ล่าดับตะวัน ตอนที่ 2
หน่วยเมฆาพยัคฆ์ หรือ CTI ทุกคนทำงานกันมาทั้งคืนจนล่วงเข้าเช้าวันใหม่แล้วตอนนี้ แต่ละคนต่างตกอยู่ในสภาพดูไม่จืดอาการสะโหลสะเหล ตาปรือจะหลับมิหลับแหล่ กระทั่งมีกลิ่นหอมฉุยโชยมาแตะจมูก ทำเอาตื่นกันทั้งทีม
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทุกคน”
หมวดชบาเดินเข้ามาในห้องด้วยชุดทะมัดทะแมงแต่ยังแฝงความน่ารัก วางถุงใส่กาแฟร้อนยี่ห้อดังที่หิ้วมาด้วยลงบนโต๊ะต่อหน้าทุกคน
“กาแฟค่ะ ถุงนี้ใส่นม ถุงนี้ไม่ใส่นม”
ทั้งหน่วยมองกันตาโต ฟินมาก แต่ไม่มีใครกล้าหยิบไปดื่มกิน ชบาอึ้งนิดๆ ที่ไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่นางตั้งใจ
อัครเดชเดินเข้ามาพอดี
“กาแฟใครหอมจัง ขอแก้วหนึ่งนะ”
พร้อมกันนี้ ผู้กำกับยังหยิบไปดื่ม 1 แก้ว
หมวดชบาเอ่ยขึ้นว่า “ของหนูเองค่ะ”
อัคคเดชชะงัก มองหน้า “อร่อยดี”
“มีแซนด์วิชด้วยค่ะ สนมั้ยคะ”
ชบาภูมิใจนำเสนอแซนด์วิชที่ซื้อมาด้วยอีกถุง หน้าตาดูน่ากิน ทั้งทีมเห็นแล้วน้ำลายยืดน้ำลายสอทั้งแถบ อัคคเดชหยิบมากัดกินหนึ่งอันเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะบอกชบาว่า
“ตามมา”
คล้อยหลังชบาที่เดินตามอัคเดชไป สามคนที่เหลือหันมองหน้า ปรึกษากัน
“นายเปิดงานไปแล้วนี่ ผมตามล่ะ”
มนตรีว่า พลางหยิบกาแฟก่อนใคร แต่กลับถูกหมวดอ้อยตีมือเผียะ
“เลดี้เฟิร์ส รู้จักมั้ย”
“ก็ได้ๆ” มนตรีหยอดหวานหยด “เพราะสวยนะเนี่ยถึงยอม”
ยักษ์มือไวกว่าหยิบก่อน ยิ้มขอบคุณชบา “ขอบคุณครับ”
มนตรียิ้มกริ่ม “งั้นที่เหลืออผมเหมา”
เสียงหมวดอ้อยแหวใส่ หวงก้างมาเลย “ก็ลองดูซิ”
จ่ามนตรีหันมองค้อนอยู่ในที
ชบาหายป่วยและดูแข็งแรงดีแล้ว หล่อนยืนตรงอยู่หน้าโต๊ะทำงานของอัคคเดชด้วยสีหน้าลุ้นๆ จนท่านผู้กำกับฯ เซ็นชื่อในแฟ้มเอกสารเรียบร้อย ชบาจึงฉีกยิ้มสดใสออกมาด้วยความดีใจ พูดเบาๆ กับตัวเอง ลืมตัวไปว่าอยู่ต่อหน้าอัคคเดช
“เยส”
อัคคเดชเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตำหนิ
“ไม่ต้องดีใจ”
ชบาชะงักหน้าเจื่อนไป
อัคคเดชยิ้มขำพูด “ความจริงไม่ได้อยากรับสักเท่าไรนักหรอก แต่เพราะท่านรองขอไว้ ไม่อยากตัดอนาคตเด็ก ก็เลยต้องจำใจรับ”
ชบายิ้มรับกร่อยๆ
“หวังว่าคงไม่เอาพฤติกรรมบ้าๆ บอๆ สมัยเรียนมาใช้ที่นี่นะ”
“แค่ขำๆ เองค่ะ”
ชบาพยายามจะอธิบาย แต่ถูกอัคคเดชพูดดักคอเสียก่อน
“กฎโรงเรียนมีข้อไหนบ้างที่เธอไม่แหกบ้าง”
ชบาจ๋อย
“ฝึกภาคสนามก็เกือบพาเพื่อนไปตาย”
ชบาเซ็ง อัคคเดชลุกขึ้น พร้อมยื่นหน้าเข้ามาพูดกับชบาใกล้ๆ อย่างจริงจัง
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ชีวิตก้าวพลาดไปแล้ว จะไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้” ประโยคหลังผู้กำกับยกตัวอย่างสอนเป็นเชิงปรัชญา
ชบานิ่งฟัง อัคคเดชจ้องหน้าชนิดไม่ยอมวางตา จนชบาต้องหลบตาวูบ ยิ้มแก้เก้ออย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“แต่หนูก็มีดีนะคะผู้กำกับ”
อัคคเดชเซ็ง ยัยหมวดจอมเจ๋อคนนี้สอนยากสอนเย็นเสียจริงๆ
ตะวันและแป๊ะกงเดินคุยกันออกมาตามทางเดินอย่างถูกคอกัน
“ผลประกอบการธุรกิจของพวกเราดีวันดีคืนจริงๆ”
“ธุรกิจสะอาด คือน้ำยาฟอกขาวชั้นดีครับ ส่วนองค์กรการกุศลที่เราทำคือ เกราะคุ้มภัยชั้นยอดเช่นกันครับแป๊ะกง”
ตะวันพูดเอาใจ แป๊ะกงยิ้มชอบใจ เอื้อมมือไปตบบ่าตะวันเบาๆ ด้วยสีหน้าชื่นชม
“ไม่เสียแรงที่ฉันเอานายมาชุบเลี้ยง คนเก่งๆ อย่างนาย มีค่าเกินกว่าจะไปอยู่ในระบบราชการ ที่ล้าหลังเป็นเต่าล้านปีอย่างนั้น”
“ถ้าผมไม่ได้แป๊ะกง ชีวิตผมก็ไม่มีวันนี้ บุญคุณของแป๊ะกง ผมจะชดใช้ให้อย่างไม่มีวันหมด”
ตะวันพูดด้วยรอยยิ้มอย่างแนบเนียน
แป๊ะกงยิ้มดีใจหลงคิดว่าตะวันจงรักภักดีกับตน ระหว่างนี้แป๊ะกงมองไปทางหนึ่งเห็นภัสสรตามหลังมา
“อ้าว ภัสสรมาแล้ว”
ตะวันเหลียวมองตามไป เห็นภัสสรเดินเชิดหน้าผ่านความมืดออกมาสู่แสงสว่างตามทางด้วยมาดนางพญาอันสง่างาม โดยมีพรชัยเดินตามประกบไม่ห่าง
ตะวันยิ้มทัก ทว่าภัสสรไม่ยิ้มตอบ เดินมาหยุดยืนตรงหน้าแป๊ะกงพร้อมกับโค้งให้นิดหนึ่งทำความเคารพ โดยไม่ปรายตามองมาหาตะวันเลยแม้แต่น้อย
“มาสายนะเรา” แป๊ะกงยิ้มเย้า
“ขอโทษคะแป๊ะกง”
“งานที่คลับคงยุ่งนะครับ”
ตะวันแกล้งพูดดักคอขึ้น ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มเยือกเย็น ภัสสรปรายตามองเขาแว่บหนึ่ง ก่อนจะทอดถอนใจพูดประชดออกมา
“ฉันมันแค่ผู้หญิงกลางคืน คนหามืดกินเช้า จะไปสบายเหมือนนักธุรกิจใหญ่ได้ยังไง หน้ากากทองคำ แต่เบื้องหลัง...”
ตะวันชิงพูดสอดขึ้นแทนให้ว่า “ระยำ”
“รู้ตัวเหมือนกันนี่”
ภัสสรยังคงรักษาท่าที วางมาดเย่อหยิ่ง นิ่งงาม เก็บซ่อนความเจ็บช้ำและความโกรธแค้นที่เคยถูกตะวันหลอกจนบับเยิน เสียทั้งตัวและหัวใจ ที่สำคัญโดนเขาหลอกใช้จนต้องติดคุก!!
“จะเรียกอะไรก็ตามสบายเลย แต่สังคมสมัยนี้ เขาก็สวมหน้ากากด้วยกันทั้งนั้น”
ภัสสรเชิดใส่ไม่สน
ตะวันต่อแดกดันต่อ “ถ้าผมระยำ แล้วไอ้ธุรกิจค้ากามอย่างที่คุณทำเขาก็ต้องเรียกว่า...อะไรน๊า” เขาเล่นลิ้นทำเป็นนิ่งนึก
ภัสสรมองลุ้นว่าจะพูดอะไร
“อ๋อ! ดอกทอง” ตะวันเน้นเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ภัสสรคุมแค้นถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ ก่อนที่เรื่องจะลุกลามรุนแรงเสียงแป๊ะกงจะดังขัดขึ้น
“พอๆๆ”
ทั้งสองชะงัก นิ่งงันกันไปเหมือนโดนผู้ใหญ่ดุ
“เป็นอะไรเจอหน้ากันเป็นไม่ได้ ต้องทะเลาะกันทุกที”
ประโยคหลังชายชราบอกด้วยน้ำเสียงตำหนิ ตะวันและภัสสรหน้าเจื่อนไปทั้งคู่
“ไป กินข้าว ฉันหิวแล้ว”
“ค่ะแป๊ะกง”
ภัสสรรีบเข้าไปประคองเอาใจ พาแป๊ะกงเดินเข้าห้องวีไอพีไป
แป๊ะกงนั่งร่วมโต๊ะกับภัสสร และตะวัน มีแต่คนสนิทของแต่ละคนอยู่ในห้องด้วย แป๊ะกงยังอบรมประสมตำหนิต่อ
“เธอสองคนเป็นมือซ้ายมือขวาของฉัน ทำไมถึงชอบตีกันนัก”
ตะวันกับภัสสรมองสบตายังคงเขม่นกันอยู่ในที
“อย่างลืมซิว่า กิเลนกับหงส์ขาว มันก็แก๊งอัคคีเหมือนกัน มีรากเหง้ามาจากที่เดียวกัน” ชายชรามองหน้าทั้งสองคน “มือซ้ายตีมือขวา ตัวเราเองแหละที่เจ็บ”
สุดท้ายหันมาพูดกับภัสสรเป็นเชิงขอร้อง
“เรื่องเก่าที่มันแล้วไปแล้ว ก็ลืมๆ มันไปเถอะ”
ภัสสรนิ่งฟัง สะท้อนใจ ลืมได้ไง แค้นฝังหุ่นขนาดนั้น
“ตกลงสรต้องเป็นคนเสียสละอีกเหรอคะแปะ”
“เรื่องมันแล้วไปแล้วน่า รื้อฟื้นหาตะเข็บตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
แป๊ะกงพยายามกล่อม
ภัสสรอึ้งไป ใช้ความคิด และชั่งใจ บอกขึ้นอย่างแบ่งรับแบ่งสู้และเกรงใจแป๊ะกง
“ก็เพราะแปะกงขอไงคะ สรถึงยอม ไม่งั้นต้องได้เห็นดีกันแน่”
ตอนท้ายประโยคภัสสรส่งสายตาอาฆาตไปยังตะวัน อีกฝ่ายยิ้มยั่วมาให้
“ก็ดีแล้ว” แป๊ะกงว่า
ตะวันยิ้มเยาะภัสสรที่แป๊ะกงให้ท้ายตน
“แป๊ะกงเรียกสรมาพบมีอะไรจะให้รับใช้เหรอคะ”
“แปะมีงานจะให้เธอทำ”
“งานอะไรคะ”
“แค่ส่งของเล็กๆ เท่านั้น”
ตะวันนิ่งฟังด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ลึกล้ำ คล้ายมีแผนบางประการอยู่ในใจ
ภัสสรขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ มองเงาตัวเองในกระจกนิ่งนาน แล้วหวนนึกถึงความหลังเมื่อครั้งอดีตที่เคยถูกตะวันหักหลัง
โดยในค่ำคืนนั้น มันเป็นปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งค้ามนุษย์ครั้งใหญ่ที่เป็นข่าวคึกโครม
ตำรวจเปิดประตูห้องเย็น เผยให้เห็นผู้หญิงที่ถูกหลอกมา เตรียมจะนำตัวส่งต่อไปยังเมืองนอกถูกคุมขังอยู่เต็มตู้
นำทีมโดยผู้การเด่นชาติ ซึ่งในยามนั้นยังเป็นเพียงผู้กำกับฯ เป็นคนยกกำลังเข้าทำการจับกุม พร้อมกับอัคคเดช และ ตะวันที่เป็นคนให้เบาะแส
ระหว่างนี้ภัสสรถูกจับใส่กุญแจมือพร้อมลูกน้อง เดินผ่านหน้าทั้งสามไป ภัสสรมองหน้าตะวันด้วยแววตาอาฆาตและเคียดแค้น
แม้จะผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว แต่คิดทีไรภัสสรก็ยิ่งแค้น ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมาที่ยังเอาคืนตะวันไม่ได้สักที
เสร็จธุระแล้ว ภัสสรออกมาจากห้องน้ำ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนดักรออยู่ตรงทางเดิน เป็นตะวันนั่นเอง ภัสสรเชิดใส่ แล้วจะเดินหนี
ตะวันคว้าข้อมือเธอไว้แล้วดึงใบหน้ามาจูบปากภัสสรอย่างหนักหน่วง
ภัสสรอึ้ง ตกใจในเบื้องแรก เมื่อได้สติก็รีบสะบัดตัวจนหลุดออก ยกมือจะตบหน้า แต่ตะวันรับไว้ได้ทัน จะตบอีกข้าง ก็ถูกรับไว้ได้อีก สุดท้ายตะวันจับรวบแขนสองข้าง ดันร่างของภัสสรไว้หันหลังให้เหมือนที่เธอเคยถูกตำรวจจับบังคับใส่กุญแจในอดีต
ภัสสรโวยวายเสียงดังลั่น “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ตะวันยอมปล่อย
“ทำบ้าอะไรของแก”
“แค่จะลองชิมดู ว่ารสชาติยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
แววตาตะวันมองเหยียดหยัน เป็นเชิงด่าว่าภัสสรนั้นเป็นโสเภณีชั้นต่ำ
ภัสสรคุมแค้น ได้แต่ฮึดฮัดไปมา เพราะรู้ว่าสู้ตะวันไม่ได้
“ไม่ไหวนะ ของบูด หมดอายุแล้ว แถมเหม็นสาบ ห้ามเอาไปรับแขกเด็ดขาด เดี๋ยวแขกจะหาว่าเอาซากศพไปให้เขา”
ตะวันถากถางไม่เลิก ภัสสรฉุนขาด สะบัดไหล่เดินจากไปอย่างเจ็บแค้น ตะวันมองตามอย่างสะใจ
ภัสสรเดินห่างออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมพูดเบาๆ กับตัวเองระบายความแค้นที่แน่นอยู่เต็มอก
“โอกาสเป็นของฉันเมื่อไหร่ ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่ นายตะวัน”
วันนี้หมวดชบาพาตัวเองมาอยู่ที่ร้านขายปลาสวยงามเจ้าประจำ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนน ย่านตลาดสวนจตุจักร และกำลังก้มดูปลาในตู้อย่างสนใจ จนมีเสียงเจ้าของร้านทักทายดังขึ้น
“อ้าว น้องชบา ไม่เห็นหน้านานเลยนะ นึกว่าลืมร้านพี่ไปแล้วซะอีก”
ชบายิ้มทักอย่างคุ้นเคย
“เปล่าหรอกคะ หนูไปฝึกงานที่โรงพักต่างจังหวัด เพิ่งกลับมา”
“เหรอ มิน่า ถึงหายไปเลย” ชบายิ้มให้ “แล้ววันนี้จะเอาอะไร”
ชบาบอกเซ็งๆ “มาดูปลาน่ะค่ะ ไม่อยู่บ้านไม่กี่เดือน ที่บ้านทำตายยกตู้ เลยต้องเริ่มใหม่”
“งั้นเลือกเลย ชอบตัวไหนเดี๋ยวพี่จัดให้”
“ค่ะ”
ในขณะที่ชบาเดินดูปลาสวยงาม ตู้นั้นตู้นี้ อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันระวังกระเป๋าสตางค์ยาวที่เสียบอยู่กระเป๋าหลัง อยู่ๆ มีใครคนหนึ่งกระชากกระเป๋าไปอย่างแรงแล้ววิ่งหนีไป ชบาตกใจหันไปมองตามรู้ว่าถูกวิ่งราว เห็นหลังคนร้ายวิ่งหนีไวๆ จึงออกกวดตาม
ชบาไล่กวดโจรมาติดๆ
“หยุดนะอย่าหนีนะ”
โจรรู้ตัวว่าถูกไล่ ยิ่งเร่งฝีเท้าหนี ชบาเร่งฝีเท้าตาม โจรชั่วก็เร่งหนีอีกครั้ง
ผ่านไปอีกหน่อย โจรเห็นจวนตัว จึงตัดสินใจเลี้ยวหนีเข้าตรอกทางลัดแถวนั้น ชบายังตามอยู่ ไม่ลดละ แถมไล่บี้กระชั้นใกล้เข้ามา
“หยุดนะ อย่าหนีนะ”
โจรหนีต่อสุดชีวิต ชบาแค้นจัดที่ถูกลูบคม
“จับได้ล่ะน่าดู”
โจรเลี้ยวหนีออกมาจากตรอก ยินเสียงชบาดังไล่ตามหลังมา
“หยุดนะ อย่าหนีนะ”
โจรชนกับคนที่เดินตรงมาเข้าอย่างจัง แล้วหนีต่อทันที
เป็นภูผาที่ถูกชน บังเอิญอะไรเช่นนี้ เขาดันใส่เสื้อเหมือนกันกับโจรวิ่งราว แถมรูปร่าง ทรงผมยังคล้ายโจรชั่วราวกับฝาแฝด ภูผาหันมองตามโจรงงๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นกระเป๋าตังค์ตกอยู่ จึงก้มลงเก็บ ชบามาทันเห็นภูผาก้มลงหยิบกระเป๋าพอดิบพอดี
“อย่าหนีนะ ยอมให้จับซะดีๆ”
ชบาตรงเข้าจะสับกุญแจมือ ภูผาไวกว่าพลิกเหลี่ยมหนี ฉากหลบออกมาได้ ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังถือกระเป๋าตังค์ชบาอยู่
“อะไรกันคุณตำรวจ”
“ไม่ต้องมาคุณเลย จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ ยอมให้จับซะดีๆ”
ภูผามองหน้าชบางงๆ ที่ถูกกล่าวหาช่นนั้น แถมยังไม่ทันได้อ้าปากอธิบาย ชบาก็ปรี่เข้ามาเล่นงานอีกครั้ง จะจับให้ได้ แต่กลับกลายเป็นชบาถูกภูผาจับพลิกชิงเหลี่ยม แล้วล็อกเธอไว้ในอ้อมกอด
“พูดกันก่อนซิคุณ”
ชบาไม่ฟังดิ้นหนีจากล็อกแต่ไม่หลุด จึงง้างศอกจะกระแทกใส่กล่องดวงใจภูผากะเอาให้จุก แต่ภูผารู้ทันผละหนีได้หวุดหวิด พร้อมกับปล่อยชบาเป็นอิสระ แล้วตั้งหลักประจันหน้ากับชบาอีกครั้ง
“เล่นแบบนี้ เสียของนะคุณ เกิดมันใช้ไม่ได้ขึ้นมาทำไง”
“ก็ดีซิ เชื้อชั่วๆ อย่างแกจะได้สูญพันธ์”
ภูผาทำหน้าเซ็ง ตรูไม่ใช่สักหน่อย เข้าใจผิดแล้ว
“หน้าตาก็...” ชบาชะงักไป มองภูผาอย่างพินิจ ดูหล่อผิดโจร “ดี แต่ไม่รู้จักทำมาหากิน เที่ยววิ่งราวชาวบ้าน”
“ของคุณเหรอ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก แกเพิ่งกระชากมาจากฉันมาเมื่อกี้หยกๆ”
“ผมเปล่า...”
ภูผาอ้าปากพยายามจะอธิบาย ชบาไม่ฟังตรงเข้าจะจับใส่กุญแจมือให้ได้อีกครั้ง
ภูผาสู้กลับ แถมคราวนี้จับชบาใส่กุญแจมือลากไปล็อคไว้กับราวเหล็กใกล้ๆ ชบาสะบัดข้อมือที่ถูกจับล็อกอย่างแรง ทั้งอาย ทั้งขายหน้า เสียฟอร์มฉิบหาย
ภูผาชักมีน้ำโหเหมือนกัน “ฟังก่อนซิคุณ”
ชบามองหน้าจ้องตาภูผาเขม็ง จนรู้ตัวว่ามีอะไรทาบหน้าอกอยู่จะๆ พอก้มมองก็เห็นแขนภูผาที่ล็อกทับอยู่บนหน้าอกเต็มๆ สองเต้า
ชบาตกใจตาโตเป็นไข่ห่าน ภูผาก้มมองตามถึงรู้ตัวว่าแขนตัวเองพาดอยู่กับนมชบาเต็มสองเต้า วินาทีเดียวกันนั้นเอง ชบาเข่าเข้ากล่องดวงใจเขาเต็มๆ
ภูผาไม่ทันตั้งตัวโดนเต็มๆ ตัวงอเป็นกุ้ง ถอยออกมายืนจุกเจ็บเจียนตาย ชบามองตามอย่างสะใจ ไม่สนที่ภูผาหันมามองตาเขียว
“คุณ...” ภูผาจุกจนพูดไม่ออก
ชบายิ้มสะใจ
สักครู่หนึ่งภูผาอาการทุเลาลง หันมาตาเขียวเหมือนเดิมพร้อมบอกอธิบายขึ้นเสียงขุ่นๆ ว่า
“ผมไม่ได้วิ่งราวกระเป๋าคุณนะ คนวิ่งมันวิ่งมาชนผมเลยทำตกไว้ ผมก้มเก็บคุณก็มาพอดี”
ว่าพลางโยนกระเป๋าตังค์คืนให้ ชบารับไว้ ภูผารีบหันเดินจากมาทั้งที่ยังจุก
ชบาอึ้งงงๆ ที่อยู่ๆ ได้กระเป๋าตังค์คืน แล้วรีบเปิดดูเห็นตังค์ยังอยู่ครบก็ดีใจ พอเงยหน้ามองอีกครั้ง เห็นหลังไวๆ ของภูผา เลี้ยวหายไปจากสายตา
ชบาทำหน้าฉงน ช้านเข้าใจผิดเหรอเนี่ย หมวดจอมเจ๋อคลี่ยิ้มออกมาเต็มหน้า แถมมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว แทนที่จะไขกุญแจก่อนนางหยิบมือออกมาเซลฟี่ตัวเองหน้าตาเฉย แชะๆ ๆ
ทั้งๆ ที่แขนถูกล็อกกุญแจคาราวเหล็กอยู่
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะอัคคเดชกำลังนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศกองบัญชาการหน่วยพยัคฆ์เมฆ แล้วต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงกระจกแตก
เมื่อมองไปก็เห็นมีก้อนหินขนาดเหมาะมือก้อนหนึ่งถูกห่อด้วยกระดาษ ถูกปาทะลุกระจกหน้าต่างเข้ามา อัคคเดชหลบด้วยความรวดเร็ว ก้อนหินที่พุ่งมาเฉียดหัวไปนิดเดียวอัคคเดชรีบพุ่งพรวดไปที่หน้าต่างทันที
เขาเห็นหลังไวๆ ของชายใส่หมวกกันน็อค ขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์วิ่งห่างออกไปตามถนนด้วยความเร็วสูง อัคคเดชมองตามไป จนนึกขึ้นได้ รีบหันขวับกลับมามองก้อนหินที่หุ้มด้วยกระดาษมัดรัดไว้อย่างดีด้วยความสงสัย
ที่ลานโล่งกว้าง ใต้ทางด่วน แลเห็นตะวันยืนมองออกไปยังเบื้องหน้าด้วยสีหน้านิ่ง ข้างๆ ตะวันมีปราการยืนอยู่ด้วยมาดเข้มจริงจัง ปิงขี่รถบิ๊กไบค์เลี้ยวเข้ามาจอด ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วยิ้มชอบใจ เดินเข้ามาหาตะวันกับปราการ ปราการหันมามองปิงด้วยสีหน้าเข้ม ขณะที่ตะวันพูดอย่างใจเย็นทั้งๆ สายตายังคงมองออกไปยังผืนน้ำ
“เรียบร้อยใช่มั้ย”
“ฝีมือระดับปิง พลาดยังไงสะกดไม่เป็นครับนาย” ปิงโม้ทำท่าขว้างประกอบ “ฟิ้ว...เพล้ง...ฮ่าๆ”
ตะวันยิ้มในสีหน้าอย่างมีเลศนัย ส่วนปราการมองนายด้วยความสงสัย
“นายจะทำอะไรครับ”
“ตอนนี้แกไม่จำเป็นต้องรู้ปราการ แค่แกทำตามที่ฉันสั่งให้ดีก็พอ”
“ครับนาย”
ปราการรับคำ เลิกสงสัยทันควัน
ขณะที่ปิงคันยิกๆ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“บอกสักนิด ใบ้สักหน่อยไม่ได้เหรอครับนาย ผมอยากรู้”
“ไอ้ปิง” ปราการเอ็ดขึ้นมาทันที พร้อมทำหน้าดุใส่ปิงเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่เรื่อง อย่าเสือก
ปิงหน้าเจื่อนเพราะความกลัว
ตะวันยิ้มเยือกเย็น แล้วหันกลับไปขึ้นรถ ลูกน้องคนขับรถรีบเปิดประตูให้ ตะวันเข้าไปนั่งยังเบาะหลัง
ปราการชี้หน้าปิงคาดโทษอีกครั้ง จนปิงต้องยกมือไหว้ด้วยสีหน้าเจื่อน
“อุ๊ย ไม่ต้องดุก็ได้พี่ ไม่อยากรู้แล้ว”
จากนั้นปราการจึงรีบตามเข้าไปนั่งในรถคู่กับตะวัน
รถตะวันวิ่งออกไปถนนใหญ่ โดยมีปิงขี่รถบิ๊กไบค์ตามออกไปติดๆ
ที่ทำการหน่วยพยัคฆ์เมฆเวลานั้น รูปเซลฟี่ที่ถ่ายทั้งๆ ที่โดนกุญแจล็อกไปไหนไม่ได้ ตอนเข้าใจผิดภูผา ถูกโพสต์ลงเฟสบุ๊ก ชบาเปิดอวด อ้อย มนตรี ยักษ์ ทุกคนเห็นรูปแล้วขำกลิ้ง
“แบบนี้เขาเรียกเสียเหลี่ยม ถูกลูบคมค่ะ คุณน้องขา”
ชบาเสียหน้านิดๆ
“ลูบคมไม่เท่าไร แต่ลูบ...”
ชบาชะงักค้างไว้ไม่พูดต่อ นึกถึงตอนที่ภูผาเอามือพาดกหน้าอกถูกนมจังๆ
เห็นชบาเงียบไปนาน อ้อยจึงถามขึ้น “ลูบอะไรคะ”
“อย่าไปพูดถึงมันเลยคะ พูดถึงแล้วของขึ้น” ชบาคุมแค้น
“ผมล่ะเชื่อหมวดเลย เรื่องแบบนี้ก็ยังกล้าโพสตลงไปได้ ไม่อายบ้างหรือครับหมวด” ยักษ์ว่า
“อายทำไมคะ เรื่องไม่ได้ทำเรื่องเสียหายอะไร แค่หน้าแตกนิดหน่อยแค่นั้น แถมได้ยอด LIKE ดีอีกด้วย”
“อย่างนี้เข้าไปม่เรียกเล็กๆ แล้วครับหมวด เขาเรียก แตก แหกชิมิ แบบหมอเห็นยังกรี๊ดสลบศิษย์ส่ายหน้านะครับจะบอกให้” มนตรีบอก
ชบามองเชิดใส่ไม่แคร์สื่อ
“ข้าน้อยยอมสิโรสาบ”
มนตรีส่ายหัวขำ พร้อมกับว่าทำมือคารวะแบบในหนังจีน แต่แล้วต้องชะงักค้าง เพราะเห็นผู้กำกับอัคคเดชเดินเข้ามา ตวาดเสียงเขียว
“ขำอะไรกันนักหนา ทำงาน”
“ชะอุ๊ย” มนตรีจ๋อย
ทั้งหมดแยกย้ายสลายโต๋แทบไม่ทัน
ที่ห้องประชุมหน่วยเมฆาพยัคฆ์
หินก้อนที่ปิงปาเข้ามาวางอยู่บนโต๊ะประชุมที่หน่วย ซึ่งตอนนี้กระดาษที่ห่อไว้ถูกแกะออกไปแล้ว
จ่ามนตรีถือกระดาษแผ่นที่ห่อก้อนหินซึ่งมันถูกนำมาใส่ซองพาสติดสำหรับเก็บหลักฐานขึ้มาดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด หมวดอ้อยกับจ่ายักษ์ยืนมุงดูข้างๆ ด้วยสีหน้ายุ่งเช่นกัน
อัคคเดชซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะชะงัก แล้วต้องชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับพูดขึ้นเสียงเข้มงวด
“หมวดชบา”
ชบาซึ่งนั่งอยู่ท้ายโต๊ะประชุม กำลังใช้มือถือที่ติดอยู่กับไม้เซลฟี่พยายามจับมุมบันทึกภาพตัวเองและทีมงานอยู่
อัคคเดชจ้องตาเขม็ง ชบาไม่รู้ตัว นางยิ้มระรื่นพร้อมบอกขึ้นอย่างภูมิใจว่า
“เซลฟี่การประชุมครั้งแรกในชีวิตค่ะ” แล้วจะกดโพสต์ลงเฟส จนอัคคเดชกระแอมขึ้นอีกครั้งอย่างไม่พอใจ ชบาหันมองยิ้มเจื่อนๆ
“ถ่ายเสร็จพอดี เดี๋ยวค่อยโพสต์หลังประชุมก็ได้”
ชบารีบเก็บมือถือทันที อัคคเดชยังคงจ้องเขม็งด้วยสีหน้าดุดัน
ชบาทำหน้าเหรอหรา เป็นเชิงงุนงงว่า ทำไม่ได้เหรอ ไม่รู้จริงๆ นะเนี่ย
อ้อย มนตรี และยักษ์ เหลียวมามองมายังชบาเป็นตาเดียว ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิงพร้อมถอนใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างพร้อมเพรียง
หน่วยเมฆาพยัคฆ์ - กลางวัน / ต่อเนื่อง
ตามทางเดินในหน่วยที่ทอดยาวตรงไป อัคคเดชเดินเลี้ยวเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีจ่ามนตรี จ่ายักษ์ หมวดอ้อย เดินตามประกบอยู่
ชบาเร่งฝีเท้าตามรั้งท้ายมาด้วยและมีเจ้าหน้าที่หน่วยเดินสวนไปมาประปราย อัคคเดชสั่งเสียงเข้ม
“อย่าลืมเก็บหลักฐานที่ก้อนหินกับกระดาษแผ่นนั้นให้หมดล่ะ”
“เดี๋ยวอ้อยจัดให้ค่ะ”
หมวดอ้อยรับคำอย่างแข็งขัน
จ่ามนตรีก็หันไปพูดกับอัคคเดชด้วยความเป็นกังวล
“แต่นายแน่ใจได้ยังไงครับ ว่าข่าวเรื่องขนยาของไอ้มือบอนที่ปากระจกจะเชื่อถือได้”
“นั่นซิครับ เป็นพวกชอบสร้างเรื่องหลอกตำรวจให้หัวปั่นเล่นหรือเปล่าก็ไม่รู้” จ่ายักษ์ว่า
ชบาสอดขึ้น “ให้หนูช่วยสืบจากแฟนคลับหนูในโลกโซเชียลมั้ยคะ หรือให้หนูแฮ็กเข้าไปที่...”
อัคคเดชหยุดเดินยกมือขึ้นห้ามอย่างรำคาญ
ชบาชะงัก ทีมหยุดตาม
“จะจริงหรือเท็จ ผมจะเป็นคนเช็คเอง ตอนนี้ขอให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ เอาไว้ได้ข้อสรุปชัดเจนเมื่อไหร่ ไม่ว่าแก๊งไหน เราก็จะไม่ปล่อยให้มันลอยนวลแน่”
ทั้งทีมยืนตรงรับคำสั่งของอัคคเดชอย่างขันแข็ง
“ครับผม” / “ค่ะ”
อัคคเดชหันไปมองชบา แล้วก้าวเข้าไปยืนประจันหน้าทันที ชบามองสบตาอัคคเดชหน้าเป็น
เชิงตักเตือน
“นี่ กรุณาอย่าแหกคอกได้มั้ยคุณ”
ชบาจ๋อย “ชะอุ้ย”
“ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน เพราะฉะนั้นไม่มีแต้มให้ตัด มีแต่ผมจะไล่คุณออกไปอย่างเดียว เข้าใจมั้ย”
ชบาจ๋อยลงกว่าเดิม ตอบรับเสียงอ่อยๆ
“ค่ะ”
อัคคเดชถอนใจออกมาเซ็งๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง โดยมีจ่ามนตรีกับจ่ายักษ์เดินตามไปโดยไว หมวดอ้อยเอื้อมมือไปตบบ่าหมวดชบาเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ ก่อนเดินตามไปอีกคน
ชบามองตามอัคคเดชไปถอนใจเฮือกใหญ่ ทำไมทำอะไรไม่เข้าตาสักที
ค่ำวันนี้ ชบานั่งจมจ่อมตาจดจ่ออยู่หน้าคอมพ์ที่โต๊ะทำงานในห้องพักคอนโด ด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด บ่นบ้ากับตัวเองออกมาลอยๆ
“เฮ้อ..ทำยังไงถึงจะรู้ว่าแก๊งค์หงส์ขาวจะขนยาเหมือนอย่าที่มือดีส่งข่าวให้ผู้กำกับรู้น๊า” ชบาถอนใจเฮือกใหญ่ หนักใจ “ข้อมูลของแก๊งหงส์ขาวกับยัยภัสสรก็น้อยชะมัด”
หมวดจอมเจ๋อนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในหัว
“นายตะวัน”
ชบารีบคีย์ข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ทันทีด้วยความคล่องแคล่ว
หน้าจอแสดงผลข้อมูลว่า DENY ACCESS ชบาถอนใจเซ็งเป็ด
“เจาะไม่เข้า”
ชบาเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยใจ พลางหันไปมองจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ภาพในจอฉายหนังที่ผู้หญิงปลอมเป็นผู้ชายพอดี ชบาคลี่ยิ้มออกมาเต็มหน้า ปิ๊งไอเดียขึ้นในหัว
ชั่วเวลาพริบตานั้นเอง ชบาอยู่ในชุดปลอมตัวเป็นผู้ชายสวมวิกผมสั้นอย่างเท่ห์ ดูหล่อเหลาเอาการเลยที่เดียว นางยืนอยู่หน้ากระจกออกปากชมตัวเอง
“แค่นี้ก็เข้าคลับยัยภัสสรได้แล้ว”
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
คลับของภัสสรโอ่โถงโอ่อ่า ตกแต่งบรรยากาศอย่างหรูหรา ท่วมกลางแสงสีชวนเมาและน่าเสียตัว
เมฆนั่งยิ้มอิ่มเอมมีสุขล้นอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งในนั้น ข้างกายมีพนักงานสาวสวย 2 นั่งอยู่บนตัก คอยป้อนอาหารและเครื่องดื่มให้อย่างพะเน้าพนอเอาอกเอาใจเต็มที่
“อร่อยมั้ยคะพี่” หนึ่งในพนักงานสาวเอาใจ
“รสชาติงั้นๆ แต่กลิ่นหอมเราเด็ดขาดกว่าเยอะ ฮ่าๆ นี่ถ้าพี่ได้ชิมนะ..ฮืม”
เมฆทำเจ้าชู้ใส่พลางดึงตัวพนักงาน สาว 2 เข้ามาหอมอย่างชอบใจ
ตะวันซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ และมีพนักงานสาว 3 นั่งขนาบคอยเอาอกเอาใจอยู่เช่นกัน มองไปที่เมฆนิดหนึ่ง ก่อนจะชำเลืองสายตาไปข้างๆ บ่นขึ้นมาอย่างหวังดี
“บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าตามมา”
ที่แท้ปานวาดนั่งหน้าเฉยเมยอยู่ที่โซฟาข้างๆ เมฆนั่นเอง มองอาการเมฆแล้วถอนใจด้วยความอึดอัดที่เห็นเมฆกับผู้หญิงอื่นนั่งออดอ้อนกันต่อหน้าต่อตา เมฆหันมามองปานวาดเห็นเป็นเรื่องขำๆ
“จริงด้วยครับนาย...แล้วก็มานั่งทำหน้าบูดบอกบุญไม่รับแบบนี้”
ปานวาดค้อนควักมาให้ เมฆเลยแกล้งหอมสาว 2 ยั่วต่ออย่างได้ใจ
ปิงบอกกับปานวาดว่า “จริงด้วยอย่าคิดมากน่าวาด ดูฉันนี่ พี่ภูผากับพี่ปราการไม่เอา ฉันยังเหมาโควตามาเลย มามะสาวๆ ป้อนพี่..ป้อนพี่”
ปิงมีพนักงานสาวสวยสามคนทั้งนั่งตักและอยู่ในอ้อมกอด แต่ละนางช่วยกันป้อนอาหารและเครื่องดื่มเอาอกเอาใจไม่ให้พร่อง
“เยอะๆ พี่ปิงชอบ” ปิงทำหื่นออกนอกหน้า ดึงสาวทั้งสามคนมากอดมาหอมอย่างเมามัน
ปราการซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง มองปิงอย่างหงุดหงิด
“ฉันต้องทำงานต้องดูแลนาย ไม่เหมือนแกที่ไร้สาระไปวันๆ”
ตะวันให้ยิ้มกับปราการอย่างอารมณ์ดี “ไม่ต้องซีเรียสก็ได้ปราการ ไม่มีใครจะมาทำอะไรฉันหรอก”
“ก็ไม่แน่ครับนาย ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นเรา”
ตะวันอึ้งคิดตามนิดหนึ่งก่อนยิ้มรับเอาคำ อย่างไว้ใจ
ภูผาที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยแอบเหลือบมองปานวาดอย่างเห็นใจ
ประตูบานใหญ่ของคลับเปิดออก เผยให้เห็นชบาซึ่งแต่งตัวด้วยชุดเท่ๆ สุดเนี้ยบเหมือนผู้ชายนักท่องราตรี ก้าวเข้ามา ชบามองไปรอบๆ บริเวณ เห็นบรรยากาศที่ชายนักท่องราตรีหลากหลายวัยหลายคนที่ดูมีฐานะ นั่งดื่มกินฟังเพลงอยู่ตามโซฟามุมต่างๆ โดยมีพนักงานสาวสุดเซ็กซี่คอยดูแลเอาอกเอาใจไม่ห่าง
“โอ้โห ผู้ชายมันหื่นได้โล่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ชบามองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนที่พนักงานสาว 1 จะเดินเข้ามาคล้องแขนชบา ซบมาที่บ่าแล้วพูดออดอ้อนทันที
“ป๋าขา”
ชบาสะดุ้งตกใจ “อุ๊ย”
สาว 1 ชะงักไปนิดๆ เมื่อเห็นชบาชัดๆ หน้าสวยเป็นผู้หญิงมาเลย
“อุ๊ย! หล่อจัง”
สาว 1 กรี๊ด กระแซะชบาหนักกว่าเก่า จนชบายังไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งโหยง รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“เพิ่งหัดเที่ยวครั้งแรกรึเปล่าเนี่ย” สาว 1 ดักคอ
“ครั้งแรก ครั้งแรกที่ไหนกัน” ชบาทวนคำอย่างตกใจรีบคุยโวกลบเกลื่อน “ผมนี่สอยมาหมดทุกที่แล้ว” พร้อมกันนี้หมวดชบายังตบกระเป๋ากางเกงอวดบอกว่ามีตังค์
สาว 1 จึงส่งตาหวานให้ทันที
“งั้นให้จีจี้บริการนะคะ เดี๋ยวจีจี้จะพาไปขึ้นสวรรค์เองค่ะ”
ชบาทำเนียนโชว์ความเก๋าเอื้อมมือไปโอบสาวจีจี้ทันที สาว 1 พาชบาเดินออกไปทางหนึ่ง
ตรงโต๊ะมุมมืดในคลับหรูของภัสสร มีมือกำลังเล่นปูไต่อยู่ที่หน้าขาของชบา เจ้าของผลงานคือจีจี้ ที่ยิ้มใส่จริตระริกระรื่น ส่วนชบาสยิวไปทั้งตัว มือจีจี้กำลังไต่สูงไล่ขึ้นมาตามหน้าขา ชบาเอื้อมจับไว้ก่อนจะถึงจุดสำคัญ
“ใจเย็นซิจ๊ะน้องจ๋า”
จีจี้กลับส่งตาหวานมายวนยั่ว
“จะให้ใจเย็นได้ยังไงคะ ก็พี่หล่อหน้าหวานซะขนาดนี้ นานๆ จะได้เจอสักที เดี๋ยวคืนนี้จีจี้จะจัดหนักให้เลย”
จีจี้ทำหน้าฟิน อยากกินพี่หน้าหล่อเต็มแก่แล้ว หอมแก้มชบาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แล้วเริ่มซุกไซ้มาที่ซอกคอ รุกไล้ไปทั่วตัว เชื่อว่าอีกเดี๋ยวคงได้เสร็จกันตรงนั้นแน่ ชบาถึงร้องเสียงหลง
“ใจเย็นน้อง ใจเย็น”
แต่จีจี้ไม่ฟัง แถมบอกว่า
“ไม่ไหวแล้วคะพี่ขา เครื่องติดแล้ว”
จีจี้หื่นขึ้นหน้า รุกหนักกว่าเก่า จนชบาหายหลังไปกับโซฟา
“เดี๋ยวน้อง โอ๊ย ใจเย็น”
บริเวณทางเดินที่ไร้คนสัญจร ชบาวิ่งเลี้ยวเข้ามายืนพิงกำแพงตรงนั้นด้วยสีหน้าทั้งตื่น ทั้งกลัว
“เกือบไปแล้วๆ ขืนอยู่ต่ออีกนิด มีหวังเสร็จแม่จีจี้แน่”
ยิ่งพูดก็ยิ่งขนลุก หมวดจอมเจ๋อตั้งสติอีกครั้ง
“ทำไงถึงจะรู้ว่ามันจะขนยากันจริงรึเปล่าน๊า”
ชบาหันตัวเดินไปจะเข้าห้องน้ำ แต่ต้องชะงักเมื่อจะชนกับใครคนหนึ่งที่สวนออกมาพอดี
เป็นปานวาดนั่นเอง “ระวังหน่อยสิคุณ”
“เออ ขอโทษครับ”
ชบาจะเดินต่อ แต่ปานวาดกลับขวางไว้ แถมจ้องหน้าเขม็งอย่างจะเอาเรื่อง
“ก็ผมขอโทษแล้วไงครับ”
ปานวาดมองหน้าเอาเรื่อง ก่อนจะชี้ให้ดูป้ายตรงหน้าประตู บอกให้รู้ว่านี่เป็นห้องน้ำหญิงย่ะ
ชบามองตามแล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองปลอมตัวอยู่
“อุ๊ย! ขอโทษครับ”
ชบารีบเผ่นไปอีกทาง
ปานวาดส่ายหัว
“สงสัยจะเมาหนัก ขนาดไม่รู้ห้องน้ำหญิงห้องน้ำชาย”
ชบาเดินเลี่ยงมาอีกทาง ถูกการ์ดของคลับเข้ามาขวาง
“เสี่ยจะไปไหนเหรอครับ”
ชบาคิดปราดเดียว “เออ ก็จะไปเข้าห้องน้ำน่ะ ปวดฉี่”
พูดพลางรีบขยับจะเดินเลี่ยงไป แต่การ์ดรีบรั้งไว้
“ทางนี้ครับ” พร้อมกลับผายมือบอกทาง
ชบามองตามไปแล้วต้องชะงักด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ เมื่อเห็นพรชัยกับลูกน้องพยุงหญิงสาวไม่ได้สติผ่านไป
การ์ดแสนดีเดินนำชบาเข้ามาในห้องน้ำชายอันโอ่อ่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ชบาเดินตามเข้ามาอย่างขัดไม่ได้ ยืนมองไปรอบๆ ด้วยความลังเล ก่อนจะหยิบทิปให้ไปหนึ่งร้อย การ์ดโค้งขอบคุณ
ชบาแกล้งเดินเข้าไปยังช่องปัสสาวะ คอยมองจนเห็นการ์ดออกพ้นประตูไปแล้ว จึงหันตัวจะเดินออกไป แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันเปิดประตูเดินนำลูกน้อง เมฆ กับ ปราการ สวนเข้ามาพอดี โดยไม่ได้สนใจชบาเลย ส่วนชบาชะงักกึกจำตะวันได้
“นายตะวัน”
ชบารีบทำเนียนเป็นเยี่ยวต่อตรงโถมุมในสุด ระหว่างนี้ ปิงกับภูผาตามหลังมา
ตะวันเดินเข้าไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าพร้อมๆ กับปราการ ขณะที่ ภูผา เมฆ และปิง เดินเข้าไปที่ช่องปัสสาวะ ข้างๆ ชบา โชคดีที่ชบาอยู่ห่างจากภูผา จนมองไม่เห็นกัน
ปราการบอกคิวงานกับตะวันว่า “พรุ่งนี้นายมีนัดองค์กรการกุศลระหว่างประเทศนะครับ”
“อืม...ทีมนี้ต้องดูแลดีๆ เขาให้งบสนับสนุนที่เราจะเอามาใช้ในกิจกรรมแต่ละปีเยอะมาก”
ชบาหมั่นไส้เบ้ปากใส่ บ่นบ้าประชดออกมาเบาๆ
“หึ คนบาป สำรอกความดี”
เมฆทื่ยืนอยู่ติดกับชบาที่สุดได้ยินจึงถามขึ้น
“พูดกับใครเหรอน้อง”
ชบาอึ้งไปนิด ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาในหัว รีบแกล้งทำเป็นเมาปลิ้นจะอ้วก
ปิงขำๆ “ฉ่ำซะขนาดนี้ สงสัยคงจะหนัก”
ชบาเลยรีบรับลูก ผละไปผลักประตูเข้าห้องส้วมไปกลัวถูกจับได้ แถมยังแกล้งทำเป็นอ้วกเสียงดังลั่นโลกตามมา
เมฆกับปิงมองหน้าสบตากันแล้วส่ายหัว
“แบบนี้ โดนจับแก้ผ้าไปปล่อยปั๊มก็ยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง” ปิงว่า
ชบาได้ยินทำหน้ายี้ใส่ แล้วหันไปอ้วกต่อ
ภูผาหันมามองงงๆ ว่าพูดถึงอะไรกัน
“พรุ่งนี้แกไม่ต้องไปนะเมฆ”
เมฆสงสัย “ทำไมล่ะครับนาย”
“แค่ปราการกับปิงก็พอ ไปคุยงานการกุศล แกจะได้มีเวลาส่วนตัว หัดดูแลวาดมันบ้าง มันทำอะไรๆ เพื่อแกตั้งหลายอย่าง” ตะวันเปิดฉากกึ่งอบรม กึ่งออกคำสั่งในที “ทำดีกับคนที่เรารักในวันที่ยังเห็นหน้ากันดีกว่า มาเสียใจภายหลังต้อนที่ไม่มีเขาอยู่ข้างกายเราอีกแล้ว”
เมฆยิ้มรับคำหน้าเจื่อนๆ
“ครับนาย”
ภูผาซึ่งฟังอยู่ด้วยอมยิ้ม รู้ว่ายังไงมันก็ไม่ทำหรอก
ตะวัน ปราการ เมฆ เดินออกไปจากห้องน้ำ เหลือปิงกับภูผาจึงเข้าไปล้างมือต่อ ปิงล้างลวกๆ ก่อนจะเดินตามออกไป ทิ้งภูผาไว้คนเดียว พอคล้อยหลังปิงออกประตูไป เสียงโทรศัพท์ภูผาก็ดังขึ้น เขาหยิบมาดู เห็นว่า ภัสสรโทร.มา หันมองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงกดรับสาย
“ครับเจ๊สร”
ชบาอยู่ในส้วมอีกห้องได้ยินหูผึ่ง
“คุณตะวันกลับแล้วครับ...ได้ครับเดี๋ยวเจอกัน”
ภูผาล้างมือเสร็จเดินออกจากห้องน้ำไป ชบารีบออกมาแล้วแอบสะกดรอยตามหลังไป
ภูผาเดินมาตามทางมุ่งตรงออกไปที่ลานจอดรถ โดยไม่รู้ว่าชบาแอบสะกดรอยตามหลังมา แต่แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของชบาก็ดังขึ้น ภูผาชะงัก รู้ว่ามีคนตาม ชบาสะดุ้ง ภูผายืนนิ่งฟัง เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่
ชบารีบลนลานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะรับสาย พร้อมกับหันหน้าหนี ภูผานิ่งฟัง ชั่งใจ
ชบารับสาย เป็นเสียงชาวต่างชาติโทร.มาผิด จึงออกอาการหงุดหงิดบ่นออกไปอย่างลืมตัว
“ขอโทษนะคะโทรผิดแล้วคะ”
ชบานึกขึ้นมาได้ว่าปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่ รีบกดวางสายแล้วค่อยๆ หันกลับไปที่ภูผา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า ภูผาหายหัวไปแล้ว ชบานึกเสียดาย ก่อนจะหันเดินกลับทางเดิม
ที่แท้ภูผาหลบมุมดูอยู่แถวนั้น เมื่อโผล่หน้าออกจากที่ซ่อน กลับพบแต่ความว่างเปล่าเช่นกัน
ภูผายักไหล่ คิดมาก ก่อนออกเดินต่อ
ชบาโผล่หัวออกมามองทันเห็นหลังไวๆ ของภูผา แล้วแอบย่องเดินตามต่อ ภูผาเดินนำอยู่ข้างหน้าค่อนข้างห่าง ร่างของเขาเลี้ยวหายตรงหัวมุมไป
ชบาตามภูผามาติดๆ จนเกือบถึงประตูทางออก แต่ไม่เห็นใคร หันมองหารอบตัวแต่ไม่เจอ พอดีเห็นภัสสรเดินตามมาจากทางเดียวกัน ชบาทำเป็นเมาเดินเซแกล้งอ้วกกลบเกลื่อน ภัสสรเหลือบมองเหยียดยิ้มอย่างสมเพชว่า เมาเหมือนหมา แล้วเดินผ่านไปทางประตู ชบาคอยแอบมอง แล้วย่องตามหลังไป
บริเวณช่องบันไดหนีไฟ ตลอดจนบันไดในอาคาร ที่เคยมีไฟเปิดส่องสว่างตอนหัวค่ำ ถูกหรี่ไฟ บางจุดปิดมืดลงแล้ว มีเพียงแสงจากชั้นบนอาคารส่องมา แต่ไม่สว่างมาก ค่อนข้างมืดด้วยซ้ำ
ภัสสรเดินผ่านประตูออกมายังลานจอดรถ ชบาแอบตามมาหยุดแค่ตรงประตูด้านใน แอบดูอยู่บริเวณนั้น เห็นภัสสรเดินตรงไปยังรถกระบะคันหนึ่งสภาพดูเป็นรถส่งของปิดมิดชิด ที่จอดอยู่ในลานจอดที่เวลาดึกลานจอดจึงค่อนข้างโล่งแล้ว
พรชัยรออยู่ที่รถเห็นภัสสร รีบกุลีกุจอลงมารับหน้า ภัสสรสั่งเสียงเข้ม
“เปิดดู”
พรชัยเปิดประตูตู้ใส่สินค้าที่กระบะหลังออก เผยให้เห็นนักท่องเที่ยวสาวชาวฝรั่งคนหนึ่งถูกจับมัดมือมัดเท้า มีผ้าปิดคาดตา แต่ดูออกว่าหน้าตาสะสวย อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบ นอนสลบอยู่ในตู้ ภัสสรยิ้มพอใจก่อนถามขึ้นว่า
“ไปได้มาจากไหน”
“ตรอกข้าวสารครับ เมาไม่รู้รู้เรื่องเลยถูกนกต่อวางยามาได้”
ภัสสรพยักหน้ารับรู้แล้วว่า
“เอาไปเก็บที่จุดพัก ดูแลให้สะอาด เตรียมให้ลูกค้าเปิดประมูล”
พรชัยรับคำ
เวลาเดียวกันนี้ ไฟส่องสว่างที่ติดตั้งอยู่ที่ประตูทางออก ถูกหรี่ลงพอให้แสงสลัว ชบาแอบดูอยู่จากมุมนั้น โดยเห็นแต่หน้ารถ ไม่รู้ว่าภัสสรกับพรชัยทำอะไรกันที่หลังรถ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“เฮ้ย มาแอบดูอะไรแถวนี้”
ชบาสะดุ้งตกใจ เป็นภูผาที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างเอาเรื่องคิดว่าเป็นผู้ชาย ชบาอึ้งคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่ ภูผาเห็นชบาไม่ตอบ จึงถามอีกครั้ง
“ถามว่ามาแอบมองอะไรตรงนี้…”
ภูผายังพูดไม่ทันขาดคำดี ชบาก็หันไปเหวี่ยงหมัดใส่เปรี้ยงทันที ภูผาฉากหลบหวุดหวิด แล้วพลิกเหลี่ยมคว้าข้อมือชบาจับบิดล็อกไว้จากด้านหลัง ชบาสะดุ้ง แขนภูผาโดนมนเต็มๆ อีกแล้ว
ภูผาสะดุ้งอุ่นวาบที่แขนโดนนมนิ่ม เฮ้ย! ผู้หญิงนี่หว่า
เป็นจังหวะเดียวกับที่ชบากระแทกศอกเข้ากล่องดวงใจภูผาอย่างจังๆ ภูผาตัวงอเป็นกุ้ง ปล่อยมือจากชบาโดยพลัน กุมเป้าตัวเองอย่างเจ็บๆ จุกๆ ชบาจึงสบโอกาสรีบวิ่งหนีไป
ภูผา เจ็บจุกสุดๆ ได้แต่มอง ตามไม่ไว้ โวยวายบ่นบ้ากับตัวเองอย่างหัวเสีย
“โอ๊ยอีกแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้มันเป็นอะไรกันวะ ชอบทำร้ายแต่ตรงนี้ ...ขาดมันไปแล้วจะรู้สึก”
ภัสสรได้ยินเสียงเอะอะหันไปมองอย่างแปลกใจ เห็นภูผาเดินหนีบขามาอย่างยังไม่หายจุก
“เป็นอะไรถึงเดินแบบนั้น”
ภูผาพูดไม่ออก ยังเจ็บไม่หาย
“เค้านึกว่าเธอจะไปทำร้ายอะไรเค้ารึเปล่า” ภัสสรว่า
“หน้าอย่างผมเนี่ยนะครับ”
ภูผาส่ายหัว ทั้งจุกทั้งเจ็บร้องโอดโอยต่อ ภัสสรหัวเราะขำท่าทีของเขา
ไม่นานนัก สองคนขึ้นมานั่งคุยกันในรถ ภูผายิ้มทักถาม
“มีอะไรเหรอครับ ถึงคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้”
ภัสสรนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ฉันอยากให้เธอช่วยส่งยาล็อตนี้ให้หน่อย”
ภูผาอึ้งไปนิด ก่อนจะถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะครับ”
“ฉันไม่ไว้ใจคนของฉัน กลัวมือไม่ถึง แต่ถ้าเธอช่วยงานมันก็จะง่ายขึ้น”
ภูผาคิดหนัก
ภัสรรบอกต่อ “และอีกอย่างมันก็งานของแปะด้วย และเธอก็เป็นคนของแปะ ถึงแม้นจะถูกยืมตัวไปทำงานกับนายตะวันก็ตาม”
ภูผานิ่งไป ไม่ตัดสินใจ
ภัสสรพูดดักคอขึ้นว่า “หรือว่าเธอกลัวนายตะวันจะรู้”
“เปล่าหรอกครับ ใครสั่งก็งานของแปะอยู่ดี”
“แล้วเธอจะว่ายังไง”
ภูผาตัดสินใจในที่สุด “ผมทำให้ก็ได้ครับ”
ภัสสรยิ้มรับดีใจ ภูผานิ่งคิดอย่างมีแผน
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตอนเย็นอีกวันหนึ่ง ทีวีจอแบนในห้องนั่งเล่นเป็นภาพจากเกมยิงกันเลือดท่วมจอ เมฆยกตีนเหยียบโต๊ะกลางตรงหน้าเล่นเกมนั้นอยู่อย่างเมามัน ปานวาดยืนยิ้มมองแฟนหนุ่มอยู่ชั่วครู่ จึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ คลอเคลีย ถามเอาใจคนรัก
“หิวรึเปล่า”
เมฆตอบโดยไม่คิดกำลังติดพัน “ได้กระเพราไข่ดาวสักจานก็ดี”
“ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
เมฆไม่มีอารมณ์ อยากเล่นเกมต่อ “สั่งร้านข้างล่างมากินก็ได้ ออกไปให้เหนื่อยทำไม”
“ก็วันนี้วันครบครอบสามที่เราคบกันไง”
เมฆชะงักนิดเดียว หันมองหน้าปานวาด อึ้งคิด
ปานวาดอ้อน “นะ”
เมฆรับปากอย่างเสียมิได้ “ก็ได้”
กระนั้นปานวาดก็ยิ้มกว้างดีใจสุดขีดแล้ว
ไม่นานต่อมา ที่ร้านอาหารหรู บรรยากาศโรแมนติก มีเสียงเพลงดังคลอเบาๆ เมฆกับปานวาดเดินจับมือกันเข้ามาด้านใน ปานวาดมองไปรอบๆ ร้าน สีหน้าพึงใจและมีความสุข
“เข้าใจเลือกร้านนี่ โรแมนติกดี แสดงว่าต่อมโรแมนติกยังทำงาน”
เมฆชะงักหันมามองหน้า
“พูดมากน่า เดี๋ยวก็พาไปร้านหมูกระทะซะเลยนี่”
ปานวาดเซ็งนิดๆ กะจะหวานด้วยซะหน่อย แต่ก็ยังพยายามเอาใจเขาต่อ
“วาดแค่ล้อเล่น ไม่ได้ตั้งใจว่าเมฆไม่โรแมนติกสักหน่อย อย่าอารมณ์เสียเลยนะ”
เมฆทำหน้าเบื่อโลก แล้วออกเดินต่อ ปานวาดรีบออกเดินตามหลัง
อยู่ๆ เมฆที่เดินนำหน้าปานวาดก็ชะงัก ปานวาดชะงักตาม พร้อมหันมองเมฆว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นเมฆอึ้งมองบางอย่าง หันมองตาม
เมฆกับปานวาดผ่านโซฟาอีกตัวหรือผ่านเสาที่บังอยู่ เผยให้เห็นภูผาที่นั่งอยู่ที่โซฟาดื่มเครื่องดื่มเบาๆ อยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ
เมฆเห็นภูผาก็ถอนใจออกมา หมดอารมณ์ เซ็ง! โลกกลม เจอมันอีกแล้ว
ภูผาเหลือบตามามองเมื่อรู้สึกว่ามีคนจ้อง เห็นเมฆและปานวาดเดินเข้ามา
ภูผามอึ้งไปชั่วขณะ โลกกลมจริงๆ วูบหนึ่งนั้นเขานึกอิจฉาที่เห็นเมฆกับปานวาดจูงมือเข้ามาด้วยกัน แต่ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้
เมฆจ้องภูผาตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิดสุดขีด
“ย้ายร้านเถอะวาด”
“ทำไมล่ะ”
“เหม็นสาบคนบางคน”
เมฆบุ้ยใบ้ไปทางภูผา ปานวาดออกอาการหนักใจขึ้นมาทันที เอาอีกแล้ว ภูผาจ้องหน้าเอาเรื่อง
“แกว่าใคร”
เมฆกวนตีนต่อ “ใครรับก็คนนั้น”
ภูผาไม่รับแถมยังลอยหน้าลอยตากวนตีนมาให้จนเมฆหมั่นไส้
ปานวาดมองสองคนด้วยสีหน้าอย่างหวั่นๆ กลัวจะมีเรื่อง
ภูผาเมินหน้าหนีไม่สน ทำท่าเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย เมฆยิ่งหมั่นไส้
“เฮ้ย”
เมฆยกเท้าสะกิดโต๊ะกวนตีนกลับ ภูผาหันมองเซ็งหนัก เมฆบอกกับภูผาว่า
“ย้ายโต๊ะได้เปล่า อยากนั่งตรงนี้”
ปานวาดรีบปรามไม่อยากมีเรื่อง “เมฆ”
ภูผามองหน้าเซ็ง มึงจะหาเรื่องกันใช่มั้ยเนี่ย
“ที่อื่นมีตั้งแยะ ทำไมไม่ไปนั่ง”
“ก็อยากนั่งตรงนี้ มีอะไรเปล่า” ภูผามองหน้ากวนตีนใส่
ภูผาทำหน้าเซ็งโลก
ปานวาดกลัวมีเรื่อง “ไม่เอาน่าเมฆ”
เมฆสบตาภูผากวนตีนต่อ ภูผามองปานวาดแล้วเห็นใจ จึงยอมลุกขึ้น เมฆได้ใจยิ้มเยาะ
“เออ! ว่าง่ายๆ จะได้โตเร็วๆ”
ภูผานิ่งฟังอดกลั้น ไม่โต้ตอบ ผละเดินจากมา เมฆเจ็บใจไม่ได้ผล บอกไล่หลัง
“อย่าคิดนะว่านายให้ท้ายแก แล้วจะเทียบชั้นกับฉันได้ ไม่มีทาง ฝีมือมันคนละชั้นกันโวย”
ภูผาชะงักฟัง
“งานที่นายให้ฉันกับแกทำด้วยกัน มันต้องเป็นผลงานของฉัน ตำแหน่งมือขวาของนายต้องเป็นขอฉัน จำใส่กะลาหัวแกไว้ด้วย ไอ้ภูผา”
ภูผายิ้มเยาะ เห็นเป็นเพียงราคาคุย แล้วเดินจากไปเฉยๆ โดยไม่หันมาตอบโต้อีก
เมฆมองตามตาขุ่นไม่พอใจที่หาเรื่องภูผาไม่สำเร็จ
“นายสั่งให้ทำอะไรเหรอ” ปานวาดถามเร็วปรื๋อ
เมฆสะอึก นึกได้ว่าไม่ควรพูด ต้องเก็บเป็นความลับ เลยทำรำคาญกลบ
“ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ย”
“บอกหน่อยไม่ได้รึไง”
“นายสั่ง ไม่ให้บอกใคร”
เมฆตัดบทพร้อมกับว่าผละเดินหนีจากมาอีกคน ปานวาดมองตามอย่างร้อนใจ
บนที่ดาดฟ้าของอาคารกลางเก่ากลางใหม่ ซึ่งชั้นล่างเป็นบ้านของภูผา เวลานี้ภูผากำลังนั่งกอดเข่าอยู่ตรงขอบปูนดาดฟ้า มองวิวมุมสูงที่อยู่ในความมืด สีหน้าและแววตาของภูผากำลังครุ่นคิดถึงชีวิตตัวเองด้วยความเศร้าเหงาลึกที่ซ่อนอยู่ภายใน
มีเสียงกุกกักดังขึ้นมาเหมือนมีการเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ ภูผาชักสีหน้าเข้มขึ้นทันที พร้อมกับหยิบปืนที่วางอยู่ข้างตัววาดไปทางต้นเสียงด้วยความรวดเร็ว
ที่ปลายกระบอกปืนของภูผา เห็นปานวาดยืนอยู่ตรงบันไดทางขึ้น มองมาทางภูผาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
ภูผาตะลึงงัน เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ปานวาดจะตามมาถึงที่นี่
“วาด”
เขาลดปืนลง แล้วยิ้มทัก
ปานวาดยิ้มตอบสีหน้าเจื่อนๆ ดูออกว่ามีเรื่องทุกข์อยู่ในใจ
ปานวาดออกมายืนกอดอกตรงมุมหนึ่งบนดาดฟ้าบ้านภูผา มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจ จังหวะไล่ๆ กันนี้ ภูผาก็เดินเข้ามายืนข้างๆ พร้อมพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจเช่นกัน
“คุณก็รู้นี่ คำสั่งของคุณตะวันคือ เด็ดขาด ไม่ก็คือไม่”
ปานวาดหันมามองหน้าภูผา อึดอัดใจไม่น้อย
“ก็เพราะวาดรู้ไง ฉันถึงได้ต้องบากหน้ามาหาเธอที่นี่ ภูผา”
ภูผาสวนขึ้นทันทีว่า “คุณทำให้ผมลำบากใจ”
“ลำบากเหรอ! เธอลำบากใจเพราะฉัน หรือเรื่องที่จะบอกฉันกันแน่”
ภูผาเมินหน้าหลบ ไม่กล้าสบตา เปลี่ยนเรื่องคุย
“ถ้าเมฆรู้เรื่องที่คุณมานี่ รับรองเป็นเรื่องใหญ่อีกแน่”
ปานวาดตัดพ้อขึ้นมาด้วยความน้อยใจ “ฉันเป็นห่วงเขามากแค่ไหน เขายังไม่เห็นจะรับรู้เลย”
ภูผามองปานวาดอย่างเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกนั้น ถอนหายใจออกมาพร้อมกับบอกว่า
“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณนะปานวาด แต่ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ”
“เข้าใจเหรอ! เธอไม่เข้าใจอะไรเลยต่างหาก”
ปานวาดประชดแล้วนิ่งไป ภูผายิ่งลำบากใจ และเห็นใจเธออย่างที่สุด
“คนอย่างนายจะไปเข้าใจหรอกว่า “ความรัก” คืออะไร”
ภูผาอึ้งไปถนัดใจ โดนเต็มๆ เข้าใจแต่พูดไม่ออก
ปานวาดมองภูผาด้วยแววตาผิดหวัง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับแล้วเดินจากไป
ภูผาเอื้อมมือไปเหมือนจะรั้งตัวเธอไว้เพื่ออธิบาย แต่ก็ชะงักมือค้างเอาไว้ก่อนถึงตัวปานวาด ได้แต่มองตามไปตาละห้อย นึกสะท้อนใจ
“ถ้าผมไม่เข้าใจ แล้วความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณมันคืออะไร วาด”
ภูผาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่มีเอาไว้ลึกสุดใจ
ปานวาดค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องพักคอนโด ด้วยท่าทีเหนื่อยล้า เงาสะท้อนในกระจก เห็นสีหน้าของปานวาดเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
ปานวาดชำเลืองมองไปยังดอกไม้ช่อสวยที่เมฆซื้อมาให้จากร้านหลิน มันวางอยู่ตรงมุมห้อง
สีหน้าเธอสลดลงทันที ปานวาดเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหยิบการ์ดสีหวานบนกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้เมฆขึ้นมาดู ในการ์ดมีลายมือของเธอเขียนไว้ว่า
“กับรักที่มีให้ มีค่ามากมายทุกวัน..ขอบคุณนะคะ รัก...ปานวาด”
ปานวาดูข้อความนั้นแล้วรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาคลอเบ้าอดตั้งคำถามกับตัวเองอย่างน้อยใจไม่ได้
“เธอมีค่าสำหรับฉันเสมอเมฆ แต่ฉันมีค่าในสายตาเธอหรือเปล่า”
ส่วนที่โต๊ะนั่งเล่นกลางห้อง เห็นปืนของเมฆวางอยู่ ข้างๆ กันมีแม็กกาซีนที่บรรจุกระสุนไว้เต็มแม็ก วางเรียงกันอยู่ 5-7 อัน เมฆคว้าเอาปืนขึ้นไปเล็งใส่กล้องบอกกับตัวเองว่า
“เดิมพันครั้งนี้ ฉันต้องเป็นผู้ชนะ ภูผา”
เวลาเดียวกันภูผานั่งอยู่ที่ขอบดาดฟ้าด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด และเป็นกังวลอยู่ลึกๆ กับภารกิจที่ต้องไปทำ
ภูผาถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ
อ่านต่อตอนที่ 3