xs
xsm
sm
md
lg

สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 5 

ปทุมวดีเข้าไปกระซิบถามบุหงา
 
“แต่ป้าจะให้นังมิวมันล้างนะจ๊ะ หนูแพน”
บุหงากลับเชิดหน้าพูดด้วยเสียงดัง ตั้งใจให้พันกรได้ยินชัดๆ
“ท่าทางคุณมิว เธอคงเหนื่อย เพิ่งกลับมาถึงแล้วต้องไปล้างรถอีก ให้แพนทำนะคะ ถือซะว่า แพนมาอาศัยบ้านคุณหญิงป้า ก็ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ละกัน นะคะคุณหญิงป้า”
ปทุมวดีอึกอักทำตัวไม่ถูก บุหงาไม่รอให้ปทุมวดีอนุญาต รีบไปหยิบสายยางฉีดน้ำ อุปกรณ์ล้างรถออกมาเตรียมพร้อม ประภาพรรณมองหน้าพันกร แล้วมองบุหงาขำๆ อย่างรู้ทัน
“โอ๊ะๆๆ คุณหนูแพน จะไหวเหรอคะ ล้างรถนะ ไม่ใช่แช่น้ำร้อนในสปา เหนื่อยนะ คุณแพน”
ประภาพรรณแกล้งพูดให้ทุกคนได้ยินเช่นกัน บุหงาอึ้งไป เริ่มเครียด มองปทุมวดีกับพันกร ประภาพรรณแกล้งพูดต่อดังๆ
“ถ้าคุณแพนรู้สึกขยันขึ้นมากะทันหันจริงๆ อยากจะช่วยคุณแม่สามี ช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องล้างรถมันทุกคันเลยถึงจะถือว่าเจ๋งจริง”
“เอ่อ เอางั้นเหรอคะ”
“งั้นซิคะ”
“เอ่อ ได้ ค่ะ”
บุหงาฝืนยิ้มออกมา แล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาล้างรถ ปทุมวดีหันไปทำหน้ายักษ์ใส่ประภาพรรณ มองบุหงาด้วยความสงสาร แก๊งคุณหญิงต่างก็หน้าเจื่อนไปตามๆ กันที่ถูกประภาพรรณเอาคืน ราตรีเป็นห่วง
“หนูแพนจะไหวเหรอคะ”
ดวงแก้วสงสารลูก รีบเข้าไปช่วย
“นั่นซิคะ เดี๋ยวคุณแม่ช่วยนะคะ แม่ชอบล้างรถ สนุกดี”
ประภาพรรณยิ้มสะใจ พันกรส่ายหัวอย่างปลงๆ

เวลาผ่านไป สองแม่ลูกล้างรถหลายๆ คัน ฟองแชมพูเต็มไปหมดทุกคัน เดช สมหมาย แอบยืนดูอยู่ใกล้ๆ ดวงแก้วสภาพเละเทะ ผมกระเซิง มีฟองติดตามตัว ท่าทางเหนื่อยอ่อน บุหงาโพสท่าเซ็กซี่ แล้วปรายตามองพันกรตลอดเวลา เดช สมหมาย ยืนน้ำลายหก พันกรทนดูต่อไปไม่ได้
“พอเถอะครับ คุณแพน คุณน้าดวงแก้ว เดี๋ยวเป็นลมไปจะยุ่งกันใหญ่”
ประภาพรรณหันขวับ มองพันกรอย่างดุๆ แล้วหยิกเข้าให้
“คุณกรไม่ต้องเลยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แพนไหว”
บุหงาพูดเสร็จก็แกล้งเป็นลมใกล้ๆ พันกร แต่กะระยะผิด เลยล้มจริง ทุกคนร้องตกใจ พันกรรีบประคองบุหงาขึ้นมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ บุหงาได้ทีออเซาะและซบพันกรไม่ปล่อย
“ตายแล้วเสื้อผ้าเลอะเทอะหมดเลย ดูซิคะ จะใส่ได้ยังไง”
บุหงาถอดเสื้อตัวนอกออกด้วยท่าทางเซ็กซี่ ประภาพรรณยิ้มรู้ทัน ยื่นชุดหมีในมือให้บุหงาใส่
“นั่นซิคะ งั้นเปลี่ยนใส่ชุดนี้เลยดีกว่าค่ะ ผิวสวยๆ ของคุณแพนจะได้ไม่เสีย”
บุหงากัดฟันรับชุดมาอย่างเคืองๆ แต่ไม่กล้าโวยวาย ได้แต่พูดเสียงสะบัดใส่ประภาพรรณ
“ขอบใจ”
เดช สมหมาย รู้สึกขัดใจสุดฤทธิ์
“ผิวไม่เสีย”
“แต่เสียเส้นชะมัด”
ประภาพรรณยิ้มสะใจ

บุหงาและดวงแก้วล้างรถเสร็จแล้ว สองแม่ลูกหมดสภาพ นั่งกองรวมกันที่พื้นอย่างหมดแรง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ปทุมวดีและผองเพื่อนมองสงสาร รีบเข้าไปพยุงดวงแก้วและบุหงาให้ลุกขึ้นมายืน
“โถ คุณน้องดวงแก้ว หนูแพน เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยแย่เลย”
แม้ว่าบุหงาจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ยังฝืนยิ้ม สร้างภาพแม่พระเรียกคะแนนจากพันกร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหญิงป้า อะไรที่แพนสามารถทดแทนบุญคุณได้ แพนก็ยินดีค่ะ”
ราตรีว่ากระทบประภาพรรณ
“อุ๊ตะ หนูแพน ทั้งสวย ทั้งน้ำใจงามขนาดนี้ เลอค่ามาก สมแล้วล่ะค่ะที่คุณพี่ปทุมอยากจะได้ไว้เป็นลูกสะใภ้แทนใครบางคน”
ราตรีนำทัพเพื่อนคุณหญิงยิ้มหัวเราะออกมาอย่างสะใจที่หาจุดว่าประภาพรรณได้สำเร็จ แต่เมื่อทุกคนหันกลับไปมองก็ต้องเจื่อนเพราะประภาพรรณกับพันกรไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แว่วเสียงประภาพรรณดังมา
“ว้าย พอแล้วค่ะ คุณสามี”
ปทุมวดีและผองเพื่อน เห็นประภาพรรณและพันกรรดน้ำต้นไม้ไป ไล่จับและหยอกล้อกันไปด้วยบรรยากาศกุ๊กกิ๊กหวานชื่น บุหงามองทั้งคู่อย่างเจ็บใจ รู้ทันทีว่าการลงทุนล้างรถในครั้งนี้ไม่เป็นผล เธอกระทืบเท้าเร่าๆ ออกมาอย่างลืมตัว
“อ๊าย”
ปทุมวดีและเพื่อนมองตกใจ
“หนูแพน เป็นอะไรไปจ๊ะ”
บุหงาตกใจหน้าซีด ดวงแก้วทำหน้าดุใส่ที่บุหงาเกือบทำเสียเรื่อง แล้วรีบคิดหาข้อแก้ตัว
“สงสัยลูกแพนคงจะเหนื่อย พอร่างกายอ่อนล้ามากๆ ลูกแพนจะมีอาการกระตุกแบบนี้แหละค่ะ”
รัตนาตกใจ
“ต๊าย อย่างกับลมบ้าหมูเลยนะคะ”
สองแม่ลูกหน้าเหวอตกใจ ไม่คิดว่าคำแก้ตัวเล็กๆ ของตัวเองจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้
“ตายจริง ถ้าอย่างนั้นคุณพี่ว่า เรารีบพาคุณน้องดวงแก้วกับหนูแพนเข้าในบ้านกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวอาการจะกำเริบ”
“จริงด้วยค่ะ น่าเวทนาจริงแม่คู้ณ”
ปทุมวดีและเพื่อนเชื่อคำพูดของรัตนา รีบช่วยกันประคองบุหงาและดวงแก้วเข้าบ้านไป

ป้าบัวเผื่อน ป้าม้วนกำลังทำกับข้าวกันไปพลาง ฟังความแสบของประภาพรรณจากสมหมายและเดชไปพลาง ป้าม้วนยิ่งฟังก็ยิ่งแค้นแทนเจ้านาย ตักปลาร้าเพิ่มเข้าไปในครกส้มตำอย่างลืมตัว
“หนอย นังมิว มันร้ายนัก กล้าดียังไงมาใช้คุณดวงแก้วกับคุณแพนล้างรถ”
สมหมายและเดชนึกถึงตอนประภาพรรณยื่นชุดหมีให้บุหงาใส่แล้วพยักหน้าหงึกหงักไปมาอย่างเซ็งๆ
“ช่าย ร้ายมาก”
“ร้ายจนเราอดดูอะไรขาวๆ เนียนๆ เลย เฮ้อ”
สมหมายและเดชถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ป้าบัวเผื่อนและป้าม้วน มองสองหนุ่มงง
“แต่ข้าว่าพวกคุณหญิงก็ทำเกินไปนะ คุณมิวเพิ่งกลับบ้านมาแท้ๆ ดันไปรุมหาเรื่องเธอซะได้”
ป้าม้วนตวัดสายตาขวางมองป้าบัวเผื่อนไม่พอใจ ตักปลาร้าใส่ครกเข้าไปอีก
“อีบัวเน่า เอ็งพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ”
ป้าบัวเผื่อนสบตากับป้าม้วนอย่างไม่กลัวเกรง เติมน้ำมะขามเปียกเพิ่มลงไปในหม้อแกงส้ม
“ก็หรือไม่จริงล่ะ ถ้าคุณหญิงไม่ยกพวกมารุมแกล้งคุณมิวก่อน คุณมิวก็คงไม่เอาคืนแบบนี้หรอก”
ป้าม้วนโกรธป้าบัวเผื่อนมาก ตักปลาร้าสาดเข้าไปในครกอีกช้อน
“เอ๊ะ อีนี่ เอ็งนี่มันอกตัญญูจริงๆ เลยนะ คุณหญิงท่านมีบุญคุณแค่ไหน ทำไมไม่คิดบ้าง”
ป้าบัวเผื่อนชักโกรธป้าม้วนขึ้นมาจริงๆ เทน้ำมะขามเปียกลงไปหมดขวด แล้วหันมาประจันหน้าป้าม้วน
“ถ้าข้าไม่คิด ข้าไม่อยู่ให้คุณหญิงจิกหัวใช้ทำงานงกๆ มาเป็นสิบปีหรอก แต่ข้ามันคนทำงาน ไม่ได้มีเวลาไปนั่งเสนอหน้าประจบเจ้านายไปวันๆ เหมือนเอ็งหรอก อีม้วน”
“อีบัวเน่า นี่คิดจะลองดีกับข้าใช่ไหม”
“ลองแน่ แต่จะดีหรือเสีย ก็มาเลย”
อารมณ์เดือดของป้าม้วนและป้าบัวเผื่อนมาถึงขีดสุด ทั้งสองพุ่งเข้าใส่กัน ซัดจิกหัวกันนัวเนีย สมหมายและเดชรีบวิ่งเข้าไปพยายามจับทั้งสองป้าแยกจากกัน
“เอ้า เฮ้ย พวกป้าฟัดกันอีกแล้ว”
“พอๆ แยกๆ”
ระหว่างสมหมายและเดชกำลังจับสองป้าแยกกัน น้อยและแต้วก็เดินเข้ามา แต้วบ่น
“โอ๊ย เอาอีกแล้ว เมื่อไหร่พวกป้าจะเลิกทะเลาะกันซะทีเนี่ย ทำตัวเป็นสาวสก๊อยนัดตบกันหลังโรงเรียนไปได้”
น้อยมองป้าทั้งสองที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างลังเล อยากเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องทำงาน แต้วหันมาด่าน้อย
“นังน้อย ยืนเซ่ออยู่ทำไม มาช่วยกันจัดสำรับเร็วๆ สิ ป่านนี้พวกคุณหญิงหิวจนกินควายได้ทั้งตัวแล้วมั้ง”
น้อยตัดใจไม่ยุ่ง เข้าไปช่วยตักส้มตำและแกงส้มรสเด็ดของป้าทั้งสองใส่จานชามเตรียมจะยกออกไป
“เออ บอกดีๆ ก็ได้ รีบอยู่นี่ไง”
ป้าทั้งสองยังทำท่าฮึดฮัดใส่กัน แต่เดชกับสมหมายแยกไว้คนละมุม เลยได้แต่ส่งค้อนฝากแค้นและท้าทายด้วยสายตาพิฆาตแทน

จานส้มตำและถ้วยแกงส้มถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะอย่างสวยงาม ดวงแก้วและบุหงามองส้มตำและแกงส้มตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความหิว
“คุณพี่ต้องขอโทษคุณน้องๆ ด้วยนะคะ ที่ไม่ได้เตรียมอาหารดีๆ ไว้ให้ ไว้คราวหน้าคุณพี่จะสั่งเนื้อสเต็กจากออสเตรเลียไว้รอท่าเลยนะคะ”
“มิวว่าอาหารไทยๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนะคะคุณแม่สามี แต่ถ้าคุณหญิงอยากจะทานสเต็ก ไว้คราวหน้ามิวจะเป็นคนลงครัวเองเลยดีมั้ยคะ”
ปทุมดีส่ายหน้า มองค้อนประภาพรรณอย่างเจ็บใจ ยังโกรธเรื่องกะเพราหนูนาไม่หาย
“ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีประสงค์ร้ายเลยย่ะ”
ประภาพรรณกำลังจะต่อปากต่อคำกับปทุมวดีต่อ พันกรเห็นแม่และภรรยาตั้งท่าจะประกาศศึกกันอีกรอบ รีบหาเรื่องคุยเปลี่ยนประเด็น
“ผมว่าเราลงมือกินกันเลยดีกว่านะครับ”
บุหงาและดวงแก้วไม่รอให้พันกรพูดจบ ต่างคนต่างพุ่งเข้าจกส้มตำปลาร้าตรงหน้าอย่างหิวกระหายด้วยช้อนส้อม แต่แล้วไม่ทันใจ สองแม่ลูกเลยเปลี่ยนมาเปิบส้มตำปลาร้าและข้าวเหนียวด้วยมือเปล่าแทน
สองแม่ลูกทั้งเหนื่อยและหิว จกข้าวเหนียวขึ้นมาจิ้มน้ำปลาร้าเข้าปากเสียงดังอย่างเมามัน จนประภาพรรณ พันกรและเพื่อนของปทุมวดีนั่งมองทั้งคู่อึ้งๆ ดวงแก้วรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบผิดปกติ เริ่มรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตา รีบหันไปสะกิดบุหงาที่กำลังจกปลาร้าชิ้นโตเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“อะไรล่ะ แม่”
บุหงาเงยหน้าขึ้นมาเห็นประภาพรรณ พันกร ปทุมวดีและพวกคุณหญิงจ้องมองตัวเองอยู่ถึงกับหน้าเจื่อน รีบวางปลาร้าและข้าวเหนียวในมือลงทันที สองแม่ลูกลอบส่งสายตาให้กันอย่างร้อนรน
“เอ่อคือ ต้องขอโทษคุณพี่และทุกคนด้วยนะคะ คือน้องกับหนูแพนเห็นข้าวเหนียวส้มตำแล้วคิดถึงบ้านน่ะค่ะ”
“ใช่ค่ะๆ แล้วพอคิดถึงบ้านมากก็เลยเผลอใช้มือเปิบเอ่อ จก อุ๊ย หยิบกิน แบบวิถีล้านนาดั้งเดิมน่ะค่ะ”
ประภาพรรณมองกิริยาดิบเถื่อนของสองแม่ลูกแล้วแอบยิ้มออกมา ในที่สุดธาตุแท้ของดวงแก้วและบุหงาก็ค่อยๆ แสดงออกมาจนได้ พันกรได้แต่อมยิ้มไม่ว่าอะไร

หลังอาหาร ทุกคนพักผ่อนในห้องนั่งเล่น บุหงา ดวงแก้วอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อนี้มาก
“คุณน้องดวงแก้วกับหนูแพนนี่เก่งจังเลยนะคะ อาหารรสจัดขนาดนี้ คุณพี่ขอบายเลยค่ะ”
พวกปทุมวดีต่างมองสองแม่ลูกด้วยความอึ้งและทึ่งที่นั่งทานส้มตำและแกงส้มรสจัดจ้านได้หมดจาน ดวงแก้วรู้สึกเมามันกับอาหารมื้อนี้มากเผลอลืมตัวอีกรอบเลยคุยเขื่องใหญ่โต
“แหม คุณพี่คะ แบบนี้ไม่เรียกว่ารสจัดนะคะ เขาเรียกว่าถึงเครื่องค่ะ แซ้บแซ่บ ปลาร้าเน้นๆ”
บุหงาเห็นปทุมวดีและผองเพื่อนมองดวงแก้วที่เมามันในการเม้าท์อย่างหวั่นใจ เลยขยับเท้าเข้าไป พยายามสะกิดให้ดวงแก้วหยุดพูด ปทุมวดีหันมาเห็นบุหงายุกยิก ก็สงสัย
“หนูแพน เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ นั่งยุกยิกเชียว”
รัตนาตกใจ
“เอ๊ะ หรือว่าอาการลมบ้าหมูจะกำเริบคะ”
บุหงาและดวงแก้วตกใจหน้าซีด พยายามจะแก้ตัว แต่พวกปทุมวดีไม่ฟัง รีบเข้ามาบีบนวดดูแลบุหงาเป็นอย่างดี ปทุมวดีทำท่าเหมือนคิดอะไรออก
“ตากร พาน้องแพนไปตรวจที่โรงพยาบาลทีสิลูก เผื่อน้องเป็นอะไรมาก จะได้รักษาทัน”
พันกรและประภาพรรณอึ้ง ไม่คิดว่าปทุมวดีจะใช้มุกนี้ ประภาพรรณรีบพูดขึ้น
“งั้นก็ให้กล้า”
ปทุมวดีสวนทันควัน
“ให้กล้าเป็นคนขับรถ ส่วนกรคอยนั่งดูแลน้องที่เบาะหลัง เผื่อน้องชักตาตั้งกัดลิ้นขึ้นมาจะได้ช่วยทัน”
ปทุมวดีมองสบตากับประภาพรรณอย่างเยาะหยัน ในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายชนะสักครั้ง
“ความเป็นความตายมันนับเป็นเสี้ยววินาที อย่าใช้ความหึงหวงต่ำๆ ของเธอ ทำให้ชีวิตคนดีๆ อย่างหนูแพนเป็นอะไรเลย”
ประภาพรรณอึ้งที่ถูกปทุมวดีตอกกลับมาแบบนี้
“เร็วสิตากร พาน้องไปโรงพยาบาลเร็วๆ”
ปทุมวดีหันกลับไปสั่งพันกร ที่จำใจอุ้มบุหงาออกไปตามคำสั่งของแม่
“ครับ คุณแม่”
บุหงาและดวงแก้วลอบส่งสายตาให้กันว่าเข้าทาง เพราะไม่คิดว่าอาการตื่นตูมของคุณหญิงจะทำให้ส้มหล่น ประภาพรรณมองพันกรอุ้มบุหงาเดินไปอย่างเซ็งๆ

กล้าขับรถไป มองบุหงาออเซาะพันกรผ่านกระจกมองหลังอย่างหงุดหงิด
“แพนเวียนหัวจังเลยค่ะ พี่กร”
“อดทนอีกนิดนะครับ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พันกรรีบรับสาย
“ครับ ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
พันกรกดวางสาย แล้วหันไปสั่งกล้า
“นายกล้าจอดรถเดี๋ยวนี้”
กล้าจอดรถตามคำสั่งของพันกรอย่างงงๆ พันกรรีบร้อน ตั้งท่าจะลงรถไป
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมต้องไปประชุมด่วน ฝากนายดูแลคุณแพนด้วยแล้วกันนะ กล้า”
พันกรรีบลงจากรถ เรียกแท็กซี่ไปอย่างเร็ว บุหงาอึ้ง ตกใจ พยายามจะเรียกพันกรไว้แต่ไม่ทัน
“พี่กร เดี๋ยวก่อนสิคะ”
กล้ามองบุหงายิ้มสะใจ บุหงาเห็นกล้ามองอยู่หันมาแหวใส่อย่างหงุดหงิด
“มองอะไร พี่กล้า”
“ก็ มองคนเงิบ ถูกผู้ชายทิ้งกลางถนนมั้ง”
บุหงาโกรธกล้ามาก พุ่งเข้ามาทุบตีจนกล้าโอดโอย
“ว้าย ไอ้ปากเสีย”
“ขอโทษๆ แหม แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้ เอางี้ เดี๋ยวเขาพาเตงไปทำไรหนุกๆ แก้เซ็งกันดีกว่า เนาะๆ”

บุหงามองค้อนๆ กล้าส่งสายตากรุ้มกริ่มใส่บุหงาแล้วเดินหน้าขับรถต่อไป




สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 5 (ต่อ)  

ที่ร้านกาแฟของนิโรบล นิโรบลกำลังคุยมือถืออยู่หลังเคาน์เตอร์ ไม่มีลูกค้า
 
“นิดเห็นมิวแล้ว”
นิโรบลโบกมือให้ ประภาพรรณยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้านกาแฟของนิโรบลพอดี
“โอเค.นิด”
ประภาพรรณวางสาย เดินเข้ามาเปิดประตูร้านกาแฟ นิโรบลยิ้มดีใจถลาไปรับเพื่อนรัก
“ดีใจจังที่มิวแวะมา ว่าจะโทรไปชวนก็วุ่นๆ มานั่งคุยกันก่อน”
นิโรบลกำลังจะปิดร้านพอดี ประภาพรรณตามเพื่อนไปนั่งที่โต๊ะหนึ่งในร้าน สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“หน้าเครียดมาเลย ดื่มอะไรดี”
“ไม่ดีกว่า”
“งั้นเล่ามา เกิดอะไรขึ้น”
ประภาพรรณและนิโรบลนั่งคุยกันหน้าเครียด
“โห ศึกแม่ผัวลูกสะใภ้ของจริง เน่ากว่าในละครอีกนะเนี่ย”
“เฮ้อ เพิ่งกลับมาจากฮันนีมูนแสนหวานกับคุณกรแท้ๆ ความสุขมันผ่านไปไวจริงๆ”
นิโรบลเห็นประภาพรรณเครียดเป็นห่วง บีบมือเพื่อนไว้ คอยให้กำลังใจ
“ไม่เอาน่า มิวยังมีนิดอยู่นะ เอางี้ ถ้าวันไหนไม่สบายใจ ก็มาหานิด มาช่วยทำกาแฟขายดีมั้ย จะได้ไม่ต้องคิดมากไง”
“ขอบคุณนะ นิด”
ประภาพรรณซึ้งในน้ำใจของนิโรบลมาก
“ไม่เป็นไรจ้ะ มิวมาหานิดได้เสมอ จำไว้นะว่ามิวยังมีนิดเป็นเพื่อน”
“แล้วก็ยังมีพี่ชายอีกคน”
ประภาพรรณและนิโรบลตกใจรีบหันไปมองที่ประตู เห็นเอกราชยืนอยู่ แววตาของชายหนุ่มจริงใจและเป็นห่วงประภาพรรณมาก

ตอนเย็น เอกราชขับรถพาประภาพรรณมาส่งหน้าบ้าน
“ขอบคุณพี่เอกนะคะที่มาส่ง”
ประภาพรรณตั้งท่าจะเดินเข้าบ้านไป แต่เอกราชจับมือเอาไว้ หญิงสาวตกใจ
“พี่เอก จะทำอะไร”
“พี่แค่จะบอกมิวว่ามีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ พี่ไม่ชอบเลยที่เห็นมิวไม่สบายใจแบบนี้”
ประภาพรรณสบตากับเอกราชอึ้ง แววตาของชายหนุ่มแสดงความรักและความหวังดีที่มีให้เธอจริงๆ
ระหว่างนั้นแท็กซี่คันหนึ่งเข้ามาจอด พันกรเดินลงมาเห็นประภาพรรณและเอกราชก็มองอึ้ง แปลกใจว่าทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไร ไม่เท่ากับว่า เอกราชจับมือภรรยาของเขาอยู่ ประภาพรรณเองก็ตกใจ รีบดึงมือกลับมา
“คุณกร”
พันกรไม่พอใจ รีบเดินเข้าไปโอบไหล่ประภาพรรณกันท่าทันที
“นี่ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ”
ประภาพรรณเห็นพันกรหน้าเครียดกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ รีบเล่าให้ฟัง
“พี่เอกเป็นรุ่นพี่ของมิว เป็นคนชักชวนมิวเข้าไปทำงานสายสืบที่เคยเล่าให้คุณกรฟังไงคะ”
เอกราชได้ยินประภาพรรณเน้นคำว่ารุ่นพี่แล้วใจแป้วแต่ก็จำต้องยืนยัน
“ใช่ครับ”
“แล้ววันนั้นที่ปราณ ทำไมมิวไม่บอกว่ารู้จักกับคุณเอกราช”
“คุณกรก็รู้จักพี่เอก แต่บอกมิวว่า มาผิดบ้านเหมือนกัน”
“คุณเอกราชกับผมทำงานลับด้วยกัน ไม่แปลกที่ผมจะไม่บอกความจริง แต่ถ้าผมรู้ว่ามิวรู้จัก”
“งั้นมิวก็ขอโทษคุณกรละกัน คือ มิวไม่คิดว่าจะได้เจอพี่เอก ยอมรับว่าตั้งตัวไม่ทันค่ะ”
“ในเมื่อเข้าใจกันแล้ว งั้นพี่กลับก่อน ไว้เจอกันนะ มิว ผมขอตัวนะครับ ผู้กอง”
เอกราชมองสบตาประภาพรรณอย่างเศร้าๆ เอ่ยลาพันกรตามมารยาทแล้วขับรถออกไป พันกรมองเอกราชไม่ไว้ใจ หงุดหงิดที่มายุ่มย่ามกับภรรยา หันมาทำหน้าเข้มใส่ประภาพรรณ
“ไว้เจอกัน หมายความว่าไง นี่มิวจะนัดเจอเขาอีกเหรอ”
“มิวไม่เคยนัดเจอพี่เอก ไม่เคยนัดเจอผู้ชายคนอื่นลับหลังคุณกร แล้วไม่เคยให้ใครอุ้มใครง่ายๆ” ประภาพรรณมองหน้าพันกรสายตากร้าว ยิ่งนึกถึงเรื่องพันกรอุ้มบุหงาไปหาหมอยิ่งหงุดหงิด
“ผม”
พันกรพยายามจะเข้าไปโอบกอดประภาพรรณไว้ แต่หญิงสาวเดินสะบัดตัวออกจากวงแขนของชายหนุ่มอย่างขัดเคือง
“มิวให้เกียรติคุณกรในฐานะสามีมาตลอด แล้วคุณกรล่ะ เคยเชื่อใจมิวบ้างมั้ย”
ประภาพรรณมองหน้าพันกรอย่างน้อยใจ พันกรหน้าเสีย รู้สึกผิดเรื่องที่ตัวเองอุ้มบุหงาขึ้นมาทันที
“ผมขอโทษ ผมจะไม่อุ้มผู้หญิงคนไหนอีก”
“แน่นะคะ”
ประภาพรรณมองค้อนพันกรอย่างไม่เชื่อ พันกรยิ้มเจ้าเล่ห์ พุ่งเข้าไปรวบตัวหญิงสาวขึ้นอุ้ม ประภาพรรณร้องตกใจ
“ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ขออุ้มผู้หญิงคนไหนอีก นอกจากเมียเท่านั้น”
พันกรอุ้มประภาพรรณเข้าไปในบ้าน แล้วหมุนไปรอบๆ บ้าน ทั้งสองคนหัวเราะร่าเบิกบาน บรรยากาศตึงเครียดถูกแทนที่ด้วยความรักหวานซึ้ง

ปทุมวดีรู้ว่าพันกรติดงานด่วน ให้กล้าไปส่งบุหงาหาหมอแทนไม่พอ ยังอุ้มประภาพรรณเข้าบ้านมากระหนุงกระหนิงอีกก็ไม่พอใจ
“อะไรกันตากร ลูกทิ้งน้องแพนให้ไปกับนายกล้า”
“แย่แล้ว น้องแพนของแม่”
ดวงแก้วแสร้งเป็นห่วง พันกรหน้าเสียเล็กน้อย
“ผมขอโทษครับ คุณแม่”
ปทุมวดีและดวงแก้วได้แต่อึ้งที่แผนการจับคู่ครั้งนี้ล้มเหลวอีก ยิ่งปทุมวดีมองประภาพรรณอยู่ในอ้อมแขนลูกชายก็ยิ่งไม่พอใจ สะบัดพัดในมือพรึ่บๆ ก่อนจะแขวะลูกสะใภ้
“ผู้หญิงสมัยนี้ก็แปลกนะคะ คุณน้องดวงแก้ว ขาตัวเองมีไม่รู้จักเดิน เอาแต่ออดอ้อนออเซาะให้ผู้ชายอุ้ม”
ประภาพรรณหันไปส่งยิ้มสะใจให้ปทุมวดี แล้วเริ่มยั่วประสาทต่อ
“แต่มิวว่ามันก็ไม่แปลกนะคะ คุณแม่สามี ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของเรา”
คำพูดเจ็บแสบของประภาพรรณทำเอาปทุมวดีและดวงแก้วอึ้ง พูดไม่ออก ประภาพรรณเห็นทั้งสองทำหน้าบอกบุญไม่รับยิ่งสะใจ หันไปออดอ้อนพันกรต่อ
“คุณกรคะ มิวปวดหลังจังเลยค่ะ วันนี้คุณกรช่วยนวดหลังให้หน่อยได้มั้ยคะ”
พันกรเห็นท่าทางไม่พอใจของแม่และดวงแก้ว ตัดสินใจเดินออกมาก่อนที่ประภาพรรณจะเปิดสงครามขึ้นอีกรอบ
“ได้สิครับ ไป เดี๋ยวผมดูให้ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พันกรอุ้มพาประภาพรรณเดินขึ้นห้องไป ปทุมวดีมองทั้งคู่อย่างเจ็บใจ ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะประภาพรรณไม่ได้สักที ป้าม้วนคันปากรีบยุยงทันที
“นังมิวนี่มันร้ายจริงๆ นะเจ้าคะ คอยตามรังควานคุณหญิงยังกับเจ้ากรรมนายเวรเลย”
แต้วพูดบ้าง
“โอ๊ย คนอย่างมันไม่มีทางได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณหญิงหรอกน่าป้า อย่างมากก็แค่ตัวซวย”
“ใช่ นังมิวมันเป็นตัวซวยของฉัน”
แต้วเห็นปทุมวดีเข้าข้างหันมายิ้มเยาะใส่ป้าม้วน ป้าม้วนเบ้ปาก ไม่ยอมแพ้รีบพูดเอาหน้าบ้าง
“พรุ่งนี้วันพระใหญ่พอดี ม้วนเตรียมสำรับสำหรับใส่บาตรให้คุณหญิงไล่ตัวซวย ดีมั้ยเจ้าคะ”
“ดี เตรียมไว้เยอะๆ ฉันน่ะอยากจะไล่นังตัวซวยนี่ออกจากบ้านเร็วๆ แล้ว”
ปทุมวดีเจ็บใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังกำจัดประภาพรรณออกไปไม่ได้สักที ดวงแก้วกำลังนึกสงสัยว่าบุหงากับกล้าหายไปไหนกัน
ดวงแก้วเดินไปมาอยู่ในห้องอย่างร้อนใจ พยายามกระหน่ำโทร.ติดต่อบุหงาและกล้า แต่ไม่มีใครรับสาย
“โอ๊ย หายหัวไปไหนกันหมด ทำแบบนี้จะจับตากรนั่นได้ยังไง”
ดวงแก้วยีหัวอย่างหัวเสียกับความไม่ได้เรื่องของบุหงาและกล้า
“โฮ้ย ยิ่งอยู่ยิ่งเครียด ไปหาทางระบายความเครียดหน่อยดีกว่า”
ดวงแก้วรีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินปังๆ ออกไป

กลางคืน กล้าขับรถเข้ามาส่งบุหงาหน้าบ้านพันกร ทั้งสองคนมีสภาพเสื้อผ้าหน้าผมหลุดลุ่ยไปหมด บุหงาตั้งท่าจะวิ่งเข้าบ้านไป แต่กล้ามาโอบเอวรั้งไว้
“พี่กล้า อย่ามารุ่มร่ามแถวนี้นะ”
บุหงาพยายามดิ้น แต่กล้ากอดแน่นไม่ยอมปล่อย
“ไม่มีใครมาเห็นหรอกน่า มามะขอเค้าหอมเตงให้ชื่นใจอีกทีนะ”
“จะอะไรกันนักกันหนา รู้จักพอบ้างเหอะ”
กล้าโน้มตัวจะเข้าไปจูบแต่บุหงาไม่ยอม เบี่ยงตัวไปมา พยายามจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนของกล้า เดชเดินถือไฟฉายเข้ามาเห็น ตกใจมาก
“ไอ้กล้า แกกลับมาซะ โอว”
บุงหาและกล้าตกใจหน้าซีด บุหงารีบสะบัดตัวหลุดจากกล้าแล้ววิ่งตื๋อขึ้นบ้านไป กล้าหน้าแห้ง รีบหาข้อแก้ตัวก่อนที่เดชจะถาม
“ไอ้กล้า เมื่อกี้เอ็ง”
“เมื่อกี้คุณแพนจะล้ม ฉันเลยเข้าไปช่วยประคอง”
เดชงง ไม่เชื่อที่กล้าพูด
“แต่เมื่อกี้ข้าเห็น”
กล้าหน้าซีดตกใจ ลุ้นว่าเดชจะพูดอะไรออกมา แต่ยังไม่ทันที่เดชจะได้พูดต่อ แต้วเดินเรียกกล้าเสียงหวานเข้ามา
“พี่กล้าจ๋า”
กล้าเห็นแต้วตกใจกลัว นึกถึงตอนที่ถูกแต้วลวนลามเมื่อวันก่อน
“จะ จ๋า”
“ขับรถมาเหนื่อยมั้ยจ๊ะ ฉันเตรียมน้ำเย็นๆ มาให้จ้ะ”
แต้วส่งยิ้มหวาน ยื่นแก้วน้ำให้กล้า แต่ยังไม่ทันที่กล้าจะรับ น้อยเดินเข้ามาอีกด้าน ยื่นแก้วน้ำส้มส่งให้กล้าเหมือนกัน
“กินน้ำส้มของฉันดีกว่าจ้ะ ทั้งเย็นสดชื่น ทั้งมีประโยชน์ด้วย”
แต้วและน้อยจ้องหน้ากันอย่างหาเรื่อง ทั้งสองสาวพร้อมจะประกาศสงครามแย่งชิงกล้า น้อยเอาไหล่เบียดกระแทกแต้วออกไปแล้วยื่นน้ำส้มให้กล้า
“นี่จ้ะ พี่กล้า เดี๋ยวน้อยป้อน”
แต้วเบียดน้อยกลับมาพยายามจะป้อนน้ำให้
“กินน้ำเปล่าดีกว่าจ้ะ พี่กล้า บริสุทธิ์ไม่เจือสารพิษ มาๆ”
น้อยกลับมาเบียดแต้ว แต้วเบียดกลับ บรรยากาศระหว่างสองสองเริ่มระอุขึ้น กล้าอาศัยจังหวะนี้ค่อยๆ ถอยออกมา
“พี่กล้าต้องกินของฉัน”
“ของฉันต่างหาก”
ทั้งสองสาวเบียดกันไปมาจนในที่สุดน้ำทั้งสองแก้วถูกสาดใส่เดชที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“พี่เดช”
เดชเนื้อตัวเปียกปอน มองสองสาว เซ็งมาก
“น้ำก็ไม่ได้ยกมาให้ แล้วทำไมข้าต้องซวยโดนสาดด้วยวะเนี่ย”
แต้วและน้อยยิ้มแหยให้เดช รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ

บุหงาปิดประตูห้องอย่างโล่งอก ที่เอาตัวรอดมาได้
“โฮ้ย เกือบถูกจับได้แล้วมั้ยล่ะ อีพี่กล้านะพี่กล้า”
บุหงามองไปรอบๆ ไม่เห็นดวงแก้ว ก็แปลกใจ
“แม่ แม่”
บุหงาเดินไปดูห้องน้ำ ไม่เจอ ชักสงสัย
“ไปไหนของเขานะ”
ดวงแก้วโทรศัพท์เข้ามา บุหงารีบรับสาย
“ฮัลโหลแม่ อยู่ไหนเนี่ย”
ดวงแก้วนั่งหน้าซีดคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ่อน เพราะถูกประดิษฐ์และลูกน้องหน้าเหี้ยมรายล้อมอยู่
“แพน ช่วยแม่ด้วย เสี่ยเป้จะฆ่าแม่”
ดวงแก้วเห็นประดิษฐ์ยกมีดขึ้นมากรีดคมมีดโชว์ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วสับมีดลงตรงหน้าดวงแก้ว
“เสี่ยเป้บอกว่ามีทางเดียวที่แม่จะรอด”
“หนูบอกแม่แล้วใช่มั้ย ว่าอย่าเพิ่งไปอย่าเพิ่งไป ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”
บุหงาหยุดฟังดวงแก้ว แล้วกระแทกเสียงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด
“แม่บอกเสี่ยว่ารอหน่อยแล้วกัน ขอเวลาอาบน้ำแต่งตัวก่อน”
บุหงาวางสายจากดวงแก้วไป กระทืบเท้าเร่าๆ ระบายความโกรธออกมา
“โอ๊ย นี่มันวันซวยอะไรของฉันวะเนี่ย”
บุหงาบ่นพึมพำ แล้วก้าวฉับๆ เข้าห้องน้ำไป

ตอนเช้า บุหงาและดวงแก้วทำลับๆ ล่อๆ อยู่กำแพงด้านหนึ่งของบ้านพันกร
“ไป แม่ ปีนเข้าไปเร็วเข้า”
“เฮ้ย นี่แกจะบ้าเหรอ จะให้ฉันปีนกำแพงเข้าบ้านเนี่ยนะ ฉันไม่ใช่พระนะ”
“จะพระหรือชี ก็หยุดโวยวายซะที แม่ทำตัวเองไม่ใช่เหรอ”
บุหงาหันไปดุใส่ดวงแก้ว ดวงแก้วหน้าเจื่อนเพราะรู้ว่าตัวเองผิดจริง เวลาเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องของกล้า แต้วเดินถือสำรับสำหรับใส่บาตรเข้ามา
“พี่กล้าจ๋า”
แต้วเคาะประตูแล้วร้องเรียกกล้าเสียงหวาน ตั้งใจจะชวนกล้าออกไปใส่บาตรด้วยกัน ขณะที่ดวงแก้วและบุหงากำลังลังเลว่าจะปีนดีไหม บุหงายกนาฬิกาขึ้นดูอย่างร้อนรน
“อีกสักพัก คุณหญิงจะออกมาใส่บาตรแล้วนะแม่ ไวๆ”
“เออๆ เอาวะ ปีนก็ปีน”
ดวงแก้วตัดสินใจปีนขึ้นไป บุหงามองแม่ลุ้นๆ เสียงน้อยตะโกนเข้ามา
“แกจะทำอะไรน่ะ”
ดวงแก้วตกใจนึกว่าน้อยจับได้ เสียหลักร่วงลงไปทับบุหงา สองแม่ลูกโอดโอยเจ็บปวด แต่ไม่กล้าร้องดังกลัวน้อยได้ยิน ขณะนั้นน้อยกำลังทะเลาะกับแต้วอยู่ น้อยถือถาดสำรับใส่บาตรเหมือนกัน
“เมื่อคืนก็อยู่รอจนดึก เช้ามาก็มาหาถึงห้องแบบนี้ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอวะ นังแต้ว”

“แหม ยังจะมีหน้ามาพูด แล้วแกล่ะ มาทำอะไรหน้าห้องพี่กล้า”




สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 5 (ต่อ)  

น้อยถูกแต้วสวน หน้าเสีย แต่ก็ยังทำหน้าเชิด แถต่อไป
 
“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่จะชวนพี่กล้าไปใส่บาตรด้วยกัน”
แต้วมองน้อยหมั่นไส้ ปัดถาดสำรับใส่บาตรของน้อยตกกระจายไป
“พี่กล้าเขาไม่ไปใส่บาตรกับแกหรอก นี่ เขาต้องใส่กับฉันว้อย”
น้อยโกรธมาก รีบเข้าไปแย่งสำรับกับข้าวในมือของแต้วเพื่อเอาคืน
“ถ้าพี่กล้าไม่ได้ใส่บาตรกับฉัน เขาก็ต้องไม่ได้ใส่กับแกด้วย”
“อ๊าย อีน้อย อีบ้า เอาของฉันคืนมานะ”
แต้วและน้อยยื้อแย่งสำรับกับข้าวกันไปมา จังหวะเดียวกับที่กล้าเดินเปิดประตูห้องออกมามึนๆ ยังไม่ตื่นดี สำรับกับข้าวหลุดจากมือน้อยและแต้วไปคว่ำใส่กล้า สองสาวตกใจ
“พี่กล้า”
หน้ากล้าเลอะไปด้วยกับข้าวสำหรับใส่บาตร กล้ามองแต้วและน้อยอย่างเซ็งๆ
“นี่ไง ใส่บาตรเสร็จแล้ว กรวดน้ำคว่ำขันด้วยเลยมั้ย”
สองสาวหน้าเสีย ก่อเรื่องอีกจนได้

บุหงาและดวงแก้วแอบปีนเข้าบ้านมาได้สำเร็จ ต่างหอบเหนื่อย
“โอ๊ย กว่าจะปีนเข้ามาได้ เกือบแย่”
“อย่าเพิ่งบ่นน่าแม่ ไปๆ รีบขึ้นห้องเร็ว”
บุหงารีบดันหลังดวงแก้วเข้าบ้านไป ก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น ขณะที่สองแม่ลูกเดินมาใกล้จะถึงหน้าห้องอยู่แล้ว ปทุมวดีก็ออกมาจากห้องนอนพอดี สองแม่ลูกเบรกตัวโก่ง รีบหลบมุมใจคอระทึก ปทุมวดีเหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ
“เอ๊ะ เราลืมปิดทีวีรึเนี่ย”
ปทุมวดีกลับเข้าห้องไปใหม่ สองแม่ลูกโล่งอก
“โอย ทำไมอุปสรรคเยอะจัง”
“รีบไปเหอะแม่”
ปทุมวดีเปิดประตูออกมาอีกครั้ง สองคนตกใจรีบเบรกตัวโก่งที่เดิม คราวนี้บุหงาปิดปากดวงแก้วไม่ให้ส่งเสียง ปทุมวดีหยุดนิดหนึ่ง แล้วเดินผ่านสองแม่ลูกไป ทั้งสองถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบเดินแกมวิ่งเข้าไปห้องได้สำเร็จ ต่างเหนื่อยสาหัส
“หัวใจจะวาย เหนื่อยแทบขาดใจ”
บุหงาหันมาจ้องมองหน้าแม่
“แม่ก็ควรเลิกหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ฉันได้แล้ว บอกตรง ฉันเหนื่อยที่ต้องคอยเอาตัวเข้าแลก เพื่อแก้ปัญหาให้แม่”
ดวงแก้วหน้าจ๋อยแต่ก็หาเหตุผลมาบอกลูกสาวให้เห็นถึงข้อดีของการเป็นเด็กเสี่ยเป้จนได้
“เออน่า แค่รับจ็อบกิจกรรมเข้าจังหวะกับเสี่ยเป้ เสียเหงื่อไม่กี่หยด แล้วเงินเป็นฟ่อนก็ปลิวเข้ากระเป๋าง่ายๆ ขืนแกรอเป็นสะใภ้บ้านนี้ ได้อดตายก่อนจะถึงสวรรค์”
บุหงาพยักหน้าจำยอม เริ่มเครียด สักพักก็ยิ้มออก คิดแผนการออกว่าจะหาเงินอย่างไร
“นึกออกแล้ว ฉลาดอย่างแพนซะอย่าง”
ดวงแก้วและบุหงาฝืนร่างที่เหนื่อยล้าจากการไม่ได้นอนทั้งคืนเพื่อลงมาสร้างภาพเป็นคนดีร่วมใส่บาตรกับปทุมวดี พันกรและประภาพรรณเดินตามกันออกมาเพื่อใส่บาตรเช่นกัน ประภาพรรณเห็นบุหงาหน้ายังแน่นเครื่องสำอางจัดเต็ม อดแซวไม่ได้
“โห คุณแพนเนี่ยสวยตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ ขนาดเพิ่งตื่น หน้ายังแน่นขนาดนี้ ถ้าตื่นเต็มที่หน้าจะแน่นขนาดไหน”
บุหงาโกรธมาก ทำปากขมุบขมิบ แต่ไม่กล้าเหวี่ยงวีนเพราะอยู่ต่อหน้าปทุมวดีและพันกร ปทุมวดีเจ้ากี้เจ้าการบอกให้พันกรมาใส่บาตรร่วมกับบุหงา
“ตากรมาทางนี้สิลูก มาใส่บาตรกับหนูแพน”
“ผมใส่กับมิวดีกว่าครับ คุณแม่”
ปทุมวดีอ้าปากจะต่อว่าลูกชาย แต่ป้าบัวเผื่อนและน้อยยกสำรับอาหารของประภาพรรณและพันกรเข้ามาวางให้
“ชุดนี้ของคุณกรกับคุณมิวค่ะ”
ปทุมวดีค้อนขวับ หันมาเจอพระพอดีรีบปรับอาการ พระรูปแรกเดินมารับบาตร พันกรกับประภาพรรณพากันใส่บาตร พันกรยอมให้ภรรยาถือทัพพีเหนือกว่า ปทุมวดียิ่งมองก็ยิ่งเจ็บใจที่ลูกชายแข็งขืนกับตัวเอง แต่กลับยอมประภาพรรณ
“ตากร ไปยอมให้เมียถือทัพพีเหนือกว่าได้ไง โบราณเขาถือ”
พันกรยิ้มให้แม่นิดๆ
“สมัยนี้ไม่มีใครเค้าถือแล้วล่ะครับคุณแม่”
“แต่ว่า”
“คุณหญิงมาตักบาตรทำบุญ ทำใจให้ผ่องแผ้วดีกว่านะคะ”
ประภาพรรณแอบยิ้มขำๆ หน้าปทุมวดี ปทุมวดีถลึงตาใส่พอดีกับพระเดินเข้ามารับบาตร ปทุมวดีเลยต้องสำรวมแล้วใส่บาตรพระแทน บุหงากับดวงแก้วแอบสบตากันแบบเบื่อหน่ายที่ปทุมวดีแพ้ประภาพรรณอีกยก

ปทุมวดีนำทีมบุหงาและดวงแก้วใส่บาตรพระเสร็จแล้วประนมมือไหว้ ประภาพรรณและพันกรพากันใส่บาตรพระจนครบเรียบร้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเช่นกัน พวกปทุมวดีพากันมองทั้งสองคนด้วยความหมั่นไส้ ป้าม้วนกับแต้วก็ส่งค้อนให้กับป้าบัวเผื่อนและน้อยที่ต่างถือหางเจ้านาย
พันกรและประภาพรรณช่วยกันกรวดน้ำกันเสร็จแล้วเอาไปเทที่โคนต้นไม้ พันกรหันไปหอมแก้มภรรยาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ประภาพรรณเขินอาย
“ชื่นใจจัง”
พวกปทุมวดีพากันมองแล้วแทบจะกรีดร้องด้วยความอิจฉา พันกรเดินมาบอกแม่
“ผมขอตัวไปทำงานนะครับ คุณแม่”
ปทุมวดีไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ พอพันกรเดินไปแล้ว ปทุมวดีก็หันมามองประภาพรรณหน้าตาบึ้งตึง ผิดกับประภาพรรณที่หน้าชื่น หันมาถามปทุมวดี
“คุณแม่สามีไม่กรวดน้ำเหรอคะ”
ปทุมวดีไม่รอช้า หยิบแก้วน้ำขึ้นมาเทรดบนศีรษะของประภาพรรณแล้วยิ้มเยาะ
“นี่ไง ฉันกรวดน้ำให้หล่อนแล้ว ช่วยไปที่ชอบๆ ซะทีนะ”
ดวงแก้ว บุหงา ป้าม้วนและแต้วเป็นลูกคู่พากันหัวเราะเยาะประภาพรรณ ป้าบัวเผื่อนกับน้อยตกใจ มองประภาพรรณอย่างเห็นใจ ประภาพรรณอึ้งไปสักพัก แล้วกลับมายิ้มอย่างสงบให้ พูดสวนกลับไป
“วันนี้วันพระ สงสัยพวกสัมภเวสีขี้อิจฉาแถวนี้จะอยากได้ส่วนบุญบ้าง”
ประภาพรรณพูดแล้วมองจ้องไปที่บุหงากับดวงแก้ว สองแม่ลูกอึ้งแล้วร้อนตัวคิดว่าประภาพรรณด่าตัวเองเป็นสัมภเวสี
“มันด่าใครลูก”
“เราก็อย่าไปรับสิ แม่”
ประภาพรรณยิ้มให้อีกครั้ง ไม่สนใจที่เปียกไปทั้งตัว
“มิวขอตัวเข้าไปทำความสะอาดห้องพระนะคะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณเดินเข้าไปด้านในบ้าน ป้าบัวเผื่อนและน้อยรีบตามติด ปทุมวดีเห็นว่าประภาพรรณไม่สะทกสะท้านอะไร ก็กระทืบเท้าเร่าๆ ที่แผนไล่ลูกสะใภ้ไม่สำเร็จสักที ตัดสินใจเข้าบ้านเช่นกัน บุหงา ดวงแก้ว ป้าม้วนและแต้ว ต่างยกขบวนตามเป็นแถว
ปทุมวดีเดินนำดวงแก้วและบุหงาเข้ามาในห้องรับแขก เจ็บใจมากที่ไล่ประภาพรรณออกจากบ้านไม่ได้
“เจ็บใจนัก เอาน้ำรดหัวแล้วมันก็ยังหน้าด้านหน้าทน ไล่มันยังไงก็ไม่พ้นทางซะที”
ดวงแก้วและบุหงากลัวแผนการหลอกเอาเงินที่เตรียมไว้จะเสีย รีบเข้าประจบทันที
“เราเพิ่งทำบุญมา คุณพี่อย่าไปใส่ใจเรื่องร้อนๆ เลยค่ะ”
“ใช่ค่ะ วันนี้ฤกษ์ดี เรามาคุยเรื่องของสวยๆ งามๆ ดีกว่านะคะ”
ปทุมวดีงง ไม่เข้าใจว่าสองแม่ลูกพูดเรื่องอะไร

ที่หน้าห้องพระ ประภาพรรณพยายามทำใจให้อดทนต่อคำดูถูกถากถางของปทุมวดี น้อยเอาผ้าขนหนูมาให้ประภาพรรณเช็ดผมที่เปียก สงสารประภาพรรณมาก คิดถึงคืนที่เห็นบุหงาออกมาจากห้องพระ
“คุณมิวคะ”
ประภาพรรณหันมามองหน้าน้อย
“น้อย มีอะไรเหรอจ๊ะ”
น้อยกำลังอ้าปากจะบอก แต่เสียงแต้วแว้ดดังเข้ามาก่อน
“นังน้อย มาหลบมุมอู้งานอยู่ตรงนี้เอง”
น้อยหันไปประจันหน้ากับแต้ว
“อย่าลืมสิว่าเป็นขี้ข้าเขา ไม่ได้มีผัวคอยคุ้มหัว ระวังจะตกงาน”
“เออ จะไปเดี๋ยวนี้ ก็ขี้ข้าเหมือนกันแหละว้า”
น้อยหันมามอง ประภาพรรณเดินจากไปแล้ว เลยยังไม่มีโอกาสบอก

ดวงแก้วและบุหงายื่นสร้อยเพชรเม็ดโตให้ปทุมวดีชื่นชม
“สร้อยเพชรเส้นนี้เป็นสร้อยประจำตระกูล ณ น่านฟ้า สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษค่ะ พี่หญิงปทุมวดี”
“เพชรสีชมพู น้ำงามอย่างนี้ หายากมากนะคะ คุณหญิงป้า”
ปทุมวดีรับสร้อยเพชรสีชมพูไปดู ป้าม้วนอดจะชะโงกหน้าเข้ามาสอพลออยากรู้อยากเห็นไม่ได้
“เพชรเม็ดโต้โต สวยจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหญิง”
“ก็สวยดี ว่าแต่คุณน้องเอามาให้ดูทำไมคะ”
สองแม่ลูกได้โอกาสที่ปทุมวดีตกหลุมพรางเลยรีบเล่นละครที่เตี๊ยมกันไว้ก่อนหน้านั้น
“พอดีว่าการซ่อมคุ้มที่เชียงรายเกินงบไปมาก ใช่มั้ยลูกแพน”
“ใช่ค่ะ แพนกับคุณแม่เลยตัดสินใจว่า เราอยากจะรักษาคุ้มเอาไว้ให้เป็นเกียรติเป็นศรีกับตระกูล สร้อยเพชรนี้แม้จะเป็นมรดกสืบทอดมานาน แต่โอกาสที่จะเอามาใช้ก็คงยาก”
“คุณน้องเลยเห็นด้วยกับลูกแพนว่า เราเอาสร้อยเพชรสีชมพูออกมาขายหาเงินทุนไปซ่อมแซมคุ้ม น่าจะเหมาะสมที่สุดค่ะ”
สองแม่ลูกแอบหันมายิ้มร้ายให้กัน นึกถึงเรื่องในอดีต เมื่อบุหงาสวมสร้อยเพชรเส้นนี้ แล้วขึ้นไปเต้นพร้อมๆ กับเพื่อนในทีมหางเครื่อง เพชรเก๊เมื่อโดนแสงไฟก็วูบวาบไปตามจังหวะเพลง
ประภาพรรณเดินเข้ามามองสองแม่ลูกที่เอาสร้อยเพชรมาเสนอขายปทุมวดี ปทุมวดีมองสองแม่ลูกด้วยความเห็นใจ เผลอถามราคา
“ถ้าจะขาย ขายเท่าไหร่จ๊ะ”
ประภาพรรณตัดสินใจเข้ามาขัดจังหวะการซื้อขายเพชรของสองแม่ลูกเพราะดูออกว่าของเก๊ พูดแขวะขึ้น
“เพชรพาหุรัด เกรดสำเพ็ง สองพันก็แพงแล้วค่ะ คุณแม่สามี”
ปทุมวดีไม่พอใจหันไปเหวี่ยงใส่ประภาพรรณทันที เพราะอคติเลยพาลคิดว่าดูถูกตัวเองมองของเก๊ไม่ออก
“หล่อนเป็นแค่พวกไม่มีสกุล ชาตินี้ไม่เคยได้จับต้องของเลอค่าอย่างนี้ อย่ามาทำเป็นรู้ดี”
แต้วกับน้อยพากันยกของว่างเข้ามา แล้วไม่ไปไหน สนใจว่าเจ้านายทำอะไรกัน
“จริงค่ะ คุณแม่สามี มิวคงไม่มีวาสนาเป็นเจ้าของเพชรแท้ราคาแพง แต่พอดีมิวเคยได้สัมผัสของเก๊เกรดเอจนชำนาญ เลยไม่อยากให้คุณแม่สามีโดนตุ๋นจากแก๊งสตรอขั้นเทพ”
บุหงาเชิดหน้าวางมาดคุณหนูไฮโซ พูดขึ้นด้วยความมั่นใจมาก
“คุณมิวพูดอย่างนี้เหมือนแพนกับคุณแม่เอาเพชรปลอมมาย้อมแมวขายคุณหญิงป้านะคะ”
ประภาพรรณกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ปทุมวดีกลับเกิดมีทิฐิขึ้นมาบวกกับหมั่นไส้ที่ประภาพรรณทำเป็นรู้ดีเลยตัดสินใจซื้อประชด
“ป้าจะช่วยซื้อไว้นะจ๊ะ หนูแพน”
บุหงารีบเข้าไปกราบปทุมวดีที่ตักทันที
“กราบขอบพระคุณคุณหญิงป้ามากค่ะ”
ปทุมวดียิ้มให้ ดีใจที่ได้ช่วย มองสร้อยเพชรอย่างชื่นชม แล้วส่งค้อนใส่ประภาพรรณ
“ไหว้พระเถอะ หนูแพน อย่าคิดมากนะจ๊ะ เราคนกันเอง ว่าแต่จะขายเท่าไหร่จ๊ะ ป้าจะได้ให้คนไปเบิกเงินสดมาให้เลย”
ประภาพรรณส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าห้ามไปก็คงไม่ได้ผล ทำท่าจะเดินออกไป แต่ปทุมวดีกลับเรียกไว้
“หล่อนอย่าเพิ่งไป เดี๋ยวไปเบิกเงินที่แบงก์ให้ฉันด้วย”
“ได้ค่ะ คุณแม่สามี”
ปทุมวดีหันไปสั่งป้าม้วนกับแต้ว
“อ้อ ม้วน แต้วไปคุมด้วยนะ เผื่อมีคนคิดไม่ซื่อ ยักยอกเงินฉัน”
“เจ้าค่ะ”
ป้าม้วน แต้วรีบประจบเอาใจปทุมวดี น้อยมองประภาพรรณเห็นใจมาก
 
ดวงแก้วและบุหงามองหน้าประภาพรรณเยาะๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชนะ ประภาพรรณเจ็บใจแต่ไม่ยอมแพ้




สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 5 (ต่อ)  

ประภาพรรณโผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมป้าม้วนที่ดูเหนื่อยอ่อนเหมือนผ่านศึกมาอย่างหนัก
 
ปทุมวดีไม่สนใจเปิดฉากด่าลูกสะใภ้เป็นชุดทันที
“ทำไมหล่อนกลับช้าอย่างนี้ แค่ให้ไปธนาคารหน้าหมู่บ้าน ทำยังกับไปนรก จริงๆ ไปซะได้ก็ดี หล่อนมัวไปเถลไถลที่ไหนยะ”
ดวงแก้ว บุหงานั่งเชิดหน้ามองประภาพรรณถูกปทุมวดีว่าอย่างสะใจ
“ก็เงินไม่ใช่บาทสองบาท มิวก็ต้องรอบคอบนำมาให้ครบไม่ขาดแม้แต่บาทเดียวสิคะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณตอบมาอย่างมั่นใจ ปทุมวดีเลยหันไปถามป้าม้วนที่ยืนหน้าเสียอยู่
“ว่าไงนังม้วน แกดูแลให้เบิกเงินมาครบถ้วนหรือเปล่า”
ประภาพรรณไม่รอช้า หันไปโบกมือให้สัญญาณ น้อยลากกระสอบทรายถุงใหญ่ 2 ถุงเข้ามาวางไว้ตรงหน้าปทุมวดี ปทุมวดีเปิดดู เห็นเหรียญมากมาย
“เหรียญอะไรยะมากมาย”
ป้าม้วนและแต้วโอดครวญด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนน่าเวทนา
“เหรียญพวกนี้แหละเจ้าค่ะ คุณหญิง ม้วนต้องนับจนมือหงิก”
“ใช่ค่ะ คุณมิวแลกแบงก์เป็นเหรียญแล้วให้เรานับ เลยกลับช้า”
“ถ้าคุณแม่สามีกลัวไม่ครบ จะลองนับดูใหม่ก็ได้นะคะ เชิญคุณดวงแก้ว คุณแพนมาช่วยกันนับด้วย ไม่งั้นได้ค่าสร้อยเพชรไม่ครบ จะมาโทษมิวไม่ได้นะคะ ตามสบาย มิวขอตัวก่อนค่ะ”
ประภาพรรณยิ้ม แล้วขอตัวแล้วเดินออกไป
“อี”
ปทุมวดีทำท่าจะเป็นลม แต่แล้วก็หันมามองหน้าดวงแก้วกับบุหงา
“คุณน้องกับหนูแพนเป็นเจ้าของเหรียญพวกนี้ เชิญนับได้เลยค่ะ”
สองแม่ลูกเซ็งมาก แต่จะไม่นับก็ไม่ได้เพราะอยากได้เงิน ดวงแก้วจึงหันไปสั่งแต้ว
“แต้ว ขอแรงไปตามนายกล้ามาหน่อยสิ”
“ใช่ ฉันจะให้นายกล้าช่วยนับ”
แต้วพยักหน้าแทนคำตอบแล้วเดินเพลียออกไป ปทุมวดีเจ็บใจมากกับวิธีเอาคืนสุดแสบของลูกสะใภ้

ภายในห้องประชุมที่กองปราบ พันกรกำลังประชุมกับลูกน้องเรื่องงาน จ่าหน้าห้องเปิดประตูเข้ามา
“ขอโทษครับ พอดีที่บ้านผู้กองมีเรื่อง แม่สั่งให้กลับด่วนครับ”
จ่าบอกพันกรด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะทำความเคารพแล้วออกไป ลูกน้องทุกคนในห้องหันมามองพันกรด้วยความสนใจ อมยิ้มน้อยๆ พันกรหน้าเสีย อายลูกน้องมากที่แม่โทร.มาตามถึงกองปราบ เมื่อพันกรกลับมาบ้าน ก็โวยวายใส่ประภาพรรณที่ไปหาเรื่องปทุมวดี
“ผมเคยขอร้องมิวแล้วไม่ใช่หรือครับ ทำไมต้องหาทางตอบโต้คุณแม่ทุกเรื่อง อย่างนี้เมื่อไหร่จะดีกันได้ล่ะครับ”
“คุณกร มิวก็ไม่อยากจะยุ่งกับคุณแม่หรอกนะคะ แต่คุณกรก็รู้ว่าเมื่อก่อนมิวเคยคลุกคลีกับวงการนี้มา ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่เอาเพชรปลอมมาย้อมแมวขาย มิวจะดูไม่ออก”
“เพชรปลอมหรือไม่ปลอม ผมว่ามิวปล่อยคุณแม่ไปเถอะ ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านอยากจะทำ อยากจะซื้ออะไรมันก็เรื่องของท่าน เงินของท่านนะครับ”
ประภาพรรณไม่ยอมแพ้ รีบหยิบสร้อยเพชรของปทุมวดี จากลิ้นชักหัวเตียง และหยิบสร้อยเพชรของดวงแก้วขึ้นมา เพื่อพยายามจะพิสูจน์ให้ดู
“นี่ไงคะ สร้อยเพชรแท้ของคุณแม่ แล้วนี่ก็สร้อยเพชรปลอมที่สองแม่ลูกนั่นมาหลอกขาย”
พันกรกลับเข้าใจผิดไปอีกเรื่อง
“นี่มิวแอบไปหยิบสร้อยเพชรของคุณแม่ตั้งสองเส้นเลยเหรอครับ ถ้ามิวอยากได้ทำไมไม่บอกผม ผมจะซื้อให้ มิวไปหยิบมาเฉยๆ มันเข้าข่ายขโมย อย่าเอานิสัยเก่ามาใช้ที่นี่”
ประภาพรรณอึ้ง เสียใจที่พันกรพูดจาดูถูก

ที่หน้าห้องพันกร พวกปทุมวดีโผล่หน้ามาทีละคน แล้วรวมหัวกันแอบฟังพันกรและประภาพรรณทะเลาะกันอยู่
“คุณกร หยุดดูถูกมิวเดี๋ยวนี้นะ”
“มิวสิหยุด”
พวกปทุมวดีไม่รู้ว่าทะเลาะเรื่องอะไรแต่ก็สะใจที่ได้ยินว่าประภาพรรณกับพันกรเสียงดังใส่กัน ต่างหันมายิ้มแล้วก็หัวเราะคิกคักให้กันอย่างสนุกสนาน
“สมน้ำหน้านังมิว โดนตากรดุเลย”
น้อยยืนมองการกระทำของพวกปทุมวดีอยู่ เห็นใจและสงสารประภาพรรณเหลือเกิน ตัดสินใจว่าต้องเล่าเรื่องบุหงาเข้าไปในห้องพระให้ได้
“คุณมิว น้อยต้องบอก”

ตอนเย็น ประภาพรรณเข้ามานั่งลงที่โต๊ะเตรียมอาหารในครัวอย่างเซ็งๆ แล้วถอนใจ น้อยมองประภาพรรณ แล้วถอนใจเช่นกันแต่เสียงดังกว่า สองคนสลับกันถอนหายใจ แต่น้อยถอนหายใจหนักกว่าจนประภาพรรณงง
“น้อยล้อเลียนฉันเหรอ”
“เปล่านะคะคุณมิว”
“อ้าว แล้วถอนหายใจทำไม”
น้อยเห็นแววตาห่วงใยจริงใจของประภาพรรณ แล้วก็ตัดสินใจ
“น้อยมีเรื่องจะบอกคุณมิวค่ะ”
ประภาพรรณมองน้อย รอฟังสิ่งที่จะบอก
“น้อยว่าคุณแพนแกแปลกๆ ค่ะ คุณมิว”
ประภาพรรณเลิกคิ้วมองด้วยความสนใจ
“มีอยู่คืนหนึ่ง น้อยเคยเห็นแกเข้าไปในห้องพระ แกทำลับๆ ล่อ อย่างกะขโมย แต่คุณแพนแกจะเป็นขโมยไปได้ไง น้อยคิดมากไปใช่มั้ยคะ คุณมิว”
ประภาพรรณตกใจกับข้อมูลที่ได้รับรู้ แต่ยังไม่อยากด่วนสรุป
“แล้วน้อยเห็นอะไรแปลกๆ อีกรึเปล่า”
น้อยนึกอยู่ชั่วครู่
“อ้อ พอแกออกจากห้องพระ น้อยก็เห็นแกไปคุยงุบงิบๆ กับใครไม่รู้ในสวนค่ะ”
“จริงเหรอ ถ้างั้นมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ น้อย ถ้าฉันสืบความจริงเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ น้อยช่วยฉันยืนยันกับทุกคนด้วยได้มั้ย”
“อย่าเลยค่ะคุณมิว น้อยไม่ยุ่งได้มั้ยคะ คุณแพนน่ะ คนโปรดคุณหญิงจะตายไป ขืนน้อยพูดไปก็ตกงานพอดี”
ประภาพรรณสลดเล็กน้อย ที่ได้ยินคำตอกย้ำว่าบุหงาเป็นคนโปรดของปทุมวดี น้อยรู้สึกผิด รีบแก้ตัว
“อูย น้อยไม่ได้ตั้งใจจะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้อย ฉันจะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง ยังไงความจริงก็ต้องเป็นความจริง”
ประภาพรรณมุ่งมั่น ในใจคิดไปถึงเรื่องการเปิดโปงบุหงา

ประภาพรรณเข้ามาในห้องพระ สำรวจพระบนหิ้งทีละองค์ แล้วสะดุดกับองค์พระสมเด็จ เธอยกมือไหว้แล้วหยิบมาดูใกล้ๆ ตกใจมากที่เห็นว่าเป็นพระสมเด็จปลอม
“นี่มันของปลอมนี่ เธอแน่ๆ ยัยแพน ฉันจะต้องแฉเธอให้ได้”
ประภาพรรณหยิบพระออกมา ใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ แล้วกำลังจะเดินออกไป ทั้งหมดอยู่ในสายตาพันกร พันกรเดินมาดักหน้าภรรยาไว้ด้วยความโกรธ ประภาพรรณตกใจ ที่เห็นพันกร
“คุณกร มาเงียบๆ มิวตกใจหมดเลย”
“ผมต่างหากที่ต้องตกใจ”
“พูดอะไรของคุณเนี่ย”
พันกรผิดหวังที่ประภาพรรณดูเหมือนเป็นผู้ร้ายปากแข็ง
“ผมไม่นึกว่ามิวจะโกรธเกลียดคุณแม่ขนาดนี้”
ประภาพรรณงงกับสิ่งที่สามีพูด เพราะที่จริงแล้วเธอก็ไม่เคยเกลียดปทุมวดีเลย
“คุณกร มิวไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“แล้วพระสมเด็จเข้าไปอยู่ในกระเป๋ามิวได้ยังไง”
“คุณกรกำลังเข้าใจผิดนะ ที่มิวหยิบพระก็เพราะมิวจะเอาไปให้คุณกรดู ว่าเนี่ยเป็นพระปลอม ของจริงน่ะ โดนเปลี่ยนไปแล้ว”
พันกรไม่อยากฟังประภาพรรณแก้ตัวและอาจเลยเถิดเป็นทะเลาะกัน เลยตัดบท
“มิวไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าคราวนี้ผมจะไม่บอกใครเพราะไม่อยากให้มิวมีปัญหากับคุณแม่อีก”
ประภาพรรณไม่ยอมโดนปรักปรำ จึงพยายามอธิบายให้พันกรเข้าใจ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มิวคิดว่าคนที่เปลี่ยนพระไป อาจจะเป็นคุณแพนนะ คุณกร”
“เหลวไหลน่ามิว กรว่าคนที่รู้ดีกว่าใครว่าพระองค์ไหนมีมูลค่าเท่าไร น่าจะเป็นมิวมากกว่าคุณแพนนะ”
ประภาพรรณมองพันกรอย่างไม่เชื่อหูว่า พันกรจะคิดกับเธอแบบนี้ เธอน้ำตาคลอ เงื้อมือตบหน้าชายหนุ่มอย่างเหลืออด พันกรกุมแก้มตัวเอง ตกใจ
“คุณไม่เคยลืมว่าฉันเคยมีอดีตยังไง ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่คิดว่าคุณจะเอาอดีตมาตัดสินฉันแบบนี้”
พันกรได้สติ คว้าแขนประภาพรรณไว้
“มิว มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
ประภาพรรณแกะมือพันกรออก หันมามองด้วยสายตารวดร้าว
“ผมขอโทษ ผมอาจจะพูดแรงเกินไป แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะมิว”
ประภาพรรณไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้อง สักพักก็คว้าโทรศัพท์มากดโทร.หานิโรบล ด้วยเสียงสั่นเครือ
“นิด มิวเอง”

พันกรนั่งอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ลูบหน้าตัวเองด้านที่โดนประภาพรรณตบ เหม่อคิดถึงเหตุการณ์ในห้องพระ ป้าม้วน แต้ว เดินผ่านมา เลยหยุดและแอบซ่อนตัวดูจากอีกมุมใกล้ๆ กัน
“คุณกรของฉันเป็นอะไรไปล่ะเนี่ย ทำไมมานั่งเหม่ออยู่คนเดียว”
“นั่นสิป้า ปกติเห็นตัวติดกันกับนังคุณมิวจะตาย”
“สงสัยจะทะเลาะกันนะ แกลองไปสืบซิ นังแต้ว”
“ได้เลยจ้ะป้า เรื่องเผือกขอให้บอก”
แต้วหัวเราะชอบใจ หันมาเจอน้อยที่กำลังจะมาเชิญพันกรไปกินข้าวเย็นพอดี
“นังน้อยมาพอดี นี่ แกรู้อะไรดีๆ แล้วลืมบอกฉันมั้ย”
“อย่างแกเนี่ย อยากรู้เรื่องดีๆ กับเขาด้วยเหรอ ฉันเห็นวันๆ เอาแต่สอดรู้เรื่องชาวบ้านไปทั่ว หลบ ฉันจะไปตามคุณพันกรไปกินข้าวเย็น”
“นั่นไง นี่มันหน้าที่นังคุณมิวเมียรักไม่ใช่เหรอ มันไปไหนซะล่ะ”
“แกนี่มัน”
“งั้นเรื่องที่ฉันสงสัยก็คงจริงสินะ”
แต้วยิ้มร้าย น้อยไม่สนใจแต้ว รีบเดินไปหาพันกร

แต้วยกสำรับอาหารเย็นเดินผ่านมาห้องรับแขก ปทุมวดีกำลังคลี่พัดออกพัดตัวเองอย่างอารมณ์ดี บุหงา ดวงแก้วนั่งอยู่ด้วยกัน บุหงาเสแสร้งเป็นมีน้ำใจ รีบลุกขึ้น
“แต้วไหวมั้ยจ๊ะ ให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”
ปทุมวดีมองบุหงาอย่างชื่นชมในน้ำใจ
“คุณดวงแก้วเลี้ยงหนูแพนมาดีจริงๆ นะคะ”
ดวงแก้วยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“พี่หญิงก็ชมเกินไปค่ะ”
แต้วดีใจนึกว่าบุหงาอยากจะช่วยจริงเลยส่งสำรับอาหารให้
“ดีเลยค่ะ คุณแพน ฝากถือแป๊บนะคะ แต้วมีเรื่องจะมารายงานคุณๆ อยู่พอดี”
บุหงาไม่รับสำรับสักที กัดฟันพูดเบาๆ ปากไม่ขยับ
“นี่ จะให้ฉันช่วยถือจริงๆ รึไง”
แต้วงงๆ หดสำรับกลับมา บุหงาแกล้งพูดเสียงดัง ให้ปทุมวดีได้ยิน
“แต้วว่าถือเองไหวเหรอจ๊ะ จ้ะๆ”
แต้ววางสำรับลงบนโต๊ะ แล้วหมอบตัวลงนั่งกับพื้น
“คุณหญิง คุณดวงแก้ว คุณแพนขา แต้วว่าตอนนี้ ขาเตียงคุณพันกรกับนังคุณมิวมันจะหักมิหักแหล่แล้วค่ะ”
ปทุมวดี ดวงแก้ว บุหงา มองหน้ากันแล้วเอ่ยปากอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอ”
“นังแต้วแกรู้อะไร รีบคายออกมาเลย”
แต้วยืดอกเล่าอย่างภาคภูมิใจ
“เรื่องมีอยู่ว่า”

ทั้งสามคนโน้มตัวลงไปสุมหัวกับคนรับใช้ด้วยความลืมตัว ฟังสักครู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
จบตอนที่ 5 



กำลังโหลดความคิดเห็น