ล่าดับตะวัน ตอนที่ 10
เช้าวันนี้ อัคคเดชพาตัวเองมายืนอยู่หน้าหน่วยเมฆาพยัคฆ์ หยุดยืนมองลูกน้องที่นั่งทำงานอยู่ด้านใน นึกถึงคำพูดเตือนของภูผา ผู้กำกับจดสายตามองลูกน้องแต่ละคนในหน่วยอย่างสงสัย
“มีข้อความเข้า นายตะวันหยิบดูแล้วก็หันมาสั่งให้พายีเส่งหนี”
อัคคเดชอึ้งไป สีหน้าตกใจชัดแจ้ง
“ข้อความเข้างั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะรู้ นอกจากต้องมีสายของเรารายงานมัน”
นึกแล้วอัคคเดชยิ่งหนักใจ ก่อนจะเดินหน้าขรึมเข้าออฟฟิศไป
อัคคเดชเดินเข้ามาในหน่วย ทุกคนในห้องเงยหน้าหันมาทักทาย
“สวัสดีครับ” / “สวัสดีค่ะ”
อัคคเดชพยักหน้าทักตอบ มองสบตาประเมินลูกน้องแต่ละคนอยู่ในที
“มีเอกสารจากกองงานทะเบียบบุคคลมาส่งผู้กำกับค่ะ” อ้อยรายงาน
“อยู่ไหน”
“อ้อยวางไว้บนโต๊ะแล้วค่ะ”
“ขอบใจ”
อัคคเดชกำลังเปิดซองเอกสาร พบว่าเป็นประวัติบุคคลของ ชบา อ้อย มนตรี และยักษ์ เป็นเอกสารงานทะเบียนประวัติของฝ่ายงานทะเบียนและวัดผล สำนักงานตำรวจฯ อัคคเดชหยิบดูทีละคน
ของยักษ์ เห็นข้อความที่เน้นว่า กู้สวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ล้าน (รักษามารดาที่ป่วย)
ของมนตรี เห็นข้อความที่เน้นว่า มีเรื่องร้องเรียนฉันท์ชู้สาว ถูกกล่าวหาว่าทำผู้เยาว์ท้องกำลังอยู่ในระหว่างการพิสูจน์
ของอ้อย เห็นข้อความที่เน้นว่า กู้เงินสวัสดิการซื้อบ้าน 3 ล้าน
ของชบา เห็นข้อความที่เน้นว่า ถูกปฏิเสธจากหลายหน่วยงาน
อัคคเดชคว่ำใบประวัติชบาเป็นคนแรก พร้อมอมยิ้มขำๆ แล้วหันมองอีกสามคนในหน่วยอย่างประเมินก่อนคว่ำใบของอ้อยออกอีกคน เหลือมนตรีกับยักษ์ แล้วเลือกคว่ำยักษ์ เหลือมนตรีเอาไว้ แล้วกดโทรศัพท์เรียกอ้อย
“หมวดอ้อยเข้ามาพบผมหน่อย”
เสียงอ้อยดังลอดจากอินเตอร์คอมว่า “ค่ะ ผู้กำกับ”
อัคคเดชเลียบเคียงสอบถามความเป็นไปลูกน้องจากอ้อยที่เวลานี้เข้ามาในห้องนั่งคุยอยู่ตรงหน้าแล้ว
“เรื่องเมียเด็กของมนตรีไปถึงไหนแล้ว”
“เห็นว่าคลอดแล้วนะคะ รอเด็กอายุครบแล้วจะตรวจสอบดีเอ็นเอ ค่ะ”
“แล้วฝ่ายนู้นเค้าว่ายังไงบ้าง”
“เห็นว่าถ้ามนตรีเป็นพ่อจริงจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แว่วๆ ว่าจะฟ้องทั้งแพ่งและอาญาด้วยนะคะ เห็นมนตรีว่าเคยพยายามไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ฝ่ายนู้นเรียกเป็นล้านเลยค่ะ”
อัคคเดชพยักหน้ารับ อ้อยแปลกใจมากเอาการ
“ผู้กำกับถามทำไมเหรอคะ”
อัคคเดชอึ้งไปนิด “ผมก็ถามดูตามประสาคนเป็นเจ้านาย เผื่อมีอะไรจะช่วยได้บ้าง”
“ผู้กำกับต้องช่วยมันแล้วล่ะคะงานนี้ ไม่งั้นมันโดนให้ออกจากราชการแน่ ถ้าฝ่ายผู้หญิงไม่ยอมจะเอาเรื่องให้ได้”
“ผมจะลองหาทางดูละกัน”
อัคคเดชมีแผนอยู่ในใจ
อ้อยเดินกลับออกมาจากห้องผู้กำกับ แล้วเดินตรงไปหามนตรีที่โต๊ะทำงานทันที
“นี่จ่า อย่าสร้างปัญหาได้มั้ยเนี่ย แค่นี้ผู้กำกับก็มีเรื่องปวดหัวมากพออยู่แล้วนะ”
“ผมเปล่าทำอะไรนะ อยู่ดีๆ ก็มาว่ากัน อะไรเนี่ย”
“ก็เรื่องเมียเด็กที่จ่าไปทำเค้าท้อง และจะมีเรื่องฟ้องร้องอยู่นี่ไง”
ชบาได้ยิน จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “นี่จ่ามีครอบครัวแล้วเหรอคะ”
“ยังครับ แค่เค้าหาว่าผมทำเค้าท้อง”
ชบาเผลอหลุดปากออกมาอีกว่า “หน้าตาอย่างจ่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนหลงมาเอาด้วย”
มนตรีเซ็ง หน้าเจื่อนไปถนัดตา
“โอ หมวด พูดซะหมดราคาเลย”
“โทษค่ะ ชบาไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น แค่นึกว่าหน้าตาหาความหล่อไม่ได้แบบนี้ ยังมีคนมาหลง แสดงว่าคารมต้องดี แบบที่เค้าว่า คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรองแบบนั้นน่ะค่ะ”
มนตรียิ้มหน้าบานที่ถูกชม ยักษ์สอดขึ้นว่า
“ไม่ได้คารมเป็นต่อหรอกครับหมวด มันถูกเค้ามอมเหล้าหลอกไปขึ้นเตียงด้วย แล้วพ่อแม่ก็บุกมาเอาเรื่อง ผู้หญิงดันไม่รู้ว่าตัวเองท้อง มารู้ทีหลังเลยโป๊ะแตก มนตรีเลยเจอแจ๊คพ็อตแตกสองเด้ง”
“พอเถอะครับ พอแล้ว แค่นี้หมอก็ไม่รับเย็บแล้ว พอเถอะครับ” มนตรีวิงวอนชาวคณะ
อ้อยสมน้ำหน้า “อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัว ช่วยไม่ได้”
มนตรีจ๋อยสนิท ก่อนถามขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจใช่น้อย
“แล้วผู้กำกับรู้เรื่องด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่แค่รู้เรื่อง เป็นห่วงด้วย ถามอ้อยอยู่เมื่อกี้ว่าอยากหาทางช่วย”
มนตรีอึ้งไป เหลือเชื่อ “โห สุดยอดเจ้านายเลยแบบนี้”
“รู้แล้วก็อย่าหาเรื่องให้ผู้กำกับปวดหัวอีก เข้าใจ๋”
“ครับ”
จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ชบายิ้มขำมนตรี ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดวาบขึ้นในหัว
ตอนนั้นชบาแอบมองอัคคเดชรับสายและคุยกับใครคนนั้นอย่างน่าสงสัย โดยไม่รู้ว่าคุยกับภูผา
“ผู้กำกับคุยกับใครนะ”
เป็นเรื่องที่ค้างคาใจหมวดสาวจอมรั่วเป็นอย่างมาก
ราวกับส่งความคิดถึงกันเพราะภูผาซึ่งอยู่ที่ห้องพักจามขึ้นเสียงดังลั่น โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จนกระทั่งมีเสียงมือถือดังขึ้นเรียกให้ภูผารับสาย เป็นเบอร์แป๊ะกงโทร.มา ภูผากดรับสาย
“ครับแปะกง”
แป๊ะกงโทร.มาจากคฤหาสน์ “ว่างมั้ยวันนี้ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยซิ”
“ว่างครับ แปะกงจะไปไหนเหรอครับ”
“ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาเสือ”
ภูผาอึ้งไป สีหน้าสลดลงถนัดตา
“ได้ครับ”
“งั้นเจอกันที่วัดนะ”
“ครับ”
ภูผาวางสาย หวนนึกถึงความหลังเมื่อครั้งอดีตขึ้นมาอีกคำรบ
มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ “สองปีก่อนหน้านั้น”
แป๊ะกงบอกกับภูผาด้วยอาการตื่นเต้นหลังได้ทราบข่าวว่าเฮียเสือจะได้รับการปล่อยตัว
“อาเสืออีจะได้รับการปล่อยตัวอาทิตย์หน้า”
ภูผาอึ้งไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่รีบปรับสีหน้าแกล้งดีใจ
“จริงเหรอครับ”
“จริงซิ ทนายเค้าเพิ่งโทรมาบอกฉันเมื่อกี้”
“แต่เฮียเค้าต้องติดอีกหลายปีไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไม่อยู่ดีๆ ถึงได้การปล่อยตัวละครับ”
แป๊ะกงได้ยินคำถามก็อึ้งไป ก่อนบอกภูผาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า
“ไม่รู้จะเรื่องว่า ข่าวดีหรือข่าวร้ายดี เพราะที่ถูกปล่อยตัวเป็นกรณีพิเศษ เพราะป่วยหนักระยะสุดท้าย”
ภูผาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจ
“เฮียป่วยหนักแบบนี้ได้ยังไงครับ”
“กระสุนที่ถูกยิงก่อนเข้าคุก ฝังในทับเส้นประสาท ระบบร่างกายเลยจะปิดทำงานตัวเองในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้”
ภูผาฟังแล้วสะท้อนใจ นิ่งงันไป
เมื่อถึงวันปล่อยตัว เฮียเสือเดินออกมาจากประตูเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มีรถเอ็มพีวีจอดรอรับอยู่หน้าเรือนจำ ภูผาเปิดประตูลงรถมาเดินไปรับยิ้มทักอย่างดีใจ เสือยิ้มตอบเดินเข้าไปหา ทั้งสองกอดทักกันกลมด้วยความดีใจ
“เป็นไงไอ้น้อง”
“ป๊าเฮียให้มารับครับ”
เสือพยักหน้ารับรู้ ก่อนยิ้มแซวภูผาขึ้นว่า
“อยู่ข้างนอก แต่งตัวแบบนี้ ดูหล่อขึ้นเป็นกองเลยนี่หว่า”
ภูผายิ้มรับเอาคำ ก่อนจะพากันขึ้นรถ
คืนนั้น เฮียเสือรินเหล้าเติมลงแก้วที่เพิ่งกระดกหมดไป เขานั่งอยู่กับภูผาสองคน
ภูผาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “พอเถอะเฮีย เฮียดื่มมากแล้วนะวันนี้”
“ปล่อยข้าเถอะว่ะ อีกไม่นาน ข้าก็ไม่มีโอกาสได้กินแล้ว”
“พูดอะไรแบบนั้นเฮีย”
“ข้าพูดเรื่องจริงนี่นา”
ภูผาอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก
“เรื่องตายข้าไม่กลัวหรอก คนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว แต่ที่เสียดายคือยังมีเรื่องที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่า”
“เรื่องอะไรเหรอเฮีย”
“ข้าอยากปล้นใหญ่ๆ อีกสักครั้ง นึกถึงอารมณ์ตอนหนีตำรวจแล้ว มันตื่นเต้นลุ้นดีว่ะ”
ภูผาฟังแล้วปวดตับ หนักใจเป็นที่สุด
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ไม่กี่วันต่อมา เสือทำตามฝันก่อนตายจนได้ เขาพาภูผาและลูกน้องอีก 4 คน ใส่หน้ากากเข้าปล้นธนาคาร แต่ไม่สำเร็จ เวลานั้นกำลังปะทะกับกำลังตำรวจอยู่ริมถนน
ในระหว่างการไล่ล่านี้เอง กองกำลังฝ่ายตำรวจมีที่มาสนธิกำลังด้วย สองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด
ภูผาหลบอยู่กับเฮียเสือที่กำลังยิงสู้ตำรวจอย่างเมามันส์ ภูผามองประเมินสถานการณ์แล้วไม่ดีแน่ จึงรีบบอกเตือนเสือ
ภูผาบอกกับเฮียเสือ “สู้แบบนี้ ไม่ไหวแน่ หาทางหนีก่อนเถอะ”
เสืออึ้งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย เปิดทางหนีโว้ย”
ลูกน้องจึงพร้อมใจกันระดมยิงใส่ตำรวจ เพื่อให้เฮียเสือหนี เฮียเปิดฉากยิงใส่เฮียเสือพร้อมกับภูผา แล้วเริ่มถอยหนี
เสือกับภูผาวิ่งหนีมาตามทาง ทั้งสองตัดสินใจหลบเข้าไปในออฟฟิศแห่งหนึ่ง พนักงานแตกตื่นหนีตายจ้าละหวั่น เหลือสาวออฟฟิศซึ่งผงะด้วยความตกใจไปไม่เป็น เมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองเข้ามาในบ้านพร้อมอาวุธครบมือ
ไวเท่าความคิดภูผารีบตรงปิดหน้าต่างเพื่อบังสายตา กลัวตำรวจที่ไล่ตามมาจะเห็น
จริงดังคาดมีตำรวจทีมไล่ล่าตามมา และกระจายกำลังกันออกค้นหาเสือและภูผา สุดท้ายพากันผ่านบ้านที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ไป
ภูผากับเสือคอยแอบมองจนพวกตำรวจลับตา เสือถอนใจโล่งอก จู่ๆ เสือก็คว้าหญิงสาวมาเป็นตัวประกันหันปากกระปอกปืนในมือไปเล็งใส่หัวหญิงชะตาขาด สาวนางนั้นตกใจขวัญกระเจิง
“เงียบเดี๋ยวนี้” เสือตวาดเสียงต่ำ
สาวออฟฟิศคนนั้นยิ่งตกใจกลัว ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เหงื่อแตกพลัก ภูผาหันไปมอง ตกใจกับภาพที่เห็น
“เฮียใจเย็นก่อนเฮีย”
เสือไม่สน ยังเอานิ้วเข้าโก่งไก ด้วยอาการวิตกจริตอย่างเห็นได้ชัด
พลันสีหน้าของเสือบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่แท้ภูผาเอาปืนจ่อเล็งใส่เสือมาจากด้านข้างๆ
“มึงทำบ้าอะไรของมึงไอ้ภูผา”
“ปล่อยเค้าไปเถอะเฮีย”
“นี่มึงเห็นคนอื่นดีกว่ากูอย่างงั้นเหรอ”
“เปล่าเฮีย แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เรื่องด้วย”
“แต่เสียงร้องมันจะทำให้เราถูกจับ”
“ก็หนีซิเฮีย”
เสือมองหน้าภูผาอย่างไม่พอใจ “นี่มึงจะงัดข้อกับกู เพื่อคนอื่นใช่มั้ยไอ้ภูผา”
ภูผานิ่งไม่ตอบ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสือตวัดปืนหันกลับมาจะยิงภูผาทิ้ง
ปืนในมือภูผาจึงระเบิดกระสุนสวนไปก่อน กระสุนพุ่งเข้าเจาะกะโหลกเสือตรงข้างกกหู ก่อนที่จะทันตวัดปืนมาถึงภูผา เสือล้มทั้งยืน
ภูผาอึ้งตะลึงตะไล ด้วยความตกใจ
สีหน้าภูผาซึ่งเวลานี้อยู่ในวัดจีนย่านเยาวราชดูหมองเศร้าชัดเจน เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ภูผาอยู่ในพิธีทำสังฆทานตามแบบประเพณีจีน พร้อมกับ แป๊ะกง อาเหมยหลานสาวคนโปรด และ เมีย ของเฮียเสือ พลางขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณเสือในใจ
“อโหสิกรรมให้ผมด้วยเถอะนะเฮีย ผมเป็นตำรวจ ต้องทำตามหน้าที่”
พระจีนทำพิธีตามธรรมเนียมจนแล้วเสร็จ
ถัดมา ภูผาประคองแป๊ะกงเดินเที่ยวชมวัดมาเงียบๆ แป๊ะกงจับสังเกตท่าทีคนสนิทลูกชายผู้ล่วงลับได้
“เป็นอะไร วันนี้ไม่พูดไม่จา”
“ผมคิดถึงเฮียเสือครับ” ภูผาสารภาพ
“ถ้าอาเสือรู้ อีคงดีใจที่ยังมีคนคิดถึง”
ภูผายิ้มรับเอาคำ สีหน้าเจื่อนไป นึกละอายใจ นิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนบอกถามขึ้นว่า
“แปะกงตัดสินใจหรือยังครับ เรื่องที่ผมเคยถามเอาไว้”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องวางมือไงครับ”
แป๊ะกงอึ้งไปอย่างถนัดใจ อย่างครุ่นคิด ก่อนบอกขึ้นว่า
“ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่างานส่งอาวุธให้นายพลยี่เส่งครั้งนี้จะเป็นงานสุดท้าย แล้วจะย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองนอก สมบัติ ชื่อเสียง เงินทอง เป็นของนอกกาย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง สู้เอาเวลาไปเลี้ยงหลาน ใช้เวลากับคนที่เรารักให้มากที่สุดดีกว่า”
ภูผาได้ยินมีสีหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมาทันที
“ว่าแต่เธอเถอะ ฉันเลิกแล้ว แล้วตัวเธอล่ะ จะอยู่วงการนี้ต่อไปเหรอ”
“แล้วแปะกงคิดว่าผมควรจะเลิกหรืออยู่ต่อครับ”
แป๊ะกงนิ่งก่อนตอบ “ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร”
ภูผาอึ้งไป แป๊ะกงพูดหมายความว่าไง
“เป้าหมายอะไรเหรอครับ”
แป๊ะกงพูดวัดใจภูผา เพราะพอรู้เลาๆ ว่าภูผาไม่ได้ซื่อสัตย์กับตะวันหรือบางทีอาจกับตนด้วย แต่เพราะชายชราเอ็นดูภูผาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ก็เป้าหมายที่จะโต มีอำนาจในวงการนี้ยังไงล่ะ แววตาเธอ ฉันมองออก”
ภูผาโล่งใจ แล้วทำทีเป็นเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“แล้วมันจะเป็นไปได้มั้ยครับแปะกง”
“อย่าเลย หยุดเถอะ การจะใหญ่ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องสูญเสียก่อนเพื่อจะได้มันมา ฉันผ่านอะไรมาหมดแล้ว เลยทำให้รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของคนเราคืออะไร จำคำพูดฉันแล้วลองไปคิดๆ ดูละกันนะ ภูผา”
“ครับ ผมจะลองคิดดู บางทีผมอาจจะหยุดทุกอย่างที่นี่ แล้วตามแปะกงไปอยู่เมืองนอกด้วยก็ได้ จะได้มั้ยครับ”
“จริงรึเปล่า อย่าทำพูดเป็นเล่นไป ฉันดีใจนะ” แป๊ะกงบอกอย่างจริงจัง “จำไว้นะ เธอก็เหมือนลูกชายฉันอีกคน ฉันหวังดีกับเธอเสมอ ภูผา”
ภูผาซาบซึ้งใจที่แป๊ะกงดีกับตน และยิ่งสะท้อนใจใหญ่หลวง
ตอนเช้าวันเดียวกันนี้ ปราการส่งโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมให้ตะวัน
“ท่านนายพลครับ”
ตะวันรับไปพูดสาย เขาอยู่ในคฤหาสน์
“สวัสดีครับท่านนายพล”
ยี่เส่งรับสายอยู่มุมหนึ่งในค่ายละแวกตะเข็บชายแดน
“ว่าไงคุณตะวัน มีอะไรให้ผมรับใช้”
ตะวันอย่าเรียกว่ารับใช้เลยครับ ผมไม่บังอาจขนาดนั้น เรียกว่าท่านกรุณาผมดีกว่า
ยี่เส่งหัวเราะชอบใจ
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คือผมอยากยืมมือดีของท่านมาช่วยคุ้มกันสินค้าหน่อยครับ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา ผมจัดให้อยู่แล้ว อย่าให้พลาดก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับท่าน รับรองงานนี้จัดหนักแน่ครับ”
ตะวันยิ้มเจ้าเล่ห์
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ทุกคนรอประชุมอยู่ในห้องทำงาน จนตะวันเดินเข้ามา ทุกคนหันไปทัก ตะวันพยักหน้ารับ ปรายตามองท่าทางของหมอกกับภูผาที่ยังคงเขม่นกันอยู่ในทีเช่นเคย
“ที่เรียกมาวันนี้ จะบอกเรื่องแผนที่จะขนอาวุธส่งให้นายพลยี่เส่ง”
หมอกกับภูผาหูผึ่ง ตะวันแอบจับสังเกตทั้งสองคนอยู่ในที
“งานนี้เราจะเอาคนของยี่เส่งมาร่วมคุ้มกันสินค้าด้วย” ตะวันหันมาทางปราการ “ปราการ แกประสานงานกับคนของนายพลยี่เส่ง คอยคุ้มกันสินค้า”
“ครับ”
ตะวันมองมาที่ปานวาด “วาด”
“คะนาย”
“เธอไปหามุมสูง คอยสังเกตการณ์และระวังภัยให้ปราการกับทีมอีกชั้นหนึ่ง ตอนจะเอาสินค้าออกจากท่า”
“ค่ะ”
“เมฆ ภูผา” ตะวันจ้องหน้าสองคน
“ครับ” ทั้งคู่รับคำพร้อมกัน
“แกสองคนคอยคุมรถสินค้า”
ทั้งสองคนหันมองหน้ากันแล้วรับเอาคำสั่งพร้อมกันอีก
“ครับ”
ปานวาดเอ่ยถามขึ้น “เอ่อ..นายคะ”
ทุกคนหันมามองปานวาดเป็นตาเดียว
“มีอะไรสงสัยปานวาด”
“แล้วคราวนี้จะซ้อนแผนแบบคราวที่แล้วรึเปล่าคะ นายสั่งพวกเราเป็นตัวล่อแต่คนที่ทำจริงๆ คือ...”
ปราการสวนขึ้นเป็นเชิงตำหนิว่า “นายสั่งให้ทำอะไร พวกเราก็มีหน้าที่ทำตามนะวาด”
ปานวาดจ๋อยสนิท
“ดีงั้นตามนี้” ตะวันบอกย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันขอบอกอีกครั้ง งานนี้สำคัญ ห้ามพลาดเด็ดขาด ถ้าใครทำเสียเรื่อง ฉันไม่เอาไว้แน่”
หมอกมองทุกคนอย่างประเมิน พร้อมกับคาดหวังในใจว่าจะได้ตัวคนฆ่าเมฆในงานนี้
ปานวาด แอบหวั่น ภูผาประประมวลความคิด งานครั้งนี้ตะวันจะมาแนวไหนอีก
ฝ่ายปิงนั่งเซ็งๆ บ่นบ้าอยู่คนเดียว ตรงมุมหนึ่งในคฤหาสน์
“เฮ้อ เมื่อไหร่ไอ้ปิงจะได้ทัดเทียมคนอื่นสักทีวะ วันๆ ต้องต้องรับคำสั่งจากคนโน้นทีคนนี้ที”
ปราการเดินมาตาม
“ปิง”
ปิงรีบเปลี่ยนสีหน้า
“ครับพี่ สั่งอะไรบอกมาเลยพี่ ผมพร้อม พร้อมมากด้วย”
“นายเรียก”
ปิงอึ้งไปอย่างประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“เรียกผมเหรอพี่”
ปราการพยักหน้า “อืมม์”
“ฟังผิดเปล่าพี่ นายเรียกผม”
ปราการถลึงตาใส่แทนคำตอบ
“อ๋อ...ไม่ผิด ครับๆ”
ซองเงินปึกใหญ่ ถูกโยนให้ปิงที่ยืนเจียมตัวอยู่ตรงหน้าตะวัน ปราการอยู่ในห้องด้วย
“รางวัลของแก”
ปิงมองอย่างเหลือเชื่อ แต่ยังไม่กล้าแตะ จนตะวันต้องบอกอีก
“เอาไปซิ”
ปิงยิ้มแป้นยกมือไหว้ปลกๆ
“ขอบคุณครับ” แล้วหยิบซองเงินขึ้นมา
“งานที่แล้วแกทำได้ดี ถ้างานครั้งนี้ทำได้ดีอีก ฉันจะเพิ่มให้อีก”
ปิงยิ้มหน้าบานที่ตะวันออกปากชมต่อหน้า
ปิงเกิดและโตมาในชุมชนแออัดแห่งนี้ ค่ำมืดลงแล้ว แต่ยังเห็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันอยู่บนถนน หนึ่งในนั้นเป็น ป่อง น้องชายของปิง อายุราวสิบขวบ ลูกหลงคนสุดท้อง ป๋องหันมาเป็นปิงเดินเข้ามาก็ร้องทักขึ้น
“พี่ปิง”
ปิงยิ้มทัก ส่งถุงขนมที่ถือมาด้วยให้เด็กๆ
“เอาไปแบ่งกัน”
เด็กๆ ดีใจ ไหว้ “ขอบคุณคร้าบ” พร้อมกัน
“แม่ล่ะ”
“รับลูกค้าอยู่ในบ้าน”
คำพูดเฉยชาของน้อง กระแทกเข้าหน้าปิงจังๆ ใบหน้าที่กำลังเปื้อนยิ้ม อารมณ์ดี๊ดี เจื่อนลงถนัดตา
เจ๊หวี แม่ปิง อายุน่าจะไม่เกินห้าสิบ มีลูกตั้งแต่สิบห้า หน้าตายังดูดีอยู่ นุ่งกระโจมออกเดินออกมาจากห้องหลังเสร็จกิจกับลูกค้าอายุราวหกสิบกว่า แก่เป็นพ่อปิงได้
“แล้วมาอีกนะคะเฮียขา”
“น้องหวีบริการดีถึงใจขนาดนี้ ต้องมาอีกแน่”
พร้อมกันนี้ลูกค้ายังควักแบงค์ร้อยทิปให้อีกใบ เจ๊หวีตาโต ยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณค๊า”
ก่อนที่เสียงหนึ่งจะกระแอมดังขึ้น ทั้งสองหันมองเห็นปิงนั่งตาขวางอยู่โซฟา ลูกค้าเห็นท่าไม่ดีรีบชิ่ง
แม่ปิงเอาแบงค์ร้อยยัดใส่ร่องอก แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นกินน้ำ
ปิงเอามือทุบโต๊ะอย่างไม่พอใจ พร้อมบอกขึ้นว่า
“ทำไมยังขายอยู่อีก”
“ไม่ให้กูขายตัวแล้วจะให้กูเอาอะไรกิน”
“ก็หางานอย่างอื่นอย่างที่ชาวบ้านเค้าทำกันบ้างไม่เป็นหรือไง”
“ก็กูขายเป็นแต่นาผืนน้อยที่แม่ให้มา หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแบบคนอื่นเค้าไม่เป็น เป็นแต่หน้าสู้เพดาน หลังสู้ที่นอน ทำมาตั้งแต่นมยังไม่แตกพาน จนจะยานเป็นถุงกาแฟอยู่แล้ว เลี้ยงพวกมึงโตจนหมาเลียตูดไม่ถึง จนให้มึงมาขึ้นเสียงกับกูได้แบบนี้ไง”
“ก็ฉันอายเค้า แม่อายุเท่าไรแล้ว จะขายไปถึงเมื่อไร”
แม่ปิงโกรธจัด “ไอ้ปิง ไอ้ปากหมา นี่มึงว่ากูแก่เหรอ”
พร้อมกับว่าเจ๊หวีหยิบของใกล้มือขว้างใส่ลูก ปิงไม่หลบของชิ้นที่ว่าฟาดโดนหัวจนเลือดออกซิบๆ
ผู้เป็นแม่อึ้งไป ตกใจนิดๆ ก่อนจะด่าขึ้นตามนิสัยปากไว
“ไอ้สันดาน ขว้างแล้วทำไมไม่หลบ”
ปิงมองหน้าจ้องตาแม่เขม็งอย่างไม่พอใจ คนเป็นแม่จะเข้าไปดูแผลปิงสะบัดหนีอย่างรังเกียจ
“นี่มึงรังเกียจกูเหรอไอ้ปิง กูแม่มึงนะ ไอ้ลูกเวร”
เจ๊หวีตบตีปิงอีกฉาดใหญ่ ปิงมองหน้าแม่อย่างเอาเรื่องอีกครั้ง
“มึงอยากให้กูเลิกก็หาเลี้ยงกูซิ อย่าดีแต่ปาก”
“คำก็เงิน สองคำก็เงิน เงินมันสำคัญนักหรือไง”
“เออซิวะ สมัยนี้ใครมีเงินก็เป็นใหญ่”
ปิงคุมแค้น ควักเงินปึกใหญ่ฟาดลงบนโต๊ะเปรี้ยง แล้วเดินหุนหันออกไปอย่างไม่พอใจ
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปิงเดินหัวเสียมาตามทางในชุมชน เตะนั่นเตะนี่ระบายอารมณ์ไปทั่ว จนผ่านบ้านหนึ่งหมาในกรงเห่าใส่ ปิงโมโหชักปืนเล็งใส่หมา เสียงเจ้าของบ้านตะโกนด่าดังออกมา
“ไอ้ฉิบฉาย ว่างมาก ไม่มีงานทำหรือไง ถึงได้มาเที่ยวแหย่หมาให้เห่าอยู่ได้”
ปิงฉุนขาด เหนี่ยวไกยิงใส่เข้าไปในบ้าน
เสียงปืนดังกัมปนาทขึ้นกึกก้อง หมาวิ่งหนีหางจุกตูด ส่วนเจ้าของบ้านเงียบเสียงไปและปิดไฟเงียบฉี่ ปิงบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่นมาดหมายว่า
“สักวันกูจะใหญ่ให้ดู”
เช้าวันใหม่อันแสนสดใส หลินกำลังต้อนรับลูกค้าคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในร้าน หมอกยังคงแอบมองอยู่ในรถจากฝั่งตรงข้ามเช่นเคย คิดถึงเรื่องที่เคยคุยกับหลินเรื่องแจกันวันไปทำบุญด้วยกัน
“แล้วครั้งสุดท้ายที่ผมมาก่อนที่ผมจะความจำเสื่อม ผมคุยอะไรกับคุณ พอจะจำได้มั้ยครับ”
หลินนึกอยู่ครู่หนึ่ง “คุณแกล้งลองหลินอย่างที่เล่าไป แล้วก็ถามเรื่องแจกันค่ะ”
“แจกัน...แจกันอันไหนเหรอครับ”
“แจกันที่หน้ารูปพ่อแม่หลินในร้านไงคะ มันเป็นแจกันของพ่อที่หลินเก็บไว้เป็นที่ระลึกน่ะค่ะ”
หมอกมองหลินอย่างใช้ความคิดว่าจะหลอกถามเธอยังไงอีกว่าเป็นแจกันใบไหนแน่
แต่สีหน้าแววตาที่มองหลินดูออกว่าเขาเริ่มสนใจเธอแล้ว
หลินส่งดอกไม้ช่อสวยที่จัดเสร็จแล้วให้ลูกค้า พร้อมรับเงินมา
“ขอบคุณนะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”
หมอกแทรกตัวเข้ามาเมื่อลูกค้าเปิดประตูออกไป หลินรับรู้ได้ถึงการมาของเขา แต่นิ่งไว้ไม่แสดงออก หมอกค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงียบๆ ไม่เหมือนที่เคยทำ จนหยุดอยู่หน้าหลิน
หมอกมองจ้องใบหน้างามสงบของหลินอยู่นิ่งๆ อึดใจหนึ่ง จนกลิ่นหอมจากตัวเธอลอยมาเตะจมูก
หลินคลี่ยิ้มออกมาทันที ทักขึ้นอย่างมั่นใจ
“คุณเมฆ”
หมอกตกใจ “คุณหลินจำได้”
“จำได้ซิคะ แม้ว่าช่วงหลังๆ คุณจะเปลี่ยนไปก็ตาม แต่หลินก็จำได้ละ”
“งั้นผมก็หมดโอกาสหลอกคุณแล้วซิแบบนี้”
หลินยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี ก่อนถามขึ้นอย่างคนมีอัธยาศัยดีว่า
“วันนี้รับอะไรดีคะ”
“ผมขอดอกไม้เหมือนเดิมแล้วกัน”
“ได้ค่ะ คอยสักครู่นะคะเดียวหลินจัดให้”
หลินจัดดอกไม้ด้วยการคลำเอาอย่างแคล่วคล่อง หมอกยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันมองที่แจกันที่หน้ารูปพ่อแม่หลินอย่างสนใจ ก่อนแกล้งถามชวนคุยขึ้นว่า
“แจกันที่คุณหลินว่าผมถามถึง ใช่ใบที่ตั้งอยู่หน้ารูปพ่อแม่คุณหรือเปล่า”
“ใช่คะ” หลินยิ้มให้
หมอกหันไปมองแจกันอีกครั้งอย่างมีแผนอยู่ในใจ เป็นแจกันใบใหญ่ที่เขาเคยมองข้ามนั่นเอง
ตกกลางคืน หมอกแอบเข้ามาในร้านหลินทางประตูที่เคยเข้าอีกครั้ง ย่องเงียบเดินเข้าไปหาแจกัน อึดใจต่อมาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหลินที่เดินลงมาจากชั้นบน หมอกรีบหลบหาที่ซ่อนตัว หลินเดินมาหยุดหน้าบันได ก่อนถามขึ้นว่า
“ใช่คุณที่เคยช่วยหลินไว้เมื่อครั้งก่อนหรือเปล่าคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ หลินรับรู้ว่าเขายังอยู่จึงชวนคุย
“ไม่ต้องกลัวนะคะ หลินแค่ต้องการจะขอบคุณคุณที่ช่วยหลินไว้วันนั้น ถ้าไม่ได้คุณหลินคงแย่แน่ๆ”
ยังคงเงียบไม่มีเสียงตอบเหมือนเดิม
“คุณมาที่นี่ คุณต้องการอะไรรึเปล่าคะ ถ้าคุณต้องการของมีค่าที่นี่ไม่มีหรอกนะคะ เพราะของมีค่าที่นี่คือแจกันกับดอกไม้เท่านั้น แต่ถ้าคุณอยากได้ เชิญคุณเอาไปได้ตามสบายเลยค่ะ”
ขาดคำหลินเดินกลับขึ้นชั้นบนไปเลย
หมอกค่อยๆ เผยตัวออกมาจากที่ซ่อน มองตามหลินอย่างชั่งใจ และแปลกใจในคราวเดียวกัน รอจนเธอลับหายไป จึงเดินไปที่หิ้งวางรูปบูชาพ่อแม่ของหลิน
หมอกหยิบแจกันมา เอามือล้วงไป ควานหาจนทั่ว แต่กลับต้องประหลาดใจ เพราะไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น หมอกเก็บแจกันกลับเข้าที่เดิมอย่างผิดหวัง
“แกซ่อนไว้ที่ไหนของแกว่ะเมฆ”
ฝ่ายหลินทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนด้วยสีหน้าใช้ความคิด ด้วยสัญชาติญาณจากที่ได้ยินเสียงรับรู้ว่าหมอกรีบหาที่หลบซ่อนตัว
หลินนิ่งใช้ความคิดต่อ
นึกถึงช่วงสายที่หมอกค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงียบๆ ไม่เหมือนที่เคยทำ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ หลินกับหมอกยืนจ้องหน้าเหมือนคนสบตากัน
หลินยังนึกไปถึงตอนเจอกันครั้งแรกๆ ตอนนั้นหมอกเก็บกระเป๋ามาคืนให้
“ขอโทษครับ คุณทำกระเป๋าเงินหล่น”
“ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงแย่แน่ ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณนอกจาก”
หลินยื่นดอกไม้ให้หมอก
“ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณค่ะ”
หลินนิ่งนึกทบทวน คิดเปรียบเทียบว่าสองคนนี้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า
คำพูดตอนหมอกถามในวันที่ไปทำบุญด้วยกันผุดขึ้นมาในหัว
“แจกันที่คุณหลินว่าผมถามถึง ใช่ใบที่ตั้งอยู่หน้ารูปพ่อแม่คุณหรือเปล่า”
หลินนึกรู้แล้วว่าเป็นเมฆแน่ หญิงสาวหยิบเอาล็อกเก็ตที่คล้องคออยู่ออกมากุม
เธอหวนนึกไปถึงวันที่ตัดสินใจหยิบเอาล็อกเก็ตออกมาจากแจกันหลังกลับจากทำบุญ เพราะเอะใจที่หมอกถามถึงแจกัน จึงหยิบล็อกเก็ตมาเก็บไว้กับตัวดีกว่า กลัวหาย ล็อกเก็ตอันนั้นมีรูปพ่อแม่หลิน โดยที่เธอไม่รู้ว่าเมฆแอบซ่อน ธัมบ์ไดรฟ์ ไว้ใต้รูปพ่อแม่
“คุณเมฆ คุณกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่ คุณคือใครกันแน่”
มีความสับสนอยู่เต็มใบหน้าสวยของหลิน
อีกฟากหนึ่ง อัคคเดช กับ ภูผานัดพบกันในสถานที่ลับตาเช่นเคย
อัคคเดชทวนคำหลังรู้เรื่องจากภูผา
“พวกมันจะขนอาวุธส่งให้ยีเส่งกันแล้วอย่างงั้นเหรอ”
“ครับ”
“แล้วมันจะขนเมื่อไร”
“คืนวันเสาร์ ที่คลังสินค้าท่าเรือกรุงเทพครับ”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่า มันซ่อนของไว้ตรงไหน”
“นายตะวันไม่ยอมบอกครับ เราต้องตามดูรถหัวลากที่เข้าไปเอา” อัคคเดชพยักหน้ารับรู้ ภูผาบอกต่ออีกว่า “แต่งานนี้มีคนของยีเส่งมาคุ้มกันสินค้าด้วย”
“งั้นเราต้องระวังให้มาก คุณเองก็ระวังด้วย ผมกลัวจะเป็นแผนของนายตะวันอีก ไอ้นี่มันเล่ห์เหลี่ยมจัด”
ภูผาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “แล้วเรื่องสาย ผู้กำกับสืบไปถึงไหนแล้วครับ”
“ผมกำลังสืบในทางลับอยู่ จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร”
ทั้งอัคคเดช และภูผา มองหน้ากัน นึกหวั่นใจอยู่ในที
รุ่งเช้า ผู้การเด่นชาติกับอัคคเดชเดินเข้ามาในห้องประชุมใหญ่ ภายในกองบังคับการ กองปราบ มีเสียงหนึ่งสั่งแสดงความเคารพดังขึ้น
“ทั้งหมดตรง”
ภายในห้องเป็นคนของหน่วยเมฆาพยัคฆ์ อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ กับ ทีมกองปราบ และ หน่วยหน่วยอินทราชในชุดคอมานโดจู่โจมพิเศษ ประมาณยี่สิบกว่าคน อย่างละครึ่งๆ ทุกคนลุกขึ้นแสดงความเคารพ
ผู้การเด่นชาติเดินนำอัคคเดชเข้ามา ไปหยุดอยู่หน้าห้อง ทำมือรับการเคารพ
“ตามสบาย” ทั้งหมดนั่งลง ผู้การบอกต่อว่า “วันนี้เรามีภารกิจสำคัญให้ออกปฏิบัติการ” แล้วหันไปส่งต่อให้อัคคเดช “ส่วนรายละเอียดจะให้ผู้กำกับอัคคเดชซึ่งจะเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นคนบรรยายสรุป...เชิญ”
อัคคเดชโค้งแสดงความเคารพ แล้วก้าวขึ้นมายื่นแทนที่ผู้การซึ่งออกไปร่วมนั่งฟังด้วย
“ภารกิจในครั้งนี้จะเป็นการจับกุมการลักลอบขนอาวุธเถื่อนของแก๊งอัคคี ซึ่งจากการข่าวได้รับรายงานว่า จะมีการขนย้ายอาวุธล็อตใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่คลังสินค้าท่าเรือกรุงเทพ เพื่อส่งต่อให้ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการสนธิกำลังกันระหว่างหน่วยเมฆาพยัคฆ์ ซึ่งมีผมเป็นผู้บังคับบัญชา และหน่วยอินทราช ภายใต้การนำของสารวัตรวัลลภ”
สารวัตรวัลลภในชุดคอมานโดยืนขึ้นแนะนำตัว
“เมฆาพยัคฆ์จะเป็นกองกำลังหลักในการเข้าจับกุม ในขณะที่หน่วยอรินทราชจะเป็นกำลังเสริมเพื่อคอยสนับสนุนหากเกิดการปะทะกับกองกำลังติดอาวุธที่คอยคุ้มกัน ซึ่งเราคาดว่าต้องมีแน่นอน” อัคคเดชเน้นคำตอนท้าย
อัคคเดชบรรยายสรุปแผนการจับกุมอย่างจริงจังหนักแน่น ทุกคนรับฟังจนการบรรยายจบลง
“และนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปทุกคนจะถูกกักบริเวณ และถูกเก็บเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และสุดท้าย ขอเตือนให้ทุกคน อย่าประมาท เพราะเราคาดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจมีกองกำลังติดอาวุธคุ้มกันอยู่”
พร้อมกับว่าหันหน้าไปพยักหน้าออกคำสั่งกับชบา
ชบาบอกกับทุกคนในที่ประชุมว่า “เขียนชื่อในกระดาษห่อ แล้วรัดยางไว้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเดินเก็บ”
เห็นผู้กองสรร เป็นหัวหน้าชุดกองปราบที่มาสนธิกำลัง ลุกขึ้นเดินมาทักอัคคเดช
“หวัดดีครับพี่”
“หวัดดี ได้ร่วมงานกันอีกแล้วนะ”
“งวดนี้จัดหนักเลยนะครับ”
“นิดหน่อย”
มนตรีกับอ้อยเดินเข้ามาทักผู้กองอย่างสนิทสนม
“หวัดดีครับ” มนตรีทัก
“หวัดดีค่ะ ผู้กอง”
“หมวดอ้อยคนสวยนี่เอง ยังสวยไม่สร่างเลยนะ”
ชบาเดินมาเก็บโทรศัพท์พอดี
“ขอโทรศัพท์ด้วยคะ”
อัคคเดชแนะนำสองคนให้รู้จักกัน “หมวดชบา น้องใหม่ในหน่วย...ชบา นี่ผู้กองสรร เคยอยู่ที่หน่วยมาก่อน”
ชบายิ้มทัก “สวัสดีค่ะ”
ผู้กองสรรปากหวานใส่ชบาทันที “อยู่ผิดหน่วยหรือเปล่าน้อง หน้าตาแบบนี้มันต้องประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่มาจับปืนไล่ยิงคนร้ายแบบนี้”
“ปากหวานอีกแล้ว ระวังคุณนายที่บ้านได้ยินนะครับ” มนตรีเหล่
“ไม่เอาไม่พูด ที่ทำงานห้ามพูดถึงมนุษย์เมียที่บ้าน รมณ์เสีย” ผู้กองสรร
ทั้งหมดพากันหัวเราะอย่างขำขัน
ตรงมุมหลังห้อง จ่ายักษ์หยิบโทรศัพท์มากดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนชบาจะเดินเก็บ พอถึงจ่ายักษ์ก็บอกขึ้นว่า
จ่ายักษ์ออกตัวกับชบาว่า “ขอส่งไลน์บอกเด็กก่อนนะครับว่า ไปกินข้าวด้วยไม่ได้แล้ว”
ชบาพยักหน้ารับแล้วเดินไปเก็บคนอื่นต่อ
จ่ายักษ์กดโทรศัพท์ ทำทีเป็นส่งไลน์ไปให้เด็ก
ในขณะเดียวกันตะวันนั่งชิลๆ ฟังเพลงบรรเลงโมสาร์ทอยู่ในห้องฟังเพลงสุดหรูที่คฤหาสน์ จนเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นอีเมลส่งคลิปเสียงมาให้ ตะวันเปิดโหลด แล้วเปิดฟังจากหูฟัง แล้วยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมาเต็มหน้า
ค่ำวันนั้น รถที่ปิงขับแล่นเข้าจอดในลานโล่งคลังสินค้ากรุงเทพ ปราการเปิดประตูนำลงมาจากรถ โดยมีหมอก ปานวาด ภูผา ตามลงมา ปิงขับรถออกไปเลย
ทั้งหมดหันไปมองเมื่อเห็นคนของนายพลยี่เส่ง 6 คน ปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อน ทั้งหมดอยู่ในชุดพร้อมรบ สวมเสื้อยืดกางเกงทรงทหาร พร้อมชุด gear ท่าทางเป็นนักรบมืออาชีพ
คนหนึ่งในนั้นเอากระเป๋าอาวุธมาส่งให้ปราการ และปราการรับมาเปิดออกดูทันที พบว่าข้างในเป็นปืนกลมือ แล้วแจกให้หมอก ภูผา ส่วนปานวาดเป็นปืนซุ่มยิง พร้อมเครื่องกระสุน ทั้งสี่ตรวจเช็คอาวุธ ของตนเอง
ปราการสั่งการ
“เอาโทรศัพท์มือถือออกมา งานนี้ห้ามใช้ เราจะใช้วิทยุสื่อสารแทน”
ภูผามองฉงน ออกอาการแปลกใจนิดๆ ในขณะที่หมอกกับปานวาดทำตามโดยไม่ลังเล ภูผาหยิบออกมาแล้วส่งให้ปิงที่เอาวิทยุสื่อสารมาแจกพร้อมหูฟังประจบแต่ละคนว่า
“โชคดีนะพี่”
หมอกกับปานวาดยิ้มรับ ภูผายิ้มหน้าเจื่อนๆ กังวลจะติดต่อกับผู้กำกับยังไง
“แล้วไงต่อ” ภูผาถามปราการ
ปราการไม่ตอบ แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาตะวัน พร้อมเปิดเสียงออกลำโพง
“พร้อมแล้วครับนาย”
เสียงตะวันดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือปราการ
“มีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย”
ภูผา หมอก ปานวาด แปลกใจ
“หมอกกับภูผา ไม่ต้องคุ้มกันรถสินค้าแล้ว ฉันมีภารกิจใหม่ให้ทำ”
ภูผาอึ้งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“วันนี้เราจะถล่มไอ้ผู้กำกับอัคคเดชให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง ใครเก็บได้จะมีรางวัลพิเศษให้”
ตะวันกดวางสายไป
ภูผาอึ้งตกใจอยู่ในที ถูกหลอกอีกแล้ว ส่วนหมอกก็อึ้งที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน เขาต้องระวังตัวให้มากขึ้น
ในเวลาเดียวกันนี้ ทีมปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนกำลังเข้าทำการปิดล้อมพื้นที่ภายในโกดังตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือกรุงเทพ เพื่อทำการจับกุมอยู่ตามแผนการตามจุดต่างๆ
ส่วนตะวันกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องตามวิถีแห่งเซน ก่อนเสียงวิทยุสื่อสารจะดังขึ้นจึงกดรับสาย
“นายครับ” เป็นเสียงปราการ สองคนคุยกัน
“ว่า”
“ปลาติดเบ็ดแล้วครับ”
“จัดการตามแผน”
ปราการกดวางสาย ก่อนจะหันมาพยักหน้าออกคำสั่งกับทีม ทั้งหมดยกหน้ากากขึ้นสวม วินาทีนั้น
หมอกใส่หน้ากากปิดแววตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ส่วนภูผาปิดบังความกังวลบนใบหน้าที่เห็นได้ชัด ปราการมีแผนอยู่ในใจ เสร็จแล้ววิทยุหาปานวาด
“วาดเตรียมตัว”
เสียงปานวาดตอบกลับมาทางวิทยุฉะฉานว่า “รับทราบ”
หัวลากต้องสงสัยแล่นเข้ามาในคลังสินค้าแล้วในตอนนี้ มองผ่านกล้องส่องทางไกลที่สามารถมองภาพกลางคืนได้ เห็นหัวลากนั้นเข้ามาในพื้นที่และหยุดในตำแหน่ง
อัคคเดชซุ่มอยู่กับทีมแอบสังเกตการณ์ ทุกคนเห็นมีการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์เหมือนจะเอาขึ้นรถ
“คันนี้หรือเปล่าคะ” อ้อยถามขึ้น
“น่าจะใช่” อัคคเดชใช้กล้องส่องดูอีกครั้งแปลกใจที่ไม่เห็นภูผามากับรถ
“ทำไมภูผาไม่มากับรถ”
อัคคเดชชักกังวลใจ
“จะย้ายตู้เสร็จแล้วนะคะ” ชบารายงาน
ทุกคนเห็นตู้กำลังจะถูกวางลงบนรถ อัคคเดชนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจออกคำสั่งให้ลงมือเข้าทำการจับกุม ผ่านทางวิทยุสื่อสาร
“ลงมือได้”
กองกำลังที่ซุ่มอยู่ เคลื่อนกำลังออกแสดงตัวเพื่อเข้าทำการจับกุมหัวลาก คนขับและคนงานออกอาการตกใจ ที่อยู่ๆ ตำรวจแสดงตัวเข้าชาร์จ
“หยุด อย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้น”
ผู้กองสรรตะโกนก้อง พร้อมกับกระจายกำลังเข้าคุมเชิง รอบๆ รถ อัคคเดชออกจากที่ซ่อนมาสมทบ แล้วออกคำสั่งให้เปิดตู้
“เปิดตู้”
กรรไกรตัดเหล็กอันใหญ่ถูกใช้ตัดกุญแจ ประตูตู้ถูกเปิดออกเผยให้เห็นว่า สิ่งที่อยู่ในตู้มีแต่ความว่างเปล่า
ทั้งทีมตกใจอย่างที่สุด โดยเฉพาะอัคคเดชที่หันมองหน้าสบตากับผู้กองสรร ด้วยอาการงงเป็นไก่ตาแตก
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ” ชบาหันมาถาม
อัคคเดชอึ้งคิดไปนิดหนึ่ง ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดวาบขึ้นในหัว
“เราถูกหลอกแล้ว”
มองผ่านกล้องเล็งยิงจากมุมสูง มันกำลังจับเป้าที่อัคคเดชอย่างหมายสังหาร แล้วลั่นกระสุนในทันที กระสุนพุ่งเข้าหาเป้าซึ่งก็คืออัคคเดช แต่ผู้กองสรรดันก้าวเข้ามาบังทางปืน กระสุนจึงเจาะเข้าที่แถวท้ายทอย ก่อนจะล้มลงต่อหน้าต่อตา อัคคเดชแทบช็อก
“ผู้กอง” ร้องบอกสุดเสียง “หลบเร็ว เราถูกซุ่มโจมตี”
สไนเปอร์จะยิงซ้ำอัคคเดชอีกนัดแต่พลาดเพราะหลบทัน พวกอัคคเดชรีบกระจายหลบเข้าที่กำบังเพื่อเตรียมต่อสู้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในทีม
อัคคเดชคุมแค้น นึกเจ็บใจที่พลาดท่าให้ตะวันอีกแล้ว
สไนเปอร์คนนั้นเผยตัวออกมาจากที่ซ่อน คือปานวาดนั่นเอง ที่ซุ่มยิงเล่นงานพวกอัคคเดช และกำลังเล็งหาเป้าต่อ
หน่วยอรินทราชออกจากที่ซ่อนมา เพื่อร่วมสนับสนุนทีมอัคคเดช โดยชักแถวเคลื่อนเข้ามา แต่แล้วคนที่นำชะงักเมื่อขาเตะเอาลวดที่ขึงไว้ พอก้มมองก็เห็นว่าเป็นกับดัก จึงร้องตะโกนบอกเพื่อนๆ
“ระเบิด”
พวกที่ตามรีบกระโดดหลบ คนที่เตะกระโดดเอาตัวทับก่อนที่ระเบิดจะทำงาน เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ พวกที่ตามหลังเงยหน้าไปมองด้วยอาการตกตะลึงพรึงเพริด เลือดคนตายสาดกระเซ็นไปทั่ว ในวินาทีนั้นเองเสียงปืนก็ดังเป็นพลุแตกขึ้น คนหนึ่งที่ชาร์จเข้าไปดูคนเพื่อนที่ทับระเบิดถูกดักยิง คนอื่นจึงกระจายกันออกหาที่กำบังจ้าละหวั่น
ปราการกับคนของยี่เส่งส่วนหนึ่งรุมยิงใส่หน่วยอรินทราช หมอกกับภูผาอยู่ในทีมนี้ด้วย แต่สองคนไม่ยิงใส่ตำรวจทั้งคู่ แต่บางจังหวะก็แกล้งทำเป็นยิงให้เห็น ทว่าไม่ได้หมายชีวิต
ภูผามองเหตุการณ์อย่างสะท้อนในอุรา และนึกเจ็บแค้นในใจ ที่เขาเป็นคนพาคนอื่นมาตายอย่างอนาถ
อ่านต่อตอนที่ 11