ล่าดับตะวัน ตอนที่ 15
ค่ำคืนนี้ ปานวาดนัดภูผามาเจอที่ร้านเหล้าบรรยากาศชวนเมาตกแต่งเก๋ สาวหน้าหวานเลือกโต๊ะตรงมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ระหว่างนั่งรอปานวาดนึกทบทวนเรื่องราว คำพูดของหมอกตอนที่เธอตกลงร่วมมือกันสืบหาว่าใครฆ่าเมฆ ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
“วาด ถ้าคุณรักเมฆจริง ก็ร่วมมือกับผมหาความจริงว่าใครเป็นคนฆ่าเมฆ คนที่มันทำกับเมฆจะต้องชดใช้”
ปานวาดรีบสลัดความคิดเปลี่ยนสีหน้า เมื่อเห็นภูผาเดินเข้ามาหา
“วาด” ภูผาลงนั่งฝั่งตรงข้าม มองหน้าปานวาดเป็นคำถาม
“ขอบคุณนะ ที่มาหา วาดไม่รู้จะไปปรึกษาใครจริงๆ”
ภูผาพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปานวาด
“วาดมีอะไรอยากบอก ก็พูดมาเลย”
“เมฆ เขามีคนอื่น เขาเลือกผู้หญิงคนนั้น”
ภูผาสะอึกอึ้ง เขาไม่คาดคิดว่า คนอย่างเมฆจะทำแบบนั้น
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ผู้หญิงตาบอดที่ร้านขายดอกไม้”
“อ๋อ...คนนี้นี่เอง ที่เมฆชอบไปหาบ่อยๆ”
“ภูผา ทำไม วาดไม่ดีตรงไหนเหรอ ทำไมเมฆถึงทิ้งวาดไป วาดด้อยกว่าผู้หญิงคนนั้นตรงไหน”
พร้อมกับถ้อยคำระบาย ปานวาดยกเหล้าที่สั่งมาดื่ม
ภูผาตกใจรีบห้าม “ใจเย็นวาด”
ปานวาดไม่ฟังดื่มไวน์รวดเดียวหมดแก้ว แถมรินเติมอีกจนเต็มแก้ว ภูผามองอย่างเห็นใจไม่ห้ามอีก
ประตูลิฟต์คอนโดเปิดออก ภูผาประคองปานวาดที่กำลังอยู่ในอาการเมามายไร้สติออกมา
“ไม่เอา วาดไม่เมา วาดจะดื่มต่อ”
“ได้ๆ เดี๋ยวเข้าไปดื่มต่อในห้อง”
ภูผาประคองพาปานวาดเดินไปยังประตูห้องของเธอ
ไฟสว่างขึ้นทั่วห้องนอนปานวาด ภูผาประคองเธอมาล้มตัวลงนอนลงบนเตียง ปานวาดดึงจนภูผาเสียหลักลงมาด้วย หน้าเกือบชนหน้า ภูผาอึ้งมองปานวาดในระยะใกล้ที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา อย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม หากแต่อึดใจต่อมาเขากลับยันตัวลุกขึ้น แล้วจับร่างปานวาดให้เข้าที่เพื่อนอนพักผ่อน
“ไม่เอา วาดจะดื่มต่อ” ปานวาดร้องโวยวาย
“พอแล้วแค่นี้ก็เมาแล้ว”
“ยังไม่เมาววว จะดื่มอีก”
น้ำเสียงสาวเจ้าอ่อนลง ใกล้จะหลับแล้ว ภูผาขยับจับร่างให้นอนสบายที่สุด พอหันไปมองอีกครั้ง พบว่าปานวาดเงียบเสียงไปแล้ว
ภูผายิ้มขำ มองจ้องหน้าปานวาดอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกหลงใหล ก้มหน้าลงใกล้ๆ เหมือนจะขโมยจูบ แต่สุดท้ายไม่ทำ เพียงห่มผ้าให้ แล้วลุกเดินไปปิดไฟ เดินออกจากห้องไปเงียบๆ
เพียงอึดใจต่อมาหลังเสียงปิดประตูหน้าห้องเงียบลง ปานวาดที่เหมือนหลับสนิทไปแล้ว กลับลืมตาโพลงลุกพรวดขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นปกติ ไม่มีอาการเมาให้เห็นเลยสักนิดเดียว ปานวาดมองไปที่ประตูห้อง นัยน์ตาวาววับ บอกเตือนตัวเองว่า
“ขั้นแรก ตีสนิทภูผา เราจะต้องรู้ความจริงเรื่องเมฆจากนายภูผาให้ได้”
ทางด้านภูผากลับถึงห้องแล้ว และนั่งชิลล์ทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนจากระเบียงห้อง พลางนึกถึงความใกล้ชิดของตนกับปานวาดในวันนี้
ภูผาอมยิ้มอยู่บนเตียงเมื่อนึกถึง เตรียมเข้านอน แต่แล้วกลับมีความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นในหัวบดบังภาพเหล่านั้นจนหมดสิ้น นั่นคือภาพที่เขาจูบกับชบาในค่ำคืนที่จิตใจของเขาบอบช้ำและอ่อนล้าถึงขีดสุด
“มานึกถึงยัยนี่ได้ยังไงเนี่ย”
ภูผาคลุมโปงด้วยความสยดสยอง พอสักพักก็ลุกพรวดขึ้นมาโผล่หน้าออกจากโปง มองไปที่ตู้ปลา
“ปลา”
ภูผายิ้มกระหยิ่ม เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
ประตูห้องพักปานวาดถูกภูผาเคาะเรียกเจ้าของห้องตั้งแต่เช้า ปานวาดตื่นมาเปิดให้ผมยุ่งหน้ายู่
“อ้าว ภูผา มีอะไรรึเปล่า”
“ดูสภาพซิ ผมทนเห็นคุณเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอก ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ผมจะพาไปที่นึง”
“ตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
“ใช่ ด่วนสุด ให้เวลา 20 นาที เร็วๆ”
“บอกก่อนสิว่าไปไหน”
“ไม่ต้องถาม ไปเถอะน่า”
ภูผาพูดพร้อมกับผลักปาดวาดให้เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ปานวาดทำตามอย่างงงๆ
ภูผายิ้มย่องเดินไปนั่งรอตรงโซฟารับแขก
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
ตอนสายวันนั้นเอง ภูผาพาปานวาดเข้าไปด้านใน สยาม โอเชียน เวิลด์ ปานวาดถามขึ้นด้วยความสงสัย
“มาที่นี่ทำไม”
“เข้ามาเถอะน่าแล้วรู้เอง”
พร้อมกับที่ว่าเขาจับมือปานวาดลากเดินเข้าไปข้างในสวนสนุกกลางกรุงแห่งนี้
บริเวณหน้าตู้ปลาขนาดใหญ่ในสยามโอเชียนเวิลด์ มีเก้าอี้นั่งดูปลา ภูผาพาปานวาดมานั่งตรงนั้น มือปืนหน้าหวานตื่นเต้น
“จะทำอะไรบอกมาก่อนซิ”
“ก็บอกแล้วไงว่า ต้องทำก่อนแล้วถึงจะบอกได้”
ปานวาดมองหน้าภูผาด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมทำตาม
“คราวนี้ มองไปข้างหน้าที่ตู้ปลา”
ปานวาดมองตาม แล้วจะถามอีก ถูกภูผาเอามือจุ๊ปากห้าม
“แค่มองไปข้างหน้าอย่างเดียว แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ต้องคิดอะไร มองเฉยๆ มองอย่างเดียว”
ปานวาดทำตาม แลเห็นปลาในตู้ใหญ่กำลังแหวกว่ายไปมา ปานวาดมองเพลิน ความรู้สึกของเธอดำดิ่งลงไปในตู้ปลา เสมือนหนึ่งว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหมู่มัจฉาเหล่านั้น สีหน้าเครียดเคร่งดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
ภูผามองหมู่มวลปลาที่กำลังแหวกว่าย สลับกับลอบมองหน้าปานวาดที่จากดูนิ่งเฉย แล้วเริ่มมีรอยยิ้ม อารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ภูผายิ้มออกมาด้วยความพึงใจ ที่ได้เห็นปานวาดยิ้มเต็มยิ้ม สีหน้าเบิกบานมีความสุข สงบอย่างชัดแจ้ง
“เป็นไงอารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
ปานวาดพยักหน้ารับ
ภูผายิ้มดีใจ “นี่แหละคือเหตุผลที่ผมพาคุณมาที่นี่ ผมอยากให้คุณสบายใจ”
ปานวาดเพลิดเพลินกับการมองปลา หันมามองสบตาภูผาที่กำลังจ้องตัวเองอยู่
“เวลาผมไม่สบายใจ ผมจะมาไปเดินดูปลาที่สวน มันทำให้ผมสบายใจขึ้น”
“อ้าว แล้วทำไมพาวาดมาที่นี่ล่ะ”
ภูผายิ้มขำ “ที่นั่นมันร้อน กลัววาดจะไม่ชอบ”
ปานวาดยิ้มขำ
“แล้วตู้ที่นี่มันก็ใหญ่กว่า เห็นชัดกว่าด้วย”
คราวนี้ปานวาดหัวเราะออกมา
“เห็นมั้ย คุณหัวเราะแล้ว”
เชื่อได้ว่า ยามนี้เพลงรักคงกำลังดังก้องกังวานในหัวใจของสองคน โดยเฉพาะภูผาที่ได้อยู่ดูแลใกล้ชิดหญิงสาว คนที่เขาหลังรักตั้งแต่แรกเห็น
ภูผากับปานวาดทำกิจกรรมสนุกๆ ในสวนน้ำแห่งนี้ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขล้น เวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
รถภูผาแล่นเข้ามาจอดนิ่งหน้าอาคารคอนโด สักครู่หนึ่งปานวาดหันมามองสบตาภูผาด้วยใบหน้าชื่นมื่น ประทับใจในสิ่งที่ภูผาทำให้อย่างที่สุด
ภูผาแปลกใจ “อะไรเหรอ”
“ขอบใจนะสำหรับวันนี้”
ไม่เท่านั้นปานวาดยังโน้มตัวเข้าหา แล้วจูบที่แก้มภูผาแสดงความขอบคุณ
ภูผาอึ้งตะลึงตะไลตกใจในเบื้องแรก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเต็มหน้าด้วยความดีใจ ปานวาดถอนตัวออกมา เปิดประตูลงจากรถไป
ภูผาจดสายตามองตามจนปานวาดลับหายเข้าอาคารคอนโดไป จึงยิ้มให้ตัวเองด้วยความดีใจ ในที่สุดปานวาดก็ยอมเปิดใจให้ตน
ปานวาดเข้ามาในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ทอดถอนใจออกมา
“ทำไมต้องมาทำแบบนี้กับเราในตอนที่เราเสียใจจริงๆ ด้วยนะ” ปานวาดอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ “ถ้าเมฆทำแบบนี้ให้เราก็คงจะดีสิ”
ปานวาดยิ่งคิดถึงเมฆหนักเข้าไปอีก หยิบตุ๊กตาเซรามิกที่เมฆเคยให้ จากในลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง มามองจ้อง
“เมฆ ตอบวาดหน่อยสิ ว่าวาดควรทำยังไงต่อไป”
เช้าวันนี้ ที่แหล่งกบดานในบ้านสวนของพรชัย ภัสสรในชุดทะมัดทะแมงมาดเจ้าแม่ กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อยของปืนสองกระบอก เจ้าแม่เล้าจน์ผู้ตกอับบอกกับตัวเองอย่างอาฆาตแค้นสุดจะประมาณว่า
“วันนี้จะเป็นวันตายของแกไอ้ตะวัน”
ภัสสรบรรจุกระสุน ใส่คืนซองปืนคู่ที่เอว
อึดใจต่อมาพรชัยจึงเปิดประตูเข้ามา
“รถพร้อมแล้วครับเจ๊”
ภัสสรหันไปพยักหน้ารับรู้ ก่อนเดินตามพรชัยออกมาจากห้อง
ที่รีสอร์ตลับของนายตะวัน แสงสุริยะ เวลาเดียวกันนี้ ตะวันกำลังให้การต้อนรับ และรับรองบรรดามาเฟียต่างชาติที่มาเจรจาค้าขายกัน ทักทายเสร็จ จึงพากันเข้านั่งประจำที่ โดยตะวันนั่งประจำที่ตัวเองตรงหัวโต๊ะ กล่าวเปิดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะ
“ที่เชิญทุกท่านมาวันนี้ ก็เพราะมีสินค้าใหม่จะนำเสนอ”
พร้อมกับว่าตะวันหันไปพยักหน้าให้ปราการ ปิง และปานวาดที่อยู่ในห้องด้วย
ปานวาดพยักหน้ารับเอาคำสั่ง หันไปยกถาดยาเสพติดตัวใหม่ที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งจัดใส่ถ้วยเท่าจำนวนคณะมาเฟียที่มาแล้วเดินเสิร์ฟ
มาเฟียต่างชาติมองยาในถ้วยตรงหน้าอย่างแปลกตา ไม่เคยเห็นมาก่อน
ตะวันอธิบายต่อเป็นภาษาอังกฤษดังเดิม
“สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นยาตัวใหม่ที่เพิ่งผลิตขึ้น แค่อมให้ละลายในปาก แล้วความสุขก็จะมาในทันใด เชิญทุกท่านทดลองได้”
มาเฟียหันไปสั่งการกับคนของตนให้ลองยา
หลังหยิบใส่ปากเพียงอึดใจต่อมายาก็เริ่มออกฤทธ์ ผู้ติดตามที่ลองยาก็ยิ้มเยิ้ม พากันยกนิ้วชมสลอน ตะวันยิ้มพอใจ
ต่างชาติ 1 ถามแทนคนอื่นๆ ว่า “มันคือยาอะไร”
“เป็นยาตัวใหม่ของนายพลยีเส่ง ชื่อว่า paradise โดยมีผมเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว”
ต่างชาติ 2 ซักถามต่อ “แล้วราคาเป็นยังไง”
“เนื่องจากยาตัวนี้มีความยุ่งยากในการผลิตค่อนข้างสูง ทำให้ปริมาณการผลิตต่อรอบไม่มาก ดังนั้น เราจะให้วีการประมูลในแต่จะรอบ โดยกำหนดราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 3 ล้านเหรียญ ต่อ 1 ล้านเม็ด ยกมือครั้งละแสนเหรียญ”
บรรดามาเฟียต่างชาติในห้องต่างหันไปมองหน้ากันและกันอย่างหยั่งเชิง ก่อนเริ่มยกมือแย่งกันประมูลอย่างไม่ยอมกัน ตะวันมองอย่างพอใจ
ระหว่างนี้ ที่ถนนด้านหน้ารีสอร์ต เห็นภัสสรซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่พรชัยขี่แล่นมา และกำลังดูนาฬิกาบอกเวลา ก่อนหันกลับไปจ้องเขม็งที่หน้าประตูรีสอร์ต สายตาของภัสสรเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด
ตะวันจับมือบอกลาขณะส่งมาเฟียข้ามชาติกลับ แล้วหันไปยิ้มกับปราการกับปานวาดอย่างพอใจในการเจรจา
“เรียบร้อย”
“กลับเลยมั้ยครับ” ปราการถาม
ตะวันพยักหน้ารับเอาคำแทนคำตอบ ปิงกับปานวาดจึงเดินนำออกมา
ภัสสรซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของพรชัย จ้องตาเขม็งไปที่หน้าประตู เห็นตะวันกำลังจะเดินออกมา
ภัสสรปิดหน้ากากหมวกกันน็อคลง แล้วแตะไหล่พรชัยเป็นเชิงให้สัญญาณเตรียมตัว
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
รถมาจอดรอท่าเตรียมรับตะวัน มีปิงเปิดประตูให้ ตะวันเดินลงมากับปราการโดยไม่สำเหนียกถึงอันตรายที่กำลังจะมาเยือนเรือนชีวิต
ปิงฉีกยิ้มรับตะวันอย่างเอาหน้า ก่อนเสียงมอเตอร์ไซค์ที่แล่นเข้ามาปาดข้างใส่อย่างเร็วและแรง จะเรียกให้ทั้งหมดหันไปมองเป็นตาเดียว ภัสสรที่ซ้อนท้ายมาชักปืนเล็งใส่หมายชีวิตตะวัน
ปิงตาเหลือกเมื่อเห็นก่อนใคร มันตะโกนก้องร้องบอกตะวัน
“ระวังครับนาย”
พร้อมกับว่าปิงกระโดดเอาตัวบัง และผลักตะวันให้พ้นทางปืน ล้มทับกันลงไปกองกับพื้น ขณะที่เสียงปืนกัมปนาทขึ้นกึกก้อง ปราการกับปานวาดรีบโผหลบกระชากปืนที่เอวออกมายิงสู้ ทั้งสองฝ่ายระเบิดกระสุนใส่กันในระยะประชิด อีกสองสามนัด ปราการกับปานวาดหลบไปด้วย ยิงไปด้วย
พรชัยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเร่งเครื่องขับรถหนีไป ปราการไล่ตามจะยิง แต่ช้าไป รถเลี้ยวหันไปต่อหน้า จึงรีบหันกลับมาดูตะวัน ปิงที่ทับอยู่บนตะวันขยับตัวออก ปราการถลันเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับนาย”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร”
ตะวันหันไปมองเห็นปิงเอามือกุมแผลที่โดนกระสุน ตรงท้องแต่กระสุนทะลุไป ปานวาดเห็นด้วยร้องบอกขึ้น
“ปิงถูกยิง”
ทุกคนตกใจ ปิงเจ็บแผลสุดจะประมาณ แต่มันไม่ร้องสักแอะ
รถมอเตอร์ไซค์ของพรชัยแล่นมาตามถนนลำพังคันเดียว พรชัยประเมินสถานการณ์ว่ามาถึงที่ปลอดภัยแล้ว จึงชะลอความเร็วลงแล้วจอดข้างทาง
“จอดทำไม” ภัสสรแปลกใจมาก
“ผมไม่ไหวแล้วเจ๊”
ขาดคำพรชัยก็กระอักเลือดที่ตกในจากแผลถูกยิงออกมา
ภัสสรตื่นตะลึงมองด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นแผลที่พรชัยโดนยิง รีบประครองรถเอาไว้ แล้วค่อยๆ พาพรชัยลงไปนั่งพักกับพื้น
“นายถูกยิง”
ภัสสรตรงเข้าประคองพรชัย
“เจ๊จะทำอะไร”
“ก็พาแกไปโรงพยาบาลไง”
พรชัยฝืนยิ้มพูดติดตลก “ไม่ทันแล้ว”
ภัสสรยิ่งใจไม่ดี
“เจ๊ไปเถอะ เกิดพวกมันตามมาจะยุ่ง”
“จะให้ฉันทิ้งแกได้ยังไง”
“เจ๊ไม่ได้ทิ้ง แต่ให้โอกาสผมได้ตอบแทนบุญคุณ ที่ช่วยครอบครัวผมมาตั้งนาน ถ้าไม่ได้เจ๊ ป่านนี้ลูกผมคงตายไปนานแล้ว ด้วยโรคที่มันเป็น”
ภัสสรเสียใจ “แล้วแกจะทิ้งลูกแกได้ยังไง”
“เพื่อตอบแทนเจ๊ที่เป็นผู้มีพระคุณ ผมต้องทำ” พรชัยตอบอย่างมาดมั่น
ภัสสรได้ฟังยิ่งสะท้อนใจ น้ำตาไหลด้วยความซึ้งในน้ำใจของลูกน้องคนสนิท
“เจ๊ต้องรอดให้ได้นะ ถ้าชาติหน้ามีจริง หนี้บุญคุณที่เหลือผมจะกลับมาทดแทนให้”
ขาดคำ พรชัยก็ขาดใจตายทันที
ภัสสรมองสมุนผู้ภักดีด้วยความอาลัย ยกเอามือลูบปิดตาให้ ตัดใจลุกขึ้นเดินจากมาแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
ที่รีสอร์ต ปราการเพิ่งวางโทรศัพท์ แล้วรีบเดินมารายงานตะวัน
“ปิงเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่อันตรายครับ ปานวาดโทร.มาบอกว่ากระสุนแค่เจาะทะลุผ่านออกไป ไม่โดนจุดสำคัญ เย็บแผลแล้ว พักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็จะดีขึ้นครับ”
“อืม ดีละ งั้นแกค่อยจัดรางวัลให้ปิงมันด้วยละกัน”
“ครับ”
“แต่ตอนนี้ที่เร่งด่วนคือต้องจัดการนางหมาลอบกัดภัสสรให้ได้เสียก่อน” ตะวันออกคำสั่งกับปราการ “ส่งข่าวออกไป ใครให้เบาะแสภัสสรไม่ว่าเป็นหรือตายได้ห้าล้าน”
“ครับนาย”
ตะวันแค้นจัด
ปราการเดินออกมาตรงมุมหนึ่งในรีสอร์ต พิมพ์ข้อความที่จะส่งใน line group กลุ่มนักเลงและมือปืน ว่า
“คนหาย “เจ๊ภัสสร” แจ้งเบาะแส ไม่ว่าเป็นหรือตาย ได้ห้าล้าน”
ปราการแนบรูปภัสสรที่มีอยู่ในเครื่อง แล้วกดส่งออกไปในกลุ่มทันที
จอทีวีในห้องรับแขกบ้านผู้กำกับอัคคเดช เป็นภาพข่าวด่วนช่อง 8 โดยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกำลังเก็บย้ายศพพรชัยขึ้นรถ โดยมีเสียงผู้ประกาศข่าวรายงานว่า
“เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่า พบศพชายไม่ทราบชื่อถูกยิงนอนตายเสียชีวิตอยู่ข้างทาง เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ถูกยิงมาจากที่อื่นแล้วมานอนตายที่พบศพ เพราะไม่มีร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ”
อัคคเดชดูข่าวนี้ โดยมีภูผานั่งดูอยู่ด้วย และพูดเสริมขึ้นว่า
“ฝีมือภัสสรครับ ไปดักยิงนายตะวันที่ไปเจรจากับพวกมาเฟียต่างชาติ”
“คงกลับมาแก้แค้นเรื่องที่ตะวันให้ข้อมูลถล่มฮาเล็ม”
ภูผาพยักหน้า เห็นด้วย
“ถ้าได้ตัวภัสสรมาให้การปรักปรำเอาผิดนายตะวันก็คงดี” อัคคเดชเปรยขึ้นลอยๆ ก่อนจะจ้องหน้าภูผา “คุณพอมีทางติดต่อได้มั้ย”
“คงยากครับ พอเกิดเรื่อง นายตะวันก็ตั้งค่าหัวตั้งห้าล้าน ไม่ว่าเป็นหรือตาย ป่านนี้หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ดีไม่ดีอาจออกนอกปะะเทศไปแล้วก็ได้”
อัคคเดชพยักหน้าเห็นด้วย นึกเสียดายในเวลาเดียวกัน
เช้าวันนี้
ผู้คนกำลังเร่งรีบเดินสวนกันไปมาตามท้องถนน มุมหนึ่งของกรุงเทพฯ โดยมีภัสสรเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าแม่เล้าจน์คนดังใส่หมวก สามหน้ากากอนามัยทับ ปลอมตัวเต็มอัตรา จนหากว่าไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้ว่าเป็นเจ๊ภัสสร ซึ่งเดินใจลอยมาตามถนน ด้วยท่าทางอิดโรย อ่อนแรง
จนถึงแยกไฟแดงใหญ่ ภัสสรหยุดยืนมองด้วยอาการสับสนไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีที่ไป คนอื่นเดินข้ามถนนไป แต่ภัสสรยังยืนไม่รู้หนอยู่ที่เดิมทั้งที่ข้ามได้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เมื่อภัสสรหันไปมอง แม้พบว่าเป็นตำรวจยิ้มใจดีมาให้ แต่ก็ออกอาการกลัวนิดๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ภัสสรยิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วรีบเดินจ้ำข้ามทางไป พอพ้นมาได้ก็แอบถอนใจโล่งอก แล้วรีบเดินหายไป
หมอกกับหลิน นั่งกินข้าวกลางวันอยู่ด้วยกัน ความรักเบ่งบานเต็มที่ สองหนุ่มสาวยิ้มหัวให้กัน พลางตักกับข้าวป้อนกันหวานชื่น จนมีเสียงกระแอมดังขึ้นตรงประตู หมอกหันมอง เห็นปานวาดแอบยืนดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยิ้มขำๆ
หมอกยิ้มทัก “คุณวาด”
ปานวาดยิ้มตอบแซวคู่รักข้าวใหม่เล็กๆ
“ขัดจังหวะหรือเปล่าคะ”
หมอกกับหลินยิ้มเขินทั้งคู่
ผ่านไปสักระยะปานวาดออกนั่งคุยกับหมอกตรงระเบียงบ้าน หลินเข้าห้องไปแล้ว
ปานวาดรู้เรื่องจากปากหมองก็อึ้งไป ก่อนจะย้อนถามอย่างแปลกใจ
“เมฆเป็นคนทำให้คุณหลินตาบอดเหรอคะ”
“ครับ”
“แบบนี้นี่เอง เค้าถึงได้ดูแลเป็นห่วงเป็นใยคุณหลิน”
หมอกยิ้มรับ
“เมฆมันชอบทำเหมือนคนแล้งน้ำใจครับ แต่จริงๆ แล้วแคร์คนที่มันรักทุกคน”
ปานวาดยิ้มกว้าง รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้ยินคำชมนี้ออกจากปากหมอก
“ว่าแต่คุณวาดมาหาผม มีอะไรเหรอครับ”
“วาดได้ทำตามที่ตกลงกันไว้แล้วนะคะ ด้วยการตีสนิทกับภูผาให้มากขึ้น แต่ติดตรงที่ว่า แล้วจะหลอกถามภูผายังไง ไม่ให้เค้ารู้ตัวว่าเรากำลังสงสัยเค้าอยู่”
หมอกนิ่งคิดอย่างเห็นด้วย แล้วบอกขึ้นในอีกอึดใจต่อมาว่า
“งั้นลองแบบนี้มั้ยครับ คุณแกล้งทำเป็นสงสัยผม”
“ยังไงคะ”
“ลองบอกว่า ผมเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเมฆคนเดิมที่เคยรู้จัก เหมือนเป็นคนละคนกัน แล้วดูว่าเค้าจะมีปฏิกิริยายังไง”
ปานวาดดูเป็นกังวล “แบบนี้มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอคะ เกิดภูผาเป็นคนที่ฆ่าเมฆจริงๆ เค้าจะไม่ลงมือกับคุณเหรอ”
หมอกยิ้มบอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะผมอยากให้เค้าลงมือไงครับ ถึงได้ต้องใช้ตัวเองเหยื่อล่อแบบนี้ ถ้าเค้าเป็นคนฆ่าเมฆจริง เค้าต้องระแวง แล้วแสดงพิรุธออกมา”
ปานวาดพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับไอเดียนี้
“แล้วถ้าภูผาเป็นคนฆ่าเมฆจริงๆ ล่ะ คุณจะทำยังไง”
หมอกบอกสีหน้าเหี้ยมเกรียมน้ำเสียงดุดันว่า
“ผมคงต้องส่งวิญญาณมันตามไปอยู่กับเมฆ”
ปานวาดได้ฟังก็สะท้อนใจ เพราะเริ่มไม่แน่ใจ และสับสนว่าตนอาจมีใจให้ภูผานิดๆ
หลินนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ หมอกเดินเข้ามาเห็นผิดสังเกต จึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
หมอกรู้ทันทีว่าหลินมีเรื่องในใจแต่ไม่ยอมพูด
หมอกมีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็พูดออกมา ผมเดาใจคุณไม่ถูกหรอก
หลินนิ่งคิดอยู่อึดใจ จึงตัดสินใจถามขึ้น
“แล้วถ้าคนที่ชื่อภูผา เป็นคนฆ่าน้องชายคุณจริงๆ ล่ะคะ คุณจะทำยังไง”
หมอกนิ่งไป หลินรีบออกตัว
“หลินไม่ได้ละลาบละล้วงแอบฟังนะคะ หลินรู้ว่าคุณอยากจะแก้แค้นแทนคุณเมฆ แต่…”
หมอกยิ้มขำ ก่อนแกล้งถามดักคอขึ้นว่า
“คุณกลัวผมสู้เค้าไม่ได้อย่างงั้นเหรอ”
หลินตอบสวนขึ้นทันควัน “เปล่าค่ะ แต่หลินกลัว...” เธอเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “กลัวที่จะต้องเสียคุณไป”
หมอกยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ ดึงเก้าอี้หลินที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันเข้ามาใกล้ๆ แล้วบรรจงกอดหลินเอาไว้ในอ้อมแขน
“ผมให้สัญญาว่า ผมจะไม่ยอมเป็นอะไรไปเด็ดขาด หากคุณไม่อนุญาต”
หลินยิ้มเขิน หมอกบรรจงหอมแก้มคนรักเบาๆ อย่างอ่อนโยน
โดยไม่ทันได้เห็นสีหน้าของหลินที่มีวี่แววความกังวลชัดแจ้ง
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
ภูผาเดินเร่งรีบเข้ามาในร้านอาหาร หยุดมองหาด้วยอาการร้อนใจ จนเห็นปานวาดนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพลางโบกมือทัก ภูผารีบเดินเข้าไปนั่ง พร้อมกับถามขึ้นอย่างห่วงใยในทันที
“เรียกมาด่วนมีอะไรเหรอ”
ปานวาดยิ้มหวาน พูดเย้าหยอก “ต้องมีธุระด้วยเหรอ ถึงเรียกมาได้”
ภูผาแปลกใจ
“แค่อยากได้เพื่อนกินข้าวด้วยไม่ได้หรือไง”
ภูผายิ้มเขิน “ได้”
“กินอะไรล่ะ สั่งซิ”
พร้อมกับว่าปานวาดยื่นเมนูให้
ถัดมาอาหารที่สั่งวางอยู่ตรงหน้า ทั้งสองนั่งกินอาหารด้วยกัน จังหวะหนึ่งปานวาดเห็นปากของภูผาเลอะ
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งขยับ”
“อะไร”
“ปากเลอะ”
ภูผาจะเช็ดเอง แต่ปานวาดหันไปหยิบทิชชู่มาเช็ดให้ ภูผาแอบเขินอยู่ในที
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร”
ปานวาดยิ้มบอก แอบสังเกตอาการภูผาไปด้วยอยู่ในที ภูผาชวนคุย
“เจริญอาหารแบบนี้ แสดงว่าสบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ”
ปานวาดพยักหน้ารับ ใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเป็นคำตอบอย่างดี
“ก็เพราะได้ภูผานั่นแหละปลอบ ไม่งั้นป่านนี้ วาดยังคงร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่เลยมั้ง”
ภูผายิ้มดีใจ
ปานวาดเริ่มเข้าประเด็นทันที “จะว่าไปแล้วนะ เมฆดูแปลกๆ ไปนะตั้งแต่กลับมา หลังจากที่หายไปครั้งนั้น”
ภูผาเห็นด้วย
“วาดก็คิดแบบนั้นเหรอ”
ปานวาดมองภูผาอย่างประเมิน ก่อนจะบอกขึ้นต่อ
“ฮื่อ...เหมือนเมฆเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ ทั้งนิสัยใจคอ โดยเฉพาะฝีมือ ที่อยู่ๆ ก็เก่งขึ้นผิดหูผิดตาเพียงชั่วข้ามคืน ถ้าหากไม่เคยรู้จักมาก่อน ต้องบอกว่าเป็นคนละคนกันเลย”
ภูผาตาโต เห็นด้วยเต็มๆ เพราะเขาก็รู้สึกสงสัยอย่างงั้นเช่นกัน
“เมฆที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นคนละเมฆกับที่พวกเราเคยรู้จัก” เธอจงใจถามแหย่ภูผา “มันจะมีมั้ยที่คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้เพียงชั่วข้ามคืน”
ภูผาอึ้งไป เขาคาดไม่ถึง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างที่สุด
ปานวาดแอบประเมิน ท่าทางแบบนี้ ภูผาฮุบเหยื่อแน่
แยกจากปานวาด ภูผาแอบมาพบผู้กำกับที่บ้านพัก อัคคเดชได้ฟังถึงกับทวนคำอย่างแปลกใจ
“อะไรนะ คุณสงสัยว่า เมฆคนปัจจุบันเป็นตัวปลอม”
“ครับ อย่างที่ผมบอก มันเก่งขึ้นอย่างเหลือเชื่อ แล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปด้วย”
“งั้นแสดงว่า เรื่องความจำเสื่อมมันอาจเอามาอ้าง”
“ใช่ครับ เพราะผมแน่ใจว่าวันนั้นผมยิงมันโดนจุดสำคัญ ไม่มีทางรอดได้แน่”
“ถ้าคุณมั่นใจแบบนั้น คุณก็ต้องระวังตัวด้วย ถ้ามันปลอมตัวเข้ามาจริงๆ มันจะต้องมีแผนอะไรแน่นอน”
ที่โรงแรมจิ้งหรีดกลางกรุง เป็นโรงแรมราคาถูก เกรดระดับล่าง
เสียงกริ่งหน้าประตูตรงล็อบบี้ดังขึ้น เมื่อมีคนผลักประตูเข้ามา ชาย 1 ที่เฝ้าอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เช็คอิน หันไปมองคนที่เข้ามา เห็นเป็นภัสสรที่แต่งตัวในชุดทะมัดมะแมงสวมหมวกหรุบบังหน้า ปลอมตัวไม่ให้ใครจำได้
“ขอห้องๆ หนึ่ง”
ชาย 1 ถาม “เอาห้องอะไร พัดลมหรือแอร์”
“ขอแอร์แล้วกัน”
“ห้าร้อย”
พร้อมกับว่า ชาย 1 หันไปหยิบกุญแจห้องให้ ภัสสรควักเงินจ่าย
“ต้องออกก่อนเที่ยงนะ ถ้าเกินคิดอีกวัน”
ภัสสรพยักหน้ารับ แล้วรับกุญแจเดินจากมา
ชาย 1 เฝ้าแอบมองตามอย่างสนใจ และสงสัยอยู่ในที จนเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู เจอข้อความที่ประกาศตามหาภัสสร พร้อมค่าหัว ชาย 1 ตาโต รีบกดโทร.ออกโดยเร็ว
ปราการวางสายกับชาย 1 แล้วหันมารายงานตะวันที่อยู่ด้วยกัน
“ได้เรื่องแล้วครับ”
ตะวันยิ้มร้ายรับเอาคำอย่างยินดี
ชายเฝ้าเค้าน์เตอร์วางสายอย่างดีใจ จนมันรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่จึงหันไปหา และเห็นภัสสรยืนมองเขม็งอย่างไม่พอใจอยู่ มันหน้าตื่นด้วยความตกใจกลัว ภัสสรเดินเข้าหา ชาย 1 อย่างมุ่งร้ายหมายชีวิต
ถัดมาไม่นานปราการพร้อมสมุน 5 คน ตรงเข้าปิดล้อมห้องพักห้องหนึ่งที่ระบุว่าเป็นห้องพักของภัสสร ก่อนจะให้สัญญาณลูกน้องให้ถีบพังประตู ทันทีที่ทุกคนก้าวเข้าห้องไป ก็เห็นชายเฝ้าเค้าน์เตอร์ถูกยิงนอนตายอยู่ในห้อง และไม่มีแม้เงาของภัสสรอยู่ในนั้นแล้ว ปราการมองอย่างประเมินอย่างเสียดาย
ตะวันรับสายจากปราการที่โทร.กลับมารายงานแล้วออกอาการโกรธสุดขีด
“มันหนีไปได้เหรอ”
“ช้ากว่ามันแค่ก้าวเดียวเองครับ”
ตะวันวางสาย สีหน้าโกรธขึ้ง
“นังภัสสร แกเก่งได้ไม่ตลอดหรอก”
ปิงนั่งๆ นอนๆ พักรักษาตัวอยู่ในห้องพักที่คฤหาสน์ นอนดูเงินในบัญชีที่ตะวันจัดการโอนให้ แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจ สักพักปราการเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
“สบายมากพี่ โดนแค่นี้ไกลหัวใจ แค่คันไม้คันมือ อยากออกไปลุยล่ะ”
“เดี๋ยวงานหน้าได้ไปแน่นอน นายบอกให้ช่วงนี้นายพักไปก่อน”
ปิงยิ้มรับ ปราการเปรยถามขึ้น
“ถามอะไรหน่อยสิ ถ้าฉันจะ..ซื้อของให้ผู้หญิงเนี่ย ซื้ออะไรดี”
ปิงอุทานดังลั่น “พี่จะซื้อของให้สาว”
ปราการเซ็ง “แกจะเสียงดังไปทำไมวะ”
“อ้าว ใครจะไปนึกว่าพี่ก็มีโมเม้นต์นี้กับเขาเหมือนกัน นั่นแน่ พี่ปิ๊งสาวไหน บอกผมหน่อยได้มั้ย”
“ไอ้ปิง” ปราการโมโห
“คร้าบผม โอเคๆๆ ผู้หญิงนะพี่ ส่วนมากก็ชอบของสวยๆ งามๆ พวกกระเป๋า เครื่องประดับ อะไรพวกนี้น่ะพี่ แค่ของแพงๆ เราแค่ให้ไป ก็ตาวาวกันทุกคน”
ปราการนึกตาม “เครื่องประดับน่าสน”
“ใช่ เอาแบบที่แสงวูบทิ่มตาเลยพี่”
ปราการยิ้ม
ปานวาดมาทานข้าวตามนัดกับปราการ
“วาดเป็นยังไง เริ่มดีขึ้นรึยัง”
“ดีละค่ะ ทำใจได้ล่ะ คนเราสักวันก็ต้องมีจากกันอยู่ดี ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย วาดเริ่มปลงละค่ะ” ปานวาดนึกถึงเมฆ “ เอ…ว่าแต่พี่ปราการนัดวาดมาวันนี้ เพราะเป็นห่วงวาด จะมาถามเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ
“ก็ไม่เชิง อยากรู้เรื่องวาดด้วย แล้วก็…” ปราการไม่พูดต่อ แต่ยื่นกล่องเครื่องประดับให้ “อ่ะ พี่ให้”
ปานวาดตกใจนิดๆ
“ให้วาด เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ปลอบใจ คนเพิ่งอกหัก”
ปานวาดทำหน้าบู้ กิริยาน่ารัก พอเปิดดูเห็นเป็นสร้อยคอ และมีจี้เล็กๆ สวยน่ารัก ก็ยิ้มปลื้ม
“โห สวยจัง พี่ปราการ ไม่เห็นต้องให้เลย แค่วาดรู้ว่าพี่ห่วงวาด วาดก็รู้สึกดีล่ะค่ะ”
“แล้วชอบรึเปล่า”
“ชอบค่ะ นี่เลือกเองเลยเหรอคะเนี่ย”
“ให้เด็กที่ร้านเขาเลือกให้น่ะ”
“ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ไว้ถ้าพี่มีแฟน วาดจะตอบแทนโดยการไปช่วยเลือกของให้แฟนพี่เอง พี่จะได้ไม่ต้องไปวานเด็กในร้านมันช่วย ดีมั้ยคะ”
จากยิ้มๆ อยู่ ปราการจ๋อยหุบยิ้มทันที ปานวาดหยิบสร้อยมาสวมที่คอแล้วทานข้าวต่อ ปราการได้แต่ลอบมอง ประสาแอบรักเขาข้างเดียว ไม่กล้าเผยความในใจ
สองคนเดินมาที่รถตรงลานจอด ปานวาดคิดหลอกถามปราการ
“พี่ว่าเมฆที่ผ่านมาเขาเป็นยังไงบ้าง วาดว่าเขาเปลี่ยนไป”
“ให้พูดตรงๆนะ เขาเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่กลับมาจากไปยิงผู้กำกับอัคคเดชในครั้งนั้น”
“แล้วที่เมฆเขาเคยบอกว่าถูกทำร้ายจนความจำเสื่อม พี่ว่าจะเป็นคนในของพวกเราทำมั้ย”
ปราการตกใจ
“คนใน วาดหมายถึงใคร”
“วาดก็ไม่รู้ มีทางเป็นไปได้มั้ยที่นายตะวันจะทำร้ายเมฆ”
“พี่ว่าไม่นะ นายยังคิดด้วยซ้ำว่าเมฆเป็นฝ่ายทรยศนายเอง โดยอ้างว่าความจำเสื่อม”
ปานวาดจึงเปลี่ยนเป้า ถามต่อ
“แล้วภูผาล่ะ ภูผาไปกับเมฆ ภูผาอาจทำร้ายเมฆก็ได้”
ปราการคิดปราดเดียว
“มันจะทำเพื่ออะไร พี่ว่าทางพวกตำรวจน่าจะทำเมฆมากกว่า แต่ถ้าภูผามันจะทำ ก็คงเพราะวาดนั่นแหละ”
ปานวาดชะงักกึก
“วาดก็น่าจะรู้นะ ว่าภูผากับเมฆไม่ถูกกันก็เพราะวาด ถ้าคนในที่คิดจะทำร้ายเมฆ คนแรกที่ต้องสงสัยก็คือภูผานั่นแหละ”
ปานวาดนิ่งฟัง จนปราการแปลกใจ
“นิ่งทำไม ไอ้เมฆมันก็ยังอยู่ ไม่ได้ตายซะหน่อย แล้วอีกอย่างก็เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
ปานวาดยิ้มหน้าเจื่อน
“ค่ะ งั้นวาดกลับก่อนละกันนะคะ แล้วก็ขอบคุณสร้อยมากๆ เลยนะคะ วาดชอบมาก”
ปราการยิ้มรับ ปานวาดโบกมือลาแล้วออกไป ทิ้งปราการยืนมองตามตาละห้อย รำพันกับตัวเอง
“พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ พี่ก็ชอบวาด ชอบมานานแล้ว”
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ ชบากำลังตรวจดูเอกสารข้อมูลสืบหาสาย ที่เพิ่งได้รับจากผู้กำกับอัคคเดช เห็นของมนตรี เป็นข้อความที่เน้นว่า มีเรื่องร้องเรียนฉันท์ชู้สาว ถูกกล่าวหาว่าทำผู้เยาว์ท้อง กำลังอยู่ในระหว่างการพิสูจน์ ซึ่งก็ยังต้องรอผลกันต่อ
ของยักษ์ กู้สวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ล้าน รักษาแม่ที่ป่วย ซึ่งก็ยังผ่อนอยู่ทุกเดือน
สำหรับของหมวดอ้อย เห็นข้อความเน้นว่า กู้เงินสวัสดิการซื้อบ้าน 2 ล้าน แต่แล้วชบาต้องตกใจ เพราะเงินที่กู้ได้ทำการโปะไปหมดแล้ว 2 ล้านบาท
“หมวดอ้อย โปะเงิน 2 ล้านหมดเลย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย”
ชบานั่งคิด สงสัย
หลังจากนั้นชบาจึงตามติดและแอบซุ่มดูอ้อยเป็นพิเศษ จนเห็นอ้อยรับโทรศัพท์ในหน่วย แล้วรีบออกไปขึ้นรถขับออกไปเลย ชบาไม่รอช้ารีบขับรถบึ่งตามออกไปเช่นกัน
ชบาตามอ้อยขึ้นไปบนอาคารร้าง ริมถนนสายเปลี่ยว นางหาทางปีนขึ้นไปยังชั้นบนอยู่ที่สูงเพื่อซุ่มถ่ายรูป กล้องในมือชบาถ่ายรูป แลซูมดูไปมา เพื่อรอว่าหมวดอ้อยจะมาทำอะไรหรือนัดใคร
สักพักมีชายรูปร่างสูงโปร่งแต่งตัวดีเดินขึ้นมาหาหมวดอ้อยยังจุดนัดพบ ชบาพยายามถ่าย เห็นอ้อยยิ้มทักอย่างคุ้นเคยกัน จนเมื่อชายคนนั้นหยุดยืนตรงหน้า และเผยให้เห็นเป็นตะวัน ชบารีบถ่ายภาพไม่ยั้ง
ประมุขแก๊งอัคคียื่นซองที่ถือติดมือมาด้วยให้ อ้อยรับมา
“อีกสองสามวันจะมีการรับส่งยาล็อตใหม่ อย่าลืมส่งข่าวด้วยล่ะ”
“รับทราบค่ะ”
ตะวันขับรถออกไป อ้อยมองซ้ายมองขวา ก่อนขึ้นขับรถออกไปเช่นกัน ชบายิ้มสมใจ เซอร์ไพร้ส์สุดๆ
“ที่แท้คนที่เป็นสายให้นายตะวัน ก็คือหมวดอ้อย นี่เอง ต้องรีบไปบอกผู้กำกับแล้ว”
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์คืนนั้น ภาพแอบถ่ายช็อตต่อช็อตจากกล้องถูกโหลดลงคอมพ์แล้ว จากนั้นมีคนค่อยๆ กดดูไปทีละภาพ ภาพจะขยับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเห็นใครคนนั้นเป็นตะวันในที่สุด
อัคคเดชเป็นคนกดดู ถึงกับอึ้งตะลึงตะไล ทั้งตกใจ ระคนดีใจในคราวเดียวกัน ชบายิ้มยืดอย่างภาคภูมิอยู่ข้างๆ
“เห็นฝีมือหรือยังคะ”
“คุณทำได้ดีมาก ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่าใครเป็นหนอน”
“แล้วผู้กำกับจะจัดการยังไงต่อไป คะ”
อัคคเดชไม่ตอบ ใช้ความคิดนิ่งนึกตรึกตรองหนัก
ข่าวเรื่องหนอนในหน่วยเมฆาพยัคฆ์ ถูกรายงานให้ภูผารับรู้ทันทีที่เจอหน้ากัน ภูผาทวนคำอย่างตกใจเมื่อได้รู้เรื่องนี้ สีหน้าของภูผาช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเอามากๆ
“หมวดอ้อยน่ะเหรอครับ เป็นสายของนายตะวัน”
อัคคเดชพยักหน้า “ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ว่าจะเป็นหมวดอ้อย”
ภูผาเปรยขึ้นอย่างปลง “คนเรานี่ รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ”
อัคคเดชหน้าเครียด “แต่ผมกลัวยิ่งกว่านั้น”
“อะไรครับ” ภูผาแปลกใจในน้ำเสียง
“ถ้าคนอย่างอ้อยถูกนายตะวันซื้อได้ ก็คงมีคนอื่นที่ถูกซื้อได้เช่นกัน”
“ผู้กำกับหมายความว่า อ้อยไม่ใช่สายนายตะวันคนเดียว แต่ยังมีคนอื่นอีก”
“ก็อาจเป็นไปได้”
ภูผาอึ้งไปถนัดตา
“แล้วทางคุณได้อะไรมาบ้าง”
“นายตะวันกำลังจะขนยาครับ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้”
“ดี ถึงเวลาที่เราจะปล่อยหมัดสวนกลับเล่นงานมันสักทีคราวนี้"
อัคคเดชยิ้มกระหยิ่ม มุ่งมั่นหมายมาด ในแผนการที่คิดอย่างรัดกุมอยู่ในใจ
อ่านต่อตอนที่ 16