xs
xsm
sm
md
lg

สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 2 

ที่ห้องเช่าราคาถูกของดวงแก้ว ดวงแก้วคุยโทรศัพท์แล้วยิ้มแย้มดีใจ
 
“ได้ค่ะ คุณหญิงราตรี แล้วพบกันที่สมาคมนะคะ”
ดวงแก้ววางสายแล้วเรียกหาลูกสาว
“แพน ลูกแพนจ๋า”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากบุหงา จากที่เรียกเสียงหวานกลายเป็นจิกเรียก
“แพน แพนจ๋า อีแพน”
บุหงาเปิดประตูห้องนอนออกมาในสภาพเพิ่งตื่นงัวเงีย แต่งตัวไม่เรียบร้อย
“แม่ จะแหกปากเรียกทำไมแต่เช้า”
“เช้าบ้าอะไร บ่ายแล้ว ตื่นซะที แล้วไอ้เสี่ยนั่นมันไปหรือยัง”
ภายในห้องบนเตียง เสี่ยเจ้าของร้านเพชรนอนกรนอยู่
“อยู่นั่นไง”
“รีบไล่มันไปไวๆ แกต้องรีบแต่งตัวให้สวยที่สุดไปสมาคมอนุรักษ์ช้างไทยกับแม่”
“ไปทำไมกัน ไอ้สมาคมฯ ที่ว่า”
“ผัวหล่อๆ รวยๆ ไฮโซๆ น่ะ แกไม่อยากได้แล้วหรือไง”
“อยากสิ”
ดวงแก้วชี้ไปที่เสี่ยร้านเพชร
“งั้นก็”
บุหงารีบไปปลุกเสี่ยร้านเพชรแล้วร้องเสียงดังบอก
“เสี่ย เสี่ย ตื่นเร็ว อาซ้อมารออยู่ด้านล่าง”
เสี่ยร้านเพชรได้ยินว่าเมียมารอก็ตื่นทันที บุหงารีบส่งเสื้อผ้าให้เสี่ย
“ตาย ตาย ตาย อั๊วไปก่อนนะอาแพน”
เสี่ยไม่วายหันมาหอมแก้มบุหงา แล้วส่งเงินให้อีกปึกใหญ่ ก่อนวิ่งออกไป ดวงแก้วแบมือขอเงินที่เสี่ยให้ไว้ แต่บุหงากลับหยิบแหวนวงที่ดวงแก้วคิดจะขโมยจากร้าน ส่งให้แทน
“อยากได้นักไม่ใช่เหรอ”
ดวงแก้วรับแหวนไป ยิ้มดีใจมาก
“ดีมาก ลูกรักของแม่ แต่งตัวให้สวยที่สุดเลยนะ เราจะจับเหยื่อรายใหญ่กัน”
“จัดให้ แม่จ๋า”

ที่สมาคมอนุรักษ์ช้างไทย คุณหญิงอมรา นายกสมาคมฯ ออกมารับไหว้แล้วต้อนรับปทุมวดีกับราตรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เชิญค่ะ คุณน้องปทุมวดี น้องราตรี วันนี้หน้าตาสดใส จะบริจาคให้สมาคมเท่าไหร่ดีค”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะคะคุณพี่หญิงอมรา เดี๋ยวปทุมเขียนเช็คให้ค่ะ”
“ว่าแต่คุณดวงแก้วกับหนูบุหงามาถึงหรือยังคะ พี่หญิงอมรา”
“มาได้สักพักแล้วค่ะ เชิญที่ห้องรับรอง ตามสบายเลยนะคะ”
ราตรีรีบพาปทุมวดีเดินไปที่ห้องรับรองของสมาคม บุหงาแต่งตัวสวยสง่าไฮโซยืนคู่กับดวงแก้ว ต่างยกมือไหว้ปทุมวดีอย่างนอบน้อม ทั้งสี่คนนั่งคุยกัน ปทุมวดีมองอากัปกิริยาน่ารักเรียบร้อยของบุหงาด้วยความปลาบปลื้มประทับใจ
“แหม หนูแพนที่ซ้วยสวยนะคะ น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวพรรณงดงามสมกับเป็นสาวเหนือจริงๆ”
“ไม่ใช่สาวเหนือธรรมดาด้วยนะคะคุณพี่ปทุม คุณดวงแก้วเธอเป็นทายาทของเจ้าคำฟ้า เจ้าเมืองเชียงรายเชียวนะคะ”
ปทุมวดีตาโตเคลิบเคลิ้มไปด้วย
“งั้นหรือคะ มิน่าถึงได้ดูสวยมีชาติมีตระกูลขนาดนี้”
“แหม ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณหญิง ดิฉันก็แค่ทายาทปลายสาย นี่ก็เพิ่งจะขาย เอ่อ เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯได้ไม่นานเองค่ะ”
ดวงแก้วเกือบหลุดพูดเรื่องขายคุ้มที่เชียงราย แต่พลิกกลับมาแถต่อได้อย่างแนบเนียนจนปทุมวดีและราตรีไม่ทันสังเกต
“เป็นถึงเจ้าทางเหนือ แล้วทำไมย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพซะล่ะคะ”
บุหงากลัวว่าดวงแก้วจะหลุดพูดอะไรไป จึงรีบตอบตัดบท ดึงความสนใจของปทุมวดีและราตรีมาที่ตัวเอง
“อ๋อ ที่แพนพาคุณแม่มากรุงเทพเพราะอยากจะทำตามความฝันของตัวเองน่ะค่ะ”
“เหรอจ๊ะ”
ปทุมวดีสนใจมาก
“แพนมีความฝันว่าอยากจะทำให้ผ้าไหมเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แพนก็เลยไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่อเมริกา แล้วก็กะจะหาที่ทางเปิดร้านที่กรุงเทพน่ะค่ะ”
ยิ่งได้ฟังเรื่องโกหกที่บุหงาคุย ปทุมวดีก็ยิ่งเคลิ้ม ปลาบปลื้มในตัวบุหงามากขึ้น
“หายากนะคะ คนรุ่นใหม่แต่มีหัวคิดอยากจะอนุรักษ์ความเป็นไทยแบบนี้ แหม ถ้าเรารู้จักกันเร็วกว่านี้ ตากรก็คง”
ปทุมวดีเครียดขึ้นมาทันที เสียดายที่รู้จักกับบุหงาช้าไป
“จริงสิคะ แพนเห็นข่าวว่าคุณพันกร ลูกชายของคุณหญิงเพิ่งจะแต่งงานนี่คะ”
“ก็นั่นแหละ ป้าถึงได้นั่งเสียดายอยู่นี่ไงล่ะคะ เสียดายจริงๆ”
ราตรีเห็นท่าทางของปทุมวดีแล้วรีบปลอบด้วยท่าทีมีเลศนัย
“คุณพี่ปทุมคะ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณพี่จะมาเสียดง เสียดายอะไรเลยนะคะ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่คุณพี่จะหาทางเขี่ยนังมิวออกไปให้พ้นๆ ทางต่างหาก”
ดวงแก้วและบุหงามองหน้ากันงงๆ แสร้งไม่เข้าใจที่ราตรีพูด
“นี่คุณหญิงราตรีหมายความว่ายังไงคะ”
ราตรียิ้มร้าย มีแผน แต่มองส่งสายตาให้ปทุมวดีพูดเอง
“คุณน้องราตรีหมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำให้ตากร ตาสว่างเห็นเพชรแท้ ดีกว่าก้อนกรวดริมทางยังไงล่ะคะ”
ดวงแก้วและบุหงาแกล้งมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจ
“แต่มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือคะ ทำให้สามีภรรยาเลิกกันแบบนี้ แพนกลัวบาป”
ราตรีรีบเสริมทันที
“บาปเบิปอะไรกันล่ะจ๊ะหนูแพน นี่เรากำลังทำบุญต่างหาก ชี้ทางสว่างให้กับคนที่หลงทางยังไงล่ะจ๊ะ”
“แล้วหนูแพนล่ะลูก อยากจะมาเป็นเพชรแท้ที่คู่ควรกับตากรลูกชายของป้ามั้”
บุหงาทำท่าทีอึกอักมองไปทางดวงแก้ว
“คือว่าดิฉันไม่นิยมให้ลูกสาวไปเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของใครหรอกค่ะ”
“ใครบอกคะ หนูแพนจะไปเป็นสะใภ้ตัวจริงของตากรต่างหากค่ะ คุณดวงแก้ว”
บุหงาได้ยินอย่างนั้นก็รีบตอบอย่างเอียงอายว่า
“ถ้าผู้ใหญ่เห็นสมควรยังไง แพนก็ไม่ขัดค่ะ”
คำตอบของบุหงาทำให้ปทุมวดีและราตรีดีใจมาก ทั้งสองแปะมือกันรัวๆ ฉีกยิ้มร่าอย่างสมใจ
“มันต้องอย่างนี้สิจ๊ะหนูแพน”
“หนูนี่แหละสวยเลอค่า เหมาะสมกับตากรเป็นที่สุด”
บุหงาและดวงแก้วมองหน้ากัน ลอบยิ้มร้ายออกมา

ที่ห้องเช่า ดวงแก้วกางหนังสือพิมพ์อ่านออกเสียงด้วยความตื่นเต้น
“คุณหญิงปทุมวดี นรินทร์จรรยา ภรรยาของรัฐมนตรีปรีชาชาญใจบุญทุ่มเงินบริจาคให้สมาคมอนุรักษ์ช้างไทยสิบล้าน”
ดวงแก้วปิดหนังสือพิมพ์ดังฉับ เดินมาหาบุหงาที่นั่งชันเข่าทาเล็บเท้าอยู่
“แพนลูกแม่ ทำบุญด้วยอะไรวะ อยู่ๆ ก็มีบุญหล่นมาทับแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้”
บุหงายิ้มร่า มั่นใจ
“โอ๊ยแม่ ของแบบนี้ไม่ต้องใช้บุญหรอก ใช้ความสวยล้วนๆ”
ดวงแก้วพลิกหนังสือพิมพ์หน้าถัดไป มีรูปพันกรอยู่
“นี่ดูสิ อีตาพันกรลูกชายของคุณหญิงนี่ก็หล่อใช่เล่นเลยนะ”
“หล่อๆ แซบๆ แบบนี้สิดี ปกติได้กินแต่ของแก่ๆ เหี่ยวๆ หรือไม่ก็หมูสามชั้น”
“ได้ดีแล้วอย่าลืมแม่นะว้อย”
“ไม่ลืมหรอกน่า ไว้ฉันได้เป็นสะใภ้นรินทร์จรรยาเมื่อไหร่ เราจะไม่ต้องทนอยู่ในห้องรูหนูนี่อีกต่อไป”
สองแม่ลูกหัวเราะร่าออกมาอย่างมีความสุข พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ทั้งสองเซ็ง
“สงสัยป้ามหาภัยจะมาเก็บค่าเช่าห้อง มาไวเคลมไวจริงๆ”
บุหงาหยิบเงินที่เพิ่งได้จากเสี่ยเมื่อเช้าออกมา หมายใจว่าจะปาใส่หน้าเจ้าของห้อง
“เดี๋ยวจะเอาเงินเนี่ยไปปาใส่หน้ามันสักหน่อย”
ดวงแก้วรับเงินจากบุหงามาแล้วอาสาไปจัดการ
“มา เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
ดวงแก้วเดินไปเปิดประตูรับ แต่กลับเห็นกล้ายืนหน้าเข้มอยู่ สองแม่ลูกตกใจมาก
“พี่กล้า”
กล้าเดินอาดๆ เข้ามาในห้อง มองบุหงาเครียด แต่แล้วในวินาทีต่อมาท่าทีของกล้าอ่อนลงไม่เหมือนรูปลักษณ์ที่ตัวใหญ่โต
“เตงหายไปไหนมา นี่เค้าโทรหาเตงทั้งวันเลยนะ”
บุหงาและดวงแก้วเซ็งกับความงอแง งี่เง่าของกล้ามาก
“โอ๊ย พี่กล้า จะตามจิกไปถึงไหน ฉันแค่ไปธุระกับแม่แล้วลืมเอามือถือไปด้วยแค่นั้นแหละ”
“แล้วไอ้ธุระที่ว่าคือการเข้าไปเป็นสะใภ้บ้านนรินทร์จรรยารึเปล่า”
ดวงแก้วกับบุหงาหน้าซีด ไม่คิดว่ากล้าจะได้ยินเรื่องที่พูดกัน
“ถ้าใช่แล้วเอ็งจะทำไม”
กล้าโกรธเริ่มโวยวาย
“น้าแก้วก็รู้นี่ว่าฉันกับแพนเป็นผัวเมียกัน น้ายังจะคิดแยกฉันกับแพนอีก”
“เอ็งอยากเป็นผัวมัน แล้วมีปัญญาเลี้ยงนังแพนกับข้ามั้ยล่ะ”
คำถามของดวงแก้วทำให้กล้าอึ้ง พูดไม่ออก บุหงาเห็นสีหน้ากล้าแล้วสงสาร
“พอแล้วแม่ จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม พี่เองก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันทำเพื่ออนาคตของเราสองคน พี่จะอดทนหน่อยไม่ได้หรือไง”
“งั้นก็สัญญามาก่อน ว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการหลอกเอาเงินเหมือนรายที่ผ่านๆ มา”
กล้ามองสบตาบุหงาจริงจัง หญิงสาวพยักหน้าแกนๆ รับปากอย่างไม่เต็มใจ โทรศัพท์กล้าดังขึ้นขัดจังหวะ เขาหยิบออกมาดูหน้าซีด
“ลุงเกิดโทร.ตามแล้ว พี่ไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่”
กล้ารีบวิ่งออกจากห้องไป ดวงแก้วและบุหงามองตามอย่างเซ็งๆ
“หูย ประคบประหงมกันซะจริ๊ง เมื่อไหร่แกจะเลิกกับไอ้กล้าสักทีวะ”
“เอาน่า อย่างน้อยอีพี่กล้ามันก็เคยมีบุญคุณกับฉันมาก่อน”
บุหงานึกถึงอดีตของตัวเองกับกล้า สมัยที่เธอยังเป็นหางเครื่อง

ด้านหลังเวทีลูกทุ่งในอดีต ทีมงานในคณะเดินวิ่งวุ่นวายกันไปหมด บุหงาเป็นหางเครื่องกำลังซ้อมท่าเต้นร่วมกับเพื่อนหางเครื่องด้วยกัน กล้าแต่งตัวเป็นตลกหน้าม่านยืนซักซ้อมคิวกับพี่ทีมงานอีกคนอยู่ ทั้งสองมองสบตากัน สายตากรุ้มกริ่ม
กล้าขึ้นไปบนเวทีประกาศเปิดงาน บุหงาและพวกทีมงานหางเครื่องวิ่งขึ้นเวทีจะไปประจำจุดของตัวเอง เท้าบุหงาเหยียบชายกระโปรงทำท่าจะล้ม กล้าถลาเข้ามารับหญิงสาวไว้ ทั้งสองสบตากันหวานซึ้ง
ภายในห้องพักของกล้า กล้าและบุหงานอนเปลือยกอดกันอยู่ หญิงสาวเริ่มออดอ้อน
“ถ้าพี่กล้าไปอเมริกาแล้วแพนจะอยู่ยังไง”
“แพนไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่จะขอลุงเกิดพาแพนไปอเมริกากับพี่ด้วย”
บุหงาดีใจมากที่จะได้ไปเมืองนอก กอดกล้าแน่น เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ บุหงาตื่นจากความคิดในอดีต สายตามุ่งมั่น ตัดสินใจ
“ไว้ฉันได้เป็นสะใภ้บ้านนรินทร์จรรยาเมื่อไหร่ เราค่อยหาทางกำจัดมันทิ้ง”
ดวงแก้วพยักหน้ารับรู้สิ่งที่บุหงาตัดสินใจ

ตอนเย็น เดชขับรถพาปทุมวดีกลับเข้าบ้านมา ปทุมวดีก้าวลงจากรถ จะเข้าบ้าน ประภาพรรณยิ้มร่าออกมายืนรอรับด้วยท่าทางกวนประสาท
“แหม คุณแม่สามีกลับซะเย็นเชียวนะคะ มิวรอตั้งนานแน่ะ”
“หล่อนมารอฉันทำไมยะ”
“มิวก็แค่เป็นห่วงว่า คุณแม่สามีเพิ่งจะเป็นลมเป็นแล้งเพราะออกแรงมาก กลัวจะล้มไปอีก มิวหวังดีจริงๆ นะคะ”
ปทุมวดีมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาโกรธมาก แค้นที่หลงกลถูกหลอกให้ซักผ้าไม่หาย
“ย่ะ เก็บความหวังดีของหล่อนกองไว้ตรงนั้นเหอะ”
ประภาพรรณไม่ตอบโต้ยังฉีกยิ้มหวานกวนประสาท ปทุมวดีเชิดหน้า เดินสะบัดผ่านประภาพรรณเข้าด้านในไปไม่สนใจ แต่แล้วเมื่อนึกวิธีเอาคืนได้ก็หันกลับมาสั่ง
“ฉันลืมบอกไปว่า พรุ่งนี้จะมีแขกพิเศษมาทานมื้อค่ำ ในฐานะสะใภ้ของบ้านนี้ หล่อนเป็นคนจัดการเรื่องอาหารก็แล้วกัน”
ปทุมวดีควักเงินในกระเป๋าออกมายื่นให้ ประภาพรรณมองเงิน 200 บาทในมืออึ้งๆ
“สองร้อยบาทเหรอคะ”
“ใช่ ซื้ออาหารมาทำใหม่ทั้งหมดด้วยเงิน 200 บาท”
“มันไม่”
“หรือว่าหล่อนทำไม่ได้ ฮึๆ แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะ สมองคนระดับหล่อน คงจะไม่มีความสามารถพอที่จะทำหน้าที่สำคัญๆ อย่างนี้ได้หรอก”
ปทุมวดียิ้มเยาะประภาพรรณอย่างสะใจ ประภาพรรณกำมือแน่น เจ็บใจที่ปทุมวดีดูถูกตัวเอง
“ใครบอกล่ะคะว่ามิวทำไม่ได้”
ประภาพรรณเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มหวานกลับไปให้ปทุมวดี
“แล้วฉันจะรอดูว่าอาหารค่ำฝีมือของหล่อน มันจะสมหน้าสมตาครอบครัวฉันมั้ย”
ปทุมวดีจ้องมองประภาพรรณคาดโทษแล้วเดินสะบัดเดินจากไป ประภาพรรณเครียด พยายามครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรเรื่องอาหารวันพรุ่งนี้ดี

ตอนเย็น เดช ป้าบัวเผื่อน และน้อยนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นกันอยู่
“เงินแค่ 200 บาทเนี่ยนะ คุณหญิงไม่โหดไปหน่อยหรือวะ”
“นั่นน่ะสิจ๊ะป้าบัว ทั้งของสดของแห้งก็มีอยู่เต็มตู้เย็นแต่ไม่ให้คุณมิวใช้ ให้ไปซื้อเอาใหม่”
“เฮ้อ คุณหญิงนะคุณหญิง ทำแบบนี้ข้าว่าแกล้งกันเกินไป”
ระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังนั่งกินข้าว คุยกันเรื่องนี้ ป้าม้วนและแต้วเดินถือกระบะเข้ามาทิ้งกลางห้องเสียงดังโครม จนทุกคนหันกลับมามอง
“แล้วพวกเอ็งไปเสือกเรื่องอะไรของคุณๆ ขี้ข้าก็อยู่ส่วนขี้ข้าสิวะ”
ป้าม้วนและแต้วทำท่าวางกล้ามใหญ่โตมาก จนป้าบัวเผื่อนและน้อยหมั่นไส้ ป้าม้วนทิ้งตัวลงนั่งร่วมวง หันไปสั่งแต้วให้คดข้าวมา
“นังแต้วรีบคดข้าวมาสิ เดี๋ยวเอ็งกับข้าต้องช่วยกันเก็บข้าวของออกจากตู้เย็นให้หมด กันแม่มิวมาแอบเอาไปใช้”
แต้วพยักหน้ารับคำป้าม้วน จะหันไปคดข้าวในหม้อใกล้ๆ ป้าบัวเผื่อน แต่ป้าบัวเผื่อนปิดฝาหม้อข้าวดังฉับ แต้วและป้าม้วนอึ้ง
“อะไรของเอ็งวะนังบัว”
“ข้าวหม้อนี้ ข้าหุงให้คนกิน ไม่ใช่ให้หมากินโว้ย”
“เอ๊ะ นี่เอ็งพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
แต้วรีบตอบป้าม้วนไป
“ป้าบัวเผื่อนด่าเราสองคนเป็นหมาน่ะจ้ะ ป้าม้วน”
“เออ รู้แล้ว เอ็งจะย้ำทำไม”
“ก็หรือไม่จริงล่ะ วันๆ การงานมีไม่รู้จักทำ เอาแต่เลียแข้งเลียขาเจ้านายอยู่ได้”
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ นังบัวเน่า หรือเอ็งอยากจะมีเรื่อง”
ป้าม้วนโกรธจัดพุ่งเข้าใส่ป้าบัวเผื่อนสุดแรง ป้าบัวเผื่อนหมุนตัวหลบได้โยนหม้อข้าวให้น้อยรับไป แต้วเห็นน้อยมีหม้อข้าวจะวิ่งไปแย่ง น้อยโยนกลับให้ป้าบัวเผื่อน ป้าม้วนและแต้วพุ่งเข้าไปจะแย่งหม้อข้าวอีก ป้าบัวเผื่อนโยนให้น้อย ทั้งสองคนโยนหม้อข้าวกันไปมาเหมือนกับเล่นลิงชิงบอล ทุกคนยื้อแย่งกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด
ประภาพรรณยืนอยู่หน้าห้องครัว ได้ยินที่คนใช้ตอบโต้กัน สีหน้ามุ่งมั่น แววตาเต็มไปด้วยไฟของการแข่งขัน
“เล่นไม่ซื่อกันแบบนี้นี่เอง คุณแม่สามี ไว้ลองชิมจานเด็ดของมิวโภชนาแล้วจะซึ้ง”

ประภาพรรณตาวาวตั้งใจเอาคืนให้เต็มที่








สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 2 (ต่อ)  

คืนนั้น พันกรเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมา เงินสองร้อยบาทวางบนโต๊ะ
 
เขามองกลับไปที่ประภาพรรณ ซึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง หน้าเครียดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พันกรรู้สึกเป็นห่วง จึงเดินเข้าไปกอดภรรยา พยายามเอาอกเอาใจ
“อุ๊ย คุณกร”
“ขวัญอ่อนจริงนะ เมียจ๋า มา ขอรับขวัญหน่อย”
พันกรกอดแล้วก็หอมแก้มประภาพรรณแล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“วันแรกของการเป็นสะใภ้ มิวกับคุณแม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ก็เหมือนเคยๆ ค่ะ”
คำตอบของประภาพรรณทำให้พันกรไม่สบายใจเพราะรู้ดีว่าแม่ไม่ชอบภรรยาของเขา
“อดทนหน่อยนะจ๊ะมิว ผมเชื่อว่าอีกไม่นานคุณแม่จะเปิดใจยอมรับมิวแน่นอน”
ประภาพรรณรับรู้ได้ว่าพันกรเครียด จึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“พักเรื่องมิวกับคุณแม่ไว้ก่อนเถอะค่ะ ว่าแต่เรื่องงานของนายพันเถอะ เป็นยังไงบ้าง”
พันกรได้โอกาส ทำทีบิดตัวไปมาพร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์
“ออกภาคสนามทั้งวัน ปวดเมื่อยไปทั้งตัวแบบนี้ ถ้าได้มือนุ่มๆ ของเมียมานวดให้ก็คงจะดี”
ประภาพรรณมองพันกรค้อนๆ ยิ้มเขิน พันกรไม่รอคำตอบ อุ้มหญิงสาวแล้วพาไปที่เตียง

เช้าวันใหม่ ปทุมวดีออกมาโบกมือส่งปรีชาชาญและพันกรไปทำงาน รถสองคันแล่นออกไปนอกบ้าน ปทุมวดีหันกลับมามองหน้าต่างห้องนอนพันกรแล้วหน้าบูด
“เป็นเมียประสาอะไร สายโด่งขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่นมาส่งผัวตัวเองเลย”
แต้วรีบแย้ง รายงานเรื่องประภาพรรณด้วยท่าทางประจบสอพลอ
“วันนี้นางไม่ได้ตื่นสายนะคะคุณหญิง แต้วเห็นนางออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ”
ป้าม้วนกลัวว่าแต้วจะได้หน้าคนเดียว รีบยุยงปทุมวดีบ้าง
“เล่นออกจากบ้านไปแบบที่ไม่มีใครรู้แบบนี้ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาก็ได้นะเจ้าคะ คุณหญิง”
ปทุมวดีฟังแล้วสะใจ เผลอยิ้มออกมา
“ถ้ามันเป็นอย่างที่แกพูดก็ดีน่ะสิ ฉันจะได้ไม่เปลืองแรง เปลืองสมองคิดแผนไล่มันออกจากบ้าน”
ยังไม่ทันที่ปทุมวดีจะพูดจบ เสียงประภาพรรณก็แทรกเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“จะไล่ใครออกจากบ้านกันหรือคะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณเดินหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเข้ามา ปทุมวดี ป้าม้วนและแต้ว ต่างหุบยิ้ม ทำหน้ายักษ์ใส่ทันที
“แหม หล่อนนี่ตายยากจริงๆ เลยนะ แค่พูดถึงไม่กี่คำก็โผล่หัวมาล่ะ”
“อุ๊ยตาย นี่คุณแม่สามีคิดถึงมิวด้วยหรือคะ มิวปลื้มจนอยากจะร้องไห้หนักมากเลยนะคะเนี่ย”
ปทุมวดีหมั่นไส้ ส่งค้อนให้วงใหญ่
“คุณแม่สามีไม่ต้องกลัวว่ามิวจะหนีไปหรอกนะคะ มิวแค่ออกไปหาวัตถุดิบมาเตรียมไว้สำหรับทำอาหารเย็นมื้อพิเศษตามที่คุณแม่สามีสั่งการน่ะค่ะ มิวรับรองเลยนะคะว่าเด็ดมาก จนคุณแม่สามีจะต้องจำอาหารมื้อนี้ไปจนวันตายเลย”
ประภาพรรณเดินเข้าบ้านไปด้วยอาการอารมณ์ดีสุดๆ ปทุมวดีเจ็บใจ ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างโมโห ป้าม้วนและแต้วรีบพูดเสริม
“หนอย พูดอย่างนี้ มันน่าตบล้างน้ำซะให้เข็ด จัดเลยมั้ยเจ้าคะ”
“อย่าเพิ่ง”
“ทำท่ามั่นหน้า มั่นอกมั่นใจซะเต็มประดาว่าอาหารของตัวเองจะออกมาดี”
“ฉันก็จะรอดูว่าไอ้อาหารจานเด็ดที่ว่าเนี่ย มันจะแน่สักแค่ไหน”
ปทุมวดีมุ่งมั่น ต้องรู้ให้ได้ว่าประภาพรรณจะทำอาหารอะไรเลี้ยงแขก

ประภาพรรณเข้ามาในครัว เอาถุงข้าวของต่างๆ มาวาง เตรียมตัวจะลงมือทำ ปทุมวดี ป้าม้วน
และแต้ว ยืนหลบมุมอยู่หน้าประตู ชะเง้อมองประภาพรรณด้วยความสงสัย หญิงสาวจัดเตรียมข้าวของเสร็จแล้วเดินมาที่ประตู สบตาปทุมวดีแล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะปิดประตูใส่หน้าดังปัง ไม่ยอมให้ดู ปทุมวดีและพรรคพวกเจ็บใจมาก
ปทุมวดีพาป้าม้วนและแต้วมาแอบมองประภาพรรณที่หน้าต่างห้องครัว ประภาพรรณล้างผักเสร็จ สาดน้ำออกมาทางหน้าต่าง ปทุมวดี ป้าม้วนและแต้วเปียกโชกมีเศษผักติดอยู่เต็มศีรษะไปหมด
“ว้าย”
ปทุมวดีโกรธมาก ได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ วิ่งออกไปด้วยความเจ็บใจ พอมาถึงห้องนอนก็เดินหงุดหงิดไปมาอยู่ในห้อง ตัวเปียก มีเศษผักติดอยู่เต็มศีรษะ แต้วพยายามจะเอาเศษผักออกจากศีรษะ ป้าม้วนรีบยุยงให้ปทุมวดีจงเกลียดจงชังประภาพรรณมากขึ้นไปอีก
“แม่มิวทำแบบนี้มันจงใจแกล้งพวกเราชัดๆ เลยเจ้าค่ะ”
“นั่นน่ะสิคะ นางต้องรู้แน่ๆ เลยค่ะว่าเราแอบตามดูอยู่”
“กับอีแค่ทำอาหาร ทำเป็นลับลมคมใน เย็นนี้เราจะได้เห็นดีกัน”
ปทุมวดีแค้นจัดรีบหยิบโทรศัพท์มากดโทร.หาดวงแก้วและบุหงาทันที สองแม่ลูกกำลังแต่งหน้าทำผมอยู่ที่ห้องเช่า
“ค่า คุณหญิง มีอะไรให้รับใช้คะ”
“ดิฉันแค่จะโทร.มาเตือน คุณดวงแก้วกับหนูแพนว่าอย่าลืมที่เรานัดกันไว้เย็นนี้นะคะ”
“แหม ไม่ลืมหรอกค่ะ คุณหญิงอุตส่าห์ชวนทั้งที ตอนนี้ดิฉันกับลูกแพนกำลังรอคนรถมารับอยู่ อีกสักพักคงจะออกจากบ้านแล้วค่ะ”
ปทุมวดีฉีกยิ้มกว้าง พอใจกับคำตอบของดวงแก้วมาก
“โอเค.ค่ะ แล้วพบกันนะคะ”
ดวงแก้ววางสายไป แล้วหันไปเหวี่ยงบุหงาด้วยความหงุดหงิด
“ไหนล่ะ รถที่แกว่า จะเปิดตัวทั้งที ให้ไปแท็กซี่ก็เสียฟอร์มเจ้าทางเหนือหมดสิวะ”
“แม่อย่าเพิ่งเหวี่ยงได้มั้ยเนี่ย หนูก็ตามอยู่นี่ไง”
บุหงาหันกลับมาหงุดหงิดใส่ดวงแก้วเหมือนกัน เธอกดโทรศัพท์รัวๆ อย่างโมโหแล้วบ่น
“ไอ้พี่กล้ามันไปตายที่ไหน ทำไมไม่รับสาย”

คณะเพลงลูกทุ่งของลุงเกิด มีทีมงานเดินวุ่นวายเต็มไปหมด รถหรูของลุงเกิด เจ้าของคณะจอดอยู่ด้านนอก กล้าวิ่งหลบมารับสายบุหงาอยู่มุมหนึ่ง
“พี่กล้า พี่อยู่ไหน แล้วไหนรถของฉันกับแม่”
กล้าชะเง้อมองกุญแจรถที่อยู่บนโต๊ะ สลับกับมองลุงเกิดที่กำลังยืนคุยกับทีมงานอยู่มุมหนึ่ง กล้าหน้าซีด ร้อนรน
“ใจเย็นๆ นะเตง คือรถน่ะหาได้แล้ว แต่ยังหาทางเอากุญแจออกมาไม่ได้”
“ฉันกับแม่แต่งตัวเสร็จแล้ว ถ้าพี่ยังไม่มารับภายในครึ่งชั่วโมง เราเลิกกัน”
บุหงาขู่กล้าเสร็จวางสายไป กล้าอึ้งตกใจ ยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด หันกลับไปมองกุญแจรถที่โต๊ะอีกครั้ง แล้วพูดปลอบใจตัวเอง
“เอาวะไอ้กล้า แค่ยืมไปไม่กี่ชั่วโมงเอง คงไม่โดนด่าหรอก”
กล้ามุ่งมั่นตัดสินใจ ออกจากที่ซ่อนเดินตรงไปที่โต๊ะของลุงเกิด ขณะกำลังจะถึงโต๊ะ เสียงของลุงเกิดก็ทักขึ้นขัดจังหวะ
“เฮ้ย ไอ้กล้ามาพอดี”
กล้าตกใจรีบหมุนตัวกลับไปคุยกับลุงเกิด
“จ้า ลุงเกิดมีไรเหรอจ๊ะ”
“เอ็งคิดมุกที่จะใช้สำหรับงานแสดงครั้งหน้าหรือยัง”
“แหะๆ ยังไม่ได้คิดเลยจ้ะ”
“นี่เอ็งตั้งใจทำงานหน่อยสิวะ ไม่ใช่ว่าเป็นหลานข้าแล้วไม่ต้องทำงานนะเว้ย”
กล้าคิดแผนได้ยิ้มออกมา พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอ้อลุง คือเจ๊ปลาแก้ชุดหางเครื่องเสร็จหมดแล้ว แกอยากให้ลุงไปช่วยดูหน่อยน่ะว่าตู้มๆ เด้งๆ พอหรือยัง”
ลุงเกิดคิดตามที่กล้าพูดแล้วเผลอยิ้มออกมาอย่างหื่นๆ
“อืม น่าสนใจ งั้นเดี๋ยวขอไปตู้ม เอ๊ย ไปดูงานเจ๊ปลาก่อน”
ลุงเกิดจะเดินออกไป แต่แล้วก็หันกลับมาทำหน้าเข้มใส่กล้า
“แล้วตอนข้ากลับมา เอ็งต้องมีมุกใหม่มาเล่นให้ข้าดูด้วย”
กล้ายิ้มแห้งพยักหน้ารับคำลุงเกิด ลุงเกิดรีบเดินออกไปพร้อมกับพร่ำพรรณนาถึงความขาวความอวบของบรรดาหางเครื่อง
“ขาวๆ ตู้มๆ อวบๆ”
กล้าเห็นลุงเกิดออกไปแล้ว รีบคว้ากุญแจรถมา
“ฉันขอโทษนะ ลุงเกิด เดี๋ยวจะรีบเอามาคืนนะ”
กล้ายกมือไหว้เสร็จแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ขับออกไป

ภายในห้องประชุมกองปราบปราม พันกร ท่านรองวิเชียร และตำรวจคนอื่นๆ กำลังนั่งประชุมกันหน้าเครียด ท่านรองวิเชียรกดรีโมทหน้าจอโปรเจคเตอร์ขึ้นภาพของเสี่ยปุริม มหาศาลสมบัติ
“ภารกิจใหม่ของเราตอนนี้คือการติดตามจับตาดูนายปุริม มหาศาลสมบัติ หรือที่รู้จักกันว่า เสี่ยเป้ ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเครือข่ายยาเสพติดและการค้าประเวณีข้ามชาติ รายใหญ่”
พันกรพลิกเอกสารตรงหน้าอ่านประวัติของปุริม
“จากประวัติที่ได้ ดูเหมือนว่าเสี่ยเป้คนนี้ทำธุรกิจผลไม้กระป๋องบังหน้า เปิดบ่อนผิดกฎหมายที่เราตามจับกุมไม่ได้สักที เส้นใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันนะไอ้หมอนี่”
ท่านรองวิเชียรมองหน้าพันกรด้วยสายตาคาดหวัง
“ผมจะให้ผู้กองเป็นหัวหน้าทีมจัดการคดีนี้”
“ได้ครับท่านรองฯ ผมจะลากคอเสี่ยเป้เข้าตารางให้ได้ครับ”
พันกรมุ่งมั่นมาก

ป้าบัวเผื่อนและน้อยมาเคาะประตูห้องครัว ประภาพรรณเปิดรับ
“ว่าไงจ๊ะ”
“ป้ากับนังน้อยเห็นคุณมิวขลุกอยู่แต่ในครัวตั้งแต่เช้า เลยเป็นห่วง คุณมิวมีอะไรให้พวกป้าช่วยรึเปล่าคะ บอกมาได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ป้าบัวเผื่อนและน้อยกระตือรือร้น แววตาของทั้งสองจริงใจ อยากจะช่วยมาก
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ อาหารที่มิวทำใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ถ้าป้าบัวกับน้อยอยากจะช่วย เดี๋ยวไว้รอเอาไปเสิร์ฟคุณแม่สามีกับแขกดีกว่านะจ๊ะ”
“ได้เลยค่ะ คุณมิว ว่าแต่คุณมิวทำเมนูอะไรหรือคะ หอมน่ากินเชียวค่ะ”
ประภาพรรณยิ้มอ่อนๆ มีแผน
“มันเป็นเมนูลับเฉพาะของฉันเองจ้ะ รับรองแซบสุดๆ”
ป้าบัวเผื่อนและน้อยมองหน้ากันงงๆ ได้แต่สงสัยว่าประภาพรรณทำเมนูอะไรกันแน่

กล้าขับรถหรูพาบุหงาและดวงแก้วมาจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าบ้านพันกร สองแม่ลูกตื่นเต้นในความใหญ่โตของบ้าน
“โอ้โห แม่เจ้าโว้ย นี่มันบ้านหรือวังวะเนี่ย”
“จะบ้านหรือจะวังก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก รู้ไว้แค่ว่าอนาคตมันจะเป็นของเราก็พอ”
ดวงแก้วและบุหงากรี๊ดกร๊าดถูกใจ พากันตีมือรัวๆ ที่เบาะหลัง
กล้าไม่พอใจท่าทางกระดี๊กระด๊าของสองแม่ลูก เลยแกล้งเหยียบเบรกจนหน้าคะมำ
“โอ๊ย ไอ้กล้า ขับรถดีๆ ไม่เป็นหรือยังไงวะ”
“แล้วน้าอะ เคยพูดอะไรดีๆ เกรงใจฉันบ้างมั้ย”
“หนอย ไอ้กล้า นี่คิดจะลำเลิกบุญคุณเหรอวะ”
“ก็หรือไม่จริงล่ะ ที่น้ากับแพนมีทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะฉันหรอกรึ แล้วกับอีแค่จะยอมรับว่าฉันเป็นผัวมันเนี่ย มันจะเป็นจะตายขนาดนั้นเลยหรือไง”
เมื่อกล้าพูดคำว่า ผัว ดวงแก้วและบุหงากรีดร้องลั่น สองแม่ลูกเอื้อมมือมาปิดปากกล้าเป็นพัลวัน บุหงากลัวกล้าจะทำเสียเรื่อง จึงพยายามพูดจาออดอ้อนให้กล้าเย็นลง
“แหม พี่กล้า แพนว่าพี่ใจเย็นๆ หน่อยดีกว่าจ้ะ เก็บเรื่องของเราเอาไว้คุยกันที่บ้าน ส่วนตอนนี้ อนาคตของเราสำคัญที่สุด พี่กล้าคงไม่อยากให้ทุกอย่างพังไปตรงหน้าใช่มั้ยจ๊ะ”
กล้าเริ่มคล้อยตามบุหงา
“พี่กล้าอยากจะเป็นตลกหน้าม่านอยู่ในคณะลูกทุ่ง ที่เลี้ยงฉันด้วยเงินไม่กี่พันบาทตลอดไปหรือจ๊ะ”
กล้ากลั้นใจยอมให้บุหงาเดินหน้าแผนการของตัวเองต่อไป
“ก็ได้จ้ะ พี่จะเชื่อว่าแพนทำเพื่ออนาคตของเราจริงๆ”
บุหงาฉีกยิ้มกว้าง
“พี่กล้าของแพนน่ารักที่สุดเลยจ้ะ งั้นต่อไปนี้นะ พี่กล้าจะต้องทำตามแผนของแพน ทำให้เนียนที่สุด เพื่อที่เราจะได้เข้าใกล้เป้าหมายของเราเร็วขึ้นไงจ๊ะ”
กล้าพยักหน้ารับคำ ว่าจะทำทุกอย่างตามแผนการของหญิงสาว แล้วขับรถเข้าไปในบ้านพันกร สองแม่ลูกลอบมองหน้ากันอย่างโล่งอกที่กล้ายอมทำตามแผน

ปทุมวดีกับปรีชาชาญออกมารอต้อนรับที่หน้าบ้าน กล้าลงมาเปิดประตูให้ดวงแก้วและบุหงาซึ่งวางท่าเริดเชิดเป็นนาย แบบสังคมชั้นสูง สองแม่ลูกเดินยิ้มร่าเข้าไปไหว้ปทุมวดีและปรีชาชาญ
“กราบสวัสดีค่ะ คุณหญิง ท่าน”
“อุ๊ย หนูแพน เรียกคุณลุงกับคุณป้าเถอะจ้ะ จะได้ไม่ห่างเหิน”
บุหงายกมือไหว้อีกรอบ ทำท่าเขินๆ เรียกคะแนนความน่าเอ็นดูจากปทุมวดี
“ขอบพระคุณที่เอ็นดูแพนค่ะ”
ปรีชาชาญหันมากระซิบกับปทุมวดีด้วยความสับสน
“คุณหญิงไม่เห็นบอกผมเลยว่าวันนี้บ้านเราจะมีแขก”
ปทุมวดีทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของปรีชาชาญ เดินยิ้มร่าไปต้อนรับขับสู้บุหงาและดวงแก้วอย่างร่าเริง รถของพันกรเข้ามาจอด ปทุมวดีดีใจมาก เดินเข้าไปพาลูกชายมาแนะนำ
“ต๊าย ดูสิ อะไรมันจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น คุณดวงแก้ว หนูแพน นี่พันกรลูกชายดิฉันค่ะ ตากรมารู้จักคุณน้าดวงแก้วแล้วก็น้องบุหงา ณ น่านฟ้า หรือน้องแพนสิจ๊ะ ลูก”
พันกรอึ้งๆ ที่วันนี้แม่พาแขกมาบ้านโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ก็ยังฉีกยิ้มรักษามารยาท
“สวัสดีครับ คุณน้า”
“ไหว้พระเถอะค่ะ”
“สวัสดีค่ะ พี่พันกร”
พันกรเลยไปรับไหว้บุหงา แล้วยิ้มให้
“แม่ว่านี่ก็ได้เวลาแล้ว ตั้งโต๊ะอาหารเย็นแล้วนะ ไปๆ ตากร พาน้องเข้าบ้าน”
ปทุมวดีดันหลังพันกรให้เข้าไปใกล้ชิดกับบุหงามากๆ พันกรรู้สึกอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มรับและเชิญสองแม่ลูกเข้าไปในบ้าน ดวงแก้วและบุหงาลอบส่งสายตาให้กัน บุหงาเหลือบไปเห็นกล้า ยืนมองตาขวางอยู่รีบหุบยิ้ม แอบเซ็ง กลัวว่ากล้าจะทำเสียเรื่อง กล้ากัดฟันกรอด เดินตามเข้าไป
ปทุมวดีเดินนำทุกคนเข้ามาที่โต๊ะอาหาร กล้าทำตัวแบบบอดี้การ์ด ไปยืนรออยู่มุมหนึ่ง ปรีชาชาญและพันกรนั่งประจำที่ของตัวเองด้วยความเคยชิน ปทุมวดีเห็นโอกาสจึงรีบออกคำสั่ง
“หนูแพนจ๊ะ เขยิบไปนั่งข้างๆ พี่กรสิลูก”
พันกรและปรีชาชาญอึ้งกับคำสั่งของปทุมวดี เพราะรู้ดีว่าที่นั่งตรงนั้นเป็นของประภาพรรณ
“คุณแม่ครับแต่”
“ลูกแพน ไปนั่งตามที่คุณหญิงป้าบอกสิจ๊ะ ลูก”
ปทุมวดีและดวงแก้วลอบมองหน้ากัน ยิ้มที่แผนการจับคู่ของตัวเองกำลังรุกคืบไป บุหงายิ้มเขินแล้วเดินไปนั่งข้างๆ พันกร กล้ามองอยู่ห่างๆ อย่างไม่พอใจ ป้าม้วนและแต้วแอบมองอยู่ ทั้งสองมองพันกรและบุหงาอย่างตื่นเต้น
“ดูสินังแต้ว สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก”
“นั่นสิจ๊ะป้า คุณแพนเธอสวยเลอค่า เหมาะสมกับคุณพันกรจริงๆ เลย”
ด้านหลัง ป้าบัวเผื่อน น้อย และประภาพรรณเดินเข้ามาได้ยิน ประภาพรรณเห็นบุหงานั่งแทนที่ของตัวเองและกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับพันกร
 
ทำท่าราวกับเป็นคู่รักกัน ไฟแห่งความอยากเอาชนะลุกโชนขึ้นในแววตา








สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 2 (ต่อ)  

ประภาพรรณเดินยิ้มนำป้าบัวเผื่อนและน้อยเข้ามาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ
 
“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ให้รอนาน”
อาหารของประภาพรรณหน้าตาสวยน่ากินอย่างไม่น่าเชื่อ
“มื้อนี้มิวเป็นคนลงครัวเองเพื่อคุณกร สามีสุดที่รักของมิวค่ะ”
ประภาพรรณประกาศกร้าวที่กลางโต๊ะ ทำเอาปทุมวดี ดวงแก้วและบุหงาหน้าเจื่อนไป กล้าแอบยิ้มสะใจ ประภาพรรณลากเก้าอี้มานั่งขนาบข้างพันกรแล้วหันไปส่งยิ้มหวานให้บุหงา บุหงาหน้าเสียไป ปรีชาชาญเห็นบรรยากาศเริ่มอึดอัด จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
“แหม วันนี้หนูมิวลงครัวเองเลยเรอะ ไหนๆ พ่อขอชิมหน่อยสิ”
ปรีชาชาญลงมือตักอาหารเป็นคนแรก
“รสชาติใช้ได้เลยนะเนี่ย คุณหญิง คุณลองชิมสิครับ”
ปทุมวดีอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าประภาพรรณจะทำอาหารได้หน้าตาน่ากินและอร่อยด้วย ปรีชาชาญเห็นภรรยาทำท่าอึกอักเลยตัดรำคาญตักมาป้อนใส่ปากให้เสียเลย ปทุมวดีหลับตาพริ้มปลาบปลื้มความอร่อยของอาหาร จนประภาพรรณอดกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว
“มันฟินมากขนาดนั้นเลยหรือคะ คุณหญิงแม่”
วินาทีนั้นปทุมวดีไม่สนใจประภาพรรณ เธอหันไปตักอาหารใส่ปากอย่างลืมตัว จนดวงแก้วและบุหงาอึ้ง
“ดูท่าคุณหญิงจะฟินจนไม่สนใครแล้ว ผมว่าเรารีบกินดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณหญิงจะกินซะหมดคนเดียว”
ปรีชาชาญเชื้อเชิญให้ดวงแก้วและบุหงาลงมือกินอาหาร สองแม่ลูกยิ้มเจื่อนแล้วตักอาหารใส่จานตัวเองอย่างเซ็งๆ
เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มตักอาหารในจานมากขึ้น จนหมดจาน ประภาพรรณยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าแผนการของเธอผ่านไปได้ด้วยดี สักพักจานอาหารทั้งหมดว่างเปล่า ทุกคนอิ่มอร่อยกับอาหารของประภาพรรณมาก
“อาหารฝีมือหนูมิวเนี่ย อร่อยสุดยอดจริงๆ”
ดวงแก้วกลัวน้อยหน้าจึงรีบชมประภาพรรณ
“จริงด้วยค่ะ อาหารของหนูมิวอร่อยมากจนดิฉันลืมถามไปเลยว่ามีอะไรบ้า”
“มิวก็ทำแค่อาหารพื้นๆ น่ะค่ะ มียำผักบุ้งทอดกรอบ น้ำพริกมะขาม แล้วก็ไฮไลต์ของงาน ถือเป็นจานเด็ด”
ประภาพรรณชี้มือไล่ไปตามจานแล้วทิ้งจังหวะ ดวงแก้วรีบพูดเสริมให้ตัวเองดูมีส่วนร่วมในวงสนทนามากขึ้น
“จานนี้แหละค่ะ เด็ดมาก ชอบมาก ดีงามที่สุด มันคืออะไรหรือคะหนูมิว”
ประภาพรรณทิ้งจังหวะนิดๆ ให้ทุกคนลุ้นรอฟังคำเฉลย
“ผัดกะเพราหนูนาค่ะ”
ทุกคนช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน ปทุมวดีหน้าซีดตกใจ ที่รู้ว่าตัวเองกินหนูนาเข้าไป แต่ดวงแก้วไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการกินหนูนา ยังคงพูดถึงความอร่อยอย่างต่อเนื่อง
“นั่นไง ดิฉันว่าแล้วก็ว่ามันคุ้นๆ ลิ้นเหมือนเคยกินที่ไหน แต่แหม ก็ต้องขอชมหนูมิวเลยนะคะว่าปรุงรสผัดกะเพราหนูนาได้เด็ดดวงมากจริงๆ”
บุหงารู้สึกว่าแม่ของตัวเองพูดมากไป ก็เอื้อมมือไปหยิก สายตาของบุหงามองต่อไปที่ปทุมวดีพอดี
“คุณหญิงป้าหน้าซีดจังค่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ทุกคนหันไปมองหน้าปทุมวดีเป็นตาเดียว ประภาพรรณแอบส่งยิ้มให้ปทุมวดี ปทุมวดีลุกพรวดออกไปจากโต๊ะอาหารทันที เพราะมีอาการอยากจะอาเจียน
เสียงอาเจียนของปทุมวดีนั้นฟังเหมือนหนักหนา พันกรได้ยินแล้วเป็นห่วงแม่รีบลุกตามไปดู
“คุณแม่ เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”
บุหงาเห็นพันกรวิ่งไปดูแลปทุมวดี อยากจะให้พันกรมาใส่ใจเธอบ้าง เลยหันไปขยิบตาให้แม่ ดวงแก้วรับมุกลูกสาวต่อทันที
“แพน เป็นอะไรไปคะลูก หน้าหนูเริ่มซีดๆ แปลกๆ”
“แพนรู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะคุณแม่ แพนรู้สึกอยากไปห้องน้ำจัง”
บุหงาทำท่าอ่อนแรงหลับตาเหมือนจะเป็นลม กล้าพูดขึ้นมา เก๊กเสียงหล่อ
“ให้ผมช่วยพยุงไปนะครับ”
บุหงามัวแต่หลับตาเลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพันกร รีบพูดด้วยเสียงระทวย
“ขอบคุณ พี่กรมากนะคะ”
บุหงาโผซบอกของกล้าอย่างขวยเขิน
“เอ่อ แพนต้องขอโทษพี่กรด้วยนะคะที่รบกวน”
บุหงาช้อนตาขึ้นมอง หมายจะส่งสายตาหวานซึ้งใส่พันกร แต่ปรากฏว่าคนที่เธอซบอยู่คือกล้า
บุหงาตกใจมาก รีบผละออกจากวงแขนของกล้าทันที
“ว้าย ไอ้”
บุหงาผลักกล้าออกไปจนกล้าแทบล้มทั้งยืน ประภาพรรณเห็นแล้วขำ ออกปากแซว
“อ้าว คุณแพน หายเวียนหัวแล้วหรือคะ แหม หายไวจัง”
บุหงาหน้าแห้งส่งยิ้มแหยๆ ให้ทุกคน แล้วลอบส่งสายตาให้ดวงแก้วที่ทำหน้าเซ็งกลับมาพอๆ กัน พันกรประคองปทุมวดีกลับมาที่โต๊ะ ปทุมวดีหน้าซีดเซียวเพราะอาเจียนไปเยอะ แต่สายตาที่มองหน้าลูกสะใภ้ แค้นหนักมาก

กลางคืน พันกรหน้าเครียดเดินมาส่งบุหงากับดวงแก้วที่รถ กล้ายืนรอเปิดประตูรถ
“ผมต้องขอโทษคุณแพนแล้วก็คุณน้าดวงแก้วด้วยนะครับ ที่มีเรื่องวุ่นๆ นิดหน่อย”
“อย่าเกรงใจเลยค่ะ คุณกร เรื่องเล็ก”
“ใช่ค่ะพี่กร แพนว่าสุขภาพของคุณหญิงป้าสำคัญที่สุดนะคะ”
บุหงาส่งสายตาให้พันกร ตั้งใจจะเรียกคะแนน
“ขอบคุณที่คุณแพนห่วงใยคุณแม่ งั้นผมขออนุญาตส่งตรงนี้ แล้วไปดูแลคุณแม่ต่อนะครับ”
พันกรไหว้ดวงแก้วแล้วยิ้มส่งบุหงาก่อนเดินเข้าบ้านไป สองแม่ลูกมองพันกรอย่างเคลิบเคลิ้ม จนกล้าทนไม่ไหว
“ฮึ กะอีแค่หนูนา ทำเป็นสำออยจะไปซบอกเขา ทีตอนอยู่บ้านนอก กบ เขียด แย้ กะปอม ก็เห็นกินกันเป็นตาแซบสุดๆ”
บุหงาและดวงแก้วเลิกทำเป็นผู้ดี หันกลับมาทำหน้าเซ็งสุดขีดใส่กล้า
“โอ๊ย พี่กล้า ฉันจะมาหลอกเอาเงินเขานะ ก็ต้องทำให้มันเนียนๆ ผู้ดีหน่อยสิ เซ็ง”
“ใช่ เอ็งนี่มันโง่จริงๆ เลยนะไอ้กล้า ผู้ดีที่ไหนเขากินหนูนากันวะ”
กล้าเจ็บใจที่ถูกดวงแก้วด่า
“แหม น้า มาด่าฉันทำไม น้าเองก็เกือบจะหลุดอาการเหมือนกันละว้า”
ดวงแก้วนึกขึ้นมาได้ หน้าเสีย ตั้งท่าจะด่ากล้าอีกรอบ บุหงาทนไม่ไหวรีบปรามไว้
“พอๆ จะทะเลาะกันจนความแตกรึไง กลับกันได้แล้ว”
กล้าเปิดประตูรถ บุหงาให้ดวงแก้วเข้าไปนั่งด้านหลัง แล้วรีบตามเข้าไป กล้าประจำที่คนขับ บุหงายังไม่หายเปรี้ยวปากเกิดอยากอาหารที่เคยกิน
“เออ พี่กล้า คิดแล้วก็เปรี้ยวปาก ฉัอยากกินตำปูปลาร้า เดี๋ยวแวะซื้อให้ด้วยนะ”
“จัดไป อย่าได้เสีย”
กล้ารับปากแล้วขับรถออกไป

พันกรเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงปทุมวดีโวยวายใส่ประภาพรรณ
“หล่อนแกล้งฉัน รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ฉันมีแขกสำคัญจะมากินข้าวด้วย หล่อนก็ยังไปเอาของต่ำๆ พวกนั้นมาทำให้กิน หล่อนแย่มาก”
ปทุมวดีหันไปบอกปรีชาชาญที่ฟังอยู่ด้วย
“คุณพี่ต้องลงโทษแม่ลูกสะใภ้ตัวแสบให้น้องนะคะ”
ปรีชาชาญยังไม่ทันตอบว่าอะไร ประภาพรรณก็พูดขึ้น
“มิวเปล่าแกล้งนะคะ มิวทำตามที่คุณแม่สามีบอกทุกอย่างค่ะ”
ยิ่งประภาพรรณพยายามอธิบาย ปทุมวดีก็ยิ่งคิดว่าเถียงเลยโกรธจัด บรรยากาศในห้องเริ่มดุเดือดมากขึ้นทุกที
“ฉันบอกให้หล่อนเอาหนูนามาให้กินรึไง”
ปรีชาชาญกลัวว่าเรื่องจะลุกลามไปใหญ่
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”
พันกรเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ ภรรยา
“ผมว่ามิวน่าจะมีเหตุผล ใช่มั้ยครับ”
ประภาพรรณพยักหน้าแล้วอธิบายต่อด้วยใบหน้านิ่ง
“ใช่ค่ะ อาหารมื้อนี้ มิวลงทุนปีนไปเก็บมะขาม เดินลุยน้ำไปเก็บผักบุ้ง แล้วไหนจะหาซื้อหนูนาอีก ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ นะคะ มิวก็เห็นว่าอาหารอร่อยถูกปากทุกคน กินกันจนเกลี้ยงจาน คุ้มกับค่ากับข้าว 200 บาทที่คุณหญิงแม่ให้มิวมาแล้วนะคะ”
“อะไรนะ”
ปรีชาชาญและพันกรตกใจที่รู้ความจริง ทั้งสองหันไปมองปทุมวดีต้องการคำตอบ ปทุมวดีไม่ตอบ
“200 บาท มิวคงไม่สามารถซื้อกุ้งมังกร ปลาหมึกตัวใหญ่ได้ หรือจะทำแค่กะเพราหมูสับไก่สับ มันก็ไม่ใช่อาหารเหลาอย่างที่คุณแม่สามีต้องการ ของสดในตู้เย็นก็ห้ามใช้ มิวก็เลยตัดสินใจว่า หนูนาเป็นทางเลือกที่โอเค.ที่สุด”
ปรีชาชาญได้ยินลูกสะใภ้อธิบายชัดเจนอย่างนั้น เลยถามย้ำภรรยาอีกรอบ
“คุณหญิงให้งบประมาณแค่ 200 บาทจริงหรือเปล่า”
ปทุมวดีหน้าเสียที่ความลับเรื่องแกล้งลูกสะใภ้แตก ก็ตอบแถไป
“ก็ใช่ น้องแค่ทดสอบไหวพริบลูกสะใภ้”
พันกรกุมขมับเครียด ไม่คิดเลยว่าแม่จะใจร้ายได้ขนาดนี้

กลางคืน ประภาพรรณนั่งแต่งตัวอยู่ในห้องนอน พันกรเดินเข้ามาสวมกอดภรรยา หน้าเครียด
“ผมต้องขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะครับ ผมไม่รู้เลยว่ามิวโดนคุณแม่แกล้งหนักขนาดนี้”
“คุณกรไม่โกรธมิวเหรอคะ”
พันกรยิ้มและจับให้ประภาพรรณหันมาสบตาอย่างรักใคร่
“จริงๆ ก็อยากจะโกรธที่โดนหลอกให้กินหนูนา แต่ถ้าเทียบกับไหวพริบที่มิวสามารถพลิกสถานการณ์ได้แบบนี้ ผมก็โกรธมิวไม่ลง”
ประภาพรรณเขิน
“คุณกรก็รู้ คนอย่างมิวไม่ยอมให้ใครมารังแกอยู่ฝ่ายเดียว”
ประภาพรรณมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวมาก จนพันกรแอบหวั่นใจว่าศึกแม่สามีลูกสะใภ้จะไม่จบง่ายๆ

ปทุมวดีใส่ชุดนอนเดินไปมาในห้องนอนด้วยความหงุดหงิด ปรีชาชาญนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง มองท่าทางของภรรยาแล้วอดขำไม่ได้
“นี่แหละน้า ที่เขาเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”
“คุณพี่ ตกลงจะเข้าข้างแม่มิวใช่มั้ยคะ”
ปทุมวดีมองค้อนปรีชาชาญ
“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่อยากให้คุณหญิงเปิดใจยอมรับหนูมิวดูบ้าง เหมือนตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ๆ ไง”
ปทุมวดีทนไม่ได้ที่ปรีชาชาญเอาประภาพรรณมาเปรียบเทียบกับตัวเอง
“เอ๊ะ คุณพี่อย่าเอาแม่มิวมาเทียบฉันกับน้องนะคะ จริงอยู่ว่าช่วงแรกคุณหญิงแม่ของคุณพี่จะไม่ยอมรับน้อง แต่ยังไงสถานะและพื้นฐานครอบครัวของน้องก็ดีกว่าเด็กกำพร้าไม่มีที่มาที่ไปอย่างมันราวฟ้ากับเหวค่ะ”
ปรีชาชาญส่ายหน้าระอาใจที่ปทุมวดีใจอคติเกินไป
“คนอย่างแม่มิวไม่เหมาะที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลนรินทร์จรรยาเลยสักนิด ไม่ว่ายังไง น้องก็ไม่มีวันยอมรับมิวเป็นสะใภ้เด็ดขาด”

ปรีชาชาญเห็นว่าป่วยการที่จะพูดเกลี้ยกล่อมภรรยาในเวลานี้ ได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วนั่งอ่านหนังสือต่อไปเงียบๆ คนเดียว








สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 2 (ต่อ)  

ตอนเช้า ประภาพรรณเดินเล่นอยู่ในสวน ชมนกชมไม้ใบหน้าสดใส ปทุมวดีเดินนำป้าม้วนและแต้วเข้ามาขัดจังหวะ
 
“แหม หลังจากก่อเรื่องแย่ๆ แล้ว ดูหล่อนจะอารมณ์ดีจริงนะ”
ประภาพรรณเห็นปทุมวดีเข้ามาหาเรื่อง ก็ฉีกยิ้มรับ ตั้งใจกวนประสาท จีบปากจีบคอพูด จนปทุมวดีหมั่นไส้
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ มิวก็แค่มีความสุขกับคำชมเรื่องอาหารเมื่อคืน ปลื้มมาก จนเก็บเอาไปฝันเลยล่ะค่ะ”
“อย่ามัวแต่เหลิงดีใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ คนอย่างหล่อนคงมีดีแค่ทำอาหารล่ะมั้ง”
ปทุมวดีพยักหน้าเรียกแต้วและป้าม้วนเข้ามา ทั้งสองเดินถือไม้กวาด ไม้ม็อบ ที่ปัดขนไก่ และอุปกรณ์ทำความสะอาดอีกมากมายเข้ามา ปทุมวดียิ้มเยาะ หันไปสบตาท้าทายลูกสะใภ้
“ว่าไง”
ประภาพรรณหันไปสู้สายตากับปทุมวดีอย่างไม่กลัวเกรง
“แค่เรื่องงานบ้าน ถ้าคุณแม่สามีขอ มิวก็จัดให้ค่ะ”
ประภาพรรณก้มหน้าก้มตากวาดบ้านอย่างขยันขันแข็ง ปทุมวดีเห็นลูกสะใภ้กวาดพื้นตรงหน้าเรียบร้อย ก็แกล้งทำขนมหกเลอะเทอะ ประภาพรรณหันกลับมาเจอ เซ็งมากที่ต้องทำความสะอาดใหม่อีกรอบ แต่ก็ทำให้
ประภาพรรณถูพื้นห้องโถงอย่างขะมักเขม้น แต้วและป้าม้วนช่วยกันแบกกล่องรองเท้าของปทุมวดีเข้ามาเป็นตั้งๆ ปทุมวดีเริ่มหยิบลองรองเท้าทีละคู่ แล้วเดินเล่นไปรอบๆ บ้าน จนพื้นที่ประภาพรรณเพิ่งถูสกปรกเต็มไปด้วยรอยรองเท้า ปทุมวดีแกล้งขอโทษขอโพยสำนึกผิด ป้าม้วนและแต้วพากันหัวเราะชอบใจ ประภาพรรณเริ่มเครียดแต่ก็ยอมกลับไปถูบ้านตรงบริเวณนั้นใหม่อีกครั้งโดยไม่ปริปากบ่น ปทุมวดีเดินไปที่ผ้าม่านแล้วชี้ ประภาพรรณพยักหน้ารับรู้ว่าต้องเอาผ้าม่านไปซัก
ป้าบัวเผื่อนและน้อยต่างช่วยกันซักผ้าม่านอยู่หลังบ้าน ทั้งสองบ่นอุบไม่ชอบใจการกระทำของปทุมวดี
“คุณหญิงนะคุณหญิง นี่ใจคอจะแกล้งคุณมิวไปถึงไหนกัน”
“นั่นน่ะสิจ๊ะป้า วันนี้ทั้งวันก็สั่งให้คุณมิวทำงานบ้านงกๆ อยู่คนเดียว แล้วไอ้ผ้าม่านเนี่ย ปกติก็ส่งร้านซัก ทำไมต้องให้ซักเองด้วย ไหนเคยบอกว่าแพงมากไง”
ประภาพรรณเห็นป้าบัวเผื่อนและน้อยบ่น ก็หัวเราะออกมา
“เอาเถอะจ้ะ ป้าบัวเผื่อน น้อย ขอบใจที่มีน้ำใจช่วยนะจ๊ะ คุณแม่สามีคงกำลังนึกว่าตัวเองทำศึกแม่ผัวลูกสะใภ้แบบในละครน้ำเน่าอยู่ละมั้ง เราก็เล่นบทตามๆ น้ำไปหน่อย ท่านจะได้มีความสุขไงจ๊ะ”
ป้าบัวเผื่อนกับน้อยเลยหัวเราะคิกคักชอบใจสิ่งที่ประภาพรรณบอก ป้าม้วนและแต้วเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“ปากสว่าง นั่งสุมหัวกันนินทาเจ้านายแบบนี้ นี่สินะที่เขาเรียกว่าพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
“ป้าบัวเผื่อนกับนังน้อยขัดคำสั่งคุณหญิงแบบนี้ เรารีบไปฟ้องกันดีกว่า ป้าม้วน”
ป้าม้วนเห็นดีด้วยยิ้มอย่างสะใจ แต้วเชิดหน้าแบบเป็นต่อ ป้าบัวเผื่อนหมั่นไส้ ทนไม่ไหว ระเบิดออกมา
“เออ เชิญเอ็งสองตัวคาบข่าวหูตั้งหางชี้ ไปฟ้องคุณหญิงได้เลย ข้าไม่กลัวหรอก”
ป้าม้วนถูกป้าบัวเผื่อนด่าก็โกรธมาก
“อีบัว นี่เอ็งด่าข้าเป็นหมาอีกแล้วนะ”
“เออ แล้วข้าจะด่าเอ็งหนักกว่านี้ด้วย ถ้าเอ็งไม่หยุดยุแยงให้คุณหญิงกับคุณมิวตีกัน”
“ข้าไม่หยุด”
“ฉันก็ไม่หยุด”
ป้าม้วนและแต้วทนไม่ได้วิ่งปรี่เข้าตะลุมบอนใส่ป้าบัวเผื่อนทันที ต่างไม่มีใครยอมจนเหตุการณ์วุ่นวาย เมื่อป้าม้วนผลักป้าบัวเผื่อนลงไปก้นจ้ำเบ้าในกะละมังแล้วตามขึ้นไปคร่อมจะตบซ้ำ น้อยและแต้วเลยไม่ยอม พยายามจะเข้าไปช่วยลูกพี่ของตน แต่ด้วยน้ำที่หกออกมา ทำให้ต่างคนต่างลื่นไถลไปไม่ถึงจุดหมาย ประภาพรรณทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องห้าม
“พอๆ อย่าตีกัน”
คำพูดของประภาพรรณไม่เป็นผล ป้าบัวเผื่อนพลิกตัวกลับมาตั้งหลักได้ คว้าผ้าม่านมาพันรอบคอป้าม้วนเอาไว้ จนป้าม้วนตาเหลือกหายใจไม่ออก สมหมายและเดชวิ่งมาเห็นเข้า พยายามจะเข้ามาช่วย
“เฮ้ยพอแล้ว ป้าบัว เดี๋ยวป้าม้วนก็ตายจริงหรอก”
เดชพยายามจะแกะผ้าม่านออกจากคอป้าม้วน แต่ป้าบัวเผื่อนไม่ยอม เลยกลายเป็นการชักเย่อกันไปมา สมหมายเห็นท่าไม่ดี วิ่งไปที่สายยางเปิดน้ำจนสุด แล้วฉีดใส่ทุกคน
“แยกๆ กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ กัดกันอย่างกับหมา”
ป้าบัวเผื่อน ป้าม้วนและเดช พากันวิ่งหลบน้ำที่สมหมายฉีดมา ทั้งสามคนลืมตัวไปว่าในมือมีผ้าม่านอยู่
“อย่าดึงผ้าม่าน”
ประภาพรรณพยายามจะร้องเตือนแต่ไม่ทัน ป้าบัวเผื่อน ป้าม้วน และเดช จับผ้าฉีกออกจากกันไปคนละทิศละทาง ปทุมวดีเดินมายืนข้างๆ สมหมายเห็นเข้าพอดี เธออึ้งตกใจมาก
“อ๊าย”
สมหมายก็สะดุ้งตกใจ หันไปฉีดน้ำใส่ปทุมวดีอย่างลืมตัว แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับผ้าม่านราคาแสนแพงของปทุมวดีอีกแล้ว
“ผ้าม่านอิตาลีของฉัน”
ปทุมวดีช็อกมากจนเป็นลมไป ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล
“คุณหญิง”

ปทุมวดีตัวเปียก นั่งกุมขมับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ป้าม้วนจัดแจงหาผ้าขนหนูมาห่มตัวให้ แต้วช่วยพัดวีอยู่ข้างๆ ประภาพรรณ ป้าบัวเผื่อน น้อย เดช และสมหมาย นั่งหน้าจ๋อย ที่พื้นตรงหน้ามีผ้าม่านผืนที่ขาดวางกองอยู่ หมดสภาพใช้งานเหมือนผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน ปทุมวดีมองกองผ้าม่าน แล้วแค้น ชี้หน้าโวยวายใส่ประภาพรรณ
“หล่อนทำให้ฉันต้องเสียผ้าม่านราคาหลายแสนไป หล่อนต้องรับผิดชอบ”
“แต่คุณแม่สามีคะ มิวไม่ได้”
“หล่อนไม่ต้องมาเถียง ถ้าไม่เป็นเพราะหล่อนย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฉัน ครอบครัวผู้ดีที่แสนจะสงบสุขของฉันก็คงไม่เละอย่างนี้ นรกส่งหล่อนมารึไงยะ”
คำพูดของปทุมวดีกระแทกใจของประภาพรรณอย่างแรง เธอจุกจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กัดฟันแน่น ความรู้สึกทั้งโกรธทั้งเสียใจปะปนกันไปมา
“ถ้าคุณแม่สามีคิดว่ามิวเป็นสาเหตุทำให้ข้าวของเสียหาย มิวรับผิดชอบก็ได้ค่ะ”
คำตอบของประภาพรรณทำให้ป้าบัวเผื่อน น้อย สมหมายและเดชอึ้ง เพราะไม่มีใครเชื่อว่าคนอย่างประภาพรรณจะยอมลงให้ปทุมวดีอย่างง่ายดาย
“คนไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างหล่อนจะมีเงินที่ไหนมาชดใช้ค่าผ้าม่านให้ฉันกันยะ รู้มั้ยว่าราคาเท่าไหร่”
ยิ่งถูกปทุมวดีด่าว่าพร้อมดูถูก สีหน้าของประภาพรรณก็ยิงเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
“มิวไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้ให้คุณแม่สามีหรอกค่ะ แต่มิวจะชดใช้ด้วยแรงงานของมิวเอง”

ประภาพรรณเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนใช้ ออกมาหาปทุมวดีที่พื้นมีน้ำยาทำความสะอาดหลายชนิดวางตรงหน้า ปทุมวดียิ้มเยาะและเริ่มออกคำสั่ง
“หล่อนต้องทำความสะอาดพื้นบ้านทั้งหลัง และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นให้เสร็จก่อนที่ตากรจะกลับถึงบ้าน แค่นี้ทำได้มั้ยยะ”
ประภาพรรณนิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากป้าบัวเผื่อนและน้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่กสงสารประภาพรรณมาก
“และฉันขอสั่งห้ามพวกแกทุกคนให้ความช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้น”
ปทุมวดีไล่สายตาดุกร้าวมองน้อยและป้าบัวเผื่อนอย่างคาดโทษ
“ฉันจะไล่ออก”
ป้าบัวเผื่อนและน้อยมองสบตากันหน้าซีด ผิดกับแต้วและป้าม้วนที่หัวเราะคิกคักสะใจ ประภาพรรณยังคงนิ่ง ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านต่อคำสั่งของปทุมวดี
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณแม่สามี มิวจะทำความสะอาดพื้นบ้านทั้งหลัง และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นให้เสร็จคนเดียวค่ะ”
ปทุมวดีมองหน้าลูกสะใภ้ยิ้มเยาะ นึกดูถูกว่าไม่มีทางทำความสะอาดบ้านทั้งหลังกับเฟอร์นิเจอร์ได้แน่ๆ ปทุมวดีเดินเชิดขึ้นห้องไป ป้าม้วนกับแต้วรีบเดินตามไปทันที ประภาพรรณเครียด ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี

ประภาพรรณอยู่ในห้องโถงคนเดียว หยิบขวดน้ำยาทำความสะอาดหลายชนิดขึ้นมาอ่าน
“กะอีแค่น้ำยาทำความสะอาด ทำไมต้องแยกประเภทให้มันวุ่นวายด้วย”
ประภาพรรณนึกถึงคำพูดดูถูกของปทุมวดีขึ้นมา
“หล่อนไม่ต้องมาเถียง ถ้าไม่เป็นเพราะหล่อนย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฉัน ครอบครัวผู้ดีที่แสนจะสงบสุขของฉันก็คงไม่เละอย่างนี้ นรกส่งหล่อนมารึไงยะ”
ประภาพรรณยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ไม่ชอบให้ใครมาว่าดูถูกตัวเอง เธอเริ่มคิดอะไรออก
“ใช่ค่ะ นรกส่งมิวมา ดังนั้น งานนี้ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อไม่ให้เสียชื่อ ไอ้มิว ฆ่าได้ หยามไม่ได้”
ประภาพรรณยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเทน้ำยาทุกชนิดผสมรวมกันในถัง แล้วถือถังน้ำยานั้นเดินไปเริ่มลงมือทำความสะอาดพื้นบ้านทันที โดยเริ่มลงใช้น้ำถูพื้นหินอ่อน แต้วและป้าม้วน แอบยืนมอง ทั้งสองกลับไปรายงานให้ปทุมวดีฟัง ปทุมวดียิ้มสะใจที่ได้แกล้งลูกสะใภ้ ยื่นมือให้แต้วและป้าม้วนทำเล็บต่ออย่างสบายอารมณ์

ตอนเย็น ปรีชาชาญและพันกรเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งสองคนมองไปรอบๆ บ้านอย่างสับสน ปทุมวดีเพิ่งแต่งตัวเสร็จเดินลงมาต้อนรับอย่างอารมณ์ดี
“กลับมากันแล้วหรือคะ คุณพ่อคุณลูก”
เท้าของปทุมวดีเหยียบลงไปบนพื้นหินอ่อนแตกร่อน เธอชักสังหรณ์ใจ ก้มลงมอง เห็นพื้นหินอ่อนหลุดร่อนออกมาเป็นชิ้นๆ ปทุมวดีเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ บ้านด้วยอาการลุ้นระทึก เห็นเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ทั้งโซฟา โต๊ะ ตู้โชว์ ต่างมีรอยด่างๆ ดวงๆ เต็มไปหมด เธอมองหน้าปรีชาชาญและพันกร ตกใจจนพูดไม่ออก ประภาพรรณเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เดินถือถังน้ำยาเข้ามา พร้อมบอกด้วยเสียงแสนซื่อใส
“คุณพ่อ คุณกร มิวทำความสะอาดเสร็จพอดีเลยค่ะ”
ปทุมวดีเห็นประภาพรรณทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยิ่งโกรธจนหน้ามืดลืมตัว พุ่งถลาเข้าใส่ประภาพรรณ หมายจะบีบคอให้ตายไปตรงหน้า แต่ปรีชาชาญและพันกรรีบมาจับแขนขวางเอาไว้ทัน
“หล่อนทำบ้านฉันเป็นแบบนี้ หล่อนแกล้งฉัน หล่อนตาย”
ปทุมวดีพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีดิ้นจากวงแขนของปรีชาชาญและพันกรจะพุ่งเข้าหาประภาพรรณให้ได้
“มิวไม่ได้แกล้งนะคะ คุณหญิงแม่บอกให้มิวทำความสะอาดบ้านทั้งหลังแล้วก็เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น มิวก็ทำแล้วไงคะ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพื้นหินอ่อน กับเฟอร์นิเจอร์ของฉัน”
ประภาพรรณทำคิดแล้วก็แล้วทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่ปทุมวดี
“เอ มันอาจจะเป็นเพราะมิวเอาน้ำยาทั้งหมดมาผสมรวมกันแล้วใช้ถูใช้เช็ดทำความสะอาดก็ได้นะคะ”
ปทุมวดีควันออกหู เกิดอาการร้อนวูบๆ เหมือนลมจะใส่
“แหม แค่เฟอร์นิเจอร์เป็นด่างๆ ดวงๆ นิดหน่อยเอง คุณหญิงแม่คงไม่ต้องกับต้องแอ๊บตกใจจนเป็นลมแบบที่แล้วๆ มาหรอกมั้งคะ มุกเก่า”
“นี่หล่อนว่าฉันแอ๊บเหรอ หล่อนเลวมาก”
ปทุมวดีโกรธมากจนมือไม้สั่น ทำท่าเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ แต่ปรีชาชาญประคองไว้เลยยืนอยู่ได้
“จริงด้วย คุณหญิงชอบเป็นลมอย่างที่หนูมิวบอกจริงๆ”
ปทุมวดีหน้าเสีย เพราะสามีไม่เข้าข้าง
“คุณแม่มานั่งพักก่อนดีกว่าครับ”
ปทุมวดีไม่สนใจ สะบัดจากสามีและลูก หันไปจ้องมองหน้าประภาพรรณอาฆาต
“ฝากไว้ก่อน”
ปทุมวดีเดินจากไป พันกรเครียด หนักใจ ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องพัวพันกับศึกแม่ผัวลูกสะใภ้นี้ไปอีกนาน

ปทุมวดีนั่งกดเครื่องคิดเลข คำนวณดูค่าเสียหายที่ประภาพรรณทำลงไป
“คุณพี่ดูสิคะ แม่สะใภ้ตัวแสบทำบ้านสวยๆ เสียหายเกือบล้าน”
ปทุมวดียื่นเครื่องคิดเลขให้ปรีชาชาญดูอย่างหงุดหงิด ตั้งใจจะหาแนวร่วม แต่ปรีชาชาญกลับบอกยิ้มๆ
“แต่ผมว่าบ้านพังแบบนี้มันก็ดีนะ เราจะได้ถือโอกาสตกแต่งบ้านใหม่ซะเลย เอาสไตล์ไหนดีล่ะคุณ”
“เอ๊ะ คุณพี่เนี่ยยังไงนะ ตั้งแต่แม่มิวย้ายเข้ามา เคยมีสักครั้งมั้ยที่คุณพี่จะเข้าข้างน้องบ้าง”
“แล้วคุณหญิงจะให้ผมทำยังไงล่ะ ในเมื่อคุณหญิงไปแกล้งหนูมิวก่อนแบบนั้น”
ปทุมวดีเอาแต่คิดเรื่องประภาพรรณจนไม่ได้ฟังที่ปรีชาชาญพูด
“เห็นที ฉันจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด”
ปทุมวดีสายตากร้าว มุ่งมั่นที่หาทางไล่ประภาพรรณออกจากบ้านให้ได้

ภายในห้องนอน ประภาพรรณเห็นพันกรนั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเครียดมาก เธอหน้าเสียเพราะรู้ว่าตัวเองทำผิด รีบเข้าไปนวดไหล่ออดอ้อน
“คุณกร มิวขอโทษนะคะที่เอาคืนคุณหญิงแม่แบบนั้น”
พันกรสบตาภรรยา แววตาฉายความไม่สบายใจชัดเจน
“คุณกรไม่อยากให้มิวกับคุณแม่เป็นแบบนี้เลย ไม่มีใครยอมใคร แล้วเมื่อไหร่มิวกับคุณแม่จะดีกันได้ล่ะ”
พันกรจับมือประภาพรรณขึ้นมากุมไว้แน่น
“ทำงานมาเหนื่อยๆ พอถึงบ้าน ผมก็อยากให้ในบ้านเย็นๆ ได้ผ่อนคลาย มีกำลังใจสู้ต่อบ้าง”
ประภาพรรณเห็นสีหน้าของพันกรจริงจัง รู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ ชักเป็นห่วงขึ้นมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่กองปราบหรือคะ”
พันกรเครียด นึกถึงการประชุมเมื่อตอนกลางวัน โดยท่านรองวิเชียรเรียกเขามาแจ้งข่าวร้าย
“อะไรนะครับ สายสืบของเราถูกฆ่า”
“ไอ้เสี่ยเป้ ดูเหมือนมันจะมีลิ่วล้อเยอะกว่าที่เราคาดการณ์ไว้”
“ผมขอลงภาคสนามไปสืบเองนะครับ”
“ผู้กอง อย่าเพิ่งใจร้อน ตอนนี้ผมกำลังประสานกับหน่วยงานสืบสวนพิเศษที่สืบเรื่องเสี่ยเป้ในเชิงลับเช่นกัน เผื่อมีอะไรจะได้แลกข้อมูลช่วยกันได้”
“ครับ ท่านรองฯ”
“เราจะจับปลาใหญ่มันต้องรัดกุม จับทีเดียวให้อยู่หมัดเลย ไม่งั้นถ้ามันไหวตัว จะกลายเป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ท่านรองวิเชียรส่งแฟ้มประวัติของเอกราชให้กับพันกร
“นี่ประวัติของสายลับคนนั้น แต่ผมแจ้งชื่อของผู้กองไปแล้วล่ะ ยังไงทางฝ่ายนั้นคงจะมาติดต่อผู้กองเร็วๆ นี้แหละ”
พันกรรับแฟ้มประวัติสายลับมา เปิดออกดูหน้าและเห็นชื่อ หน้าเครียด

ประภาพรรณมองหน้าพันกรเครียด เริ่มเป็นห่วงหนักขึ้นเลยอาสาช่วย
“มีอะไรที่มิวพอจะช่วยคุณกรได้บ้างมั้ยคะ มิวเองก็เคยเป็นสายลับ อาจจะรู้จักสายลับที่ว่าก็ได้ เขาเป็นใครคะ”
พันกรเห็นภรรยากังวล จึงดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรักใคร่
“มิวสัญญากับผมแล้วนะว่าถ้าเราแต่งงานกัน มิวจะหันหลังให้วงการ”
“แต่ว่า”
“ถ้ามิวอยากจะช่วยจริงๆ ก็ช่วยอดทนเรื่องคุณแม่ของผมได้ไหมครับ”
พันกรสบตาภรรยาจริงจัง ประภาพรรณอึ้งกับคำขอร้องของสามีแต่ก็รับปาก
“ก็ได้ค่ะ มิวจะพยายาม”

พันกรฉีกยิ้มหวานแล้วดึงภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น ประภาพรรณเครียด รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ เรื่องงานของพันกร
จบตอนที่ 2






กำลังโหลดความคิดเห็น