มงกุฎริษยา ตอนที่ 7
โมงยามอันแสนรีบเร่งและวุ่นวายของชีวิตคนกรุงเริ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง ชมพู่สวมกางเกงยีนส์ใส่เสื้อเชิ้ตมาดเท่ดูทะมัดทะแมง หญิงสาวสะพายกระเป๋าข้าง ออกมายืนรอรถเมล์อยู่ตรงปากซอยบ้านป้าดวงเดือนตั้งแต่เช้า
หากมีใครสังเกตุท่าทีของเธอดูคงออกว่าเป็นคนแปลกถิ่น เพราะสาวเจ้าคอยชะเง้อชะแง้มองรถเมล์สายที่วิ่งผ่านตลอด ด้วยกลัวจะขึ้นรถผิดสาย
พอรถเมล์สายที่ผ่านช่องอินฟินิตี้มาถึง ผู้คนพากันเบียดเสียดแย่งกันขึ้นไป ชมพู่แทรกตัวขึ้นตาม แต่เพราะคนแน่นมาก เทพีเมืองเพชรคนสวยเลยต้องห้อยโหนเกาะอยู่ตรงบันได
ในขณะที่รถเมล์วิ่งไปตามทางนั้น เสียงโทรศัพท์ชมพู่ดัง หญิงสาวควักมือถือมากดรับและคุยสาย
“ฮัลโหล”
เสียงขุ่นเขียวของพุฒิพัฒน์ดังลอดออกมาว่า “เธออยู่ไหน ชั้นมารับเธอที่บ้าน เค้าบอกว่าเธอออกไปแล้ว”
“ใช่ ชั้นออกมาแล้ว เจอกันที่บริษัทแล้วกัน”
“ชั้นบอกเธอแล้วใช่มั้ยว่าจะมารับ แล้วทำไมไม่รอ”
“ชั้นก็บอกนายแล้วว่าไปเองได้ แล้วจะมารับทำไม”
“แล้วเธออยู่ไหนแล้วเนี่ย”
“บนรถเมล์ แค่นี้นะ” ชมพู่วางสายไปเลย
รถเมล์วิ่งไปเรื่อยๆ ตามสภาพการจราจรอันติดขัด จอดป้ายรับผู้โดยสาร มีคนขึ้น มีคนลง ชมพู่โดนเบียดเสียดจนตัวโยกโยน แม้จะลำบากแค่ไหนแต่เธอก็สู้ทน
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ขณะที่ชมพู่ยังเกาะอยู่บนบันไดรถเมล์นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงบีบแตรรถดังปี๊นๆ ไล่หลังมา เบื้องแรกชมพู่ไม่ได้สนใจ จนเสียงบีบแตรดังอีก พร้อมๆ กับรถหรูของพุฒิพัฒน์วิ่งมาเทียบข้าง
ชมพู่สะดุดตา มองไปเห็นรถคุ้นๆ จนรถคันนั้นลดกระจกลง เผยให้เห็นพุฒิพัฒน์ใส่แว่นดำตะโกนสั่ง
“ลงมา”
ชมพู่ตกใจ “เฮ้ย มาได้ไงเนี่ย”
“ก็ขับรถมาน่ะสิ ลงมานี่ แล้วไปกับชั้น”
ชมพู่อายคน “ไม่ต้อง! ชั้นจะไปเอง”
“บอกให้ลงมา”
“ไม่”
รถเมล์จอดส่งคนที่ป้ายพอดี
พุฒิพัฒน์จอดรถต่อท้ายรถท้ายรถเมล์ รีบลงรถไปฉุดชมพู่ลงมา
“ไอ้บ้า นายจะทำอะไร” ชมพู่สะบัดสุดแรง
“นั่งรถชั้นดีๆ ไม่ชอบใช่มั้ย ไปห้อยโหนอย่างนั้น ตกลงมาหัวฟาดพื้นตายทำไง”
“ชั้นยอมลำบากโหนรถเมล์ ดีกว่านั่งไปกับนาย ปล่อย”
ชมพู่สะบัดมืออีก แต่พุฒิพัฒน์กุมแน่นไม่ยอมปล่อย รถเมล์ออกตัวไปแล้ว
“เฮ้ย รอก่อน”
พุฒิพัฒน์ปล่อยมือ ชมพู่วิ่งตามรถเมล์แต่ไม่ทัน
“โธ่เว้ย”
ชมพู่หันขวับมามองพุฒิพัฒน์อย่างโกรธเคือง แล้วเดินกลับไปยืนรอรถเมล์ที่ป้ายด้วยหน้าตาอันบึ้งตึง พุฒิพัฒน์เดินตามไป หาข้ออ้าง
“นี่มันจะ 9 โมงแล้ว เธอคงไม่อยากไปทำงานวันแรกสายหรอกใช่มั้ย ไปขึ้นรถชั้นซะดีๆ”
“ถ้าชั้นไปทำงานสาย ชั้นจะบอกเจ้านายว่าชั้นเจอคนบ้าแกล้งระหว่างทาง”
“ก็ไอ้คนบ้าคนนั้นแหละเจ้านายเธอ และชั้นก็ขอสั่งงานชิ้นแรกให้เธอทำ ไปขึ้นรถชั้นเดี๋ยวนี้ คิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถนะ”
ชมพู่จนมุมไม่รู้จะเถียงอะไรอีก ค้อนขวับวงใหญ่ๆ แล้วตะบึงตะบอนไปขึ้นรถ
พุฒิพัฒน์ยิ้มขำ อารมณ์ดีทันควันที่เอาชนะชมพู่ได้ รถสปอร์ตคนหรูขับทะยานออกไป
วันเดียวกันนี้ ดาวมีนัดถ่ายแบบแฟชั่นขึ้นปกนิตยสาร The Beuty ทีมงานนัดกันที่ร้านพิจิตราผ้าไทยของคุณหญิงพิจิตรา
ดาวแต่งหน้าเฉี่ยว รับกับชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าไทยดีไซน์ เก๋ เท่ เธอยืนโพสอยู่ตรงฉาก มุมหนึ่งของร้าน ซึ่งตกแต่งสไตล์โมเดิร์น
เปรมจิต คิตตี้ และพิจิตรา ยืนดูอย่างชื่นชม ตากล้องกำลังถ่าย และกำกับท่าให้อย่างมืออาชีพ
“กดหน้ามองกล้องครับ สวยครับ ลองเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ นะครับ ดีครับ”
ฟ้าอยู่ข้างๆ ช่วยถือรีเฟลกซ์ เหม่อมองดาวแล้วก็สะท้อนใจ อยากถ่ายแบบบ้าง ฟ้าถือรีเฟลกซ์เบี้ยว
“น้องครับ ถือดีๆ หน่อยสิครับ เห็นมั้ยว่าแสงมันไม่ลง” ตากล้องดุ
“ขอโทษค่ะ”
ฟ้าเพิ่งรู้สึกตัวขยับรีเฟลกซ์ให้ ดาวมองฟ้าห่วงความรู้สึกเพื่อนมาก
ตากล้องถ่ายอีก 2-3 รูป จึงหันมาทางพิจิตรา
“ชุดนี้น่าจะอยู่แล้วครับ เปลี่ยนชุดต่อไปเลยครับ”
สามคนเดินเข้าไปหาดาว พิจิตราชื่นชมดาวไม่ขาดปาก
“ชั้นเลือกคนไม่ผิดจริงๆ พอหนังสือวางแผงเมื่อไหร่ คนคงถามหากันให้ควักว่านางแบบเป็นใคร เปรมจิตเธอต้องมาช่วยรับโทรศัพท์ด้วยนะ โทษฐานแนะนำหนูดาวให้กับชั้น”
เปรมจิตยิ้มหน้าบาน “ยินดีค่ะคุณพี่ หนูดาวเนี่ยแต่งอะไรก็ขึ้นนะคะ คุณพี่ยังไม่เห็นตอนประกวดนางงาม สวยหวานหยดย้อยเลยค่ะ”
คิตตี้ผสมโรง “จริงค่ะ คิตตี้จับหน้ามาหลายพันหน้าแล้ว ยังไม่เคยเจอใครที่แต่งเฉี่ยวก็เปรี้ยว แต่งสวยก็หวาน อู้ยยย หายากมากเลยค่ะ”
“ชักอยากจะเห็นตอนแต่งนางงามแล้วสิ” พิจิตราว่า
“อีกไม่นานแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าน้องดาวจะลงมิสเพอร์เฟกต์ไทยแลนด์ด้วย ยังไงก็ฝากคุณพี่ด้วยนะคะ”
“ไปหนูดาว ไปเปลี่ยนชุดกัน”
พิจิตราพยักหน้ายิ้มรับแล้วพาดาวเดินไป เปรมจิตกับคิตตี้ยิ้มย่องมองหน้ากันอย่างสบายใจ
“ลองป้าพิจิตราถูกใจดาวขนาดนี้ ตำแหน่ง 1 ใน 5 ไม่น่าหลุดนะคะ”
เปรมจิตท้วง “ใครว่า...ต้องได้ที่ 1 เลยต่างหาก”
สองคนหัวเราะหัวใคร่แล้วเดินตามไป ทิ้งฟ้าให้ยืนเศร้าอยู่คนเดียว
ทางด้านพุฒิพัฒน์ขับรถมาตามทาง แล้วจู่ๆ ดันเลี้ยวรถเข้าห้างเฉยเลย ชมพู่แปลกใจ
“นายจะพาชั้นไปไหน ชั้นจะไปทำงานนะ ไม่ได้จะมาเดินห้าง”
พุฒิพัฒน์ไม่พูดอะไร ขับรถไปจอดแล้วลงรถเดินเข้าห้าง ชมพู่เดินตามงงๆ และเริ่มโมโห
“ตอบชั้นสิ หรือนายจะแกล้งอะไรชั้นอีก นี่ ตอบสิ”
พุฒิพัฒน์ไม่สนใจเดินลิ่วเข้าห้างไป, พู่จำใจต้องเดินตาม
พุฒิพัฒน์เดินนำเข้ามายังแผนกเสื้อผ้าสตรี ชมพู่เดินตามมาหน้าหงิก
“นี่นาย! ตกลงจะบอกชั้นได้รึยังว่าจะไปไหน”
พุฒิพัฒน์เดินต่อไปโดยไม่สนใจ
“ถ้านายไม่ตอบ ชั้นกลับจริงๆ ด้วย”
พุฒิพัฒน์เดินต่อไปโดยไม่สน ชมพู่โมโห หันหลังจะเดินกลับ พุฒิพัฒน์รีบเดินไปลากแขนชมพู่มา
“ตามชั้นมาเถอะน่า”
สุดท้ายพุฒิพัฒน์ลากแขนชมพู่เลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงวัยรุ่น
จากนั้นไม่นานชมพู่ก็เข้าออกห้องลองชุด เพื่อลองเสื้อผ้าเป็นชุดทำงานหลากสไตล์
พุฒิพัฒน์นั่งมองคอยช่วยเลือก ชุดไหนไม่ชอบก็ส่ายหน้า ชุดไหนดูดีก็พยักหน้า พนักงานยืนข้างๆ คอยถือชุดที่พุฒิพัฒน์เลือกแล้ว
บางชุดพุฒิพัฒน์ลุกเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จับชมพู่หมุนตัวให้ดู จนเธอรู้สึกประหม่า แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า
ชุดสวยสมใจแล้ว พุฒพัฒน์พามาเลือกรองเท้า ชมพู่ลองส้นสูง หลายคู่ หลายแบบ และลองเดินให้พุฒิพัฒน์ดู
มีอยู่คู่หนึ่งส้นสูงมาก ชมพู่เดินแล้วเสียหลักซวนเซจะล้ม พุฒิพัฒน์ถลาไปประคองไว้ได้ทัน ชมพู่ประหม่าอีกรอบ รีบขยับตัวกลับมายืนตรง
ในที่สุดชมพู่ก็เดินออกมาจากห้องลอง ในชุดทำงานสวยเรียบโก้ รองเท้าสูงพอดี ทุกอย่างแมทช์เข้าชุดกันเป๊ะ
พุฒิพัฒน์มองเคลิ้ม ระบายยิ้มทั่วใบหน้าอย่างพึงพอใจ ชมพู่ยิ่งรู้สึกประหม่า ทำตัวไม่ถูก
ได้ชุดทำงานสวยงามสมใจแล้ว พุฒิพัฒน์ถือถุงเสื้อผ้าหลายถุงเดินนำชมพู่มาตามทางในห้าง
“ทำไมนายจะต้องซื้อเสื้อผ้าให้ชั้นเปลี่ยนด้วย” ชมพู่รู้สึกเกรงใจ
“เธอจะมาเป็นเลขาส่วนตัวชั้นทั้งที ก็ต้องให้มีสง่าราศีหน่อย ขืนแต่งแบบที่เธอแต่งมา คนเค้าจะหาว่าชั้นเอาเด็กกะโปโลที่ไหนมาทำงาน”
“ขอบคุณนะ ถ้าชั้นมีเงินเมื่อไหร่ ชั้นจะเอามาใช้คืนละกัน”
“ไม่ต้องคืนหรอก ถือว่าเป็นสวัสดิการพนักงาน”
ผอ.หนุ่มเดินมาหยุดตรงเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ซึ่งมีพนักงานคนหนึ่งยืนอยู่
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณพุฒิ” พนักงงานนางนั้นเข้าไปกระซิบแซวอย่างมักคุ้นกัน “แหม เปลี่ยนสาวอีกแล้วนะคะ”
“คนนี้เลขาผมครับ”
พนักงานหน้าแตก “อ๋อค่ะ วันนี้คุณพุฒิมีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ”
“ช่วยสอนเลขาผมแต่งหน้าทีสิครับ เผอิญเธอเป็นสาวชาวสวน ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องความสวยความงาม”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ เชิญนั่งเลยค่ะคุณน้อง”
ชมพู่ลงนั่งให้ช่างแต่งหน้าอย่าง งงๆ
พนักงานสาวแต่งหน้าชมพู่ไป พลางอธิบายสอนวิธีแต่งให้ด้วย พุฒิพัฒน์มองจ้องใบหน้าชมพู่ ที่เริ่มมีสีสันแต้มลงไปบนใบหน้าก็ยิ่งเห็นความน่ารักของสาวเมืองเพชร
ขั้นตอนสุดท้าย พนักงานทาปากสีชมพูอ่อนให้
“อันดับสุดท้ายก็คือ ทาปากค่ะ ลองเลือกสีให้เข้ากับสไตล์การแต่งตัวเรานะคะ สำหรัชุดนี้พี่ขอเลือกสีอ่อนๆ ละกันค่ะ โอเคค่ะ เป็นอันเสร็จพิธี”
พนักงานหันเก้าอี้ หมุนตัวชมพู่มาให้พุฒิพัฒน์ดู
“เป็นไงบ้างคะคุณพุฒิ”
ใบหน้าชมพู่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ยิ่งทำให้เธอดูสวยมีเสน่ห์ขึ้นมาก พุฒิพัฒน์มองจ้องเอาๆ อย่างพอใจ
เห็นพุฒิพัฒน์มองตัวเองตาค้างก็ยิ่งประหม่า ชมพู่ต้องคอยหลบตาไปมา แล้วก็พูดโพล่งออกมาแก้เขิน
“จะไปทำงานได้ยัง สายแล้วนะ”
ส่วนอีกฝั่ง พิจิตรากำลังดูแลผู้ช่วยแต่งตัวให้ดาวใกล้จะเสร็จ เปรมจิต คิตตี้ ชี้ชวนชื่นชม ฟ้าขัดเครื่องเงินอยู่ข้างๆ
“ดูสิ จะจับแต่งอะไรก็สวยไปหมดเลย เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ นะหนูดาว”
“เจ๊ก็พูดเกินไป หนูก็แค่หน้าแป้นๆ ตาเล็กๆ แต่ดูอย่างฟ้าสิคะ หน้าก็เรียว ตาก็โต สวยกว่าดาวตั้งเยอะ คุณพิจิตราดูสิคะ”
ฟ้ายิ้มพยายามพรีเซนต์ใบหน้าให้พิจตราสนใจ แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจมองเลย
“จ้ะ เสร็จแล้วไปกันได้”
ดาวจับแขนพิจิตราไว้
“คุณพิจิตราคะ ให้เพื่อนหนูถ่ายแบบด้วยคนนะคะ รับรองว่าแต่งออกมาแล้วสวยแน่นอนค่ะ นะคะ”
เปรมจิตเอ็ด “ดาว ชุดเค้าเตรียมมาให้หนูคนเดียว จะให้ฟ้าถ่ายด้วยได้ยังไง”
“เอาชุดหนูให้ฟ้าใส่ก็ได้ค่ะ นะคะ คุณพิจิตรา ฟ้าเค้าก็สวยนะคะ” ดาวอ้อนวอนขอร้องเป็นการใหญ่
คิตตี้ติติง “ดาว อย่าเซ้าซี้”
พิจิตรามองหน้าฟ้าอย่างพิจารณาอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วบอกว่า
“ก็ได้ ถ่าย 2 คนเลยก็ได้ ชั้นพอมีไอเดียอยู่บ้าง”
ฟ้ายิ้มดีใจสุดขีด
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ดาวเข้าไปจับมือฟ้าอย่างยินดี ที่จะได้ถ่ายแบบร่วมกัน
กลายเป็นว่าฟ้าแต่งตัวเป็นนางทาสคอยถือพัดโบกนั่งอยู่ข้างล่างตั่ง ด้วยสีหน้าสะเทือนใจใหญ่หลวง ดาวนั่งอิงหมอนอยู่บ่นตั่งวางท่าดั่งนางพญา ตากล้องถ่ายรัวๆ เปรมจิต คิตตี้ และพิจิตรา มองอยู่ชื่นชม
“น้องดาวเหยียดขาออกไปอีกครับ”
ดาวเหยียดขาออกไปอีกตามที่ตากล้องสั่ง ทำให้เท้าใกล้กับใบหน้าฟ้ามาก
ตากล้องไม่ชอบ สั่งอีก “อีกครับ ...อีก”
ดาวสงสารฟ้าแต่ก็จำใจต้องทำตามที่ตากล้องบอก ฟ้ามองปลายเท้าดาวนึกสะท้อนใจ
“ดีครับสวย” ตากล้องบอกกับฟ้าว่า “น้องครับ หันหน้าไปข้างหลังอีกครับ แล้วก็ก้มหน้าอีกครับ ก้มอีก”
พิจิตราขัดขึ้น “พี่ว่าจัดแสงให้สว่างแค่ตรงน้องดาวก็ดีนะ ส่วนรอบๆ ก็ให้เห็นเป็นเงามืดๆ”
“ครับพี่ เดี๋ยวลองดูครับ”
ตากล้องไปปิดไฟดวงหนึ่ง ทำให้แสงตรงฟ้ามืดเห็นเป็นเพียงเงารางๆ
ฟ้าซ่อนสีหน้าขมขื่นอยู่ในแสงเศร้าและเงามืดนั้น
รถพุฒิพัฒน์แล่นเข้าตึกช่องอินฟินิตี้
พอลงรถ พุฒิพัฒน์เดินนำเข้ามาในล็อบบี้ ชมพู่เดินตามท่าทางไม่ค่อยมั่นใจ เพราะยังไม่ค่อยคุ้นกับชุดและรองเท้า
เดินไปทางไหน พนักงงาน ผู้คนในออฟฟิศ ต่างยกมือไหว้พุฒิพัฒน์ไปตลอดทาง และจ้องมองชมพู่ด้วยสายตาฉงนฉงายว่าชะนีนางนี้คือใคร
ชมพู่เห็นสายตาที่มองมาก็อึดอัด ขยับเดินเข้าไปใกล้ๆ พุฒิพัฒน์กระซิบถาม
“นายๆ คนเค้ามองอะไรกันน่ะ”
“ก็มองเธอน่ะสิ”
“มองทำไม ชั้นมีอะไรแปลกเหรอ”
“ไม่แปลกหรอก เธอแค่สวย”
พุฒิพัฒน์ยิ้มหล่อร้ายมาให้ ชมพู่เซ็งมากกว่าเขินที่เขาแซวอยู่ได้
อ่านต่อหน้า 2
มงกุฎริษยา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ประตูห้องทำงานผอ.ช่องอินฟินิตี้ ถูกพุฒิพัฒน์เปิดเดินนำเข้ามา ชมพู่ตามมางงๆ
“นี่ห้องทำงานชั้น แล้วนั่น ก็โต๊ะทำงานเธอ”
พุฒิพัฒน์บุ้ยใบ้ไปยังข้างๆ โต๊ะทำงานของเขามีโต๊ะทำงานอีกตัวจัดวางไว้เรียบร้อย พร้อมอุปกรณ์สำนักงานครบครัน
“ต้องนั่งใกล้กันขนาดนี้เลยเหรอ”
พุฒิพัฒน์ยื่นหน้าเจ้าเล่ห์เข้าไปใกล้ๆ กระซิบข้างหูเลขาป้ายแดง
“ไม่ชอบอยู่ใกล้ชั้นรึไง”
ชมพู่ขนลุกเกรียว รีบถอยออกไปนั่งโต๊ะทำงานทันควัน พุฒิพัฒน์ยิ้มขำ
“มีอะไรให้ทำก็ว่ามา”
พุฒิพัฒน์หันไปกดอินเตอร์คอม
“คุณอร เชิญหน่อยครับ”
สักครู่อรก็เคาะเปิดประตูเดินเข้ามา
“ค่ะคุณพุฒิ”
“อร นี่คุณชมพู่ เลขาผม”
“อะไรนะคะ เลขา” อรตาโต
“ใช่ครับ เค้าจะมาทำงานวันนี้เป็นวันแรก”
อรจิตตก ถามเป็นชุด “แล้วอรล่ะคะ คุณพุฒิจะไล่อรออกเหรอคะ อรทำอะไรผิดคะคุณพุฒิ”
“หยุดๆๆ ฟังผมก่อน คุณก็ทำงานของคุณไปตามปกติ เพราะคุณป็นเลขาเรื่องงาน ส่วนคุณชมพู่ เป็นเลขาเรื่องส่วนตัว”
ชมพู่งงพึมพำกับตัวเองว่า
“เลขาเรื่องส่วนตัว”
พนักงานหญิงขาเม้าท์ 2-3 คน จับกลุ่มเม้าท์แตกฟองเรื่องชมพูนุชกันอยู่
“หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแฟนคุณพุฒิวะแก ชั้นไม่เคยเห็นคุณพุฒิเดินยิ้มอย่างเมื่อเช้ามาก่อนเลยนะ” หญิง 1 เปิดประเด็น
“แต่เมื่อคืนคุณพุฒิโทร.มาสั่งให้คนจัดโต๊ะทำงานอีกตัวไว้ในห้องด้วยนะ ตกลงมาทำตำแหน่งอะไรกันแน่” หญิง 2 สงสัย
อรปรี่เข้ามาสมทบ คันปากอยากเม้าท์เต็มทน
“มาแล้ว มาแล้ว”
“ว่าไงพี่อร ตกลงนางเป็นใคร” หญิง 1 ถามทันที
“คุณพุฒิบอกว่านางเป็น เลขาเรื่องส่วนตัว”
“เลขาเรื่องส่วนตัว ประหลาด มีตำแหน่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” พนักงานหญิง 2 ว่า
เสียงขจีนุชกระแอมกระไอ ทุกคนหันไปเห็นประมุขช่อง ก็หน้าจ๋อย
“คุยอะไรกัน”
อรอึกอักกว่าใคร “เอ่อ...”
ทางด้านพุฒิกำลังสั่งงานเลขาเรื่องส่วนตัวคนใหม่ ชมพู่จดบันทึกลงไอแพด
“การจะเป็นเลขาเรื่องส่วนตัวของชั้น อันดับแรกเธอจะต้องจำเรื่องส่วนตัวของชั้นให้ได้หมดทุกเรื่อง”
“เช่นเรื่องอะไรบ้าง”
“ก็เช่น ต้องรู้ว่าชั้นชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร ชอบรสชาติแบบไหนเธอจะได้ทำให้ชั้นกินได้ถูกปาก”
“ทำไมนายไม่จ้างแม่ครัว”
“ถ้าชั้นจ้างแม่ครัว ชั้นก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เธอน่ะสิ”
ชมพู่กลอกตา ถอนหายใจ ซักต่อเซ็งๆ
“เรื่องอะไรอีก”
“เรื่องเสื้อผ้า เธอจะต้องรู้จักเสื้อผ้าชั้นทุกตัว เวลาใช้ไปหยิบจะได้หยิบได้ถูก แล้วก็ต้องรู้ไซส์ด้วย เผื่อชั้นใช้ให้เธอไปซื้อ...แต่เอ๊ะ” ผอ.หล่อลากทำหน้ายียวน ยิ้มเจ้าเล่ห์ “เรื่องไซส์นี่เธอน่าจะพอรู้อยู่บ้างแล้วนะ โดยเฉพาะไซส์กางเกงใน”
ชมพู่อึ้งไป คิดถึงวันที่มอมยาพุฒิพัฒน์แล้วจับเขาถอดเสื้อผ้าแม้กระทั่งกางเกงในเพื่อสร้างเหตุการณ์
ให้เขาเข้าใจว่ามีอะไรกันเรียบร้อย
นึกถึงฉากถอดกางเกงในขึ้นมาชมพู่ถึงขนลุกซู่ รีบดึงตัวเองกลับออกมา พุฒิพัฒน์แอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ อีกครั้ง
“กำลังนึกภาพชั้นอยู่เหรอ”
ชมพู่สะดุ้ง ผงะออก
“นี่นาย เลิกเอาหน้ามาใกล้ชั้นซะทีได้มั้ย”
พุฒิพัฒน์ยิ่งแกล้งเข้าใกล้
“ทำไมล่ะ หรือชั้นต้องจ่ายเงินเธอเหมือนคราวที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่แค่เข้าใกล้นะ มันจะเข้า...”
ชมพู่ทนไม่ไหวโพล่งขึ้นมาว่า
“เราไม่เคยมีอะไรกัน! เลิกพูดเรื่องนี้ซะที”
พุฒิพัฒน์ยิ้มร่า สมใจ “ยอมรับแล้วเหรอ”
“เออ ชั้นยอมรับก็ได้ วันนั้นชั้นมอมยานายแล้วก็หยิบเงินมา ชั้นขอโทษ มีเมื่อไหร่จะรีบคืนก็แล้วกัน ...แล้วนายก็เข้าใจซะใหม่ด้วย ดูปากนะ เรา - ไม่ - เคย - มี - อะ - ไร - กัน” ชมพู่เน้นคำชัดๆ ตอนท้าย
พุฒิพัฒน์หัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ ชั้นก็รู้ตั้งนานแล้วล่ะ เพราะชั้นเก็บซองยานอนหลับของเธอได้”
ชมพู่ตาโต “นี่นายรู้แล้ว”
“ใช่ ดีนะที่เธอรีบสารภาพ” พุฒิพัฒน์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ชมพู่อีก “ไม่งั้นชั้นก็จะใช้มุกนี้แกล้งเธอไปเรื่อยๆ”
ชมพู่จนมุม ได้แต่เบือนหน้าหนี ขจีนุชเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี
“พุฒิ”
พุฒิพัฒน์ตกใจ รีบถอยออกมาจากชมพู่
“แม่”
ชมพู่รีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ขจีนุชมองพู่อย่างไว้ตัว และไม่ชอบใจนัก
ขจีนุชเปิดประตูห้องทำงานตัวเองเข้ามา ลงนั่งที่โต๊ะด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง ท่าทางไม่พอใจมาก พุฒิพัฒน์ตามเข้ามา ด้วยท่าทางดื้อรั้น เอาแต่ใจ ตามถนัด
“มีอะไรจะอธิบายให้แม่ฟังมั้ย”
พุฒิพัฒน์ทำไขสือ “เรื่องอะไรครับ”
“จะรับพนักงานใหม่ ทำไมไม่เห็นบอกแม่มั่งเลย”
“ก็ทีแม่รับชัชเข้ามา แม่ยังไม่เห็นบอกผมเลย”
ขจีนุชคร้านจะทะเลาะ เลยเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วเค้าเป็นใคร มาจากไหน แล้วให้มาทำหน้าที่อะไร ทำไมต้องเอาโต๊ะไปอยู่ในห้องด้วย”
“ผมเจอเค้าที่เพชรบุรีครับ รู้สึกถูกชะตา ก็เลยอยากให้มาอยู่ใกล้ๆ”
ขจีนุชตกใจ “พุฒิ ลูกเป็นถึง ผอ.ช่องนะ ทำอะไรให้มันเป็นผู้ใหญ่หน่อย เอาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำงานแบบนี้ เดี๋ยวใครจะว่าได้”
พุฒิพัฒน์สวนคำมารดา “ถ้ากลัวคนอื่นจะว่า ผมว่าแม่ไปคอยดูแลชัชจะดีกว่า ถ้าเกิดลูกรักของแม่เกิดทำงานผิดพลาดขึ้นมา คนเค้าจะว่าแม่เอานะครับ”
ขจีนุชมองตามลูกชายที่เดินออกไปอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับความรั้น
ดาวเปลี่ยนอีกชุดแล้ว เวลานั้นกำลังยืนโพสท่า ฟ้าอยู่ข้างๆ นอกเฟรม ถือผ้าไหม 1 ผืน เปรมจิต คิตตี้ พิจิตรายืนดู
ตากล้องนับคิวให้ฟ้าสะบัดผ้าเข้ามาในเฟรม
“1...2...3”
ฟ้าสะบัดผ้า
“เอาใหม่อีกที... 1...2...3”
ฟ้าสะบัดผ้าอีก และสะบัดๆ อยู่อีกหลายที สะบัดแล้วสะบัดอีก แต่ก็ยังไม่ได้จังหวะที่ดีสักที จนฟ้าออกอาการเบื่อ
คิตตี้เห็นเข้าก็เอ็ดเสียงดัง “ฟ้า ตั้งใจหน่อยสิ สะบัดสูงๆ พลิ้วๆ ทำเป็นมั้ย”
ตากล้องสั่ง “เอาใหม่นะครับ 1...2...3”
คนนี้ก็สั่งคนนั้นก็สั่งจนฟ้าเริ่มอารมณ์ไม่ดี สะบัดผ้าเต็มแรงไปโดนหน้าดาว
เปรมจิตตกใจรีบเข้าไปดูดาว “ตายแล้ว ขนตาหลุดรึเปล่าเนี่ย”
ฟ้าจ๋อย “ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่โดน”
เปรมจิตตำหนิพูดไม่ดีด้วย
“ระวังหน่อยสิยะนังฟ้า” พลางหันไปทางตากล้อง “โอเคค่ะ ถ่ายต่อ”
เปรมจิตออกมา ฟ้าโกรธกรุ่นๆ ในใจ และหงุดหงิดมากขึ้น
ตากล้องสั่ง “1...2...3”
ฟ้าสะบัดผ้าไปทางข้างหน้าดาว ตั้งใจจะให้ผ้าบังหน้าดาว
ทว่ามองจากเลนส์ของตากล้องพบว่าผ้าดันบังหน้าดาวพอดิบพอดี
นอกจากนี้ อีกหลายๆ ภาพ จังหวะของผ้าก็บังหน้าดาวทั้งสิ้น บางภาพบังเสี้ยวเดียว หลายภาพบังเต็มๆ
“พอแล้ว พอแล้ว ชั้นว่าไอ้สะบัดผ้านี่ไม่น่าจะเวิร์ค หนูดาวจ๊ะ พักผ่อนก่อนนะ เตรียมเปลี่ยนชุดต่อไป”
พิจิตราเดินนำไปที่ราวเสื้อ เปรมจิต กับคิตตี้รีบเดินตาม
เปรมจิตรีบขอโทษขอโพย “ขอโทษแทนเด็กมันด้วยนะคะ เด็กมันมาจากบ้านนอกน่ะค่ะ ไม่ค่อยรู้เรื่อง”
ส่วนดาวรีบตรงไปหาฟ้า
“เหนื่อยมั้ยฟ้า”
ฟ้ามองค้อนนิดๆ ทำเป็นนวดแขน
“ก็เห็นอยู่ ยังจะถามอีก”
“โอ๋ๆ มาๆ ชั้นนวดให้”
ดาวเข้าไปนวดแขนให้ฟ้ากะเอาใจ ฟ้าได้ทีทำงอนใหญ่
พุฒิพัฒน์นั่งตรวจงานอยู่ที่โต๊ะ เปิดแฟ้มเอกสารดูแล้วสีหน้าไม่ค่อยพอใจ อรยืนอยู่ข้างๆ ชมพู่ยกถ้วยกาแฟบนโต๊ะไปเก็บ
“แพงเกินไป ไปบอกให้เค้าทำราคามาใหม่” พุฒิพัฒน์ปิดแฟ้มส่งคืนให้อร
“คุณพุฒิขานี่ก็แก้เป็นรอบที่ 3 แล้วนะคะ ขืนส่งกลับไปกลับมาแบบนี้ก็ไม่ได้เริ่มงานกันพอดี”
“คุณก็ดูสิ เราต้องเสียเงินอีกตั้งหลายแสนเพื่อจ้างคนข้างนอกมาทำงาน ทั้งๆ ที่ช่องเราก็มีคนอยู่แล้ว”
“แต่คุณขจีนุชท่านเซ็นอนุมัติแล้วนะคะ”
พุฒิพัฒน์จนมุม
“คุณออกไปก่อน เดี๋ยวผมไปคุยเอง”
“ยังไงก็รีบหน่อยนะคะ เพราะนี่ก็ใกล้วันเปิดรับสมัครมิสเพอร์เฟกท์ไทยแลนด์แล้ว ขืนช้าไปกว่านี้จะไม่ทันเอานะคะ”
อรออกไป พุฒิพัฒน์เครียดหนัก ชมพู่เห็นก็เป็นห่วง
“นาย หาอะไรกินก่อนดีมั้ย นี่เลยเที่ยงมาตั้งนานแล้วนะ ตั้งแต่เช้านายเพิ่งกินกาแฟไปแก้วเดียวเอง”
“ชั้นไม่หิว ถ้าเธอหิวก็ไปกินที่โรงอาหารบริษัท”
ชมพู่มองพุฒิพัฒน์อย่างเป็นห่วง
ชมพู่เดินมากดลิฟต์ยืนรอสักครู่ ประตูลิฟต์เปิดออกชมพู่เข้าลิฟต์ไป หญิงสาวมองตัวเลขไม่รู้จะกดเลขชั้นอะไรดี
“อ้าว แล้วโรงอาหารมันอยู่ชั้นไหนล่ะเนี่ย”
ขณะประตูลิฟต์กำลังจะปิด มีมือใครสักคนเข้ามาสอดกันประตูไว้
“ไปด้วยครับ”
ชมพู่เงยหน้าเห็นเป็นชัชชนม์ รีบกดเปิดให้
“ขอบคุณครับ”
“ชั้นไหนคะ”
“เอ่อ... ชั้นโรงอาหารครับ”
“กำลังจะไปโรงอาหารเหมือนกันเลยค่ะ แล้วมันชั้นไหนเหรอคะ”
“อ้าว คุณไม่ได้เป็นพนักงานที่นี่เหรอครับ”
“เป็นค่ะ แต่เพิ่งมาทำงานวันแรก แล้วคุณ...”
“ผมไม่ได้เป็นครับ ผมมารับจ๊อบ”
“งั้นก็ เอางี้ละกันค่ะ”
เห็นชมพู่เลยกดลิฟต์หมดทุกชั้น ชัชชนม์ก็อึ้งคาดไม่ถึง สองคนพากันยิ้มขำ
“เอางี้เลยเหรอครับ”
ฟาก ดาว ฟ้า เปรมจิต และคิตตี้ กำลังจะกลับ มีพิจิตราเดินออกมาส่ง
“ถ้าหนังสือออกเมื่อไหร่จะส่งไปให้นะ วันนี้ต้องขอบใจทุกคนมาก โดยเฉพาะหนูดาว”
“หนูต่างหากล่ะคะ ที่ต้องขอบคุณคุณพิจิตราที่ให้โอกาสหนู ...แล้วก็เพื่อนหนูด้วย”
“เพชรน่ะ ต้องมีตัวเรือนทองมารองรับ มันถึงจะฉายประกาย คนสวยๆ อย่างหนูดาว ชั้นยินดีสนับสนุนจ้ะ” พิจิตราเปรียบเปรย
“กราบขอบพระคุณคุณพี่อีกครั้งนะคะ ที่เอ็นดูเด็กมัน เปรมเองก็คงช่วยเด็กมันได้เล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าจะไปถึงฝั่งฝันเวทีมิสเพอร์เฟ็กต์ไทยแลนด์ ก็ต้องพึ่งบารมีคุณพี่แล้วล่ะค่ะ”
“คุณพิจิตราคะ งั้นหนูขอฝากเพื่อนหนูด้วยนะคะ เราจะเข้าประกวดด้วยกันน่ะค่ะ”
ดาวดึงแขนฟ้าเข้ามาใกล้ๆ
พิจิตรามีสีหน้ารียบเฉย “ชั้นช่วยเท่าที่ช่วยได้แหละนะ อะไรที่เป็นกติกาก็ต้องว่าไปตามนั้น”
“ขอบคุณค่ะ”
ฟ้าหน้าเจื่อนๆ คิตตี้เอ่ยขึ้น
“งั้นพวกเราขอตัวกลับกันก่อนนะคะ เดี๋ยวต้องพาเด็กไปนวดหน้าขัดผิวกันต่อ”
“จ้ะ เดินทางดีๆ นะ”
ทุกคนยกมือไหว้ลา พิจิตรารับไหว้ ยิ้มส่งแล้วจึงกลับเข้าร้านไป
เปรมจิตติง “ดาว ทีหลังอย่างไปพูดอย่างนั้นรู้มั้ย”
“พูดอะไรคะ” ดาวงง
“ก็พูดฝากฝังเพื่อนเธอไง คุณพิจิตราเค้าช่วยเฉพาะคนที่เค้าเล็งไว้เท่านั้น คนที่เค้าไม่เล็งฝากให้ตายเค้าก็ไม่ช่วย”
ดาวอึ้งไป คิตตี้เสริม “แล้วเธอก็น่าจะรู้ว่านะว่าตอนนี้เค้าปลื้มเธออยู่ ต่อไปนี้ชั้นจะพาเธอมาไหว้เค้าบ่อยๆ หาของฝ่งของฝากมากราบ เค้าจะได้เอ็นดู”
“งั้นหนูพาฟ้ามาด้วยนะคะ” ดาวยังไม่ยอมล้มความคิด
เปรมจิตฉุนกึก “เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องรึไง เธอคนเดียวย่ะ ไป ขึ้นรถ”
สองคนเดินนำไปขึ้นรถ ฟ้าหน้าเศร้า ดาวเห็นยิ่งเป็นห่วงความรู้สึกฟ้ามาก
“ไม่เป็นไรนะฟ้า เดี๋ยวชั้นฝากเธอให้เอง”
“ไม่ต้องลำบากหรอกดาว เจ๊เค้าก็บอกแล้วว่า คุณพิจิตราเค้าช่วยเฉพาะคนที่เค้าชอบ”
ฟ้าเดินหน้าเศร้าตามไปขึ้นรถ ดาวยิ่งกังวลรีบตามไป
ฟากชมพู่กับชัชชนม์เดินมาหยุดที่ร้านข้าวราดแกง
“ร้านนี้ละกันนะคะ มีให้เลือกเยอะดี”
“ครับ”
“เอาข้าวราดกะเพรา ไข่ดาว ค่ะ”
แม่ค้าตักให้ชมพู่ ชัชชนม์เลือกดูแล้วจึงสั่งว่า
“ของผมเอา ผัดฟักทองกับไข่ดาวครับ”
แม่ค้าตักให้ชัชชนม์ ชมพู่มองจ้อง นิ่งนึก
“แล้วก็ผัดฟักทองกับไข่ดาวอีกที่นึงค่ะ ใส่กล่องนะคะ”
ชัชชนม์มองงงๆ ว่าชมพู่สั่งอีกทำไม
สองคนถือถาดใส่จานอาหารพร้อมแก้วน้ำดื่มมานั่งที่โต๊ะ เห็นชมพู่หิ้วถุงข้าวกล่องมาด้วย ชัชชนม์ก็แปลกใจ
“คุณสั่งอีกกล่องนึงทำไมครับ ไว้เป็นเสบียงเวลาหิวเหรอ”
“เปล่าค่ะ ชั้นซื้อไปเผื่อเจ้านาย ไม่รู้จะสั่งอะไรให้ดีก็เลยสั่งตามคุณ”
“ผัดฟักทองนี่อาหารโปรดของผมเลยนะครับ หวังว่าเจ้านายคุณจะชอบเหมือนผม”
“ชอบไม่ชอบก็ต้องกินแล้วค่ะ ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว ทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
“เจ้านายคุณขยันดีนะครับ”
“ชั้นว่าเค้าเรื่องมากมากกว่า เห็นว่าให้เซ็นเอกสารตั้งหลายทีแล้วไม่ยอมเซ็นซะที งานก็กำลังจะเริ่มอยู่เร็วๆ นี้แล้วด้วย บางทีคนเราก็ต้องยอมถอยบ้างนะคะ เพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้”
ชมพู่ตักข้าวกินอย่างไม่มีจริต ชัชชนม์มองพู่ด้วยความพึงพอใจ และประทับใจที่ชมพู่เป็นผู้หญิงที่ดูเป็นธรรมชาติและมีความคิดความอ่านที่ดี
“ขอโทษนะครับ เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมชัชครับ”
“ชมพู่ค่ะ เรียกพู่เฉยๆ ก็ได้”
ทั้งสองยิ้มให้กัน อย่างคนที่คุยกันถูกคอ
ขณะที่พุฒิพัฒน์นั่งอ่านรายงานสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ จนมีเสียงเคาะประตู แต่เขาไม่ได้หันไปดู ตายังจดจ่ออยู่ที่เอกสาร
“เข้ามา”
ชมพู่วางข้าวกล่องลงตรงหน้า พุฒิพัฒน์มองฉงน
“ชั้นรู้ว่านายกำลังหิว”
พุฒิพัฒน์ยิ้มออก ปิดแฟ้มเอกสาร
“นี่เธอก็เป็นห่วงชั้นเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า ชั้นแค่ไม่อยากจะลำบากในอนาคตก็เท่านั้นเอง เพราะถ้านายเกิดเป็นโรคกระเพาะขึ้นมา คนที่ต้องคอยดูแลนายก็คงหนีไม่พ้นชั้น”
“อืม...ยังไงก็ขอบใจละกันนะ”
พุฒิพัฒน์ยิ้มร่าเปิดกล่องข้าว พอเห็นเป็นผัดฟักทองสีหน้าก็เปลี่ยน แล้วปิดกล่องทันทีพลางสั่ง
“เอาไปทิ้ง”
ชมพู่งง “อ้าว เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
“ทำไมต้องผัดฟักทอง”
“ก็ ไม่รู้สิ ชั้นเห็นผู้ชายข้างๆ เค้าสั่ง ก็เลยสั่งตาม”
“ชั้นเกลียดผัดฟักทอง”
“ใครมันจะไปรู้ล่ะ ชั้นจะจำไว้ละกัน วันนี้ก็กินๆ ไปก่อน”
“ชั้นไม่กิน แล้ววันหลังถ้าไม่ได้สั่ง ก็ไม่ต้องสะเออะ”
พุฒิพัฒน์หยิบข้าวกล่องปาลงถังขยะด้วยความโมโห ชมพู่โกรธมาก
“พุฒิ นั่นข้าวนะ! คนอดอยากมีอีกตั้งเท่าไหร่ แล้วนายเอาข้าวมาทิ้งขว้างได้ยังไง”
ชมพู่รีบไปเก็บกล่องข้าวจากถังขยะ
“ห้ามเก็บ” พุฒิพัฒน์สั่งเสียงเข้ม พลางหยิบเงิน 100 บาทวางบนโต๊ะ “ชั้นซื้อข้าวกล่องนี้แล้ว ชั้นจะทิ้ง”
ชมพู่คุมแค้นทั้งโกรธทั้งผิดหวัง
ในบรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุดนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตู ก่อนที่อรจะเปิดเข้ามา
“คุณพุฒิคะ ถึงเวลาประชุมแล้วค่ะ”
พุฒิพัฒน์เดินหุนหันออกไปอย่างอารมณ์เสีย ชมพู่เริ่มรับรู้ได้ว่าพุฒิพัฒน์เป็นคนมีปัญหาชีวิตมากกว่าที่เธอคิด
ขจีนุข ชัชชนม์ และทีมงานอื่นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องประชุม แม่บ้านเสิร์ฟน้ำ
“เป็นไงบ้างคุณชัช วันนี้มีอะไรมาให้ดูบ้าง”
“จากคอมเม้นต์ของทีมงานครั้งก่อน ผมก็ไปทำรายละเอียดเพิ่มมาครับ”
พุฒิพัฒน์เปิดประตูเข้ามานั่งลง ท่าทางยังมึนตึง
“มากันครบแล้วนะ” ขจีนุชสั่งแม่บ้านพลางยิ้มกับทีมงานทุกคน “เอาขนมมาเสิร์ฟได้เลยจ้ะ วันนี้เราประชุมกันแบบสบายๆ ก็แล้วกันนะ คุยไปกินของว่างไป เผื่อไอเดียจะแล่น”
แม่บ้านยกถาดใส่ถ้วยขนมรวมมิตรมาเสิร์ฟ ชัชชนม์มองขนมนิ่ง รู้ว่าขจีนุชพยายามจะเอาใจ
“ของผมไม่ต้องครับ ผมเพิ่งทานข้าวมา”
ขจีนุชบอกกับแม่บ้าน “งั้นเก็บไว้ก่อนก็ได้ เรายังต้องประชุมกันอีกนาน เผื่อคุณชัชจะหิว”
แม่บ้านวางถ้วยขนมตรงหน้า พุฒิพัฒน์เห็นขนมก็อึ้งไป
ความหลังที่เกิดขึ้นตอนเย็นในบ้านชาติ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผุดขึ้นมาในห้วงคิดของเขา
อ่านต่อหน้า 3
มงกุฎริษยา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ขจีนุชเทขนมรวมมิตร 2 ถุง ออกใส่ถ้วย 2 ใบ ชัชชนม์วัย 6 ขวบ นั่งมองขนมเขม็ง อยากกินมาก เมื่อขจีนุชยื่นถ้วยขนมไปให้ตรงหน้าเด็กชายชัชชนม์ก็ตักกินอย่างเอร็ดอร่อย
“แม่ครับ ไอ้เหลืองๆ นี่เรียกอะไร”
“ขนุนจ้ะ”
“อร่อยดี ชัชชอบ”
เด็กชายชัชชนม์ตักควานหาขนุนในถ้วยอีก แต่ไม่มีแล้ว
“มันหมดแล้วครับแม่”
“เค้าให้มาแค่ชิ้นเดียวแหละลูก”
ขจีนุชตักขนุนจากอีกถ้วยหนึ่งให้ลูก
“นี่จ้ะ”
ชัชชนม์ตักกินยิ้มให้แม่อย่างเอร็ดอร่อย ขจีนุชเห็นลูกทานอร่อยก็ยิ้มชื่นใจ จนเด็กชายพุฒิพัฒน์ วัย 7 ขวบวิ่งเข้ามาหา
“แม่ครับ ขนมของพุฒิล่ะครับ”
“นี่จ้ะ” ขจีนุชยกถ้วยขนมให้
“ขอบคุณครับ”
พุฒิพัฒน์ควานหาขนุนในถ้วย
“แม่ครับ ทำไมของพุฒิไม่มีขนุน”
“อ๋อ น้องเค้าอยากกิน แม่ตักให้น้องไปแล้วจ้ะ”
เด็กชายพุฒิพัฒน์อึ้ง นิ่งงันไป สีหน้าดูออกว่าไม่พอใจอยู่ลึกๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พุฒิพัฒน์นิ่งขึง ดึงตัวเองกลับมาในสีหน้านิ่งๆ เหมือนตอนเด็ก โดยไม่มีใครคาดคิด พุฒิพัฒน์ปัดถ้วยขนมกระเด็นไปที่พื้นจนเลอะเทอะไปหมด ทุกคนตกใจ
“กินกันเสร็จเมื่อไหร่ ค่อยไปเรียกผมนะครับ”
อาละวาดเสร็จพุฒิพัฒน์เดินฉุนเฉียวออกไปเลย ทีมงานในห้องอึ้งทั้งแถบ ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก มีเพียงขจีนุชกับชัชชนม์ที่รู้เหตุผล!
เย็นเดียวกัน ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านเปรมจิต มารุมดูภาพจากจอไอแพดของคิตตี้ ซึ่งเป็นรูปดาวที่กำลังโพสท่าถ่ายแบบสวยสง่าอยู่บนตั่งเตียง ส่วนฟ้านั่งถือพัดโบกอยู่ในมุมมืด สุนทรีย์ นรี มารุมดูด้วยความอิจฉา ขณะที่ลีน่าทำเชิดๆ เหมือนไม่สนใจ ดาวอยู่ข้างๆ คิตตี้คอยชวนให้ฟ้าซึ่งนั่งซึมซำสีหน้าหม่นหมองดู
“ดู๊ดูๆๆ ดูท่าแม่คุณเค้าสิ นางแบบโลกมากๆ หน้านางจิกกล้องแตกไปหลายตัวแล้วนะเนี่ย” คิตตี้กรี๊ดกร๊าดออกนอกหน้า
แพรวแพรทำเป็นชม “ดาวนี่เก่งเนอะ มิสเพอร์เฟ็กต์ต้องได้เข้ารอบลึกๆ แน่เลย คุณพิจิตราเค้าชอบดันเด็กอยู่แล้ว”
“ทำไมพี่คิตตี้ไม่ให้หนูไปดูเค้าถ่ายแบบมั่งล่ะ เผื่อคุณพิจิตราจะเอ็นดูหนูบ้าง หนูไม่ยอมนะพี่”
“คุณพิจิตราเค้าไม่ได้จะเอ็นดูใครง่ายๆ นะยะนังนรี ดูอย่างนังฟ้าซิ เสนอหน้าแทบตายเค้าก็ไม่เห็นหัว”
คำพูดคิตตี้ทำเอาฟ้าหน้าสลดลงไปอีก
“แต่เค้าก็ให้ฟ้าถ่ายแบบด้วยนะ นี่ไง”
ดาวชี้รูป ทุกคนมารุมดู เห็นฟ้านั่งในมุมมืด
สนุทรีย์วี้ดว้าย “ตายแล้ว นี่ถ้าไม่บอกว่ามีคนนั่งอยู่ชั้นก็ไม่รู้นะ นึกว่ารูปปั้น เค้าลืมเอารูปปั้นมารึเปล่ายะ เค้าเลยให้เธอไปนั่งแทน”
สุนทรี นรี หัวเราะร่า ลีน่าได้ยินก็หัวเราะหึๆ แพรวแพรลอบยิ้มร้าย
ฟ้ารู้สึกอับอายขายขี้หน้า รีบลุกออกไปทางศาลาหลังบ้าน ดาวรีบตาม
ฟ้าเสียใจ เดินเร็วรี่เข้ามาในศาลา ดาวรีบตามมา
“ฟ้า อย่าไปฟังพวกปากเสียพวกนั้นเลย มันอิจฉาก็เลยหาเรื่องพูดไปเรื่อย”
“แกมาแกล้งชั้นทำไม”
ดาวอึ้งๆ งงๆ
“แกล้งอะไรฟ้า ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ก็ที่แกชี้ให้พวกนั้นดูรูปชั้นนั่งเป็นขี้ข้าอยู่ที่พื้นไง พวกนั้นหัวเราะเยาะกันใหญ่”
“ขอโทษที ชั้นไม่ได้ตั้งใจ ชั้นกะจะให้พวกนั้นอิจฉาแกต่างหาก ไม่คิดว่ามันจะจิตใจร้ายกาจเอามาย้อนกัด”
ความน้อยใจเสียใจ ทำให้ฟ้าพูดเหน็บแนมออกไปว่า
“หวังว่าคนที่จิตใจร้ายกาจจะไม่ใช่แกซะเองนะ”
ดาวตกใจที่เพื่อนพูดคำนี้ “ฟ้า! ทำไมพูดแบบนี้”
ฟ้าตกใจเหมือนกัน ที่ตัวเองหลุดปากพูดแรงเกินไป
“ขอโทษนะดาว ชั้นเครียดๆ น่ะ ชั้นบอกแม่ไปว่าจะได้ขึ้นปกหนังสือ แต่พอมันมาเป็นแบบนี้แล้ว...” ฟ้าเศร้าซึมน่าสงสาร
“ไม่ได้ขึ้นเล่มนี้เดี๋ยวก็ได้ขึ้นเล่มอื่น เดี๋ยวชั้นช่วยบอกคุณพิจิตราให้ว่าครั้งหน้าขอถ่ายคู่กับแก ร้านเสื้อเค้าได้ถ่ายลงหนังสือบ่อยๆ อยู่แล้ว”
ฟ้าพยักหน้ารับไปแกนๆ ทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ดาวโอบไหล่ให้กำลังใจเพื่อน
เย็นวันเดียวกัน ทุกคนกำลังร่วมประชุมการประกวดมิสเพอร์เฟ็กต์ฯ ในช่วงท้ายๆ ด้วยท่าทางสบายๆ มีเพียงพุฒิพัฒน์ที่ดูเครียดเคร่งอยู่คนเดียว
“ถ้าทุกคนโอเคตามนี้ ผมก็จะเริ่มหาบ้านที่จะใช้ถ่ายเรียลิตี้เลยนะครับ” ชัชชนม์สรุป
“ดำเนินการได้เลยค่ะคุณชัช ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลยนะ ส่วนของจากสปอนเซอร์ก็ขอได้ไม่อั้น เพราะพวกเค้าชอบรูปแบบรายการที่ชัชเสนอมาก ยินดีที่จะสนับสนุนเต็มที่” ขจีนุชยิ้ม
“ครับ ผมจะรีบบอกละกันครับ”
พุฒิพัฒน์มองสองคนด้วยความอิจฉา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะครับ”
พุฒิพัฒน์ลุกเดินออกไป ทีมงานมองหน้ากัน งงกับพฤติกรรมผอ.ช่อง ขจีนุชข่มอาการเสียหน้ากับทีมงาน
“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะ ประชุมครั้งหน้าเมื่อไหร่จะให้อรแจ้งไป”
ทีมงานและอรเก็บของออกจากห้องไป ทั้งห้องเหลืออยู่ 2 คน ชัชชนม์ยังเก็บโน้ตบุคอยู่ ขจีนุชเอ่ยปากชมลูกชาย
“ชัช ลูกเก่งมากเลยรู้มั้ย ทุกคนชอบงานของลูกกันหมดเลย”
“ไม่ต้องมายอผมหรอกครับ เอาเวลาไปดูคุณพุฒิดีกว่า ผมรู้สึกว่าเค้าจะไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ที่คุณมาชื่นชมผมออกนอกหน้า”
“อ้าว ลูกแม่ทำงานดี แม่ก็ต้องชมสิ”
ชัชชนม์มองขจี ด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณขจีนุชครับ เลิกเรียกผมว่าลูกซะที ผมไม่ได้เป็นลูกคุณแล้ว”
ขจีนุชครวญ “โธ่ ชัช ความเป็นแม่ ลูก จะเลิกเป็นกันได้ยังไง”
“ผมยังจำวันนั้นได้ดีครับ”
คำพูดนี้พาสองแม่ลูกกลับสู่ห้วงอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่บ้านชาติ พ่อของชัชชนม์
ชัชชนม์ ยืนดูเหตุการณ์อยู่หน้าบ้าน มองขจีนุชถือกระเป๋าเสื้อผ้าอีกมือจูงพุฒิพัฒน์ออกจากบ้านไป
หน้าบ้านมีรถหรูคันใหญ่จอดรอ
ชาติเจ็บปวด แต่เก็บอาการให้เป็นปกติ เดินมาหาชัชชนม์
“เข้าบ้านเถอะชัช”
“พ่อครับ แม่กับพี่พุฒิจะไปไหน”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่ของชัช แล้วพุฒิก็ไม่ใช่พี่ของชัชอีกต่อไปแล้วลูก เค้าจะไปมีครอบครัวใหม่กันแล้ว”
ไพศาลลงจากรถมารับกระเป๋าขจีนุชไปใส่รถ ขณะสองคนขึ้นรถ ชัชชนม์ตามมองรถที่ค่อยๆ แล่นจากไปด้วยแววตาอันเจ็บปวด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ชัชชนม์ดึงตัวเองออกมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ชีวิตผมไม่มีแม่กับพี่ชายตั้งแต่วันนั้นแล้วครับ ผมมีแค่พ่อคนเดียว”
ขจีนุชมองลูกด้วยความรู้สึกผิด
“แม่ขอโทษลูก แม่รู้ว่าแม่ทำผิด แต่วันนี้แม่ขอได้มั้ย ให้แม่ได้เป็นแม่ของชัชอีกครั้งจะได้มั้ย”
“ขอตัวกลับก่อนนะครับ ผมมีงานต้องเคลียร์”
ชัชชนม์ตัดบทแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจใดๆ ขจีนุชนั่งนิ่งในอกทุกข์ตรมแสนสาหัส
ทางด้านพุฒิพัฒน์เดินหงุดหงิดเข้ามาในห้องทำงาน ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างฉุนเฉียว
ชายหนุ่มรวบแฟ้มเอกสารตรงหน้าอย่างแรง ไปวางข้างโต๊ะ แฟ้มเจ้ากรรมไปโดนกรอบรูปเขากับไพศาล ตกลงพื้น
พุฒิพัฒน์ก้มเก็บ แรงกระแทกทำให้ฝาหลังของกรอบรูปหลุด เผยให้เห็นรูปอีกใบหนึ่งที่ซ้อนซ่อนอยู่หลังรูปดังกล่าว
ผอ.ช่อง ค่อยๆ หยิบภาพนั้นออกมาดู มันเป็นรูปครอบครัว พุฒิพัฒน์กับชัชชนม์ตอนเด็ก ถ่ายร่วมกับขจีนุชและชาติ เด็กชายสองคนยิ้มแย้มกอดคอกันอย่างรักใคร่ ชาติและขจีนุชโอบเด็กทั้ง 2 ไว้ ดูเป็นภาพครอบครัวที่มีความสุขและรักกันมาก
พุฒิพัฒน์มองตาค้าง ความขุ่นเคืองเคียดแค้น ทำให้เขาเกือบลืมคืนวันที่เคยมีความสุขร่วมกันกับครอบครัวเก่า สีหน้าของเขาหวนรำลึกนึกถึงอยู่ในเวลานี้
เสียงเคาะประตูปลุกพุฒิพัมน์ตื่นจากภวังค์ เมื่อเห็นขจีนุชเดินเข้ามา เขารีบเก็บรูปวางคว่ำลง
“เป็นไงบ้างลูก ที่ชัชเค้าออกไอเดียวันนี้”
“มันก็ต้องดีอยู่แล้วสิครับ ชัชเค้าเคยทำอะไรแล้วไม่ถูกใจแม่ด้วยเหรอ” พุฒิพัฒน์เหน็บแนม
“พุฒิ เมื่อไหร่ลูกจะพูดกับแม่ดีๆ ซะที ทำตัวอย่างนี้ไม่น่ารักเลยนะลูก”
“ผมรู้ตัวครับว่าผมมันไม่น่ารัก แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะต้องทำตัวให้น่ารักด้วย เชิญแม่ไปรักชัชให้เต็มที่เลยครับ ผมไม่ว่าอะไรแม่หรอก”
พุฒิพัฒน์ลุกเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
ขจีนุชยิ่งชอกช้ำระกำทรวงหนัก ที่ลูกชายทั้งสองไม่มีใครเอาแม่สักคน
อ่านต่อหน้า 4
มงกุฎริษยา ตอนที่ 7 (ต่อ)
พุฒิพัฒน์เดินมาตามทางในออฟฟิศช่อง ที่ทั้ง โล่ง และ เงียบ ด้วยพนักงานโซนนี้กลับบ้านกันหมดแล้ว พุฒิพัฒน์นึกขึ้นได้เหลียวมองหาชมพู่ ก่อนจะกดโทรศัพท์หา
“ชมพู่ เธออยู่ไหน”
อีกฟากชมพู่เดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดินบ้านป้าดวงเดือน เพิ่งนั่งรถเมล์มาถึง
“อยู่บ้านแล้ว มีอะไร”
“ใครสั่งให้เธอกลับ”
“ทำไมต้องมีใครสั่ง ถึงเวลาเลิกงานแล้วชั้นก็กลับสิ”
“ทีหลังห้ามกลับก่อนจนกว่าชั้นจะอนุญาต”
“ทำไมคะ”
“เพราะชั้นจะไปส่งเธอที่บ้าน”
“สวัสดิการบริษัทคุณมันจะดีเกินไปแล้วนะ ให้ชั้นได้เป็นอิสระบ้างเถอะ”
“เธอเป็นเลขาชั้นไม่มีคำว่าอิสระ พรุ่งนี้เช้ารอชั้นไปรับด้วย”
พุฒิพัฒน์วางสายไปเลย ส่วนชมพู่เบะปากใส่โทรศัพท์ให้กับความเอาแต่ใจและบ้าอำนาจของเขาแล้วเข้าบ้านไป
เมื่อเข้ามาในบ้าน ชมพู่แปลกใจที่ไม่เห็นใครอยู่เลย มองหาจนทั่วก็ไม่เจอ
“ไปไหนกันหมด”
เสียงคนร้องกรี๊ดๆ แว่วมาจากหลังบ้าน
“แอร๊ย เจ็บนะ จะฆ่ากันรึไง เบาๆ หน่อยสิ”
ตามมาด้วยเสียงร้องซี๊ดซ๊าด “อูย แรงอีก แรงอีก แสบซ่าสะใจ เอาอีก”
ชมพู่แปลกใจ เดินไปทางเสียงนั้น
ที่ลานหลังบ้าน สาวๆ ทุกคนใส่เสื้อกล้ามบ้าง เสื้อยืดบ้างตามจริต แต่ทุกนางนุ่งกางเกงขาสั้น บ้างนั่งที่พื้นกับเก้าอี้ซักผ้า บ้างยืนเกาะตุ่มน้ำ ตรงกลางมีกะละมังใบใหญ่ใส่น้ำมะขามผสมขมิ้นอยู่เต็ม
เลม่อนใช้ใยบวบขัดผิวให้รุ้งลาวัลย์ ปรางขัดให้ดอกแค ส่วนจอยขัดให้ตัวเองเบาๆ ลีลานุ่มนวล
“โอ้ยเจ๊ พอแล้ว เลือดซิบแล้วเนี่ย” รุ้งลาวัลย์โวย
“ทน รู้จักมั้นคำว่าทน จะไปโฆษณาครีมไวท์เทนนิ่ง ผิวมันก็ต้องผุดผ่องเป็นยองใยสิยะ” เลม่อนหันไปมองค้อนจอย “นังจอย เพลินเลยนะยะ ขัดแรงๆ ดูอย่างนังปรางนู่น”
ปรางขัดให้ดอกแคอย่างเมามัน ดอกแคชอบหน้าเคลิ้มฟิน
ชมพู่เดินชะโงกหน้ามองเข้ามาด้วยความสงสัย
“ทำอะไรกันอยู่คะ”
เลม่อนร้องกรี๊ด วี้ดว้าย “แอร๊ย ชมพู่” กะเทยผิวหมึกทิ้งทุกอย่างลุกไปหาชมพู่ “ไปทำงานกับคุณพุฒิมาเป็นไงมั่งเสร็จมั้ย”
ชมพู่บอก “เสร็จค่ะ”
เลม่อนกรี๊ดอีก ถูกจริตกะเทยถึกผิวหมึกมาก “เริด ๆ ๆ คุณพุฒิเสร็จนังพู่แล้ว”
“เจ๊เลม่อน พู่หมายถึงทำงานเสร็จนะคะ” ชมพู่อธิบาย
“โธ่ นึกว่าเสร็จอย่างอื่น”
ดอกแคมองชมพู่หัวจดเท้า “เอ๊ะ เมื่อเช้าตอนออกจากบ้านไม่ใช่ชุดนี้นี่”
“คุณพุฒิเค้าซื้อให้เปลี่ยนน่ะ เค้าบอกว่าชุดที่พู่ใส่ไปมันไม่เรียบร้อย”
“จริงๆ แล้วทำงานแบบนี้ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้มั้ง” รุ้งลาวัลย์พูดขึ้นมาลอยๆ
เลม่อนปรี๊ดแหวใส่ “นังรุ้ง เดี๋ยวชั้นจะขัดปากแกด้วย” แล้วหันมาหาชมพู่ “พู่ หนูอย่าไปถือสามันเลยนะ”
ชมพู่ไม่ยอม “ไม่ถือสาหรอกค่ะ รุ้งเค้าคงจะทำบ่อย เลยคิดว่าคนอื่นจะทำเหมือนตัวเอง”
“แกว่าชั้นเหรอนังพู่”
“เปล่า ชั้นเหน็บ”
รุ้งลาวัลย์โกรธ พุ่งเข้าตบชมพู่เต็มแรง แต่ชมพู่สู้ผลักกลับไป แต่พื้นลื่นน้ำมะขามเลยทำให้รุ้งลาวัลย์ล้มก้นจ้ำเบ้า
“แกกล้าทำเพื่อนชั้นเหรอ”
ปรางแค้นจะเข้าทำร้ายชมพู่ เลม่อนกับจอยเข้าห้าม เกิดการตบตีกันเป็นที่ชุลมุนวุ่นวาย ชมพู่เอากะละมังมะขามมาคว่ำใส่หน้ารุ้งลาวัลย์ แล้วเอาใยบวบขัดปากอีกด้วย รุ้งลาวัลย์ร้องกรี๊ดๆๆ
ดอกแคจะเข้าไปช่วยก็ลื่นล้มทับกัน สาวๆ ทุกคนเละเทะเปียกปอนไปหมด
อีกฟาก ที่บ้านเปรมจิตคืนเดียวกัน
ฟ้า กับแพรวแพรอยู่ในชุดนอน แพรวแพรกำลังทาครีม ส่วนฟ้าสวดมนต์เสร็จ กราบหมอนเตรียมนอนแพรวแพรเหล่ดูฟ้า แล้วเริ่มยุแยงอีก
“ฟ้า เธอเป็นเพื่อนกับดาวมานานรึยัง”
“นานแล้วค่ะ ตั้งแต่ ม.2”
“แล้วเค้าทำอย่างนี้กับเธอตลอดเลยเหรอ”
“ทำอะไรเหรอคะ”
“ก็คอยแย่งซีนเธอน่ะสิ ชั้นเห็นตั้งแต่วันแรกที่พวกเธอเข้าบ้านแล้วละ”
ฟ้าอึ้ง เจ็บจี๊ด ถูกแทงใจดำจังๆ แต่แสร้งตอบไปให้ดูดี “ไม่รู้สิคะ ฟ้าไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย”
“อืม เหรอ” แพรวแพรรู้ทัน แสร้งหัวเราะขำๆ
“หัวเราะอะไรเหรอคะ”
“ก็ชื่อพวกเธอ 2 คนไง ฟ้ากับดาว ดูเข้ากันดีเนอะ ท้องฟ้าแม้มันจะกว้างใหญ่ แต่พอมีดาวดวงเล็กๆ ปรากฏ ก็ไม่มีใครสนใจท้องฟ้าอีกเลย หันไปชื่นชมดาวกันหมด”
ฟ้าสะอึก ถูกแทงใจดำจังๆ อีก
หลายๆ เหตุการณ์ประดังประเดเข้าผุดซ้อนขึ้นมา เริ่มจากตอนประกวดนางนพมาศ พิธีกรประกาศชื่อนางนพมาศ เป็นชื่อดาว ฟ้าผิดหวังหน้าเสีย
จนมาถึงตอนเดินแบบแคสติ้ง พิจิตรามองดาวอย่างพอใจ ฟ้าแอบเห็นพอดี
ความน้อยเนื้อต่ำใจบวกรวมกับความอิจฉาริษยา กลายเป็นแรงผลักดันทำให้ฟ้าเริ่มคิดอยากจะชนะดาวบ้าง
“แล้วฟ้าควรจะทำยังไงคะ”
“ฟ้าที่ไม่มีดาว มันก็ดูน่าสนใจดีนะ”
ฟ้านิ่งคิด ตัดสินใจจะตีตัวออกห่างจากดาวตั้งแต่นาทีนี้
แพรวแพรลอบมองท่าทีฟ้า แล้วยิ้มชั่วออกมา เมื่อเห็นว่าแผนยุแยงตะแคงรั่วของหล่อนสำฤทธิ์ผล
อ่านต่อตอนที่ 8