xs
xsm
sm
md
lg

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 7

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สะใภ้จ้าว ตอนที่ 7

เทพีเพ็ญแสงปรายตามองอาหารที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบแครกเกอร์แผ่นบางๆ
 
มาพลิกดูแล้วเอาทิชชู่ซับ แล้วกัดไปคำเล็ก หม่อมวาณี รวมทั้งรื่นกับโรยมองอย่างลุ้นๆ ส่วนศศิรัชนีส่ายหน้าแบบระอา พลาง พลิกหน้าข่าวสังคมแล้วขมวดคิ้ว
“อัศนีย์ เถลิงการ บินเงียบกลับเมืองไทยมาร่วม 2 เดือน แต่ไม่ยอมออกงานไหนเลย ข่าวว่ากำลังจะเปิดตัวธุรกิจใหม่”
อ่านแล้วก็เงยหน้ามองน้องสาว แล้วก็ตัดสินใจยื่นส่งให้แม่ หม่อมวาณีรับมางงๆ หญิงก้อยหันมาถาม
“มีข่าวอะไรบ้างคะ หม่อมแม่ อ่านคอลัมน์ยายติ่งก็ได้”
หม่อมวาณีไม่รู้เรื่อง ก็รีบอ่านหนังสือเอาใจลูก
“ไม่เห็นมีข่าวอะไรเลยลูก มีเรื่องนางเอก ย.ไปฉีดพาราฟีน มีเรื่องคุณ อ. ถูกสามีซ้อม”
หญิงก้อยทำหน้าเอือม “หญิงไม่สนใจข่าวแบบนี้ค่ะ หญิงเบื่อ”
“แล้วก็ข่าว อัศนีย์ เถลิงการ กลับมาเมืองไทยได้ 2 เดือนแล้ว”
หญิงก้อยชะงักกึกขึ้นมาทันที หม่อมวาณีฉุกคิด
“อัศนีย์ อัศนีย์ไหนนี่ ว้าย”
พอนึกออก ก็เหลือบมองศศิรัชนี อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ส่วนหญิงก้อยทำสีหน้าเย็นชา
“ข่าวว่าเขาจะมาเปิดธุรกิจตัวใหม่ลูก”
“หญิงไม่สนใจหรอกค่ะ หญิงเบื่อ”
“แล้วหญิงจะทำยังไงคะ” ผู้เป็นแม่ย้อนถาม
“ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่คะ หญิงกับอัศนีย์ลาจากกันด้วยดี แบบศิวิไลซ์ ไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันซักหน่อย”
“จ้ะ จ้ะ เฮ้อ นี่ชายรองก็หายหน้าไปเลย สองสามวันนี่โทรมาบ้างไหม หญิงกลาง”
“ไม่มีนี่คะ สงสัยกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานหมั้นอยู่มั้งคะ”
ศศิรัชนีพูดหน้าตาเฉย แต่จงใจ หญิงก้อยลุกขึ้นพรวด
“ขอตัวค่ะ หม่อมแม่ หญิงเบื่อ”
จากนั้นก็เดินเชิดกลับขึ้นชั้นบน รื่น โรยลุกตาม หม่อมวาณีหันมาหาศศิรัชนี
“หญิงนะหญิง พูดเรื่องชายรองหมั้นออกมาทำไม”
“วันนั้นหม่อมแม่ก็พูดเองไม่ใช่หรือคะ ว่าคุณรองควรคิดให้รอบคอบเรื่องขัดใจเด็จป้า”
หม่อมวาณีถอนหายใจ “เฮ้อ แต่ฝ่ายเราล่ะลูกจะเป็นยังไง โธ่เอ๋ย หญิงก้อย วันๆ ไม่ยอมกินอะไร ผอมแทบจะปลิวลมอยู่แล้ว ชายรองก็ช่างกระไร ไม่มาดูดำดูดีเลย แล้วไอ้เจ้าอัศนีย์นี่อีก ไม่รู้จะกลับมาทำไมตอนนี้”
“ดีออกค่ะ”
“ดียังไง”
“หญิงก้อยจะได้เลิกเบื่อไงคะ”
หม่อมวาณีรู้ว่าฝ่ายนั้นจงใจแขวะทั้งตนทั้งลูกสาวคนโปรดก็ค้อนขวับ

สาลินกำลังให้บริการยืมหนังสืออยู่ที่เคาน์เตอร์ ครู่หนึ่งเสียงนุ่มทุ้ม ก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็ตะลึงไปกับความหล่อของอัศนีย์ ลลิตาเงยหน้ามองตาม ก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”
อัศนีย์ตอบยิ้มๆ “ผมหาคุณเลขาที่ชื่อจิตริณีครับ”
ลลิตาเอามือทาบอก ขณะที่สาลินถามต่อ
“จะให้เรียนว่าใครมาคะ”
“ช่วยเรียนว่า อัศนีย์มาหาครับ อัศนีย์ เถลิงการ”
ลลิตาผวาอีก บราลีมองอย่างรำคาญ สาลินแปลกใจว่าทุกอย่างกำลังเคลื่อนมาหมุนรอบตัว อัศนีย์ยิ้มกว้าง ท่าทางสง่าราวนายแบบ

จิตริณีก้มหน้าก้มตาพิมพ์ดีดอยู่ ไนเจลมายืนดูด้านหลัง พลางยิ้มอย่างรักใคร่ แล้วสายตาก็มองไป
เห็นเนินอกฝ่ายแรกอล่างฉ่าง ก่อนจะรีบเมิน แล้วถอยหลังไปชนชั้นแจกันเอียง หนังสือล้มตะแคง เขาคว้าแจกันไว้ได้ ทัน
“อะไรคะ บอส”
ไนเจลตั้งสติได้ ก็ยิ้ม แล้วเดินก้าวมา
“ไม่มีอะไร แค่มองดู”
จิตริณีก้มลงเก็บปากกา เห็นเนินอกอีก
ไนเจลเสียงสั่น “อก”
จิตริณีทรงตัวขึ้นนั่ง “คะ”
อีกฝ่ายรีบแก้เก้อ “แค่มองดู คุณอกตั้ง”
“เขาเรียกตั้งอกตั้งใจค่ะ”
“ใช่ น่าขยำ”
“อะไรนะคะ” จิตริณีถามย้ำ
“ไม่ใช่ขยำ ขยัน คุณขยันจริงๆ โอ มายก็อด ภาษาไทยทำไมยากอย่างนี้”
จิตริณีลุกขึ้น เห็นเนคไทไนเจลเบี้ยวก็จัดให้ ฝ่ายหลังถึงกับเคลิบเคลิ้ม
“ชอบคุณมาก”
จิตริณีทำเป็นไม่รู้ความนัย “ขอบคุณมากต่างหากคะ”
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เชิญ “
พอประตูก็เปิดออก สาลิน บราลี ลลิตา ก็เดินเรียงกันเข้ามา พอเห็นคล้ายมือจิตริณีกำลังทาบแผงอกไนเจลก็อ้าปากค้าง ไนเจลรู้สึกตัว รีบผละแยกออกมา จิตริณียิ้มสบายๆ
“มีอะไรครับ”
บราลีรีบบอก “มีเพื่อนเก่ามาขอพบคุณจิตริณีค่ะ”
ไนเจลหันมาถาม 3 สาว “ผู้ชายหรือผู้หญิง”

จิตริณีเลิกคิ้วสงสัย

พอจิตริณีเดินออกมา อัศนีย์ก็รีบกางแขน 2 ข้างรับ ฝ่ายแรกรีบก้าวไปหา ก่อนจะสวมกอดจูบแก้มซ้ายขวาฉันท์มิตร
 
สาลิน ลลิตา บราลีมองตาค้าง ไนเจลยกมือกุมหัวใจอย่างไม่รู้ตัว
พอผละออกจากกัน อัศนีย์ก็ใช้สองมือจับมือจิตริณีไว้
“จินนี่ ดาร์ลิ่ง”
จิตริณียิ้มหวาน “ลองไทม์โนซี ลมอะไรพัดมา อาร์นี่”
“ลมแห่งความคิดถึงน่ะซี”
ไนเจลตาลุกเป็นไฟ จิตริณีหันมาทางกลุ่มสาลิน
“โอ เสียมารยาทจัง ฉันขอแนะนำค่ะ บอสคะ นี่อาร์นี่ อัศนีย์ เถลิงการ เพื่อนของฉันสมัยเรียนอยู่ที่สเตทค่ะ อาร์นี่คะ นี่บอสของฉัน มิสเตอร์ไนเจล ไบรอน”
อัศนีย์กับไนเจลก้าวมาจับมือเขย่า
ฝ่ายแรกยิ้มนิ่งๆ แต่มองตาไนเจลอย่างรู้ๆ ว่าคิดอะไร ฝ่ายหลังยิ้มตอบแบบสุภาพ แต่ดวงตาราวจะแผดเผา


พอ 3 สาวกลับมาประจำที่เคาน์เตอร์ ลลิตาก็ทำหน้าปลาบปลื้ม
“นักเรียนนอกก็เก๋แล้ว เป็นทายาทอภิมหาเศรษฐีก็ยิ่งเก๋ แต่ทำไมถึงต้องหล่อขนาดนี้ โซ
เพ้อร์เฟ่กทึ”
บราลีมองค้อน “นังพวกหลงรูปจูบเงา”
สาลินรีบจุ๊ปาก “จุ๊ๆๆ มาแล้ว”
จิตริณีควงแขนอัศนีย์เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ ฝ่ายหลังเอาแขนเท้าเคาน์เตอร์มองสาลินอย่างสนใจ
“ผมกับจินนี่จะไปกินข้าวกัน ไปกับเราไหมครับ”
จิตริณีชะงัก สาลินอึ้ง บราลีกับลลิตาเหลือบมอง นึกอยากให้ตอบรับ
“ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันมีนัดแล้ว ขอบคุณ”
จิตริณีอ่อนใจ รีบดึงอัศนีย์มา “อย่าถือสาอะไรนายคนนี้เลยนะคะลินซี่ ไปได้แล้วค่ะ อาร์นี่”
อัศนีย์ที่ถูกดึงตัวไป ยังเหลียวดูสาลินไม่วางตา
ลลิตามองเคลิ้ม “ต๊าย ควงแขนกันไป เท่ยังกะดาราฮอลลีวูด”
บราลีเบ้ปาก “เชอะ พวกอภิสิทธิ์ชน ยังไม่ทันพักเที่ยงเลย ไปไหนกันไม่รู้”
สาลินส่ายหน้า “ก็คงไปฟุดฟิดฟอไฟ ตกกะไดขาหัก ตามประสานักเรียนนอกน่ะซี”
ลลิตาเอาสองมือประสานระดับอก ดวงตาเคลิ้มฝัน “อาร์นี่ เอ้ย คุณอัศนีย์นี่ล้อหล่อนะ”
คราวนี้สาลินเป็นฝ่ายเบ้ปากบ้าง “เนี่ยน่ะเหรอหล่อ”
“หล่อซียะ เอ๊ะ นี่เธอมีตาหรือเปล่า”
“มีซียะ ฉันถึงได้เห็นว่านายนี่แต่งตัวมากเกินขนาด จนดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
บราลีเห็นด้วย รีบพยักหน้าหงึก ลลิตายังเถียงต่อ
“ใช่ซี้ ใครจะหล่อ เรียบ หรู เหมือนคุณชายรถยาวของเธอล่ะ”
สาลินทำตาปริบๆ “อีตาบ้านั่นไม่ใช่คุณชายของฉัน”
บราลีหันมาถามบ้าง “นี่ .แล้วอีตาลูกเศรษฐี วันๆ ลอยลมไปลอยลมมานี่ เขารู้จักเธอมาก่อนเหรอถึงชวนไปกินข้าวด้วย”
“ก็รู้จักพร้อมกันกะเธอ 2 คนแหละ เออ อยู่ดีก็ชวน พิลึกจัง”
ลลิตาหน้างอ “ทีฉันไม่เห็นชวน ว้าย บอสมา”
ไนเจลเดินหน้าบึ้งมามองดู สาลินรีบตอกบัตรง่วน บราลีพิมพ์เอกสารรัวเป็นข้าวตอกแตก ลลิตาจัดบัตรคืนลงท้ายหนังสือ ท่าทางขยันขันแข็ง
“ลินซี่ ไปกินข้าวกลางวันกะผม ไรท์นาว”
สาลินทำตาปริบๆ ลลิตากับบราลีได้ยินแว่วๆ ก็ทำตาโต



ณ ค้อฟฟี่ช็อปสุดหรูละแวกสีลม
อัศนีย์นั่งเอนกายแขนพาดไปตามพนักโซฟา อีกมือแกว่งแว่นกันแดดเล่น จิตริณีนั่งอยู่ตรงข้ามพลิกดูเมนู บริกรยืนมองด้วยความทึ่ง
“ขอวิสกี้ซาวร์ ของคุณผู้หญิง โอลด์แฟชั่น”
จิตริณีเลิกคิ้วยิ้มนิดๆ อย่างพอใจ พนักงานรับคำแล้วเดินไป
“ยังไม่เปลี่ยนใจไปชอบอย่างอื่นใช่ไหม”
“ฉันไม่ใช่คนชอบเปลี่ยนใจบ่อยๆ อย่างคุณนี่”
อัศนีย์ยิ้มขัน “ใครว่าผมชอบเปลี่ยนใจ ผมแค่ชอบลองของใหม่”
“แปลว่า ของเก่าก็ไม่ทิ้ง ของใหม่ก็อยากลองใช่ไหม”
“อิท'ส ฮิวแมน เนเจอร์”
จิตริณีถามต่ออีก “แล้วทำไมของใหม่ที่ลองได้ไม่ถึงปี ถึงได้กลายเป็นของเก่าที่ทิ้งขว้างกันไปได้ล่ะ”“แย่ เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ขนาดหนัก”
จิตริณีแกล้งล้อ “นั่นพูดถึงตัวคุณใช่ไหม”
“คุณก็รู้ว่าผมพูดถึงใคร”
จิตริณีทำหน้าแปลกใจ “แปลกจัง คุณเองก็เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์เป็นที่หนึ่ง น่าจะอยู่กันได้”
“ใครว่า แข็งกับแข็งมาเจอกัน มันก็เลยหักเป๊าะต่างหาก”
“ข่าวว่าคุณกลับมาตั้งเกือบเดือนแล้ว ไปมัวทำอะไรอยู่” จิตริณีถามอีก
“ล่องเรือไปเรื่อยๆ แวะพัทยา ผมว่าต่อไปน่าจะบูม เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้”
“Don't talk about bussiness กลับมานี่ได้เจอหญิงก้อยหรือยัง”
อัศนีย์ส่ายหน้า “ยัง แต่จิตตินบอกว่า เขากลับไปอี๋อ๋อกับคู่รักเก่า”
จิตริณียิ้มนิดๆ พลางกวาดตาไปรอบๆ ร้าน
“ฉันเองก็เคยเจอเขาไปไหนด้วยกันตั้งหลายหน แต่ขี้เกียจเข้าไปทัก เพราะท่าทางคุณหญิง เธอไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไร”
“เพราะผมสนิทกับคุณมากไง สนิทมากกว่าคุณหญิงเธอเสียอีก”
จิตริณีเหมือนชะงักนิดหนึ่ง นัยน์ตาหม่นลงนิดหนึ่ง “อันบีลิฟเฟเบิล”
“จริงๆ กับคุณหญิงน่ะ เป็นความใกล้ชิดทางกาย แต่กับคุณเป็นความใกล้ชิดทางใจ เบสท์ เฟรนด์ ฟอร์เอเวอร์”

จิตริณียิ้มน้อยๆ “รีลลี่ ?”

พอบริกรเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วเดินผละไป อัศนีย์ก็พูดต่อ
 
“คุณหญิงน่ะ สปอยไชลด์จริงๆ นะ จินนี่ วิรงรองบอกว่าเขาไปมีเรื่องอาละวาดกับคนรักเก่าอีกแล้ว”
จิตริณีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

ทางด้านชายรองก็กำลังนั่งกินอาหารกับศุภรอยู่ในร้านเดียวกัน
“นี่นายดีกับหญิงก้อยแล้วหรือ ไอ้หม่อม”
ชายรองอึ้งไปนิดหนึ่ง “ยัง”
“อ้าว เห็นหน้านายดูสดใส ไม่ดำปี๋เหมือนตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ”
“พูดเกินไปแล้ว ตอนนี้ฉันมีอะไรต้องทำเยอะแยะ เลยไม่มีเวลามาคิดมากกว่า”
ศุภรทำหน้าไม่เชื่อ “ไม่จริงมั้ง คราวก่อนที่หญิงก้อยแต่งงานไป ฉันเห็นนายหน้าดำเหมือนโดนอีเป๋ออยู่ตั้งครึ่งปี”
ชายรองทำตาปริบๆ เพราะอีเป๋อเป็นของต่ำ ผู้ดีไม่บังควรเอ่ยถึง
“นายพูดจาน่าเกลียด นายศุภร”
“จริง แต่วันนี้น่ะนายหน้าระรื่นเชียว”
ชายรองแอบดูเงาหน้าตัวเองในกากาแฟสีเงิน ก็เห็นตนเองดูผ่องใสจริงๆ ศุภรถามต่ออีก“เออ นายเห็นข่าวยัง นายอัศนีย์ เถลิงการ กลับมาเมืองไทยแล้ว”
“ยังงั้นหรือ ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันนี่”
ศุภรคว้ากากาแฟมารินเพิ่มในถ้วยตัวเอง พอมองไปเห็นไนเจลเปิดประตูพาสาลินเข้ามา ก็เผลอจ้องมองไม่วางตา จนเทกาแฟล้นถ้วยลงในจานรอง ชายรองร้องเฮ้ย รีบคว้ามือไว้
“เฮ้ย นายทำบ้าอะไร นายศุภร”
“ดูสาวน้อยที่ควงมากับฝรั่ง น่ารักเป็นบ้าเลย”
อีกฝ่ายค่อยๆ หันไปดู แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นไนเจลและสาลินนั่งลงบริเวณหน้าร้าน

ไนเจลนั่งหน้าเคร่ง สาลินพลิกดูเมนูในมือ แล้วเงยหน้ามอง
“ทำไมถึงไม่ชวน 2 คนนั้นมาคะ”
“ผมอยากอยู่กับคุณตามลำพัง”
สาลินตาเบิกกว้าง “ทำไม บอสอยากอยู่กับฉันตามลำพังทำไมคะ”
พอไนเจลยื่นหน้าชะโงกข้ามโต๊ะมา เธอก็ตาเหลือกโต

ชายรองเอี้ยวตัวมอง ศุภรส่ายหน้าอย่างเสียดาย
“อ้าว มีหอมกันด้วย เสียดุลการค้าจริงๆ”
“นี่นะเหรอ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
ชายรองหน้างอ รีบหันหลังกลับ อารมณ์เสียออกนอกหน้า
ไนเจลยื่นหน้ามาถาม
“คุณรู้เรื่องอะไรบ้างกับชายเพื่อนของเขา”
สาลินทำตาปริบๆ ก่อนจะถอนใจโล่ง
“พุทโธ่ แหม เรื่องพวกนี้ฉันไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้บอส ต้องถามโลลิต้าค่ะ”
“ไม่ได้ โหล่ลี้ท่าปากใหญ่ ชอบยื่นจมูกเรื่องคนอื่น ถ้าถามคงเอาไปกระจายข่าว จนถึงยามกับ
เหมด”
สาลินพูดต่อ “เท่าที่ฉันรู้นะคะ คุณอัศนีย์เป็นลูกชายมหาเศษฐี เป็นเพื่อนเก่ากับคุณจินนี่ สมัยที่เธออยู่นิวยอร์ค”
“เพื่อนแบบไหน” ไนเจลถามอย่างร้อนใจ
“แหม ไม่ทราบซีคะ แล้วอีกไม่นานคุณอัศนีย์แต่งงานอยู่กับ...เอ้อ สาวสังคมคนหนึ่ง” ไนเจลอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “โอ แมริจ แมน”
” แต่ว่าตอนนี้ คุณอัศนีย์กับสาวสังคมคนนั้นหย่าขาดกันแล้วค่ะ เพราะอะไรฉันก็ไม่ทราบ”
ไนเจลหงิกขึ้นมาอีกรอบ “หย่ากันแล้ว อะเวลหละเบิล ไม่ดี”
“ค่ะ ฉันเองไม่ค่อยทราบอะไร”
“สำหรับคนไม่ค่อยทราบ คุณรู้ข้อมูลเยอะมาก”
สาลินทำตาปริบๆ รู้สึกว่าโดนด่ามากกว่าชม ครั้นไนเจลขยับถอยออก กอดอก เธอก็ยักไหล่ แล้วหันไปสั่งอาหารกับบริกร

ชายรองแอบเอี้ยวตัวมองอีกหน เห็นไนเจลกอดอกนั่งเมินหน้า ขณะที่สาลินนั่งกินเอาๆ โดยไม่สนใจ ก็แอบรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย

“งานเป็นไงบ้าง”
อัศรีย์เงยหน้าขึ้นมาถามจิตริณี
“ทำงานกับฝรั่งดีจะตาย ไม่เรื่องมาก”
“แต่ผมดูๆ เขาอยากมีเรื่องกับคุณอยู่นะ”
จิตริณีเองก็รู้อยู่เต็มอก แต่ก็ทำเป็นยักไหล่ “คงไม่หรอก”
อัศนีย์ขยับตัว ยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ “เด็กคนนั้นน่ะ ที่คุณเรียกว่าลินซี่”
จิตริณีตาเบิกกว้าง “อีกแล้วหรือ”
“อะไรอีกแล้ว”
“ก็ธรรมชาติอยากลองของใหม่ของคุณน่ะซี”
อัศนีย์หัวเราะขัน “โธ่ ผมเห็นหน้าตาแกเก๋ดี ท่าทางก็รื่นเริง ก็แค่อยากรู้จักเอาไว้ก็เท่านั้น”
จิตริณียิ้ม ก่อนจะพูดอย่างเด็ดขาด ครึ่งหนึ่งคือความหวังดีต่อสาลิน แต่ยังมีอีกครึ่งหนึ่ง แฝงสาเหตุอื่นไว้
“เด็กคนนี้เป็นเด็กดี ฉันไม่ให้ท้ายคุณเด็ดขาด”

ชายรองยืนล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ครู่หนึ่งอัศนีย์ก็เปิดประตูเดินเข้ามา ฝ่ายแรกมองอย่างแปลกใจกับการแต่งตัว แล้วก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา แต่ฝ่ายหลังกลับจำได้แม่น
“อ้าว คุณชาย สวัสดีครับ”
“ครับ สวัสดี”
อัศนีย์ยิ้มร่า “อิท'ส สมอลล์ เวิร์ลจริงๆ”
ชายรองมองอย่างงงๆ “โทษ คุณคือ...”
“จริงซิ เราเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วคุณชายก็ต่อยผมเสียด้วย จำได้รึยังครับ”
“อ้อ”
“ครับ ผม อัศนีย์ เถลิงการ”
ชายรองรีบบอก “งั้นก็เสียใจด้วยกับการหย่าร้างของคุณกับหญิงก้อย”
อีกฝ่ายยิ้มสวนกลับไป “ผมก็ยินดีด้วย ที่หญิงก้อยกลับไปหาคุณชายอีกครั้ง”
ชายรองหน้าตึง มองอย่างเอาเรื่อง อัศนีย์ยิ้มสู้
ประตูห้องส้วมเปิดออก พร้อมกับที่ไนเจลเดินหน้าบึ้งออกมา อัศนีย์ชะงักหันไปดู ต่างคนต่างแปลกใจเมื่อเห็นกัน

“อ้าว คุณบอส แหม วันนี้โลกมันกลมเกินเหตุจริงๆ”

ชายรองเองก็อึ้งๆไป เมื่อจำได้ว่าคือฝรั่งที่ทำท่าเหมือนจู๋จี๋กับสาลิน ไนเจลเชิดใส่อัศนีย์เล็กน้อย
 
“ช่าย บังเอิญจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวขอเชิญคุณกับจินนี่ร่วมโต๊ะกับผมเลยไหม ผมมากับสาวบรรณารักษ์อีกคน”
“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่ เอ สาวบรรณารักษ์คนสวย ๆ ที่ชื่อลินซี่รึเปล่า”
ไนเจลนึกแปลกใจ “ก็อด คุณรู้จักลินซี่ด้วยเหรอ”
ชายรองขมวดคิ้ว แล้วก็เดาเรื่องต่อว่า ไนเจลคงทำงานกับสาลินและจีบกันอยู่ แถมนายอัศนีย์รู้จักยายเด็กกะโปโลนั่นด้วย
“เดี๋ยวผมถามจินนี่ก่อนดีกว่า เรากำลังรื้อฟื้นความหลังกันอยู่น่ะครับ”
ไนเจลขบกรามแน่น “คงรื้อฟื้นความหลังสมัยอยู่นิวยอร์คช่ายหมาย”
“คุณรู้ด้วย?”
“จินนี่บอกผมแทบทุกเรื่อง เราสนิทกันมาก”
ชายรองขมวดคิ้วแบบงงๆ ว่าตกลงฝรั่งจีบใคร จินนี่หรือลินซี่ ? ไนเจลมองอัศนีย์เอาเรื่อง
ประตูห้องส้วมเปิดออกอีก ศุภรออกมา เห็นอัศนีย์ก็สะดุ้งเฮือก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจ จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ก่อนจะหันมาพูดเหน็บไนเจล
“สนิทมากเลยเหรอครับ แต่ไม่เห็นจินนี่เล่าเรื่องคุณให้ฟังเลย เพราะผมเองก็สนิทจินนี่มาก บอกผมแทบทุกเรื่องเหมือนกัน”
ไนเจลขบกรามแน่น “วันหลัง เชิญที่ห้องสมุดดีกว่า ผมจะได้ชก....เอ๊ย ผมจะได้พาชมห้องสมุด เรามีหนังสือน่าสนใจมากมาย”
“แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ คุณบรรณารักษ์ลินซี่คนสวยนั่น”
ชายรองยิ่งหมั่นไส้สาลิน ถามโพล่งขึ้นมา
“ลินซี่ที่ว่า คือสาลินใช่ไหมครับ”
ไนเจล อัศนีย์ ถามขึ้นมาพร้อมกัน “คุณรู้จักลินซี่ด้วยเหรอ”
ไนเจลถามต่ออีก “คุณเป็นใคร ไปรู้จักลินซี่ตอนหนาย”
ชายรองยักไหล่ ตอบอย่างยียวน “เรื่องส่วนตัวของผม แล้วคุณล่ะเป็นใคร”
ไนเจลกำหมัดแน่น ศุภรรีบพูดแทรกขึ้นมา
“เออ ผมว่ามาคุยกันในห้องน้ำแบบนี้มันอึดอัดนะครับ แถมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย ขอตัวก่อนครับ ไป ไอ้หม่อม”
ชายรองค้อมหัวแล้วเดินออกไป ไนเจลยืดตัวตรง หันมาประจันหน้าอัศนีย์ต่อ

สาลินออกมายืนโต๋เต๋อยู่หน้าคอฟฟี่ช็อป เห็นดอกไม้ร่วงตกมาบนหัวไหล่ ก็หยิบมาดู ก่อนจะหยิบมาเสียบรังดุมเสื้อ พลางยิ้มนิดๆ พอเงยหน้าขึ้น ก็สะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นชายรองยืนมองอยู่ โดยมีศุภรยืนเยื้องไป
ข้างหลัง
“คุณมาทำอะไรแถวนี้”
ชายรองทำหน้ากวน “มาทำธุระ”
ศุภรมองดูสาลินชัดๆ แล้วก็แอบชื่นชมในความบริสุทธิ์สดใส แต่ในอีกใจก็งงที่ชายรองกับสาลินรู้จักกัน
“มาทำธุระ? ” สาลินถามย้ำ
“ทำไม ไม่เชื่อหรือ ฉันไม่ได้มาคอยตามดูพฤติกรรมเธอหรอกน่า แต่วันนี้ฉันเชื่อแล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กนักเรียน หรือเด็กกะโปโลที่ไหน เธอเป็นถึงบรรณารักษ์ห้องสมุดฝรั่ง”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ก็จากนายฝรั่งเธอไง แล้วยังมีนายเศรษฐีอีกคนที่พูดถึงเธอไม่หยุดปาก”
สาลินเป็นงง ศุภรก้าวมายิ้มให้อย่างสุภาพ
“ผมกับไอ้หม่อมเปิดร้านผ้าไหมในโรงแรมใกล้สี่แยกนี่ไงครับ”
สาลินยิ้มตอบ “เปิดมานานหรือยังคะ”
“ 2 ปีแล้วครับ”
สาลินตาวาว รีบหันมาหากิตติ
“คุณเปิดร้านมา 2 ปีแล้ว ก็เป็นไปได้ที่คุณจะแวะมาร้านบ่อยๆ แล้วขับรถสาดโคลนใส่ฉันตั้ง 2 หน”
ศุภรเกาหัว ชายรองเชิดใส่
“อาจจะใช่ แล้วก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ตราบใดที่ฉันยังไม่เจอไดอารี่ ฉันก็ยังสรุปไม่ได้”
“อย่างคุณต่อให้หาไดอารี่เจอ ต่อให้ตรงวันที่ฉันกล่าวโทษคุณ คุณก็คงไม่ยอมรับความจริงหรอก”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนแบบนั้น” ชายรองย้อนถาม
“โธ่ แค่เรื่องพี่สาวฉันกับยายแฟนหญิงเทโพของคุณ คุณยังไม่กล้าทูลเสด็จเลย ยอมรับความจริงไหมล่ะ”
ชายรองเริ่มโมโห “นี่ เธออย่ามาหาเรื่องฉันเกินไปนักนะ เธอมันก็แค่....”
“บรรณารักษ์ห้องสมุดฝรั่ง”
ชายรองโกรธจนพูดไม่ออก จังหวะนั้นไนเจลก็เดินหัวเสียออกมา
“ลินซี่กลับเถอะ ถ้าผมอยู่ต่อเป็นได้เป็นโผน กิ่งเพชรแล้ว”
สาลินยืนงง “ทำไมคะ”
“คนแถวนี้น่าชกทั้งนั้น”
พูดพลางหันจ้องหน้าชายรอง แล้วคว้าข้อมือสาลินลากหลุนๆ กลับไป
“นี่มันอะไรกันวะ กลับไปคุยที่ร้านดีกว่า มีเรื่องต้องคุยเยอะเลย”
ศุภรเดินนำชายรองไปทางหัวถนนที่ตั้งของร้านผ้าไหม ครู่หนึ่งจิตริณีกับอัศนีย์ก็เดินออกมา
“คุณเจอคุณชายกิตติในห้องน้ำ โอ มายก็อด”
อัศนีย์ยิ้มสนุก “ทำไม”
“เขาน่าจะต่อยปากคุณซักหมัดสองหมัด”
“ผนต่างหากที่น่าจะเอาคืนสักหมัด สองหมัด อีกอย่างถ้าแลกหมัดกัน คงเป็นมวยหมู่”
“ทำไมคะ”
“เจ้าบอสฝรั่งของคุณก็เกือบจะต่อยปากผมเหมือนกัน”

“ในห้องส้วม เหมือนนาย อัศนีย์ เขาอยากโอภาปราศรัยกับแก”
ศุภรพูดโพล่งออกมา ขณะอยู่กับชายรองตามลำพังในห้องทำงาน
“ทำนองนั้น แต่นายฝรั่งคนนั้นก็มาแทรกก่อน”
“ดูเหมือนฝรั่งคนนั้นกับนายอัศนีย์มีเรื่องขัดข้องกันอยู่”
ชายรองหน้าตึง “จะเรื่องอะไร ก็เรื่องแย่งผู้หญิงกัน ทั้งคนที่ชื่อจินนี่ กับยายเด็กบรรณารักษ์นั่นด้วย”
ศุภรส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “ฉันไม่เชื่อว่ะ เด็กผู้หญิงคนนั้นดูซื่อๆ สดใสจะตาย”
“อย่าให้หน้าซื่อๆ หลอกแกได้เชียว ยายเด็กนั่นร้ายจะตาย เจ้าหล่อนเล่นงานฉันฉอดๆๆ ไม่เห็นหรือ”
“เห็น แต่ฉันงง นายกับเด็กนี่ต้องมีอะไรมากกว่า แค่นายขับรถทำโคลนเปื้อนชุดเขาแน่”
ชายรองรีบบอก “ก็ยายคนนี้แหละที่เอาน้ำมาราดกางเกงฉัน”
“อ้อ....แล้วมีอะไรมากกว่านั้นอีกรึเปล่า” ศุภรถามต่ออีก “เห็นพูดถึงพี่สาวเขากับหญิงเทโพกับเสด็จ มันอะไรกัน”
อีกฝ่ายนึกทบทวน แล้วก็รู้สึกทั้งน่าปวดหัวและน่าขบขัน
“เรื่องมันยาวว่ะ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”

“ว่ามา เริ่มต้นที่คุณหญิงเทพีนี่ ใช่เทพีเพ็ญแสงรึเปล่า แล้วเสด็จใช่เสด็จป้าของแกรึเปล่า แล้วพี่สาวเค้าเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับแก และที่สำคัญ สวยมั้ย”

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 7 (ต่อ)

หม่อมอำพันยืนระทดระทวยอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ในห้องโถงตำหนักเล็ก ก่อนจะเอาผ้าไหมทาบตัว
 
พลางบิดซ้ายย้ายขวา นมย้อยที่นั่งบนโซฟา กำลังคลี่ดูผ้าไหมเนื้อมันเลื่อมวาววับ ชายเล็กเอาผ้ามาทาบๆ จับเดรปบนตัวนมย้อย
พักใหญ่หม่อมอำพันหมุนตัวมาทางชายรอง ที่นั่งอยู่ในห้องด้วย
“ขอบใจนะชายรอง ดี ฉันจะได้ตัดชุดใหม่ไว้ออกงาน”
นมย้อยรีบบอก “แหม ผ้าเนื้อดีแบบนี้ อิฉันตัดไม่ลงค่ะ”
ชายเล็กช่วยเสนอ “จะไปยากอะไร นมก็เอามาผูกๆ พันๆ แบบชุดนางฟ้าฝรั่งซี”
“วุ้ยไม่เอาหรอกค่ะ เดี๋ยวไปหลุดกลางงาน ขอบพระคุณอีกครั้งนะคะคุณชายรอง”
“จ้ะนม”
ยายน้อมกับเจียมพนมมือไหว้แต้
“สวยจังเลยค่ะ คุณชาย จริงไหมยายน้อม”
“สวย สวย สวย สวย สวย เอ๊ะ นังเจียม เอ็งแกล้งข้าหรือ ขอบพระคุณนะเจ้าคะคุณชาย
เอาแจกครบทั่วทุกตัวคนในตำหนักเลย”
“อุ๊ย ไม่ทุกคนหรอก ยายน้อม”
เจียมพูดเสียงเบาๆ ยายน้อมมองตาม เห็นจรวยนั่งคอแข็งอยู่หน้าทีวี
หม่อมอำพันหันมาเห็น “เสียงคุณศิริพรนี่ แสดงว่าละครมาแล้ว นังจรวย ทำไมไม่เรียกฉันยะ”
“อิฉันเห็นหม่อมกับใครต่อใคร ตื่นเต้นกับของฝากอยู่ ก็เลยไม่อยากแทรกเป็นยาดำน่ะค่ะ”
หม่อมอำพันมองค้อน “ฉันพลาดไปกี่ตอนแล้วนี่ เสียงคุณศิริพร ละครมาก็ไม่บอก”
พูดพลางเดินไปนั่งดูโทรทัศน์กับนมย้อย พร้อมกับลูบคลำผ้าไปด้วย ชายผ้าแทบจะระหัวจรวยชายเล็กลุกมานั่งกับพี่ชาย “นี่พี่รองแวะไปร้านมาหรือครับ”
“อืมม์ แวะไปเซ็นเอกสารน่ะ รู้ไหมว่าฉันเจอใคร”
“เจอใครฮะ เจอหญิงก้อย” ชายเล็กเดาส่ง
“ไม่ใช่”
“แล้วเจอใครล่ะฮะ”
“ก็แม่น้องสาวของศรีจิตราน่ะซี เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดอะไรซักอย่าง”
ขายเล็กรีบบอก “ห้องสมุดฝรั่งที่สุรวงศ์ไงครับ ที่เจ้าของสร้างเป็นอนุสรณ์ให้เมียที่ตาย”
“นี่นายรู้มากจริง”
ชายเล็กส่ายหน้ายิ้มๆ “รู้มากกับความรู้มาก มันไม่เหมือนกันนะครับ”
พอเห็นพี่ชายทำหน้าเบ้ ก็แอบขำ เพราะไม่เคยเห็นหลุดเนี้ยบมาก่อน
“เป็นบรรณารักษ์หรือ แต่ปากคอเราะร้าย กล้าหาญชาญชัยเหมือนแม่ค้าตลาดสดไม่มีผิด”
“โธ่ อย่าด่วนตัดสินใครง่ายๆ ซีครับ หน้าปกกับเนื้อในอาจไม่เหมือนกันก็ได้”
ชายเล็กอมยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่สาลานจีบปากจีบคอด่าคุณชายชื่อยาวให้ฟัง
“นายขำอะไร”
“ไม่มีอะไรครับ แค่ขำว่าตอนนี้ผมเจอแต่คนชอบตัดสินใครต่อใครง่ายๆ อยู่ซะเรื่อย”


นมย้อย เจียม และยายน้อมนั่งอยู่บนตั่งในเรือนครัว เด็กลูกมือ 3 คนนั่งตาวาว เพราะบนตักนมย้อยมีผ้าไหมอีก 5 ผืน
“พวกเราก็แบ่งๆ กันเองก็แล้วกัน อย่าแย่งกันนะจ๊ะ”
เด็กลูกมือรีบลุกมาแย่งกันคว้าผ้าไป
“อ้าว แม่คุณ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ”
3 นางหน้าม่อย ก่อนที่คนแรกจะพูดตามหลักคณิตศาสตร์
“ผ้ามันมีห้าผืน มันก็แบ่งไม่ลงตัวซีเจ้าคะ คุณนม”
ยายน้อนกับเจียมลอบสบตากัน
“ไม่ลงตัวหรือ ดี อีก 2 ผืน ฉันกะป้าน้อมเอาเอง
เจียมลืมคำมั่นเข้าชิงผ้าด้วย จรวยก้าวมา ด้วยเครื่องทรงจัดเต็มยิ่งกว่าทุกวัน ยายน้อมเหลือบมองแล้วด้นสด
“แหม แต่พูดความจริง อิฉันไม่กล้าใส่หรอกค่ะ คุณนม”
“อ้าว ทำไมล่ะ” นมย้อยย้อนถาม
“เป็นขี้ข้าเขา แต่มาทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอ แมงปอใส่ตุ้งติ้ง เดี๋ยวขี้กลากจะขึ้นหัว”
จรวยเชิดขึ้นอีกเท่า ต่างหูตุ้งติ้งส่ายไหว ปรายตาดูการแย่งผ้า
“ผ้าพวกนี้ดูเผินๆ ก็สวยดี แต่พอดูจริงๆ สงสัยจะเป็นผ้าติดปลายไม้ที่เหลือๆในร้าน”
นมย้อยหน้าตึง เจียมยิ้มละไม เงยหน้าพูดนอบน้อมกับจรวย
“”แต่ยังไงก็ยังดีค่ะ”
“ดียังไง”
เจียมมองหยัน “ดีที่ยังได้ไงคะ ดีกว่าโบ๋เบ๋ไม่ได้อะไรเลย
จรวยเกือบเต้นเร่าๆ แต่นึกได้ว่าตอนนี้เป็นผู้ดีแล้ว ก็เชิดหน้าสะบัดพรืดออกไป
เด็กลูกมืออีกคนมองเย้ย “ว้าย เขาได้กันทั้งตำหนัก คุณเธอไม่ได้อยู่คนเดียวหรือคะ”
ยอดรีบอวด “ผมกับเจ้ารามซิงค์ก็ยังได้ปาเต๊ะคนละตั้ง 2 ผืน”
น้อมยิ้มเยาะ “จะอะไร ก็คุณชายรองเหม็นขี้หน้าพี่สะใภ้ก้นครัวน่ะซี”
นมย้อยช่วยพูดแก้แทน “คุณชายเธอไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก แต่วันก่อน คุณชายโตเพิ่งทะเลาะกับแม่จรวยมา”
ทุกนางตาโต เจียมรีบถาม “เรื่องอะไรคะ หนูก็วงในทำไมไม่รู้”
นมย้อยหันมาอธิบาย “ก็เรื่องเธอขนตัดเสื้อเดือนที่แล้ว 10 ชุดน่ะซิ คุณรองคงเห็นว่าถ้าให้เธอ ผัวเมียจะทะเลาะกันอีก”
ทุกนางพยักเพยิดก่อนจะพูดซ้อนกัน
“จริงค่ะ / บางวันน่ะเปลี่ยนตั้งสามสี่ชุด / หนูน่ะซักรีดทั้งวันจนคันง่ามหมดแล้ว”
เจียมทำหน้างง “ง่ามอะไรยะ”
เด็กอีกคนรีบบอก “ง่ามมือค่ะ”
ยายน้อมหัวเราะร่วน เจียมจี้เอวพูดว่าคันง่าม นมย้อยทำท่าจะเป็นลม

“คันง่าม คันง่าม คันง่าม”

ชายโตนอนอ่านหนังสือ อีกมือก็ดึงเชือกไกวเปลตาตุ้มที่แขวนเกี่ยวตะขอกับคานเพดานแน่นหนา
 
จรวยผลักประตูเข้ามา หน้าบูดบึ้งแล้วไปกระแทกตัวบนเตียงดังโครม
“มีอะไรอีกล่ะ”
“ฮึ อยากรู้นักว่าคนในวังนี้เห็นรวยเป็นตัวอะไร ใครจะพูดใครจะแขวะทำได้ทั้งนั้น คุณชายเป็นพี่ชายใหญ่ รวยก็ควรเป็นสะใภ้ใหญ่ แต่นี่ทุกคนทำยังกะรวยเป็นนังขี้ข้าก้นครัวตลอดกาลอย่างนั้น”
ชายโตถอนใจ “ใครทำอะไรอีกเล่า”


“ก็ทุกคนนั่นแหละ ไม่เว้นตั้งแต่คุณนมไปถึงนางข้าหลวงเด็กๆ แต่พูดไปก็ไม่มีใครร้ายเท่าน้องชายคุณชายหรอก”
“น้องชาย นายรองน่ะหรือ ฉันไม่เคยเห็นเขามาวุ่นวายอะไรกับเธอซักที”
จรวยหน้าตูม “ค่ะ เขาไม่ว่า เขาไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะเขาสำคัญเกินกว่าจะลดตัวลงมาเกี่ยวข้องกับ
คนต่ำๆ อย่างรวยน่ะซี”
ชายโตรีบพูดปราม
“เราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันก็สิ้นเรื่อง”
“ค่า ตอนนี้ก็พอทำเนา แต่พออีกหน่อยแต่งงานไป แม่หลานสาวคุณสอางค์ แม่ชาวสวนนั่น
คงเข้ามาวางท่าเป็นสะใภ้เอก คอยชี้นิ้วรดหัวรวยอีกคน”
“ใครจะมากล้าทำอย่างงั้น เด็จป้าก็อยู่ หม่อมแม่ก็อยู่ทั้งนั้น”
“แล้วถ้าเสด็จสิ้นฯ หม่อมแม่สิ้นล่ะคะ” จรวยย้อนถาม “เราไม่บ้านแตกสาแหรกขาดหรือ”
“นี่ พูดอะไรให้คิดหน่อย”
ชายโตพูดดุ แล้วลุกพรวดไปสงบสติอารมณ์ที่หน้าต่าง จรวยมองดูอย่างพอใจที่ทำท่าจะยุขึ้น พลางยิ้มในหน้า แล้วใช้สองนิ้วเขี่ยแขนเสื้อให้ตกเผยทรวงอวบ ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลัง
“เพราะรวยคิดแล้วซีคะ รวยถึงได้พูด”
จรวยเอาเนื้อตัวถูไถ ชายโตชะงักหันมา ก้มดูทรวงอก ฝ่ายแรกสบตายวนยั่ว พออีกฝ่ายก้มลงจูบ ก็ขยับตัวอย่างชำนาญ จนชุดลงไปกอง
ชายโตอุ้มจรวยมาเตียง สบตาหวานร้อนแรง ทันใดก็มีเสียงตาตุ้มแผดร้อง ทั้งคู่หันไปดู เห็นหนูน้อยนั่งในเปล หน้าเบะ มองมาตาแป๋ว
“อารมณ์เสีย จะมาแหกปากร้องอะไรตอนนี้”
ชายโตทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นอะไร”
“น้ำหอมใหม่ค่ะ ชื่อ 1147”
ชายโตหน้าเบ้ ผลักจรวยจนผงะ แล้วลุกพรวด
“ไม่ใช่น้ำหอม นี่มันกลิ่นตาตุ้ม”
“ตาตุ้มขี้ / ว้าย”
ตาตุ้มเห็นพ่อแม่แหกปาก ก็แปลกใจ หยุดร้องไห้ เปลี่ยนเป็นหัวเราะคิกคัก

อัศนีย์แต่งตัวเต็ม นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์กับวิรงรองที่นุ่งสั้นจู๋ ผมเป็นช่อชั้น จิตตินเองก็แต่งเต็มที่แต่ดูราคาถูกกว่าอัศนีย์ครึ่งหนึ่ง
“อาร์นี่ ได้ข่าวว่าพ่อยูกำลังสร้างโรงแรมใหม่” จิตตินถามโพล่งขึ้นมา
“งั้นมั้ง ฉันเองก็กำลังหาอะไรทำอยู่เหมือนกัน”
วิรงรองลุกขึ้นชูแก้ว ทำท่ากรีดกราย
“พ่อสร้างโรงแรม ลูกทำอะไรดีล่ะ โรงเต้นรำดีไหม”
อัศนีย์ยิ้มรับ “คุณติ่ง คุณนี่สมแล้วที่เป็นคอลัมนิสต์หน้าสังคม เดาได้ถูกเป๊ะ”
วิรงรองทำตาโต เลื่อมประภัสพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“จริงหรือคะ คุณจะทำโรงเต้นรำแบบไหน”
“ผมจะสร้างไนท์คลับที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ กะว่าให้จุคนได้ซักพันนึง จะได้ไม่ต้องเบียดกันเป็นแคนซาร์ดีน มีโชว์ดีๆ แบบลิโด้หรือฟอลลี แบร์แยร์ แขกที่มาเที่ยวก็ต้องใส่แบลกไทกับอิฟนิ่ง กาวน์”
ฉัตรอาชารำพึงขึ้นมาบ้าง “ต้องใช้เงินเป็นล้านซีนี่”
“ใครว่าล้าน ผมกะเอาไว้ว่ายี่สิบล้าน ลงทุนเองสิบล้าน เรียกหุ้นอีกสิบล้าน สนใจจะเข้าหุ้นกับผมไหมล่ะ”
วิรงรองรีบบอก “ถ้าหุ้นละสิบบาทล่ะก็ ฉันซื้อ”
เลื่อมประภัสส่ายหน้า “ไม่เหมาะกับคนศีลธรรมจัดอย่างเลื่อมค่ะ”
ฉัตรอาชาส่ายหน้าตาม “ไม่ถนัดด้านอสังหาค่ะ”
วิรงรองหัวเราะคิกคัก

“ฉันเสียดายนายมิลเลียนแนร์แทนหญิงก้อยจริงๆ”
วิรงรองหันมาบ่นกับจิตติน ขณะเดินมาตามทางเดินด้วยกัน
“เฮ้ย เลิกกันไปตั้งครึ่งค่อนปีแล้วนะ”
“ใครจะรู้เขาอาจจะยังรักกันอยู่ก็ได้”
จิตตินขมวดคิ้ว “อ้าว ก็หญิงก้อยหวนไปคืนดีกับแฟนเก่าแล้วนี่”
วิรงรองทำหน้าครุ่นคิด “แต่ช่วงหลังมานี่ ดูจะระหองระแหงกันอีกแล้ว”
“นี่ เธออยากจะทำอะไรกันแน่”
“ถ้าถ่านไฟเก่ามันยังคุอยู่ ก็น่าจะทำให้มันรุ่งโรจน์โชตนาขึ้นมาอีกครั้ง”
จิตตินส่ายหน้า “ให้ตาย พวกผู้หญิงอย่างเธอทำไมชอบจับคู่ให้คนโน้นคนนี้ชะมัด แล้วแน่ใจ
หรือว่าอาร์นี่ไม่ไปเจอที่หมายใหม่แล้ว”
“ที่หมายใหม่ ?” วิรงรองย้อนถาม
“ฉันรู้สันดานมันดี”

วิรงรองทำตาปริบๆ

สาลินกำลังเช็ดถูบัตรรายการยืมหนังสือ
 
ครู่หนึ่งนักศึกษาแว่น ก็เดินเกาะเคาน์เตอร์ พลาง
ทำตาปรอย
“อ้าว ไหนว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าแล้วไงคะ”
เด็กแว่นทำท่ายะโส “ผมยังไม่ได้หนังสือที่ผมต้องการ และผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
“โอกาสอะไรคะ” สาลินถามกลับ
“หาหนังสือเล่มนี้ให้ผมยืม แล้วผมจะจากไปตลอดกาล”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคุณต้องมาคืนหนังสือในเจ็ดวัน”
สาลินมองเลยไป แล้วก็ถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นอัศนีย์เดินมาเบื้องหลังเด็กแว่น
“หล่ออย่างกับคลิฟ ริชาร์ด”
เด็กแว่นยิ้มรับ “ขอบคุณครับ”
“ฮัลโหล”
อัศนีย์ที่แต่งตัวเต็มที่ พูดทัก พลางวางท่าเกาะเคาน์เตอร์ เด็กแว่นขยับถอยไป แล้วถอดแว่นออกดู แล้วมีรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นนกกระจอกกำลังเผชิญพญาอินทรี
“เจอกันอีกแล้วนะครับ” อัศนีย์ยิ้มให้สาลิน
“ค่ะ มาหาคุณจินนี่หรือคะ”
“โอโน เปล่าครับ ผมกะว่าจะมายืมหนังสือ”
“ถ้าจะยืมหนังสือคุณต้องเป็นสมาชิกก่อนค่ะ แค่ยื่นใบสมัคร แล้วก็ให้สมาชิกเก่าหรือให้เจ้าหน้าที่ที่นี่รับรอง” สาลินอธิบายจริงจัง
“ไอซี งั้นคุณรับรองให้ผมได้ไหมครับ”
อัศนีย์ทำตายิ้มๆ เด็กแว่นขบกรามจนเป็นสัน สาลินยิ้มหวาน
“ไม่ได้ค่ะ แต่คุณจินนี่คงรับรองให้คุณได้”
“โอเค””
สาลินรีบบอก “งั้นฉันตามคุณจินนี่ให้นะคะ”
พูดจบก็เดินแยกไปทันที อัศนีย์รีบตามไปทันที
“คุณลินซี่ “
พอสาลินหันกลับมา เขาก็รีบบอก
“ไม่ดีกว่าครับ เพราะวันนี้ผมไม่ค่อยอยากเจอจินนี่เท่าไร”
สาลินชะงักกึก ลลิตา บราลีและเด็กแว่นเข้ามาเมียงมองอยู่ห่างๆ อัศนีย์ยกข้อมือดูนาฬิกาหรูฝังเพชร
“นี่ก็จวนเที่ยงแล้ว คุณออกไปกินข้าวกับผมไหมฮะ”
สาลินยิ้มนิดๆ เด็กแว่นกำหมัดแน่น
“ผู้หญิงไทย เขาไม่ไปไหนสองต่อสองกับผู้ชายที่ไม่รู้จักกันอย่างนี้หรอกค่ะ”
เด็กแว่นรีบพูดสอด “จริงครับ”
“ว็อท ? แต่เมื่อวานผมกับคุณเจอกันตั้ง 2 ครั้งแล้ว”
สาลินยิ้มน้อยๆ พลางผายมือไปยังเด็กแว่น ที่ทำตาโต ดีใจปานได้แก้ว
“เห็นคุณนักศึกษาแว่นนี่ไหมคะ”
“ครับ”
“เอ่อ ฉันคงไปทานกลางวันกับเขาน่ะค่ะ”
เด็กแว่นยิ้มแก้มปริ อัศนีย์ทำตากรุ้มกริ่ม
“ซักวันหนึ่ง คุณจะต้องยอมรับว่า เรา...รู้จักกัน”
พูดจบก็ค้อมศีรษะเป็นเชิงลา แล้วหมุนตัวเดินจากไป เจอไนเจลเดินเข้ามาพอดี
“เจอกันอีกแล้ว มิสเตอร์แอส”
อัศนีย์ทำหน้าเซ็ง “ผมชื่ออัศนีย์”
“จินนี่อยู่ไหน”
ไนเจลหันมาถาม ลลิตารีบตอบ
“ในห้องแกลลอรี่ค่ะ”
“งั้นวันนี้ผมคงต้องไปทานข้าวกับจินนี่ลำพัง 2 ต่อ 2”
อัศนีย์ยิ้มหยัน “Up to you”
“You're Welcome”
พูดจบ ไนเจลก็เดินผละออกมา
เด็กแว่นยิ้มปลื้ม “จริงนะครับ ไปทานข้าวกับผม”
สาลินส่ายหน้า “พูดเล่นค่ะ ขอโทษที่ต้องใช้คุณเป็นข้ออ้างนะคะ”
“โธ่ ผมไม่ใช่ของเล่นของคุณนะครับ”
“ยังไง ยังไง เล่า เล่า” ลลิตาตื่นเต้น
สาลินหันมาถาม “ทำไมเธอไม่เข้ามาฟังใกล้ๆ ล่ะ”
“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น”
บราลีถามบ้าง “เดี๋ยวคุณชายกิตติ เดี๋ยวคุณมหาเศรษฐีอัศนีย์ เอ๊ะ มันยังไงกัน”
สาลินถอนหายใจ “ฉันก็ยังงง ๆ อยู่นี่แหละ”
ครู่หนึ่งจิตริณีก็เดินมากับไนเจล
“คุณอัศนีย์ มาเหรอคะ”
จิตริณีรีบถาม ไนเจลหน้าตึง สาลินรีบเล่า
“เขามาติดต่อเคาน์เตอร์ค่ะ บอกว่าอยากยืมหนังสือ ฉันเลยแนะนำว่าให้สมัครสมาชิก”
“แล้วนี่หายไปไหนแล้วล่ะคะ”
สาลินส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ทราบค่ะ จู่ๆ ก็ออกไป คงเปลี่ยนใจมังคะ”
จิตริณีมองสาลินอย่างห่วงๆ “อาร์นี่ก็อย่างนี้แหละค่ะ เปลี่ยนใจง่ายวันละหลายหน”
ลลิตา บราลี เด็กแว่นถามขึ้นมาพร้อมกัน“นี่ๆๆๆ วันนี้เราไปทานอะไรกันดี”
ไนเจลรีบบอก “ผมก็หิวเหมือนกัน เราไปกินอะไรดีกัน”
ลลิตาตาโต “... “เรา” แปลว่าไปกันหมดทุกคนหรือคะ”
“ผมหมายถึง ผมกับจินนี่”
ไนเจลพูดจบก็เดินแยกไปกับจิตริณี ลลิตาก้มหน้าเสียใจอย่างแสนสาหัส บราลียิ้มสะใจ สาลินทำตาปริบๆ แล้วแยกไป เด็กแว่นทำหน้าเฮิร์ต
“ทั้งคุณชาย ทั้งมหาเศรษฐี ผมก็คงเป็นแค่ไม้กันหมา”

บราลีพูดเสริม “หมาเห่าใบตองแห้ง”

สาลิน ลลิตา บราลีเดินเข้ามาที่เพิงขายอาหารด้วยกัน
 
“ฮึ คงไปกินสปาเก็ตตี้ แอนโชวี่ในห้องแอร์กัน แต่เราต้องมากินปลาเจ่าหลน อยู่ในเพิงกรำแดดนี่”
ลลิตาตัดพ้อ บราลีทำหน้าเอือม
“จะแอนโชวี่ หรือปลาเจ่า มันก็ปลาเน่า เอ๊ย ปลาหมักเหมือนกันล่ะย่ะ”
สาลินพยักหน้า แล้วพูดเสริม “ดีไม่ดี ปลาเจ่าอร่อยกว่าด้วยซ้ำ”
ลลิตาทำหน้าเหยียดหยาม
“ต๊าย ทำเป็นไม่ชอบของนอกของสูง แต่เห็นคบแต่คุณชายกับเศรษฐี แน่จริงก็คบพวกใช้แรงงานบ้างซี”
“คนใช้แรงงาน อาบเหงื่อเพื่อมวลชน ไม่ดีตรงไหนยะ” บราลีย้อนถาม
“เชอะ”

ลลิตาค้อนใส่ทั้งสาลิน บราลี ก่อนจะเผลอเดินสะดุดแพร่ดไปเข้าอ้อมอกชายคนหนึ่ง แล้วก็ร้องตกใจ เสียงหลง
” ว้าย”
ชายนั้นประคองลลิตาไว้ คล้ายหน้าปกนิยายโรแมนซ์ ลลิตาตะลึงตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคมสันกรามแข็งแรงอยู่ตรงหน้า ลลิตาหน้าแดงซ่าน ชายผู้นั้นก็หน้าแดงไม่แพ้กัน เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า
“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ”
ชายเล็กรีบบอก “ครับ คุณยืนตรงเถอะครับ”
“ทำไมหรือคะ” บราลีย้อนถาม
“ผมหนักครับ ประคองคุณไม่ไหวแล้ว”


ลลิตาหน้าหงิก พลางทรงตัวตรง บราลีหัวเราะเยาะ ชายผู้นั้นถอยไป เห็นว่าใส่ชุดหมี สวมหมวกแก๊ปมีตราบริษัทน้ำมัน ลลิตานึกรังเกียจ
“ว้าย พวกช่างฟิต”
บราลีมองค้อน “ต๊าย แฮนดี้แมน สารพัดช่างต่างหากย่ะ”
ชายผู้นั้นถอดหมวกเสยผม สาลินอ้าปากค้าง
“คุณพล”
“หวัดดีครับ”
ลลิตากับบราลีมองหน้ากัน สาลินถามต่อ
“คุณมาทำอะไรแถวนี้”
“มาหาข้าวกลางวันกินน่ะซีครับ แถวนี้มีอะไรอร่อยบ้าง”
“มากับฉัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
สาลินหันมาหาลลิตาและบราลี
“ฉันมีธุระกระทันหัน ฉันแยกไปก่อนนะ”
ลลิตาพยายามทักท้วง ชายเล็กถอดหมวกอำลา
“ผมขอยืมตัวคุณสาหน่อยนะครับ”
สาลินดึงบดินทร์ออกไป ลลิตาเบะปาก
“ว้าย ไม่ได้มีแต่คุณชายกับเศรษฐี มีกรรมกรอีกคนนึง”
“ชนชั้นกรรมาชีพ แรงงานของชาติ อาบเหงื่อต่างน้ำ”
ลลิตาสูดจมูก “แต่รายนี้ตัวไม่เหม็นเหงื่อเลย ตัวฮ้อมหอม”
บราลีมองลลิตาเป็นเชิงว่า อย่าหลุดบท
ลลิตาถอนหายใจ “จะแนะนำหน่อยก็ไม่ได้ หรือว่ากลัวฉันจะแส่”
“อ้อ รู้ตัวเหมือนกันหรือยะ ตามไปดูมั้ยเธอ”
ลลิตาส่ายหัวยิก “ไม่เอาย่ะ ฉันหิว”
ลลิตาหันขวับมายังเพิงข้าวแกง บราลีก้าวตาม
“โถ แม่คุณ ยอมลดตัวมากินของรากหญ้าริมทาง
ลลิตาแง้มหม้ออาหาร
“ว้าย ปลาร้า เอาเนื้อๆ เน้นๆ ต่อนๆ เลยนะจ๊ะ”

บราลีทำตาปริบๆ

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 7 (ต่อ)

ณ ร้านอาหารเล็กๆ ที่ดูสะอาดสะอ้าน พัดลมบนเพดานหมุนแกว่งไกว
 
สาลินและบดินทราชทรงพลอยู่ที่โต๊ะในสุดตรงหน้าทั้งสองมีน้ำอัดลมพร้อมแก้วเกลือ สาลินเอาหลอดดูดจิ้มเกลือใส่ขวดน้ำอัดลม ดูมันละลายอย่างเพลิดเพลิน มวยมณีนั่งกินอยู่ที่อีกมุมของร้าน
“ทำไม ไม่ชวนเพื่อนคุณมาด้วย”
“เพื่อนฉันกินจุผิดมนุษย์ เดี๋ยวฉันกระเป๋าฉีก”
“โธ่ ผมเลี้ยงเองก็ได้”
“ถ้ามีคนอื่นเลี้ยง เจ้าหล่อนจะยิ่งกินเพิ่มเป็นหลายเท่า”
ชายเล็กหน้าเบ้ก่อนจะเอามือคลำหลัง
“ท่าจะจริง ผมยังปวดหลังอยู่เลย”
“นี่คุณ วันนั้นฉันยังพูดกับคุณไม่จบ”
“เรื่องอะไรฮะ” ชายเล็กถาม
“ก็เรื่องที่ฉันจีบคุณ”
ยายซิ้มที่ยกจานข้าวเสียโปมา 2 จานชะงักกึก ซิ้มมองสาลินแล้วก็ส่ายหน้าวางจานลง ชายเล็กอายแทน
“จีบผมให้มาเป็นพี่เขยคุณ โธ่ ผมก็บอกแล้วว่าไม่ได้” ชายเล็กว่า
“ทำไมจะไม่ได้ พี่สาวฉันทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งดี คุณเห็นปุ๊บต้องชอบปั๊บ”
ชายเล็กอมยิ้ม
“ก็อาจจะจริง” ชายเล็กบอก
“นั่นไง”
“แต่ถ้าพี่สาวคุณดีขนาดนั้น จะเหมาะกับช่างฟิตอย่างผมได้ยังไง เธอเหมาะกับคนดีๆ อย่าง ม.ร.ว. ชื่อยาวมากกว่า”
“ใครบอกว่าอีตานั่นดี ทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งอวดวิเศษ ทั้ง..”
ชายเล็กรีบพูดต่อ “มักมากในกามารมณ์”
ชายเล็กต่อให้ สาลินทำตาปริบๆ
“ฉันกำลังจะพูดว่า ทั้งที่มีคู่รักอยู่แล้วต่างหาก โธ่ พี่สาวฉันต้องเสียใจตายแน่” สาลินบอก
“ถ้าพี่สาวคุณดีพร้อม เขาก็ต้องเห็นซีฮะ”
“ไก่ได้พลอยมีถมไป แถมอีตาคุณชายนี่เป็นไก่ตาบอดด้วย”
ชายเล็กหัวเราะ “คุณนี่ปากจัดอย่างที่เขาว่าจริงๆ”
“เขาไหน”
“โอ้โฮ ข้าวนี่อร่อยจัง”
“น่า คุณไปเจอกับพี่สาวฉันหน่อย”
“โธ่ ให้ผมไปทำอย่างอื่นดีกว่า เช่นไปต่อยหน้าใครก็ได้”
“งั้นไปต่อยหน้าอีตาคุณชายนั่นให้ฉันที อีตานั่นจะได้เลิกมักมากในกามารมณ์ กอดจูบผู้หญิงโชว์ให้คนเห็นกลางวันแสกๆ”
“ไอหยา...ไม่น่ามาแหลกร้านอั้วเลย..มีแต่คนไม่ดี” ซิ้มหันไปเห็นมวยมณี “คนหรือม้าหว่า”
ชายเล็กทำตาปริบๆ

รถยุโรปคันยาวหรูเรียบแล่นมาจอดเทียบบาทวิถี ชายรองผูกไทใส่สูทก้าวลงจากรถ ล็อคประตู แล้วก้าวเดินมาตามทางด้วยท่าทางที่ตรงมาทางนี้พอดี

สาลินกับชายเล็กก้าวมาจากร้านเสียโป
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณที่ห้องสมุดก่อนดีกว่า แล้วค่อยเข้าบริษัท” ชายเล็กบอก
“ก็ได้ เอาซี ไป หน้าเดิน”
ทั้งคู่ออกเดินไปตามถนน
“นี่เราจะวางแผนกันยังไงดี”
ชายเล็กเหวอ “แผนอะไรครับ”
“ก็เรื่องไปต่อยปากนายคุณชายชื่อยาวน่ะซี” สาลินบอก
“นี่คุณพูดเล่น ใช่ไหมนี่” ชายเล็กว่า
ชายเล็กหยุดมองหน้า สาลินหยุดด้วย แล้วสาลินก็แกล้งพูด
“เปล่า ฉันพูดจริง”
ชายเล็กรับมุขด้วยการขบกรามแล้วมองตาวาวก่อนจะพูดเสียงเข้ม เขาแบมือข้างหนึ่งโดยที่อีกข้างกำกำปั้นทุบฝ่ามือแบบผู้ร้ายหนังไทย
“งั้นตกลงตามนั้น เราจะสั่งสอนนายคุณชายนั่นให้เจ็บแสบ”
สาลินหัวเราะคิกๆ
“นายคุณชายนั่นมีร้านผ้าไหมอยู่ที่โรงแรมแถวๆสี่แยก ฉันเห็นเขาชอบมาดูร้านบ่อยๆ”
“งั้นเราก็จัดการที่ร้านผ้า”
ชายเล็กมองไปแล้วปากอ้าค้างชะงักคำพูดทันทีที่เห็นชายรองเดินตรงมา ชายเล็กเลิ่กลั่กๆอยู่แวบหนึ่งแล้วจึงดึงแขนสาลิน สาลินหันมาโดยตัวบังชายเล็กไว้ ชายเล็กพูดเร็วปรื๋อ
“ผมไปด้วยไม่ได้แล้วครับ”
สาลินงง “อ้าว ทำไมล่ะ”
“ข้าศึกบุกครับ แย่แล้ว”
ชายเล็กกุมก้นแล้วทำท่ากระโดดเหยง สาลินทำหน้าไม่ถูกเพราะรู้สึกทั้งขำทั้งทุเรศ
“คงจะเป็นเพราะเป็ดที่กินแน่เลยครับ”
“บ้าซี ฉันก็กินไม่เห็นเป็นไร แล้วทำไงนี่”
“โธ่ไม่เห็นต้องถาม ก็ไป เอาออกน่ะซีครับ ผมไปล่ะ”
ชายเล็กย่อตัวลง
นางหนึ่งเดินมวยโต ตัวสูงใหญ่ สวมมินิสเกิร์ตทันสมัยเดินมา ชายเล็กเข้าประกบวูบ ชายรองเดินมาใกล้มากแต่ก็เห็นแต่มวยยักษ์บังหัวชายเล็กพอดี
สาลินโบกมือลาแบบยกค้างเพราะชายเล็กคล้ายหายวับไป เธออุปทานคล้ายได้กลิ่นเหม็นจึงทำจมูกย่นแล้วหันมาชนอกจนเข้ามาในอ้อมอกของชายรอง
“ว้าย ขอโทษค่ะ”
“อุ๊บ ขอโทษครับ”
สาลินและชายรองขอโทษพร้อมกันแล้วถึงเห็นหน้าชัดจากสีหน้าขอโทษกลายเป็นบึ้งใส่กัน ทั้งสองพูดพร้อมกันอีก
“นี่คุณ เดินประสาอะไร”
“นี่เธอ เดินประสาอะไร”
ทั้งคู่ชะงักไป
“ฉันก็เดินธรรมดา คุณน่ะแหละ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ” สาลินบอก
“เธอน่ะซี จู่ ๆ ก็หมุนตัวขวับมา นี่ฟุตบาทนะ ไม่ใช่แคทวอล์ก” ชายรองว่า
“นี่คุณมาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันมากินข้าวแถวนี้ ไม่ได้มาหาเธอแล้วกัน นี่รถฉันอยู่ตรงนี้”
ชายรองก้าวไปที่รถแล้วเปิดประตูรถด้านหน้าข้างผู้โดยสารให้ สาลินอึ้ง ชายรองมองหน้าสาลิน
“ขึ้นรถซี ฉันจะไปส่งที่ห้องสมุด”

“เรื่องอะไรฉันต้องขึ้น ฉันเดินมาได้ ก็เดินกลับเองได้”

ชายรองขมวดคิ้วก่อนจะกอดอกเอียงคอมอง
 
“ทำไม เธอกลัวอะไร” ชายรองถาม
“ฉันกลัวเป็นหนี้บุญคุณใคร” สาลินว่า
“อย่ากลัวเลย เพราะตอนนี้เธอก็เป็นหนี้ฉันอยู่แล้ว”
“ใครเป็นหนี้อะไรคุณ พูดมานะ”
ชายรองเกาะประตูรถที่เปิดอ้าไว้แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ
“ก็ใครล่ะที่เสื้อเปียกฝนจนมองเห็นทะลุปรุโปร่งถึงเนื้อใน”
สาลินหน้าแดงก่อนจะยกสองมือปิดทรวงแล้วร้องกรี๊ดหนึ่งครั้ง
“จนฉันต้องเสียสละเสื้อให้ใส่”
“ไม่ต้องมาเท้าความ แล้วฉันเป็นหนี้อะไร”
“นี่เธอความจำเสื่อมหรือ เสื้อฉันยังอยู่กับเธอ”
สาลินทำตาโตเพราะลืมเสียสนิท
“อุ๊ย ตายจริง”
“อ้อ เธอลืมจริงๆใช่ไหม”
สาลินเชิด “ใครบอกว่าฉันลืม ฉันเอาไปซักแห้งอยู่ เสร็จเมื่อไรฉันเอาไปคืนเองแหละ”
สาลินสะบัดพรืดไปก่อนจะพูดลอยๆ
“งก”
ชายรองมองตามด้วยความรู้สึกทั้งขำทั้งโมโห แล้วตามไปจับมือของสาลิน
“ว่าฉันงกเหรอ คราวที่แล้วก็ว่าฉันงกสมบัติเสด็จ”
“กรุณาปล่อยมือฉัน”
“งั้นถอนคำพูดก่อน”
“ถอนยังไง”
“ขอโทษฉันก็ได้”
สาลินเชิ่ดหน้า
ชายรองสั่ง “พูด”
สาลินยังหน้าเชิ่ด
“ไม่พูดใช่ไหม งั้นขึ้นรถ”
ชายรองดึงสาลินมาที่รถ
“จะพาฉันไปไหน”
“ฉันงกอย่างที่เธอว่าจริง ๆ ฉันต้องการสูทคืนเดี๋ยวนี้”
“มันอยู่ที่ร้านแถวห้องสมุด”
“ดี ฉันจะไปห้องสมุดกับเธอ”
ชายรองเปิดประตูก่อนจะดึงร่างสาลินให้เข้าไปนั่ง
“อย่าหนีออกมานะ ไม่งั้นฉันเอาเรื่องเธอถึงบอสฝรั่งของเธอแน่ ว่าเธอขโมยสูทฉัน”
สาลินพูดไม่ออก ชายรองขึ้นรถ แล้วรถก็แล่นออกไป

รถชายรองแล่นผ่านชายเล็กที่ยังหลบอยู่หลังมวยมณีที่กำลังเลือกของดองที่รถเข็น ชายรองให้ผมมวยมณีเป็นที่บังหน้า
“ไปด้วยกันเลยแฮะ” ชายเล็กบอก
ทันใดนั้นเสียงแหบห้าวของมวยมณีก็ดังขึ้น
“นี่ตัว”
ชายเล็กชะงักก่อนจะหันมาเจอทรวงยัดฟองน้ำตรงหน้า ชายเล็กเพิ่งสังเกตว่าสาวมวยโตนั้นสูงกว่าตน ชายเล็กค่อยๆเงยหน้าดูก็เห็นลูกกระเดือกแหลม หน้ากร้าน รองพื้นหนา ปากวาดเอิ่บอิ่ม คิ้วโค้งวงจันทร์เป็นเส้นเดียว เขียบขอบตาเซกกั้นไลน์ ขนตาปลอมใส่ทั้งล่างบน กระพือไหว ชายเล็กถึงกับผงะถอย
มวยมณีกระพริบตาถี่ค้อนใส่
“ตามเค้ามาตั้งแต่ร้านเสียโป อยากเสียตัวเหรอ ไอ้เกลอ”
ชายเล็กโบกมือปฏิเสธวุ่น

ชายรองตาม สาลินเดินเข้ามาในห้องสมุด ชายรองมองไปรอบ ๆ อย่างพอใจในสถานที่ สาลินหันมามอง
“รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันไปที่ร้านซักแห้ง ไม่เกินสิบนาที”
“ไม่ต้องไปไหนหรอก วันหลังฉันจะแวะมาเอาเอง”
“ถ้าอย่างนั้นมาส่งฉันทำไม”
“ก็อยากรู้ว่าเธอทำงานเป็นบรรณารักษ์จริง ๆ น่ะซี ไม่ใช่เป็นสาวเสิร์ฟ หรือเด็กเลี้ยงแกะ”
สาลินหน้าเชิ่ด
“เมื่อรู้แล้วก็กลับไปได้” สาลินบอก
“หนังสือเยอะดีนะ ขอฉันดูหนังสือหน่อย เผื่อจะยืมกลับไปอ่านบ้าง” ชายรองว่า
“ต้องเป็นสมาชิก”
“ก็สมัครให้ฉันซี”
ชายรองเดินเข้าไปในโถงไม่สนท่าทีขัดใจของสาลิน

ชายรองกำลังสำรวจหนังสือตามชั้น จิตริณี ลลิตาและบราลีเดินผ่านมาพอดี นายแว่นยังนั่งประจำที่อยู่แถวนั้น
“โลลิต้า กลิ่นปลาร้าเธอยังหึ่งเป็นต่อน ๆ อยู่เลยนะ”
“ฉันแปรงฟัน ล้างปาก กวาดลิ้นแล้วนะ ไม่เชื่อลองดม”
ลลิตาพ่นลมออกมา บราลีหันหน้าลลิตาไปทางหนุ่มแว่น แว่นทำท่าเหมือนจะเป็นลม
“เป็นยังไงนายแว่น” บราลีถาม
“เกินพรรณาครับ คงไม่ได้ทานไปแค่ต่อนเดียวแน่ ๆ”
จิตริณีมองเลยไปจนเห็นชายรองยืนเลือกหนังสืออยู่
“เดี๋ยวค่ะ ผู้ชายคนนั้นคือ หม่อมราชวงศ์ ชายรองราชนรินทร์ วุฒิวงศ์ ใช่ไหมคะ”
“ใช่จริง ๆ ด้วย”
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่ามายืมหนังสือ”
“คำตอบอยู่นั่นแล้วค่ะ”
ทั้งหมดมองไป สาลินเดินมาหาชายรอง บราลี ลลิตา และแว่นมองจนตาค้าง
“คุณจะยืมหนังสือจริง ๆ เหรอ”
“จริงซี มีหนังสือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่ฉันกำลังศึกษาอยู่พอดี ยืมให้ฉันได้ไหม”
“ต้องสมัครสมาชิกก่อนค่ะ แค่ยื่นใบสมัคร”
บราลีกับลลิตาเข้ามาทันที จิตริณีและแว่นตามมาห่าง ๆ ชายรองจำจิตริณีไม่ได้
บราลีเคร่งขรึม “แล้วก็ให้สมาชิกเก่า หรือเจ้าหน้าที่ที่นี่รับรอง”
“ดิฉัน โลลิต้า บรรณารักษ์ที่นี่ ยินดีรับรองให้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ แต่คิดว่าคุณสาลินน่าจะรับรองให้ผมได้”

ชายรองหันไปยิ้มกับสาลิน สาลินหน้าเชิ่ด
 
“งั้นตามฉันมา”
สาลินเดินผ่านหนุ่มแว่น ชายรองเดินตาม ลลิตากับจิตริณีรีบตามไปดู แว่นฮึดฮัด
“เจ้าคุณชายนี่น่ะเหรอครับ ที่ฉุดคุณสาลินวันนั้น” แว่นถาม
“ใจเย็นค่ะ เขาฉุดไปคุยกันในรถแค่นั้น” บราลีบอก
“นั่นแหละครับ ถือว่าฉุด ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ผมจะไปจัดการกับมัน” แว่นว่า
“ก่อนจะมีเรื่องสำรวจความปลอดภัยตัวเองก่อน ดูซิคะคุณชายดูลักษณะแข็งแรงอาจจะเป็นนักกีฬา”
แว่นอึ้ง

สาลินกำลังทำบัตรให้ชายรอง จิตริณี ลลิตา บราลีและแว่นทำทีเป็นทำงานแต่ยังมองมาตลอดเวลา
“เอ แล้ววันนี้บอสฝรั่งไม่ชวนเธอไปทานกลางวันเหรอ”
สาลินเงยหน้ามองชายรองด้วยสายตาว่าเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ชายรองทำหน้าไม่สนใจถามต่อ
“ถึงปล่อยให้เธอไปทานแถว ๆ ร้านข้าวเสียโปนั่น แทนที่จะทานร้านฝรั่งห้องแอร์”
สาลินดูท่าทีชายรองแล้วแกล้งตอบแบบกำกวม
สาลินทำท่าเซ็กซี่ขณะตอบ “วันนี้ไม่ใช่เวรของบอสค่ะ วันนี้ฉันไปทานกับคุณพล หนุ่มปั๊ม”
“พล หนุ่มปั๊ม” ชายรองสงสัยนิด ๆ แต่เขาคิดว่าไม่น่าจะใช่ชายเล็ก “อ้อ มีหลายคน คงไม่รวมนายเศรษฐีอัศนีย์นั่นอีกคนนะ”
“อัศนีย์ คุณอัศนีย์มาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ไม่รู้ซี เห็นเขาพูดถึงเธอว่าน่ารักอย่างโน้นอย่างนี้”
สาลินยิ้มก่อนจะทำท่าเซ็กซี่ต่อ “เหรอคะ คุณอัศนีย์ชมฉันเหรอ แหม น่าปลื้มใจ รู้จักกันแค่แป๊บเดียว เมื่อกี้ก่อนเที่ยงเค้าก็มาหาชั้นนะคะ”
“เหรอ นายอัศนีย์มาหาเหรอ”
“เค้ามาชวนชั้นไปทานกลางวัน แต่พอดีชั้นมีนัดกับคุณพลน่ะค่ะ” สาลินบอก
ชายรองมองหน้าสาลินด้วยอาการหมั่นไส้ สาลินแอบอมยิ้มแล้วมองเลยไปที่หนุ่มแว่น
“คุณแว่นคะ” สาลิเรียก
แว่นตรงมาหาทันทีแล้วมองชายรองตาขวาง
“พรุ่งนี้กลางวันอย่าลืมนะคะ”
“ละ ลืมอะไรครับ” แว่นอึกอัก
“อ้าว ทานกลางวันไงคะ”
“หา คุณสาลินจะทานกลางวันกับผม จริงนะครับ”
“ถึงเวรของคุณแล้วล่ะค่ะ”
แว่นดีใจจนเกือบร้องไห้ ชายรองหน้าตึง
“ขอบคุณครับ ถึงเวรของผมแล้ว”
แว่นยิ้มร่าแต่หันมาที่ชายรองก่อนจะทำหน้าเหมือนยักษ์แล้วคำรามเบา ๆ ก่อนเดินแยกไป ไนเจลเดินมาพอดี
“ลินซี่ วันนี้”
ไนเจลชะงักเมื่อเห็นชายรองก็มองอย่างไม่ชอบใจนัก
“อ้าว คุณ ผู้ชายในห้องส้วม”
“สวัสดีครับ บอสในห้องน้ำ”
“คุณชาย นี่บอสฉันค่ะ มิสเตอร์ไนเจล บอสคะ นี่ หม่อมราชวงศ์ชายรองราชนรินทร์ วุฒิวงศ์ พรินซ์ชายรองค่ะ”
“โอว์ เจ้าชายชื่อยาวเป็นรถไฟ จำไม่ได้ ภาษาไทยยากมาก” ไนเจลว่า
ชายรองพูดอย่างรำคาญเต็มที “ผมชื่อชายรอง”
“คิตตี้ ชื่อเหมือนแมวเลยนะ”
ชายรองยิ่งหน้าตึงด้วยความโกรธ
“ห้องสมุดของเรายินดีต้อนรับเจ้าชายคิตตี้นะครับ คิตตี้ ๆๆๆ” ไนเจลเรียกล้อเลียน
ไนเจลยิ้มกวนตีน ชายรองทำท่าจะเอาเรื่อง จิตริณีรีบเข้ามาหาไนเจล
“บอสคะ ได้เวลาอ่านไทยแล้วค่ะ ท่องหนูหล่อเพิ่มรึยังเอ่ย”
“บทไหนล่ะครับ”
“เมื่อเจ้า ทะเลาะ กะเขาทีไร หน้าตาเจ้า ก็งอเง้า เค้าเสีย”
“เมื่อเจ้า ทะเลาะ กะเขา ทีไร หน้าตาเจ้าก็ เค้าเป๋” ไนเจลว่า
“ไม่ใช่ค่ะ เค้าเป๋ นั่นภาษาจีนแล้ว”
จิตริณีลากไนเจลแยกไป ลลิตากับบราลีเอาเอกสารให้ชายรองเซ็น
“เสร็จธุระแล้ว ชั้นจะไปส่งค่ะ” สาลินบอก
ชายรองส่ายหน้า “เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเธอทำงานที่นี่ได้”
“ทำไมคะ”
“มีแต่ Freak คนเพี้ยน ๆ น่ะซี”
“เค้าด่าเธอ”
“ด่าไอ้ฝรั่ง”
“ไอ้ฝรั่ง เจ้านายชั้น”
สาลินยิ้มแล้วทำหน้าเซ็กซี่ต่อ ชายรองมองด้วยอาการรำคาญ

สาลินมาส่งชายรองที่หน้าตึก รถชายรองจอดอยู่บริเวณที่มีรถหรูจอดอยู่สองสามคัน ชายรองถือหนังสือที่ยืมมาด้วยสองสามเล่ม
“ขอบใจที่ให้ยืมหนังสือ ครบกำหนดแล้วฉันจะแวะมาคืน” ชายรองบอก
“ดีค่ะ เพราะฉันจะเอาสูทมาคืนคุณด้วย” สาลินว่า
“พี่สาวเธอเขารู้ไหมนะว่าเธอ มีคู่เดททานกลางวันเยอะขนาดนี้”
สาลินพูดอย่างสนุก “รู้ซี ฉันไม่เคยปิดบังพี่ศรีอยู่แล้ว”
“พี่สาวเธอไม่เตือนเธอบ้างรึไง”
“เตือนฉันเรื่อง” สาลินงง
“ก็เที่ยวเฟลิตไปทั่วแบบนี้” ชายรองว่า
“คุณนี่ตัดสินคนอย่างใจแคบที่สุด ทุกคนที่ฉันไปทานกลางวันด้วย คือเพื่อนคือนาย ฉันไม่ได้คิดอะไรด้วยสักหน่อย”
“แต่ผู้ชายพวกนั้นคิด และเธอก็เปิดโอกาสให้เขาเสียด้วย”
“ฉันเป็นห่วงพี่ศรีจริง ๆ แล้วซี”
“ทำไม”
“ที่จะต้องมาแต่งงานกับผู้ชายใจแคบและดูถูกผู้หญิงอย่างคุณ”
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ”
“ลาก่อนค่ะ อ้อ หนังสือต้องคืนตรงเวลานะคะ ถ้าเลยกำหนดต้องถูกปรับวันละสิบบาท หนังสือหายากน่ะค่ะ แพงหน่อย”

สาลินกลับเข้าตึก ชายรองมองด้วยความหัวเสีย

สาลินกลับเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องชะงักเพราะลลิตากับบราลียืนรออยู่แล้ว จิตริณีฟังอยู่ด้วย
 
“นี่เธอยังไงกัน คุณชายรถยาว ทะเลาะอะไรกัน”
บราลีกรายมาอีกข้าง
“หรือว่าเขาหึงเธอ”
“หึงอะไร ใครหึงใคร” สาลินว่า
“จะใคร ก็อีตาช่างฟิตตัวหอมน่ะซี ก็คุณชายน่ะ เค้าหึงอีตาช่างฟิตตัวหอมนะซี้” ลลิตาบอก
สาลินรีบว่า “บ้า”
บราลีส่ายหน้าผิดหวัง
“อะไรกันยะ สายคน เที่ยงคน บ่ายอีกคน”
“เดี๋ยวก่อน บอกฉันมาก่อนว่า ช่างฟิตตัวหอม หน้าตาดี ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใคร ทำงานอะไร”
“ชื่อพล ทำงานปั๊มน้ำมัน”
ลลิตาผงะ
“ว๊าย เด็กปั๊มหรือ”
สาลินหมั่นไส้เลยพยักหน้า
“ฮื่อ เขาทำงานที่ปั๊มน้ำมันใกล้บ้านฉัน”
“ต๊าย แล้วเธอไปคบกับเขาได้ยังไง อี้ พวกกรรมกร”
ลลิตาทำท่ารังเกียจ แต่ดูๆไปแล้วก็มีแววเคลิ้มด้วยแต่บราลีเชิดหน้าขึ้นเหมือนจะบูชาประธานเหมา
“ชนชั้นกรรมาชีพ อุทิศหยาดเหงื่อและมวลกล้ามเนื้อเพื่อประชาชน ยายสาฉันเชียร์นายพล เด็กปั๊มคนนี้”
“ฉันเชียร์ คุณอาร์นี่ กับคุณชายชายรอง”
“ฉันยกให้พวกเธอเลยก็แล้วกัน ชอบอย่างไหนขอให้ได้อย่างนั้น พอ ฉันจะทำงาน”
สาลินปาดลลิตากับบราลีจนเซไป แล้วตรวจดูเอาหนังสือมาซ้อนราวคืบหนึ่ง
“นี่ยังไม่ได้เล่าเลย ทะเลาะอะไรกับคุณชายรถยาว”
สาลินชะงักแล้วว่า
“ฉันเกลียด ได้ยินไหม”
“แล้วเธอเคยได้ยินไหม แบลลี่”
บราลีถาม “ว่า”
“ว่าเกลียดยังไงจะได้ยังงั้น”
สาลินโกรธจึงยกหนังสือทั้งกองกระแทกโครมให้เสมอกัน เสียงดังไปทั่วอาคาร
“ว้าย แม่”
บรรดาผู้มาใช้บริการเหลียวมามองเอาเรื่อง บ้างเอานิ้วชี้จ่อปากทำเสียงชู่ สามสาวบรรณารักษ์ยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยค่ะ”

ชายเล็กนั่งกินน้ำชากับของว่างอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหน้าโทรทัศน์ ชายรองเข้ามาแล้วนั่งลงด้วย เจียมเสิร์ฟน้ำแล้วเดินแยกไป
“กลับบ้านแต่วันเชียววันนี้” ชายรองว่า
“ก็เบื่อเที่ยวบ้างซีครับ นี่ เมื่อบ่ายผมเข้าบริษัทที่สีลม เห็นพี่รองแถวสุรวงศ์ด้วย”
“อ้าวหรือ ฉันไปกินข้าวกับนายศุภร”
ชายเล็กทำท่าคิดหนัก
“แต่เอ ผมไม่ยักเห็นพี่ศุภร แต่เห็นพี่รองคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง”
ชายรองวางถ้วยชาลงแล้วพิงเก้าอี้
“จะใครซะอีกล่ะ นี่แหละ แม่สาลิน น้องสาวศรีจิตรา”
“อ๋อ น้องเมียในอนาคตของพี่รองนี่เอง” ชายเล็กว่า
“นายเรียกแบบนี้แล้วฟังพิลึก” ชายรองบอก
“เอ แปลกนะ ท่าทางพี่รองดูจะสนิทกับว่าที่น้องเมียมากกว่าว่าที่ภรรยาซะอีก”
ชายรองมองหน้า
“คุยกันเรื่องอะไรน่ะฮะ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ผมดูเหมือนจะมีอะไรนะครับ ดูเหมือนมีการต่อปากต่อคำ มีการทะเลาะ และมีการงอนป่องๆใส่กันด้วย”
ชายเล็กล้อ ชายรองขุ่นใจนิดๆ โดยไม่ได้คิดอย่างที่ล้อเลย
“นายเล็ก นายอยากโดนต่อยปากไหม”
ชายเล็กกุมปาก
“อย่านะฮะ ผมยังอยากกินน้ำพริกอยู่”
ชายรองลุกขึ้น
“แต่พี่รองระวังตัวให้ดี ๆนะฮะ”
“ระวังตัวอะไรของนาย”
“เผื่อโจทก์ของพี่รอง จะหานักเลงมาจัดการพี่รองน่ะซี”
ชายรองคิดว่าชายเล็กเพ้อเจ้อเลยไม่พูดด้วย เขาเดินขึ้นไปชั้นบน ชายเล็กอมยิ้ม

ชายรองยังอยู่ในชุดเดิม เขาพลิกหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมาพลิกดู ก่อนจะหยิบการ์ดที่ประทับตราวันที่คืน ที่เสียบอยู่หน้าสุดท้ายของเล่มมาดูวันที่ก่อนจะยิ้มขำออกมาเล็กน้อย
“ปรับวันละสิบบาท ยายเด็กบ้า”
เสียงเคาะประตูสามครั้งแล้วเปิดเข้ามาเลยอย่างทุกครั้ง ชายเล็กเปลี่ยนเป็นชุดหล่อดูสุภาพพร้อมกับยิ้มร่าเข้ามา
“อ้าว วันนี้เที่ยวไหนล่ะ แต่งตัวเรียบร้อยเชียว”
“เที่ยวตำหนักใหญ่ครับ และจะมาชวนพี่รองไปด้วย ขอข้าวเด็จป้าทานสักมื้อ”
“มาชวนฉันทำไม”
“โธ่ ตั้งแต่คุณหนูศรีมาอยู่วัง พี่รองเจอเธอแค่ครั้งเดียว ใจคอจะไม่ยอมไปพบเธออีกเลยเหรอครับ น่า ไปนะ หนังสือนี่เลิกอ่านได้แล้ว”
ชายเล็กหยิบหนังสือมาและพบว่าประทับตราห้องสมุด
“หนังสือห้องสมุด แน่ะ ไปห้องสมุดคุณสาน้องคุณหนูศรีมาแน่ ๆ เลย”
“ฉันไปส่งเขา” ชายรองบอก
“แล้วก็ยืมหนังสือเขามาเสียด้วย เป็นยังไงครับ บรรยากาศดีน่าไปนั่งอ่านหนังสือไหม”
“ห้องสมุดน่ะดี แต่คนไม่ค่อยดี”
“ยังไงหว่า”
“มีแต่คนเพี้ยน ๆ ยายเด็กนั่นถึงทำงานที่นั่นได้”
ชายเล็กอมยิ้ม
“คนนึงเพี้ยน อีกคนมักมากในกามารมณ์ ขนมพอสมน้ำยาจริง ๆ”
“นายว่าอะไรนะ” ชายรองถาม
“ไม่มีอะไรครับ อาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ แล้วไปตำหนักใหญ่กับผม”
ชายเล็กดึงร่างชายรองให้ลุกขึ้น
“ก็ได้ ก็ได้”

ชายรองเดินแยกเข้าห้องน้ำไป ชายเล็กหยิบหนังสือมาพลิกดู

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 7 (ต่อ)

เสด็จประทับบนโซฟาทรงพระอักษรอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ห้องนั่งเล่นด้านใน
 
โดยที่โทรทัศน์เปิดอยู่ มาลา วรรณา และนางข้าหลวง 3 วัยแทบหมดตำหนักนั่งดูทีวีตาไม่กระพริบ ทุกนางหลุดเข้าสู่โลกละคร มีอารมณ์ร่วมสุดชีวิตโดยไม่รู้ความเป็นไปในโลกแห่งความจริง
“อุ๊ย พระเอกออกแล้ว” มาลาว่า
“แต่ฉันว่าพระรองหล่อกว่า” วรรณาบอก
ชายรองและชายเล็กเข้ามากราบเสด็จกับพื้น เสด็จถอดฉลองพระเนตรแล้ววางหนังสือ
“มากันแล้วเหรอ”
ชายรองและชายเล็กมานั่งบนโซฟา บรรดานางข้าหลวงทั้งหลายไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียว
“ยังไงกัน” เสด็จถาม
“วันนี้เกล้าชวนพี่รองมาขอประทานอาหารเย็น เด็จป้าซักมื้อพะยะค่ะ” ชายเล็กบอก
เสด็จพูดเล่น “ได้สิจ๊ะ แต่มื้อนี้คงมีหลายคนมาร่วมโต๊ะนะ ไม่รู้ข้าวจะพอรึเปล่า”
“เกล้ากินไม่เยอะหรอกพะยะค่ะ”
“แต่เกล้ากินเยอะกว่าพี่รองพะยะค่ะ”
“ใช่ แกมันท้องยุ้งพุงกระสอบมาตั้งแต่เล็กแล้ว”
สอางค์กับศรีจิตราเข้ามาแล้วก็ชะงัก สอางค์ยิ้มร่า ศรีจิตราวางหน้าไม่ถูก สอางค์คว้าข้อมือศรีจิตราหมับแล้วพาเข้ามา สอางค์และศรีจิตราไหว้ชายรองและชายเล็ก ชายรองกับชายเล็กรับไหว้ ชายรองวางหน้าเฉยๆ ศรีจิตรายิ้มนิดๆ เบนสายตามาที่ชายเล็ก ชายเล็กยิ้มแป้น ศรีจิตราหุบยิ้ม แต่ดวงตาพราวขึ้น เสด็จทรงผายพระหัตถ์ให้นั่งด้วยกัน ศรีจิตรากับสอางค์นั่งลง
“มากันแล้วเหรอคุณชาย พร้อมหน้าแล้วค่ะ แต่เอ๊ะ นี่มีใครไปบอกพวกห้องเครื่องหรือยังเพคะ”
เสด็จทรงถอนพระทัยก่อนจะกรายพระหัตถ์ไปยังผู้ชมมหรสพเบื้องหน้า
“เธอดูเอาเองก็แล้วกัน”
สอางค์มองดูแล้วอุทานก่อนจะตบอกตัวเอง
“ว้าย มาอยู่นี่กันหมด พวกห้องเครื่องก็ด้วย”
ศรีจิตรากลั้นหัวเราะ ชายเล็กมองแล้วก็เห็นว่างดงามมีชีวิตชีวายิ่ง
ชายรองมองดูก็เห็นว่าศรีจิตราดูงดงามเยือกเย็นผิดกับอีกคนจึงคิดในใจ
“เฮ้อ ไม่มีได้พี่มาบ้างเลย”
สอางค์มองดูชายรองก็เห็นมองศรีจิตราแล้วก็ดีใจจึงกุมมือหลานสาว
“หนูเรียกเองค่ะ คุณป้าใหญ่”
ศรีจิตราลุกไปยังห้องตั้งทีวีแล้วเลื่อนตัวลงไปหามาลา วรรณา
“พี่มาลา พี่วรรณาคะ”
มาลากับวรรณาไม่หันมา ทั้งสองมองโทรทัศน์ตาไม่กระพริบและหอบจนอกกระเพื่อม
“อุ๊ย ปากจ่อกันแล้ว”
วรรณาเชียร์ “จูบเลย”
ทันใดภาพในจอก็ฟรีซจบตอน มาลากับวรรณาตบเข่าฉาด นางข้าหลวงถอนใจกันระงมทั้งตำหนัก
มาลา วรรณาหันมา
“ขา คุณศรีว่าไงคะ” มาลาถาม
วรรณาหันมา “ว้าย คุณแม่บ้าน มาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“อ้าว คุณชายรอง”
“ว้าย คุณชายเล็ก นี่มาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“ก็มาพร้อมพระเอกกับพระรองนั่นแหละจ้ะ”
มาลากับวรรณาอายม้วน นางข้าหลวงคิกคักแล้วก็นึกได้จึงยกมือไหว้ชายรองกับชายเล็กเป็นฝักถั่ว
เสด็จทรงถอนพระทัย
“ดู ดู กำเริบขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้จะใช้จะสอยอะไรต้องรอให้ละครจบก่อน หรือไม่ก็ตอนที่โฆษณาประกาศขายสินค้า”
สอางค์ตบมือกับเท้าแขนโซฟา
“นี่คงต้องเอาหวายลงหลังกันบ้างแล้วล่ะเพคะ ดูรึได้เวลาเสวย แต่ไม่มีใครย้ายบั้นท้ายไปจัดการเลยซักคน”
“ย้ายเดี๋ยวนี้ เพคะ”
“ย้ายแล้วเพคะ”
ทุกคนกระวีกระวาดเดินเข่ากันออกไป พริบตาเดียวก็เหลือแต่เจ้านาย สอางค์พูดไล่หลัง
“แกสองคนน่ะต้องโดนก่อน แม่เมียตะเข้”
เสด็จทรงพระสรวล
“ยุคนี้ขืนเอาหวายหวดหลังใคร ฉันคงโดนฟ้องหมดตัวแน่”
“อะไรกัน จริงหรือเพคะ” สอางค์ถาม
“จริงซี โลกมันเปลี่ยนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว สอางค์”
ชายรอง ชายเล็ก และศรีจิตรามองเสด็จอย่างเทิดทูน
“โทรทัศน์นี่ อย่างน้อยๆก็ทำให้เราได้เห็นโลกภายนอก ฉันถึงไม่หวงไม่ห้ามไง”
“เพคะ”
“เด็จป้าพระทัยดีเหลือเกินพะยะค่ะ” ชายเล็กบอก
“ศรีจิตราก็ชอบอ่านหนังสือ คนอ่านหนังสือน่ะ ฉลาด หูตากว้างไกล มีความคิดความอ่าน”
ศรีจิตราก้มหน้า
“จริงพะยะค่ะ วันก่อนเกล้าคุยกับคุณศรีเรื่องนิทานอยู่ตั้งนาน คุณศรีรู้จักนิทานมาก พอๆกับนมย้อยเลยพะยะค่ะ”
ชายรอง เสด็จ และสอางค์มองด้วยอาการแปลกใจ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันน่ะชอบอ่านแค่พวกนิทาน ต้องยายสา สาลินน้องสาวหม่อมฉันซีเพคะ”
ชายรองกับชายเล็กมอง
“ยายสาอ่านหนังสือทุกเรื่องทุกแนว จนแทบจะหมดห้องสมุดที่ทำงานอยู่แล้วเพคะ”
ชายเล็กยิ้ม ชายรองทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งด้วยอาการกึ่งหมั่นไส้ แต่ดวงตาเป็นประกาย สอางค์ยิ้มแป้น
เสียงสอางค์ดังขึ้น “แม่ศรีนี่เขาที เชียร์ยายสาให้คุณชายเล็กด้วย”
เสด็จพยักพระพักตร์
“ชื่อสาลิน เป็นบรรณารักษ์ด้วยหรือ”
ชายรองและชายเล็กเผลอตัวตอบพร้อมกัน
“พะยะค่ะ”

ศรีจิตรากับสอางค์ชะงัก เสด็จทรงทอดเนตรดูพระภาติยะอย่างสงสัย

เสด็จประทับที่หัวโต๊ะ โดยที่สอางค์กับศรีจิตราอยู่ข้างหนึ่ง ชายรองและชายเล็กอยู่ข้างหนึ่ง
 
ศรีจิตราแม้ระวังตัวแต่ก็ประหม่าน้อยลง มาลา วรรณายืนคอยรับใช้ อาหารบนโต๊ะนั้นไม่มากฟูมฟายแต่ไม่น้อย จัดมาอย่างประณีต
ชายเล็กคอยพูดคอยคุย เสด็จทรงพระสำราญยิ่งกว่าทุกวัน ศรีจิตรามองดูชายรอง ชายรองมองชายเล็กพูดอยู่ ศรีจิตราเบนสายตามาที่ชายเล็กก็เห็นปากชายเล็กพูด ส่วนตามองดูตนเองก็สะดุ้ง สอางค์สะกิด
“ตั้งแต่มาอยู่นี่ คุณศรีได้ออกไปข้างนอกบ้างหรือเปล่าฮะ” ชายเล็กถาม
“เอ้อ”
ศรีจิตราอึกอักแล้วจะรีบตอบว่ายังแต่ก็เหมือนว่าอยากไปเที่ยวหรือว่าวังน่าเบื่อ
“จริงซี มาอยู่นี่จะสองเดือนแล้ว แต่ศรีจิตรายังไม่ได้ออกไปไหนเลย สอางค์” เสด็จบอก
“เพคะ”
“วันหลังเธอก็พาหลานออกไปชมตะวันบ้าง ขืนจับเจ่าอยู่แต่ในวังอย่างนี้ อีกหน่อยมีหวังเฉาตายพอดี”
เสด็จตรัสอย่างปราณี ศรีจิตราซาบซึ้ง สอางค์เหลือบมองชายรองโดยมีแววเจ้าเล่ห์เพทุบายปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
“ข้างนอกเดี๋ยวนี้ รถรา ผู้คน ตึกราม มันวุ่นวายไปหมด คราวก่อนไปพาหุรัดก็ไปเป็นลมเพคะ”
“ตายจริง แล้วจะให้ใครพาไปดีล่ะ”
ชายเล็กยิ้มในใบหน้า โดยมีดวงตาวางแผนไม่แพ้สอางค์
“ก็พี่รองไงพะยะค่ะ ให้พาคุณศรีไปเที่ยวบ้างก็น่าจะดีพะยะค่ะ”
สอางค์สบตาชายเล็ก ตาทั้งคู่เป็นประกายวูบวาบ เสด็จขมวดพระขนง ศรีจิตราชะงักแล้วเหลือบมองชายเล็กตาวาวนิดหนึ่ง ชายเล็กยักคิ้วมองดูชายรอง ชายรองจากยิ้มนิดๆ กลายเป็นเรียบเฉย แต่ตามองชายเล็กมีแววเอาเรื่อง
“จริงไหม พี่รอง” ชายเล็กถาม
ชายรองขยับกายพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะพูดเรียบด้วยความอ่อนโยน
“ถ้าจะไปซื้อของตามประสาผู้หญิง ให้ผู้หญิงด้วยกันพาไปจะดีกว่า”
สอางค์หุบยิ้ม ชายเล็กชะงัก ศรีจิตรามองชายรองด้วยความรู้สึกที่ยังใจชื้นที่ชายรองไม่ได้ปฏิเสธอย่างกระด้าง
“น้องสาวบรรณารักษ์ของเธอไง”
ศรีจิตรายิ้ม
สอางค์ทำท่าล่อกแล่กเพราะผิดแผน ชายเล็กเองก็รู้สึกว่าเรื่องยุ่งขึ้นชนิดอาจความแตก
“ยายสาน่ะหรือคะ”
“นั่นแหละ ให้สาลินพาไป” ชายรองบอก
ชายรองมีแววหมั่นไส้ขณะพูดชื่อ
“ว่ายังไงสอางค์” เสด็จถาม
สอางค์คิดปราดไป สอางค์เองเกิดลังเล เสด็จ ชายรอง ชายเล็ก และศรีจิตรามอง
“แม่สร้อยชอบมาฟ้องบ่อยๆว่า ยายสาน่ะซุกซนโลดโผนโจนทะยานเกินวิสัยหญิง”
ชายเล็กอมยิ้ม ชายรองสะใจ
“กลัวจะมาทำให้ระคายพระทัยซีเพคะ” สอางค์บอก
ชายเล็กอ้าปากอยากแก้ตัวให้ แต่ไม่ทันชายรอง
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“ซุกซน โลดโผนโจนทะยานเกินผู้หญิงอย่างงั้นหรือ” เสด็จทวนความ พระเนตรมีแววสนใจระคนขบขันอะไรบางอย่าง
“แม่สร้อยบอกว่า ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเพคะ”
“ยายสร้อยว่ายังงั้น ยายสร้อยว่าอย่างนี้ แล้วเธอเองล่ะ คิดว่าหลานเป็นยังไง”
สอางค์ทำตาปริบๆ เอานิ้วมานับ
“เออ หม่อมฉันไม่ได้เจอตัว มาห้าปีแล้วเพคะ”
เสด็จทรงค้อน
“พวกฟังความข้างเดียวมาอีกแล้ว สิ่งที่เห็นและความจริงที่เป็นมันอาจไม่ตรงกันก็ได้นะจ๊ะ เขาถึงพูดว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก”
เสด็จตรัสคล้ายเนื้อเพลงแรงเงา สอางค์ยิ้มแห้งๆ ศรีจิตราพอใจ ชายเล็กยังคงครุ่นคิด ชายรองนิ่งฟังด้วยความรู้สึกราวเสด็จตรัสกับตนโดยตรง

ห้องนั่งเล่นส่วนพระองค์นั้นนานๆจึงจะเปิดใช้ทีโดยเป็นห้องนั่งเล่นแบบหรูหรา วางโซฟาไว้หมู่ใหญ่และมีเก้าอี้รอบๆ มีโต๊ะน้ำชา โต๊ะเล่นไพ่ แกรนด์เปียโน มุมแผ่นเสียงและมุมอ่านหนังสือ ด้านหนึ่งมีพระรูปเสด็จพระองค์ชายหล่อเฟี้ยวในชุดสูทแบลกไทสวมท็อปแฮท อีกรูปคือเสด็จเมื่อมีพระชนม์ราว 20 ทรงชุดราตรีแบบยุค 30 ดูหรูหราสง่างาม เสด็จควงแขนชายรองเดินนำเข้ามา ชายเล็กควงแขนสอางค์เดินตาม ศรีจิตรา ตามมาด้วยมาลา วรรณาที่เชิญกาแฟ ชา ขนม และผลไม้มากินต่อในห้องนี้
ชายรองพาเสด็จมานั่งลงที่โซฟา เสด็จเรียกให้ศรีจิตรามานั่งข้าง สอางค์เดินไปเกาะดูรูปเสด็จพระองค์ชาย ส่วนชายเล็กเผลอไป
“โอ้โฮ เด็จลุง รูปนี้ยังกะเกรเกอรี่ เปก”
“ไม่หรอกค่ะ เหมือนเออรอลล์ ฟลินท์ กะแกรี่ คูเปอร์มากกว่า” สอางค์ว่า
พูดจบสอางค์ก็ยิ้มเศร้า
ศรีจิตรา มาลา และวรรณาสบตากันว่าเดี๋ยวเกิดเรื่องแน่ ศรีจิตรามองชายเล็กบุ้ยใบ้ ชายเล็กงง จึงเอานิ้วชี้ตัวเองถาม เสด็จและชายรองมองมา สอางค์ปากเบะน้ำตาร่วง
“โธ่เอ๋ย ไม่น่าพระชนม์สั้นเลย โธ่ มาด่วนทอดทิ้งหม่อมฉันไป”
ชายเล็กเพิ่งรู้ทำตาปริบๆ ศรีจิตราบุ้ยใบ้ให้ปลอบ ชายเล็กก้าวไปชิดด้านหลัง ยกสองมือจับไหล่สองข้างของสอางค์
“ชุดนี้ยังกะชุดงานบอลล์ เด็จลุงเต้นรำเก่งไหมฮะ”
สอางค์เงยหน้าและยิ้มออก สักพักก็น้ำตาแห้ง
“อุ๊ย เต้นยังกะเฟรด แอสแตร์ ดิฉันก็เลยต้องเป็นจิงเจอร์ โรเจอร์ให้องค์ชายท่าน”
ชายเล็กจับสอางค์เดินกึ่งเต้นรำหมุนตัวมารวมกลุ่ม ศรีจิตราทึ่งชายเล็ก เสด็จจิบพระสุธารสแล้วหันมาถามสอางค์ ชายรองไปนั่งห่างชายเล็ก
“นี่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าน้องสาวศรีจิตราเลยนะ หน้าตาเป็นยังไง เหมือนศรีจิตราไหม”
สอางค์ทำตาปริบๆ “เอ ง่า เอ้อ คงจะละม้ายๆกันมั้งเพคะ”
ชายเล็กหลุดปาก “สวยฮะ แต่ไม่ละม้ายๆเท่าไร พะยะค่ะ”
เสด็จ ศรีจิตรา และสอางค์มองชายเล็ก
มาลากับวรรณาสบตากันก่อนจะรีบขยับมาวงในจะได้ฟังให้ชัด ชายรองมองชายเล็ก ชายเล็กรู้ตัวว่าหลุดปากแต่ยิ้มมุมปาก
“แกรู้ได้ยังไง แกเคยไปเห็นเขาหรือตาเล็ก”
ชายเล็กตอบ “เห็นซีพะยะค่ะ”
ศรีจิตรามอง สอางค์ตาโตดีใจ เสด็จงง ชายรองเม้มปาก
ชายเล็กพูด “เห็นเมื่อกลางวันนี้เอง เมื่อกลางวันเกล้าเห็นพี่รองยืนคุยกับสาวคนหนึ่ง ถามดู ได้ความว่าเป็นน้องสาวคุณศรี”
เสด็จ ศรีจิตรา และสอางค์ยิ่งงงงันจึงหันพร้อมกันมามองชายรอง ชายรองทำท่าทีเรียบสนิท
“แล้วเธอไปรู้จักน้องสาวศรีจิตรามาตั้งแต่เมื่อไร”
ศรีจิตรามองชายรองเขม็ง
“หลายวันมาแล้วพะยะค่ะ สาลินมาที่นี่ แล้วเอาผลไม้ไปให้หม่อมแม่ ก็เลยได้พบกับเกล้า”
“อ๋อ วันงานแซยิดคุณหญิงเสนาไงเพคะ เสด็จกับหม่อมฉันไม่อยู่ เผอิญแม่อุ่นเรือนกับยายสาเอาผลไม้จากสวนมาถวาย”
“อ๋อ ดีนะ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดีจริง”
ชายรองยิ้มนิดๆ ด้วยความสุภาพ
เสียงชายรองดังขึ้น “ฮึ ดีไปหมดล่ะไม่ว่า”
“แล้วเป็นยังไงบ้างตารอง สาลินนี่”
ชายรองเกือบสะดุ้ง
“ก็ ไม่เห็นเป็นยังไง พะยะค่ะ”
ชายเล็กหัวเราะคิกคัก
“หมายความว่ายังไง” เสด็จถาม

“ก็อย่างที่เด็จป้าตรัสน่ะพะยะค่ะ ว่าคนเราไม่ควรรีบร้อนตัดสินใคร เกล้าเพิ่งรู้จักสาลิน ก็เลยยังวินิจฉัยอะไรไม่ได้”

ศรีจิตรามองชายรอง เสด็จพยักพระพักตร์ ชายเล็กหัวเราะพรืด
 
ชายรองถาม “นายหัวเราะอะไร”
“ผมเคยเจอพวกตัดสินหนังสือจากหน้าปกมาเยอะน่ะ พี่รอง”
“จริงไหมสอางค์”
“ฮึ นี่ทรงว่าหม่อมฉันซีเพคะ”
“ก็รู้ตัวอยู่นี่”
“ไม่ใช่แค่คุณสอางค์หรอกพะยะค่ะ เกล้าเองน่ะเจอคนชอบตัดสินใครง่ายๆอยู่เรื่อย แต่ตอนนี้อาจจะเริ่มได้คิดแล้ว” ชายเล็กว่า
ชายรองเย็นชาเชิดใส่ชายเล็ก ศรีจิตราครุ่นคิด
เสียงศรีจิตราดังขึ้น “วันนั้นยายสาพูดอะไรแปลกๆ คงเพราะเจอคุณชายรองนั่นเอง แต่ไม่ยักกะยอมเล่าให้เราฟัง แถมยังไปเจอกันอีกกี่หนก็ไม่รู้
ชายเล็กคิดในใจ “ตายล่ะว่า เด็จป้าอยากเจอตัวคุณสา”
สอางค์คิดในใจ “อุ๊ยตายแล้ว จะได้เป็นสองคู่ชู้ชื่น”
ชายรองคิดในใจ “ถ้าโปรดให้มาเฝ้า เธอจะอาละวาดตำหนักแตกไหมนี่ แม่จอมยุ่ง”
เสด็จทรงจิบพระสุธารส ทอดเนตรดูทุกคนที่นิ่งกันไปอย่างแปลกพระทัย

ชายรองและชายเล็กเดินมาตามทางเดินในสวนลัดเลาะกลับสู่ตำหนักเล็ก ไฟแสงจันทร์ส่องสว่าง ซุ้มดอกไม้ออกดอกพราวยังเห็นได้แม้ยามราตรี กลิ่นดอกไม้ไทยที่หอมตอนกลางคืนตลบ ชายเล็กเดินผิวปากนำ ชายรองหมั่นไส้กระชากไหล่ให้ชายเล็กหันมา ชายเล็กตั้งการ์ด
“ฮื้อ พี่รองจะต่อยปากผมหรือ” ชายเล็กถาม
“มันน่าไหมล่ะ” ชายรองว่า “เรื่องอะไรมาเจ้ากี้เจ้าการให้ฉันพาศรีจิตราไปเที่ยว”
“อ้าว ก็จะหมั้นจะแต่งกันแล้ว ไม่ทำความคุ้นเคยไว้ก่อน แล้วจะไปทำตอนไหน ตอนส่งตัวหรือ”
“ไอ้บ้าเล็ก”
“จะแต่งกันอยู่แล้ว ยังเมียงมองกันไป แอบดูกันมา นี่มันยุคอวกาศแล้วนะครับ ไม่ใช่ยุคสร้างกรุง”
“ฉันรู้ แต่ที่ฉันไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับเขา ก็เพราะฉันไม่คิดว่าฉันต้องแต่งกับเขา”
ชายเล็กอ้าปากค้าง
“พี่รองจะขัดพระทัยเด็จป้าหรือฮะ”
ชายรองนิ่งไป
“ฉันแค่อยากขอเวลาสักหน่อย หาจังหวะที่เหมาะจะกราบทูลเท่านั้น”
ชายเล็กถอนใจ “ผมเห็นว่า คุณศรีเป็นคนน่ารัก คุ้นเคยกันไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
“เขาไม่เห็นพูดอะไรกับฉันซักคำ ผิดกับ แม่น้องสาว”
ชายรองมีแววแค้น ชายเล็กอมยิ้ม
“โธ่ ก็ลองคุยกับเขาดูซีฮะ วันก่อนคุณศรีคุยกับผมตั้งหลายเรื่อง เขาถามผมเรื่องเมืองนอก เรื่องงานที่บริษัท เรื่องควอลิตี้คอนโทรลของปั๊ม”
“คิดว่าเขาคุยกับแกแต่เรื่องนิทานซะอีก”
ชายเล็กยิ้มอ่อนโยนโดยมีแววเวทนาแฝงอยู่
“ฟังดูก็รู้ฮะ ว่าคุณสร้อยคงเลี้ยงแบบปิดหูปิดตาไว้อยู่แต่ในบ้าน ผมถึงได้อยากให้เขาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“ความจริงคนที่น่าจะอาสาพาเขาเที่ยว ก็คือแก”
ชายเล็กเกาหัว
“ขนาดเสนอว่าให้เป็นพี่รอง เด็จป้ายังทรงลังเลเลย เรื่องผมยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“งั้นก็ดีแล้วให้แม่น้องสาวเป็นคนพาไป” ชายรองว่า
“ขอถามหน่อยเถอะ ทำไมพี่รองถึงเจาะจงให้คุณสาเป็นคนพาไป”
ชายรองมองหน้าแล้วก็รู้สึกถึงพิรุธบางอย่าง
“ทำไมนายเรียกเขาว่า คุณสาทุกคำ ยังกะสนิทสนมซะเต็มประดา”
“โธ่ ผมเรียกตามคุณศรี คุณศรีเรียกน้องว่ายายสาทุกคำ”
ชายรองยักไหล่
“ฉันก็บอกแล้วว่าไปเที่ยวตามประสาผู้หญิง ก็น่าจะให้ผู้หญิงพาไป”
“แล้วทำไมต้องเป็นคุณสา”
“ก็แม่คนนั้นเก่งกล้าสามารถ คงคุ้มครองพี่สาวได้ ก็แค่นั้นแหละ”
“เฮ้อ ผิดแผนจริงๆ”
“แผนอะไรของนาย”
“แผนว่าจะออกไปเที่ยวต่อน่ะซีฮะ แต่นี่เกิดง่วงขึ้นมาแล้ว ฮ้าว”
ชายรองเดินไป ชายเล็กเดินกินลมชมจันทร์ต่อแล้วหยุดหันไปมองตัวตำหนักใหญ่
 
เงาศรีจิตราเดินว่อบแว่บอยู่หลังม่านในห้อง ชายเล็กเห็นก็อมยิ้ม

ศรีจิตราเดินไปเดินมาด้วยอาการครุ่นคิด
 
สอางค์นั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งพลางแตะๆดึงๆหน้าตนเอง มาลา วรรณาไปนั่งที่สตูลยาวท้ายเตียง
“แม่ศรีเห็นไหมลูก คุณชายรองน่ะเวลาเธออารมณ์ดีๆ เธออ่อนหวานกะล่อยกะหลิบน่าดู” สอางค์ว่า
ศรีจิตราตอบรับสั้นๆ “ค่ะ”
“แต่หนูน่ะน่าจะคุยอะไรกับคุณชายเธอบ้าง”
“ก็ ก็หนูไม่ทราบจะพูดเรื่องอะไรนี่คะ” ศรีจิตราบอก
“แหม ทีกับคุณชายเล็ก เห็นคุยกันได้เป็นวรรคเป็นเวร”
“ก็คุณชายเล็กเธอมีเรื่องมาชวนคุยได้ตลอดนี่คะ แต่คุณชายรองเธอไม่ค่อยคุยอะไร”
ศรีจิตรายิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เตียง มาลา วรรณาพยักเพยิดแล้วคว้าหมอนอิงมาแนบอก
“แหม คุณแม่บ้านขา อย่าว่าคุณศรีเลยค่ะ คุณชายเล็กน่ะเป็นคนอื่น มันก็ไม่เขินซีคะ”
“แต่กับคุณชายรองเป็นว่าที่ มันก็ต้องสปัสซั่ม ขวยเขินสะเทิ้นสะท้าน ปั่นป่วนในใจ”
มาลากับวรรณาทำสยิวกายก่อนจะเอาหมอนอิงมาจิกทึ้ง ศรีจิตราทำตาปริบๆ เพราะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“วู้ย รู้กันจริงแม่สองคนนี่ เคยมีว่าที่กันมากี่คนแล้วยะ” สอางค์ว่า
ทั้งสองนางชะงักวางหมอนลง พลางนับนิ้วทบทวน
มาลาตอบ “ไม่มีซักคนค่ะ”
“ที่ใกล้เคียงที่สุด ก็คือตอนโดนเบียดที่งานภูเขาทองค่ะ” วรรณาบอก
สอางค์ค้อนตาคว่ำ
“พูดจาอย่างงี้ สมแล้วเป็นเมียตะเข้ โอ๊ย ป้าไปนอนล่ะลูก”
ศรีจิตราไหว้ สอางค์เดินออกไป มาลา วรรณาลุกขึ้นไปตรวจดูหน้าต่างก่อนจะดึงม่านปิด
“เฮ้อ คุณชายรองน้า เห็นอ่อนหวานแต่กับเด็จป้า ไม่เห็นเผื่อแผ่มาให้คุณศรีบ้าง”
“เธอคงเก็บไว้ให้คุณหญิงคนเดียวมังคะ”
ศรีจิตราพูดเรียบๆ โดยไม่ได้ขมขื่น ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้ริษยา แต่มีอาการสับสนกับสภาพที่กำลังเป็น และสิ่งที่จะเกิดต่อไป มาลากับวรรณาถลามา
“คุณศรี อย่าเอาเรื่องคุณหญิงก้อยมารกสมองเลยค่ะ” มาลาว่า
วรรณาพูดต่อ “คุณนมตำหนักโน้น แอบมากระซิบว่า ท่าจะเลิกกันแล้วค่ะ”
ศรีจิตรานิ่งฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ
“ตอนนี้หนูสนใจแค่ที่เสด็จจะโปรดให้ยายสาพาหนูไปเที่ยวต่างหากคะ”
“อุ้ย จริงด้วยค่ะ”
“ให้คุณสาพาเราไปให้ทุกที่เลย”
ศรีจิตรายิ้ม

รถแท็กซี่ของตาผลแล่นมาจอดหน้าบ้านราชดำริ สาลินแต่งตัวอย่างไปทำงานลงมา กำไลวิ่งมารับ
“พี่กำไลคะ ป้าสร้อยมีอะไรคะถึงเรียกสามา” สาลินถาม
“พี่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน” กำไลบอก

คุณสร้อยนั่งเมินหน้าไปทางอื่นอยู่บนตั่ง สาลินก้มกราบอยู่ที่พื้น รอบๆกายมีการทำห่อหมก อุ่นเรือนกวนกะทิในอ่าง ยายพิศช่วยดูด้วย เด็กลูกมือ 2 คนกำลังเย็บกระทง ส่วนกำไลนั่งเตรียมผัก
“มาแล้วหรือ แม่มหาจำเริญ”
สาลินเงยหน้าขึ้นมา โดยที่มือยังพนมแล้วกราบลงไปใหม่ สาลินพูดขณะหมอบกราบคล้ายขอขมาพระรัตนตรัยทำให้เสียงดังอู้อี้เบาๆ
“สาขอกราบขอบพระคุณค่ะ”
สร้อยสะดุ้งเฮือก
“ว้ายแกทำอะไร กระดกกระดนโด่”
อุ่นเรือนใจสั่นขวัญแขวน พิศ กำไลรอดูว่าสาลินจะแสดงฤทธิ์อะไร สาลินเงยขึ้นมือยังพนม
“สากราบขอบพระคุณ คุณป้าค่ะ”
“แกมาขอบอกขอบใจฉันเรื่องอะไร”
“ก็ที่คุณป้าอวยพรให้หนูเจริญรุ่งเรืองน่ะซีคะ”
สร้อยถลึงตา กำไลกับยายพิศกลั้นหัวเราะ
“คุณป้าให้หนูมาที่นี่ มีธุระอะไรหรือคะ”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วซียะ พรุ่งนี้แกต้องไปวังวุฒิเวสม์กับฉัน เสด็จทรงมีรับสั่งให้พาแกเข้าเฝ้า”
สาลินตาโตเท่าไข่ห่าน
“อะไรนะคะ”
สร้อยกระพือพัดด้ามจิ๋ว
“โอย ไม่รู้ว่าทรงคิดอะไรขึ้นมา ทีนี้ฉันกับพี่สอางค์จะมองหน้าใครในวังได้”
“ทำไมล่ะคะ”
“จะทำไม ก็อับอายขายหน้าที่มีหลานสาวเป็นทหารพระรามกลับชาติมาเกิด”
สาลินทำหน้าซื่อ “คืออะไรคะ”
“ไม่ต้องมาแกล้งไม่รู้”
สร้อยรู้ทันจึงตวาดแว๊ด สาลินพยักหน้าทำเป็นเพิ่งรู้
“อ๋อ คุณป้าว่าสาเป็นลิง”
“ก็ใช่น่ะซียะ โอย จะทำยังไงดี”
สร้อยยกมือแปะหน้าผากเพราะคิดหนัก สาลินเริ่มกลัว ทันใดสร้อยก็ตาสว่าง ลุกพรวดขึ้น แล้วชี้นิ้วไปที่สาลิน
“ฉันรู้แล้ว คืนนี้แกค้างที่นี่ ฉันจะอบรม หัดหมอบ หัดคลาน ดัดแขน ดัดขาแกทั้งคืน”
สาลินหน้าเสีย
“พรุ่งนี้ แกจะได้ไม่ไปก่อคดีที่ในวัง” สร้อยว่า
สาลินคิดปราดไปแล้วก็พบทางหนีทีไล่
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
สร้อยชะงักแล้วตวาดแว๊ดๆ “ทำไม ทำไมไม่ได้ยะ”
“วันนี้คุณยายไม่สบายค่ะ”
อุ่นเรือนทิ้งไม้พายแล้วขยับมา
“อะไร คุณยายเป็นอะไร”
สาลินทำหน้าทุกข์แล้วพูดเสียงเครือ
“คุณยายคลื่นไส้จะอาเจียน จะเป็นลม แล้วก็ปวดไปหมดทั้งตัวค่ะ”
“ตายจริง โธ่ แล้วทำไม ไม่รีบมาบอกแม่”
“ก็สาเพิ่งนึกขึ้นเดี๋ยวนี้” สาลินบอก อุ่นเรือนมอง “เอ๊ย สาเพิ่งนึกขึ้นมาได้เดี๋ยวนี้ คุณยายอาการไม่ดีเลยนะคะ คุณป้า”

ภาพเหตุการณ์คุณยายตามที่ต่างๆ
เหตุการณ์ในสวน
ยายร้อง “ว้าย คลื่นไส้ ต๊าย ฉันอยากอาเจียน”
เหตุการณ์ใต้ต้นมะม่วง
ยายโอดครวญ “โอย ฉันจะเป็นลม”
ในบ้าน ยายนอนร้องโอดโอย
“ยายสา หรือฉันใกล้จะตายแล้ว”

ยายทำท่าเจ็บปวดเหมือนจะตาย
 
จบตอนที่ 7


กำลังโหลดความคิดเห็น