สะใภ้จ้าว ตอนที่ 14
ทุกคนอ้าปากค้าง
วิรงรองบอก
"ฉันตาฝาดไปรึเปล่า"
"ไม่ค่ะ ผัวเก่ากับคนรักเก่ากอดกันกลมเลย" เลื่อมประภัสบบอก
"หวังว่าคงไม่มารักกันเองนะครับ" ฉัตรอาชาว่า
ชายรองคลายกอดตบหลังตบไหล่ อัศนีย์ยังหน้าเหรอหรา
"เฮ้...ยู อาร์นี่ ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยนะ"
"ขอบคุณผมเรื่องอะไร"
"ก็เรื่องที่คุณทำให้ผมไง"
ชายรองยิ้มเจ้าเล่ห์มองหน้าอัศนีย์อย่างรู้ทันบางเรื่อง อัศนีย์ วิรงรอง เลื่อมประภัส ฉัตรอาชา เจื่อนกันไปทั้งหมด
"เรื่องอะไรเหรอคะ" หญิงก้อยถาม
"บอกหญิงไปซีครับ เรื่องที่คุณปรารถนาดีกับเรา อยากให้เราคืนดีกัน พวกคุณร่วมมือกันทั้งหมด"
"จริงเหรออาร์นี่ ยายติ่ง"
อัศนีย์อึกอักบอก "เออ....คือ"
"หรือจะให้ผมบอกเอง คืออย่างนี้หญิง คุณอาร์นี่เขาส่ง..."
วิรงรองบอก
"เดี๋ยวค่ะ หญิงขา นั่นเจ้ากอบัวนี่คะ ยิ้มมาให้เราด้วย แน่ะ....กวักมือเรียกหญิงแล้ว ไปทักทายหน่อยไหมคะ"
"ได้....งั้นเดี๋ยวมาคุยกันต่อนะคะ"
หญิงก้อยแยกไป ชายรองยิ้มกวนใส่ทั้งกลุ่ม
"ผมส่งอะไร คุณชาย"
"รู้อยู่แก่ใจ ไม่น่ามาย้อนถาม อุบายตื้น ๆ แบบนี้ไม่น่าทำเลย ไม่นึกหรือว่าความมันจะแตกได้ง่าย ๆ ถ้าผมบอกปฏิเสธหญิงไปว่า ผมไม่ได้ส่งทั้งสร้อย ทั้งดอกไม้ หญิงต้องมาเอาเรื่องพวกคุณทันที"
ทั้งหมดหน้าเจื่อน วิรงรองยังหน้าเชิด
"พวกเราไม่รู้เรื่องนะคะคุณชาย"
"อย่าปากแข็งเลยครับ ผมสืบมาหมดแล้ว ทั้งร้านที่พวกคุณไปซื้อ ทั้งราคาเพชร ไข่มุก ของปลอมทั้งนั้น"
"ต้องสารภาพแล้วมังคะ" เลื่อมประภัสบอก
"แสดงว่าคุณยังไม่ได้บอกหญิง" อัศนีย์ว่า
"ใช่ ผมรับสมอ้างด้วยซ้ำว่าผมซื้อให้หญิงเอง"
"ทำไมคะ" วิรงรองถาม
"งานนี้ทำให้ผมได้กลับมารื้อฟื้นความหลังกับหญิงอีกครั้ง"
"ตกลงคุณคืนดีกับหญิงจริง ๆ แล้วสาลินที่คุณจีบอยู่ล่ะ"
"หลังจากที่เธอหันไปเดทกับคุณบ่อย ๆ ผมก็ได้รู้แล้วว่าเธอไม่มีเยื่อใยกับผมเลย ผมถึงเห็นค่าของหญิงก้อยขึ้นมาไง เป็นอีกเรื่องที่ผมต้องขอบคุณคุณ"
อัศนีย์ไม่อยากเชื่อนัก
"หมายความว่าคุณจบกับสาลินแล้ว"
"เราต่างกันมาก....แล้วดูเหมือนเธอจะสนใจคุณมากกว่าผม"
อัศนีย์ยิ้มเชื่อมั่น
"มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว"
ทั้งหมดมองหน้ากันอย่างโล่งอก
"สัญญานะครับ"
ไม่มีคำตอบ แต่ทั้งคู่จับมือกันอย่างมั่นคง หญิงก้อยเดินกลับมาพอดี มองชายทั้งคู่อย่างปลื้ม
"ทีนี้บอกได้รึยังคะว่าอาร์นี่ส่งอะไรมาให้"
"อ๋อ....บัตรเชิญไงครับ คุณอาร์นี่จะให้เราเป็นแขกวีไอพีในงานเปิดตัวไนท์คลับของเขา"
"อ๋อ งั้นเหรอคะ"
อัศนีย์เจื่อนไปนิดหนึ่ง เพราะไม่ได้อยากเชิญทั้งคู่ แต่รีบยิ้มกลบเกลื่อน
"ใช่ครับ เชิญล่วงหน้าไว้เลย"
"งานนี้"
วิรงรองบอก
"ตายจริง งั้นปาร์ตี้คืนนี้ ลงตัวและลงเอยอย่างสมประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย"
"ควรจะฉลองนะครับ" ฉัตรอาชาบอก
แชมเปญเปิด ทุกคนชนแก้วกันแล้วดื่ม เพลงขึ้นพอดี ทั้งหมดเริ่มร่ายรำ ตามจังหวะโซล ฟังกี้
ชายรองเต้นกับหญิงก้อย แล้วหันไปเต้นกับ วิรงรอง และเลื่อมอย่างเมามัน ฉัตรอาชาเข้ามาเลื้อยอยู่ข้าง ๆ หญิงก้อยหัวเราะอย่างแปลกใจ ไม่เคยเห็นคุณชายทำตัวระริกระรื่นแบบนี้มาก่อน
ชายรองหัวเราะร่า เมามัน ทั้งดื่มทั้งเต้น ปะทะฝ่ามือกับอัศนีย์ ฉัตรอาชาถ่ายรูปทุกคนร่วมกัน และถ่ายภาพคู่ของ ชายรองและหญิงก้อย ในหลายอิริยาบท
กิตติหอมแก้ม หญิงก้อยทำหน้าซึ้ง ฉัตรอาชาบันทึกภาพไว้ แล้วหญิงก้อยก็หอมแก้มตอบ อัศนีย์มองอย่างสะใจ ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์สะใจกว่าทุกครั้งที่หลอกทุกคนให้ตายใจได้สำเร็จ
เวลากลางคืน ที่กระจกเงาบานใหญ่ ศรีจิตรายืนบิดตัวดูกระจกเงา มาลา วรรณา คุกเข่าจัดชายกระโปรงชุดนั้นเป็นชุดอยู่บ้านแบบแมกซี่ ท่อนบนคอลึก โชว์แผ่นหลังแต่มีผ้าบางคลุมวับแวม ท่อนล่างก็รัดรูปเห็นเอวคอด สะโพกกลมกลึง แถมมีแหวกเห็นขาวับแวม
"ว้าย ชุดที่คุณแม่บ้านออกแบบ สวยบาดจิตบาดใจนะคะ" มาลาบอก
"แหม....แต่วรรณาว่ามันล่อตะเข้ ถึงเราสองคนจะได้ชื่อว่าเป็นเมียตะเข้ แต่ก็ไม่เคยแต่งตัวล่อตะเข้แบบนี้นะคะ"
"ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ"
ศรีจิตราขยับขาเห็นว่าท่อนล่างแหวกสูงมาก
"แล้วจะยังไงดีคะ คุณศรี" มาลาถาม
"บอกคุณแม่บ้านว่าตัดใหม่ดีไหมคะ" วรรณาว่า
"ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าชุดไหนถ้าโชว์ท่อนบน ก็ต้องไม่โชว์ขา ถ้าจะโชว์ขา ท่อนบนก็ต้องมิดชิดเท่านั้นเองค่ะ"
ศรีจิตราพูดหลักการที่อ่านมาจากโวกแมกกาซีน พลางขยับตัวให้ไม่เห็นรอยแหวกของผ้า เอียงกายดูแผ่นหลัง มาลา วรรณา อ้าปากค้างพูดไม่ออก
ศรีจิตรานั่งพิงพนักหัวเตียง ในมือมีนิทานเวตาล ศรีจิตราอ่านแล้วมีแวววางแผน
วันต่อมา ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลเดินยิ้มระรื่นมาทางเรือนหอ
ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักก็แปลกใจก้าวไปที่ศาลาใหญ่ริมบึงบัว ตาโต
ที่ศาลาวันนี้มีม่านบาง ปักชายมาขึงไว้ราวฝ่ายใน บนศาลามีร่างในชุดแมกซี่กรอมพื้น มีผ้าบางคลุมคล้ายกันแดด มาลา วรรณาอยู่เคียงข้างกำลังบัญชาการไปในสระ ที่ข้างกายมีพานใหญ่ 2-3 พาน วางดอกบัวสุมไว้
ที่สระบัวมีนางข้าหลวงสาวรุ่น 6-7 นาง ลงลุยน้ำเก็บดอกบัว บางนางเอามาทำมงกุฎดอกบัว บางนางเอามาทัดหู บางนางเอามาทำสร้อยคอ มือก็หักดอกบัวมาเต็มแขน ทุกนางคิกคัก หัวเราะ หยอกล้อ ผลักไส วักน้ำสาดราวหนังเอพิคโบราณ
ชายเล็กก้าวไปบนศาลา
"ทำอะไรกันฮะนี่"
"ดิฉันก็เลยเอานิทานเวตาลของคุณชายมาอ่านไปพลาง ๆ"
"อ่านไปถึงไหนแล้วฮะ"
"เพิ่งอ่านนิทานเรื่องที่หนึ่งจบไปค่ะ คุณชายอยากฟังไหมคะ"
"ดีฮะ"
"งั้นเชิญนั่งซีคะ"
ศรีจิตราผายมือไป มีเบาะวางอยู่พร้อมหมอนอิงหลายใบ ชายเล็กขอบคุณนั่งลงคว้าหมอนใบหนึ่งมากอด ศรีจิตราก็นั่งบนเบาะ แดดอ่อนส่องม่านมาคล้ายภาพในฝัน
"กาลครั้งหนึ่ง มีราชบุตรองค์หนึ่งชื่อ วัชรมุกุฎ"
เขานิ่งฟัง
"มีสหายเจ้าปัญญาชื่อ “พุทธิศริระ” วันหนึ่งทั้งสองท่องเที่ยวไปถึงสระบัวงามตระการแห่งหนึ่ง"
มาลา วรณา นางข้าหลวงคิกคัก เห็นสระบัวกว้างใหญ่รอบทิศ
"เจ้าชายแยกจากสหายเดินชมสระ ครู่หนึ่งมีหญิงมากมายมาลงอาบน้ำ เก็บดอกบัว แต่มีหญิงหนึ่งและนางกำนัลพักผ่อนอยู่บนศาลา"
ภาพตรงหน้า งามราวภาพจากนิทาน
"เจ้าชายเข้าไปใกล้ พอดีนางหันมาสบตา"
ศรีจิตราเบือนหน้าหลุบตาลงอยู่ พลันหันมาสบตา
"ทั้งคู่พลันตกตะลึงพรึงเพริดไปด้วยรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย"
เขาอึ้ง
"แล้วนางก็ดำเนินไป เก็บดอกบัวดอกหนึ่งขึ้น"
ศรีจิตราตวัดสายตาจากเขาขยับไปหยิบดอกบัวมาดอกหนึ่ง เขามองตาม
ศรีจิตราพลันประนมมือหนีบดอกบัวชูขึ้นไหว้ขึ้นไปยังเบื้องบน นิ้วหัวแม่มือจากอุณาโลมดูงามพิศวง
"แล้วนางก็ชูดอกบัวขึ้นไหว้ฟ้า"
ศรีจิตราพลางลดดอกบัวลงมาทัดข้างหู ดอกบัวแย้มเมื่ออยู่ข้างแก้มก็ยิ่งงามอัศจรรย์
"แล้วทัดที่กรรณ"
เขาตะลึง มาลา วรรณา นางข้าหลวงอ้าปากค้าง
ศรีจิตราดึงดอกบัวจากหู มาขยับปากกัดก้านบัว ชายเล็กใจวูบวับ ศรีจิตราดึงดอกบัวออก
"แล้วขบด้วยทนต์"
ศรีจิตราพลันเลื่อนมือมาเบื้องหน้า ปล่อยมือ ดอกบัวตกกระทบพื้นศาลา
"แล้วทิ้งลง"
ศรีจิตรายกเท้าแตะดอกบัว เท้าขาวผุดผ่องเหยียบแตะดอกบัว
"เหยียบด้วยบาท"
เขาอ้าปากค้าง ศรีจิตราย่อกายลงหยิบดอกบัวมา แล้วยืดกายตรง เอาดอกบัวไปแนบอก
"แล้วหยิบขึ้นใหม่ มาแนบกลางอุระ"
ศรีจิตราเงยหน้าหลับตาพริ้ม ลมพัดมา ผมชายผ้ากลีบัวปลิวไหวในแรงลม
ดอกบัวแย้มอยู่แนบอกนวลศรีจิตรา เขาตกตะลึงพรึงเพริดกับดวงตาที่ดูยั่วยวน เขากลืนน้ำลายเอื๊อก
ศรีจิตราลดดอกบัวลงก้าวกลับมาบนเบาะ ทอดกายลงพิงหมอน
"แล้วนางก็เสด็จขึ้นยานจากไป"
"ทะ...ทะ...ที่คุณศรี เอ๊ย....ที่เจ้าหญิงทำ แปลว่าอะไรฮะนี่"
ศรีจิตราเล่าต่อ
"พระราชบุตรผู้ไม่ฉลาดนัก ไม่เข้าใจความ เจ้าชายจึงเล่าให้พุทธิศริระฟัง เรื่องปริศนาที่นางทำ พุทธิศริระทูลว่าเมื่อนางยกดอกบัวไหว้ฟ้า คือนางขอบคุณทวยเทพที่ให้ได้พบกับพระองค์ เมื่อทัดหูเพื่อบอกว่า นางเป็นชาวเมืองกรรณาฎกะ เมื่อนางขบดอกบัวด้วยทนต์ แสดงว่านางเป็นธิดาท้าวทันตวัต เมื่อนางเหยียบดอกบัว เพื่อแสดงว่า นางคือเจ้าหญิงปัทมาวดี"
ศรีจิตราเล่าไปเอาดอกบัวในมือเลื่อนไปมา
ทุกคนร้อง "โอ้โฮ"
"และที่นางเอาดอกบัวแนบอุระ แปลว่าบัดนี้....พระองค์สถิตในใจนาง"
ศรีจิตราสบตาชายเล็ก มาลา วรรณา นางข้าหลวงอื่น ๆ ร้องฮือ
"ผู้หญิงอะไรเปรี้ยวจริง บอกรักผู้ชายก่อน"
"เฮ้อ....ผู้หญิงนี่มีวิธีบอกรักพิศดารจังนะฮะ"
ชายเล็กหัวเราะคิกคัก ศรีจิตราเจื่อนไป เซ็งจิต
"ก็ขนาดบอกถึงขนาดนี้ เจ้าชายก็ยังไม่รู้เรื่องนี่คะ"
ศรีจิตรามีแววประชดนิดหนึ่ง บดินทร์ไม่รู้เรื่องพอ ๆ กับเจ้าชายวัชรมุกุฎ เอาฝักบัวมาแกะกินเล่น
ไนเจลนั่งทำงานอย่างเลื่อนลอย เหลือบมองไปที่โต๊ะของจิตริณี เห็นกล่องเน็คไทผ้าไหมจากร้านศุภร วางแอบอยู่ใกล้ ๆ โต๊ะ ไนเจลลุกมาหยิบดู
"ไว้ให้นาย Assnie แน่ ๆ"
ไนเจลยิ่งเจ็บช้ำ
ในห้องแปดเหลี่ยม สอางค์ยิ้มละไมนั่งไขว่ห้างบนโซฟา มาลา วรรณากำลังเตรียมเครื่องเสวยอยู่ที่โต๊ะ สอางค์พลิกดูหนังสือพิมพ์
"ดู๊....มีใครจัดบัลเลต์สวอนเลคอีกแล้ว ว้าย....แม่คุณดูแล้วคล้ายเป็ดผสมห่าน แต่ยังดีกว่าคนนี้คล้ายอีแร้ง"
มาลา วรรณาหัวเราะคิกคัก เข้ามาชะเง้อดูวิจารณ์ด้วย สอางค์ดูอีกข่าว
"แล้วนี่ใครอีกล่ะ คืนดีกัน ดูมีรูปหอมแก้ม สวีทกันจริง"
ภาพ ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์กับหญิงก้อยกำลังหอมแก้มกันในผับ เนื้อข่าวเขียนว่า “คู่แล้วไม่แคล้วกัน คุณชายกิตติกับหญิงก้อย รีเทิร์นรักอีกหน
มาลา วรรณา สะดุ้งเฮือก
"คุณแม่บ้านขา" วรรณาเรียก
"ขา...อะไรยะ" สอางค์ถาม
"นี่มันรูปคุณชายรองกะหญิงก้อยค่ะ" มาลาบอก
สอางค์ชะงักหุบยิ้ม ดูรูปซ้ำ แล้วผลุดลุกร้องกรี๊ด มาลา วรรณาเข้ากอดกันเป็นพัลวัน
รถจากวังวุฒิเวสม์แล่นฉิวมาจอดเอียดหน้าเทอเรซบ้านราชดำริ เสียงกรี๊ดคล้ายเป็นเป็นเสียงแตรบีบสนั่น สอางค์ยังถือหนังสือพิมพ์ในมือ สวมชุดอยู่บ้านชุดเดิม วิ่งตัวปลิวเข้าบ้าน นายยอดเปิดประตูให้ไม่ทันตามเคย เกาหัวแกรก
สร้อยสถิตอยู่บนตั่ง ที่พื้นอุ่นเรือน พิศ กำไล กำลังทำทับทิมกรอบ กำลังเขย่าถาดให้แป้งเกาะตัวแห้ว มีนางเล็ก 2 นาง กำลังปอกแห้วอยู่
"นังกำไลไปดูซิ ใครบีบแตร สนั่นลั่นโลก ไม่มีสมบัติผู้ดี ไม่รู้อีไพร่ที่ไหนมา" สร้อยว่า
สอางค์โผล่เข้ามา
"ว้าย....คุณพี่ มาได้ยังไงคะ"
สอางค์โผล่มากุมอก หอบแฮ่ก นั่งลงบนตั่ง ส่งหนังสือพิมพ์ให้สร้อยอย่างแรง
"ต้องมีซียะ ไฟมันสุมอกอยู่ขนาดนี้"
สร้อยดูข่าวแล้วตบอกผาง
"ว้าย....ตายแล้ว แล้วแม่ศรีจะทำยังไง"
"มีอะไรหรือคะ ยายศรีทำไม" อุ่นเรือนถาม
สร้อยตาเขียว ยื่นหนังสือพิมพ์ใส่อุ่นเรือน
"ก็แหกตาดูซียะ"
อุ่นเรือนกางหนังสือพิมพ์ออกดู กำไล พิศดูด้วย แล้วชะงักมองตากัน
"คุณหญิงก้อยกลับไปคืนดีกับคุณชายรอง"
สร้อยหน้างอหงิก สอางค์ยังคงเหนื่อยอยู่
"นี่แหละน้า คนมันเป็นไพร่ เอามาขัดเกลายังไง กลิ่นโคลนท้องร่องสวนก็ยังอยู่"
"เชอะ....คิดว่ามีวาสนา แต่ลงท้ายก็คงกลับมาเกาะฉันกินเหมือนเคย"
อุ่นเรือนคอแข็ง พิศ กำไลโกรธแทน
"แต่มันไม่ใช่ความผิดของแม่ศรีนะคะ"
"ผิดซียะ ผิดที่มันไม่เชื่อฉัน ฉันให้มันแต่งจริตกระบิดกระบวนยวนยั่วคุณชายรอง มันก็บิด แต่เป็นบิดตะกูด สนิมสร้อย เหนียมอาย งอมืองอตีน แม่คุณหญิงก้อยร้อยมาลัยนั่นถึงแย่งไปได้" สร้อยว่า
"แต่ยายศรี"
" นี่....อย่ากล้าดีมาเถียงฉันนะยะ เดี๋ยวเสด็จก็คงทรงไล่มันเปิดกลับมา ฮึ... เสียขมิ้นดินสอพองไปเป็นหาบ ๆ อย่างนี้ต้องส่งไปอยู่ก้นสวนกับนังน้องสาวชะนีดงนั่น วัน ๆ ให้ตักอึรดผักให้เหม็นเน่าฉาวโฉ่อยู่นั่นแหละดี ... จริงไหมคะพี่สอางค์"
สอางค์มองสร้อยนิ่ง แล้วฉับพลันก็ผลักสุดแรงเกิด สร้อยถลาแพร่ดเซไป
"ฮือ พี่สอางค์ มาผลักหนูทำไม หนูเจ็บ"
อุ่นเรือนสาใจ พิศ กำไล 2 นางลูกมือกลั้นหัวเราะ สอางค์ลุกขึ้นประกาศก้อง
"แกอย่ากล้าดีมาว่าหลานฉัน ทั้งยายศรี ยายสาจะต้องได้เป็นสะใภ้จ้าว หนอย... แทนที่จะช่วยกันคิดอ่านแก้ไข ดันมาด่าฉอด ๆ"
สร้อยตาปริบ ๆ อุ่นเรือนชอบใจสอางค์
"โธ่....แม่ศรีของป้า ป้าจะไม่ให้หนูต้องกลายเป็นหม้ายขันหมากอย่างป้าเป็นอันขาด ฮือ..... โธ่...ไม่น่าพระชนม์สั้นเลย"
"ค่ะ คุณสาวิตรก็ไม่น่าอายุสั้นเหมือนกัน ... ถ้าคุณพ่อเขาอยู่คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้"
"โธ่ แม่อุ่น เราหัวอกเดียวกัน" สอางค์บอก
สอางค์กอดอุ่นเรือน สร้อยมองอย่างหมั่นไส้ พิศ กำไลมองหน้ากัน
พิศกระซิบ
"ไม่เหมือนนะ คุณอุ่นน่ะได้แต่ง คุณข้าหลวงน่ะหม้ายของแท้"
ไนเจลยืนอยู่หัวโต๊ะหน้าตาบูดบึ้งในห้องประชุม จิตริณีอยู่ทางซ้าย ถัดมาเป็นสาลิน ลลิตา บราลีกำลังจดบันทึกการประชุม
ไนเจลเหี้ยม
"ต่อไป วาระสิบ"
สาลินอุทานทวนคำ
"วาระสิบ"
ไนเจลหยิบแฟ้มมาฟาดโต๊ะโครม
"ใช่ วาระสิบ"
จิตริณีสะดุ้ง ลลิตาร้องอุทาน บราลีผงะ สาลินยกมือทาบอกอ่อนหวานงดงาม
"เรื่องงานวันอุทิศหนังสือ เพราะปีนี้ Budget ของเราถูกตัดทอนไปครึ่งหนึ่ง ทางออกก็คือขอรับบริจาคหนังสือแทน"
"ค่ะ คงมีคนยินดีบริจาคกันหลายคน" จิตริณีบอก
"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีเพื่อนเป็นมิลเลี่ยนแนร์ เขาคงยินดีบริจาคที่สุด"
"โธ่"
"พวกคุณทุกคนก็ขอให้ร่วมมือร่วมตีน"
ทุกคนสะดุ้งพร้อมกัน
"ร่วมมือร่วมไม้หรือเปล่าคะ"
"หรือร่วมจิตร่วมใจคะ"
ไนเจลชะงักไปแล้ววีนต่อ
"พวกคุณไม่ต้องมาแก้ผ้า"
ทุกคนสะดุ้งอีก เอามือตะครุบนมพร้อมกัน
"แก้ผ้าษาให้ผม"
"อ๋อ แก้ภาษา !"ลลิตาบอก
"ถ้าใครไม่เต็มใจ หรือไม่มีเวลาว่างก็บอกมา ทางห้องสมุดจะได้ยกเว้นให้เป็นพิเศษ"
ลลิตายิ้ม
"ดีจัง โลลิตาไม่ค่อยว่างค่ะหมู่นี้ จะได้ยกเว้นใช่ไหมคะ"
ไนเจลทุบโต๊ะเปรี้ยง
"ใช่....ผมจะยกเว้น ไม่ต้องมาทำงานอีกตลอดชีวิต"
"ว่างแล้วค่ะ"
บราลีบอก "เหี้ยม"
ไนเจลมองบราลีขวับ
"อะไร ! แบลลี่ ว่าใคร เอี้ย"
"ดิฉันบอกว่าเยี่ยม บอกเยี่ยม Exellent ค่ะ"
ไนเจลยังคงบึ้งตึง
"เรื่องต่อไป วาระที่ 11"
ทุกคนมีอาการจะเป็นลม แว่นมาแอบมอง สีหน้าเป็นห่วง ในมือถือหนังสือพิมพ์วันนี้อยู่ด้วย
หม่อมอำพันวางหนังสือพิมพ์ลงตรงหน้าลูกชายคนรองที่เพิ่งกลับจากทำงาน ชายโตอยู่ด้วยในชุดทำงานจรวยนั่งอยู่ที่พื้น ชายเล็กอยู่ในชุดหมี นั่งซึม ๆ อยู่ด้วย นมย้อยอยู่ข้าง ๆ จรวยสะใจเป็นที่สุด
"ยังไงชายรอง กลับไปคืนดียายก้อย เธอจะเอายังไงกันแน่"
"ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะแต่งงานกับหญิง"
ทุกคนอ้าปากค้าง ชายเล็กสีหน้าประหลาดใจปนโกรธ
"แล้วแม่ศรีจิตราล่ะ เธอจะทูลเสด็จว่ายังไง แล้วเรื่องเรือนหออีก"
"ทุกอย่างก็ต้องล้มเลิกครับ"
นมย้อยบอก "คุณรอง คิดอ่านดูดี ๆ นะคะ"
"เรือนหอกลายเป็นเรือนร้าง ศรีจิตรากลายเป็นหม้ายขันหมาก อย่านะชายรอง ถ้าเสด็จกริ้ว เธอนั่นแหละจะลำบาก อาจจะถูกเฉดหัวออกจากวังไปเลยก็ได้"
"ผมทราบครับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"
"อ้อ ดีนะ ลำพังตัวเองน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม่ พี่ ๆ น้อง ๆ อาจจะถูกเฉดหัวออกไปทั้งหมด ทีนี้ล่ะไม่มีหลังคาคุ้มกะลาหัว เธอสนใจบ้างไหม"
ชายโตมองหน้าน้องชาย ชักหวั่นไหว จรวยเจื่อนไป
"ลำบากกันเสียบ้างก็ดีนะครับ พวกเราสบายกันจนเคยตัวแล้ว ผมขอตัว"
ชายรองแยกไปขึ้นข้างบน ชายเล็กมองตามอย่างหัวเสีย
"อ้าว.... พูดอย่างนี้ก็ว่าแม่น่ะซี ใช่ไหมชายโต นมย้อย เจ้าเล็ก ชายรองว่าแม่ใช่ไหม"
ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลเครียด
"ผมไม่ขอออกความเห็น ขอตัวเหมือนกัน"
บดินทร์ตามขึ้นไป
"หม่อม ใจเย็นเถอะค่ะ เสด็จท่านทรงมีเมตตา ไม่ทรงไล่พวกเราหรอกค่ะ"
"แต่ถ้าเราถูกเฉดหัวจริง ๆ ผมจะขอย้ายไปอยู่บ้านบางกะปินะครับหม่อม" ชายโตบอก
อำพันตาเหลือก
"ไม่ได้นะยะ ฉันเอาไว้ให้ฝรั่งเช่า ได้ค่าเช่าค่าออนมาพอเล่น เอ้ย พอกินไปวัน ๆ เท่านั้น เธอรู้ไหมค่าใช้จ่ายตำหนักนี้น่ะเท่าไร"
"โธ่ ของกินก็ของกงสีตำหนักใหญ่ เงินเดือนข้าหลวง นายรอง นายเล็ก ก็ช่วยกันออกไม่ใช่หรือครับ"
อำพันยิ้ม
"ย่ะ แต่เธอน่ะ ไม่ออกเลยซักแดง"
"โธ่ หม่อม ค่านมลูกผมก็จะหมดตัวแล้วล่ะฮะ"
"ค่านมลูกหรือค่าแต่งตัวเมียกันแน่ยะ"
จรวยสะดุ้ง
"ตอนนี้ฉันน่ะกรอบเป็นข้าวเกรียบแล้ว ยิ่งตำรวจบุกคราวนั้น ขาไพ่ก็หดไปครึ่งค่อน ค่าต๋งก็หาย เล่นเองก็มีแต่เสีย เหมือนมีนังตัวซวย ตัวเวรตัวกรรมเข้ามาขัดลาภอยู่ในบ้าน เป็นใคร ก็ให้รู้ตัวไว้นะ"
อำพันลุกพรวดไป ย้อยรีบตาม
"ฮือ.....หม่อมโทษแต่รวย คุณโต แล้วเราจะถูกเฉดหัวออกจากวังจริง ๆ เหรอคะ"
"ฉันไม่รู้ ไม่อยากคิดอะไรแล้ว"
ดิเรกผลุนผลันออกไปอีกคน จรวยนั่งซึมอยู่ลำพัง
ชายเล็กก้าวเข้ามาในห้อง หน้าเครียด ชายรองกำลังปลดเนคไท เขาดึงไหล่พี่ชายให้หันมา
"นี่มันอะไรกันพี่รอง ไหนบอกไม่มีเยื่อใยกับยายก้อยแล้วไง ไหนว่าจะหาทางกำจัดศัตรู แล้วนี่อะไร กลับไปหายายก้อย ให้ยายก้อยหลอกพี่อีกจนได้ แล้วยังคุณศรีอีก รู้ไหมว่าคุณศรีจะเสียใจขนาดไหน"
ชายรองขำ ๆ
"ดูนายเป็นห่วงคุณศรีจังนะ"
ชายเล็กเห็นการยิ้มของพี่ชาย คิดว่านั่นคือการเย้ยหยัน เขาโกรธพลุ่งขึ้น กระชากคอเสื้อพี่ชาย
"พี่อย่ามายิ้มเยาะแบบนี้กับผม ใช่....ผมห่วงคุณศรี เพราะคุณศรีเขารักพี่ เขาเครซีพี่รองมาก"
ชายรองมีแววขบขันในดวงตาแว่บหนึ่ง ดึงมือน้องชายออกจากคอเสื้อ
"มันเป็นเรื่องดีต่างหาก ที่เขาจะเป็นอิสระจากฉัน เขาจะได้ไปรักคนอื่นได้ไง"
"พี่รอง พี่รองใจร้ายจริง ๆ แล้ว.....แล้วคุณสาล่ะ"
ชายรองอึ้ง
"สาลินมาเกี่ยวอะไรด้วย"
"เกี่ยวซี เพราะคุณสาคือเงาที่ครอบครองใจพี่รองอยู่ในตอนนี้"
"นี่ช่างรู้ใจฉันจริงนะ"
"รู้ซีครับ แล้วผมรู้ด้วยว่าพี่รองเองก็ตัดใจจากคุณสาไม่ได้ ผมว่าพี่รองกับยายก้อยไปด้วยกันไม่รอดแน่ พี่ไม่ลองสำรวจจิตใจตัวเองอีกสักหนเหรอ"
"นายเล็ก ก่อนจะเตือนฉัน ไปสำรวจใจตัวเองให้ดีซะก่อนดีกว่าไหม ว่านายรักใคร หรือไม่รักใคร"
"ผมรู้ใจตัวผมเองดีอยู่แล้วครับ"
"อย่าแน่ใจนักนะนายเล็ก เพราะฉันก็เคยแน่ใจเหมือนนายในตอนนี้ ว่าฉันรักใคร เกลียดใคร แต่เมื่อเวลาผ่านไป...."
ชายรองนั่งลงที่โต๊ะ หยิบดอกไม้แห้งคั่นอนุทินมาหมุนเล่น มีทั้งดอกปีบ และดอกคูนเหลือง
"สิ่งที่ฉันเคยรู้ สิ่งที่ฉันเคยเชื่อ สิ่งที่ฉันเคยรู้สึก มันกลับตารปัตรกันไปหมด"
ชายรองมีแววดื่มด่ำแน่ใจ แต่ชายเล็กกลับกลายเป็นลังเลสับสนแทน ชายรองยิ้มนิด ๆ แจ่น้องชายกลับคิดว่านั่นคือการหยัน เลยออกจากห้องกระแทกประตูดังปังใหญ่ ชายรองคลายยิ้ม สายตาดูกร้าว มุ่งมั่นขึ้นมาทันที
คืนนั้น ที่ห้องสมุด แว่นกางหนังสือพิมพ์ให้ทุกคนดูข่าว กิตติคืนดีหญิงก้อย สาลินหน้าสลด บราลี ลลิตา จิตริณีพลอยสลดไปด้วย จิตริณีคิดเรื่องที่ตัวเองแนะนำอัศนีย์ให้ซื้อเพชรและดอกไม้ไปง้อหญิงก้อย รู้สึกผิดที่เสียรู้อัศนีย์
แว่นบอก "พวกคุณทำงานกันทั้งวัน เลยยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์วันนี้"
"เฮ้อ ตัดอกตัดใจเถอะยายสา" บราลีว่า
"เขากับฉันไม่ได้มีอะไรกันซักหน่อย ฉันกับเขาแค่มีธุระต้องพบปะกัน ต้องพูดกันเท่านั้นเอง"
"แต่ว่าเขาล่ะ เขารักเธอบ้างหรือเปล่า" ลลิตาถาม
สาลินส่ายหน้าดิก เสียงอ่อน จิตริณีมองสังเกต
"เปล่า เขารักคุณหญิง ไม่เคยเปลี่ยน"
ไนเจลเดินหัวเสียเข้ามา ทุบเคาน์เตอร์เปรี้ยง
"บอกแล้วใช่ไหม ในเวลางานห้ามอ่านเรื่อง Gossip ไร้สาระ"
"ไม่ได้อ่านค่ะ แค่คุยกันเฉย ๆ" บราลีบอก
"คุยกันเรื่องงานด้วยนะคะ"
"พวกคุณไม่ต้องมาแก้ตัว" เขามองจิตริณี "หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก พูดจาเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน มะกอกสามตะกร้า พวกเต่าใหญ่ไข่กลบ"
ทุกคนตะลึง จิตริณีหน้าเจื่อนไป
แว่นบอก "โอ้โฮ....รวมคำพังเพยสุภาษิต แล้วพูดถูกทุกคำด้วย"
"ไอ้แว่น...ไม่เกี่ยว ผมรู้เช่นเห็นชาติพวกคุณดี เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ผมเห็นนมคุณ"
สี่สาวร้อง “ว้าย” ยกมือปิดนมอีกครั้งพร้อมกัน แว่นเผลอปิดอกตัวเองด้วย
"ท่อนสุดท้ายไม่มีค่ะบอส" บราลีบอก
ไนเจลอึ้งอยู่นิดหนึ่ง มองจิตริณีแล้วแยกไปอย่างชอกช้ำใจ จิตริณีอ่อนใจ
"บอสบ้าใหญ่แล้ว แล้วก็มาบ้าบอใส่พวกเราด้วย ดูซีค่ำป่านนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน" บราลีบอก
"คุณจินนี่ ต้องเยียวยาบอสแล้วล่ะค่ะ ความรักทำให้บอสเจ็บปวดจนกลายเป็นฝรั่งบ้า จนคิดว่าเห็นนมพวกเราหมดแล้ว"ลลิตาบอก
"เข้าใจค่ะ" จิตริณีมองมาที่สาลินที่ยังสลดเพราะความรักเช่นกัน "ลินซี่ ขอคุยด้วยหน่อย
เถอะค่ะ"
จิตริณีดึงสาลินแยกมายังมุมสงบ
"ลินซี่ ถามหน่อยเถอะ เธอไปตกลงสัญญาอะไรกับอาร์นี่ไว้รึเปล่า"
"ทำไมเหรอคะ"
"ตอบมาเถอะ มันน่าจะเกี่ยวกับที่คุณชายรองคืนดีกับคุณหญิง"
"ค่ะ คุณอัศนีย์เคยสัญญาว่าเขาจะทำให้ทั้งสองคนคืนดีได้ แล้วถ้าเขาทำได้ เขาขอให้ฉัน..."
"ทำไม"
"ให้ฉันไปทำงานไนท์คลับของเขาค่ะ"
"อย่างที่คิดไม่มีผิด"
"ทำไมคุณรู้"
"ไม่สำคัญหรอกเรื่องนั้น เรื่องที่สำคัญคือเธอต้องตัดสินใจดีๆ อย่าตกเป็นเหยื่อของใครหรืออะไรทั้งนั้น แม้แต่จิตใจของเธอเอง"
สาลินมองจิตริณีอย่างงุนงง
ที่ป้ายรถเมล์บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยว สาลินนั่งรอรถเมล์อยู่คนเดียว มีอาการครุ่นคิดเหม่อลอย แล้วมองไป รถคันยาวของกิตติแล่นมาจอดลง ประตูรถเปิดออก กิตติก้าวลงมา ยิ้มให้อย่างอบอุ่นแล้วลงนั่งร่วม สาลินดีใจ แล้วชะงักภาพนั้นคลายไป เป็นเพียงภาพฝัน สาลินมองไปรอบ ๆ อยากร้องไห้
รถสปอร์ตสีจัดจ้าของอัศนีย์ อัศนีย์แต่งตัวหรูก้าวลงมาโบกมือ
"ฮัลโหล คิดว่าจะไม่เจอเสียแล้ว"
"มีอะไรหรือคะ"
"ไงคุณ ผมทำตามสัญญาแล้วนะ"
"ฉันเห็นข่าวแล้ว"
"แล้วเมื่อไร คุณถึงจะทำตามสัญญาของคุณบ้างล่ะ"
"ก็อีกตั้งหลายเดือนนี่ กว่าไนท์คลับของคุณจะเสร็จ"
"อ้าว....ก็ผมบอกแล้วไงว่างานของคุณต้องเริ่มก่อนไนท์คลับเสร็จ"
"ขอฉันปรึกษาผู้ปกครองฉันก่อนก็แล้วกันนะคะ"
รถคุณชายกิตติราชนรินทร์เคลื่อนมาจอดหัวมุมถนน เขาลงจากรถมองมา
"โอเค หวังว่าผู้ปกครองของคุณ คงจะไม่ขัดข้อง"
อัศนีย์เหลือบเห็นกิตติ อัศนีย์เดินมาเปิดรถ สาลินทำท่าจะแยกไป
"เชิญครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ"
"น่า ใจคอจะให้คุณชายกิตติไปส่งคุณได้คนเดียวหรือ"
สาลินชะงัก
"คุณก็น่าจะรู้ว่า วันเวลาเหล่านั้นไม่หวนคืนมาแล้ว ป่านนี้เขาคงอยู่กับคุณหญิงยอดดวงใจของเขา จะมีเวลาคิดถึงคุณหรือเปล่าก็ไม่รู้"
สาลินกัดริมฝีปาก แล้วขึ้นรถไป อัศนีย์อ้อมไปที่นั่งคนขับ มองกลับมาที่ชายรองอีกครั้ง ก่อนขึ้นรถจากไป
ชายรองพิงรถ ถอนใจใหญ่
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ในรถอัศนีย์เล่าไปเรื่อยๆ สาลินนั่งฟังเงียบๆ
"เรื่องผมกับหญิงก้อยน่ะ เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่น ตอนอยู่โน่นเราเจอกันทุกวัน เที่ยวด้วยกันทุกวัน ใกล้ชิดกันทุกวัน ก็เลยเกิดเผลอใจขึ้นมา"
สาลินอึดอัดเล็กน้อย
"เราก็เลยแต่งงานกัน อยู่ด้วยกันไม่เท่าไหร่ ผมก็พบว่าหญิงก้อยไม่ได้รักผมเลย เธอคิดถึง แต่คุณชายกิตติ พูดกรอกหูผมทุกวันเหมือนท่องบทสวด"
อัศนีย์ถอนใจยาว
"เมื่อเขารักกันมากขนาดนั้น ผมก็ต้องหลีกทางให้ แล้วคุณเองก็ควรทำใจให้ได้เหมือนผม"
สาลินเม้มปาก
"เลี้ยวเข้าไปที่ปั๊มนั้นค่ะ"
พุดซ้อนและชบาทิพย์ออกมาเติมน้ำมันเอง รถสปอร์ตของอัศนีย์มาจอดลง
"ว้าย รถอะไรน่ะ ทั้งยาว ทั้งใหญ่"
"เขาเรียกรถสะปอดแม่" ชบาทิพย์บอก
สาลินเปิดประตูรถลงพรวดมา
"ว้าย นังสาลิน เปลี่ยนรถอีกแล้ว"
อัศนีย์ลงมา ชบาทิพย์ใจวูบเซแซ่ดๆ
"เปลี่ยนผู้ชายด้วย"
อัศนีย์มองดูรอบ ๆ ปั๊ม
"คุณให้ผมจอดที่นี่ทำไมหรือฮะ"
"บ้านฉันอยู่แถวนี้ล่ะค่ะ ขอบคุณมาก สวัสดี"
สาลินพูดจบก็วิ่งปร๋อไปหลังปั๊ม อัศนีย์ตั้งตัวไม่ทัน ยกมือห้ามค้าง
"เดี๋ยว คุณ"
สาลินวิ่งมาสวนหลังปั๊ม เจอเข้ากับเจ้าแกะ
"แกะ"
"ครับ พี่สา"
"ไปดูอีตาผู้ชายคนขับรถนั่นที เขาตามพี่มารึเปล่า ถ้าตามมารีบมาบอกพี่ที่บ้านเลยนะ "
"ได้ครับ"
แกะวิ่งไปที่ปั๊ม
แกะวิ่งมาที่ปั๊มเข้ามาแอบฟัง พุดซ้อนยิ้มร่า จัดผม ขยับทรวง ดึงชุด ชบาทิพย์วางแก้วน้ำให้อัศนีย์ ทำเอียงอาย
"วุ๊ย คุณ หนูสาเขางอนคุณหรือคะ"
"เจ๊รู้จักคุณสาลินด้วยเหรอ"
"อย่าเรียกเจ๊ เรียกพี่สาว รู้จักซีคะ รู้ตื้นลึกหนาบาง ไส้กี่ขดกี่ขดรู้หมด"
"ถ้าอย่างนั้นคงบอกผมได้ว่าทางไปบ้านเขา ไปทางไหน"
"เดี๋ยวชบาพาไปให้ก็ได้ค่ะ "
"ชบา หุบกลีบ" ชบาสะดุ้ง "กลีบปาก ไม่ต้องยิ้มมาก ได้ค่ะ เดี๋ยวจะบอกทางให้ละเอียดเลย เดินลัดสวนเข้าไป"
"อ้าว....ไม่มีทางรถหรอกเหรอครับ"
"มี....แต่มันไม่เหมาะ สะดวกเกินไป สว่างเกิน เข้าทางสวนนี่แหละ มืด ๆ ไม่มีใครเห็น ได้อารมณ์ เหมาะจะตีท้ายครัว"
อัศนีย์เป็นงง แกะรีบวิ่งตื๋อกลับเข้าสวน
"แล้วไปรออยู่ที่ใต้ถุนเรือนไทยนะ ตรงนั้นปลอดผู้ใหญ่ เดี๋ยวสักพักหนูสาเขาก็จะยุรยาตรมา อาจจะใส่ชุดนอนบาง ๆ ด้วยนะ ยกทรงไม่ใส่ โตงเตงโตงเว้าเลย ตอนนี้ไม่งอนแล้วล่ะ มีแต่จะให้แง้ม"
"แม่"
"แง้มอะไรครับ"
"แง้มบานประตู ให้พ่อหนุ่มเข้าไปร่วมภิรมย์ประสมสองไง"
อัศนีย์หน้าตึง มองสองแม่ลูกแล้วตาปริบ ๆ พุดซ้อนทำหน้าตาเชิญชวนให้ทำชั่ว ชบาหน้าไม่สู้ดี แต่มองหน้าอัศนีย์แล้วเคลิ้ม ยิ้มกลีบบานใหม่
ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเมฆทะมึน ในสวนก็ยังมืดทะมึน มีแสงส่องเป็นลำเป็นระยะ อัศนีย์เดินจด ๆ จ้องๆมา บรรยากาศดูน่าสะพรึงกลัว อัศนีย์งงมองหาทิศทาง เงาดำตัดแว่บผ่านหน้าไป
"ใครน่ะ"
อัศนีย์เดินไปทางท้องร่องสวน
อัศนีย์เดินเข้าไปในท้องร่องสวน เสียงนกฮูกร้อง เหมือนเสียงถามว่าใคร อัศนีย์สะดุ้งเฮือก มองขึ้นไปบนต้นมะพร้าว แล้วสะดุ้งเอือกอีกครั้งเมื่อรู้สึกมีมือเล็ก ๆ มาจับมือตน อัศนีย์หันมามอง ร่างของแกะแต่งเป็นกุมารทองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทักทาย อัศนีย์
"พี่ พี่"
"เฮ้ย"
อัศนีย์สะดุ้งถอยกรูด
"อย่า อย่าไอ้เด็กทะลึ่ง ไม่ต้องมาหลอกเลย ฉันไม่กลัวหรอก"
"ไม่ได้หลอกให้กลัวสักหน่อย แต่จะให้ไปหาแม่"
"แม่ แม่นายเป็นใคร อยู่ที่ไหน"
"อยู่ข้างหลังนั่นไง"
อัศนีย์หันไปเห็น สาลินในชุดสไบ ตาโบ๋ แสยะยิ้มเห็นฟันดำ ถลาเข้ามากอด
"ทูนหัวของบ่าว จำบ่าวได้ไหมคะ บ่าวชื่อทาเนีย"
"ปล่อย ทาเนียบ้าอะไร"
"ทาเนีย แปลเป็นไทยว่า “ตานี” เหอ เหอ เหอ"
อัศนีย์วิ่งหนีกระเจิง
"แกะ ไปหายายพิณ"
"ครับ"
แกะวิ่งไปดักอีกทาง สาลินวิ่งตามอัศนีย์ไป
อัศนีย์วิ่งมาอีกทางของสวน มองหลังหันซ้ายหันขวา แล้วหันมาเจอกระบอกปืนเข้าพอดี คุณตาประทับเล็งมา อัศนีย์ตาเหลือกกระเด้งผึงถอยหลัง
"หยุดนะ ไอ้หัวขโมย"
"ไม่ใช่ ผมไม่ใช่"
"ไม่ใช่ขโมย ก็ต้องเป็นไอ้โจร"
ขาดคำคุณตาก็ขยับปืนเหนี่ยวไกเปรี้ยง อัศนีย์กลับหลังวิ่ง ร่าง สาลินโผล่มาขวางไว้
"จะหนีไปไหนคะทูนหัวของบ่าว"
อัศนีย์วิ่งกระเจิงผ่านไป สาลินหัวเราะกับตา แล้ววิ่งตามไป
อัศนีย์วิ่งกระเจิงมาตามท้องร่องสวน สาลินวิ่งตามมา อัศนีย์ เบรคหัวคะมึงเพราะร่างนางพิณตาโบ๋ฟันดำ ยืนทะมึนกับเจ้าแกะ
"โน่นลูก นั่นหลาน นี่แม่"
อัศนีย์เห็นสะพานไม้ทอดข้ามท้องร่อง ข้ามไปทันที สาลินกับแกะมากระโดดให้สะพานสั่น อัศนีย์หล่นโครมลงในท้องร่อง แต่ตะกายขึ้นมาได้ คลานมาใต้ต้นมะพร้าว แล้วรู้สึกอะไรบางอย่างเหนือหัว
ตาผลกำลังถือมะพร้าวทั้งเครือ หย่อนโครมลงมาบนหัวอัศนีย์
อัศนีย์ร้องลั่นแล้วแน่นิ่งไป
ทั้งบ้านวิ่งมารุมล้อมดูอาการอัศนีย์ สาลินเอานิ้วอังใต้จมูก
"ยังไม่ตายค่ะคุณตา"
"แล้วเราจะทำยังไงกับเจ้าเศรษฐีคนนี้ดี" ตาถาม
"ก็ในเมื่อยายพุดซ้อนชี้โพรงให้กระรอก เราก็ควรส่งกลับเข้าโพรงไปเสีย" ยายบอก
ทุกคนหัวเราะระรื่น
จากความมืดมิด ภาพสว่างขึ้นช้า ๆ
" ฟื้นแล้ว"
ชบาทิพย์มองตาหวานตรงมา ยื่นผ้าขนหนูสีชมพูมาเช็ดหน้า
อัศนีย์ขยับหน้าหนี ชบาทิพย์เอาผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้ อัศนีย์กุมหัวร้องอูย ขยับนั่ง
"โอย นี่ผมอยู่....."
อัศนีย์พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนหนังเทียม แต่ตัวเปลือยเปล่ามีผ้าขนหนูผืนไม่ใหญ่ พาดปิดท่อนล่าง อัศนีย์ตาเหลือกเอามือตะครุบผ้า
"ใครแก้ผ้าผม"
ชบาทิพย์ขยับถอย มีอาการสติเหลือแค่เสี้ยวเดียว อัศนีย์หัวปูดนิดหนึ่ง
"ก็เสื้อผ้าคุณเปียกน้ำโคลนหมด ชบากลัวคุณเป็นตะพ้าน ก็เลยต้องจับคุณ...แก้ผ้า"
อัศนีย์กระถดตัว เอามือตวัดผ้าเช็ดตัวหุ้มห่อท่อนล่าง ชบาหน้าแดง
"แต่ชบาไม่เห็นอะไรนะคะ"
"แล้วผมมานอนที่นี่ได้ยังไง"
"มีคนพาคุณมากองไว้หน้าปั๊มน่ะค่ะ ชบากับแม่เลยช่วยคุณไว้"
พุดซ้อนเดินโบกนามบัตรเข้ามา นามบัตรนั้นเปียกน้ำหยดติ๋งๆมา
"นามบัตรบอกว่า ชื่อ อัศนีย์ เถ-ลิง-การ"
"เถลิงการแม่ คนในข่าวสังคมชั้นสูงของเมืองกรุง"
อัศนีย์ยิ้มกริ่ม ภาคภูมิ
"อ้าว ตื่นแล้วหรือคะ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ดิฉันชื่อพุทธชาติ เป็นพฤหัสปัตตานี
แห่งสังคมชั้นสูงของเมืองนนท์ค่ะ นี่บุตรีของดิฉันชื่อชบาทิพย์ค่ะ ที่ช่วยแก้ผ้าให้คุณไงคะ"
อัศนีย์สะดุ้ง ชบาทิพย์ระล่ำระลัก
"แต่ชบาไม่เห็นอะไรเลยนะคะ"
"เสื้อคุณเลอะเทอะ ฉันเลยเอาไปซักให้ ตอนนี้ชุดคุณตากอยู่ค่ะ คุณใส่ชุดของผัว เอ้ย
สามีเก่าของดิฉันคงได้ ดิฉันจะไปเอามาให้"
อัศนีย์มองชบาทิพย์ แล้วลุกพรวดขึ้น ปมผ้าขนหนูใกล้หลุด แต่ตะครุบไว้ทัน
"ผมไปด้วยครับ อุ๊บ"
ชบาทิพย์หน้าแดงซ่าน อัศนีย์กุมผ้าเดินกระเผลกตามพุดซ้อน ชบาทิพย์หันมามองตาม ดวงตาระยิบระยับ ยกมือปิดปาก
"ฮิ ฮิ ฮิ ชบาเห็นหมดทุกอย่างเลย"
วันรุ่งขึ้น สอางค์มารับสาลินลงจากรถ เธอนั่งแท็กซี่ตาผล
"หนูสา ก่อนจะเข้าเฝ้าวันนี้ ป้าเตือนหนูก่อน อย่าพูดเรื่องข่าวคุณรองกับคุณหญิงก้อย
ต่อหน้าพระพักตร์นะ"
"ทำไมคะ"
"เพราะดูเหมือนเสด็จจะยังไม่ทรงทราบเรื่อง ยังพระทัยแจ่มใสอยู่ หนูอย่าแสดงพิรุธก็แล้วกัน"
"ได้ค่ะ เออ แล้วพี่ศรีล่ะคะ พอรู้ข่าวแล้วเป็นยังไงบ้าง"
"พี่ศรีของหนูน่ะ เก็บความรู้สึก ไม่ค่อยแสดงออกหรอก ป้าก็เลยไม่แน่ใจว่าเขาคิด
ยังไง แต่ก็คงเศร้านั่นแหละ"
ทั้งสองนางยังคุยกันต่อเนื่อง ยังไม่เข้าตึก
ศรีจิตรานั่งอยู่มีบรรดาของกินเล่นอยู่บนโต๊ะตรงหน้า สวมชุดแมกซี่อยู่บ้านดูปิดมิดชิดกรอมเท้า กำลังกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ ชายเล็กเดินเข้ามา
"คุณศรีดูอะไรอยู่หรือฮะ"
"ดูรูปคุณชายรองกับคุณหญิงก้อยค่ะ"
ศรีจิตราตอบเรียบ ๆ ชายเล็กกลับใจหาย ดึงหนังสือพิมพ์มาพับปิด นั่งลงตรงข้าม
"คุณจะดูให้สะเทือนใจทำไมฮะ ผมรู้ว่าคุณศรีเสียใจ แต่เชื่อเถอะฮะ พี่รองกะหญิงก้อย สองคนนี้ไปกันไม่รอดหรอก อีกหน่อยเขาก็เลิกกัน แล้วพี่รองก็จะกลับมาหาคุณศรีเอง"
ศรีจิตราเบือนหน้าไป แอบเซ็งนิดหน่อย
"โธ่เอ๋ย.....คุณศรีแค่นี้ก็ต้องเบือนหน้าไปซ่อนน้ำตา" เสียงในใจชายเล็กว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะ คุณชายรองไม่มีวันกลับมาหาดิฉันหรอก"
"แล้วเขาจะหันไปหาใครล่ะฮะ"
มาลา วรรณาก้าวมาพูดต่อ
"คุณสาค่ะ" มาลาว่า
ชายเล็กสะดุ้งงง ศรีจิตรายิ้มออกมา
"อะไรนะ"
"คุณสามาค่ะ"
ชายเล็กลุกพรวดขึ้น
"งั้นผมขอตัวก่อนฮะ ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย"
"ไม่เรียบร้อยอะไรกันคะ"
"เออ.... ผมไม่ได้นุ่งกางเกงในน่ะ"
ศรีจิตราเมินไป มาลา วรรณาตาเหลือกเขย่งมอง บดินทร์วิ่งจู๊ดไป สาลินมาถึงยกมือไหว้ศรีจิตรา
"นั่งซีสา คุณชายเล็กเพิ่งกลับไป"
"อ้าวหรือคะ เลยไม่ได้เจอกันซักที"
"อะไรนะสา"
ศรีจิตราลุกขึ้นเห็นว่า ชุดนั้นแหวกสูง เมื่อเดินก็เห็นขาวับแวม สาลินตาโต มาลา วรรณาแยกไปทางหนึ่ง
"พี่ศรี ชุดนี้แหวกสูงขนาดนี้เลยเหรอ"
"อย่ามานอกเรื่อง สาพูดอะไร"
สาลินกระซิบตอบ
"สาบอกความจริงก็ได้ สาไม่เคยเจอคุณชายเล็กหรอกพี่ศรี"
"อะไร ก็สาเต้นรำกับเขาอยู่เป็นนานสองนาน"
"นั่นไม่ใช่คุณชายเล็กหรอกค่ะ นั่นคือคุณพล"
"เพ้อเจ้อแล้วสา พี่เองยังเต้นรำกับคุณชายอยู่เลย"
"พี่ศรีเต้นกับคุณพลนั่นแหละ เขาใส่หน้ากาก พี่ศรีเลยไม่รู้ไง ในงานน่ะ คุณพลแต่งตัวเป็นคู่แฝดกับคุณชายเล็ก เหมือนกันเปี๊ยบ เลยไม่มีใครสงสัย แม้แต่เสด็จ"
ศรีจิตราครุ่นคิด
"ยังงั้นหรือสา แสดงว่าเขาหลอกเก่งนะ"
"ค่ะ พี่อ่านข่าวแล้วใช่ไหม เป็นอย่างที่สาพูดจริง ๆ เขาก็กลับไปคืนดีกับยายคุณหญิงจนได้"
สาลินหน้าหม่นลง
"มีภาพข่าวสังคมกันแทบทุกวัน"
"จ้ะ"
"นี่เขาก็หายไปเลย สาไม่เจอเขามาตั้งสิบสี่วันแล้ว"
" ยายสาเอ๊ย นับวันรอเชียว" ศรีว่าในใจ
สาลินกินขนมอย่างเหม่อลอย ศรีจิตรามองขำ ๆ
เสด็จประทับเอนบนตั่ง ศรีจิตรา สาลินหมอบเฝ้าอยู่เบื้องหน้า สอางค์อยู่ข้าง ๆ เสด็จ มาลา วรรณา และบรรดานางข้าหลวงทั้ง 3 รุ่นคิกคักอยู่เบื้องหลัง
"ที่นี่มีหนังสือมากมาย บางเรื่องก็มีหลายเล่มซ้ำกัน เอาซี...สาลิน ฉันจะช่วยบริจาค"
"เป็นพระกรุณาเพคะ"
"เอ้าพวกหล่อน ๆ"
ข้าหลวงทั้ง 3 วัย ประสานเสียงตอบเพคะ
"ใครมีนิทานวัดเกาะ"
ข้าหลวงชราอมยิ้ม
"นิยายสิบสตางค์"
ข้าหลวงรุ่นสาวใหญ่คิกคัก
"หรือพวกเรื่องชโลมโลกย์ ประโลมโลกย์"
มาลา วรรณา และสาว ๆคิกคัก
"หนังสือดาราอะไรซุกซ่อนไว้ อ่านเบื่อแล้วจะเอามาทำบุญบริจาคให้ห้องสมุดร่วมกับ
ฉันกับสาลินก็ได้"
บรรดาข้าหลวงคิกคักทูล
ข้าหลวง1บอก"แหม มันเก่าจนขาดแล้วเพคะ"
ข้าหลวง2 บอก "มีซ่อนไว้เป็นหีบเลยเพคะ"
มาลาบอก "วรรณาซ่อนไว้ใต้ฟูกตั้งหลายเล่มเพคะ"
วรรณาสะดุ้งเฮือกค้อนมาลาขวับ เสด็จทรงแย้มสรวล
"ให้ความรู้เป็นทานน่ะได้บุญเยอะนะ"
มาลา/วรรณาบอก "เพคะ"
"ชาติหน้าจะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนชาตินี้"
มาลา วรรณาสะดุ้งเฮือก คอหด แล้วค้อนขวับ
"แต่ดูให้ดีนะยะ ถ้าเป็นเรื่องพิศวาสบาดจิต เด็กเล็กอ่านแล้วใจแตก ก็อย่าเอามาบริจาค" สอางค์บอก
ข้าหลวง1บอก"อู๊ย ไม่มีหรอกค่ะ"
ข้าหลวง2 บอก "คุณแม่บ้านเอาอะไรมาพูด"
มาลาโบกมือ "ไม่มี๊ ไม่มีค่ะ"
"เชอะ น้อยไปซี อย่าให้ฉันต้องชี้ตัวนะยะ"
"สาลิน"
"เพคะ"
"ไปรอที่ห้องสมุดก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้คนดูแลห้องสมุด ไปเลือกหนังสือให้"
"เพคะ"
สาลินรับพระดำรัสกราบลง เสด็จทรงมองอย่างพอพระทัย
ห้องสมุดในวันนี้กลับดูเวิ้งว้างว่างเปล่า สาลินเดินเขามายืนท่ามกลางตู้หนังสือสูง สาลินมองไปในตู้ หนังสือ“ บันเทิงทศวาร” และ “จันดารา” ซึ่งจัดเข้าที่แล้ว นึกถึงตอนเถียงกับชายรองฉอดๆ
สาลินถอนใจหันกลับมา เจอชายรองอยู่ในระยะประชิด สาลินตาเบิกกว้างตกใจ เขามองดวงตาระยิบระยับแล้วนิ่ง
"ขวัญอ่อนจริง"
สาลินตาโตดีใจแล้วนึกได้ กลายเป็นสับสนอัดอั้นถอยไป เชิดหน้าน้อย ๆ ดูหวานเศร้า
"หรือว่าวางแผนจะขโมยหนังสือต้องห้ามอยู่"
สาลินตวัดตาค้อนนิด ๆ
"ฉันตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นคุณ"
"แล้วเธออยากให้เป็นใครล่ะ นายเล็กหรือ"
"ที่ฉันบอกว่าไม่คิดว่าเป็นคุณ เพราะช่วงเวลานี้ คุณน่าจะไปรับคุณหญิงก้อยไปเริงราตรีอยู่"
"ฉันเป็นคนดูแลห้องสมุดให้เด็จป้า ยังไงธุระของเด็จป้าต้องสำคัญกว่าอย่างอื่น"
สาลินเมินสะท้อนสะท้านใจ พูดเรียบๆ
"นี่ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย เรื่องคุณหญิง"
ชายรองมองดู เห็นสาลินไม่มีท่าทีสะเทือนใจก็เริ่มขุ่นมัว
"ฉันต้องแสดงความยินดี กับเธอต่างหาก"
"เรื่องอะไรกันคะ"
"เรื่องแรกก็เธออยากให้ฉันไปพ้นตำแหน่งพี่เขยเธอนักไม่ใช่หรือ นี่ก็สมใจแล้วนี่"
"ค่ะ"
ชายรองยิ่งโกรธมากขึ้น
"เรื่องที่สอง ฉันแสดงความยินดีกับเธอที่เธอกำลังจะก้าวหน้าในอาชีพการงาน นี่เธอจะไปทำงานกับนายอัศนีย์จริงหรือ"
"ก็...ก็คงอย่างงั้น"
"นี่.....เธออยากไปทำนักหรืองานอย่างนั้นน่ะ"
สาลินเชิดหน้าเริ่มโกรธ
"งานอย่างนั้นน่ะ คืองานอย่างไหนหรือคะ"
"ก็งานกลางคืนไง เปลืองทั้งชื่อ แล้วก็อาจจะเปลืองตัวด้วย"
"คุณ"
ชายรองขยับเข้าใกล้มองหน้า
"ฉันอยากจะรู้นักว่า นายนั่นยื่นข้อเสนออะไร"
"คุณอย่ารู้เลยค่ะ"
"ทำไม เขาเสนออะไร หรือว่าบ้านหนึ่งหลัง เงินสามแสน แหวนเพชรห้ากะรัต จี้เพชรพร้อมเงินเดือนหรือไง"
สาลินตาเบิกกว้างร้องกรี๊ด
"นี่ ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่เงินนะ"
ชายรองพอใจที่สาลินเลิกหวานเข้าสู่ความคุ้นเคย ดวงตาพราวขึ้น
"แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่"
"เชิญคุณไปเป็นห่วงคุณหญิงยอดดวงใจของคุณเถอะ"
"ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องกลายเป็นเหยื่อนายจิ้งจอกนั่น"
"เหมือนที่คุณหญิงเคยเป็นเหยื่อมาแล้วอย่างงั้นซี"
ชายรองคว้าข้อมือสาลินดึงมาใกล้ คำราม
"อวดเก่งนัก"
"ปล่อยนะ ตอนนี้คุณก็ได้คุณหญิงคืนไว้ในอ้อมใจคุณแล้ว กรุณาเลิกหึงเปะปะ แล้วมาพาลฉันซะที"
"ใครว่าฉันหึงหญิงก้อย ฉันหึง...."
มีเสียงดังขึ้น
"ชาย ชายอยู่ไหนจ๊ะนี่"
ที่หน้าประตู เสด็จทรงเปิดประตู ทรงพระดำเนินเข้ามาแล้วทอดพระเนตรเห็นชายรองยืนเลือกหนังสือกับสาลินทำปรกติทั้งคู่ แต่มีพิรุธนิดหน่อย
"เกล้าอยู่นี่พะยะค่ะ"
เสด็จทรงยิ้มในหน้า ย่างพระบาทเข้าไปหา
"ไงดูกันไปถึงไหนแล้ว"
"กำลังดูนิทานอีสปเพคะ เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ"
ชายรองชะงัก ยิ้มนิดๆ
"แล้วก็เรื่องเด็กเลี้ยงแกะพะยะค่ะ เด็กเลี้ยงแกะจอมยุ่ง"
ชายรองปรายตาดู สาลินเข้าสู่โหมดสวยใหม่ เมินเชิดหน้าน้อย ๆ เสด็จทรงแย้มสรวลพระเนตรเข้าพระทัยลึกซึ้ง
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงกำลังนั่งอบผมอยู่ที่ร้านทำผมเกศมณี อ่านหนังสือสตรีสยามไปด้วย เสียงกระแอมดังข้าง ๆ เธอหันไปพบว่า จรวยกำลังอบผมอยู่เช่นกัน
"อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณหญิง โลกกลมจังนะคะ"
จรวยม้วนโรลเต็มหัว ชุดโชว์อกตามเคย หญิงก้อยเลิกคิ้ว
"ฐานะอย่างเธอมาร้านแบบนี้ด้วยเหรอ"
"ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะคะ ดิฉันน่ะเป็นสะใภ้ใหญ่ของวังวุฒิเวสม์นะคะ"
"ลืมไปว่าเธอคือสะใภ้ใหญ่"
จรวยมองค้อน เหญิงก้อยยิ้มหยัน ๆ
"อย่าบอกนะว่าเป็นความบังเอิญที่เธอมาเจอฉันวันนี้"
"ค่ะ ดิฉันตั้งใจมาพบคุณหญิง เพราะมีเรื่องร้อนใจค่ะ"
"อะไร"
"คุณหญิงขา ถ้าคุณหญิงเข้ามาเป็นสะใภ้รองทั้ง ๆ ที่เสด็จไม่ทรงปลื้ม เกิดเสด็จกริ้วขึ้นมา พวกดิฉันไม่โดนไล่ออกจากวังกันหมดตำหนักเหรอคะ"
หญิงก้อยฟังแล้วหัวเราะระรื่น จรวยมองค้อน ๆ
สาลินกับศรีจิตราเดินมาด้วยกันที่หน้าวัง รถตาผลจอดรออยู่ สาลินหน้ายิ่งหมอง กุมมือศรีจิตราที่หน้าผ่อง ชุดแหวกจนเห็นต้นขาผ่อง
"พี่ศรีต้องทำใจนะคะ เขารักกันมาเกือบสิบปี รักไม่มีวันเสื่อมคลาย เราอย่าไปแทรกกลางความรักของเขาเลย"
"เรา สาพูดว่า “เรา” หรือสา"
"สาหมายถึงว่าพี่ศรีอย่าไปขวางทางรักเขาเลย"
ศรีจิตราแซวเล่น
"แต่ถ้าคุณชายรอง ไม่ได้รักคุณหญิงมากอย่างที่สาคิดล่ะ"
"พี่ศรี นี่พี่ศรียังหวังลม ๆ แล้ง ๆ อยู่อีกหรือ"
สาลินยิ่งทุกข์ทนหน้าหมอง ศรีจิตรากลับยิ้มหน้ากระจ่างสด
"เอ....ทำไมพี่ศรีหน้าตาไม่ทุกข์ร้อนเลยล่ะ หรือว่าพี่แกล้งทำ ใจจริงน่ะอยากจะร้องไห้วันละร้อยหนใช่ไหม"
"แล้วสาล่ะ อยากจะร้องไห้วันละร้อยหนบ้างไหม"
ศรีจิตราขำ สาลินยิ่งงง เดินมาถึงรถตาผล มองเลยไปเห็นรถของ ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลจอดอยู่
"ลุงผล นั่นรถคุณพลนี่"
"ครับ ใช่รถคุณพลครับ" ผลบอก
ศรีจิตราเอะใจ
"สา ลุงผล แน่ใจนะว่านี่รถคุณพล"
"แน่นอนครับ ผมจำรุ่นกับทะเบียนรถได้ เอ แต่คุณพลมาทำอะไรที่วังนี่ล่ะครับ"
"คงแวะมาเยี่ยมคุณชายเล็กมังคะ"
ตาผลพยักหน้า ศรีจิตราแน่ใจแล้วว่าใครคือใคร ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมานิดหนึ่ง
ที่ร้านเกศมณี คุณหญิงก้อยมองจรวยอย่างสมเพช
"เธออย่าลืมนะว่าฉันคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นสะใภ้อันดับหนึ่งของวังวุฒิเวสม์ ฉันคือ หม่อมราชวงศ์หญิงเทพีเพ็ญแสง รัชนีกุล และฉันครองรักกับคุณรองมานานนับสิบปี"
"แต่คุณหญิงไม่ใช่คนที่เสด็จทรงปลื้ม ไม่งั้นคงไม่ทรงจับคู่คุณรองกับยายศรีจิตราหรอก"
"คนที่เสนอให้จับคู่คือยายแก่สอางค์ต่างหาก เพราะอยากให้หลานตัวเองได้ดี"
"จริงซี"
"ฉันนี่แหละคือคนที่คู่ควรที่สุด เด็จป้าทรงรักคุณรองมาก ถ้าคุณรองตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เด็จป้าต้องทรงยอมตามทุกอย่าง"
"ได้ยินอย่างนี้ดิฉันก็คลายใจ เฮ้อ ตอนแรกกลัวว่า เรือนหอจะถูกทุบทิ้งเสียอีก"
"เรือนหอเหรอ จริงซี สร้างเสร็จไปแค่ไหนแล้ว"
"กว่าครึ่งแล้วค่ะ"
หญิงก้อยหน้าระรื่น คิดถึงภาพตัวเองเป็นเจ้าหญิงของปราสาท มวยมณีเดินสวยเข้ามา เปิดเครื่องอบผมออก ผมหญิงก้อยเป็นมวยงดงาม เธอลุกไปมองดูตัวเองในกระจก
"อบเสร็จแล้วค่ะคุณหญิง งามแท้ ๆ จะไปงานไหนคะคืนนี้"
"คืนนี้คงงดออกงาน เพราะพรุ่งนี้ฉันคิดว่าจะเข้าวัง"
จรวยหันขวับมามอง
"กะว่าจะเข้าไปดูเรือนหอของฉันเสียหน่อย"
จรวยอ้าปากค้าง
วันรุ่งขึ้น เรือนหอก่อผนังแล้วแต่ไม่ได้ฉาบปูน คนงานทำงานกันแข็งขัน ที่ศาลาเล็กริมบึง เสด็จประทับอยู่ที่ชุดสนาม สอางค์ มาลา วรรณา จัดครื่องสุธารส ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลดินเหงื่อท่วม ยิ้มเผล่มา เสด็จทรงส่งซับพระพักตร์ให้
ชายเล็กเอางานรับมา เสด็จทรงชี้ให้นั่งตรงข้าม
"เป็นพระกรุณา พะยะค่ะ"
"นี่....ตารองไม่มาดูเลยใช่ไหมนี่ อะไร บ้านตัวเองแท้ๆ"
เสด็จคล้ายทรงมีความในพระทัยอย่างหนึ่ง สอางค์ร้อนใจ
"คงงานยุ่งน่ะเพคะ"
"ฉันให้เธออยู่แทนดีกว่า ตารองไม่ต้องอยู่แล้ว"
สอางค์สะดุ้ง มาลา วรรณาคิกคัก สอางค์ถลึงตา ชายเล็กทำคอหด
"โธ่....เกล้าไม่อาจเอื้อมแย่งของพี่รองหรอกพะย่ะค่ะ"
"ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสละทิ้งแล้วนี่"
"โธ่ อย่ากริ้วพี่รองเลยพะย่ะค่ะ"
"เฮ้อ....ถ้าเจ้ารองเขามาเช้าถึงเย็นถึงศรีจิตราบ่อย ๆ เหมือนแก ก็คงจะรักหมดใจได้เหมือนกัน"
ชายเล็กหลบสายพระเนตร สอางค์ มาลา วรรณามองหน้ากันงง ๆ ไม่เข้าใจที่เสด็จตรัส
"แล้วเรื่องพี่ชายเธอกับหญิงก้อยจะเอายังไงกันแน่ ฉันเห็นแล้วนะ ข่าวเดทกับแม่ก้อยไม่เว้นแต่ละคืนน่ะ"
"เกล้าก็ไม่เข้าใจพี่รองเหมือนกันพะย่ะค่ะ"
เสด็จมองเลยไปที่บริเวณก่อสร้าง เห็นชายรองและหญิงก้อยเดินจูงมือกันอยู่บริเวณก่อสร้าง
"นั่นใครน่ะ ทำผมเป็นช่อเป็นชั้นมาเชียว"
"ว้าย คุณหญิงก้อยเพคะ" สอางค์ว่า
ทุกคนตะลึง
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ทั้งคู่ควงดูบริเวณเรือนหอ ที่ทำเป็นซุ้มประตูโค้งทางเข้า
"ออกแบบเป็นสโตล์ยุโรปคลาสสิคแบบนี้ ต้องสวยมากนะคะคุณรอง แหม...อยากเข้ามาอยู่เร็ว ๆ จัง"
"ที่จริงนายเล็กเป็นคนเลือกแบบน่ะครับ ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมคงต้องลงมาดูเองแล้ว"
"เพราะหญิงใช่ไหมคะ"
"ครับ เพราะหญิงคนเดียว"
เทพียิ้มให้ กิตติยิ้มหวานรับเสด็จ บดินทร์ สอางค์ มาลา วรรณา เข้ามาเบื้องหลัง
"ทำอะไรกันอยู่เหรอ"
ทั้งสองหันมา เทพีไม่สะทกสะท้าน รีบไหว้เสด็จเช่นเดียวกับกิตติ
"ถามว่ามาทำอะไรกันอยู่"
"เออ....เกล้าพาหญิงก้อยมาดูเรือนหอพะย่ะค่ะ"
ทุกคนอึดอัด ไม่คิดว่า ชายรองจะกล้าขนาดนี้
"เธอถือวิสาสะอะไร มาดูเรือนหอ"
"เออ เกล้าขอประทานอภัยที่ไม่ได้ขอประทานอนุญาตเด็จป้าก่อน"
"เธอพาหญิงก้อยมาดูเรือนหอแบบนี้ หมายความว่า....เธอกำลังบอกฉันว่า นี่คือเรือนหอของเธอสองคนงั้นสิ"
ชายรองอึกอักพูดไม่ออก หญิงก้อยพูดแทน
"ก็ควรจะเป็นของเราสองคนซีเพคะ ในเมื่อคุณรองตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับหญิง"
เสด็จมองหัวจรดเท้า
"อ้อ.....เธอไตร่ตรองดีแล้วเหรอกิตติ"
"เกล้า เออ"
"ไม่คิดจะปรึกษาฉันสักคำ ว่ายังไงตอบมา" เสด็จเสียงกร้าว
กิตติก้มหน้านิ่ง
"คุณรอง จะอึกอักอยู่ทำไมคะ ทูลเด็จป้าไปซีคะว่าเราจะแต่งงานกันแน่นอนแล้ว"
"เมื่อไหร่"
"ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาพะย่ะค่ะ"
"แต่คงเร็ว ๆ นี้แหละเพคะ"
"กิตติ มาคุยกับฉันส่วนตัว"
เสด็จดำเนินแยกไปริมบึงบัว ทุกคนมองตามอย่างสยองใจ หญิงก้อยเชิดใส่สอางค์ "กล้ามากนะหญิงก้อย เข้ามาดูเรือนหอทั้ง ๆ ที่เธอไม่มีสิทธิ์สักนิด" ชายเล็กบอก
"นายเล็ก ฉันคือคนรักของคุณรอง ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์"
"ถือวิสาสะเข้ามา ขอประทานพระอนุญาตก่อนรึก็เปล่า" สอางค์ถาม
"คุณข้าหลวงคะ ปรกติหญิงก็เข้านอกออกในวังวุฒิเวสม์อยู่บ่อย ๆ ไม่เห็นต้องขออนุญาตใคร"
"ค่ะ ถ้านั่นมันที่ตำหนักเล็ก ที่คุณหญิงจะมาพลอดรักกับคุณรองในที่ลับตาหรือในที่แจ้งยังไงก็ได้ แต่นี่มันเรือนหอค่ะ เรือนหอที่ทรงสร้างขึ้นไว้สำหรับคุณรองและศรีจิตรา ไม่ใช่คนอื่น"
หญิงก้อยยิ้มหน้าเชิด ไม่เกรงกลัว
ชายรองเดินกลับมาลำพัง ท่าทีสลดอย่างเห็นได้ชัด เสด็จดูกริ้ว ประทับอยู่ริมบึงไม่กลับมาด้วย
"หญิงครับ เรากลับก่อนเถอะ"
"อะไรนะคะคุณรอง"
"กลับเถอะครับ"
"ควรกลับได้แล้ว เด็จป้ากริ้วขึ้นมาจะลำบากกันหมด" ชายเล็กบอก
"ก็ได้ค่ะ"
ทั้งสองตรงไปหาเสด็จที่ริมบึง
หญิงก้อยตามชายรองมาที่เสด็จประทับ พระพักตร์เครียดอยู่ ชายเล็ก สอางค์ มาลา วรรณาตามมาห่าง ๆ
"กระหม่อมทูลลา"
"หม่อมฉันทูลลาเพคะ"
"จำไว้นะ กิตติราชนรินทร์ เรือนหอนี้ฉันสร้างไว้ให้เธอกับคู่ครองที่เหมาะสมเท่านั้น"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงหน้าเชิดขึ้น
"หญิงคือคู่ครองของคุณรองนะเพคะ เด็จป้าทรงวินิจฉัยว่าหญิงไม่เหมาะสมอย่างไรหรือเพคะ"
ทุกคนอ้าปากค้างในความบังอาจ
"หญิงก้อย"
เสด็จหันมาช้า ๆ
"กล้ามากนะหญิงที่ถามในสิ่งที่ที่เธอไม่ควรถาม"
"หม่อมฉันต้องการความยุติธรรมเพคะ"
"ได้ ความยุติธรรมก็คือ เรือนหอนี้แรกเริ่มฉันดำริให้สร้างขึ้นเพื่อชายรองและศรีจิตรา ไม่ใช่ให้ใครมาอยู่ก็ได้ตามอำเภอใจ กิตติราชนรินทร์"
"พะยะค่ะ"
"ฉันให้เวลาเธอสามวัน ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ แล้วมาให้คำตอบฉันอีกครั้ง"
"แต่หม่อมฉันคิดว่า คำตอบของคุณรองคงเหมือนเดิมเพคะ"
ทุกคนตะลึงงัน
"หมดธุระเธอแล้ว กลับไปได้ ไป ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว ทุกคน"
สอางค์บอก
"เพคะ ชายรองรีบกลับไปเลยนะ ทุกคนไป"
สอางค์รีบพยักหน้าให้ทุกคนออกไปโดยเร็ว ชายรองรีบพาหญิงก้อยออกไป ชายเล็กมองตามพี่ชายอย่างโกรธเต็มที เสด็จยังทอดเนตรไปยังบึงบัว ทอดถอนพระทัย
ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลเดินหัวเสียเข้ามาในตำหนักเล็ก จรวยทำหน้าเศร้า อยู่ต่อหน้าหม่อมอำพัน ชายโต นมย้อย น้อม เจียมอยู่ด้วย
"เมื่อวานรวยเดินผ่านไปทางเรือนหอ เขาก็พูดลอยลมมาให้ได้ยินว่า...ต่อไปเขาจะกั้นรั้ว ไม่ให้คนนอกมาเดินในที่ต้องห้ามของเขา"
ชายเล็กหยุดฟัง ที่หัวเสียอยู่แล้วยิ่งกำเริบหนัก
"เอ๊ะ แล้วเธอไปทำอะไรแถวนั้น" ย้อยถาม
"นั่นซีคะ ไปบ๊อยบ่อย" น้อมว่า
จรวยอึกอัก อำพันขมวดคิ้วจ้องเขม็ง ชายโตเม้มปาก นมย้อยจับผิด เข้าหน้าจรวยคิด...
ศาลาเล็กเรือนหอ ศรีจิตรา มาลา วรรณาเห็นตาตุ้ม ศรีจิตราเข้ามาอุ้มจากมือของจรวย จรวยมองหมั่นไส้
"ไงคะ หลานน้าศรี ธุก่อนค่ะ ธุก่อน"
"คุณตุ้ม น่ารักน่าชัง" มาลาบอก
"หล่อเหมือนคุณชายโตเลยค่ะ หม่อมหลวงตุ้มของน้า" วรรณาบอก
จรวยตื่นจากภวังค์ แล้วคิดเรื่องโกหกได้
"ก็....รวยพาตาตุ้มไปหัดเดินน่ะซีคะ พอตาตุ้มเดินเข้าไปในเขตเขา นังสองพี่เลี้ยงนั่นก็เรียกตาตุ้มว่า “ตาตุ้ม” บ้าง “นายตุ้ม” “เจ้าตุ้ม” บ้าง"
ศรีจิตรา มาลา วรรณา ทำหน้าตาเป็นนางร้าย ทั้งสามแต่งหน้าเข้มกว่าเดิมเท่านึง หน้าอกหน้าใจศรีจิตราเหมือนจะใหญ่ขึ้นเท่านึงเช่นกัน ยืนโพส ในชุดแหวกต้นขา มองตาตุ้มอย่างหมั่นไส้ จรวยแต่ง
หน้าอ่อนทันที ทำหน้าเป็นนางบุญ
"เจ้าตุ้ม ยี้ ขี้มูกกรังเชียว" ศรีจิตราบอก
"วันนี้ไม่อุ้มหรือคะ" จรวยถาม
"จะให้ฉันอุ้มลูกของเธอ ฮ่ะฮ่ะ ไม่หรอกย่ะ กลัวขี้มูกขี้ลายมาเปื้อนเสื้อฉัน"
"อุ้มไม่ลงหรอก เดี๋ยวฉี่เดี๋ยวอึ โสโครก" มาลาบอก
"อุ้มลูกคนงานยังจะดีเสียกว่า อุ้ม “ไอ้ตุ้ม” ของหล่อน" วรรณาบอก
จรวยน้ำตารื้นแบบนางเอก
"รวยขอเถอะนะคะ จะดูถูกรวยยังไงก็ได้ แต่อย่าดูถูกลูกของรวยเลย กรุณาอย่าเรียกว่า นายตุ้ม เจ้าตุ้ม หรือไอ้ตุ้มได้ไหมคะ"
"ทำไม ทำไมฉันจะเรียกไม่ได้" ศรีจิตราถาม
"แล้วต้องให้เรียกยังไงยะ" วรรณาถาม
"ลูกตุ้มเป็นหม่อมหลวง ลูกชายหม่อมราชวงศ์ พวกคุณสมควรจะ คุณตุ้ม ถึงจะถูก"
ทั้งสามคนหัวเราะไพร่ออกมาพร้อมกัน
ศรีจิตราลอยหน้า
" ลูกหล่อนเป็นแค่ลูกบ่าว เรียกแค่นี้ก็ดีถมถืดไปแล้ว ฉันไม่เรียกไอ้ตุ้มทุกคำนับว่าเป็นบุญแล้วล่ะ"
"ลูกนังขี้ข้าก้นครัว แค่นจะมาเรียกคุณ เชอะ" มาลาบอก
"คุณน่ะ เขาเรียกลูกเมียคุณหญิง เมียหม่อมราชวงศ์หญิงหรือเทียบเท่า มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่เมียหรือสะใภ้ไพร่ อย่างหล่อน"
ทั้งสามหัวเราะร่า จรวยน้ำตาแตก อุ้มตาตุ้มแยกออกมา
"ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร"
จรวยน้ำตาร่วงแบบนางเอก นมย้อย น้อม เจียมฟังแล้วไม่อยากเชื่อ หม่อม อำพันพยักหน้าเหมือนเห็นด้วย แต่....
"ก็จริงนี่ยะ ก็ลูกบ่าวจริง ๆ เขาก็เรียกกันมายังงี้"
จรวยชะงัก ดิเรกโพล่งออกมา
"แต่หม่อมแม่ครับ นี่มันดูถูกกันเกินไปแล้ว"
"ดีแล้วล่ะค่ะที่คุณรองกลับไปคืนดีกับคุณหญิงก้อย ไม่อย่างนั้นเราจะได้สะใภ้ที่กดหัวพวกเราทุกคน"
"ต้องเรียกมาอบรมแล้วล่ะครับหม่อม"
"ไม่ต้องเรียกใครมาอบรมหรอกครับพี่โต คนที่ต้องอบรมคือเมียพี่"
ทุกคนหันมามองชายเล็ก
"นายเล็ก แกว่าอะไรของแก" ชายโตถาม
"เที่ยวยุแยงไปทั่ว นี่คงรับใช้หญิงก้อยมาล่ะซี ถึงมาใส่ไคล้คุณศรี"
"คุณเล็ก รวยเปล่านะคะ"
"อย่านึกว่าฉันไม่รู้ ที่เธอทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ เพราะรับคำสั่งยายก้อยมา"
"จริงเหรอจรวย" ชายโตถาม
"ไม่จริงนะคะ"
"เพราะเมื่อกี้ยายก้อยเพิ่งก่อศึกใหญ่ ท้าทายเด็จป้า ตีฝีปากกับท่านอย่างไม่เกรงพระทัย นึกเอาแต่ได้ว่าเรือนหอเป็นของตัว"
ทุกคนอุทาน
"ว้าย.....ยายก้อยมันกล้าขนาดนั้นเชียว" หม่อมอำพันว่า
"ครับ แล้วทางนี้ก็มายุแยงให้เกิดศึกขึ้นอีก ระวังเถอะครับภัยจะมาถึงตัว ที่หม่อมกลัวว่าจะถูกเฉดหัวจนหมดตำหนัก มันคงจะเป็นจริงอยู่รอมร่อแล้ว"
ชายเล็กกลับขึ้นชั้นบน
"นังจรวย แกเป็นขี้ข้านังหญิงก้อยจริง ๆ เหรอ"
"ดิฉันเปล่านะคะ"
"หม่อมครับ ถ้าถูกเฉดหัวจริง เราจะไปอยู่ไหน ต้องไปเช่าบ่านเขาอยู่เหรอครับ"
"โถ....จะไปเช่าเขาอยู่ เงินเดือนแกน่ะกี่อัฐพัส ลูกเมียก็เป็นห่วงคล้องคออยู่อย่างนี้"
อำพันลุกขึ้นสะบัดไปทันที
"ใจเย็นเถอะค่ะคุณโต แต่ถ้าเรื่องที่คุณเล็กพูดเป็นความจริง" ย้อยมองจรวยอย่างหมั่นไส้เต็มที " ต้องอบรมคนของเราขนานใหญ่เชียวล่ะค่ะ"
นม เจียม น้อมออกไป จรวยทำท่าจะร้องไห้ ไม่กล้าสบตาผัว
"ต่อไปนี้ไม่ต้องเอาเรื่องตำหนักใหญ่มาเล่าอีกแล้วนะ แล้วถ้าเธอทำตัวเป็นบ่างตามคำสั่งหญิงก้อยล่ะก็ ฉันจะหย่าจากเธอให้รู้แล้วรู้รอดไป"
"ว้าย คุณโต ไม่นะคะ"
ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์ออกไป จรวยน้ำตาร่วงเผาะ ๆ คราวนี้ของจริง
คืนนั้น ในห้องนั่งเล่นวังรัชนีกุล
ท่านจันทร์ประทับยืนอยู่กลางห้อง ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงนั่งเชิดบนโซฟา หม่อมวาณียืนเกาะเก้าอี้ข้างลูกสาวคนโปรด หญิงกลางยืนอยู่ใกล้เคาน์เตอร์บาร์ รื่น โรยอกสั่นขวัญหนีอยู่ที่พื้น
"นี่เธอจะก่อเรื่องไปถึงไหน ไปตีฝีปากกับเสด็จพี่ จนต้องทรงโทร.มารายงานฉัน"
"ตายจริง ไปตีฝีปากกับเสด็จท่านเรื่องอะไรลูก"
"จะเรี่องอะไร ก็บังอาจไปอ้างสิทธิ์เรือนหอของเสด็จพี่น่ะซี"
"ตายแล้ว"
"รู้ไหมว่าถ้าเด็จป้ากริ้วอะไรจะเกิดขึ้น"
"อะไรจะเกิดก็เกิดไปซีเพคะ หญิงไม่แคร์ คุณรองกับหญิงรักกัน ไม่น่าจะหนักศีรษะหรือพระเศียรใคร"
"ว้าย หญิง"
ท่านจันทร์กริ้วจนองค์สั่น ชี้หน้าลูกสาว
"เธอหยุดโอหังบังอาจ พูดจาสามหาวก้าวร้าวซะที เรื่องแต่งกับชายรองน่ะอย่าฝันเลย เสด็จพี่ไม่ทรงยอมแน่"
หญิงก้อยลุกขึ้นช้าๆ สะบัดผ้าพันคอ 1 ที เชิดหน้า
"แต่หญิงจะแต่ง หญิงไม่ยอมให้ความสุขของหญิงถูกทำลาย เพราะยายแก่จอมอคติคนหนึ่งแน่ๆ"
"หญิง !"
ท่านจันทร์สืบเท้ามา ตบลูกสาวเข้าเต็มแก้ม หญิงก้อยร้องวี๊ดหมุนไป 2 รอบ แล้วล้มตะแคงลงที่พื้น หม่อมวาณีถลาเข้ายึดหัตถ์ท่านจันทร์
"ว้าย ท่านเพคะ"
รื่น โรยเข้ากอดกัน ม.ร.ว. ศศิรัชนีเข้าเกาะแขนท่านจันทร์อีกข้าง
"ท่านพ่อ ได้โปรดเถิดเพคะ"
ท่านจันทร์ระงับโทสะ มองลูกสาวที่ยังคงนอนระทวยบนพื้น สะบัดหน้ามองพ่อ ดวงตาเจ็บแค้น
"ฉันตบเธอเพื่อให้เธอสำนึกว่า เธอมีสายเลือดสูงส่งแค่ไหน อย่ามาแสดงกิริยาวาจาต่ำ ๆ แบบนี้อีก เสด็จป้าทรงมีพระคุณรดหัวพ่อของเธออยู่ ไม่งั้นเราก็คงต้องไปร่อนเร่เป็นเจ้าไม่มีศาล แล้วเธอก็คงไม่แคล้วต้องไปเป็นนางบังเงาอยู่ข้างถนน"
หญิงก้อยกัดริมฝีปาก ท่านจันทร์เสด็จออกไป วาณีและหญิงกลางเข้าประคองหญิงก้อยขึ้น เธอสะบัด
"ปล่อย ดูท่านพ่อทำกับหญิง หญิงไม่ยอม หญิงไม่ยอม"
หญิงก้อยวิ่งไปชั้นบน วาณีวิ่งตาม ศศิรัชนีนั่งลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน รื่น โรยกระซิบกัน
"ถ้าผู้ดีเขาเรียกนางบังเงา" รื่นว่า
"ถ้าพวกเราเรียกว่า แกงกะหรี่ ใช่ไหม" โรยบอก
สองนางเอามือปิดปากตาโต
หญิงก้อยนอนร้องไห้อยู่ลำพังบนเตียง เงยหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาและแก้มที่ถูกตบยังมีรอยช้ำ
นึกถึงเสด็จตรัสเมื่อกลางวัน
"ฉันให้เวลาเธอสามวัน ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ แล้วมาให้คำตอบฉันอีกครั้ง"
เธอคว้าโทรศัพท์มาโทร.ทันที ระหว่างหมุนเบอร์
"คำตอบภายในสามวัน ได้ซีเพคะเด็จป้า" แล้วเธอ...พูดสาย "อัศนีย์เหรอ หญิงพูดนะคะ พรุ่งนี้มีธุระให้ช่วยเหลืออีกแล้วละ ช่วยพายายสาลินไปร้านประจำของเราทีค่ะ"
หญิงก้อยหน้านางร้ายเต็มที่
วันรุ่งขึ้น ในร้านอาหารหรู กัปตันเข้ามาประคองอัศนีย์ลงนั่งที่โต๊ะประจำ สาลินช่วยถือไม้เท้าตามมานั่ง อัศนีย์ยังแต่งตัวหรู แต่มีแถบรัดเอวล็อกกล้ามเนื้อ มีเฝือกอ่อนรอบคอ หน้าหมองไปนิดแต่ยังหล่อเท่ห์ สาลินมองอย่างเพลินเพลิน ปนเวทนานิดนึง พูดเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย
"คุณโดนมะพร้าวตกใส่หัว ทำไมถึงเจ็บหลังเจ็บขาได้"
"หัวผมโนเท่าลูกเทนนิสเพิ่งจะยุบแล้วก็ลามไปที่หลัง แต่ที่เจ็บหลัง เจ็บขานี่ หมอสันนิษฐานว่าเกิดจากตกท้องร่อง"
สาลินหัวเราะคิ๊ก อัศนีย์มองอย่างสงสัย
"สวนมันมืด คุณตามเข้าไปทำไม"
"ไอ้มืดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยังมีตาแก่ถือปืนไล่ยิง มีตาแก่อีกคนโยนมะพร้าวใส่หัวผม แถมยังมีคนแต่งเป็นผีมาหลอกผมด้วย"
"หา....มีผีด้วยเหรอ"
"คนน่ะครับ แกล้งแต่งเป็นผี มีนางทาเนีย เอ๊ย นางตานี หน้าตาคล้ายคุณเสียด้วย"
"บ้า ว่าหน้าฉันเป็นผี ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ"
"นี่คุณยื่นใบลาออกหรือยัง"
สาลินถอนใจนิดนึง หน้าสลด
"ฉันขอเวลาถึงสิ้นเดือนนะคะ ห้องสมุดจัดงานวันอุทิศหนังสือ ฉันต้องคอยช่วย"
อีกมุมหนึ่ง ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์เดินมาพร้อมคุณหญิงก้อย ที่มีมีผ้าคลุมเคลียแก้มข้างที่โดนตบ ที่นิ้วสวมแหวนพลอย และข้อมือสวมเพชรไข่มุก
"ก็ไม่เป็นไปไรนะคุณรอง เราไม่ได้อยู่เรือนหอในวัง เราสร้างเรือนหอของเราเองก็ได้ เอาให้ใหญ่โตกว่าของเด็จป้าสักสิบเท่า"
"ผมก็คิดอย่างนั้นครับ"
หญิงก้อยเหลือบมองอัศนีย์ ทั้งสองพยักเพยิดกัน ชายรองเห็นอัศนีย์กับสาลินเข้าพอดี หน้าขรึมลง
"เจอกันอีกแล้ว บังเอิญจังเลยนะคะ"
"หญิงก้อย คุณชาย สวัสดีครับ แต่.....ขอโทษด้วยที่ผมลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้"
"ตาย ไปผจญภัยที่ไหนมาหรือคะ" หญิงก้อยถาม
อัศนีย์ยิ้มนิดหนึ่ง จงใจพูด
"ก็คุณสาน่ะซี พาผมไปบ้าน ไปตกท้องร่องสวนมา"
ชายรองสีหน้ายิ้มหยัน แกล้งหลอกทั้งอัศนีย์ ทั้งเทพีว่าไม่แคร์สาลินแล้ว
"อ้อ นี่ไปส่งกันถึงบ้านช่องเชียวหรือ"
สาลินตกใจพูดอะไรไม่ออก หญิงก้อยยิ้มพราย
"ดูเธอมีความสุขจังนะ"
"ค่ะ แต่ก็คงไม่เท่ากับคุณหญิง"
"ใช่ ฉันกำลังมีความสุขที่สุด ใช่ไหมคะคุณรอง"
"แต่ผมกลับไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เพราะผมเห็นแต่ภาพจากนิทานอีสป"
สาลินมองชายรอง
"ลูกแกะอวดดีกลายเป็นเหยื่อหมาป่า"
สาลินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นั่งหน้าเชิด หญิงก้อยสบตา อัศนีย์อย่างพึงใจ
สาลินยืนซึมอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ ทอดถอนใจ
ประตูห้องน้ำเปิดออก หญิงก้อยเดินเข้ามาแล้วชะงัก
ยิ้มอย่างเหนือกว่า สาลินยิ้มนิดๆ
"คอฟฟี่ช็อปนี่ น่าจะมีห้องน้ำสำหรับวีไอพีนะ"
"จริงด้วยค่ะ ถ้ามีเมื่อไร ฉันคงได้เข้าเป็นคนแรก เพราะฉันทำงานอยู่แถวนี้"
หญิงก้อยชะงักเลิกคิ้ว
"นี่เธอคิดว่า เธอมีอะไรเทียบเคียงฉันได้หรือ"
"ก็มีสองมือสองเท้า และก็สมองที่อาจจะแยกแยะอะไรได้ดีกว่าคุณหญิงน่ะซีคะ"
"ฉันอยากจะขอเตือนด้วยความหวังดี อัศนีย์น่ะไม่เคยรักใครจริง พอสมใจแล้ว เขาก็เขี่ยทิ้ง"
"เหมือนกับที่เขาเคยเขี่ยคุณหญิงทิ้งใช่ไหมคะ"
สาลินทำหน้าซื่อยิ้มพราย อีกฝ่ายเหยียดยิ้ม
"ฉันต่างหากที่เป็นคนเขี่ยเขาทิ้ง เหมือนรองเท้าเก่า ๆ คู่หนึ่ง"
"คุณหญิงก็เลยหวนกลับมาหารองเท้าคู่เก่ากว่า หวังว่าคงใส่สบายนะคะ"
หญิงก้อยขยับมาหนึ่งก้าว หน้าเหี้ยม จนสาลินต้องถอย
"จำเอาไว้ ฉันไม่ได้หวนไปหาคุณรอง แต่เป็นคุณรองที่หวนกลับมาหาฉัน คงเพราะเขาได้เห็นความไม่จริงใจหรือไร้ราคาในตัวเธอล่ะมัง เขากลับมาโดยยอมให้เด็จป้ากริ้ว ยอมเสี่ยงโดนตัดจากกองมรดก แต่เขาก็ยอมได้ทุกอย่าง.....เพื่อฉัน"
สาลินนิ่งอั้นดวงตาหวั่นไหว
"แต่คอยดูไป เด็จป้าจะกริ้วได้ไม่นาน อีกหน่อยฉันจะคือสะใภ้เอกของวังวุฒิเวสม์ ในขณะที่เธอเป็นได้แค่นางบำเรอในโรงเต้นรำเท่านั้น จำใส่สมองเธอเอาไว้"
สาลินพูดไม่ออก
"ถ้าสละเวลาจากอัศนีย์สักนิด ลองผ่านมาที่โต๊ะฉันซี ฉันอยากให้เธอได้เห็น ได้ยินอะไรบางเรื่อง ที่จะทำให้เธอตระหนักได้เสียทีว่าเธอมันไร้ราคา ไม่มีอะไรเทียบเคียงฉันได้แม้แต่นิด"
หญิงก้อยสะบัดออกไป สาลินยืนซึม
สาลินเดินมาใกล้โต๊ะอาหารของชายรอง มีบังตาคั่นโต๊ะอยู่
"ในเมื่อคุณรองต้องทูลเด็จป้าเรื่องของเราภายในสามวัน เราก็ประกาศแต่งงานกันให้เร็วที่สุดเลย ดีไหมคะ "
"แล้วหญิงคิดว่า เร็วที่สุดคือเมื่อไหร่ดี"
"อีกสองเดือนดีไหม"
ชายรองเสียงสูง
"อีกสองเดือน"
"เร็วไปเหรอคะ"
"ใครบอก อีกตั้งสองเดือน ทำไมเราไม่แต่ง วันนี้ พรุ่งนี้ไปเลยล่ะครับ"
หญิงก้อยหัวเราะระรื่น
"คุณชายนี่เซี้ยวใหญ่แล้ว ให้หญิงเตรียมตัวบ้างซีคะ"
"ก็ได้ครับ งั้นอีกสองเดือนเราแต่งงานกัน แต่หญิงรับได้นะครับที่ผมไม่ใช่คนโปรดของเสด็จป้าแล้ว"
"หญิงรักคุณที่ตัวคุณรอง ที่จิตใจของคุณ เรื่องอื่นไม่สำคัญหรอกค่ะ"
"ชื่นใจจริงๆ"
ชายรองกุมมือหญิงก้อยไว้ นางชูแหวนพลอยและสร้อยข้อมือเพชรล้อมมุกอย่างแสนปลื้มปิติ
สาลินเหมือนโลกถล่มทลาย เดินน้ำตานองหน้าจากมาช้า ๆ
ในห้องทำงานวิรงรอง เย็นนั้น ม.ร.ว. เทพีแสงเพ็ญมองไปนอกกระจก สายตายังเคียดแค้น วิรงรอง จิตติน เลื่อมประภัส ฉัตรอาชา มองดูอยู่อย่างอึดอัด เคร่งเครียด
"ตกลง พริ้นเซสจะมีพระเสาวนีย์ให้พวกหม่อมฉันทำอะไรล่ะเพคะ"
หญิงก้อยหันมา
"ออกข่าวไปให้ทั่ว เอาให้สะเทือนไปให้หมด ไม่ว่าเด็จป้า นังแก่สองคนในวัง นังสะใภ้หน้าโง่ จนถึงนังบรรณารักษ์ศักดิ์ต่ำนั่น"
จิตตินถาม "จะลงข่าวว่ายังไงครับคุณหญิง"
"ลงไปว่า.....ฉันกับคุณรองจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ในอีกสองเดือนข้างหน้า"
ทุกคนตะลึงงัน
"ลงเป็นสกู๊ปให้ชัด ๆ นะ ข่าวนี้มันจะสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ให้
มันกระเทือนตั้งแต่ในวังไปจนถึงปลายสวน ไม่ให้ใครเป็นสุขเลยสักคน"
คืนนั้น สาลินนอนร้องไห้กระซิกอยู่บนที่นอน แล้วลุกขึ้นเปิดไฟโคมหัวเตียง แล้วหยิบสมุดลายไทยมาเอาหมอนรอง แล้วนอนคว่ำลงเอาหมอนรองใต้คาง วางสมุดลงเขียนนิยาย เล่ม “สายลมแห่งรัก” เขียนไปได้หน่อยก็ร้องไห้สั่งน้ำมูก
หยิบผ้าเช็ดหน้าของกิตติที่ซ่อนไว้ใต้หมอนมากำไว้ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 14 (ต่อ)
เย็นวันต่อมา ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์ลงจากรถแถวแยกร้านเสียโป มองเข้าไปในร้าน ชะงักเพราะสาลินนั่งกินข้าวอยู่กัชายเล็กในชุดหมี ท่าทางทั้งคู่ดูซึม ๆ ไม่สดใสอย่างที่เคย ชายเล็กยังหันหลังให้กิชายรอง
"เจ้าพลอีกแล้ว"
ชายเล็กลุกขึ้นหันหน้ามาเห็นชัด กิตติอึ้งไป
"อ้าว....เจ้าเล็ก"
ชายเล็กออกจากร้านไปอีกทาง ชายรองตรงเข้าร้านทันที สาลินนั่งเหม่ออยู่ลำพัง
"อะแฮ่ม"
"คุณชาย"
สาลินเผลอยิ้มออกมา แล้วรีบเปลี่ยนเป็นเย็นชา เศร้า ๆ
"มาทานข้าวเสียโปเหรอคะ"
"จะให้ฉันทานกับเธอไหมล่ะ หรือว่าจะทานแต่กับเจ้าเล็ก"
"เจ้าเล็กไหนคะ ฉันทานอยู่กับคุณพล"
"เฮ้อ....เธอทานกับทั้งสองคนใช่ไหม บอกมาตามตรงเถอะน่า อ้อ หรืออาจจะมีนายอัศนีย์มาทานด้วยอีกคน"
"นี่....ถ้าจะมาหาเรื่องก็เชิญกลับไปเถอะค่ะ เพราะฉันจะกลับแล้วเหมือนกัน"
"เดี๋ยวฉันไปส่ง มีเรื่องอยากจะคุยด้วย"
"ไม่ต้องค่ะ คุณรีบกลับไปหาคุณหญิงของคุณเถอะ"
"ฉันจะคุยกับเธอเรื่องนี้แหละ"
"ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ และตอนนี้มีคนอาสาไปส่งฉันแล้ว"
"ใคร"
"ดูเอาเองก็แล้วกันค่ะ มาโน่นแล้ว "
สาลินวิ่งออกจากร้าน รถกระบะแล่นมารับสาลิน ชายรองหลบอยู่ในร้าน แอบมอง
มา เห็นรถกระบะแล่นจากไป ชายเล็กไม่เห็น ชายรองหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมาทันที
ม.ร.ว. บดินทราชทรงพล ในบทบาท "นายพล" และ สาลินนั่งกันอยู่ที่ท่าน้ำ ต่างคนต่างสีหน้าอมทุกข์ มองเหม่อไปคนละทิศ มีทั้งขนมและโอเลี้ยงคนละแก้ว
ใต้ถุนบ้านเขียว ตา ยาย ยายพิณแอบมองอยู่
"นั่งนิ่ง ๆ อยู่อย่างนี้มาสิบนาทีแล้วนะ" ยายบอก
ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกัน ถึงได้เริ่มรู้สึกตัว
"เป็นไรรึเปล่าครับคุณสา เห็นคุณเหม่อแล้วถอนใจหลายหนแล้ว"
"ฉันกำลังจะถามคุณเหมือนกัน"
"ผมมีเรื่องวุ่น ๆ ที่วังนิดหน่อยน่ะครับ"
"ที่วัง ? วังวุฒิเวสม์น่ะเหรอคะ"
"เออ....ครับ เรื่องของเจ้าคุณชายรองนั่นแหละครับ คุณชายเล็กเพื่อนผมก็เลยหัวปั่นไปด้วย"
"เออ ใช่ซีนะ วันนั้นคุณไปวังวุฒิเวสม์พอดีนี่ ฉันเห็นรถคุณจอดหราอยู่"
ชายเล็กสะดุ้งเฮือก
"หรือฮะ"
"คุณไปหาอีตาคุณชายเล็กหรือ"
"ก็...คล้าย ๆ อย่างงั้นแหละฮะ แล้วคุณล่ะ กลุ้มใจอะไร"
"ฉันสงสารพี่ศรี พี่ศรีต้องอกหักอยู่อย่างนี้ อีกไม่กี่วันเขาคงประกาศข่าวแต่งงานกันแล้ว"
"ดูเผิน ๆ เหมือนคุณ...อกหักซะเอง"
สาลินสะดุ้งบ้าง หลบตา ชายเล็กซึมไปเมื่อนึกถึงศรีจิตราที่ยังรักพี่ชายเขาอยู่ และนึกถึง สาลินที่คงรักพี่ชายเขาเช่นกัน ตัดใจแล้วตัดสินใจพูด
"คุณสาครับ ถ้าผม ผม เออ มาสารภาพรักกับคุณ คุณจะคิดว่ายังไง"
"รักฉัน"
"ครับ"
"งั้น.....ฉันก็จะรักคุณตอบไง"
ชายเล็กยิ้มกว้าง
"รัก....ให้คุณเป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนรัก เป็นพี่ชายที่แสนดีของฉัน"
" โธ่.....ผมเป็นได้แค่เพื่อนหรือพี่ชายเท่านั้นเหรอครับ"
"ความรักฉันเพื่อนนี่แหละเยือกเย็น มั่นคง ยั่งยืน และไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวด"
สาลินมีแววเศร้าพลุ่งขึ้น ชายเล็กก็พอเดาได้
"คุณสา คุณพูดยังกะคุณกำลังเจ็ดปวดกับความรักอย่างงั้นแหละ"
"ฉันจะไปกล้ารักใคร แค่เห็นพี่ศรีรักเขาข้างเดียว ก็เจ็บแทนแล้ว"
ชายเล็กอึ้งบ้าง หน้าหมองลง
"นี่คุณเป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่า ฉันให้คุณเป็นเพื่อนคุณเลยอกหัก"
"เปล่าฮะ ผมแค่โล่งใจอะไรบางอย่าง"
"เราสองคนจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป เสียดายไม่มีสุราสาบาน"
"เอากาแฟก็แล้วกันฮะ"
ทั้งคู่ยกแก้วโอเลี้ยง กรีดนิ้วออกคล้ายจับจอกเหล้าในหนังกำลังภายใน
"พล ไต้เฮียบ (สุภาพบุรุษ) เชิญ"
"สา โกวเนี้ย (คุณหนู) เชิญ"
ทั้งคู่กระดกโอเลี้ยงดื่ม
"มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน"
"ให้อภัยเพื่อนทุกครั้งที่ทำผิด"
พร้อมกัน "ฮ่อ"
กลุ่มตายายที่มองอยู่
"อ้าว ซดโอเลี้ยงกันเสียแล้ว" ตาบอก
"แน่แล้วค่ะ คุณพลไม่ใช่เนื้อคู่ กระดูกคู่หรอกค่ะ" พิณบอก
"แกแน่ใจเหรอยายพิณ" ยายถาม
"แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้งอีกค่ะคุณยาย"
ตา ยายพร้อมที่จะเชื่อ พลอยโล่งอกกันทั้งคู่
ชบาทิพย์ตาเบิกโพลง จนขนตาปลอมบนเกือบหลุด
เมื่อรถของชายเล็กแล่นเข้าปั๊มมาเติมน้ำมัน รถเก่าแนวรถกระบะ ซึ่งยืมจากจากสมชาย เขายังซึม ๆ ต่อเนื่องจากบ้านสวนเมื่อกี้
"พี่พลมา"
ชบาทิพย์ลุกพรวดไปเกาะประตูกระจก พุดซ้อนเงยหน้าจากลูกคิดที่โต๊ะรับเงิน ทำหน้าขยะแขยง
"หนูชบาขา แม่เตือนลูกหลายหนแล้วนะคะ ว่าเราน่ะ เป็นผู้มีตระกูลสูง ร่ำรวย เป็นพฤหัสสับบอดี"
"เขาเรียกคหปัตนีแม่"
"เออ นั่นแหละ เราเป็นของสูงอย่าไปเกลือกกลั้วมัวหมองกับคนชั้นต่ำ"
ชายเล็กก้าวลงจากรถ
"แล้วนี่ครับเอกสารเอามาให้นายแม่เซ็น"
ชบาทิพย์รีบจัดการเติมน้ำมันให้ พุดซ้อนรับเอกสารมาเซ็น
"อ้อ....นี่ คงมาส่งแม่สาลินเขาซีท่า"
"ขอรับ ผมจะกลับบ้านแล้ว"
"คราวนี้กลับเร็วเนอะ ไง ไม่อยู่พี้รี้พิไรเหมือนอย่างเคย" พุดซ้อนถาม
"ครับ วันนี้เขาไม่ให้อยู่นาน"
"ว่าแล้วไหมล่ะ ตอนนี้น่ะเขามีที่หมายใหม่แล้ว แกน่ะมันยาจก ต่ำต้อยด้อยค่าราคาถูก ต้องเจียมตัวเจียมใจไว้"
"ขอรับกระผม คุณนายแม่"
พุดซ้อนยิ้มแล้วถลึงตาว่าอย่ามาทะลึ่ง แต่ชบาทิพย์เอียงอาย
"คนนึงน่ะ เขาเป็นมอรอวอ เป็นลูกท่านหลานเธอ ขับรถคันยาวยังกะเรือหาง วันนั้นน่ะมาส่งกันตอนเย็น ๆ ลมโชย ๆ จับมือถือถันกันเลย"
ชายเล็กสะดุ้งเฮือก ชบาทิพย์สะกิดแม่
"แค่ถือแขนจ๊ะ แม่"
"นั่นแหละ จับมือถือแขนคลอเคลียกัน ต๊าย พี่เขย น้องเมียกันแท้ ๆ ยังทำได้ นั่นแค่ที่หมายแรก มีอยู่คืนนึง นั่งชูคอมากับที่หมายคนที่สอง เป็นเศรษฐีใหญ่ หล่อเฟี้ยว หรูเฟ่ ยาวใหญ่กว่าของ มอรอวอ เยอะ"
"หา...หมายถึงอะไรครับ"
"รถ โน่น....หายกันเข้าไปในสวนเป็นนานสองนาน เจออีกที สลบไสลไม่ได้สติ อีบักอีโรย นอนแผ่หรา ร้อนถึงฉันกับลูกชบาต้องจับแก้ผ้า"
"แม่....ล้างตัวให้เฉย ๆ แต่ชบาไม่เห็นอะไรเลยนะคะ"
"หนูชบา จำไว้นะลูก เกิดเป็นหญิงต้องรักนวลสงวนเนื้อ พวกผู้ชายน่ะได้คืบจะเอากิโล ตอนแรกก็จับมือ เผลอแผล็บเดียวก็จาบจ้วงล้วงเข้าลึก"
ชบาทิพย์ผวา ชายเล็กทำตาปริบๆ
"เผลอแผล็บเดียว ก็อีลุ๊บตุ๊บ...ป่อง!"
"แม่ !"
" แกเองก็เหมือนกัน วันนั้นฉันไปเก็บลึง เอ้ย เก็บตำลึง เห็นแกจับมือถือแขนพี่สาวชาววังของยายสาอยู่ ใจคอน่ะ แกจะเป็นพระยาเทครัว ฟาดพี่ขยี้น้องเชียวหรือยะ"
ชายเล็กผวาอ้าปากค้าง
คืนนั้น นมย้อยถือของว่างเดินมากับนมชมพู เห็นชายเล็กนั่งอยู่ที่สนามข้างเทอเรซ กำลังวางแผ่นเสียงลงบนเครื่องเล่นแล้วเลื่อนเข็ม เสียงเพลงเต้นรำวิเวกหวานดัง นมย้อยวางถาดของว่างลง ชายเล็กดึงนมย้อยมาแล้วพาเต้นรำไป รอบ ๆ นมย้อยร้องวุ้ยว้ายแต่เต้นได้
"วุ้ย คุณเล็ก เกิดอะไรขึ้นคะ"
ชายเล็กระรื่น
"ผมอกหักน่ะนม"
"หา ! อย่ามาพูดเล่นเลยค่ะ อกหักอะไรคะ หน้างี้บานแปดกลีบสิบสองกลีบ"
"โธ่ จริง ๆ นะฮะ วันนี้ผมไปสารภาพรักกับสาว เขาปฏิเสธ บอกว่ารักผมอย่างเพื่อน"
"ฮึ ทำไมคะ ทำไมเขาไม่รักคุณเล็ก"
"ก็เพราะเขารักคนอื่นหมดหัวใจอยู่แล้วน่ะซีฮะ"
นมย้อยทำตาค้อนหยุดเต้น
"ฮึ งั้นแม่คนนี้เหมือนไก่ได้พลอย"
"เพราะเขามีเพชรอยู่ในมือแล้วต่างหากฮะ"
"ฮึ ใครกันจะมาเลอเลิศอะไรปานนั้น"
รถ ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์แล่นมาจอดหน้าตึกพอดี บรรดานางข้าหลวงมารับกระเป๋า
"คุณรองกลับมาพอดีค่ะ"
ชายเล็กมองไปที่พี่ชาย ที่ยังสาละวนอยู่ข้างรถ แล้วพูดเชิงรำพึง
"จริงนะนม รายนั้นน่ะเจ้าชายในฝัน ใคร ๆ ก็รักเขา ผมเทียบอะไรกับเขาไม่ได้ซักอย่าง"
"นี่คุณเล็กอกหักจริง ๆ หรือคะ"
"ผมชอบเขามากนะนม ชอบจนคิดว่ารัก แต่วันนี้แหละที่ผมแน่ใจ ว่ารักกับชอบมันคนละเรื่องกัน"
"แล้วคุณเล็กรักใครจริง ๆ เข้าหรือยังล่ะคะ"
"ฮะ แค่กลัวแต่ว่า จะรักเขาข้างเดียวเท่านั้นเอง"
ชายรองเดินจะเข้าตึก เห็นน้องชายเลยเดินลัดสนามมาหา
"ไง เจ้าเล็ก เพิ่งมาจากเมืองนนท์เหรอ"
"หา...ทำไมพี่รองรู้"
นมย้อยมองทั้งคู่
"ฉันเห็นแกไปส่งสาลินน่ะซี"
ชายเล็กสะดุ้ง นมย้อยพอจะนึกอะไรออกบางอย่าง อมยิ้ม
"นมไปเตรียมมื้อค่ำให้นะคะ"
นมย้อยกลับตึกไป
"ตกลงทั้งแก ทั้งเจ้าพล รุมจีบเจ้าหล่อนงั้นซี"
"พี่จะมาสนใจอะไรล่ะครับ ตอนนี้พี่เองก็ทิ้งคุณสา หันไปหายายก้อยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมก็ต้องทำคะแนนของผมบ้าง"
ชายรองยิ่งหงุดหงิด
"ขอให้ชนะเจ้าพลมันก็แล้วกัน"
ชายรองกลับเข้าตึก ชายเล็กที่ยิ้มหยัน ๆ อยู่เจื่อน สลดลงทันที ถอนใจ
"ผมแพ้แล้วครับ แพ้อย่างหมดรูปเลยละ คนที่ชนะคือพี่ต่างหาก"
รุ่งขึ้น ตานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ร้องเอะอะ
"นี่คุณ มาอ่านนี่เร้ว"
ยายเข้ามาอ่าน พร้อมยายพิณ ตาผล
"ว้าย ตายแล้ว แล้วแม่ศรีของฉันจะทำยังไง"
"โธ่ คุณศรี คุณศรีกลายเป็นหม้ายขันหมากเหรอคะ" พิณว่า
ในห้องอาหารตำหนักเล็ก นมย้อยกำลังอ่านข่าว หม่อมอำพันทานของเช้ากับลูกชายคนโตและคนเล็กน้อม เจียมปรนนิบัติอยู่ จรวยเลี้ยงตาตุ้มอยู่ที่โซฟายาวหน้าทีวี ม.ร.ว.วดิเรกราชวิทย์อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย ชะงักไป
"หม่อมครับ อ่านข่าวรึยังแม่ ทุกคนเข้ามารุมอ่าน จรวยชะเง้อมอง
"เรื่องใหญ่แล้ว นายรองอยู่ไหน ไปตามมาซิ"
สองพี่น้องหน้าเครียด จรวยรีบลุกมาอ่านข่าวแล้วแอบยิ้ม
สาลินเพิ่งมาถึงห้องสมุดพบว่า บราลี ลลิตา จิตริณี แว่น กำลังสุมหัวอ่านข่าวคอลัมน์วิรงรองอยู่
"ลินซี่ เห็นข่าวรึยัง" บราลีถาม
สาลินเข้ามาดู ไม่แปลกใจอะไรนัก แต่สีหน้าหดหู่
"ไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลยเหรอ"
"จะให้รู้สึกอะไร เขารักกันมานาน สมควรที่จะแต่งงานกันแล้ว"
สาลินเสียงเครือ
"แล้วที่เขามารับมาส่งเธอ.." บราลีถาม
จิตริณีห้ามบราลีไม่ให้พูดต่อ สาลินเลี่ยงไป หลบหน้าทุกคนเพราะน้ำตาคลอหน่วยเต็มที สาลินเดินแยกออกมา ทุกคนเศร้าใจ
สอางค์เดินมากับสร้อยตรงมายังเก้าอี้โซฟา บนโต๊ะกาแฟวางน้ำชา กาแฟ ของกินเช้า มาลากับศรีจิตราช่วยกันจัดอาหาร ศรีจิตราอ่านข่าวอยู่มุมหนึ่ง
"นี่วันที่สามแล้วนะคะคุณพี่ ที่คุณรองจะต้องให้คำตอบเสด็จเรื่องแม่หญิงก้อย" สร้อยว่า
"นั่นซี ฉันใจคอไม่ดีเลย"
ทั้งสองเหลือบไปมองศรีจิตราที่อุทานออกมาพอดี
"โธ่ แม่สา"
"มีอะไรแม่ศรี
ทั้งหมดกรูมาดูข่าว
"ว้าย คุณรองให้คำตอบแล้วค่ะคุณแม่บ้าน" มาลาบอก
สร้อยอ่าน
"น่ายินดีด้วยจริง ๆ คุณหญิงเทพีเพ็ญแสงกับคุณชายกิตติราชนรินทร์ พร้อมจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกสองเดือนข้างหน้า"
ภาพข่าวหญิงก้อยกำลังเต้นรำกับชายรองในผับ หลายอริยาบท หวานชื่น
สอางค์เรอดังเอิ้กแล้วเซ มาลา วรรณา ศรีจิตราร้องวี้ดว้ายช่วยประคองลงนั่ง
"ว้าย คุณพี่ ยาดมเร็ว ยาดม"
วรรณาคว้าขวดยาดมมาทันที เอาจ่อจมูกสอางค์ สอางค์ผวาลืมตา
"โธ่เอ๋ย แม่ศรี ฮือ ต้องเป็นม่ายขันหมากเหมือนป้า เร็ว.....เอาหนังสือพิมพ์ไปซ่อนก่อน อย่าให้ทรงทอดเนตรได้นะยะ"
"คราวนี้จะเอาไปแช่น้ำ ไปเผา หรือไปขุดหลุมฝังคะ"
"ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น"
เสด็จทรงก้าวเข้ามา ทุกคนร้องอุทาน สร้อย สอางค์ ศรีจิตราลดตัวลงจากโซฟา
เสด็จประทับลงบนโซฟา ตรัสสุรเสียงแข็งกระด้าง
"ไปตามกิตติราชนรินทร์มาพบฉันเดี๋ยวนี้"
ทุกคนอกสั่นขวัญหาย
ที่หน้าห้องทรงพระสำราญ เห็นนางข้าหลวงทุกวัยคุกเข่ากันขนัดแน่น ซุบซิบกันล่อกแล่ก วรรณา สอางค์ สร้อย ศรีจิตรานั่งกันเงียบงัน
หม่อมอำพันเดินมากับนมย้อย ชายเล็ก ชายโต จรวยตามมา
"คุณแม่บ้าน ยังไงกันคะ"
"โธ่ ยังไม่ทราบค่ะ หม่อม"
อำพันทรุดนั่ง นมย้อยเข้ากุมมือศรีจิตรา
"โธ่เอ๋ย คุณศรี"
ครู่เดียวมาลาเข้ามา หน้าซีดเผือด
"เสด็จทรงมีรับสั่งให้ทุกคนเข้าเฝ้าได้แล้วค่ะ"
ห้องทรงพระสำราญดูทะมึน เสด็จประทับนั่งบนโซฟาพนักสูง กิชายรองนั่งพับเพียบที่เบื้องพระพักตร์ สร้อย สอางค์ ศรีจิตรานั่งเรียงอยู่ด้านหนึ่ง มาลา วรรณานั่งขนาบโซฟา ย้อย อำพัน ชายโต ชายเล็ก จรวยนั่งอยู่เบื้องหลังชายรอง ทางด้านหลังนางข้าหลวงหมดวังนั่งกันสลอนราวท้องพระโรงอียิปต์
เสด็จเสียงเย็นชา
"เธอลองตอบให้ฉันฟังอีกครั้งซิ กิตติราชนรินทร์ ตอบฉันต่อหน้าทุกคน"
"สิ่งที่เกล้าทำลงไป เพราะเกล้าไม่ต้องการถูกบังคับพะยะค่ะ"
"ที่ฉันหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เธอ เธอคิดว่าฉันบังคับเธองั้นเหรอ"
"เกล้าขอประทานอภัยที่จะต้องทูลตามความรู้สึกแท้จริงของเกล้า ใช่ พะย่ะค่ะ"
ทั้งหมดอุทานเบา ๆ พร้อมกัน
"ความรักไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับหรือกะเกณฑ์กันได้ เกล้าขอทำตามที่หัวใจเรียกร้อง ไม่ขอถูกบังคับอีกต่อพะยะค่ะ"
"อย่างนั้นหรือ งั้นสิ่งที่ฉันทำต่อไปนี้ ฉันก็ถูกบังคับให้กระทำเช่นกัน"
เสด็จพลันประทับยืนก้าวล้ำมา มองชายรองอย่างกริ้วจัด สุรเสียงแข็งกระด้างเย็นชา
"คนที่ฉันรักราวลูกในไส้ คนที่ฉันเลี้ยงมาด้วยมือ คนที่กินข้าวแดงแกงร้อนของฉัน กลับทรยศต่อฉันได้ถึงเพียงนี้"
ชายรองมองเสด็จแล้วก้มหน้าลง
สร้อยหน้าเบี้ยว สอางค์จะเป็นลม อำพันยกมือปิดปาก
นมย้อยน้ำตาไหลพราก จรวยแอบยิ้มตาวาว น้องชายและพี่ชายหน้าเครียด มาลา วรรณา นางข้าหลวงทั้งวังเริ่มเบะ มีเพียงศรีจิตราที่สงบนิ่ง
"ดังนั้นนับต่อแต่นี้ เธอไม่ใช่หนึ่งในวุฒิวงศ์ ไม่ใช่ทายาทของแผ่นดินวุฒิเวสม์ ไม่ใช่แม้กระทั่งหลานของฉัน"
ชายรองก้มหน้า น้ำตาร่วงกับพื้น
"เด็จป้า"
นมย้อยเป็นลมซบบชายเล็ก อำพันร้องไห้ซบกับชายโต สอางค์ลมขึ้น สร้อยเอายาดมให้พลางกระพือพัด ศรีจิตรามองแล้วนิ่ง
เสด็จเสียงเครือ น้ำตารื้นเช่นกัน
"ชื่อกิตติราชนรินทร์จะถูกลบออกจากพินัยกรรม จะไม่ถูกกล่าวถึงในวังวุฒิเวสม์ ชื่อนี้จะเป็นชื่อที่ถูกลืมและลบจากความทรงจำของทุกคนตลอดไป"
ชายรองสะอื้นก้มหน้าลง ศรีจิตรานิ่งสงบ คนอื่นๆทรุดลงไปอีก จรวยเหลียวซ้ายแลขวาแล้วรีบทำเนียนสะอื้นบ้าง
เสด็จหมุนขวับกลับไปยังโซฟาจับพนักไว้ พระองค์สั่นอย่างสะเทือนใจ ทำท่าจะเซ
"เด็จป้า"
ชายเล็กและชายโตเข้าประคองเสด็จ ประคองให้ลงนั่ง พระเนตรไหลพรากอาบพักตร์ เอี้ยวพระองค์ผินข้างให้ชายรอง ชายเล็กกับชายโตถอยออกมา ลงนั่งข้างชายรอง อำพันและสอางค์ถลาไปเกาะพระบาท
"ทรงโปรดเถอะเพคะ"
"อย่าทรงทำแบบนี้เลยเพคะ" สอางค์บอก
"นี่คือบทเรียนของคนที่ทรยศฉัน ออกไปให้พ้นหน้าฉัน ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว ออกไปทุกคน"
ชายรองกราบลงกับพื้นแล้วถอยมาหลายก้าว ศรีจิตรามอง ชายรองสบตา ศรีจิตราก้มศีรษะให้ ชายรองก้มศีรษะตอบ แล้วหมุนกายจากไป
นางทั้งมวลร้องไห้กันระงม จรวยแกล้งร้องตามด้วย
เสด็จประทับนิ่ง ทุกคนกราบลงพร้อมกัน แล้วค่อย ๆ คลานออก มาลา วรรณาร้องไห้กระซิก ช่วยกันประคองสอางค์ออก ชายเล็กประคองนมย้อย ชายโตประคองอำพัน ศรีจิตราประคองสร้อย ทะยอยกันออกไปทีละคู่
เสด็จประทับอยู่ลำพัง ร้องไห้สะอื้น
ที่หน้าตำหนัก รถนายยอดจอดรออยู่ กระโปรงท้ายเปิดไว้ ยอด เจียม น้อม นางข้าหลวงเดินเซเช็ดน้ำตา ขนกระเป๋าเสื้อผ้า กล่องใส่ของใช้ มาใส่รถ
สามพี่น้อง อำพัน นมย้อย จรวยเดินออกจากตัวตำหนัก อำพันจับมือชายรอง นมย้อยซับน้ำตา เจียมกับน้อมเกาะกันร้องไห้ ชายโตหน้าหมองห่วงน้อง จรวยทำเศร้าสุดความสามารถ
"โธ่เอ๋ย ชายรอง แล้วนี่จะไปอยู่ที่ไหน"
"ผมคงไปอยู่ที่ร้านก่อนนะฮะ แล้วไว้ค่อยขยับขยายวันหลัง"
"ไปอยู่บ้านเช่าที่บางกะปิก่อนดีไหมลูก ฝรั่งมันจะย้ายออกพอดี"
"ไม่ต้องหรอกฮะ นม อย่าร้องไห้เลยครับ ผมไม่เป็นอะไร"
"แต่นมใจจะขาดแล้วค่ะ คุณชาย" ย้อยบอก
"พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายที่ร้าน โธ่เอ๋ย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ" ชายโตบอก
"ขอบคุณครับพี่โต"
"ไม่ต้องห่วงครับพี่รอง เดี๋ยวเด็จป้าหายกริ้ว ก็ทรงยอมให้พี่กลับมาเองล่ะ"
ชายรองพยักหน้า
"ผมไปล่ะครับ หม่อมแม่ นม พี่โต นายเล็ก ฉันไปนะทุกคน ดูแลหม่อมแม่ด้วย"
ชายรองไหว้ลา ผู้ใหญ่รับไหว้ พวกบ่าวไพร่ลงกราบ แล้วก้าวขึ้นรถ นายยอดขับออก รถแล่นไป
"เพราะนังหญิงก้อยร้อยมารยานั่นทีเดียว" อำพันบอก
"คุณชายก็ไม่ควรเลยค่ะ" ย้อยว่า
"ผมไม่คิดว่าเด็จป้าจะกริ้วขนาดนี้" ชายโตบอก
"ฮึ ก็สมใจเธอแล้วไม่ใช่หรือ"
"โธ่ ไม่จริงนะฮะหม่อมแม่ นายรองน่ะน้องผมนะครับ"
จรวยแหงนดูห้องกิตติ เผลอยิ้ม
"เอ๊ะ จรวย มองห้องพี่รองแล้วยิ้มทำไม"
อำพัน นมย้อย ดิเรก ยายน้อม เจียม หันขวับมามองจรวยตาเขียว จรวยเลิ่กลั่กนิดหนึ่งแล้วชี้ชวน
"ดูนกเขาขันคูค่ะ อยู่กันสามตัว พ่อแม่ลูก"
"เฮอะ" ย้อยว่า
"แกไม่ต้องมามุสา ฉันน่ะเซียนไพ่ มองหน้าแกปร๊าดเดียวก็รู้"
"ห้องนายรองก็ต้องเก็บไว้ให้นายรองคนเดียว"
จรวยอ้าปากค้าง ดิเรกกลับเข้าตึก อำพันมองเหยียดหยาม
"ฮึ นังไส้ศึก นังเจียม แม่น้อม โทรติดต่อขา"
"ขา...ขาใครคะหม่อม"
"ก็ขาไพ่นะซียะ โทรบอกว่าพรุ่งนี้บ่อนปิด...ไปนม"
อำพัน นมย้อยสะบัดไป เจียม น้อมค้อนจรวยกลับไปพร้อมนางข้าหลวงทั้งหมด จรวยแสยะใส่ทุกคน แล้วยิ้มออกมา
"ถูกเฉดหัวไปคนเดียว โล่งอก"
ศรีจิตรานั่งอยู่ในซุ้มกุหลาบ มีผ้าคลุมไหล่ขาวทำให้ดูซีดเซียว ชายเล็กมองดูอยู่ไกล ๆ
"ยายสา ถ้ารู้เรื่องจะเป็นยังไงนะ"
ศรีจิตราถอนใจ หน้าเศร้า ชายเล็กเดินขึ้นมาเห็นพอดี พลางนึก
" โธ่เอ๋ย คุณศรี หน้าซีดหน้าเซียว" แล้วพูดปลอบ "คุณศรีอย่าห่วงเลยฮะ เด็จป้ารักพี่รองมาก อีกไม่นานก็หายกริ้วฮะ"
"แต่มันเหมือนว่า ดิฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณชายรองต้องออกจากวัง"
"ไม่จริงนะฮะ เพราะต่อให้ไม่มีคุณศรี เด็จป้าก็ไม่มีวันโปรดให้พี่รองแต่งกับผู้หญิงจิตใจโลเลแบบนี้เป็นอันขาด ไม่มีผู้ชายที่ไหนชอบผู้หญิงแบบนั้นหรอกนะครับ"
"แล้วคุณชายล่ะคะ ชอบผู้หญิงแบบไหน"
ชายเล็กอึ้งไปนิด มองศรีจิตรา
"ชอบผู้หญิงที่จิตใจมั่นคง รักใครแล้วไม่มีวันเสื่อมคลายน่ะซีฮะ เพียงแต่ ถ้าเขามีคนอื่นแล้ว ผมก็ได้แต่รอให้เขามองผมบ้าง"
ศรีจิตราคิด "โธ่เอ๋ย คุณชาย ยายสาคงไม่มองคนอื่นหรอกค่ะ" แล้วถาม "หมู่นี้คุณชายเจอยายสาบ้างไหมคะ"
"เออ ก็เจอบ้างนะฮะ ทำไมหรือฮะ"
ศรีจิตรายิ้ม
"ไปเจอพร้อมคุณพลรึเปล่าคะ"
"ทำนองนั้นล่ะครับ"
"แปลกจัง ทำไมยายสาพูดถึงแต่คุณพล ไม่ยักพูดถึงคุณชายบ้างเลย"
ชายเล็กเก้อไป ตอบไม่ถูก
"ผมคงไม่เป็นที่สนใจของคุณสาล่ะมังครับ เขาสนแต่เจ้าพล"
"อยากเห็นหน้าคุณพลจัง เห็นว่ามาในงานวันประสูติด้วย ยังเต้นรำกับยายสาเลยค่ะ เอ หรือว่าดิฉันเคยเห็นหน้าเขาแล้ว"
ชายเล็กหลบสายตา
"เขาคงมีนิสัยซน ๆ แบบคุณชายนะคะ"
"ยังไงครับ"
"ก็ชอบปลอมตัวเป็นคนนั้นคนนี้ หลอกคนไปเรื่อยน่ะซีคะ"
ศรีจิตรามองจ้อง ยิ้มเหมือนรู้เป็นนัย ๆ ชายเล็กยิ้มตอบ แต่เจื่อนเต็มที
จบตอนที่ 14