ตายครับ”
อัคคเดชตกใจ “ห๊า จริงอ้ะ”
“ผมเพิ่งไปเจอมันมา ที่บ้านนายตะวัน”
“แล้วคุณรอดมาได้ยังไง” อัคคเดชเสียวแทน ภูผาจดจ่ออยู่แต่เรื่องเมฆ
“มันบอกว่ามันความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้”
อัคคเดชประหลาดใจ “เหลือเชื่อ”
“ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน”
“แต่ถ้าเป็นจริงอย่างมันว่า คุณตกที่นั่งลำบากแล้วละ หากความจำมันกลับมาจะยุ่ง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมว่าไม่น่ากลัวเท่าไร นิสัยอย่างไอ้เมฆมันต้องโวยวายแล้วมาเล่นงานผมก่อนแน่ ถ้ามันจำได้”
อัคคเดชจ้องหน้า ย้อนถามภูผาอย่างแปลกใจ “แล้วคุณกลัวอะไร”
ภูผามองสบตาอัคคเดช ก่อนบอกขึ้นว่า
“ผมกลัวจะเป็นแผนตลบหลังพวกเราของนายตะวันมากกว่า เกิดมันรู้ว่าผมเป็นสาย แล้วหลอกเราเหมือนตอนหลอกผู้กำกับไปยิงทิ้ง จะยุ่ง”
อัคคเดชพยักหน้าเห็นด้วย คิดหนัก
“ผมเลยอยากให้ผู้กำกับทดสอบมัน”
“ยังไง”
“ผู้กำกับก็ส่งคนไปหาเรื่องจับมันไปสอบปากคำดู ข้อหาอะไรก็ได้แล้วดูว่ามันมีปฏิกิริยายังไงกับผู้กำกับ”
“ทำแบบนั้น มันอาจเล่นละครตบตาเราก็ได้”
“แต่อย่างน้อยก็พอมีข้อมูลประเมินได้ว่า มันหลอกจะเล่นเราจริงๆ หรือเปล่า”
อัคคเดชแบ่งรับแบ่งสู้ “อันนี้ผมจะลองหาทางดูก่อนนะ ยังไม่รับปาก เพราะอยู่ดีๆ จะไปหิ้วมันมาสอบ ก็จะกลายเป็นว่าทำให้ไก่ตื่น จะเสียงานใหญ่เปล่าๆ แต่รับรอง ผมไม่ปล่อยให้คุณเสี่ยงอยู่คนเดียวแน่ ผมจะพยายามช่วย”
“ขอบคุณครับ”
สองคนคุยกันอยู่ในห้องทำงานตะวัน ที่คฤหาสน์ ตะวันเล่าเรื่องที่หมอกบอกให้ปราการฟังจนจบ
ปราการนิ่งไปย้อนถามกลับว่า “นายเชื่อเรื่องที่เมฆบอกเหรอครับ”
ตะวันหันมองสบตาปราการ “ทำไม”
“คือมันน่าสงสัยนะครับ ความจำเสื่อม อย่างกับละคร”
ตะวันเปรยขึ้น “มันก็ไม่แน่หรอกปราการ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครก็มี เพราะบางที่สิ่งที่ตาเราเห็น อาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด และบางสิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเราเห็นได้เหมือนกัน”
ปราการพยักหน้า เขาเองก็คิดเช่นนั้น
“หรือแกเชื่อว่าภูผาพูดความจริง”
ปราการอึ้งไป นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มันก็เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ครับ ผมว่ามันห้าสิบๆ ด้วยกันทั้งคู่”
ตะวันเห็นด้วยแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ
“เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงไม่กล้าฟันธงลงไปว่าจะเชื่อใครไง ฉันเลยอยากให้แกลองไปสืบดูว่าที่ยิงอัคเดชวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ครับนาย”
ปานวาดอยู่ที่คอนโดแล้ว เธอกำลังบรรจงทำความสะอาด และเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้หมอก
“เจ็บมั้ย”
หมอกส่ายหน้าแทนคำตอบ
ปานวาดชวนคุยเป็นเชิงตัดพ้อ “อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
หมอกมองอย่างแปลกใจ “เรื่องอะไร”
“ก็เมฆเล่นหายเงียบไปแบบนี้ แถมติดต่อไม่ได้ วาดใจคอไม่ดีเลยรู้เปล่า อย่างน้อยก็น่าจะโทร.มาส่งข่าวกันบ้าง”
“ขอโทษ”
ปานวาดยิ้มให้ “คราวหน้าก็อย่าทำอีกแล้วกัน”
“ก็ตอนนั้นผมจำไม่ได้”
“จริงด้วยซินะ” ปานวาดเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง “ว่าแต่เมฆจำไม่ได้จริงๆ เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”
หมอกย้อนถาม “ไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันเหลือเชื่อมากกว่า”
หมอกยิ้ม ไม่ตอบรับและปฏิเสธ ก่อนถามขึ้นบ้างว่า
“คนที่ชื่อภูผาเป็นใคร”
ปานวาดอึ้งไปนิดๆ “นี่เมฆจำภูผาไม่ได้จริงๆ เหรอ”
หมอกส่ายหน้าอีก ฃ
“ก็คู่ปรับของเธอไง”
หมอกทวนคำ “คู่ปรับ อย่างงั้นเหรอ”
ปานวาดพยักหน้า ก่อนบอกอีกว่า “ภูผาเป็นคนของแป๊ะกงที่นายยืมตัวมาทำงาน เจอหน้ากันเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อย”
“แล้วใครเริ่มก่อน”
ปานวาดมองหน้าหมอกไม่กล้าตอบ จนหมอกเป็นฝ่ายตอบขึ้นเอง
“ผมใช่มั้ย”
ปานวาดรีบออกตัว “วาดไม่ได้หมายความว่าเมฆเป็นคนหาเรื่องก่อนนะ แต่เมฆแค่ใจร้อนไปหน่อยก็เท่านั้น”
หมอกพยักหน้ารับคำ มองประเมินนิ่งๆ คิดในใจ
“ผู้หญิงคนนี้คงแคร์เมฆมาก”
ที่บ้านภูผาตอนกลางคืน ชาร์ตแผนผังเครือข่ายแก๊งอัคคีติดอยู่บนผนัง แลเห็นตำแหน่ง และบุคคลในแก๊งที่มีสายสัมพันธ์กันชัดเจน ภูผามองจ้องชาร์ตนั้นอยู่ด้วยแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด มาหยุดสายตาที่รูปเมฆอยู่บนผนัง
“นี่มันความจำเสื่อมจริงๆ เหรอ” อึดใจต่อมาเขาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“ไม่น่าเป็นไปได้”
อ่านต่อตอนที่ 6