สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 7
บุหงาเปิดกล่องเครื่องเพชรออก ข้างในมีสร้อยเพชรเม็ดโตอยู่
ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่ใช้แสดงของลุงเกิด ปทุมวดีและผองเพื่อนมองสร้อยเส้นนั้นอย่างตื่นเต้น
“โอ้ว คุณพระ”
“เม็ดใหญ่เว่อร์วัง”
“อลังการมากเลยค่ะ คุณน้อง”
ราตรีจ้องมองสร้อยเพชรนั้นราวกับมีมนต์สะกด
“ไหนๆ ขอดูหน่อยสิคะ”
ราตรีเผลอยื่นมือออกมาจะจับสร้อย ดวงแก้วตกใจรีบตีมือราตรีเสียงดัง จนทุกคนอึ้ง
“อุ๊ย คุณน้องต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่เพชรโบราณแบบนี้ ถ้ามือรอยนิ้วมือเนี่ย มันจะเสียราคาน่ะค่ะ”
“ใช่ค่ะ แต่ถึงยังไงมันก็มีวิธีดูอยู่นะคะ” บุหงารีบแก้ตัว
พวกปทุมวดีมองหน้ากันไปมางงๆ บุหงาพยักหน้าให้กล้าเข้ามาในห้อง กล้าส่องไฟฉายไปที่เพชร เกิดแสงสว่างจ้าจนพวกปทุมวดีต้องหยีตาตาม
“คุณน้องดวงแก้วคะ ทำไมต้องเอาไฟฉายส่องเพชรแบบนี้ด้วยล่ะคะ”
“คือมันเป็นวิธีการส่องเพชรแบบล้านนาของเราน่ะค่ะ ถ้าเพชรน้ำงามมากก็จะยิ่งส่องประกายแวววาวมาก”
ราตรีอึ้งๆ
“แหม ช่างเป็นวิธีการดูเพชรที่แปลกมาก แปลกจนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะคะ คุณพี่ปทุม”
บุหงา ดวงแก้ว และกล้ายังคงล้อไฟใส่เพชรและพูดอวยเรื่องประกายแวววาวของเพชรต่อไปเรื่อยๆ ประภาพรรณยืนมองท่าทางของพวกดวงแก้วแล้วขำ พลางคิดในใจ
“แถได้แถไป เจ้าไม่มีศาลสองแม่ลูก ไอ้มิวยังมีทีเด็ดรออยู่เพียบ”
รถของเสี่ยเป้ขับมาด้วยความเร็ว มีรถกระบะอีกคันวิ่งตามมาห่างๆ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาปาดหน้ารถเสี่ยเป้
“เฮ้ย”
เสี่ยเป้ตกใจเหยียบเบรก มอเตอร์ไซค์คันนั้นล้มลงไป รถกระบะคันหลังที่ขับตามมาเห็นว่าเกิดอุบัติเหตุ รีบเปลี่ยนเลนแล้วขับออกไป เสี่ยเป้หงุดหงิด รีบลงมาเคลียร์
“ไอ้หนุ่ม นี่ลื้อขับรถภาษาอะไรวะ”
คนขับมอเตอร์ไซค์ถอดหมวกกันน็อกออก เป็นพันกรปลอมตัวมา
“ผมสิต้องถามว่าเสี่ยขับรถภาษาอะไร ถ้ารถผมพังไปจะทำยังไง”
เสี่ยเป้มองพันกรด้วยสายตารังเกียจ เข้าใจว่าเป็นชาวบ้าน
“นี่ถ้าอั๊วไม่ติดธุระ ลื้อได้ไปเคลียร์กับอั๊วที่โรงพักแน่”
เสี่ยเป้หยิบเงินออกมาปึกหนึ่งยื่นให้พันกร
“เอาเงินกลับไป ผมไม่ได้อยากได้เงินของเสี่ย”
“เฮ้ย ให้เงินก็ไม่เอา ตกลงลื้อจะเอาอะไร”
พันกรมองที่กระโปรงหลังรถอย่างหมายมาด ยิ้มเจ้าเล่ห์
“แล้วที่ท้ายรถเสี่ยมีอะไรให้ผมมั่งล่ะ”
เสี่ยเป้หรี่ตามองพันกรอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้ท้ายรถอั๊วไม่มีอะไร แต่อีกไม่นาน อาจจะมีศพของลื้อก็ได้”
เสี่ยเป้เอื้อมมือไปด้านหลังดึงปืนที่เหน็บไว้ออกมา จังหวะเดียวกับที่พันกรล้วงปืนจากที่ซ่อนออกมาจ่อประจันหน้าเช่นกัน
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอตรวจค้นหลังรถด้วยครับ”
เสี่ยเป้ตกใจ มีพิรุธ กระโปรงหลังรถเสี่ยเป้ถูกเปิดออก ด้านในว่างเปล่าไม่มีอะไร เสี่ยเป้ยิ้มเยาะพันกร
“ฮึๆ หมายค้นก็ไม่มี ข้อมูลก็ผิดพลาด ตำรวจใหม่ก็แบบนี้แหละน้า”
“อย่าเพิ่งชะล่าใจเลยครับเสี่ย”
พันกรสบตากับเสี่ยเป้นิ่ง เสี่ยเป้หน้าเจื่อนลง รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
รถกระบะคันเดิมขับไปตามเส้นทาง คนขับเห็นด่านตำรวจตั้งขวางทางอยู่ ตำรวจโบกมือเรียก คนขับรถกระบะจอดรถ ตำรวจเดินสำรวจไปรอบๆ
“เปิดท้ายกระบะด้วยครับ”
คนขับหน้าซีด มีพิรุธ ตำรวจเห็น รีบพยักหน้าให้สัญญาณ ตำรวจอีกคนวิทยุรายงานผลพันกร
“เราพบรถกระบะต้องสงสัย คนขับไม่ยอมเปิดท้ายรถให้ดูครับ”
เสี่ยเป้หน้าซีด เหงื่อแตก พันกรเฝ้ามองอาการของเสี่ยเป้อย่างหมายมาด
“เข้าตรวจค้นเลย รายงานผมด้วยว่าพบอะไรต้องสงสัยบ้างหรือเปล่า”
ท้ายกระบะถูกเปิดออก มีแต่ผลไม้กระป๋องเต็มไปหมด ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ สุ่มหยิบขึ้นมากระป๋องหนึ่งแล้วใช้มีดพกเปิดออกมา ข้างในมีแต่ผลไม้เท่านั้น ตำรวจมองหน้ากันอึ้ง รีบรายงานผลกับพันกร
“ไม่พบอะไรต้องสงสัย มีเพียงผลไม้กระป๋องเท่านั้นครับ”
พันกรอึ้งรีบสั่งให้ลูกทีมเช็คดูอีกที
“เช็คดีแล้วเหรอ หมวด”
“ครับ ผู้กอง พวกเราทำการสุ่มเปิดดูแล้วด้วยครับ”
เสี่ยเป้ฟังรายงานแล้วแสยะยิ้มร้าย เดินเข้ามาตบไหล่พันกรอย่างเยาะหยัน
“พวกหัดสืบ กระดูกยังอ่อนนัก อั๊วว่าลื้อกลับไปฝึกมาใหม่ดีกว่า”
เสี่ยเป้กลับไปขึ้นรถ ขับออกไป พันกรเจ็บใจที่ภารกิจการจับกุมเสี่ยเป้ล่มไม่เป็นท่า
บุหงาปิดกล่องเครื่องเพชรแล้วส่งให้กล้า กล้ารับกล่องเครื่องเพชรเอาออกไปเก็บคืนที่ พวกปทุมวดีต่างพากันขยี้ตาเพราะความระคายเคืองจากแสงเพชรเมื่อครู่ บุหงาและดวงแก้วมองหน้ากันยิ้มๆ รู้สึกโล่งอกที่เอาตัวรอดมาได้
“เป็นยังไงบ้างคะคุณพี่ เพชรล้านนาของน้อง เจิดจรัสมั้ยคะ”
สายสมรหลงเชื่อ
“เจิดมาก น้ำงามมาก ปังมาก จนคุณพี่ตาพร่าเลยค่ะ”
พวกปทุมวดียังคงพูดอวยเรื่องเพชรของบุหงาและดวงแก้วไม่หยุด ประภาพรรณได้จังหวะเริ่มแผนสองต่อทันที
“นั่นสิคะ เพชรน้ำงามขนาดนี้ ถ้าได้ใส่คู่กับเสื้อผ้าดีไซน์เก๋ๆ นี่จะเป็นยังไงน้า”
ปทุมวดีนึกขึ้นได้
“จะว่าไปหนูแพนก็เรียนแฟชั่นดีไซน์มานี่นา”
“จริงด้วย งั้นแบบนี้ก็แปลว่าต้องมีชุดที่ออกแบบตัดเองอยู่”
“ใช่แล้ว หนูแพนเอาผลงานออกมาโชว์หน่อยสิจ๊ะ”
พวกปทุมวดีหันมามองบุหงาและดวงแก้วด้วยสายตาคาดหวัง สองแม่ลูกหน้าลอบส่งสายตาให้กัน นึกเจ็บใจที่ประภาพรรณหาเรื่องมาให้อีกแล้ว
“อ้อ คือว่า เสื้อผ้าที่ลูกแพนออกแบบ ดิฉันย้ายไปเก็บที่อื่นแล้วน่ะค่ะ”
“พอดีช่วงนี้คุ้มกำลังซ่อมแซมอยู่ แพนกลัวว่าพวกฝุ่นหรือแมลงจะทำให้ผ้าเสียเลยไม่ได้เก็บไว้ที่นี่เลยน่ะค่ะ”
สองแม่ลูกทำหน้าเศร้า หวังว่าพวกปทุมวดีจะหลงเชื่อจนเลิกถามเรื่องนี้อีก แต่ประภาพรรณไม่หยุดแผนการเปิดโปง โผล่หน้าเข้ามากลางวงแล้วพูดจุดประกายขึ้น
“แต่มิวว่า ถ้าทุกท่านได้เห็นอะไรบางอย่างที่มิวไปค้นพบมา ทุกท่านจะต้องอึ้งทึ่งเสียว เอ๊ย อึ้งทึ่งตะลึงแน่ๆ ค่ะ”
ทุกคนหันไปมองหน้าประภาพรรณ โดยเฉพาะสองแม่ลูกตาเขียวเริ่มระแวงว่าประภาพรรณจะเล่นอะไรอีก
ที่ห้องติดกัน มีราวเสื้อผ้าชุดหางเครื่อง ประภาพรรณประกาศด้วยเสียงและท่าทางภูมิใจนำเสนอมาก
“มิวว่าเสื้อผ้าราวนี้ น่าจะตกสำรวจไม่ทันย้ายไปใช่มั้ยคะ”
คุณหญิงทุกคนหันไปมองราวตากผ้าที่มีชุดหางเครื่องสีสันจัดจ้านกลางห้อง ขณะที่สองแม่ลูกอึ้ง ตกใจ ประภาพรรณยักคิ้วส่งสายตาเยาะให้บุหงาและดวงแก้วอย่างกวนประสาท สองแม่ลูกแค้นใจ
“ต้องขอโทษที่ยุ่มย่ามนะคะ มิวเข้าไปเจอเสื้อผ้าราวนี้ในห้องเก็บของพอดี”
ปทุมวดีมองหน้าดวงแก้วกับบุหงาเหมือนจะต้องการคำตอบว่า เสื้อผ้าพวกนี้คืออะไร ดวงแก้วอึกอัก คิดแถไม่ออก บุหงารีบพูดขึ้นเพื่อช่วยแม่
“นี่เป็นโปรเจ็คลับสุดยอดที่แพนจะส่งประกวดโครงการ Young Designer ที่ประเทศฝรั่งเศสน่ะค่ะ”
คำโกหกที่บุหงาเพิ่งคิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ หลอกปทุมวดีและผองเพื่อนได้สำเร็จ
พวกคุณหญิงพากันมาที่ห้องรับแขก เสื้อผ้าชุดหางเครื่องถูกย้ายมาชื่นชมในห้องนั้น คุณหญิงจุ้นจ้านทั้งสี่ต่างเข้ามาหยิบชุดขึ้นมาทาบตัวด้วยความตื่นเต้น
“โอ้ว คัตติ้งเนี้ยบมาก”
“สีสันก็สดใส”
“มีลูกเล่นด้วยลูกไม้ฟูฟ่อง”
“เลอค่ามากเลยจ้ะ หนูแพน”
สองแม่ลูกลอบมองหน้ากันอึ้งๆ ไม่เข้าใจว่าพวกราตรีหลงเชื่อได้อย่างไร ปทุมวดีมองชุดที่เพื่อนหยิบขึ้นมาทาบตัวอย่างคุ้นๆ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน ประภาพรรณมองปทุมวดีแล้วยิ้ม ได้เวลาแกล้งคุณแม่สามีแล้ว
“อันที่จริงแล้ว ชุดก็มีครบสี ครบคนขนาดนี้ มิวว่าคุณแม่สามีแล้วก็คุณหญิงทุกท่านน่าจะลองใส่ดูนะคะ”
บุหงาและดวงแก้วหน้าเสีย ไม่คิดเลยว่าการโกหกของตัวเองจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตไปไกลกว่าเดิม
“อุ๊ตะ คิดเรื่องฉลาดๆ เป็นกับเขาด้วย ไปกันเถอะค่ะ คุณพี่หญิง เราไปลองชุดกันดีกว่า”
“มันจะดีเหรอคะ”
“มันต้องดีสิคะ คุณพี่หญิงใส่ คุณน้องใส่ เราใส่กันทุกคนแบบนี้ ถือเป็นการฉลองฤกษ์ดีเอาชัยให้หนูแพนไปในตัวด้วยไงคะ”
“อีกไม่นานเสื้อผ้าเซ็ตนี้ก็จะขึ้นไปสู่เวทีระดับโลกแล้วนะคะ”
“อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลยค่ะ ไปลองชุดกันเถอะ”
ราตรีและพรรคพวกพากันเฮโลดันพวกปทุมวดีเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุด ประภาพรรณเฝ้ามองท่าทางของพวกปทุมวดีอย่างขำๆ
ปทุมวดีเดินออกมาด้วยชุดหางเครื่องเป็นคนสุดท้าย พวกราตรีใส่ชุดเสร็จแล้วยืนปรบมือด้วยความประทับใจ
“โห คุณพี่หญิงใส่แล้วสวยเลอค่ามากเลยค่ะ”
“จริงด้วยค่ะ คุณหญิงป้า พอเห็นพวกคุณป้าใส่ชุดของแพนแบบนี้แล้ว แพนตื้นตันน้ำจะไหลเลยล่ะค่ะ”
ประภาพรรณยิ่งเห็นยิ่งสะใจ แกล้งพวกปทุมวดีหนักขึ้นไปอีก
“จริงด้วยค่ะ คุณแม่สามีและคุณหญิงทุกท่านใส่ชุดขึ้นนะคะ อย่างนี้ต้องเราถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ดีมั้ยคะ”
ราตรีและผองเพื่อนหลงเชื่อประภาพรรณ รีบเฮโลเข้ามาล้อมรอบปทุมวดีโพสต์ท่าให้ประภาพรรณถ่ายรูปมากมาย ราตรียังคงสนุกกับการถ่ายรูปอยู่
“คุณหญิงพี่คะ น้องว่าในห้องนี้ ไม่ค่อยมีมุมสวย เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปในสวนด้านหลังกันต่อดีกว่านะคะ”
“จริงด้วยค่ะ ตรงนั้นมีมุมสวยๆ เพียบเลย มาค่ะ เดี๋ยวแพนออกแบบท่าให้”
บุหงาและดวงแก้วรีบชักชวนพวกปทุมวดีออกไป ปทุมวดีเดินตามเพื่อนต้อยๆ ท่าทางไม่มั่นใจนัก หน้าจอมือถือของประภาพรรณ กำลังส่งรูปปทุมวดีในชุดหางเครื่องให้ปรีชาชาญ
พันกรกลับเข้าบ้านมาอย่างอ่อนล้าเพราะทำงานไม่สำเร็จ ปรีชาชาญนั่งดูทีวีอยู่ในห้อง ถามอย่างห่วงใย
“มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า”
ปรีชาชาญมองหน้าพันกร รอให้ตอบคำถาม แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเตือนของโทรศัพท์ปรีชาชาญว่ามีไลน์เข้า เขาเปิดดูรูปที่ประภาพรรณส่งมาแล้วอมยิ้ม
“เอ้า ตากร มาดูรูปทริปเชียงรายที่มิวส่งไลน์มาให้พ่อสิ ท่าทางแม่กับเพื่อนๆ เขาจะสนุกกันมากเลยนะ”
แต้วและป้าม้วนทำความสะอาดอยู่ ได้ยินเข้า ทั้งสองคนหูผึ่งรีบถลาเข้ามา พันกรยิ้มเจื่อน
“เอาไว้วันหลังนะครับ วันนี้ผมเหนื่อย”
พันกรรีบเดินขึ้นห้องไป ปรีชาชาญมองตามลูกด้วยความเป็นห่วง พันกรทิ้งตัวนั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิด นึกถึงเหตุการณ์ที่ท่านรองวิเชียรต่อว่า
“คุณใจร้อนนำทีมออกไป ไม่รายงานผมก่อน เสี่ยเป้มันไหวตัว มีแต่เสียกับเสีย ทำให้ทำงานลำบากมากขึ้น”
“ผมขอโทษที่วู่วามครับ ท่านรอง”
“ผมต้องการผลงานของมืออาชีพ ไม่ใช่คำขอโทษ”
พันกรทิ้งตัวนอนบนเตียง คิดไม่ตก หงุดหงิดมากที่แผนของตัวเองผิดพลาด
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 7 (ต่อ)
แต้วและป้าม้วนตาวาว รีบกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ ปรีชาชาญด้วยความอย่างรู้อยากเห็น
“คุณท่านเจ้าคะ คือว่า”
ปรีชาชาญรู้ทัน ยื่นมือถือให้ป้าม้วนอย่างขำๆ
“เรื่องเผือกขอให้บอกใช่มั้ยล่ะ”
ป้าม้วนและแต้วยิ้มแห้ง แต่ก็รับมือถือของปรีชาชาญขึ้นมากดดูภาพ เห็นพวกปทุมวดีในชุดหางเครื่อง แต้วและป้าม้วนมองภาพนั้นกันงงๆ แต้วปากไว
“เหมือนชุดหางเครื่องตามงานวัดเลยนะจ๊ะ ป้า”
“เอ็งนี่มันปากเสีย คุณมิวบอกว่าเป็นชุดที่คุณหนูแพนออกแบบเองเลยนะเว้ย”
ปรีชาชาญเอะใจรีบดึงมือถือกลับมาดูบ้าง เขาเริ่มสงสัยในตัวบุหงาและดวงแก้ว
พันกรยืนเหม่อมองไปนอกห้อง มีเสียงข้อความเข้า เขารีบเปิดดู เป็นข้อความจากประภาพรรณ
“คืนนี้นอนคนเดียว ระวังเหงานะคะ”
พันกรยิ้มออก รู้สึกดีขึ้น รีบพิมพ์ตอบไป
“ผมเหงามาก อยากมีมิวอยู่ข้างๆ นะจ๊ะ”
ประภาพรรณยืนอ่านข้อความของพันกรแล้วอมยิ้ม หัวใจพองโตมีความสุข
“อดทนอีกนิดนะคะคุณกร ขอมิวจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จก่อน”
ประภาพรรณมองปทุมวดีโพสต์ท่าถ่ายรูปตามที่บุหงาสอนอย่างเก้ๆ กังๆ โดยมีกล้าคอยเดินถ่ายรูปให้ เดชออกมายืนมอง อมยิ้มขำๆ กับเกมที่เจ้านายเล่นกัน
ชาวบ้านชายคนหนึ่งปั่นจักรยานเข้ามาจอดหน้าเรือนไทยลุงเกิด เห็นกล้าแล้วดีใจมากรีบตะโกนทักทาย
“อ้าว ไอ้กล้า กลับมาแล้วเหรอวะ”
พวกปทุมวดีหยุดโพสต์ท่า หันไปมองชาวบ้านคนนั้นเป็นตาเดียวกัน บุหงา ดวงแก้วและกล้า ลอบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เข้าใจว่าทำไมอุปสรรคถึงเยอะขนาดนี้!
“แล้วนี่เอ็งจะกลับมาอยู่เลยหรือแค่มาเต้นโชว์ล่ะ”
กล้ากลัวว่าความจะแตก รีบวิ่งเข้าไปหาชาวบ้านคนนั้น ตะโกนทักทายกันเสียงดัง
“อ้าวน้า ไอ้ม่อนลูกชายเป็นไงบ้างล่ะ พาฉันไปเยี่ยมมันหน่อยสิ”
กล้าขึ้นไปนั่งซ้อนจักรยานชาวบ้านแล้วรบเร้าให้ขับออกไป
“รีบไปไวๆ สิน้า”
ชาวบ้านยอมปั่นจักรยานตามกล้าสั่งแบบงงๆ ออกไป พวกปทุมวดีมองตามกล้าและชาวบ้านคนนั้นไปอย่างงงๆ เช่นกัน
“นั่นใครกันเหรอคะ คุณน้องดวงแก้ว”
“ก็ชาวบ้านแถวนี้แหละค่ะ คุณพี่หญิง สติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชอบมาถามโน่นนี่นั่นไร้สาระ ต้องให้นายกล้าพากลับไปส่งที่บ้านทุกทีเลย”
“แพนว่าเรามาถ่ายรูปกันต่อดีกว่าค่ะคุณหญิงป้า อย่าไปสนใจเลยค่ะ เดี๋ยวแพนถ่ายรูปให้เอง”
บุหงาสามารถดึงความสนใจของพวกปทุมวดีได้สำเร็จ ทุกคนหันไปโพสต์ท่าให้บุหงาถ่ายรูปต่อไป ประภาพรรณยังมองตามกล้าและชาวบ้านปั่นจักรยานออกไป รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ที่ห้องทำงานพันกร ภายในกองปราบ พันกรหยิบภาพที่เอกราชถ่ายมาได้ขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“คนอย่างไอ้เสี่ยเป้ ไม่น่าจะมีธุระอะไรกับโมเดลลิ่ง นอกเสียจากว่า”
เอกราช ครุ่นคิดตาม
“มันจะไม่ใช่โมเดลลิ่งจริงๆ”
พันกรพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ไหนจะสาวๆ ที่นั่งรถตู้มาก็น่าสงสัย เราต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้ข้อมูลมากที่สุด”
“ครับ ผมจะไม่ปล่อยให้มันคลาดสายตา ผมเดาว่าตอนนี้มันคงพากันขึ้นสวรรค์อยู่”
พันกรมองรูปถ่ายในมือแล้วตัดสินใจ
“เรากลับไปที่นั่นกัน ผมจะช่วยสืบอีกแรง
สองหนุ่มสบตากัน พยักหน้าให้กันอย่างมุ่งมั่น
ที่ลานจอดรถหน้าโมเดลลิ่งที่ว่างเปล่า เอกราชมองอย่างเจ็บใจ
“มันไปกันหมดแล้วครับผู้กอง เอาไงดีครับ”
พันกรมองไปรอบๆ เห็นป้อมรปภ. ทั้งคู่สบตากันแล้วพร้อมใจเดินไปหา รปภ.นั่งคุยมือถือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ได้สนใจว่าใครจะเข้ามา
“พี่ครับ พวกผมเห็นบริษัทเปิดใหม่ เลยจะมาหางาน เขารับตากล้องอยู่มั้ย”
รปภ. ชะงักจากการคุยมือถือเพื่อตอบพันกร
“ปิดแล้วๆ มาวันหลังนู่น”
รปภ. คุยมือถือต่อด้วยภาษาเหนือ
“น้องแก้วแต่งตัวงามๆ เน้อ แหมบ่อเมินเจ้านายอ้ายเปิ้น จะไปหานางแบบตี้เจียงฮาย ถ้านายอ้ายเปิ้นได้หันน้อง นายอ้ายท่าจะล่นเข้าหาน้องจัดเวยเน้อ”
พันกรกับเอกราชมองหน้ากัน
“พี่ๆ ถามหน่อย”
รปภ.รำคาญที่ถูกขัดจังหวะ เลยหลุดอู้คำเมืองออกมา แต่พอรู้ตัวก็เปลี่ยนเป็นภาษากลาง
“จะมาถามอะหยังปะล่ำปะเหลือ อุ้ย คนกำลังโทรศัพท์ไม่เห็นเหรอ”
“ผมไม่ได้แอบฟังนะ พอดีได้ยิน เจ้านายพี่เขาจะไปหานางแบบที่เชียงรายเหรอครับ”
“เออ ไว้เขากลับมาค่อยมาละกันนะ จบยัง จะถามอะไรอีกมั้ย”
พันกร เอกราชยิ้มที่ได้เบาะแสเพิ่มเติม
“ไม่แล้วพี่ชาย ขอบคุณมากนะ”
รปภ. คุยโทรศัพท์ต่อ
“อู้ต่อเน้อ”
พันกร เอกราช ออกมาจากตรงนั้น แล้วยืนคุยกัน
“ผมจะสืบเรื่องนี้ต่อที่เชียงรายเอง ส่วนคุณอยู่ทางนี้ เฝ้าทางเสี่ยเป้ไว้ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะไปด้วยกันรึเปล่า”
เอกราชลังเลเล็กน้อย
“เอางั้นเหรอครับผู้กอง ที่จริงทางนี้ปล่อยสายคนอื่นเฝ้าต่อ ผมจะได้ไปเชียงรายกับผู้กองไงครับ”
พันกรยิ้มๆ ที่เอกราชมีน้ำใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ภรรยาผมเขาไปเที่ยวเชียงรายกับคุณแม่พอดี ผมก็จะถือโอกาสไปเจอภรรยาด้วย”
เอกราชหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าพันกรจะไปหาประภาพรรณ
“งั้นก็ตามใจผู้กอง ผมลานะครับ”
เอกราชเดินคอตกจากไป พันกรหันไปกดมือถือ
“จ่า ช่วยให้ใครจองตั๋วไปเชียงรายให้ผมที พรุ่งนี้เช้าเลยนะ ขอบใจมาก”
พันกรกลับมาบ้าน ยังนั่งจมอยู่กับกองรูปภาพที่ได้มาจากเอกราช ดูรูปภาพต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เห็นเป็นเบอร์ของประภาพรรณ รีบรับสายปรับเสียงให้ดูอารมณ์ดี ไม่เคร่งเครียด
“สวัสดีจ้ะที่รัก ไปเที่ยวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็สนุกตามประสาค่ะ มิวคิดถึงคุณกรจังเลย ถ้าคุณมาด้วยคงดี”
“ผมรู้ว่ามิวคิดถึงผมไง ผมก็เลยจะไปหามิวพรุ่งนี้”
“จริงเหรอคะ คุณกรของมิวน่ารักที่สุดเลย”
“เจอกันจะกอดให้หายคิดถึงซะหน่อย”
ประภาพรรณยิ้มเขินๆ นึกอะไรขึ้นได้
“อ้อ แต่ตอนนี้ไม่ได้พักที่คุ้มของคุณแพนแล้วนะคะ มาอยู่ที่รีสอร์ต”
“ครับ ผมทราบจากคุณแม่แล้ว ก็ดีที่ไม่ต้องไปรบกวนคุณแพนมากๆ พรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะที่รัก”
“ค่ะ”
ประภาพรรณวางสายยิ้มสดชื่น
ตอนเช้า ปทุมวดีคุยโทรศัพท์อยู่ภายในรีสอร์ต
“คุณพี่ต้องขอโทษคุณน้องจริงๆ ที่ไม่ได้ไปส่งที่สนามบินด้วย ตัวเอง ใจจริงก็อยากจะบินกลับพร้อมคุณน้องเลย แต่ตากรน่ะสิดันโทรมาบอกว่าจะตามมา ก็เลยต้องอยู่รอ ยังไงเดินทางปลอดภัยนะคะคุณน้องแล้วเจอกันที่กรุงเทพค่ะ”
ปทุมวดีวางสายยิ้มๆ บุหงายิ้มร้าย มองไปที่ทางเข้ารีสอร์ตเหมือนรอใครสักคน
“คราวนี้เสร็จอีแพนแน่ คุณกร”
รถลีมูซีนของสนามบินขับเข้าจอดมาด้านหน้ารีสอร์ต พันกรก้าวลงมาจากรถ ยืนสูดอากาศสดชื่นอย่างมีความสุข ประภาพรรณนั่งรอสามีอยู่ที่ล็อบบี้ พร้อมกับพวกปทุมวดี บุหงา ดวงแก้ว เธอเห็นพันกรมาถึงก็วิ่งออกมารับด้วยความดีใจ
“คิดถึงจังเลย”
“ผมก็คิดถึงมิวมาก คุณแม่ล่ะ”
ประภาพรรณเดินจูงแขนพันกรเข้าไปในล็อบบี้ของรีสอร์ต เพื่อเจอกับปทุมวดีที่นั่งรออยู่ พันกรเห็นแม่ก็เข้าไปกอดและทักทายคนอื่นด้วย
“สวัสดีครับ คุณดวงแก้ว คุณแพน”
“ตากรมาก็ดีเหมือนกัน จะได้มีคนดูแลแม่”
พันกรรู้ทันว่าปทุมวดีพูดประชดประภาพรรณ เลยแกล้งเอามือลูบท้องทำหน้าเหมือนคนหิวข้าว
“ผมกับมิวต้องดูแลคุณแม่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชักหิว เช้าๆ แบบนี้ ไปตลาดดีกว่า ของกินเพียบ เดี๋ยวผมมานะครับ”
พันกรเดินไปจูงแขนภรรยาทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก เพื่อหนีจากแก๊งปทุมวดี ปทุมวดีโวยวาย
“เดี๋ยวๆๆ ตากร มาถึงไม่ทันนั่งพักก็จะออกไปแล้วเหรอ มานั่งนี่ แม่มีอะไรจะคุยด้วย”
พันกรกับประภาพรรณมองหน้ากันงงๆ แต่ก็เดินกลับไปหาปทุมวดี บุหงา ดวงแก้ว แอบหัวเราะเยาะประภาพรรณที่ถูกปทุมวดีห้ามไว้
“มาเมืองเหนือ แม่ก็อยากกินอาหารเหนือ จริงมั้ย”
ปทุมวดีมองหน้าประภาพรรณ แล้วออกคำสั่ง
“หล่อน ออกไปหาร้านอาหารเหนืออร่อยๆ เดี๋ยวนี้ แล้วโทร.มาบอกว่าอยู่ที่ไหน พวกฉันจะตามออกไป”
“ได้ค่ะ คุณแม่สามี ไปกันค่ะ คุณกร”
“เดี๋ยว หล่อนไปคนเดียว ฉันมีเรื่องจะคุยกับตากร”
พันกรกับประภาพรรณมองหน้าปทุมวดี ประหลาดใจ
ปทุมวดี บุหงา ดวงแก้ว มองประภาพรรณเดินออกไปด้วยความสะใจ แต่พันกรรู้สึกเป็นห่วงภรรยามาก ขณะที่ประภาพรรณเดินออกมาอย่างเซ็งๆ เพราะไม่รู้จักร้านที่ไหนเลย
“เอาไงต่อล่ะทีนี้ ไอ้มิวเอ๊ย หมาหัวเน่าจริงๆ เลยเรา”
ประภาพรรณมองไปทางแผนกต้อนรับของรีสอร์ต แล้วก็เกิดความคิด เลยเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับ
“คุณคะ แถวนี้มีร้านอาหารเหนืออร่อยๆ แนะนำมั้ยคะ”
พนักงานสาวคิดสักครู่หนึ่ง
“มีร้านข้าวซอย น้ำเงี้ยวอร่อยๆ หลายร้านเหมือนกันเจ้า แต่ถ้าอยากนั่งสบายก่อ เฮือนเมืองเหนือเจ้า”
“ขอบคุณค่ะ ทีนี้จะไปร้านที่ว่ายังไงดี”
พันกรคุยกับเดชรีบเดินเข้ามาหาประภาพรรณ
“เดี๋ยวผมพาไปเองครับ คุณมิว”
ประภาพรรณหันไปสบตาพันกรที่โบกมือยิ้มๆ แบบรู้กัน
“ขอบใจมากจ้ะ พี่เดช”
ประภาพรรณเดินออกมาขึ้นรถตู้ เดชขับออกไป จนถึงร้านที่พนักงานสาวบอก ประภาพรรณลงไปดูก็เห็นว่าร้านดูดี สะอาดน่านั่ง เธอเลยรีบโทรไปหาพันกร
“คุณกร มิวเจอร้านแล้วนะคะ”
“โอเค. เดี๋ยวผมกับคุณแม่จะรีบตามไป”
ปทุมวดีลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้
“ตากร แม่ไม่อยากกินอาหารเหนือแล้ว”
ดวงแก้ว บุหงา แอบหัวเราะเบาๆ อย่างสะใจ พันกรมองแม่อย่างงุนงง
“แต่เมื่อกี้”
“เมื่อกี้ส่วนเมื่อกี้ ตอนนี้แม่หายอยากแล้วนี่นา”
พันกรแอบถอนหายใจเบาๆ
“มิวกลับมาที่รีสอร์ตเลยนะ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”
ประภาพรรณส่ายหน้าด้วยความเซ็ง บ่นแล้วเดินไปขึ้นรถตู้ที่เดชรออยู่
“เอ่อ ได้ค่ะ เอายังไงกันแน่ คนแก่นี่เอาใจยากจริง เลือดจะไปลมจะมา เฮ้อ”
ประภาพรรณกลับเข้ามาในล็อบบี้ เดินไปหาพันกร เห็นปทุมวดีคุยกันอย่างสนุกสนานกับทุกคน เธอกลับมานั่งรวมกลุ่มด้วย ปทุมวดีหันมาแหวใส่พร้อมส่งค้อนให้เล็กๆ
“แหม ไปซะนานเป็นชาติ จนฉันกับทุกคนเปลี่ยนใจไม่รอ กินอาหารฝรั่งในโรงแรมไปเรียบร้อยแล้ว”
ประภาพรรณอึ้ง แต่ไม่อยากมากเรื่องเลยไม่ตอบโต้อะไร พันกรมองประภาพรรณเข้าใจ เห็นใจ เลยถามด้วยเสียงห่วงใย
“มิวได้กินอะไรแล้วหรือยังครับ”
“ก็ยังค่ะ แต่เดี๋ยวมิวจัดการเอง”
พันกรได้ทีรีบโอบไหล่ภรรยาไว้แล้วบอกปทุมวดี
“ผมรู้สึกเลี่ยนอาหารฝรั่ง ผมขอไปกินข้าวซอยกับมิวต่อนะครับ คุณแม่ คุณน้า คุณแพนตามสบายแล้วเย็นเจอกันครับ”
พันกรไม่ยอมให้ปทุมวดีตอบ รีบพาประภาพรรณเดินออกไป
“อ้าว ตากร”
“เสร็จมันตามเคย”
“มันฉกไปอีกจนได้”
“วันนี้ปล่อยมันไปก่อน ถ้ามันคิดว่าอยู่เชียงรายแล้วจะมีความสุขได้ลั้ลล้ากับตากรสองคน มันคิดผิดค่ะ”
ปทุมวดีมองฝากแค้นไปที่ประภาพรรณ ทั้งที่เจ้าตัวไปนานแล้ว
พันกรจูงมือประภาพรรณเดินออกมาพ้นสายตาปทุมวดี แล้วแทนที่จะพาไปข้างนอกอย่างที่อ้างกลับวกกลับเข้าไปด้านในรีสอร์ต ประภาพรรณแปลกใจ
“อ้าว คุณกร ไหนว่าจะพามิวไป”
พันกรกระซิบกระซาบกับประภาพรรณแววตาเปี่ยมไปด้วยความรักความคิดถึง
“ผมไม่อยากไปไหน ผมอยากอยู่กับมิวสองคน เดี๋ยวเราสั่งอาหารไปกินในห้องนะครับ”
ประภาพรรณยิ้ม รู้ดีว่าสามีหมายถึงอะไร
“คุณกรว่ายังไง ก็ตามนั้นค่ะ”
พันกรหอมแก้มประภาพรรณมัดจำได้ก่อน
“คิดถึงจัง ที่รัก”
สองสามีภรรยาเลยจูงมือไปด้วยกันหวานชื่น
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 7 (ต่อ)
รถลีมูซีนจากสนามบินขับเข้ามาส่งครอบครัวของนิโรบลที่มี ภาณุ และคุณหญิงนวลอนงค์ แม่สามี
มาเที่ยวที่รีสอร์ตนี้พอดี นิโรบล ภาณุ ชื่นชมกับบรรยากาศที่งดงามของรีสอร์ต
“สวยจังเลยค่ะ คุณณุ”
“อากาศก็ดี คุณแม่ชอบมั้ยครับ”
นวลอนงค์มีมารยาทงดงาม กิริยาอ่อนช้อย สมเป็นคุณหญิงยิ้มให้ภาณุเรียบๆ
“ชอบจ้ะ แม่ชอบทุกที่ที่ณุพาแม่ไปเที่ยวนั่นแหละ”
ภาณุสวมกอด หอมแก้มนวลอนงค์ด้วยความรัก ปทุมวดี พันกร ประภาพรรณ ดวงแก้ว บุหงา เดินออกมาพอดี ปทุมวดีและนวลอนงค์ต่างแปลกใจที่เจอกัน
“นวลอนงค์”
“ปทุมวดี”
ทั้งสองดีใจ เข้าสวมกอดกันด้วยความคิดถึงเพื่อนรัก เพราะไม่ได้เจอกันนาน
“มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันเหรอ”
“ก็ตามลูกๆ เขามาเที่ยว”
นวลอนงค์รีบแนะนำลูกชายกับสะใภ้กับปทุมวดี
“นี่ตาภาณุลูกชาย ส่วนนี่ก็นิด สะใภ้ฉัน”
ภาณุ นิโรบลไหว้ปทุมวดี ปทุมวดีรับไหว้ มองภาณุ นิโรบล อย่างเอ็นดู
“ไหว้พระเถอะลูก”
ประภาพรรณ พันกรเดินเข้ามาทักนิโรบลกับภาณุ แล้วหันไปไหว้นวลอนงค์ด้วยกิริยามารยาทที่เรียบร้อย จนปทุมวดีแปลกใจว่าทุกคนรู้จักกันได้อย่างไร แต่นวลอนงค์ถามนิโรบลเสียก่อน
“คนนี้เหรอ หนูมิวที่นิดพูดถึง”
“ค่ะ คุณแม่”
ประภาพรรณยิ้มเขินๆ ที่นวลอนงค์จ้องมองด้วยความเอ็นดู ปทุมวดีมองหน้านวลอนงค์แล้วถาม
“นี่ลูกๆ เรารู้จักกันด้วยเหรอ”
“ใช่ ฉันก็เพิ่งรู้ ถือว่าวันนี้น่าจะฤกษ์ดีนะ ฉันได้เจอเพื่อนรัก แล้วสะใภ้เรายังเป็นเพื่อนกันอีก โชคดีสองเด้งเลย”
ปทุมวดีได้แต่ยิ้มรับ วางหน้าไม่ถูก ดวงแก้วกับบุหงาแอบค้อนด้วยความหมั่นไส้ บุหงาพึมพำ
“โชคร้ายไม่ว่า”
พนักงานเดินเอาลิ้นจี่ที่แกะเปลือกเรียบร้อยจัดใส่จานอย่างสวยงามมาให้ประภาพรรณที่หน้าห้องของปทุมวดี
“ขอบคุณค่ะ”
ประภาพรรณเคาะประตู แล้วเดินเข้าไปหาปทุมวดีกับนวลอนงค์ที่นั่งคุยกันอยู่ มีบุหงานั่งอยู่ด้วย
“ขออนุญาตค่ะ”
“ฉันไม่ได้สั่งนะ”
“มิวเห็นว่าลิ้นจี่ที่นี่อร่อย เลยฝากเด็กไปซื้อมาให้ชิมค่ะ”
ปทุมวดีมองลิ้นจี่ในจาน แล้วหันมายิ้มเยาะประภาพรรณ
“ไม่ต้องมาทำเป็นเอาใจฉันต่อหน้าเพื่อน ไม่ได้ผลหรอกหล่อน เธอมันไม่ใช่สะใภ้ที่ฉันอยากได้ ต้องอย่างหนูแพนนี่ซิ สะใภ้แบบที่ฉันต้องการ”
บุหงาหันไปยิ้มเยาะประภาพรรณ โดยไม่ทันสังเกตว่านวลอนงค์แอบมองอยู่
“ขอบคุณค่ะ คุณหญิงป้า”
“ไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว รำคาญจริง”
“ค่ะ”
ประภาพรรณยิ้มรับคำด่าของปทุมวดีเพราะเกรงใจนวลอนงค์ ก้มหัว แล้วเดินกลับออกมาเงียบๆ บุหงายิ้มร้าย แต่ก็ไม่พ้นสายตาของนวลอนงค์ที่คอยสังเกตทั้งสองสาว บุงหานั่งเบื่อๆ เพราะประภาพรรณไปแล้วก็ไม่ต้องทำคะแนนเพื่อให้แซงคู่แข่ง
“งั้นแพนก็ขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ เผื่อคุณแม่จะเรียกใช้อะไร”
“ตามสบายจ้ะ หนูแพน”
บุหงาเดินออกไปโดยไม่สนใจมองนวลอนงค์ด้วยซ้ำ เพราะไม่ค่อยชอบใจที่เป็นแม่สามีเพื่อนรักของประภาพรรณ นวลอนงค์มองตาม
ปทุมวดี นวลอนงค์ ให้พนักงานนวดอย่างสบายตัวและผ่อนคลาย อยู่ในสปาของรีสอร์ต
“นานๆ มานวดตัว รู้สึกสบายจัง”
“อืม สบาย”
“ปทุมวดี อย่าว่าฉันยุ่งเลยนะ ทำไมเธอถึงดูไม่ค่อยชอบหนูมิว”
“พวกหวังรวยทางลัดน่ะเธอ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ฉันรับไม่ได้ เป็นพวก สิบแปดมงกุฎรึเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่เธอก็ยอมให้สองคนเขาแต่งงานกันนี่จ๊ะ”
“ก็ ช่างมันเถอะ พูดถึงแล้วอารมณ์เสีย”
“ปทุมวดี ไม่มีใครเลือกเกิดได้หรอกนะ ไม่ต้องดูใครไกล เราสองคนก็ไม่ได้เกิดมามยศฐาบรรดาศักดิ์ตั้งแต่แรก”
ปทุมวดีลุกขึ้นเหมือนเตรียมจะออกจากสปา
“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
นวลอนงค์ยิ้มน้อยๆ รู้นิสัยเพื่อน
“ไปซิ นิดจองโต๊ะไว้ให้แล้ว”
นิโรบลนั่งรออยู่ที่โต๊ะที่จองไว้ให้ เห็นนวลอนงค์กับปทุมวดีเดินเข้ามา ก็เดินเข้าไปหานวลอนงค์แล้วพามาที่โต๊ะ มีพนักงานรีบเข้ามาให้การบริการ
“คุณแม่กับคุณหญิงป้าตามสบาย นิดขอตัวไปคุยกับเพื่อนก่อน ถ้าคุณแม่มีอะไรโทร.หานิดนะคะ”
นวลอนงค์พยักหน้าบอกให้นิโรบลตามสบาย พนักงานเอาเครื่องดื่ม ของหวานมาเสิร์ฟให้ปทุมวดีกับนวลอนงค์
“ลูกสะใภ้เธอนี่น่ารักนะ เอาใจเธอน่าดู”
“เธอรู้มั้ย นิดก็มีอดีตที่ฉันไม่ถือสา เพราะฉันคิดว่าเรื่องของอดีต มันก็แค่เรื่องของเมื่อวาน วันนี้ต่างหากล่ะ ที่สำคัญ”
ปทุมวดีฟังนวลอนงค์พูดไปเรื่อยๆ อย่างไม่สนใจจะฟัง จิบเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ
“เหรอ”
“นิดพิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นว่าเป็นทองแท้ เป็นคนดีจริง เสมอต้นเสมอปลาย รักลูกชายของฉัน และไม่หวังมรดก”
“เธอก็โชคดีนี่”
“ใช่ แล้วนิดก็ดูแลฉันดีมาก ปทุมวดี เราก็อายุเยอะแล้วนะ เธอจะดูคนไม่ออกเชียวเหรอว่าคนไหนดี หรือไม่ดีกับเธอ”
ปทุมวดีทำเป็นหยิบเมนูมาดู แล้วเรียกพนักงานบริการ
“สั่งของว่างเพิ่มดีกว่า เธอจะกินอะไรล่ะ”
นวลอนงค์ยิ้ม ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับปทุมวดี
เช้าวันใหม่ ทุกคนหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เพราะเตรียมตัวขึ้นรถไปทำบุญ พันกรมองทุกคนด้วยความสบายใจ
“ทุกคนครับ วันนี้เราจะไปทำบุญกันนะครับ เลิกทะเลาะกันสักวันนะครับ”
พันกรมองไปที่คู่ปรับระหว่างปทุมวดี บุหงา กับ ประภาพรรณ ขบวนรถเคลื่อนตัวออกจากรีสอร์ต โดยมีเดชเป็นคนขับรถตู้พาไป
ทิวทัศน์ที่งดงามของธรรมชาติ ระหว่างการเดินทางจนถึงวัดร่องขุ่น พันกรเดินชี้ชมสถาปัตยกรรม นิโรบล ภาณุ นวลอนงค์เดินเกาะกลุ่มกัน คุยกันไปยิ้มแย้มแจ่มใส ปทุมวดี บุหงา ดวงแก้ว หน้าบึ้งที่เห็นพันกรกับประภาพรรณมีความสุขกันดี
“เห็นตากร เอาใจนังมิวมากๆ แล้วหมั่นไส้”
“นั่นสิคะ ไม่สนใจลูกแพนเลย”
บุหงาชักสีหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของดวงแก้ว
ทุกคนมีสีหน้าเบิกบานที่ได้มาทำบุญ เดินเข้าไปไหว้พระประธานในวัด ด้วยกิริยามารยาทที่เรียบร้อย ตามแบบชาวพุทธ พันกร ประภาพรรณเดินนำทุกคนไปไหว้พระ นิโรบล ภาณุ ก็หวานแหวว เอาใจกันและกัน ดวงแก้ว บุหงาไหว้พระเสร็จก็ลงมารอที่นั่งพักด้านนอก หน้าบูดบึ้งเพราะหมั่นไส้ที่ประภาพรรณอี๋อ๋อกับพันกร ประภาพรรณเดินลงมา เจอบุหงา ดวงแก้วนั่งหน้าบึ้งอยู่ในวัดเลยอดแขวะบุหงาไมได้
“มาทำบุญที่วัดแทนที่จะยิ้มแย้มแจ่มใส มัวแต่ทำหน้าบึ้งเหมือนโกรธคนทั้งโลก ระวังจะตกนรกนะจ๊ะ”
“อี๊ ระวังเหอะ ลูกแพนนี่แหละจะทำแกตกนรกทั้งเป็น”
ประภาพรรณไม่โกรธ แต่พูดใส่หน้าดวงแก้วและบุหงาอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“อย่ามัวแต่คิดจะแย่งของๆ ใครเลยค่ะ มิวว่าคุณแพน คุณดวงแก้ว น่าจะหัดทำบุญเอาไว้เยอะๆ เผื่อจะได้สามีรวยๆ ดีๆ เป็นของตัวเอง ไม่ต้องคอยแย่งของคนอื่น”
ประภาพรรณพูดยิ้มๆ แล้วก็เดินชิ่งออกไป
“ทนไม่ไหวแล้ว นังนี่”
บุหงามองหาก้อนหินก้อนเล็กๆ หยิบขึ้นมาเล็งตรงหัวประภาพรรณ แล้วเขวี้ยงไปอย่างแรง
“เอาเลยลูก”
จังหวะเดียวกันที่นวลอนงค์ ปทุมวดีเดินผ่านมา ก้อนหินลอยไปโดนหัวปทุมวดี
“โอ๊ย”
ปทุมวดีกุมหัวที่ปูดขึ้นมาทันทีหันไปมองรอบๆ ก็เห็นบุหงากับดวงแก้ว ที่ยิ้มให้ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่รถ เดชเปิดประตูพร้อมบริการ ปทุมวดียังรู้สึกเจ็บที่หัวอยู่แต่ไม่ได้บอกใคร
“เราจะไปเที่ยวที่ไร่แม่ฟ้าหลวงกันต่อนะครับ”
ทุกคนปรบมือด้วยความดีใจยกเว้น บุหงา ดวงแก้วที่หน้าบึ้งไม่เลิก ช่วงเดินทางขึ้นไปที่ไร่แม่ฟ้าหลวง ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับความงดงามตามธรรมชาติและสวนดอกไม้ที่จัดตกแต่งขึ้นอย่างงดงามด้วยพรรณไม้เมืองหนาวต่างๆ
“ตามสบายทุกคนนะครับ แล้วค่อยกลับมาเจอกันที่รถ”
พันกรร้องบอกคณะ นิโรบล ภาณุ และนวลอนงค์เดินแยกไป ส่วนประภาพรรณกับพันกรก็จูงมือกันไปที่สวนดอกไม้ นิโรบล ภาณุหัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข หวานแหววกัน ผลัดกันถ่ายรูป เหมือนทั้งคู่ได้มาฮันนีมูนกันอีกรอบ ส่วนพันกรกับประภาพรรณก็ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน พันกรเห็นปทุมวดีดูเหงาๆ อยู่คนเดียวเลยเข้าไปถ่ายรูปด้วย
“ถ่ายรูปกันครับคุณแม่”
“ถ่ายแม่สวยๆ นะ”
ปทุมวดีกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูป ประภาพรรณเห็นก็เดินตามเข้ามาหาพันกร ปทุมวดีเซ็งรีบเดินหนีไปหาบุหงากับดวงแก้ว
ปทุมวดี บุหงา ดวงแก้วเดินไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ปทุมวดีก็ทำหน้าแปลกๆ เอามือกุมหน้าท้อง ปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง
“คุณดวงแก้ว หนูแพน หาห้องน้ำ ด่วน”
สองแม่ลูกหันรีหันขวางมองหาห้องน้ำ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เพราะเพิ่งเคยมาที่นี่เหมือนกัน เห็นมีแต่นักท่องเที่ยวฝรั่ง เดินไปมา บุหงากระซิบถามดวงแก้ว
“เอาไงดีแม่”
“แกไปถามพวกฝรั่งสิเผื่อจะรู้”
“แม่ก็ ฉันพูดเป็นที่ไหนเล่า”
ดวงแก้ว บุหงารีบหันมองหาปทุมวดีกลัวจะได้ยินที่บุหงาพูด แต่ปทุมวดีเริ่มตัวงอแล้ว ไม่สนใจใคร ดวงแก้วกับบุหงายิ่งตกใจ
นิโรบล ภาณุ นวลอนงค์เริ่มเหนื่อยกับการถ่ายรูป
“เราไปหากาแฟเย็นๆ กินดีกว่า ได้ข่าวว่ากาแฟที่นี่อร่อย”
“ดีค่ะ คุณแม่จะได้นั่งพักด้วย”
“ผมไปด้วยครับ มิวรอแถวนี้นะเดี๋ยวซื้อมาให้”
ประภาพรรณพยักเพยิดให้พันกร แล้วมองไปรอบๆ เห็นปทุมวดีอยู่กับบุหงา ดวงแก้ว แต่ดูเหมือนปทุมวดีมีท่าทางแปลก ประภาพรรณรีบเดินเข้าไปหา เห็นปทุมวดีหน้าซีด กุมท้องเหมือนจะร้องไห้ก็ตกใจ
“คุณแม่สามีเป็นอะไรคะ”
บุหงารีบบอก
“ปวดท้องฉี่จนเดินไม่ไหว ใกล้จะราดแล้ว”
“แล้วคุณสองคนยืนเฉยไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ โอ๊ย จะบ้าตาย”
“อย่ามาว่าฉันนะ ฉันหาแล้วแต่หาไม่เจอ ที่นี่ออกจะกว้าง”
ปทุมวดีกลั้นแทบไม่อยู่แล้ว กัดฟันพูด
“เร็ว จะไม่ ไหว แล้ว”
ประภาพรรณมองไปรอบๆ รีบคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เธอรีบวิ่งไปที่ส่วนบริการนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างไกลมากจากที่ปทุมวดีอยู่ วิ่งมาถึงก็หอบแฮ่ก แต่ก็รีบเข้าไปถามเจ้าหน้าที่
“พี่คะ มีรถเข็นผู้ป่วยให้ยืมมั้ยคะ”
“มีค่ะ มีใครเป็นอะไรคะ”
“มีเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย ขอยืมก่อน แล้วที่นี่มีห้องน้ำมั้ยคะ”
เจ้าหน้าที่รีบพาประภาพรรณไปที่รถเข็นผู้ป่วย ประภาพรรณ รีบเข็นกลับไปหาปทุมวดีอย่างรวดเร็ว พอไปถึงก็เห็นปทุมวดีเริ่มหน้าเขียว กุมหน้าท้อง สภาพแย่เต็มที เธอตะโกนบอก บุหงา ปทุมวดีอย่างร้อนใจ
“เร็ว ช่วยยกคุณแม่สามีขึ้นรถเข็น”
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะ”
“อย่าเรื่องมากได้มั้ย จะปล่อยให้คุณแม่สามีฉี่ราดตรงนี้รึไง”
ประภาพรรณรีบไปประคองปทุมวดีขึ้นรถเข็น บุหงา ดวงแก้ว เข้ามาช่วยอย่างทุลักทุเล ปทุมวดีขึ้นนั่งบนรถเข็นได้เรียบร้อย ประภาพรรณรีบเข็นรถกลับไปทางส่วนบริการนักท่องเที่ยว
“อดทนนิดหนึ่งนะคะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณมุ่งมั่นที่จะเข็นรถเข็นให้เร็วที่สุด แต่เริ่มมีคนมาขวางทางมากขึ้น
“หลีกทางหน่อยค่ะ มีคนแก่ใกล้ไส้ติ่งแตก หลีกหน่อยค่ะ”
ปทุมวดีขัดใจกับคำว่าคนแก่ไส้ติ่งแตก แต่ไม่มีแรงตอบโต้
ด้านหน้าของส่วนบริการนักท่องเที่ยว ทุกคนนั่งรอปทุมวดีอย่างเป็นห่วง ปทุมวดีเดินกลับออกมาแบบเขินๆ ในชุดชาวบ้านที่ขอยืมมาจากเจ้าหน้าที่ เพราะชุดเดิมเลอะเทอะ
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่”
“ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้วล่ะ”
ปทุมวดีมองประภาพรรณ แล้วเลยไปหาบุหงากับดวงแก้ว
“ดีที่หนูแพนมีสติ รีบหารถเข็นมาให้ ขอบใจมากจ้ะ”
“เรื่องจิ๊บๆ ค่ะ”
“ลูกแพนเก่งที่สุดเลยค่ะ”
ปทุมวดีโกหกคำโตแล้วเดินผ่านประภาพรรณไป โดยไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ บุหงา ดวงแก้ว เดินตามปทุมวดี ยิ้มร้ายให้ประภาพรรณ ประภาพรรณฝืนยิ้มให้ทุกคนอย่างปลงๆ
นวลอนงค์เดินตามมาหาปทุมวดีที่เดินเล่นสบายๆ ด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินคุยกันไป
“หนูมิวนี่สติดี รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ทำดีเอาหน้า น่ารักจริงๆ นะจ๊ะ ปทุมวดี”
ปทุมวดีอึ้งที่นวลอนงค์พูดติงแบบมีมารยาท นวลอนงค์เลยยิ้มๆ แล้วมองเสื้อผ้าชาวบ้านที่ปทุมวดียืมเจ้าหน้าที่มาใส่
“เห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ ดูสบายๆ ติดดินจังเลย คิดถึงสมัยก่อนที่เราก็เป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่มียศคุณหญิงนำหน้า จะคิดอะไร ทำอะไรชีวิตก็ไม่ยุ่งยากดีนะจ๊ะ”
ปทุมวดีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย รอฟังว่านวลอนงค์จะพูดอะไรต่อ นวลอนงค์มองไปข้างหน้าไกลๆ
“พอมียศขึ้นมา ก็มีพวกที่คอยประจบเอาใจเรา แต่บางทีเขาก็ไม่ได้จริงใจกับเราเสมอไปหรอกนะ”
ปทุมวดีหันมามองนวลอนงค์
“นวลอนงค์ พอเถอะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว ฉันรู้ว่าเธอหวังดี แต่เรื่องบางอย่างฉันขอตัดสินใจด้วยตัวเองละกัน”
นวลอนงค์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ปทุมวดีคิดวางแผนร้ายในใจขึ้นมาได้
“ฉันจะให้รางวัลนังสะใภ้นอกคอก จนมันกระเด็นกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ต่างหากล่ะ”
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทุกคนกลับมาเดินเที่ยวในอุทยานอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม ที่มุมขายของให้นักท่องเที่ยว
เสริมบุญและน้ำ เด็กที่เสริมบุญพยายามปั้นให้เป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนประภาพรรณกับนิโรบล เปิดแผงเช่าพระและวัตถุมงคลปลอมอยู่แถวๆ นั้น
“ลุงเสริม ทำไมเราไม่ขายขนม ขายน้ำหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องหลอกลวงชาวบ้าน น้ำกลัวบาป”
“นังนี่ ทำมาเป็นคนดี หลอกขายของปลอมให้นักท่องเที่ยวนี่แหละโว้ยได้เงินเยอะ รวยเร็วดี”
“เรารวยช้าหน่อยแต่สบายใจไม่เสี่ยงติดคุก น่าจะดีกว่า ถ้าลุงเหนื่อย เดี๋ยวน้ำจะหางานสุจริตทำ หาเงินเยอะๆ มาให้ลุง จะเลี้ยงลุงเองนะจ๊ะ”
“นังน้ำ เอ็งขายของไปเถอะ อย่าฝันกลางวันมากเลย”
เสริมบุญเหลือบไปเห็นประภาพรรณโดยบังเอิญ
“นั่นมัน นังมิวนี่หว่า โลกกลมจริงๆ”
ประภาพรรณไม่ทันเห็นเสริมบุญ เดินท่องเที่ยวห่างออกไป
ประภาพรรณเดินกลับมาใกล้ๆ เสริมบุญรีบเอาหมวกปิดหน้า แต่ยังมองตามหญิงสาวไม่คลาดสายตาแล้วคิดแผนชั่วๆ ออก ชี้ให้น้ำดูประภาพรรณ
“เอ็งเห็นผู้หญิงคนนั้นมั้ย นังน้ำ”
น้ำมองตามที่เสริมบุญชี้ให้ดูแล้วพยักหน้า
“เอ็งรีบไปประกบผู้หญิงคนนั้น ตามดูว่ามันมากับพวกไหน รวยรึเปล่า แล้วมันมีผัวหรือยัง แต่อย่าให้มันรู้ตัวนะ”
“ลุงรู้จักเหรอ จะไปยุ่งกับเขาทำไม จะมากับใครก็เรื่องของเขาซิ”
“เออน่า รีบไป ให้ไว”
น้ำต้องทำตามที่เสริมบุญบอก รีบเดินเข้าไปประกบประภาพรรณ
น้ำจ้องมองประภาพรรณซึ่งเดินดูดอกไม้ ถ่ายรูป เล่นหยอกล้อกับพันกร ใกล้กันก็ยังมีนิโรบล ภาณุอยู่ด้วย
“แฟนกันแน่ๆ ผู้ชายก็หล่อ ดูรวยกันทุกคนเลย อิจฉาจังเรา”
น้ำเดินเข้าไปใกล้ๆ ประภาพรรณอีก เห็นพันกรเดินเข้าไปหอมแก้มประภาพรรณ
“คุณกรนี่ คนเยอะแยะไม่อายเขารึไง”
“ไม่เห็นต้องอาย ก็เมียผมน่ารักจะตาย”
น้ำเดินห่างออกมาแล้วหันกลับไปมองพันกรด้วยสายตาหวานเยิ้ม ยืนบิดไปมา
“คุณกร น่ารักมากก เหมือนพระเอกในละครเลย”
นวลอนงค์เดินเล่น ยืนมองภาณุกับนิโรบลอย่างมีความสุข หันไปมองพันกรและประภาพรรณก็เป็นคู่ที่น่ารัก นวลอนงค์มองประภาพรรณอย่างตั้งใจ รู้สึกว่าประภาพรรณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง นวลอนงค์เดินเข้าไปชวนประภาพรรณคุยด้วย พันกรเลยเดินห่างออกมา
“สนุกมั้ย หนูมิว”
“สนุกค่ะ อากาศดีอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ซะเลย”
นวลอนงค์หัวเราะกับความอารมณ์ดีของประภาพรรณ มองหน้าอย่างตั้งใจจนประภาพรรณเขิน
“คุณป้าจ้องมิวจนมิว เขิน”
“ป้าขอถามอะไรหน่อย หนูไม่โกรธปทุมวดีเหรอ อุตส่าห์ช่วยพาไปห้องน้ำ ยังไม่ขอบคุณหนูสักคำ”
ประภาพรรณถอนหายใจ ยิ้มให้นวลอนงค์
“หนูชินแล้วค่ะ คุณแม่สามีท่านเกลียดหนูมาก ไม่คิดว่าหนูเป็นสะใภ้ ท่านอยากได้คนอื่นเป็นสะใภ้มากกว่าค่ะ”
ประภาพรรณเศร้าลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง นวลอนงค์ลูบหัวประภาพรรณอย่างเอ็นดู
“หนูต้องอดทนนะ อย่าท้อที่จะทำความดี ความดีต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ตัวมันเองนะ”
ประภาพรรณซึ้งใจกับคำปลอบโยนที่นวลอนงค์มีให้
“เราต้องเข้มแข็งและมั่นคงที่จะทำความดี ถ้าผ่านมรสุมชีวิตไปได้ ทุกอย่างมันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี ชีวิตก็จะงดงามเหมือนฟ้าหลังฝนไงจ๊ะ”
ประภาพรรณแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คำพูดของนวลอนงค์ช่างเหมือนกับหยดน้ำเล็กๆ ที่หยดลงในหัวใจที่แห้งผากของเธอ ให้เธอรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาบ้าง เสริมบุญแอบซุ่มดูประภาพรรณอยู่กับน้ำ
“นังมิวมันไฮโซขึ้นเยอะเลย เดี๋ยวเอ็งตามไปดูนะว่าพวกมันพักที่ไหน”
“ลุงเสริมคิดจะทำอะไร บอกกันบ้างได้มั้ยเนี่ย”
เสริมบุญเขกหัวน้ำแล้วบอกเสียงดุ
“ข้าให้ทำอะไรก็ทำ อย่าถามมาก”
น้ำคลำศีรษะป้อยๆ แล้วพยักหน้า ไม่กล้าขัดเสริมบุญ
ถาดใส่ซุป 2 ถ้วยสวยงามวางบนรถเข็นอาหารอย่างดี ปทุมวดียืนยิ้มให้พันกรและประภาพรรณในห้องพักของพันกร
“ยังไม่นอนกันใช่มั้ย ตากร”
“เชิญคุณแม่ในห้องก่อนครับ”
ปทุมวดีเดินเข้ามา พูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“แม่ไม่รบกวนนานหรอก แม่แค่จะเอาซุปไก่มาให้กินก่อนนอน จะได้บำรุงกำลัง แล้วก็สุขภาพดี กินซะสิ กำลังร้อนๆ เลย”
“คุณกรจะกินเลยมั้ยคะ เดี๋ยวมิวยกไปวางบนโต๊ะให้ค่ะ”
“เธอก็มากินพร้อมกับตากรด้วยสิ จริงๆ ฉันตั้งใจเอามาให้เธอ เพื่อขอบใจเรื่องเมื่อตอนกลางวันนี้น่ะ”
ประภาพรรณงง ไม่คิดว่าจู่ๆ ปทุมวดีจะมาขอบใจ พันกรยิ้มดีใจ
“มิว ขอบคุณคุณแม่สิครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันขอตัวก่อนนะ”
“ผมไปส่งครับ คุณแม่”
พันกรรีบเดินไปส่งปทุมวดีที่หน้าประตูห้อง ประภาพรรณมองซุปไก่ 2 ชามที่ส่งควันฉุยน่ากินแล้วไม่แน่ใจ พันกรกลับเข้ามาบอกภรรยา อารมณ์ดี
“มิว มากินซุปสิครับ ผมดีใจจริงๆ ที่คุณแม่เห็นความดีของมิว”
“อ๋อ ได้ค่ะ”
พันกรกับประภาพรรณต่างตักซุปไก่ขึ้นกิน
พันกรนอนหมดสติอยู่บนเตียงนอน ปทุมวดีเปิดประตูพาบุหงากับดวงแก้วเดินเข้ามา ประภาพรรณนอนฟุบอยู่ที่โซฟา
“เรียบร้อย หนูแพน ตามแผนนะจ๊ะ”
“ค่ะ คุณป้าหญิง”
“คืนนี้ป้ายอมให้เรียกป้า พรุ่งนี้หนูต้องเรียกคุณแม่นะจ๊ะ”
“โอเค.ค่ะ"
บุหงารีบเปิดผ้าห่มแล้วลงไปนอนร่วมเตียงกับพันกร ดวงแก้วหันมาชี้ที่ประภาพรรณ
“เอาไงกับมันดีคะ คุณพี่”
ปทุมวดียิ้มเจ้าเล่ห์ พาประภาพรรณมานอนในห้องของตัวเอง มองด้วยความสะใจ หันมาบอกดวงแก้ว
“คืนนี้ให้นังมิวมันนอนห้องคุณพี่ แล้วคุณพี่ขอไปนอนห้องคุณน้องแทนหนูแพนนะคะ”
“จัดไปค่ะ คุณน้องตื่นเต้นอยากจะให้เช้าไวๆ จริงๆ เลยค่ะ”
ปทุมวดีกับดวงแก้วหัวเราะคิกคักที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้วพากันออกไป
ตอนเช้า พันกร บุหงา นอนคลุมผ้าห่มด้วยกันอยู่ บุหงายีหัวตัวเองให้ยุ่งๆ แล้วเริ่มร้องไห้ ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ดวงแก้วและปทุมวดีเปิดประตูพรวดเข้ามา
“อะไรกันเนี่ย”
“ตากร”
พันกรเริ่มรู้สึกตัวลุกขึ้นมามองภาพตัวเอง แต่ยังงัวเงีย แล้วมองบุหงา เขาตกใจมาก
“เฮ้ย”
บุหงาแกล้งร้องไห้ สะอึกสะอื้นคร่ำครวญว่าพันกรรังแกเธอตั้งแต่เมื่อคืน
“พี่กรเขา เขา”
ดวงแก้วรีบขยิบตากับปทุมวดีแล้วเล่นละครทำเป็นโวยวาย
“คุณพี่หญิงต้องรับผิดชอบนะคะ”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณน้อง ยังไงตากรก็ต้องรับผิดชอบหนูแพนค่ะ”
พันกรยังไม่หายมึน ได้แต่มองบุหงา ดวงแก้ว ปทุมวดี งงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามจะพูดค้าน
“แต่ผม ไม่ได้”
ประภาพรรณหัวกระเซิง เบลอๆ เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพักตัวเอง เห็นสภาพของพันกร บุหงา อยู่บนเตียงเดียวกัน เธอตกใจมาก แทบจะหายมึน ประภาพรรณมองกลับไปที่ปทุมวดี มองกลับไปที่พันกรซึ่งทำหน้ามึน แล้วถามขึ้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
ประภาพรรณเดินเข้าไปหาพันกร ลูบหน้า แหวกเปลือกตาดู จากประสบการณ์ของเธอ สภาพตอนนี้ของพันกรและตัวเองเหมือนคนถูกวางยานอนหลับ
“โดนวางยาชัวร์”
ประภาพรรณรีบตั้งสติ ตบที่แก้มตัวเองกับพันกรแรงๆ มองหน้าปทุมวดีกับดวงแก้วด้วยความโมโห ปทุมวดีร้อนตัวคนแรก รีบส่ายหน้าไม่รับรู้
“นี่หล่อน ฉันไม่รู้เรื่องนะ”
ดวงแก้วรีบขยับเข้ามาเบียดปทุมวดีไว้ ตกใจที่ประภาพรรณอาจจะรู้ทัน
“อย่ามามั่ว”
ประภาพรรณหันไปลากบุหงาให้ลุกจากเตียง บุหงาคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวๆๆๆ แกจะทำอะไรฉัน”
“ไปโรงพยาบาล”
ปทุมวดี ดวงแก้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ประภาพรรณหันไปมองพันกรที่เริ่มมีสติ แล้วออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
“คุณด้วย”
ประภาพรรณพยายามลากบุหงาให้ออกจากห้องให้ได้ แต่บุหงาก็ไม่ยอมทั้งผลักทั้งดันประภาพรรณออกไป ดวงแก้วกับปทุมวดีช่วยดึงบุหงาไว้ไม่ให้ประภาพรรณลากออกจากห้อง จนประภาพรรณเหนื่อยต้องยอมปล่อย
“งั้นไปกันทั้งสามคน จะได้รู้ว่าใครโดนวางยานอนหลับบ้าง”
“ยาอะไรกัน” บุหงาแกล้งถาม
“นั่นสิ” ปทุมรับมุกต่อ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงโรงพยาบาลก็รู้เองว่ายาอะไร”
“ฉันไม่ไป ฉันไม่รู้เรื่อง” ดวงแก้วรีบปฏิเสธ
“คุณแม่สามีกับคุณดวงแก้วก็ต้องไปเป็นพยานด้วย”
ดวงแก้วกับบุหงารีบขยับมาเบียดกับปทุมวดี จับมือกันไว้แน่นกลัวที่จะต้องไปโรงพยาบาล ประภาพรรณจ้องหน้าบุหงา พยายามค้นหาความจริง
“คุณคนแรกที่ต้องตรวจ คุณโตแล้วนะ จะไม่รู้ตัวเลยเหรอว่ามี Something อะไรกับใคร สักนี้ด ถ้าคุณกรปล้ำคุณ ข่มขืนคุณ มันต้องมีหลักฐานที่ตรงนั้น”
ประภาพรรณพูดย้ำแล้วจ้องหน้าบุหงาพร้อมกับมองจิกตาลงต่ำ บุหงาสะดุ้งแล้วรีบแก้ตัวเสียงอ่อยๆ แบบน้ำขุ่นๆ เลยกลายเป็นหลงกลประภาพรรณ
“ก็ ก็ ฉันถูกวางยาไงเลยไม่รู้เรื่อง”
“นั่นไง ก็ถูกวางยากันหมด แล้วคุณกรจะไปทำอะไรคุณได้”
บุหงาอึ้ง ไม่รู้จะตอบประภาพรรณต่ออย่างไร
“ถ้าคุณยังยืนว่าถูกคุณกรรังแกจริง ในฐานะที่มิวเป็นเมียถูกต้องทุกอย่าง ยุคนี้แล้วขอบอกว่าฉันไม่ถือ แต่คุณแพนน่ะเสียฟรีๆ เอามั้ย”
บุหงากรีดร้อง ด้วยความโกรธที่โดนประภาพรรณดูถูก
“แก นัง”
ดวงแก้วมองปรามให้บุหงาหยุด ปทุมวดีกลัวความจริงจะแตกเลยตัดบท
“พอแล้ว จะไม่มีใครไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปตรวจไปเป็นพยานอะไรทั้งนั้น แยกย้ายไปห้องใครห้องมัน ห้ามถามห้ามพูดเรื่องนี้อีก จบนะยะหล่อน”
ปทุมวดีจ้องประภาพรรณเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ประภาพรรณตอบยิ้มๆ
“จบค่ะ คุณแม่สามี”
ดวงแก้วรีบพาบุหงาออกไปจากห้องนั้น บุหงาหน้าบึ้ง โกรธประภาพรรณมากที่ทำเสียแผน ปทุมวดีเซ็งมาก แต่ทำอะไรไม่ได้ จำใจออกไปอีกคน ประภาพรรณมองหน้าพันกร
“ผมขอโทษ”
ประภาพรรณโบกมือห้ามพันกรว่าตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไร แล้วลงนั่งอย่างหมดแรง
ประภาพรรณแอบมานั่งใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผ่านมาเศร้าๆ พันกรเดินเข้ามาโอบกอดภรรยาไว้
“ผมไม่รู้จะอธิบายให้มิวเชื่อใจว่าไม่มีอะไรยังไง เพราะมันน่าละอายที่มีเรื่องแบบนั้น”
ประภาพรรณหันมาเผชิญหน้ากับพันกร น้ำตาคลอ พันกรเอานิ้วไล้ไปที่น้ำตาซึ่งร่วงลงมาจากดวงตาของภรรยา แล้วจะก้มลงจูบเพื่อเป็นการปลอบขวัญ แต่ประภาพรรณกลับเบือนหน้าหนี ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
“คุณกรไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วค่ะ มิวขออยู่คนเดียวนะคะ”
“โอเค.ครับ”
พันกรเดินจากมาหน้าเศร้า แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นสายจากเอกราช พันกรรับสาย
“ครับ ส่งพิกัดมาเลย”
จบตอนที่ 7