xs
xsm
sm
md
lg

ล่าดับตะวัน ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 11

เสียงปืนที่กำลังดังเป็นพลุแตก เรียกให้อัคคเดชหันมาสนใจด้วยสีหน้ากังวลถึงขีดสุด เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จังหวะนี้เขาถูกคนของยี่เส่งที่เหลืออีกชุด เปิดฉากยิงถล่มใส่เช่นกัน ลูกทีมที่ไม่ทันระวังตัว ถูกยิงดับไปในทันทีที่เปิดฉากยิงถึงสองคน

อีกคนที่พยายามยิงสู้ แต่ดันมาเข้าทางปืนปานวาด และถูกยิงที่ขาล้มลง อีกคนหนึ่งในทีมพยายามเข้าช่วยผู้กองสรรเพื่อเอาเข้าที่กำบัง แต่ถูกยิงเข้าที่หัวล้มทั้งยืน ตั้งแต่ยังไม่ถึงตัวคนเจ็บ อัคคเดชอึ้งตะลึงตะไล คาดไม่ถึง พอได้สติจึงรีบตะโกนบอก
“ระวังตัว มันมีคนซุ่มยิง”
ทุกคนในทีม กระโจนเข้าหาที่กำบังใกล้ๆ เมื่อปักหลักได้ก็หันไปยิงสู้กับทีมของยี่เส่งอย่างชุลมุนวุ่นวาย

ปานวาดซุ่มอยู่บนมุมสูงยิงช่วยพวกเดียวกันอยู่ด้วยความแม่นยำ จนคนของอัครเดชโงหัวไม่ขึ้น

ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ลูกทีมของอัคคเดชถูกปานวาดเลือกสอยตามใจชอบ คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ถูกยิงแสกหน้าต่อหน้าต่อตาอัคคเดช
อัคคเดชยิ่งเจ็บใจ ไม่สามารถทำอะไรปานวาดได้ เพราะต้องสู้สองทาง
ถึงตรงนี้กำลังตำรวจของอัคคเดช น่าจะเหลือแค่เกือบครึ่งเดียวแล้ว

หน่วยอรินทราชติดกับดักในวงล้อมของปราการ กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด สารวัตรวัลลภ สั่งจัดขบวนสู้ใหม่ และโต้กลับ อย่างดุเดือด

อัคคเดชยิงตอบโต้พลางวิทยุเรียกขอกำลังเสริมไปด้วย
“สารวัตร ขอกำลังสนับสนุนด่วน ทางนี้กำลังคับขัน”
วัลลภตอบกลับมาว่า “ผมก็กำลังโดนจัดหนักอยู่เหมือนกัน”
พร้อมกับว่า สารวัตรยิงตอบโต้ไปด้วย
ตรงจุดกำบังของอัคคเดช ปานวาดยังคงเลือกสอยคนของอัคคเดชได้อีก ถึง 2 คน อัคคเดชเจ็บใจมองหาที่ซ่อนปานวาด โผล่หน้าเข้าทางปืนในศูนย์เล็งปานวาดพอดิบพอดี ปานวาดลั่นไกเปรี้ยง กระสุนเกือบโดน ท่ามกลางเสียงห่ากระสุนอัคคเดชตัดสินใจเด็ดขาดหันไปสั่งความกับชบาที่หลบยิงอยู่ข้างกัน
“คุ้มกันผมด้วย”
“ผู้กำกับจะไปไหนคะ”
“ผมเจอคนซุ่มยิงแล้ว ผมจะเล่นมัน ไม่งั้นพวกเราไม่รอดแน่”
ชบาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยิงใส่คนของยี่เส่งที่ตรึงกำลังอยู่เพื่อเปิดทางให้ผู้กำกับ
อัคคเดชจึงโผวิ่งออกจากที่กำบังเคลื่อนที่ไปยังอีกจุดที่เห็นจุดซุ่มยิงของปานวาดชัดกว่า
แต่พอออกวิ่งอัคคเดชก็โดนปานวาดยิงตามสอย รอดมาได้หวุดหวิด โผเข้าที่กำบังใหม่ ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของชบา
ชบาถูกคนของยีเส่งยิงสวนจนต้องหลบ อัคคเดชตั้งหลักได้ส่องปืนหาปานวาด
ปานวาดส่องหามุมยิงอัคคเดชแต่ไม่มี ลูกทีมอัคคเดชขยับจะเปลี่ยนที่เลยโดนสอยร่วงอีกคน อัคคเดชเห็นตำแหน่งปานวาด ยิงสวนออกไป ปานวาดต้องหลบ แล้วย้ายที่ใหม่
มนตรีกับยักษ์ที่อยู่ในมุมอับตอนแรก ได้โอกาสออกมาช่วยยิงตอบโต้แล้ว จนคนของยี่เส่งต้องหลบเข้าที่กำบัง ไม่สามารถยืนจังก้ายิงถล่มได้เหมือนตอนแรก

หมอกหลบมุมแยกตัว ไม่ปะทะด้วยแอบสังเกตการณ์และระวังภัย ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ภูผาแอบโอบมาอีกทางเพื่อหามุมซุ่มตลบหลังคนของยี่เส่ง ภูผาแอบเข้าด้านหลังคนของยี่เส่งคนหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าหมอกซุ่มอยู่แถวนั้น หมอกเห็นนึกว่าภูผาแอบตาม
แต่แล้วภูผากลับเล่นงานคนของยี่เส่งที่กำลังถล่มหน่วยอรินทราช ล้มลงไปหนึ่ง หมอกมองฉงน หน่วยอรินทราชได้ทีโต้กลับ ทำให้ปราการกับคนของยี่เส่งต้องถอยร่น
ปราการสั่งวิทยุกับปิง “ออกรถได้”
ปิงนั่งรออยู่ข้างคนขับบนหัวลาก ที่คลังสินค้าอีกหลัง อยู่ในบริเวณเดียวกันนี้เอง
“รับทราบ”
ปิงหันไปออกคำสั่งกับคนขับให้ออกรถ หัวลากพร้อมคอนเทนเนอร์จึงเคลื่อนตัวออกมา

ตรงจุดปะทะของอรินทราช กับทีมของปราการ ยังปะทะเดือดกันอยู่ ภูผาซุ่มหามุมเพื่อเก็บคนของยีเส่งอีกคน อรินทราชคนหนึ่งเห็นภูผาเสียก่อนเลยยิงใส่ ภูผาต้องหลบ ไม่ยอมยิงโต้ เลยโดยถล่มหนัก พร้อมกับรุกเข้าใกล้ที่ซ่อน โดนไม่รู้ตัวว่าเป็นทางตัน
หมอกแอบซุ่มดูอยู่มองจ้องอย่างแปลกใจ
“มันทำบ้าอะไรของมัน”
ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในหัว หมอกยกปืนในมือเล็งใส่จุดที่ภูผาอยู่ ท่าทางเหมือนว่าจะเก็บภูผา หมอกเล็งใส่ภูผาอยู่ในศูนย์เล็ง แต่พออรินทราชคืบเข้ามาใกล้ภูผา หมอกกับเปลี่ยนทิศไปยิงสกัดอรินทราชให้แทน ด้วยสงสัยว่าภูผามีเบื้องหลังไม่ชอบมาพากล อรินทราชที่กำลังจะเข้าจับกุมภูผาชะงักเข้าที่กำบัง ภูผามองหาแปลกใจว่าใครยิงช่วย พอไม่เห็นใคร รีบหลบออกจากที่นั่นหายตัวไปโดยไว

ทีมของอัคคเดชปะทะเดือดกับคนของยีเส่ง มนตรีเก็บคนของยี่เส่งได้คนหนึ่ง แต่ถูกถล่มกลับอย่างหนักหน่วง
ในขณะที่อัคคเดชกำลังเล่นชิงเชิงกับปานวาด ประมาณว่าพอปานวาดยิงใคร อัคคเดชก็เห็นที่ซ่อนและจะคอยยิงใส่จนปานวาดต้องเคลื่อนตัวหนี

หัวลากแล่นเข้ามาจอดที่ช่องทางออก ปิงยื่นแสดงเอกสารกับเจ้าหน้าที่หน้าประตู เจ้าหน้าที่ตรวจ แล้วปล่อยให้ผ่าน รถเคลื่อนออกมา พอรถพ้นออกมา ปิงก็รีบวอกลับไปบอกปราการ
“เรียบร้อย ออกมาได้แล้วพี่”
ปราการกำลังปะทะเดือดกับอรินทรราช จนมีเสียงไซเรนจากกำลังหนุนตำรวจดังเข้ามามา ปราการหันไปมอง เห็นไฟรถตำรวจวิ่งมาเป็นทางจากไกลๆ จึงออกคำสั่งให้ปานวาดคุ้มกันให้ เพื่อจะหนี
“คุ้มกันให้ด้วยจะถอยแล้ว”
แต่ปานวาดรีบตอบปฏิเสธกลับมาเพราะตกที่นั่งลำบาก
“ช่วยตัวเองก่อนพี่ ตอนนี้ฉันก็แย่เหมือนกัน”
“ทำไมเกิดอะไรขึ้นวาด”
“ก็ไอ้ผู้กำกับอัคคเดชมันกะจะสอยฉันให้ร่วงนะสิ”
ปราการเป็นห่วง “ให้พี่ไปช่วยอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไรพี่ ยังไหวอยู่”
อัคคเดชรู้ที่ซ่อนปานวาดแล้ว กำลังชิงเชิงเอาชนะกันอยู่ ปานวาดต้องชิงหลบออกจากที่ซ่อนเพื่อหนีเหมือนกัน

ปราการอึ้งชั่งใจนิดหนึ่ง ก่อนสั่งการ
“งั้นแยกกันถอยเจอกันที่จุดนัดพบ”
ปราการสั่งการแล้วยิงเปิดฉากเพื่อถอย

ปานวาดยังชิงเชิงกับอัคคเดช ยิงใส่อัคคเดชเป็นนัดสุดท้ายก่อนจะถอย อัคคเดชพยายามมองหาแต่ไม่เห็น และเริ่มจับสังเกตได้ว่า ทีมของยี่เส่งกำลังเปิดฉากถอยเช่นกัน
“ตาม อย่าให้พวกมันหนีไปได้”
อัคคเดชลุกขึ้นนำทีมแล่นตามไปอย่างองอาจ

เป็นทีของอัคคเดชที่เปิดฉากไล่ล่า ทีมยี่เส่งต้องหนีพลางสู้พลาง ไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางหนี
ฝ่ายปราการถูกหน่วยอรินทราชจี้มา จึงสั่งให้หันมาตั้งหลักสู้ อรินทราชตามโดนระเบิดแล้วถูกยิงถล่ม อรินทราชไหวตัวทัน เจ็บแค่คนเดียว แต่ชะงักไม่กล้าจี้ติดอีก ปราการเลยสบช่องหนีต่อ

หมอกพยายามหนีไปจ๊ะเอ๋กับยักษ์ และมนตรี ที่พ้นมุมตู้คอนเทนเนอร์ออกมาจังๆ หน้า ทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างผงะด้วยความตกใจ ยักษ์ยิงใส่หมอกก่อน หมอกหลบแล้วเล่นงานทั้งสองคนก่อนจะหนีไปได้ ด้วยทักษะอันว่องไวขั้นเทพ

ทางด้านภูผาพยายามฝ่าวงล้อมอินทราช ยิงสู้จนกระสุนหมดจึงต้องพยายามหนี ขณะที่กำลังย่องเงียบเพื่อหาทางหนี ก็หลงไปเจอกับตำรวจคนหนึ่งที่ซุ่มอยู่ ย่องออกมาเข้าจับกุมทางด้านหลัง ตำรวจที่ว่าดันเป็นชบาที่ไม่รู้ว่าเป็นภูผา เพราะใส่หน้ากาก
“หยุด อย่าขยับ ยกมือขึ้น”
ภูผาทำตามอย่างหมดทางเลือก ชบาจึงขยับเข้ามาเพื่อจะใส่กุญแจมือ จังหวะนั้นเองที่ภูผาอาศัยจังหวะและทักษะการปลดอาวุธด้วยมือเปล่าแย่งปืนมาได้ในครั้งเดียว ก่อนจะเอาปืนจ้องเล็งใส่ชบา
ชบาตกใจสุดขีด ตายแน่ชั้น
ภูผาตกใจเมื่อเห็นเป็นชบา เลยเปลี่ยนใจไม่ยิง แค่ตีให้สลบแทน ก่อนจะหนีไป ร่างชบาร่วงผล็อยสลบลงกับพื้น ภูผามองเซ็ง
“ยัยตัวแสบ เกือบแล้วมั้ยล่ะ”
ภูผาออกไป ทิ้งชบานอนสลบเหมือดกองกับพื้นอยู่อย่างนั้น

ทั้งปราการและคนของยี่เส่ง ทั้งสองชุดหนีไปทางเดียวกัน ปราการมาสบทบกับทีมยี่เส่งที่ปะทะกับอัคคเดช แล้วร่วมกันหนี

อัคคเดชไล่ตามปราการไปกับอรินทราช ทีมของปราการ มาเจอกับปานวาดที่รออยู่ที่จุดนัดที่ท่าเรือ ปานวาดเห็นพวกอัคคเดชไล่ตามพวกปราการมา จึงช่วยยิงสกัด พวกอัคคเดชต้องหลบเข้าที่กำบังแล้วยิงสู้
คนของยี่เส่งที่รั้งท้ายสองคนหันมาสู้ ถูกยิงดับ พวกปราการกับที่เหลือถึงท่าพากันลงเรือยนต์
“เมฆกับภูผาอยู่ไหนเนี่ย” ปราการมองหา ร้อนใจเอาการ
“น่าจะกำลังมาพี่”
จุดนี้พวกอัคคเดชยิงมาไม่หยุด ปราการและปานวาดต้องคอยหลบยิงตอบไป จนสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และน่าจะไม่สู้ดีที่ต้องอยู่รอหมอกกับภูผา ปราการจึงตัดสินใจเด็ดขาด
“ออกเรือ”
ปานวาดตกใจรีบทักท้วง “แต่เมฆกับภูผายังไม่มา”
“ไม่มีเวลาแล้ว สองคนนั้นมาช้ามาก ถ้าเรารอต่อเราอาจตายได้”
ปานวาดหมดทางเถียง
“ออกเรือ”
คนของยีเส่งที่รั้งท้ายยังอยู่บนท่าหันไปยิงส่งท้าย ก่อนจะกระโดดลงเรือ อัคคเดชเห็นยิงใส่คนหนึ่งตกน้ำไป ก่อนเรือจะแล่นออกไปหนึ่งลำ ชุดที่ไล่กวดจะลงเรือตาม หมอกวิ่งกำลังจะออกมา แต่พอเห็นเรือปราการออกไปแล้ว จึงแอบซุ่มหลบ
ปราการรับที่จุดระเบิดจากคนของยีเส่งมาถือไว้รอเวลาจุดระเบิด โดยระเบิดลูกนั้นวางอยู่ที่สะพาน
ปราการมองพวกอัคคเดชที่ตามมาด้วยสายตาอันเหี้ยมเกรียม
อัคคเดชรุกใกล้ท่าเรือเข้ามา แต่ก่อนจะถึงระยะอันตรายของระเบิด เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัดจากมือปืนปริศนาก่อนะเบิดที่สะพานจะดังกัมปนาทขึ้นกึกก้อง

พวกอัคคเดชพากันหลบวุ่น ทีมที่อยู่ข้างหน้า เป็นอรินทราชพากันหลบระเบิดไปได้อย่างหวุดหวิด
ปราการอึ้งมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ และ ประหลาดใจถึงขีดสุด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่าต้องมีคนยิงสกัดช่วยอัคคเดชไว้แน่
หมอกแอบมองหาว่าใครยิงช่วยอัคคเดช จนพบว่าเป็นภูผาที่เป็นคนแอบยิงช่วยเอาไว้จากที่ซ่อน ตัว และกำลังหันมามองอัคคเดช เห็นอัคคเดชออกจากที่กำบัง มองลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บด้วยอาการใจหาย
“เรียกรถพยาบาลเร็ว”
อัคคเดชถลันเข้าไปช่วยเหลือปฐมพยาบาลคนเจ็บใกล้ตัว ภูผาโล่งอก ก่อนหลบเข้าความมืดหายตัวไป เช่นเดียวกับหมอกที่หาทางหลบออกไปจากความมืด

ระหว่างนี้จ่ายักษ์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ผู้กำกับครับๆ มีรายงานว่ามีหัวลากลากตู้ออกไปคันหนึ่ง”
อัคคเดชอึ้ง นิ่งคิด
“มีเลขทะเบียนหรือเปล่า”
“กล้องที่ประตูจับภาพได้ครับ”
อัคคเดชสั่งการ “ติดต่อส่วนกลางให้ตั้งด่านสกัด ขอตรวจค้นหัวลากคันที่ว่า”
“ครับ”
จ่ายักษ์จึงรีบไปทำตามสั่ง

บนถนนด้านหน้าคลังสินค้า มีหัวลากแล่นมา ในรถปิงคอยสั่งให้เลี้ยวหัวลากเข้าไปในโรงรถ จากนั้นก็มีทีมงานออกมาจัดการคลุมผ้าใบ เปลี่ยนป้ายทะเบียนและแปลงโฉม เป็นอีกคันในชั่วกระพริบตา
รถเคลื่อนออกมา พร้อมกับมีป้ายผ้า มูลนิธิบรรเทาทุกข์ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ มีตรามูลนิธิเป็นรูปตะวันติดที่ข้างรถด้วย

หัวลากคันเดิมกำลังแล่นเข้าด่านตรวจ โดยมีปิงที่เป็นผู้โดยสารนั่งมากับคนขับด้วย พร้อมใบอนุญาตขนของ จึงผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีการตรวจตรา อีกอย่างมีรถอีกคันที่ลักษณะเหมือนกับในตอนแรก จึงทำให้เป็นจุดสนใจ

หัวลากที่ปิงคุมมาเข้าจอดร่วมขบวนรถขนของมูลนิธิบรรเทาทุกข์ มีป้ายบอกว่า กฤษชัย เป็นเจ้าของโครงการ แล้วตะวันแอบเอามาสอดแนมในขบวน

หมวดอ้อยกำลังช่วยดูหัวที่ถูกกระแทกของชบาให้ ในสภาพชบายังมึนๆ
“ไม่แตก หนังเหนียวเหมือนกันนี่”
ชบายิ้มรับหน้าเจื่อนจ๋อย เล่าขึ้นอย่างเสียวไส้ว่า
“ตอนแรกนึกว่าต้องไปรายงานตัวกับยมบาลแล้วซะอีก ตอนถูกมันแย่งปืนไปได้”
“จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน คราวหลังต้องระวังให้มากกว่านี้ดีนะที่มันไม่ยิงทิ้ง” อ้อยนิ่งนึก “เออ ว่าแต่ทำไมมันไม่ยิงทิ้งเนอะ”
ชบานึกตาม แอบติดใจสงสัยไม่วายเว้น
“อืมม์ มันคงสงสารตำรวจตาดำๆ มั้ง”
ชบาทำตาปริบๆ แบ๊วใส่หมวดอ้อย
“ยังมีอารมณ์ขำอีก นี่ถือว่าหมวดชบาโชคดีมากเลยนะเนี่ยรู้มั้ย”
ชบามีท่าทีจริงจังขึ้น “ใช่ค่ะ ยังโชคดี”
“ดูผู้กองสรรซิ ไม่โชคดีเหมือนชบาเลย โดนก่อนคนแรกเลยเต็มๆ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ชบาคิดตาม หน้าเครียดกันทั้งสองสาว

ตำรวจที่ได้รับการบาดเจ็บถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ มีรถวิ่งมาส่งหลายคันมาก ดูสับสนวุ่นวาย เพราะคนเจ็บเป็นจำนวนมาก
ผู้กองสรรถูกส่งตัวมาเข้าห้องฉุกเฉิน เอาตอนเวลาใกล้สว่างแล้ว อัคคเดช พร้อมยักษ์ และมนตรี ตามมาดูอาการด้วย แต่ถูกกันอยู่หน้าห้อง

ทีมแทพย์พยายามช่วยชีวิตอย่างสุดกำลังและความสามารถ ทว่าผู้กองสรรตกอยู่ในอาการตรีทูตยังไงก็ไม่รอด

เช้าแล้ว ภาพในจอทีวีขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่นที่คฤหาสน์ตะวัน เป็นข่าวด่วน แทรกในช่วงเข้าข่าวภาคเช้า เป็นการรายงานข่าวถึงเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น
“เมื่อประมาณเวลาสองนาฬิกาที่ผ่านมา ได้มีเหตุเจ้าหน้าที่ปะทะเดือดกับคนร้ายที่คาดว่ากำลังลักลอบขนอาวุธสงครามหลังแสดงตัวเข้าจับกุมที่บริเวณโกดังสินค้าท่าเรือกรุงเทพ ผลการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บ 13 นาย ก่อนคนร้ายจะลอยนวลหลบหนีไป”
ตะวันที่กำลังดูข่าวภาคเช้าอยู่ และยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะกดปิดทีวีเมื่อจบข่าว พลางหยิบโทรศัพท์
“เตรียมรถด้วย ฉันจะไปเยี่ยมคนป่วยสักหน่อย”

ตะวันยิ้มร้ายหมายมาด

อ่านต่อหน้า 2



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

ที่โรงพยาบาลตำรวจ โมงยามอันวุ่นวายผ่านไปอย่างเชื่องช้า อัคคเดชนั่งซึมรอฟังข่าวผู้กองสรรอยู่มุมหนึ่งหน้าห้องฉุกเฉิน จนมีขวดน้ำจะถูกยืนมาตรงหน้า

“น้ำครับ”
อัคคเดชหันมอง ก็เห็นว่าเป็นจ่ายักษ์ รับไปดื่มอย่างกระหายรวดเดียวหมดขวด ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก หมอเดินเศร้าออกมาอัคคเดชรีบเดินเข้าไปหา
หมออึ้งไปนิด “เสียใจด้วยนะครับ หมอพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่คนไข้ทนพิษบาดแผนไม่ไหวสิ้นใจแล้วครับ”
สีหน้าอัคคเดชอาดูรสุดขีด น้ำตาซึมที่ขอบตาด้วยความเสียใจเหลือเกิน

อัคคเดชเดินคอตกออกมาที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล ด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง และอ่อนล้าในใจ ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง สักพักน้ำตาเริ่มไหลรินด้วยความเสียใจ ที่พาคนไปตายมากมายแบบนี้ ศพถูกนำมาเรียงกัน แล้วคุมผ้าไว้ มีป้ายบอกว่า “เหตุปะทะท่าเรือกรุงเทพ”

รถแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าเพื่อส่งตะวันลงรถ โดยมีปราการ และปิงตามมาด้วย อีกคันเป็นรถมูลนิธิ พร้อมเจ้าหน้าที่และกระเช้าของขวัญ โดยมูลนิธิตะวัน โดยนายตะวัน ทั้งหมดเดินเข้าโรงพยาบาลไป

อัคคเดชกำลังนั่งทำใจอยู่ จนกระทั่งจ่ามนตรีวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“ผู้กำกับครับ”
“มีอะไร”
ผู้กำกับตงฉิน ยกมือเช็ดน้ำตา
“นายตะวันมา”
สีหน้าอัคคเดช ทั้งตกใจ แปลกใจ และโกรธแค้นอยู่ในที ซึ่งประการหลังแล่นเป็นริ้วๆ มาจุกที่หน้าอกแล้ว

11.2
ตะวันกำลังเดินมอบดอกไม้และเงินปลอบขวัญให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บตามเตียงโดยมีนักข่าวตามถ่ายรูปทำข่าวอยู่ ที่เตียงหนึ่ง ตะวันเดินเข้าไปทักแล้วมอบดอกไม้ให้คนเจ็บ
“ขอให้หายไวๆ นะคับ”
ตะวันหันมารับซองจากปราการ แต่พอจะมอบซอง เสียงหนึ่งดังห้ามขึ้น
“อย่ารับ”
ทั้งหมดในที่นั้นหันมามองทางเสียง เห็นเป็นอัคคเดชที่เพิ่งมาถึงกับมนตรี และยักษ์
ตะวันแอบไม่พอใจเพียงแว่บแรก ก่อนที่จะแสร้งหน้าตายทักอย่างอารมณ์ดี
“ท่านผู้กำกับอัคคเดชนี่เอง” ตะวันจงใจออกชื่อให้นักข่าวได้ยิน
อัคคเดชมองสบตาตะวันอย่างไม่พอใจ
ตะวันพูดต่ออย่างยียวน “ท่านมีอะไรไม่พอใจรึเปล่าครับ”
อัคคเดชอยากจะตะบันไหน้า แต่ทำได้เพียงถากถากไปว่า
“อย่ามาทำดีเอาหน้าดีกว่าคุณตะวัน”
“นี่ผู้กำกับพูดอะไรเนี่ย ผมมาด้วยความจริงใจนะครับ ผมแค่ต้องการแสดงน้ำใจต่อเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข รักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อประชาชน ก็เท่านั้น”
อัคคเดชเหลืออดแล้ว “แกมันคนบาปในคราบนักบุญ เปลือกนอกแกแสร้งทำตัวเป็นคนดี แต่เบื้องหลังหน้ากากของแกมีแต่ความโสมม ชั่วเข้าเส้นเลือด”
ตะวันทำเป็นยิ้มรับไม่ถือสา แต่แววตาวาวโรจน์ฉายชัดว่าไม่พอใจอย่างที่สุด
“สักวันฉันจะกระชากหน้ากากของแกให้จงได้ คอยดู”
“โห คนบาปในคราบนักบุญ พูดซะผมเสียหายเลย” ตะวันเหยียดยิ้ม “ก่อนจะว่าผม ผมว่าผู้กำกับควรดูตัวเองด้วยนะครับ เพราะตอนนี้จากที่ผมดูๆ ท่านผู้กำกับทำตัวเหมือนเจ้านายขึ้อิจฉา ที่กำลังออกอาการหวงก้างลาภของลูกน้อง ทั้งที่พวกลูกน้องพวกนี้น่าสงสาร ทั้งเจ็บ แถมบางคนต้องตาย เพราะถูกผู้กำกับบ้าระห่ำสั่งการแบบผิดๆ ถูกๆ”
พร้อมกับว่าตะวันขยับเข้ากระซิบเยาะเย้ยหยามหยันข้างหูอัคคเดช
“ยอมรับเถอะว่าแกพาลูกน้องไปตาย ไอ้อัคคเดช”
อัคคเดชฉุนขาด เงื้อหมัดเหวี่ยงเข้าใส่ตะวันทันที นักข่าวที่อยู่ในที่นั้น รีบพากันรุมถ่ายรูปโดยไวท่ามกลางความตกใจของทุกคนในที่นั้น
อัคคเดชไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ตะวันยิ้มในสีหน้า จนกระทั่งเสียงหนึ่งจะถามดังขึ้น
“อะไรกัน”
เจ้าของเสียงคือผู้การเด่นชาติ ผู้การมองอัคคเดชที่กำลังลุกขั้นอย่างตำหนิ ตะวันยิ่งได้ที
“นี่ใช่มั้ยครับ ที่เขาเรียกตำรวจที่รังแกประชาชน”
นักข่าวยิ่งรุมถ่ายรูป อัคคเดชทั้งอาย เสียหน้า และเจ็บใจในเวลาเดียวกันอย่างที่สุด
“ออกไปสงบสติอารมณ์ แล้วเขียนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นมาให้ผมด้วย” ผู้การสั่งเสียงเข้ม
“ครับท่าน”
อัคคเดชเดินก้มหน้าออกมาอย่างอับอาย ท่ามกลางทุกสายตาที่จับจ้องมาเป็นตาเดียวกัน ผู้การจึงจำเป็นต้องขอโทษตะวัน
“ขอโทษด้วยแทนลูกน้องผมด้วยนะครับคุณตะวัน”
“ไม่เป็นไรครับ แต่มีผู้กำกับนิสัยบ้าบิ่นแบบนี้ในองค์กร ผมเห็นว่าท่านควรพิจารณานะครับ”
ผู้การได้แต่รับเอาคำ ตะวันมองตามด้วยความสะใจที่ได้ฉีกหน้าอัคคเดช โดยมีนักข่าวรุมถ่ายรูปพัลวัน
ตะวันจึงรีบรับบทบาทเป็นพระเอกแสนดีในทันที

ตะวันเดินออกหน้าตายิ้มชั่วสะใจ จับปากตัวเองที่มีแผลเล็กน้อยเลือดซึมนิดๆ ปราการและปิงเข้ามารับ ตะวันโชว์แผลพร้อมเดินกันออกไปด้วย
“เป็นไง แผลสวยมั้ย”
“ถ้ามีอีกข้างคงสวยกว่านี้ครับ”
ปราการสัพยอก ยิ้มขำๆ ตะวันยิ้มตามสีหน้าเบิกบาน
“นักข่าวคงได้รูปเด็ดๆ ไปหลายรูปเลยนะครับนาย” ปิงดี๊ด๊า
“งานนี้เจ็บแค่นี้ถือว่าคุ้ม รอดูละกัน ข่าวทีวีออกเมื่อไหร่ ไอ้อัคคเดชได้ถูกพักงานแน่” ตะวันว่า
“สุดยอด เลยครับ”
ปิงพูดพร้อมทำท่าประกอบ ตะวันกับปราการยิ้มขัน ทุกคนเดินไปขึ้นรถ

จอทีวีในห้องภูผา รายงานข่าวด่วน เป็นภาพข่าวที่อัคคเดชพยายามเล่นงานตะวัน
“และนี้คือภาพเหตุการณ์ตอนที่ พันตำรวจเอก อัคคเดช พยายามเล่นงานนายตะวันนักธุรกิจชื่อดังที่นำกระเช้าดอกไม้และเงินปลอบขวัญไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บจากการปะทะกับแก็งค์ค้าอาวุธสงครามที่คลังสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ เมื่อกลางดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา”
ภูผายืนอึ้งสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจชัดแจ้ง จนมีเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นเรียกความสนใจ ภูผาหันไปรับสาย เห็นเป็นเบอร์ปราการโทร.มา
“ครับพี่”
ปราการนั่งอยู่ข้างปิง ภายในรถตะวันที่แล่นพ้นตัวออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว
“นายให้ไปพบที่บ้าน”
“ได้ครับ”
ภูผากดวางสายด้วยอาการคิดหนัก

พอกดวางสายจากภูผา ปราการจึงหันไปบอกขึ้นกับตะวัน
“ผมมีเรื่องจะรายงานครับนาย”
“เรื่องอะไร”
“เมื่อคืนตอนที่ลงเรือหนี แล้วจะระเบิดถล่มผู้กำกับอัคคเดชตามแผน เหมือนมีคนยิงปืนเตือนผู้กำกับอัคคเดชก่อนให้รู้ตัวครับ”
ตะวันได้ฟัง ก็ตาลุกโพลงด้วยความไม่พอใจ ปิงเองยังอึ้ง
“จริงเหรอ”
“ครับ มีภูผากับเมฆที่ยังอยู่ด้านในนั้น นายจะจัดการเรื่องนี้ยังไงครับ”
ตะวันไม่ตอบ แต่แววตาอำมหิตผุดวาบขึ้นมาเต็มดวงตา ส่วนปิงตาโตนึกสยอง กลัวแทนสองคนนั้นว่าต้องโดนนายเล่นงานแน่

อัคคเดชเดินมาหยุดหน้ารูปถ่ายพิมในสุสาน สีหน้าเศร้าสร้อย ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยาก สิ้นหวัง อัคคเดชยืนมองนิ่งนาน วางดอกไม้ที่หน้ารูป แล้วคุกเข่าลงนั่งกับพื้นตรงหน้ารูปอย่างคนสิ้นแรง
สีหน้าอัคคเดชยามนี้ ท้อแท้ สิ้นหวัง ถึงขีดสุดแล้ว เขาถอนหายใจขึ้นเฮือกใหญ่ ก่อนเอยปากปรับทุกข์กับรูปภาพพิมบนแผ่นศิลา
“บอกผมหน่อยซิพิม ว่าผมทำถูกหรือทำผิด ที่ทำให้มีคนมากมายต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะผม แบบนี้ผมเห็นแก่ตัวหรือเปล่า วันนั้นถ้าผมไม่ปล่อยมันไป ก็คงไม่มีวันนี้ ผมแค่อยากไถ่บาปที่ผิดพลาดในอดีตแค่นั้น แต่ยิ่งผมไล่ตามมันเท่าไร มันก็ยิ่งห่างมือผมไปทุกที”
อัคคเดชเอ่ยขึ้นอย่างท้อแท้อีกว่า
“หรือว่าผมควรจะปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม รอให้กรรมสนองมันเอง จะได้ไม่ต้องมีใครต้องเจ็บตัวเพราะผมอีก คุณบอกผมหน่อยซิ”
ขาดคำผู้กำกับก็กลืนก้อนสะอื้นลงคอ สภาพน้ำตาตกใน อัดอั้นตันใจ และคับแค้นใจสุดจะประมาณ

รถหมอกแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ หมอกกับปานวาดลงจากรถ ก่อนหน้ารถของภูผาจะตามเข้ามาติดๆ หมอกหันมองพร้อมความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว เดินเข้าไปหาภูผา ปานวาดมองตามอย่างใจคอไม่ดี
ภูผาเพิ่งลงจากรถ หันมองอย่างแปลกใจที่เห็นหมอกเดินมาหา มองสบตา ยิ้มเหี้ยมเกรียมอยู่ในทีก่อนจะบอกขึ้นว่า
“เรื่องที่แกทำอะไรไว้ ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ ความลับไม่มีในโลก” หมอกหมายถึงเรื่องที่ภูผาแอบเล่นงานคนของยีเส่ง แต่ภูผาเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ตนเองยิงเมฆไป
ภูผาอึ้งมองหน้าหมอกอย่างแปลกใจ ตกใจในเวลาเดียวกัน แล้วรีบปรับท่าทีทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ความลับอะไรของแกวะ อยู่ดีๆ ก็มาพูดแบบนี้ นี่กะกวนตีนเหรอ”
ภูผาจะเข้าไปเอาเรื่อง ปานวาดเข้ามากันออก
“นี่อย่าทะเลาะกันนะ”
ภูผาจะเดินไปต่อ แต่รถตะวันแล่นเข้ามาเสียก่อน ทั้งสองหันมอง
ตะวันลงมาจากรถ ปานวาด หมอก และภูผาหันไปทักทายพร้อมกัน ตามสรรพนามที่เรียกตะวัน
“หวัดดีครับนาย” / “สวัสดีค่ะนาย” / “สวัสดีครับคุณตะวัน”
นอกจากตะวันจพไม่ทักตอบ กลับหันมองหมอกกับภูผาตาเขม็ง ด้วยท่าทีเอาเรื่อง หมอกกับภูผามองสบตาตอบด้วยอาการแปลกใจ
“เข้าไปข้างใน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
ตะวันบอกกับทั้งสองคนแล้วจะเดินเข้าไป แต่หยุดเรียกปิง
“ปิง แกเข้าไปด้วย”
ปิงยิ้มร่า รับเอาคำอย่างดีใจ “ครับนาย”
ทุกคนเดินเข้าไป เหลือปานวาด หมอก ภูผา ปานวาดพูดกับหมอกและภูผาขึ้นว่า
“โดนเรื่องเมื่อคืนแน่ ที่นายสองคนออกมาช้า”

ปานวาดคิดว่าเป็นเช่นนั้น ขณะที่ หมอก กับ ภูผา ต่างกังวลหวั่นใจลึกๆ

อ่านต่อหน้า 3



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

ตะวันเดินนำเข้ามาในคฤหาสน์ ปานวาด หมอก และภูผาเดินตามหลัง โดยมีปราการและปิงปิดท้าย พอพาเข้าด้านในโถง อยู่ๆ ปราการก็ชักปืนสองกระบอกที่พกอยู่ ขึ้นมาจ่อท้ายทอยของภูผาและหมอกที่เดินอยู่ข้างหน้า
 
ปานวาดเหลือบมาเห็นก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“จะทำอะไรพี่ปราการ”
หมอกกับภูผาชะงักหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ ที่เห็นปราการทำเช่นนั้น ตะวันสั่งปิง
“ค้นตัวมันสองคน ว่ามีเครื่องดักฟังรึเปล่า”
ปิงจำต้องทำตาม ทั้งสองยืนนิ่งให้ปิงค้นตัว เอาของที่มีอยู่ออกมา มีแต่ปืนพกคนละกระบอก โดยมีตะวันมองอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งภูผาและหมอกลุ้น แต่ภูผาลุ้นสุด
“ไม่มีเครื่องดักฟังครับนาย” ปิงบอก
ตะวันอึ้งไป ผิดคาด เมื่อไม่เจออะไรเขาจึงเดินเข้ามาสบตาทั้งสองคนประเมินท่าที หมอกยืนสบตานิ่ง ก่อนสายตาตะวันจะหันไปหยุดจ้องภูผาอย่างค้นหาความจริง ภูผาต้องเก็บอาการมากกว่าครั้งไหนๆ พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติอย่างที่สุด เพราะไม่รู้ว่าตะวันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
ตะวันเอ่ยถามขึ้นหลังจากสบตาทั้งสองคนแล้ว
“ทำไมเมื่อคืนแกสองคนถึงไม่ลงเรือหนีตามแผน”
ภูผาได้ฟัง อึ้งหนัก รีบคิดหาคำตอบ แต่หมอกกับดูเฉยๆ นิ่งกว่า และชิงตอบขึ้นก่อนว่า
“ผมตามหลังไปแล้วเพื่อจะไปขึ้นเรือหนี แต่ติดพวกตำรวจขวางหน้าอยู่ ตอนแรกคิดจะฝ่าตามไปขึ้นเรือ แต่เรือออกไปแล้วเกิดระเบิดที่ท่าเรือเสียก่อน ผมเลยต้องหนีออกทางอื่น”
ตะวันฟังแล้วหันไปมองสบตาปราการเป็นเชิงถาม ปราการพยักหน้ารับเอาคำว่าเป็นอย่างที่หมอกพูด ตะวันจึงหันไปหาภูผา
“แล้วแกล่ะ”
ภูผาอึ้งไปนิดๆ ก่อนบอกขึ้นว่า
“ผมตามหลังไปทีหลังเพราะตอนที่พี่ปราการบอกให้ถอย ผมติดอยู่ในวงล้อมของตำรวจ พอฝ่าออกมาได้ก็ตามไปที่ท่าเรือ แต่ยังไม่ทันถึง ก็ได้ยินเสียงระเบิด พอตามเข้าไปดู ก็ไม่เห็นเรือแล้ว เห็นแต่พวกตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บตรงท่าเรือ ผมถึงรู้ว่าไปไม่ทัน เลยต้องแอบหาทางอื่นหนีออกมา”
ระหว่างที่ภูผาแก้ตัวกับตะวัน หมอกรับฟังอย่างไม่เชื่อ
ตะวันมองอย่างประเมินทั้งสองคนอีกครั้ง
“พวกแกตอบฉันหน่อย ตำรวจมันรู้ที่เก็บอาวุธได้ยังไง มีแค่ปราการกับแกสองคนที่รู้ แกควรจะให้ฉันสงสัยใคร”
คำถามของตะวันทำให้ภูผาอึ้งไปถนัดใจอีกครั้ง ตะวันเริ่มพูดแบบแค้นใจต่อ
“แล้วที่สำคัญ ที่ฉันเจ็บใจมาก คือมีคนช่วยยิงเตือนไอ้อัคคเดชให้รู้ตัวก่อน มันคืออะไรวะ”
ตะวันบันดาลโทสะ หยิบปืนจากปราการแล้วเล็งไปที่หมอกและภูผาทันที หมอกและภูผามองอึ้ง ก่อนหมอกจะบอกขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า
“ถ้านายสงสัยความภักดีของผม ก็ยิงผมทิ้งเลยดีกว่าเพื่อตัดปัญหา เมื่อผมตายแล้วนายยังโดนหักหลังอีก คราวนี้นายก็จะรู้แล้วว่าใครเป็นสายกันแน่”
พร้อมกับว่าหันมามองภูผาอย่างบอกใบ้อยู่ในที ภูผาอึ้งสุดๆ ที่หมอกกล้าบอกออกมาเช่นนั้น
“อย่าคิดว่ากูไม่กล้ายิงมึงนะ กูยินดีฆ่าผิดร้อยคน ดีกว่าปล่อยให้ศัตรูรอดแม้นแต่คนเดียว”
หมอกมองสบตาตะวันอย่างไม่สะทกสะท้าน ทุกอย่างเงียบสนิท อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ตะวันจะหันปากกระบอกปืนไปหาภูผา
“แล้วมึงละจะแก้ตัวว่ายังไง”
ภูผาแกล้งทำเป็นถอนใจ “ผมพูดแล้ว คุณตะวันจะเชื่อผมเหรอครับ”
ตะวันยัวะ “กูให้โอกาสแล้ว ว่ามา”
“คุณตะวันไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า ที่ตำรวจตามเล่นงานเราได้หลังๆ ที่ผ่านมา ทุกครั้งจะมีคนของนายพลยี่เส่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง ตั้งแต่ตอนรับยาแล้วก็ครั้งนี้ มีคนของนายพลยี่เส่งทั้งนั้น”
ตะวันได้ฟังอึ้งคิด ภูผามองประเมินปฏิกิริยาตะวัน ก่อนพูดต่อ
“แล้วผมก็เป็นคนหักหลังภัสสรเพื่อแย่งงานมาให้คุณตะวันเองกับมือ ถ้าผมเป็นสายจริงผมจะเสี่ยงตายหักหลังภัสสรเพื่ออะไร เพื่อมาให้คุณฆ่าทิ้งอย่างงั้นเหรอครับ น่าจะเป็นว่าข่าวรั่วจากทางนายพลยี่เส่งมากกว่า ไม่แน่ว่าในพวกนายพลยี่เส่งอาจมีสายตำรวจอยู่ก็ได้ แต่นายพลยี่เส่งไม่รู้ตัว” ภูผาขึ้นต้นงามและจบได้สวย
ตะวันได้ฟังแล้วออกอาการคิดหนักตามนิสัยคนขี้ระแวง ว่าอาจเป็นไปได้อย่างที่ภูผาพูด
“แล้วกูจะเชื่อมึงได้ยังไง”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็คงมีทางเดียว ยิงผมทิ้งซะ แล้วรอดูต่อไปอย่างที่เมฆมันว่า แล้วคราวนี้คุณตะวันจะได้รู้ว่าใครมันเป็นสายกันแน่”
พร้อมกับคำพูดอันเด็ดเดี่ยวนั้น ภูผาหันไปมองหมอกแบบเดียวกับที่หมอกทำ หมอกมองสบตาภูผา ตะวันมองทั้งสองอย่างประเมิน คิดหนักกว่าเก่า ปานวาดลุ้นอย่างใจไม่ดี
ปิงและปราการลุ้นเหมือนกันว่าตะวันจะเอายังไง หลังจากเงียบอยู่อึดใจ ตะวันจึงลดปืนลง
“ได้ กูจะยอมเชื่อพวกมึงอีกสักครั้ง”
ปานวาดถอนใจอย่างโล่งอก หมอกเฉยๆ แต่ภูผาแอบดีใจที่รอดตายมาได้อีกครั้ง
“แต่ไม่ได้หมายความว่ากูไว้ใจพวกมึงสองคน กูจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกมึงสองคน ถ้ากูได้กลิ่นผิดสังเกตอีกละก้อ กูไม่เอาไว้แน่”
ตะวันมองภูผากับหมอกอย่างคาดโทษ และเอาเป็นเอาตายพอกัน

ภูผาเดินหงุดหงิดออกมารีบเร่งไปที่รถ ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง โดยมีหมอกรีบเร่งฝีเท้าตามออกมา และก้าวยาวๆ ตรงเข้ามาหาภูผาทันที
“นายสงสัยเราสองคน แกคิดว่ายังไง”
“ไม่คิดยังไง ก็แค่แสดงความบริสุทธิ์ไปเดี๋ยวคุณตะวันก็รู้เอง ทำไม แกกลัวเหรอ” ภูผาเยาะหยันในตอนท้าย
หมอกยิ้มเจ้าเล่ห์ มุมปาก
“คำนี้ฉันควรจะพูดกับแกมากกว่านะภูผา ว่าแกกลัวรึเปล่า ความลับมันไม่มีในโลก จริงมั้ย”
หมอกพูดพร้อมจ้องภูผาแบบกูรู้นะ พร้อมกับเอามือชี้ตาตัวเองแล้วกลับไปชี้ไปที่ตาภูผา เป็นเชิงบอกกูเห็นว่ามึงทำอะไรอยู่ แล้วหมอกก็เดินจากไป ภูผามองตามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ว่ามันรู้อะไรรึเปล่า

หมอกเดินมาแล้วเข้าไปนั่งในรถ หมอกใช้ความคิดเรื่องภูผา
“ถ้าภูผามันแฝงตัวมา มันต้องคิดหักหลังนายตะวันแน่ หรือว่าเมฆมันจะรู้เรื่องนี้ เลยโดนปิดปาก”
หมอกนัยน์ตาวาวโรจน์คิดสรุปว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าแกคือคนที่ฆ่าน้องชายฉันรึเปล่า ภูผา”

ภูผาขับรถเข้ามาจอดบนทางสายเปลี่ยว ทุกอย่างนิ่งสงัด ภูผาก้าวลงจากรถ ระบายอารมณ์ด้วยการตะโกนไปข้างหน้าเพื่อระบายความอัดอั้น ภูผาเจ็บใจที่วันนี้ทำให้ตะวันสงสัยเอาได้ แล้วเหมือนเมฆจะรู้อะไรเข้าอีก
 
ภูผาเครียดจัด

อ่านต่อหน้า 4



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

อัคคเดชกลับเข้ามาในบ้าน พอเปิดไฟห้องโถงแล้วต้องตกใจที่เห็นใครคนหนึ่งที่นั่งรออยู่นานแล้วในความมืด เล่นเอาอัคคเดชตกใจเกือบชักปืน

“ภูผา ตกใจหมด นี่เข้ามาในบ้านผมนานแล้วเหรอ”
“ไม่นานมากครับ ยังไม่ทันได้หยิบอะไรกินเลย”
อัคคเดชยิ้มรับสีหน้าเนือยๆ
“วันนี้ผู้กำกับต่อยมันไปกี่ที”
“หมัดเดียวจังๆ”
“ทำไมคราวนี้ระงับอารมณ์ไม่ได้ล่ะครับ”
อัคคเดชสารภาพ “ ไม่ไหวจริงๆ มันทำให้คนของผมต้องตาย ตายไปกี่คนแล้วคุณก็เห็น แต่ผมก็ยังจัดการมันไม่ได้สักที”
ภูผาพูดทีเล่นทีจริงขึ้นว่า “อีกไม่นานก็คงเป็นผมที่ตาย”
อัคคเดชชะงัก
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้นายตะวันมันมั่นใจว่าผมเป็นสาย ถ้าปล่อยไปแบบนี้มันต้องรู้ความจริงเร็วๆ นี้แน่”
“มันต้องไม่มีวันรู้ และคุณจะให้มันรู้ไม่ได้เด็ดขาด ภูผา คุณคือความหวังของผม คุณจะต้องทำเพื่อพวกเรา และผมจะไม่มีทางทำให้คุณเป็นอะไรได้ คุณจะต้องจบภารกิจนี้อย่างปลอดภัย”
“เอาเป็นว่าอย่าห่วงครับ ถ้าวันนึงผมจะต้องตายจริงๆ ผมสัญญาว่าจะจับนายตะวันเข้าคุกรับความผิดที่มันทำมาให้ได้ก่อนแน่นอน แต่ผู้กำกับต้องดูแลพ่อแม่พี่สาวผมตามที่ตกลงกันมาก่อน ผมจะได้หมดห่วง แค่นั้นผมก็สบายใจละ”
อัคคเดชฟังแล้วแอบสะเทือนใจ ก่อนพูดปลอบขวัญ
“คุณคือคนที่ถูกเลือกแล้วให้ล่าตะวัน ถ้าไม่มีคุณก็ไม่มีผม เพราะฉะนั้นเราต้องผ่านมันไปด้วยกันให้ได้นะ”
ภูผารับเอาคำตกลง ทั้งสองจับมือมุ่งมั่นไปด้วยกันข้างหน้า

ภูผากลับไปสักพักแล้ว อัคคเดชยังคงนั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดวันนี้ ทั้งเรื่องชกตะวันต่อหน้าสื่อ เรื่องภูผาโดนตะวันสงสัยเป็นสาย จนมาถึงเรื่องของหน่วยตนที่น่าสงสัยว่าจะมีหนอน ทุกอย่างรุมเร้าจนอัคคเดชหน้าเครียดจัด ยากที่ผู้กำกับจะข่มตาหลับลงได้ง่ายๆ ในค่ำคืนนี้

อัคคเดชเดินเหงาๆ เข้ามาในหน่วย แล้วต้องแปลกใจ เมื่อคนทั้งหน่วยหันมามองเขาเป็นตาเดียวเมื่อเขาเดินเข้ามา แล้วรู้สึกแปลกใจ ก่อนถามขึ้น
“มีอะไร”
อ้อย ชบา ยักษ์ และมนตรีมองหน้า เกี่ยงกันไปมา
อัคคเดชเสียงเข้มขึ้นมา “ผมถามว่ามีอะไร”
ทุกคนสะดุ้งตกใจ ทั้งหมดจะหันมามองหน้าชบาเป็นตาเดียวว่าเป็นหน้าที่เจ้าหล่อน ชบาสะดุ้งอีกเมื่ออยู่ๆ ถูกเพื่อนร่วมหน่วยโบ๊ยแบบนั้น ก่อนจำใจบอกขึ้นว่า
“ท่านผู้การต้องการพบผู้กำกับด่วนคะ”
“รู้มั้ยเรื่องอะไร”
ชบากลืนน้ำลายฝืดคอเป็นคำตอบกลายๆ ว่า เป็นเรื่องร้ายแน่ๆ

ผู้การบอกข่าวร้ายกับอัคคเดชที่เรียกมาพบ
ผู้การนายตะวันเค้าจะเอาเรื่องคุณที่ไปพยายามทำร้ายเขาเมื่อวาน
อัคคเดชอึ้งไปนิดด้วยความตกใจ ก่อนบอกขึ้นอย่างประชดว่า
อัคคเดชก็ให้ฟ้องมาซิครับ แค่วิวาทกันธรรมดา ผมไม่กลัวอยู่แล้ว
ผู้การมันไม่แค่นั้นน่ะซิ พอมันกลายเป็นข่าวออกสื่อไปแบบนั้น ทางผู้ใหญ่เกรงจะกระทบภาพพจน์ เลยมีคำสั่งลงมาให้พักราชการคุณชั่วคราว แล้วตั้งคณะกรรมการสอบด้วย
อัคคเดชอึ้ง นิ่งงันไปอย่างถนัดตาเมื่อได้ยิน
อัคคเดชแล้วหน่วยผมจะทำยังไงครับ
“ก็คงต้องหยุดเอาไว้ก่อน รอผลสอบ แต่คงไม่นาน เพราะผู้ใหญ่ให้ความสนใจ ตอนนี้คุณก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเอาไว้ อย่าไปก่อเรื่องอีก ส่วนผมจะหาทางช่วยให้เป็นเรื่องส่วนตัว จะได้ไม่ถูกสอบวินัย จะไม่กระทบกับงาน”
“ครับ” อัคคเดชน้อมรับ ด้วยสีหน้าเศร้าสลดใจถึงขีดสุด

ชบา อ้อย ยักษ์ และ มนตรี นั่งสุมหัวเม้าท์มอยกันอยู่ถึงเรื่องอัคคเดชอยู่ในหน่วย
“พวกพี่ว่าผู้กำกับจะเป็นยังไงบ้างคะ” ชบาเปิดประเด็น
“อยู่ๆ ไปชกเค้าแบบนั้นต้องโดนพักงาน ตั้งกรรมการสอบแน่” มนตรีประเมินจากรูปการ
ชบา ยักษ์ และอ้อย หันไปแท็กทีมด่าขึ้นพร้อมกัน
“ปากเสีย”
มนตรีสะดุ้ง “ชะอุ้ย”
ทั้งสามมองอย่างไม่พอใจ
“เค้าแค่ว่าไปตามเนื้อผ้าเฉยๆ” มนตรีจ๋อย
อ้อยเสียงเขียวใส่ “ไปบ้วนน้ำลายแล้วพูดใหม่ เดี๋ยวนี้เลยนะ”
มนตรีทำตาม ทำเป็นถุยน้ำลายแล้วว่า
“ต้องไม่เป็นอะไร แค่โดนตำหนิเล็กน้อย”
อ้อยสวนขึ้นทันควัน “เล็กน้อยก็ไม่ได้”
มนตรีแก้ตาม “แคล้วคลาดปลอดภัย พอใจยัง”
อ้อยยังคงมองอย่างเคืองๆ ตัวเองก็ใจไม่ดี
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไงก็ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยเจ้าประคู๊ณ”
“ผมว่า ยังไงก็คงต้องโดนตำหนิแน่ๆ” ยักษ์ประเมิน
อ้อย กับ ชบา พยักหน้าอย่างเห็นด้วย มนตรีเลยโวย
“ลำเอียง ทีไอ้ยักษ์ไม่เห็นว่ามัน มันก็ว่าผู้กำกับโดนตำหนิเหมือนกัน”
“ก็แกมันปากเสีย”
มนตรีจ๋อย ทั้งหมดจะหันมองอัคคเดชที่เดินกลับเข้ามาในหน่วย
“เป็นยังไงบ้างคะ” ชบารีบถาม
“ถูกพักงาน ตั้งกรรมการสอบ” อัคคเดชบอก
มนตรีโพล่งขึ้นมา “เห็นมั้ย บอกแล้ว”
ทั้งหมดหันมองตำหนิมนตรีเป็นตาเดียว มนตรีจ๋อย
สักพักอัคคเดชหันมาเรียกชบา
“หมวดชบา เข้าไปพบผมด้วย”
“หนูเหรอคะ”
อัคคเดชไม่ตอบแค่พยักหน้าแล้วเดินนำเข้าไป ทุกคนมองกันไปมา ชบาลุ้นมีเรื่องไรรึเปล่า

ขณะที่อัคคเดชกำลังง่วนเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก ชบาก้าวเข้ามาในห้อง
“ผู้กำกับเรียกหนูเหรอคะ”
“ใช่ นั่งซิ”
ชบานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานอัคคเดช
“ผมมีงานพิเศษให้คุณทำ ระหว่างที่ผมถูกพักงาน”
ชบามองฉงน “งานอะไรคะ”
“หาหนอนของนายตะวันที่ซ่อนอยู่ในหน่วยเราให้ได้”
“ห๊า”

ชบาตาเหลือก นางอึ้งตะลึงตะไลไปเลย

อ่านต่อตอนที่ 13


กำลังโหลดความคิดเห็น