สะใภ้จ้าว ตอนที่ 6
ชายเล็กรับนาฬิกามาถือไว้ในมือ ดวงตาพราวระยิบ ขณะที่ศรีจิตราถอยมายืนเชิดนิดๆ
“ทีนี้ผมคงเอาไปได้เสียทีนะครับ”
“ความจริงคุณควรเอาไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่มามัวเล่นสนุกอยู่”
อีกฝ่ายหน้าเหรอ “เล่นสนุก เล่นสนุกอะไรกันครับ”
“ก็เล่นสนุกกับความโง่ของดิฉันน่ะซีคะ”
“โธ่ ใครจะกล้าไปทำอย่างนั้น”
พูดพลางหันไปเห็นคุณสร้อยหิ้วกระเป๋าเตรียมกลับเดินมาพร้อมกับคุณสอางค์
“นี่คุณสร้อยจะกลับบ้านราชดำริแล้วหรือครับ”
“ค่ะ นี่ก็ตั้งสามสี่ทุ่มแล้ว”
“ผมไปส่งคุณสร้อยก็ได้นะครับ”
คุณสร้อยหัวเราะระริก “วุ้ย ถ้ารู้อย่างงี้ก็ไม่เอารถที่บ้านมาหรอก แต่ดิฉันไม่รบกวนหรอกค่ะ
คราวนั้นไปส่ง ดิฉันยังเกรงใจแทบแย่”
ศรีจิตราชะงัก ชายเล็กเหลือบมองแล้วแกล้งถาม “คราวไหนหรือครับ”
“ก็เมื่อต้นเดือนก่อนไงคะ ยายศรีจำได้ไหม”
ศรีจิตราแกล้งส่ายหน้า “จำไม่ได้ค่ะ”
“อุ้ย ก็ช่วงที่พวกก่อสร้างมาคึ่กๆ แถวบ้านเราไง น่ากลัวจะตาย”
“คุณศรีจิตราคงจำได้แต่ตอนนายยอดไปส่งมั้งครับ”
อีกฝ่ายพูดแกล้ง ศรีจิตราตาวาว
“อุ๊ย นายยอดไม่เคยไปส่งดิฉันค่ะ เห็นหน้าแล้วอิฉันไม่ไว้ใจ”
“โอเค งั้นผมลาก่อนนะครับ”
พูดพลางรีบยกมือไหว้ลา คุณสร้อยและคุณสอางค์รับไหว้ ศรีจิตราไหว้ตามตาขุ่น พอฝ่ายนั้นเดินผละไป คุณสอางค์ก็พูดขึ้นมาทันที
“นี่ ช่วยฉันวางแผน ว่าจะให้คุณชายเล็กเจอยายสายังไงดี”
คุณสร้อยส่ายหน้ายิก “ว้ายไม่เอาค่ะ เดี๋ยวมาแก่นแก้วแววชะนีให้คุณชายเล็กเห็น”
“แหม คุณชายเล็กก็ซนหยอกอยู่เมื่อไร”
“ไม่รู้ล่ะ ขอหนูตรองดูให้ถ้วนถี่ก่อน”
2 นางปรึกษากันง่วน ศรีจิตราถอนใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาวีนัสมา ครู่เดียวก็ทำหน้าบึ้ง แล้ววางลง
สาลินที่อยู่ในห้องสมุด นั่งครุ่นคิดมือขีดเขียนกระดาษตรงหน้าเล่น ไนเจลที่อยู่หัวโต๊ะ ถามโพล่งขึ้นมา “วาระที่สองของวันนี้คือ เรื่องอะไรนะครับจินนี่”
ลลิตากับบราลีหันมองหน้ากัน
“ใครยะ จินนี่”
จิตริณีพูดตอบขึ้นมา “วาระที่สอง คือเรื่องบัดเจ็ตในการจัดซื้อหนังสือล็อตใหม่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ จินนี่”
2 สาวถึงบางอ้อ “โธ่ คิดว่าใคร”
ไนเจลหันมาทางสาลิน “คุณแซลีน ผมขอลิสต์นอฟเวิลที่คุณซีเลกท์ขึ้นมาหน่อย”
สาลินนั่งเหม่อ จนอีกฝ่ายต้องเรียกซ้ำ “คุณแซลีน คุณแซลีน”
จิตริณีช่วยเรียก “คุณสาลินคะ”
ลลิตาเอาศอกกระทุ้ง สาลินผวา ทำหน้าเลิ่กลั่ก บราลีรีบบอก
“บอสถามเธอแน่ะ”
“ขา อะไรคะ”
“คุณแซลีน ผมเรียกคุณตั้งสิบหนแล้วนะ จนปากจะฉีกถึงรูหูดแล้ว”
จิตริณีรีบแย้ง “รูหูค่ะ ไม่ใช่รูหูด”
“อ้อ รูหู”
สาลินพูดแก้เก้อ “ก็ฉันชื่อสาลิน แต่บอสเรียกแซลีน ฉันก็เลยคิดว่าเรียกคนอื่น”
ไนเจลเกาหัวแกรกๆ “ภาษาไทยยากจริงๆ ออกเสียงผิดกลายเป็นคนละความหมาย อย่างเช่น ใคร
ขายไข่ไก่ ยายกินลำไย น้ำลายยายไหล เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด โอว์ พูดผิดกลายเป็นคำหยาบโหมดเลย”
จิตริณีพูดเสนอ “ฉันมีข้อเสนอค่ะ บอสก็ตั้งนิกเนมให้ทุกคนเป็นภาษาคุณก็แล้วกัน”
“กู๊ด ไอเดีย”
ไนเจลครุ่นคิด ลลิตาตื่นเต้น บราลีแอบเซ็ง สาลินทำตาปริบๆ
“โอเค แซลีน คุณชื่อลินซี่ บา-ร้า-ลี่ เป็น แบลลี่ก็แล้วกัน”
ลลิตารีบถาม “แล้ว หล่า-ลี้-ท่า ล่ะคะ”
“คุณก็เป็น โลลิต้า”
“ว้าย ชื่อเพราะจังเลย ไอ ไล้ คิท ค่ะบอส”
สาลินกับบราลีหันมองหน้ากัน
สาลิน , ลลิตา , บราลี กลับมามาประจำที่เคาน์เตอร์ตามปรกติ ลลิตากรายมือ
“เปรี้ยวจังเลย มีชื่อเล่นฝรั่ง เหมือนพวกนักเรียนนอก”
บราลีทำหน้าเบ้ “เฮอะ นังพวกขี้ข้าจักรวรรดินิยม”
“ต๊าย นึกอยู่ตั้งนานว่าชื่อแบลลี่ มันคุ้นๆ โอ มายก็อด บอสตั้งชื่อเข้ากับเธอจริงๆ”
บราลีเลิกคิ้ว “ เข้ากับฉัน ยังไงยะ”
“ก็แบลลี่น่ะ เป็นยี่ห้อเกือกดังของสวิสเชียวนะยะ”
บราลีร้องกรี๊ด พร้อมกับที่จิตริณีเดินมาหาสาลิน ถือหนังสือ LOLITA มาคืน
“คุณจิตริณี อ่านโลลิต้าเหรอคะ”
“ค่ะ เพิ่งอ่านจบ”
ลลิตาตื่นเต้น “อุ๊ยตาย บอสตั้งชื่อฉันเหมือนนิยายเล่มนี้ เกี่ยวกับอะไรคะคุณจินนี่”
“เป็นชื่อนางเอก เป็นสาวน้อยแสนสวยค่ะ”
“สมตัวฉันเลย บอสเข้าใจตั้งชื่อ”
จิตริณีอึกอัก “แต่ โลลิต้านี่เป็นเด็กใจแตก มั่วพ่อเลี้ยงจนแม่ฆ่าตัวตาย ต่อมาก็ไปเล่นหนังโป๊ พอตอนจบก็ไปตกระกำอยู่ในสลัม”
ลลิตาค่อยๆ หุบยิ้ม บราลีหัวเราะลั่น
“อุ๊ย สมตัวจริงๆ ด้วย”
ลลิตาร้องกรี๊ดเสียงดัง จนคนทั้งห้องสมุดหันมาดู พลางยกนิ้วจ่อปาก ทำเสียงชู่ว์ให้เงียบ
สาลินเอาหนังสืออ่านเล่นกอดกับอกหน้าเชิด ชายเล็กนั่งอยู่ตรงข้าม ส่วนเจ้าแกะเล่นง่วนอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล
“คุณเป็นอะไรหรือ คุณสาลิน”
“คุณต้องเรียกฉันว่า ลินซี่”
อีกฝ่ายทำหน้างง “หา อะไรนะ”
“เจ้านายฝรั่งบอกว่าชื่อคนไทยเรียกยาก คุณบรรณารักษ์ที่จบมาจากนิวยอร์ก เลยเสนอให้ทุกคนมีชื่อฝรั่งหมด ฉันก็เลยเป็นลินซี่”
“โธ่ เรื่องธรรมดาจะตาย ตอนไปเรียนเมืองนอก ผมยังชื่อพอลเลย”
สาลินขยับตัววางหนังสือลง “หา คุณเป็นนักเรียนนอกด้วยหรือ”
ชายเล็กสะดุ้ง รู้ตัวว่าหลุดบทรีบพูดแก้ตัว
“โธ่ ก็ฝรั่งเจ้านายผม มันเคยส่งผมไปดูงานที่เมืองนอกไงฮะ”
สาลินถอนใจเฮือก ”ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคนไทยถึงเห่อฝรั่งกันนัก”
“โธ่ เราเห่อมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แล้วมังครับ”
สาลินพูดต่ออีก “เนี่ย เมื่อวานฉันนั่งรถผ่านร้านนนท์เกษา เห็นเขายกป้ายใหม่เป็นร้านนนท์ บาร์เบอร์ นอกจากเห่อฝรั่ง ก็ยังเห่อคนรวย เห่อผู้ดีอีก เฮ้อ นี่ฉันเป็นห่วงพี่สาวฉันจัง”
“โธ่ ก็เขาเข้าวังไปแล้วไม่ใช่เหรอฮะ ป่านนี้นั่งเก็บดอกไม้ไปร้อยมาลัย”
พูดพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่ม นึกถึงตอนที่ช่วยศรีจิตราเก็บดอกไม้ และจับมือเธอเข้า
“หรือทำบายศรีปากชามสนุกไปแล้ว”
“จริงๆ นะ พี่สาวฉันน่ะ ซ้วย สวย นิสัยก็ดี ใครรู้จักก็ชอบทั้งนั้น”
“อย่างงี้ ว่าที่พี่เขยคุณเจอเข้า ก็ต้องหลงรักพี่สาวคุณหัวปักหัวปำ”
สาลินทำปากยื่น “ใครจะรู้เขาผู้ดีเก่า เหง้าผู้ดีขนาดนั้น เขาอาจจะทำเชิด หัวสูง เห็นพี่สาวฉันต้อยต่ำ จนเขาไม่อยากชายตามองก็ได้”
“นี่ คุณรู้ได้ยังไงว่าพี่เขยคุณเป็นอย่างนั้น”
“ก็ฉันเคยเจอคุณชายจอมเก๊ก ทำเชิดอยู่คนนึงน่ะซี เจ้าประคู้ณ อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”
อีกฝ่ายรีบช่วยแก้ “แหม ว่าที่พี่เขยคุณ เขาคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“จะว่าได้เหรอ อีกอย่าง เขาอาจจะรักอยู่กับคุณหญิง คุณหยัง แม่กระชังก้นใหญ่ อยู่คนนึงก็ได้”
“โอ้โห แม่นเหมือนตาเห็น”
“แม่นอะไร” สาลินย้อนถาม
“เปล่า ผมก็พูดไปเรื่อยเปื่อย เอาอย่างงี้ถ้าคุณห่วงนัก เดี๋ยวผมไปดูพี่สาวคุณให้เอง”
“นี่คุณ พี่สาวฉัน เค้าอยู่ในวังนะ อย่างคุณเค้าไม่ให้เข้าหรอกย่ะ”
ชายเล็กนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ที่ตำหนักเล็ก นมย้อยอยู่ใกล้ๆ คอยเลื่อนนั่นเลื่อนนี่ให้
“พี่รองไปกินข้าวข้างนอก นี่ดีกับหญิงก้อยแล้วหรือครับ”
“ดีอะไรกันคะ วันนี้คุณรองโทร. ไปตั้งหลายหนก็ไม่ยอมรับ”
“หญิงก้อยนี่งอนเสมอต้นเสมอปลายดีจริง”
“แต่ก่อนน่ะ แสนงอนก็ยังงามอยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ เฮ้อ นมไม่อยากพูดเลย” นมย้อยถอนหายใจ
“ยังไงฮะ”
“เสด็จท่านทรงรับหนูศรีเข้ามาแบบนี้ ก็แปลว่า ทรงไม่ยอมรับหญิงก้อยเด็ดขาดน่ะซีคะ”
ชายเล็กอมยิ้ม “หนูศรี นี่แปลว่านมไปสนิมสนมกับเขามาแล้วหรือ”
“ก็ใช่ซีคะ เธอทั้งสวย ทั้งเรียบร้อย คุยด้วยแล้วเย็นตาเย็นใจค่ะ”
“แหม แต่ตอนผมเจอไม่ยักกะเย็นเท่าไร ค่อนข้างร้อนเลยล่ะนม”
นมย้อยเลิกคิ้ว “นี่คุณเล็กก็เจอหนูศรีมาแล้วหรือคะ คุณเล็กคงไปซุกซนอะไรเข้าซีคะ เธอถึง
ร้อนใส่”
“โธ่ เปล่าซักหน่อย นี่ไม่ทันไรเลย นมไปเข้าข้างเขาแล้ว”
นมย้อยยิ้มอย่างเอ็นดู “ หนูศรีน่ะ ใครเข้าใกล้ก็รักทั้งนั้นแหละค่ะ”
“แหม ผมเพิ่งได้ยินคำโฆษณาแบบนี้มาเมื่อกลางวันนี่เอง”
“คุณเล็กเห็นว่าหนูศรีเป็นยังไงบ้างล่ะคะ” หญิงสูงวัยย้อนถาม
“สวยเหมือนนางในวรรณคดีมั้งครับ”
“คุณไม่ชอบแบบนี้ แต่คุณรองอาจจะชอบก็ได้”
“แหม นมรู้ด้วยหรือว่าผมชอบผู้หญิงแบบไหน”
“จะแบบไหน ก็แบบที่เปรี้ยวปรู๊ดปร๊าด ซุกซนแบบคุณน่ะซีคะ”
ชายเล็กเช็ดปาก จิบน้ำ ดวงตาระยิบระยับ
“มีที่ผมไปชอบเขาอยู่คนหนึ่ง เขาไม่ถึงกับเปรี้ยวปรู๊ดปร๊าดหรอกฮะ แต่เรื่องซนนี่ สงสัยจะยิ่งกว่านั้นอีก”
นมย้อยเลื่อนเก้าอี้ เอียงหัวมาใกล้ “ใครกันนะ คนนี้ ลูกเต้าเหล่าใครกัน”
“ไม่ใช่คนห่างคนไกลหรอกฮะ โลกเรายิ่งกลมเกินเหตุอยู่ด้วย”
“อ้อ คนนี้ล่ะซีคะที่คุณขนขนมนมไปให้เขาจนหมดตำหนัก ขาไพ่ร้องจะกินขนม ต้องทอดข้าวตากโรยน้ำตาลให้แก้ขัด”
ชายเล็กทำตาปริบๆ
ชายรองตักอาหารเช้าเข้าปากแบบฝืนๆ นมย้อยมองอาการปราดเดียว ก็นึกรู้
“รับประทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรค่ะ”
แต่ครั้นอีกฝ่ายฝืนกินจนหมดแล้วจิบกาแฟ นมย้อยก็ยิ้มหน้าบาน เจียมเอาจานมะม่วงสุกที่ปอกฝานชิ้นพอคำมาวางแล้วถอยไป สวนกับชายเล็กที่เดินหาวหวอดๆ มานั่งแปะลง
“โอ้โฮ ข้าวต้มน่ากินจัง”
พอนมย้อยลุกไป เขาก็หันมาสัพยอกพี่ชาย
“รสชาติเป็นไงฮะ มะม่วงน้องสาวคุณศรีจิตรา”
ฝ่ายถูกถามชะงักมือ ก่อนจะรีบวางส้อม ผลักจานออก ทำหน้างอ
“เกลียดจริงๆ”
อีกฝ่ายแกล้งพูดกระเซ้า “ยังไง มันเปรี้ยวเข็ดฟันหรือฮะ”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงยายเด็กปากจัดเจ้าของมะม่วง ปากร้าย อวดดี ไม่มีมารยาท”
“พี่รองเกลียดเขาเรื่องปากจัด หรือว่าเรื่องที่ทำให้หญิงก้อยรู้เรื่องคุณศรีกันแน่”
“ทั้ง 2 อย่างนั่นแหละ”
ชายเล็กยิ้มกริ่ม “แต่ผมว่าที่จริงพี่รองน่าจะขอบใจยายเด็กปากจัดนั่นมากกว่า”
“ทำไม”
“ก็เขาทำให้เรื่องดำเนินต่อไปไม่คาราคาซังไงฮะ พี่รองต้องตัดสินใจได้แล้ว ถ้าเลือกหญิงก้อยก็ต้องกราบทูลเด็จป้าไปตรงๆ”
ฝ่ายพี่ชายถอนใจเฮือก “ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าอกตัญญู ฉันอยากทดแทนพระคุณเด็จป้า”
“งั้นก็ต้องกราบทูลเด็จป้าว่า ขอตอบแทนพระคุณแบบอื่น ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตไปจมอยู่กับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก”
ชายรองครุ่นคิด อีกฝ่ายพูดต่อ
“แล้วมันก็ไม่ยุติธรรมกับคุณศรีจิตราด้วย”
“รู้ไหม นี่นายพูดเหมือนยายเด็กปากดีคนนั้นทุกคำ“
พูดพลางจิ้มมะม่วงเข้าปากอีก
“พี่รองนี่เข้าตำราเกลียดตัวกินไข่หรือเปล่าฮะ”
“ทำไม”
“ก็พี่รองบอกเกลียด แต่เล่นกินมะม่วงเขาหมด ไม่เหลือให้ผมซักคำ”
เขารีบวางส้อม พอเห็นว่าจานว่างเปล่า ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บดินทราชทรงพลกลั้นหัวเราะ
หม่อมวาณีเดินถือถาดอาหารเช้ามาที่หน้าห้องนอนหญิงก้อย สีหน้ายิ้มระรื่น ตรงข้ามกับศศิรัชนีที่เดินตามหน้าเซ็ง รื่นจดๆ จ้องๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู
“ไปให้พ้นนะ” เสียงหญิงก้อยดังมาจากในห้อง
หม่อมวาณีพยักหน้าให้เปิดแล้วยิ้มละไมด้วยความรักเปี่ยมล้นของแม่ จังหวะนั้นหมอนถูกปามาอย่างแรง รื่นแหกปากลั่น รีบดึงหม่อมวาณีให้ย่อตัวลง
ศศิรัชนีดวงตาโกรธ เข้ามาดึงแม่ให้ลุกขึ้น ฝ่ายถูกดึงทำท่าหมดแรงจน รื่นต้องถือถาดแทน
“นี่พี่กับหม่อมแม่นะ หญิง”
หญิงก้อยหน้าเสียไปนิด แต่ครู่เดียวก็กลับมาเชิดหน้าตามเดิม
“หญิงบอกแล้วไงคะ ว่าหญิงไม่ทาน”
“จ้ะๆ แต่แม่เอาวางไว้ในห้องก็แล้วกันนะลูก”
หญิงก้อยเกือบปฏิเสธ รื่นเอาอาหารเช้าไปวางที่โต๊ะเล็กอย่างหวาดๆ ศศิรัชนีพยักหน้า แล้วรีบดึงแม่ออกจากห้อง ก่อนจะปิดประตูลง
หม่อมวาณีส่ายหัว “เอาแต่ใจอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ก็ไม่ใช่เอาแต่ใจหรือ ถึงมีชนักปักหลังอยู่อย่างนี้
ชายรองน่ะเอาใจขนาดนี้ ก็ยังพยศพระเกียรติอยู่นั่นแหละ เหมือนไม่รู้ว่าตัวน่ะแตงเถาตายแล้ว”
ศศิรัชนีสะใจแต่ก็สะกิดปราม “หม่อมแม่คะ ไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหญิงจะเจรจากับหญิงก้อยเอง”
“จ้ะ ลูก”
พอหม่อมวาณีเดินแยกไป ศศิรัชนีหันมาที่ประตู แล้วแอบแง้มเข้าไป พลางยิ้มขัน เพราะเห็นน้องสาวใช้ส้อมจิ้มเบคอนมากินไม่หยุดปาก แต่หน้ายังเชิดอยู่
“หญิงจ๊ะ”
หญิงก้อยรีบหยิบน้ำมาดื่ม พลางกลืนเบคอนเข้าไปทั้งชิ้น พี่สาวแกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นอะไร“จะออกฤทธิ์ออกเดชไปถึงไหนหญิงก้อย หม่อมแม่ทุกข์ใจแค่ไหนรู้บ้างรึเปล่า”
“แล้วหญิงล่ะ หญิงก็ทุกข์ใจ โดนคุณชายรองหลอกเรื่องคู่หมั้น มีใครเห็นใจหญิงบ้าง”
“ที่จริงเธอเป็นคนหลอกชายรองเองนะ เธอกุเรื่องเสด็จทรงจับคู่ให้คุณรอง แล้วมันก็กลับมาสนองเธอเอง เรื่องที่เธอกุขึ้นมามันกลายเป็นความจริง”
หญิงก้อยหน้าง้ำ “พี่กลางจะมาพูดซ้ำเติมหญิงอีกทำไมคะ”
“เธอควรจะรู้ตัวเองบ้างว่าหลายเรื่องที่เธอทำน่ะมันผิด มันไม่สมควร”
อีกฝ่ายหันมองตัวเองในกระจก พลางทำหน้าเชิ่ด จังหวะนั้น โรยก็เดินเข้ามาในห้อง
“คุณหญิงเจ้าขา คุณชายรองมาค่ะ”
ศศิรัชนีรับหันมาบอกน้องสาว “ลงไปหน่อยเถอะจ้ะ คุณรองอุตส่าห์มาง้อถึงที่แล้ว”
“เพื่ออะไรคะ เพื่อคืนดีกัน แล้วหมั้นหมายแต่งงานหรือ แต่ว่าหญิงจะเป็นนังเมียน้อยที่เด็จป้าไม่มีวันยอมรับนะคะ”
“โธ่หญิง คุณรองก็บอกว่าเรื่องมันยังไม่แน่ไม่นอน”
หญิงก้อยยิ้มเหยียด ลุกขึ้นยืดกายตรงหันมา
“คุณรองไม่มีวันขัดพระทัยเด็จป้าหรอกค่ะ เขาต้องแต่งงานกับสะใภ้ที่เด็จป้าทรงเลือกให้ ฉะนั้น คุณรองไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำหน้าซื่อง้องอนหญิง พี่หญิงให้เขากลับไปได้แล้ว”
ศศิรัชนีอ่อนใจ
ชายรองยังคงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก หม่อมวาณีมานั่งคุยเป็นเพื่อน
“เรื่องคู่หมั้นที่เด็จป้าทรงหาให้นี่ยังไงกันคะชายรอง”
“เป็นเรื่องจริงครับ แต่ผมอยากอธิบายเรื่องนี้ให้หญิงก้อยเข้าใจก่อน”
พอศศิรัชนีเดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้น พลางถอนใจ
“หญิงก้อยไม่ยอมลงมาค่ะ เธอบอกให้คุณรองยอมแต่งงานไปซะ ซึ่งเรื่องนี้หญิงเองก็เห็นด้วย”
หม่อมวาณีตกใจ “ว้าย หญิง”
“นี่หญิงไม่ได้ประชดนะคะ หญิงพูดจริงๆ ถ้าคุณรองขัดพระทัย เด็จป้ากริ้วขึ้นมา จะเดือดร้อนไปหมด”
หม่อมวาณีค้อนลูกสาวตาคว่ำ ครั้นหันมองมาทางชายรอง ก็เห็นแววตาจริงใจฉายชัด
หญิงก้อยเดินกรีดกรายลงมา พลางแอบฟังอยู่ที่มุมบันได
“แต่ว่า ถ้าหญิงก้อยพร้อมจะแต่งงานกับผม ผมก็พร้อมที่จะขัดพระทัย ผมพร้อมที่จะเป็นหลานทรยศ”
คนแอบฟังยิ้มอย่างสาสมใจ ขณะที่หม่อมวาณีตกใจ ศศิรัชนีรีบพูดเตือน
“คุณรอง อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น คิดให้ดีก่อนค่ะ”
“ให้คิดยังไง ผมก็ไม่เปลี่ยนความคิดหรอกฮะ ผมจะแต่งกับหญิงก้อย”
หญิงก้อยเชิดหน้า หม่อมวาณีพูดต่อ
“ชายรอง อาซาบซึ้งกับความมั่นคงของเธอ แต่ยังไง อาก็ขอให้เธอคิดให้รอบคอบ”
ชายรองยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น
“ผมลาก่อนล่ะครับ”
ร่ำลาเสร็จก็เดินออกไป ศศิรัชนีหันไปทางบันได
“เข้ามาซิ หญิง”
หญิงก้อยกรีดกรายเข้ามา แล้วทอดกายลงบนโซฟายาวตัวโปรด หม่อมวาณีขยับมาเกาะเข่าลูก
“หญิง หญิงได้ยินหมดแล้วใช่ไหมลูก”
“ค่ะ”
“แล้วจะยังไง คุณรองพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอแล้วนะ” ศศิรัชนีหันมาถามน้องสาว
“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ”
“งั้นแม่จะเรียกชายรองมาคุยอีกที เย็นนี้ดีไหมลูก”
หญิงก้อยเชิดหน้า “ยังค่ะ เขาทำให้หญิงเสียหน้า เขาทำให้หญิงไม่พอใจ ฉะนั้นเขาต้องรอไปก่อน”
หม่อมวาณีนั่งอึ้ง ศศิรัชนีแทบจะหลุดปากด่า
“หญิงอยากให้เขาทุรนทุราย ให้เขาทุกข์ ให้เขาทรมานใจที่กล้าทำกับหญิงแบบนี้”
ศศิรัชนีลุกขึ้นยิ้มเย็น
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ให้คุณรองเธอรอไป เผื่อเธอจะได้คิดว่าไม่ควรต้องรออีกต่อไป”
“พี่หญิง”
หญิงก้อยตาวาว พอพี่สาวเดินออกไป ก็พยายามตัดความไม่พอใจ ยิ้มพรายใหม่
ศรีจิตรานั่งอ่านหนังสืออยู่มุมสวยของตำหนักใหญ่ คุณสอางค์นั่งอยู่ที่โซฟาใกล้โต๊ะเล็ก มาลา วรรณา
หอบเอานิตยสารแฟชั่นปึกหนึ่งเข้ามาวางบนโต๊ะ
“พวกนี้ล่ะค่ะ มีแบบชุดวิวาห์สวยๆ ตั้งหลายชุด”
“คุณศรีต้องเริ่มดูๆไว้แล้วนะคะ”
สองนางหน้าระรื่นราวจะแต่งเอง ศรีจิตรายิ้มน้อยๆ ในใจกังวล ลุกมาพลิกหนังสือดูทีละเล่ม
คุณสอางค์หันมาถาม
“แม่ศรี หนูเห็นว่าคุณชายเล็กเป็นยังไงบ้าง”
“ดูรื่นเริงดีค่ะ หนูไม่เคยเห็นเสด็จทรงพระสำราญขนาดนี้มาก่อนเลย คุณชายเล็กนี่ลูกคนโปรดของหม่อมหรือคะ”
“อุ๊ยไม่ใช่จ้ะ ลูกรักน่ะคุณชายโต ส่วนคุณชายรอง หม่อมลงมาถวายเสด็จ เลยเป็นภาติยะคนโปรด ส่วนคุณชายเล็กน่ะ ตอนเกิดมา....”
คุณสอางค์เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะพูดต่อ
“หม่อมเสียไพ่ไปหลายหมื่น ก็เลยพาลโทษลูก ยกให้นมย้อยเลี้ยง”
มาลา วรรณาหัวร่อคิก ศรีจิตราอยากจะขำ แต่เห็นใจมากกว่า
“แต่นมย้อยน่ะเลี้ยงคุณชายเล็กมาดีเหลือเกิน คุณชายเล็กเลยเป็นเด็กดี ช่างพูดช่างเจรจา ไม่ถือตัวเลย”
“ ค่ะ แล้วก็ช่างเล่นเกินไปนิดนึงด้วย”
“ป้าถึงอยากให้รู้จักยายสาไง”
มาลากับวรรณาตาโต
“วุ้ย คงเข้ากันได้ดีแน่ค่ะ คุณแม่บ้าน”
“แต่กลัวจะชวนกันซนจนวังแตกซีคะ ฮิ ฮิ ฮิ”
ศรีจิตรากลั้นยิ้ม พลางหยิบนิตยสารมาดูอีกเล่ม หน้าปกลงรูปหญิงก้อยในชุดวิวาห์ คุณสอางค์
ตาเบิกโพลง รีบดึงหนังสือพรวดมาจากมือ จนอีกฝ่ายเกือบหัวทิ่ม
“เล่มนี้ไม่ดีลูก มีแต่แบบเสื้อเปิดเนื้อเปิดหนัง ไม่ดี”
มาลากับวรรณารีบเอาหนังสือแยกออกมา ศรีจิตรายิ้มเย็นๆ
“คุณหญิงก้อยเธองามจริงๆ นะคะ มิน่าคุณชายรองถึงได้รักไม่เสื่อมคลาย”
คุณสอางค์สะดุ้งโหยง มาลากับวรรณาผงะ
“ว้าย หนูไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน นังเมียตะเข้ หล่อน 2 คนล่ะซี”
มาลาส่ายหัวยิก “ว้าย หนูไม่รู้เรื่องนะคะ หรือว่าหล่อนนังปากพล่อย”
วรรณารีบโต้ “อย่าเอาขี้ เอ๊ย มูลมาป้ายฉันนะยะ เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าพูด”
คุณสอางค์ลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจหลานสาว
“คงมีนังบ่างช่างยุบอกหนูซีนะ เรื่องนี้มันยืดเยื้อมานาน ตั้งแต่คุณชายรองยังรุ่นๆ แต่ก็เลิกรากันไปทีหนึ่ง เพราะคุณหญิงก้อยเกิดแปรใจไปแต่งกับคนอื่น แล้วยังไงไม่รู้ เกิดเลิกร้างกับผัว หันมาหาคุณชายรองใหม่”
ศรีจิตราพยักหน้าน้อยๆ ทว่าความกังวลมิได้ลดลง
“ไอ้ข้างนี้ก็ใจอ่อน ผู้หญิงมาขอคืนดี เสด็จทรงกริ้วนักถึงได้ขอหนูมาอยู่นี่ไง อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา เสียงนังตะเข้ลูก หนูคือสะใภ้ที่เสด็จทรงเลือก ต่อให้สิบคุณหญิงก้อยก็ทำอะไรหนูไม่ได้”
ศรีจิตราพยักหน้าช้าๆ พลางเบนสายตาไปนอกหน้าต่าง เห็นตำหนักเล็กเปิดไฟสว่าง
ชายรองลงจากรถอย่างรีบร้อน โรยวิ่งออกมารับ
“คุณชายคะ คุณหญิงกลางเชิญที่เทอเรซหลังก่อนค่า”
ศศิรัชนีวางแจกันดอกไม้ที่โต๊ะกลางห้องในห้องรับแขก ก่อนจะหันมาเห็นชายรอง
“สวัสดีหญิง”
“นี่เช้าถึงบ่ายถึงเลยนะคะ”
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ “ผมร้อนใจ อยากพูดกับหญิงก้อยให้เคลียร์น่ะครับ”
“หญิงก้อยอยู่ในห้องนั่งเล่นค่ะ เชิญคุณรองนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวหญิงจะไปตามหญิงก้อยมาให้”
พูดจบก็เดินยิ้มเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น “คุณรองมาหญิง”
หม่อมวาณียิ้มแป้น หญิงก้อยแอบสมใจ แต่ไม่วายยิ้มเหยียด
“มาอีกแล้วหรือคะ”
“เช้าถึงบ่ายถึงแบบนี้ เธอควรจะใจอ่อนได้แล้ว”
หม่อมวาณีพูดเร่ง “ไปเร้ว ลูก”
“ไม่ค่ะ”
หญิงก้อยลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปทางบันได ก่อนจะหยุด แล้วหมุนตัวกลับมา
“กรุณาบอกเขาทีนะคะ ว่าหญิงเองก็คิดดีแล้วเหมือนกัน”
ชายรองผุดลุกแล้วเดินมาที่ประตู ทันได้ยินพอดี
“ว่าหญิง ไม่อยากทำลายความสุข ความเจริญของใคร แล้วก็บอกเขาด้วยนะคะว่า ขอให้เขาทำตามพระประสงค์ของเด็จป้า ไปแต่งงานกับแม่ผู้หญิงบ้านนอกนั้นซะ”
พูดจบก็ยิ้มเหยียด อีกฝ่ายยืนตัวชา
“เมื่อเด็จป้าจงชังหญิงนัก หญิงก็ไม่อยากไปร่วมวงศ์วานว่านเครือเหมือนกัน ปล่อยหญิงไปเถอะค่ะ อย่าให้หญิงต้องทำให้คุณรองเป็นหลานอกตัญญูเลย”
หม่อมวาณีทำท่าจะเป็นลม ศศิรัชนีทั้งโกรธทั้งกลัวชายรองจะได้ยิน ขณะที่ฝ่ายนั้นยืนนิ่ง ดูเหมือนจะเป็นคราวแรกที่โกรธเทพีเพ็ญแสง
“อย่าให้หญิงไปขวางทางการตอบแทนบุญคุณที่ท่วมท้นพ้นศีรษะใครเลยค่ะ แล้วก็ ไปบอกด้วยว่า...”
ศศิรัชนีโบกมือห้าม “หญิง พอเถอะ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องรับแขก พอเห็นชายรองยืนตัวตรง สีหน้าเย็นชา ก็ใจหายวูบ
“คุณรอง”
“ถ้าหญิงจะมาถ่ายทอดคำพูด ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 6 (ต่อ)
เสียงนั้นดังไปถึงห้องนังเล่น หม่อมวาณีหันขวับมาจะเป็นลม หญิงก้อยตกใจ แต่ด้วยนิสัยก็เชิดหน้า
ทำไม่แยแส
“ที่หญิงพูดมา ผมเข้าใจถ่องแท้ทุกคำ”
ขาดคำก็ยกมือไหว้ “ผมลาก่อนหญิง” จากนั้นก็เดินตัวตรงออกไป
ศศิรัชนีเดินร้อนรนกลับเข้ามา ก่อนจะถูกหม่อมวาณีคว้าแขนไว้ หญิงก้อยเริ่มกลัว แต่ยังทำยะโส
“ยังไงลูก คุณรองไม่โกรธแย่หรือ ไปพูดตัดรอนขนาดนั้น”
“ไม่ใช่แค่ตัดรอนค่ะ แต่ยังกล้าไปกระทบกระทั่งเด็จป้าอีก”
ท่านจันทร์เดินมาจากห้องสมุด พลางกอดอก ทำท่าทางเหมือนได้ยินทุกคำ หญิงก้อยยักไหล่
“หญิงพูดความจริงทุกคำค่ะ”
“เพราะทำอะไรเอาแต่อารมณ์อย่างนี้ไง ถึงได้หน้าชื่นอกตรมอย่างนี้ไง”
หญิงก้อยเชิดหน้า หม่อมวาณีรีบดึงแขนลูกสาวให้เพลาๆ ลง
“ไม่ใช่แค่มันหรอก พ่อ แม่ พี่ น้องก็หน้าชื่นอกตรมไปทุกคนแหละ”
ท่านจันทร์เดินเข้ามา มองลูกสาวอย่างผิดหวังขมขื่น
“ถ้าเช่นนั้น หญิงก็ขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
หญิงก้อยสะบัดหน้าพรึด เดินกรีดกรายขึ้นบันได รื่นกับโรยรีบคว้าเครื่องประเพชรวิ่งตาม ท่านจันทร์กระแทกตัวนั่ง โกรธจนตรัสไม่ออก ศศิรัชนีนั่งลงด้วยมองท่านพ่ออย่างเห็นพระทัย
ศุภรยืนคุยกับชายรองอยู่ในร้านผ้าไหม
“เฮ้อ แกก็ยังมีแก่ใจไปง้องอนยายหญิงก้อย ทั้งเช้าทั้งเย็น”
อีกฝ่ายหน้าเครียด “ฉันไม่นึกว่าหญิงก้อยจะไม่มีเหตุผลแบบนี้”
“ผู้หญิงน่ะไม่ใช้เหตุผลอยู่แล้ว ใช้อารมณ์อย่างเดียว”
“เฮ้ย อยากหาเพื่อนกินเหล้าว่ะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ศุภรรีบส่ายหน้า “เย็นนี้ไม่ว่างว่ะ มีงานแต่งลูกค้า นายไปด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะ ยังไม่อยากเจอใคร งั้นไปล่ะ”
ว่าแล้วก็เดินปังๆออกไป ศุภรเกาหัวแกรก
“ไอ้หม่อมเอ้ย ฉลาดทุกเรื่อง มาโง่บรมเรื่องยายหญิงก้อยนี่แหละ”
ชายรองขับรถแล่นมาตามถนน สีหน้าเครียดขรึม พอมองไปก็ชะงัก เมื่อเห็นสาลิน ลลิตา บราลีก้าวมารอแท็กซี่ เขารีบบีบแตรดังสนั่น ก่อนจะจอดรถเอี๊ยดตรงหน้าแทบจะเฉี่ยว 3 นาง จากนั้นก็เปิดประตูรถพรวดก้าวมาหา สาลินทำหน้าแปลกใจ แต่ก็จ้องตาไม่ลดละ
“นี่ คุณจะบ้าเหรอ ฉันเกือบหัวใจวาย”
“เห็นเก่งกล้าสามารถ แค่นี้ไม่น่าจะตกใจ”
ลลิตามองอย่างเคลิบเคลิ้ม ส่วนบราลีถึงจะรังเกียจคนรวย แต่กลับมีอาการทั้งรักทั้งเกลียดระคนอยู่
สาลินยิ้มหน้าเชิด
“ตกใจซิ แต่ก็ไม่ตกใจเท่า เวลาเห็นคนมาเล่นหนังสดต่อหน้า”
อีกฝ่ายตาวาว “ นี่ ฉันมีเรื่องจะพูดอะไรกับเธอหน่อย”
“เรื่องอะไรไม่ทราบ”
“มีก็แล้วกัน คงไม่เสียเวลาอันมีค่าของเธอนักหรอก”
“ก็ได้” สาลินพูดพลางหันมาหาลลิตากับบราลี “ฉันกลับก่อนนะ ฉันเกิดมีธุระกระทันหัน”
จากนั้นก็เชิดหน้าหันกลับมา ชายรองเปิดประตูให้ตามมารยาทอันเคยชิน พอสาลินก้าวขึ้นรถ เขาก็รีบปิดประตู แล้วเดินไปขึ้นรถขับปราดออกไป
ลลิตาและบราลีชะเง้อมองตาม
“ต๊าย เปิดประตูให้ด้วย มารยาทผู้ดีอังกฤษ”
บราลีทำหน้าสงสัย”เอ ใครกันนะ”
“โธ่ ลืมเสียแล้ว พระญาติของฉัน คุณชายรองกิตติราชนรินทร์แห่งวุฒิวงศ์ไง”
“อ๋อ ที่ควงยายคุณหญิงเทโพ เทพวย วันนั้นใช่ไหม”
ลลิตาพยักหน้าหงึก “ถูกต้อง”
“คนที่ยายสาเอาน้ำไปราดเป้ากางเกงเขาถึง 2 ครั้ง 2 ครา”
“เยส ออฟคอร์ส”
บราลีพูดต่อ “คนที่ยายสาบอกว่าบ้ากาม เป็นชู้ชาวบ้าน ฟัดกับยายคุณหญิงกลางวันแสกๆ”
“แอพโซลูทลี่ เอ๊ะ บ้ากาม แล้วฉุดยายสาขึ้นรถไปสองต่อสอง ไปทำอะไรล่ะ?”
บราลียักไหล่ “มันเป็นเรื่องของปัจเจกชน ฉันไม่สน”
รถหรูแล่นมาจอดเทียบฟุตบาธ สาลินหันมามองพูดอย่างเชิดๆ
“จอดตรงนี้แหละ มีอะไรก็ว่ามา”
“ฉันไม่คุยกับใครข้างถนน ที่ฉันไม่พูดตรงนี้เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ”
สาลินพูดแขวะ “ตาย พูดตรงนี้มันไม่สมเกียรติหม่อมราชวงศ์ชายหรือไง”
“มีแต่เธอล่ะมั้งที่บ้าเรื่องยศเรื่องเกียรติ ที่ฉันไม่พูดตรงนี้ ก็เพราะเขาห้ามจอดรถ ไม่งั้นโดนตำรวจจราจรเล่นงาน ไม่เคยรู้เลยหรือ”
“ไม่เคย เพราะฉันไม่เคยมีรถ”
ชายรองชะเง้อมองไป “นั่นไงมาแล้ว”
ตำรวจจราจรมาโบกมือไล่ เขารีบก้มหัวให้แล้วสตาร์ตเครื่อง พารถพุ่งไปอย่างแรง จนสาลินหน้าคะมำ
ชายรองขับรถหน้าเคร่งเย็นชา สาลินเชิดอยู่ได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการระแวงแคลงใจ
“นี่จะพาฉันไปไหน”
“ฉันไม่พาเธอไปต้มยำทำแกงหรอก อย่างเธอน่ะ”
สาลินถลึงตามอง “ทำไม ฉันเป็นยังไง”
“ก็เป็นอย่างที่ไม่มีใครเขาเอาไปต้มยำทำแกงน่ะซี”
“ทำไมจะไม่มียะ ฉันออกจะสวย” สาลินค่อนว่าในใจ
รถชายรองแล่นเข้ามาในสวนสวย ก่อนจะจอดเทียบใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ออกดอกพราวไปทั้งต้น
สระน้ำเบื้องหน้าน้ำไหวเป็นระลอกดูใสสะอาด
สาลินก้าวลงมาจากรถ ชายรองก้าวตามมา บรรยากาศรอบตัวทำให้ลืมความขุ่นข้องไปชั่วขณะ “สวยจัง”
“นี่ ฉันไม่ได้ชวนเธอมาชมนกชมไม้นะ”
สาลินทำหน้าขรึม “จะพูดอะไรก็พูดไปซี”
“ฉันพูดแน่ เธอเป็นคนทำให้ฉันลำบาก เพราะฉะนั้น เธอต้องเป็นคนแก้ไขเรื่องนี้”
“เรื่องอะไรกัน อ๋อ เรื่องที่คุณถูกคู่รักของคุณโกรธ เพราะคุณต้องแต่งงานกับพี่สาวฉันน่ะหรือ”
“ก็ใช่น่ะซี”
สาลินถอนหายใจ “พุทโถ พุทถัง คุณนี่พาลพาโลจริงๆ ยังไงๆ คู่รักของคุณ ก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่วันยังค่ำ
ถึงไม่รู้จากฉัน ก็ต้องรู้จากคนอื่น คุณคิดจะหลอกคู่รักของคุณไปอีกนานเท่าไร”
“ฉันไม่เคยคิดหลอกใคร ฉันกำลังรอจังหวะเหมาะๆ บอกเขาอยู่”
สาลินยิ้มเยาะ “นั่นไง ฉันก็เลยช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น”
“ง่ายบ้าอะไร เขารู้จากฉัน กับรู้จากเธอน่ะ มันต่างกันมากรู้ไหม”
สาลินทำกอดอกนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้า วางท่าสุขุม “ ก็พอจะเข้าใจ”
“นี่อย่าแก่แดดให้มันมากนัก”
สาลินเดินแยกไปทางหนึ่ง กิตติราชนรินทร์รีบสาวเท้าตาม
ดอกไม้ร่วงพรูลงรอบกาย สาลินยื่นสองมือไปรับดอกไม้ ลืมเรื่องร้อนไปชั่วขณะ ก่อนจะนำดอกที่
สวยที่สุดเสียบรังดุมเสื้อ
“นี่เก็บดอกไม้พอหรือยัง”
สาลินมองค้อน “คุณหาทางกราบทูลเสด็จหรือยัง ว่าจะไม่แต่งงานกับพี่สาวฉัน”
“ยัง”
“ขนาดเด็กที่โตมากับเรือกกับสวนอย่างฉัน ยังรู้จักความรับผิดชอบ แต่เด็กที่โตขึ้นมาในรั้วในวังอย่างคุณ น่าจะมีความรับผิดชอบสูงส่งกว่าฉัน แต่นี่เปล่าเลย”
อีกฝ่ายทำหน้าเข้ม ขยับมาก้าวหนึ่ง “เธอจะว่าวังวุฒิเวสม์ไม่ได้อบรมสั่งสอนฉันใช่ไหม”
พูดพลางจับไหล่ 2 ข้างของสาลิน พร้อมกับจ้องตาเขียว ฝ่ายหลังจ้องตอบไม่ลดละ
“ถ้าจะหักคอฉันก็เอาซี”
“ถ้าไม่ติดว่าฉันต้องแต่งกับพี่สาวเธอล่ะก็ ฉันทำไปแล้ว”
สาลินยิ้มหยัน “ที่ไม่ทำเพราะว่าคุณขี้ขลาดมากกว่ามั้ง รู้ไว้ ว่าฉันไม่อยากให้พี่สาวฉันแต่งงานกับคุณ”
“ทำไม” ชายรองย้อนถาม
“เพราะคนขี้ขลาด เห็นแก่ตัว และพาลพาโลอย่างคุณน่ะ ไม่สมควรเป็นผู้คุ้มครองใครทั้งนั้น และคุณมันงก ที่คุณไม่ปฏิเสธการแต่งงานกับพี่สาวชั้น เพราะคุณงก อยากได้สมบัติจากเสด็จ”
สาลินเชิดหน้าดูแคลน
“นี่เธอชักจะมากไปแล้วนะ”
ชายรองขยับเข้าไปใกล้ สองมือจับกรอบหน้าสาลิน จ้องตาแบบกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายรีบปัดมือออก
“ปล่อยฉัน”
สาลินแยกไปอีก เขารีบตาม
“ด่าฉันแล้วมาทำเป็นเดินหนี พูดให้จบซี ฉันเป็นคนยังไงอีก”
สาลินยักไหล่ “ยังไงเหรอ ได้ ผู้ชายอย่างคุณ ถ้าแต่งงานกับคนที่คุณไม่รัก คุณก็คงจะตั้งหน้าตั้งตาทรมานใจเขาอย่างอยุติธรรมที่สุด”
“ช่างรู้ดีนักนะ”
“และผู้ชายอย่างคุณ ถ้าแต่งงานกับคนที่คุณรักทูนหัวทูนเกล้า คุณก็คงหลับหู หลับตาให้เขาสนตะพายจูงจมูกไปไหนได้ทุกที่ ใช่หรือเปล่า”
ชายรองตะลึงนิ่ง ใจหนึ่งโกรธ แต่อีกใจก็ยอมรับว่าจริง พลางคลายมือออก ก่อนจะถูกสาลินผลักเซไป แล้วสะบัดเดินเชิดออกมา เขายืนนิ่งขบกรามแน่น ตัวสั่นด้วยโทสะและอับอาย
สาลินเดินก้าวฉับๆ มา ด้วยสีหน้าบึ้งตึง พอฝนพรำสายลงมา ก็ถึงกับร้องวี้ดอย่างขัดใจ แล้วรีบออกวิ่ง ชายรองวิ่งตาม ทั้งคู่วิ่งมาตรงที่จอดรถ
“ฝนตกแล้วขึ้นรถ”
สาลินสะบัดเสียงใส่ “ไม่ ฉันไม่ขึ้น”
อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง รีบลากเธอมาที่รถ สาลินพยายามดิ้น แต่ก็ถูกกอดรัดไว้แน่น ใบหน้าทั้งคู่เข้ามาใกล้
กันอย่างไม่ได้ตั้งใจ สายตาประสานกัน ท่ามกลางเม็ดฝนที่โปรยปรายหนักขึ้นทุกที
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้ อย่าดื้อ”
ขาดคำก็รีบเปิดประตูให้ สาลินจำยอมเข้าไปแต่โดยดี
สาลินนั่งหลังตรงอยู่ในรถ เอามือคลึงหัว พลางมองอีกฝ่ายตาเขียว ไม่รู้ตัวว่าเสื้อขาวนั้นเปียกน้ำจนเห็นโนมเนื้อ
“คุณขับรถภาษาอะไร”
ชายรองหันมาจะเถียง แล้วชะงักกึกเมื่อเห็นสาลินชัดๆ
“คุณมองอะไร”
“มองดูว่าเธอเปียกฝนขนาดไหนน่ะซี”
สาลินก้มดูตัวเองแล้วใจหายวาบ หน้าแดงระเรื่อ แล้วกลับเป็นซีด รีบยกสองมือกอดอก
“นี่คุณ มองดูถนนเดี๋ยวนี้นะ”
อีกฝ่ายเริ่มเก้อเขินไปด้วย ไม่กล้าชำเลืองอีก ได้แต่ขับรถตัวเกร็ง
“จอดเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะลง”
“จะลงไปให้เปียกกว่านี้หรือ”
“ช่างฉัน”
ชายรองทำหน้ากวน “หรือว่าตอนนี้ผ้ามันยังแนบเนื้อไม่พอ”
“คุณ พวกจิตทราม ฉันบอกให้หยุดรถ”
“แล้วเธอจะกลับยังไง”
สาลินตวาดเสียงกลับ “แท็กซี่”
“แท็กซี่คงชอบเสื้อบางๆ ของเธอ”
“หยาบคาย”
“อ้าว เธอชอบความจริง ชอบคนตรงไปตรงมาไม่ใช่หรือ” เขาพูดย้อน “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
สาลินค้อนตาคว่ำ ยกมือบังอก
“ ความจริง แต่ถ้ามันไม่สุภาพก็ไม่ควรพูด”
รถเลี้ยวเข้าถนนร่มครึ้ม สองข้างทางต้นไม้สวยเขียวขจี ฝนยังคงเทกระหน่ำ
สาลินยังกอดอกแน่น ก่อนจะนึกออก จึงเปิดกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มา
“นั่นเธอทำอะไร”
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน”
ขาดคำสาลินก็ปลดกระดุมเสื้อ ชายรองร้องอุทาน
“นี่จะมาถอดเสื้อในรถฉันไม่ได้นะ”
สาลินค้อนขวับ ก่อนจะสอดผ้าเช็ดหน้าบังบราเซียร์ แล้วกลัดกระดุมเสื้อ
“ฉันไม่ใช่พวกชอบทำประเจิดประเจ้อในรถโชว์คน เหมือนคนบางคน”
อีกฝ่ายส่ายหัว แล้วเราะเบาๆ
“นี่เธอเห็นฉันเป็นคนจิตทราม หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ตลอดเวลาซีนะ”
พอเห็นสาลินเกิดอาการหนาวสะท้านขึ้นมา เขาก็จอดรถเอี๊ยด แล้วหยิบเสื้อนอกที่เบาะหลังมาส่งให้ “รับไปซี”
“ขอบคุณ”
สาลินเอาเสื้อนอกไปใส่ ชายรองออกรถพุ่งไป
สาลินอยู่ในเสื้อนอกตัวใหญ่ โผล่มาแค่ปลายนิ้วซีดๆ กับหัวที่เปียกลีบ ชายรองมองยิ้มๆ
ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่เขามองเธอด้วยแววเอ็นดู
“คุณยิ้มอะไร”
“เราน่ะเป็นผู้หญิง จะทำอะไรให้นึกถึงความเป็นผู้หญิงเอาไว้ให้มาก อย่าคิดว่าจะทำอะไรอย่างผู้ชายไปได้เสียทุกอย่าง”
สาลินสะอึก แต่ก็ทำหน้าเชิดกลบเกลื่อน
“คุณไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน อย่างน้อยสิ่งที่ฉันพูดไปในวันนี้ ฉันแน่ใจว่าฉันทำถูก ฉันพูดถูกทุกอย่าง”
“บางอย่าง เธอพูดถูกแค่บางอย่างเท่านั้นแหละ”
สาลินเมื่อเห็นอีกฝ่ายกล้ารับ ก็อ่อนวูบลง นิ่งกันไปนิดหนึ่ง
“นี่เธอจะให้ฉันไปส่งที่ไหน”
“ตรงไหนก็ได้ที่มีชายคาพอหลบฝนได้”
ชายรองขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้ง
“ทำไม ไอ้การที่ฉันจะไปส่งบ้านน่ะ มันเสียหายอะไรนักหรือ”
สาลินเลยเสียงแข็งกลับ “ไม่ได้เสียหาย แต่ว่าบ้านฉันอยู่ไกล ไม่อยากให้ใครต้องลำบาก”
“แต่วันนี้ฉันลำบากมาเยอะแล้ว ทั้งเรื่องหญิงก้อ....เฮ้อ....ลำบากอีกนิดคงไม่เป็นไร บ้านเธออยู่ไหน อ้อ เมืองนนท์ใช่ไหม”
“ใช่”
ชายรองพยักหน้ารับ แล้วขับรถต่อไป
ฝนยังคงตกกระหน่ำไม่หยุด ฟ้าแลบแปลบปลาบส่องเข้ามาในรถ สาลินเหลือบมาดูชายรอง ก่อนจะเพิ่งประจักษ์ถึงความคมสันของเขา
อีกฝ่ายขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงแยกหนึ่ง ก็หักเลี้ยวขวา พลันก็มีเสียงดังปั๊ก พอเหลือบดู ก็เห็นกระเป๋าถือตกจากตักสาลินไปยังที่วางเท้า เขาเหลือบมองสูงขึ้น แล้วอ่อนใจ เมื่อเห็นเธอเอาหน้าแนบกระจกหลับใหลอยู่ เขามองอย่างหมั่นไส้ระคนขบขัน
รถขับเลี้ยวเข้าไปยังตู้จ่ายน้ำมัน แล้วจอดลง สายฝนยังคงตกปรอยเป็นละออง พุดซ้อนและชบาทิพย์แต่งตัวทันสมัยคล้ายฝาแฝดกางร่มเดินมา
“รถทั้งยาวทั้งใหญ่ ต้องเป็นรถผู้ดี”
ชายรองก้าวลงจากรถ ความมีสง่าราศีแผ่จากตัว ชบาทิพย์เผลอมองจนสะดุดขาตัวเอง รีบเข้าหลบหลังแม่
“อุ๊ย หล่อจังเลย ยังกะพระเอกหนัง”
พุดซ้อนหันไปยิ้มทัก “สวัสดีค่ะ ดีนะคะ ปั๊มกำลังจะปิดพอดี เต็มถังหรือคะ”
“ครับ”
2 แม่ลูกเดินไปตู้จ่ายน้ำมัน แล้วลากสายมา ชบาทิพย์มัวแต่มองกิตติราชนรินทร์จนไม่เป็นอันใส่สายจ่ายน้ำมันเข้าช่อง
“เอ๊ะ อีนี่ เอ๊ย ลูกขา ใส่ให้มันตรงรู เอ๊ย ช่องซีคะ”
“จ้ะ เอ๊ย ค่ะ ฮือ ทั้งหล่อ ทั้งหรู”
พุดซ้อนทำหน้าระอา “นี่หยุดเพ้อค่ะ ลูกขา เขามากับเมีย” พูดพลางหันมาทางชายรอง “ฝนตกหนักจังนะคะ ทางพระนครฝนตกหนักไหมคะ คุณผู้หญิงคงเพลียจัดนะคะต๊าย หลับปุ๋ยเลย”
ชบาทิพย์ยังเพ้อไม่เลิก “หล่อจังเลยแม่”
“อย่าเพิ่ง เค้ามากับเมียเค้าโน่น”
ชายรองเพียงแรกพบก็รู้สันดาน จึงทำเย็นชาแต่ยิ้มนิดๆ พลางหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด
“เท่าไรครับ”
“เต็มถัง 90 บาทค่ะ แย่นะคะ น้ำมันขึ้นอีกแล้ว”
เขาจ่ายเงินแล้วขึ้นรถ พุดซ้อนก้าวมาข้างชบาทิพย์ แล้วทำเป็นก้มลงจับบัวรดน้ำที่ตัดฝักบัวออกสำหรับเติมน้ำ พลางมองเข้าไปในรถ แล้วสะดุ้งเฮือก
ชายรองปิดประตูรถปัง จนสาลินผวาตื่น รถเคลื่อนตัวออกจากปั๊ม 2 แม่ลูกมองตาม
“พี่สา”
พุดซ้อนยิ้มเยาะ “ ว้าย ไปออกแรงทำอะไรมา ถึงได้อ่อนระโหยโรยแรงตะแคงหลับอย่างนี้”
ชบาทิพย์สั่นหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ชายรองเคลื่อนรถมาที่ถนน ก่อนจะจอดเทียบฟุตบาธ แล้วหันมองสาลินที่นั่งหลังตรง
“ไง ตื่นแล้วหรือ”
สาลินรีบพูดกลบเกลื่อน “ใครบอกว่าฉันหลับ ฉันแค่หลับตาเฉยๆ เขาว่าถ้าหลับตานิ่งๆ ไม่คิดอะไร
ซักห้านาที จะทำให้สมองปลอดโปร่ง”
“ถ้าหลับ 2 ชั่วโมงนี่คงเป็นอัจฉริยะเลยนะ”
สาลินไม่เข้าใจว่าถูกประชด “ นี่ แถวไหนแล้วนี่ นี่มันเมืองนนท์นี่”
“แปลกนะ จากสวนลุมมาเมืองนนท์ เธอหลับตาเฉยๆ แค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว”
สาลินหน้าม้าน
“ไหนไปยังไงต่อ”
“อีกแค่ร้อยเมตร ตรงประตูที่เปิดอยู่นั่นไง”
ชายรองขับรถต่อ จนมาถึงประตูรั้วที่เปิดอ้ารอ ก็เลี้ยวรถขวับเข้าไป สาลินที่ไม่ได้ตั้งตัว ถลาพรวดมานั่งบนตัก แล้วก็ตกใจอ้าปากค้าง อีกฝ่ายสบตาอย่างนึกสมน้ำหน้า
สาลินยันตัวพรวดกลับมาเบาะตัวเอง พลางมองอีกฝ่ายตาเขียว
“คุณ คุณแกล้งฉัน”
ชายรองทำหน้าเฉย ก่อนจะจอดรถเทียบเชิงบันได
“นี่ระวังนะ คุณตาฉันดุ ยิงขโมยมาหลายราย”
อีกฝ่ายลงรถทันที ก่อนจะรับไหว้ตาผล กับเจ้าแกะฃอย่างไม่ถือตัว จังหวะนั้นตาก็เดินลงบันไดตามมา
“อ้าว นั่นใครมาส่งล่ะ”
ชายรองรีบยกมือไหว้ ตารับไหว้ สาลินอึกอักไม่อยากแนะนำ
“เอ้อ คุณชายมาส่งค่ะ”
ตาทำหน้างง “คุณชาย? คุณชายอะไรกันหืมม์”
“คุณชาย หม่อมราชวงศ์กิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์ค่ะ”
ตาคิดปราดไป พลางแอบแปลกใจนิดหน่อย เพราะรู้ว่าคือคู่หมายของศรีจิตรา เลยเผลอหลุดปาก
“อ๋อ คุณชายชื่อยาว”
อีกฝ่ายเกือบสะดุ้ง แล้วหันมามองสาลิน ที่เสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบคุณนะครับ คุณชาย ที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งยายสา เชิญขึ้นบนเรือนก่อนเถอะครับ”
ตาพูดเชิญ ฝ่ายถูกเชิญลังเลนิดหนึ่งเพราะไม่อยากรบกวน สาลินมองตาม พลางแอบคิดในใจ
“ขึ้นเรือนชาวบ้านแล้วจะเสื่อมพระเกียรติเหรอ”
จากนั้นก็หันมาพูดกับตา “คงไม่ได้หรอกค่ะคุณตา คุณชายคงต้องรีบกลับ”
เขารีบสวนกลับทันที “อ๋อ ไม่หรอกครับ ผมไม่มีธุระที่ไหน”
“งั้นเชิญขึ้นมาเลยครับ มาดื่มน้ำดื่มท่าก่อน”
สาลินขัดใจ ชายรองแอบยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะรีบถอดรองเท้า แล้วหิ้วขึ้นไปด้วย
ตาผล เจ้าแกะลงมาลูบๆ คลำๆ ที่รถอย่างปลาบปลื้ม สาลินหันมาดุ
“นี่อย่าไปจับ รถมียี่ห้อ หรูหราราคาแพง เราเป็นไพร่มือเท้าหนัก เดี๋ยวรถท่านจะเป็นริ้วเป็นรอยหมด”
เจ้าแกะคอหด ชายรองนึกรู้ว่าสาลินตั้งใจแขวะ ก็หันมามองอย่างฝากไว้ก่อน
ตาเดินนำขึ้นเรือนมา สาลินเดินแซงหน้า ยายที่นั่งอยู่กับยายพิณเหลือบมอง
“อ้าว นี่ไปเอาเสื้อใครมาใส่ลูก ตัวยังกะยักษ์ปักหลั่น”
คนที่ถูกค่อนว่า “ยักษ์ปักหลั่น” ทำตาปริบๆ พอเห็นสาลินยกมือไหว้ยาย ก็เลยไหว้ตาม ยายมองอย่างสงสัย
“คุณยายขา นี่คุณชายกิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์”
“สวัสดีครับ”
ยายรับไหว้ “ค่ะ โธ่นึกว่าใคร คุณชายชื่อยาวนี่เอง”
ชายรองมองสาลินอย่างเอาเรื่อง ฝ่ายถูกมองทำเมินไม่รู้ไม่ชี้
ตานั่งลงข้างๆ ยาย พลางมองชายรองอย่างประทับใจ ตาผล เจ้าแกะมานั่งข้างๆ ยายพิณ พลอยพนมมือแต้ตามไปด้วย
ชายรองกวาดตามอง เห็นพื้นไม้สะอาดเงาวับ ตู้ถ้วยชามมีเครื่องลายครามกังไสมีค่า
สาลินหน้าหงิก พลางคิดในใจ “อ้อ ประเมินค่าบ้านยาจกอยู่ซีนะ”
“เรือนนี่น่าอยู่จริงๆ นะครับ”
ตายิ้มรับ “ก็บ้านไร่บ้านสวนน่ะครับ”
“หนูขอตัวก่อนนะคะ”
สาลินเดินเลี่ยงไปเข้าห้อง ชายรองยิ้มละไม แล้วทอดสายตามาที่กลุ่มยายพิณ
“เอามือลงเถอะ ผมเป็นคนธรรมดาครับ”
กลุ่มยายพิณอิดออด ยายมอง แล้วนึกได้
“ตายจริง ขอโทษเถอะค่ะ แม่พิณยังไม่มีน้ำเลย”
ยายพิณตบอกผาง จนผ้าแถบเกือบหลุด
“ว้าย ขอประทานอภัยเถิดเพคะ”
ชายรองหมดแรงจะแก้ ยายพิณค่อยๆ คลานกระดุบๆ ออกไป
สาลินนั่งลงที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่อแป้ง เห็นเงาสะท้อนตนเอง เสื้อนอกตัวใหญ่ทำให้หัวหลิม ผมเปียกชื้นกระเซิง ปากลบจนซีด เธอร้องอุทาน แล้วรีบถอดเสื้อนอกปาทิ้งไปบนเตียง มองอกแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าปาทิ้งตาม แล้วยื่นหน้าไปที่กระจก เสยผม เม้มปาก เอาสองมือหยิกแก้มตัวเอง
นมย้อยถือถาดวางชามเคลือบมีฝาปิดมาจากหลังตำหนัก ขณะที่จรวยที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่
“เจียม เจียมเอ๊ย”
จรวยหันมาตอบ
“เจียมอาบน้ำให้ตาตุ้มค่ะ”
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“ไม่มีใครว่างค่ะ คนนึงรีดผ้าอ้อม อีกคนนึ่งขวดนม”
นมย้อยยิ้มมองดูจรวย แล้วจงใจพูดเหน็บ
“จริงด้วย ไม่มีใคร “อยู่ว่างๆ” ซักคน”
จรวยทำท่าจะเชิดใส่ แต่พอก็เห็นสีหน้านมย้อยยิ้มแย้มดี เลยไม่แน่ใจว่าโดนเหน็บ ชายเล็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ เงยขึ้นมาถาม
“ทำไมหรือครับ”
“จะให้เด็กๆ เอาเครื่องเสวยไปถวายเสด็จค่ะ มัวแต่รอให้ฝนหยุดอยู่”
เขารีบอาสา “เดี๋ยวผมเอาไปให้เองครับ”
“อุ๊ย รบกวนคุณชายเปล่าๆ”
“ไม่กวนหรอกครับ ดีเสียอีกได้ออกกำลัง วันๆ นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยเดี๋ยว “เป็นง่อย” กันพอดี”
จรวยชะงักมองอีกรอบ แต่ก็เห็นทั้งคู่คุยกันยิ้มแย้มไม่สนใจตน ก็คิดเข้าข้างตัวเอง ว่าไม่ได้โดนเหน็บ นมย้อยยื่นถาดส่งให้ ชายเล็กรับไว้ แล้วถือถาดเดินไป จังหวะนั้นยายน้อมก็โผล่มาพอดี
“อ้าว คุณชายเล็กเชิญเครื่องไปเองเลยหรือคะ”
“คุณชายเล็กน่ะ เธอมีน้ำใจ ไม่เคยถือตัว ช่วยอะไรได้เธอช่วยทุกอย่าง”
ทั้งคู่มองตามอย่างชื่นชม
“ผู้ดีแท้ๆ น่ะ เขาถ่อมตัวอย่างนี้แหละ แม่น้อม”
“ค่ะ คุณนม ไม่เหมือนพวก “ผู้ดีจอมปลอมนะคะ” วันๆ นั่งกรีดกรายชี้นิ้วคอยให้บริวารมารองมือ
รองตีน เอ๊ย เท้า”
คราวนี้ถึงน้ำเสียงจะหวาน แต่จรวยแน่ใจแล้ว ลุกพรวดขึ้นมองดูนมย้อยกับน้อมตาขวาง แต่นมย้อยกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนจรวยเป็นฝ่ายหงุดหงิด กระทืบเท้าเดินโครมๆ ไป
“ผู้เฒ่า ผู้แก่ เลือดจะไปลมจะมารึไง”
ทันทีที่จรวยลับตัวไป ยายน้อมก็ปิดปากหัวเราะคิก นมย้อยยิ้มนิดๆ ส่ายหน้าอย่างสังเวชจรวย
ชายเล็กถือถาดวางชามเครื่องเสวย เดินผิวปากมาแล้วชะงักมองไปที่ศาลากลางสวน เห็น
ศรีจิตราถือกุหลาบช่อหนึ่งยืนมองไปทางตำหนักใหญ่เหมือนรอให้ฝนหายสนิทจริงๆ ก่อน ภาพที่เห็นนั้น งดงามราวภาพวาด
ศรีจิตราค่อยๆ หันมา แล้วเลิกคิ้วแปลกใจ ฝ่ายแอบมองเดินยิ้มร่าเข้าไป เธอยิ้มเย็นๆ ตอบ แล้วถอยไปก้าวหนึ่ง
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภาพศรีจิตรางดงามเหมือนภาพวาด ศรีจิตราค่อยๆหันมาแล้วก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
บดินทราชทรงพลเดินยิ้มร่าเข้าไป ศรีจิตรายิ้มเย็นๆ ตอบก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่ง
“แน่ะคุณศรีติดฝนอยู่นี่เอง” บดินทร์ว่า
“ค่ะ”
“ฝนลงอีกแล้วนะครับ นมย้อยให้ผมเชิญเครื่องมา ตั้งเครื่องหรือยังครับนี่”
“ยังค่ะ เห็นว่าจะทอดพระเนตรข่าวก่อน ส่งถาดมาเถอะค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะเชิญไปเอง”
“แน่ะ นี่จะไล่ผมกลับแล้วหรือฮะ”
“ดิฉันไม่ได้ไล่คุณชายกลับ แต่ดิฉันเห็นว่าไม่สมควรที่คุณชายจะมาทำอะไรแบบนี้”
“แบกถาดนี่นะครับ โธ่ สมัยอยู่เมืองนอกผมทำมากกว่านี้อีก ทั้งจดออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร เช็ดโต๊ะ ล้างจาน เทขยะ วันดีคืนดียังต้องไปทอดเนื้อหน้าเตาด้วย”
ศรีจิตราที่ฟังอยู่รู้สึกทึ่งแต่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“จริงหรือคะ”
“จริงซีครับ ผมจะมาโกหกคุณทำไม”
ศรีจิตรายิ้ม “ก็ดิฉันเห็นคุณชายชอบโก” บดินทร์คอหด ศรีจิตรารีบพูดแก้ “เอ้อ ชอบล้อเล่น”
“แต่เรื่องนี้ผมพูดจริงๆนะครับ ไม่เชื่อให้ฟ้าผ่าซีเอ้า”
ทันใดนั้นก็เหมือนฟ้าแกล้ง เพราะมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาไม่ห่างนัก ศรีจิตราสะดุ้งร้องอุทานแล้วมองดูก็เห็นชายเล็กหายไปแล้ว
ศรีจิตรางง “คุณชายคะ”
ชายเล็กโผล่หน้ามาจากเก้าอี้สนามกลางศาลาโดยยังนั่งยองๆ หน้าแหย แล้วชูสามนิ้ว
“ผมขอสาบานว่าผมพูดจริงนะฮะ ด้วยเกียรติของลูกเสือ” ชายเล็กบอก
ศรีจิตราหัวเราะออกมา ชายเล็กมองเห็นว่าเธอมีชีวิตชีวาไม่ได้เป็นหุ่นอีกต่อไป
คุณตา คุณยาย และชายรองอยู่ที่เสื่อ เสียงประตูดังขึ้น ทุกคนหันมาดูก็เห็นสาลินเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่กับบ้านแต่ดูหรูหรามีผ้าคล้องคอ ผมหวีเรียบมัน หน้านวลเนียน ปากมีสีอ่อน แก้มระเรื่อ ขนตางอนโดยดูเผินๆ จะคิดว่างามตามธรรมชาติแต่ที่แท้คือการจัดเต็มแบบแนท-เชอ-รานที่สุด
ชายรองมองดูก็เห็นว่าสาลินคือ เกิร์ล เน็กซ์ ดอร์จริงๆ สาลินมานั่งพับเพียบที่วง เก็บมือเก็บเท้า เอามือประสานวางบนตัก
“ทางกรุงเทพฯตกหนักเหมือนที่นี่ไหมครับ” ตาถาม
“ตกหนักมากครับ ยิ่งสาวๆบางคนไม่ได้เตรียมร่มมา เสื้อเปียกแนบเนื้อแย่ไปเลย” ชายรองบอก
ชายรองพูดเรื่อยๆ สาลินตาวาว
“แหม แต่อากาศอย่างนี้ ถ้าได้นอนล่ะก็เป็นหลับไม่ตื่นเชียวล่ะ”
“ครับ อย่างยายสานี่ แค่ฝนตกปรอยๆก็หลับเค้เก้แล้ว”
สาลินเกือบร้องกรี๊ด ชายรองทำเสียงซื่อ
“ครับ ผมพอจะนึกภาพออก”
สาลินมองอย่างฝากไว้ก่อน ชายรองจิบน้ำมะตูมอุ่นๆ
“ดื่มน้ำ ดื่มท่า เรียบร้อยแล้ว คุณชายกลับได้แล้วมั้งคะ”
ชายรองรู้ว่าโดนไล่
“ครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
สาลินยิ้มสะใจ ทันใดนั้นก็มีฝนห่าใหญ่ตกถะถั่งพรั่งพรูลงมาอีก ชายรองยิ้ม สาลินแทบจะร้องว้าออกมา ชายรองรู้สึกสาสมใจ
“ถ้าอย่างงี้ อย่าเพิ่งกลับเลยครับ กินข้าวด้วยกันดีกว่า อย่าหิ้วท้องกลับไปที่วังเลย”
“แหม กับข้าวชาวบ้านชาวสวน น่าจะกลืนไม่ลงมังคะ” สาลินว่า
“ฉันจะลองดู”
สาลินเชิด คุณยายเลื่อนชามลอยกลีบกุหลาบให้ชายรองล้างมือ ยายพิณประคองชามที่เอาอาหารไปอุ่นใหม่ควันฉุยก่อนจะคลานเข่ามาวางเรียงรายราวลิเกเก่า
“เอ้า แม่พิณ เอาอะไรมาอีก”
“หม่อมฉันไปอุ่นพระแกงมาให้ทรงเสวยเพคะ”
สาลิน คุณตา และคุณยายสะดุ้งเฮือก กิตติทำตาปริบๆ ยายพิณยังพนมมือแต้อยู่
“พูดธรรมดาเถอะครับป้าพิณ ผมเป็นแค่คนธรรมดา ท่านพ่อผมต่างหากถึงจะเป็นเจ้า”
สาลินแปลกใจที่กิตติอ่อนโยนถึงขนาดนั้น ยายพิณนั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
“ยังไง คุณชายก็เป็นเจ้าสำหรับหม่อมฉันเพคะ”
ยายพิณ ตาผล และแกะยกมือไหว้ท่วมหัว
ฝนเทลงมาใหม่ ชายรองออกมาจากใต้โต๊ะแล้ว ศรีจิตรายืนห่างออกมา ทันใดก็มีลมกรูเกรียวพาฝนสาดเฉียงเข้ามาค่อนศาลา ชายรองขยับหนีฝนจนไปอยู่ใกล้ศรีจิตราแค่ฟุตเดียว ศรีจิตราเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“ทำไมคุณทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก”
“เปล่านี่คะ” ศรีจิตราปฏิเสธ
“หรือว่าผมอยู่ใกล้คุณเกินสามเมตร เอางี้ไหมฮะ ผมออกไปยืนนอกศาลาจะได้ไม่ผิดจารีต”
ศรีจิตรายิ้มเล็กน้อย
“นี่ไม่ใช่เรื่องม่านประเพณีนะคะ”
“แน่ะ คุณรู้จักนิยายเรื่องนี้ด้วย”
“ค่ะ”
“ส่วนผมน่ะนมย้อยเล่าให้ฟัง นมย้อยน่ะเป็นขุมคลังนิทานเลยนะครับ ตอนเด็กพอผมนอนไม่หลับ นมย้อยจะจับผมหนุนตัก แล้วเล่านิทานกล่อมจนผมหลับ”
ศรีจิตราอมยิ้มเพราะรู้สึกดีกับชายรองมากขึ้นไปอีก จรวยหัวหูเปียกลู่โผล่ขึ้นมาแอบดูจากพุ่มไม้บริเวณนั้น
ยายพิณตักข้าวแจกรอบวงจนมาถึงชายรอง
“คุณชายชื่อยาวเพคะ จะเสวยพระกระยาข้าวกี่สารภีเพคะ”
คุณตากับคุณยายขายหน้ากว่าห้าเบี้ย แต่สาลินมีชะงักเรื่องนินทาชื่อชายรอง
ชายรองยิ้ม “ตักเท่าๆกับทุกคนน่ะครับ”
“จะเท่าใครล่ะเพคะ คุณตาคุณยายน่ะกินนิดเดียว แต่คุณสาน่ะท้องยุ้งพุงกระสอบ”
สาลินตาเบิกกว้างโดยมีอาการแทบเอาชามแกงปายายพิณ ชายรองสะใจ
“งั้นเอาน้อยกว่าคุณสาลินหน่อยนึงก็แล้วกัน”
สาลินตาวาว
“คุณชายชื่อเพราะมากนะคะ” ยายชม
“ขอบพระคุณครับ แต่ความจริงไม่มีใครเรียกชื่อเต็มๆหรอกครับ เขาก็เรียกผมแค่กิตติเท่านั้น”
“แหม เรียกสั้นๆก็ดูเป็นชาวบ้านไปซีคะ ดูไม่เต็มยศเต็มเกียรติเต็มศักดิ์เต็มบารมีท่าน” สาลินว่า
ชายรองยิ้มมองดูสาลินดวงตาวาววับแล้วตรงเข้าบีบคอสาลินสุดแรงเกิด สาลินตาเหลือกพยายามแกะมือเท้าก็ดิ้นพราดๆ กิตติตาเหี้ยมยิ่งเพิ่มแรงเค้น สาลินเริ่มหายใจขัด มือจับหน้าชายรองเริ่มเปะปะอ่อนแรง
คุณตายิ้มย่องผ่องใสขณะตักแกงให้คุณยาย คุณยายหยิบเครื่องเคียงชิ้นพอคำป้อนคุณตา ยายพิณถือโถข้าวเข้ามาตักเติม
สาลินสำลักจนลมหายใจใกล้ขาดห้วง
ทั้งหมดคือภาพในมโนของกิตติ กิตติยิ้มในขณะที่กำลังดึงผมเจ้าแกะ
แกะร้อง “โอ๊ย โอ๊ย”
“คุณชายขา ไปดึงผมเจ้าแกะมันทำไมคะ”
ชายรองตื่นจากภวังค์ ทุกคนมองจ้องมา ชายรองรู้สึกตัวจึงรีบดึงแกะมากอด
“แกะน่ารักน่ะครับ”
ชายรองชวนคุยเป็นเชิงออกตัวผสมเชิงอบรมบ่มนิสัยสาลิน
“ที่พวกผมชื่อยาวๆกัน ก็เป็นเพราะเจ้านายประทานให้ ไม่มีใครเอามา “ค่อนขอดล้อเลียน” หรอกครับ”
สาลินเชิดหน้า
“เห็นว่าที่วังมีคุณชายสามท่านหรือคะ” ยายถาม
“ครับ มีพี่ชายโต มีผม แล้วก็นายเล็ก พี่ชายโตชื่อดิเรกราชวิทย์ ผมชื่อกิตติราชนรินทร์ นายเล็กชื่อบดินทราชทรงพล”
“ทั้งคล้องจอง ทั้งเพราะ” ตาชม
“ความหมายดีนะคะ” ยายก็ชม
ชายรองมองสาลินในทำนองว่าเห็นไหม ไม่มีใครเขาเอามาล้อเลียนอย่างเธอหรอก สาลินทำเป็นชี้ชวนชมอาหารกับคุณตา สาลินกำลังซดแกงเลียงแบบผู้ดี แต่ทันใดก็สำลักกระอักกระไอ
“ว้าย ขอโทษเถอะค่ะคุณ อิฉันใส่พริกไทยหนักมือไปหน่อย” พิณบอก
สาลินอับอายขายหน้าจึงได้แต่เชิดหน้ากลบเกลื่อน
ชายรองนั่งกินผลไม้ในจานที่ปอกฝานมาอย่างประณีตงดงาม คุณตาไม่ค่อยกินเพราะมัวแต่ดูจนเพลิน ยายพิณคลานมา “ถวาย” เพิ่มไม่หยุด คุณยายคอยชี้ชวนเอาใจ สาลินนั่งมองตาขุ่น
“อ้าว ยายสา ไม่กินหรือลูก” ตาถาม
“เบื่อค่ะ” สาลินตอบ
“อ้าว เมื่อวานเห็นบ่นอยากกินไม่หยุดปาก” ยายว่า
“ก็เมื่อวานมันอยากกิน แต่วันนี้มันยังไงไม่รู้ค่ะ มันพิพักพิพ่วน จะกินอะไรก็ไม่คล่องคอ”
ชายรองรู้แต่ทำหน้าเฉยก่อนจะวางส้อมแล้วมองไปนอกชาน
“ฝนหยุดซะที คราวนี้คงหยุดจริงนะคุณชาย ฟ้าโปร่งแล้ว”
“ดีค่ะ คุณชายจะได้กลับซะที”
ชายหันมาหาคุณตากับคุณยาย
“ขอบพระคุณครับ อาหารที่นี่อร่อยมาก” กิตติชม
“แหม ขอบพระคุณค่ะ ที่คุณชายชอบ” ยายบอก
พิณสอด “น้ำพริกฝีมือคุณยาย แต่พระกระยายำกับแกงเลียงนพเก้าฝีมือบ่าวเองเพคะ”
ชายรองลุกขึ้น คุณตากับคุณยายลุกตาม ชายรองไหว้ลา คุณตากับคุณยายรับไหว้
“ผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
“โชคดีมีชัยนะครับ / สวัสดีค่ะ” ตากับยายล่ำรา
ยายหันมาบอกสาลิน “อ้าว ยายสา นั่งเอ้อระเหยอยู่ทำไม ไปส่งคุณชายซีลูก”
สาลินหน้าบึ้ง ค่อยๆขยับกายเชื่องช้า
ในที่สุดฝนก็ขาดช่วง ชายเล็กแง้มชามเครื่องเสวยดู
“ว้า เย็นหมดหรือยังก็ไม่รู้”
ศรีจิตรามองเห็นควันยังกรุ่นอยู่
“ยังหรอกค่ะ ยังร้อนอยู่เลย นี่คุณชายจะขึ้นเฝ้าไหมคะ”
“ไม่ล่ะฮะ เดี๋ยวผมโดนเด็จป้าค่อนเอาอีก”
“ไม่จริงหรอกค่ะ เสด็จทรงโปรดคุณชายออก”
“ขอบคุณฮะ แต่วันนี้ผมนัดกับนมย้อยเอาไว้ฮะ ว่าจะกินข้าวด้วยกัน”
ชายเล็กส่งถาดให้ศรีจิตรา
“ผมกลับแล้วล่ะครับ เชิญคุณศรีเถอะฮะ เดินดีๆนะครับ”
ศรีจิตราเชิญเครื่องเสวยลงจากศาลาไปในสนามหญ้า ชายเล็กเดินดุ่มไปแต่ด้วยอะไรอย่างหนึ่งศรีจิตราจึงชะงักหันไปดูบดินทร์ ชายเล็กเองก็ชะงักหันมามองศรีจิตรา ชายเล็กโบกมือให้ ศรีจิตรายิ้มหันกลับ ชายเล็กก็หันกลับ ชายเล็กเดินผ่านซุ้มไม้จนมาเห็นจรวยลับๆล่อๆ
“นั่นใคร”
จรวยเดินออกมาด้วยสีหน้ามีพิรุธในขณะที่ฝนยังตกปรอยๆ
“นี่เธอมาทำอะไรตรงนี้”
“มา มาอาบน้ำเพ็ญค่ะ” จรวยเริ่มล้วงควักตามตัว
“หา อาบน้ำเพ็ญ”
“ค่ะ อาบน้ำฝนในคืนเพ็ญ จะโชคดีศรีสวัสดิ์ ผัวรักผัวหลงค่ะ”
ชายเล็กส่ายหัวดิกโดยไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวแล้วก็เดินไป จรวยทำหน้าแสยะไล่หลัง ดวงจันทร์เพ็ญกำลังขึ้นเหนือฟ้าอยู่จริง ๆ
ชายรองออกมาที่เทอเรซ สาลินยุรยาตรตามมา
เจ้าแกะเอารองเท้าชายรองมาเช็ดน้ำและขัดให้โดยมีตาผลสอนวิธีขัด ชายรองมองด้วยความเอ็นดู
“ผมกลัวไอ้มอมคาบไป เลยเอาซับน้ำและขัดให้ขอรับ” แกะบอก
“ขอบใจมาก”
“ต๊าย ไปเอามาขัดทำไม ของเขามียี่ห้อ หรูหราราคาแพง ขัดถลากถลำหนักมือไป เดี๋ยวจะช้ำชอกเป็นริ้วเป็นรอยหมด”
เจ้าแกะตกใจจึงรีบวางรองเท้า ชายรองมองสาลินดุๆ ชายรองลูบหัวแกะ
“รองเท้าฉันไม่ได้ทำจากใยไหม ไม่ช้ำง่ายขนาดนั้นหรอก” ชายรองบอก
ชายรองเปิดกระเป๋าสตางค์ส่งเงินให้ห้าบาท เจ้าแกะยิ้มรับธนบัตรมาด้วยอาการแทบเป็นลมอยู่ตรงนั้น
“ถวายบังคมเร็วลูก” พิณบอก
เจ้าแกะลงนั่งยกมือไหว้ท่วมหัว
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า”
สาลินสะบัดหน้า “เชอะ”
ชายรองหัวเราะลงนั่งสวมรองเท้า
“งั้น นายแกะ ช่วยสวมรองเท้าให้ฉันหน่อยนะ”
แกะสวมให้อย่างเอาใจ สาลินค้อนวงใหญ่
ชายรองเดินมาที่รถ สาลิน ผล และแกะเดินตามมา
“แล้วเสื้อนอกฉันล่ะ” ชายรองถาม
“ฉันจะเอาไปซักให้ก่อน” สาลินบอก
“ไม่ต้องก็ได้มั้ง มันก็ไม่ได้เปื้อนเนื้อเปื้อนตัวอะไรเธอนี่” ชายรองวว่า สาลินเชิด “เพราะเธอเอาผ้าเช็ดหน้าสอดไว้แล้วไม่ใช่หรือ”
สาลินเกือบเต้นเร่าๆ แต่กลัวตาผลกับเจ้าแกะรู้ความนัย
“ที่ฉันซักให้ก็เพราะฉันเป็นคนรับผิดชอบต่างหาก”
ชายรองยิ้มนิดๆ
“ก็ได้ แต่เสื้อนอกฉันเป็นของมียี่ห้อ หรูหรา ราคาแพง ซักถลากถลำหนักมือไปเดี๋ยวจะช้ำชอกเป็นริ้วเป็นรอยหมด”
ชายรองเก็บข้อมูลได้ทุกคำมาย้อน สาลินแทบเต้นอีก
“ฉันจะส่งซักแห้ง ไม่ซักให้เปลืองมือหรอก”
“แต่คงเปลืองเงินน่าดู”
ชายรองยิ้มแล้วก้าวขึ้นรถ สาลินเห็นตาผลและแกะยังพนมมือไหว้อยู่
“ไหว้ทำไม ไม่ใช่จ้งใช่จ้าวสักหน่อย” สาลินว่า
สาลินกลับเข้าบ้าน รถกิตติแล่นออกไป
ฝนหยุดสนิทแล้ว ทุกบริเวณฉ่ำชื่นด้วยหยาดฝน รถของกิตติแล่นมาจอดลง นายยอดเข้ามารับ ชายรองลุกจากรถแล้วโน้มตัวไปหยิบกระเป๋าเอกสารก่อนจะเห็นอะไรบางอย่าง
ชายเล็กนั่งบนโซฟาดูโทรทัศน์ ชายรองถือกระเป๋าเอกสารเดินมากระแทกตัวนั่งลง
“อวดดีจริงๆ” ชายรองว่า
“ใคร ผมหรือฮะ” ชายเล็กถาม
“ฉันหมายถึง น้องสาวตัวดีของว่าที่พี่สะใภ้นาย”
ชายเล็กเลิกคิ้วแล้วเล่นละครแนบเนียน
“ใครหรือฮะ น้องสาวว่าที่พี่สะใภ้ผม อ๋อ ก็หมายถึงน้องสาวคุณศรีจิตรา”
“นายไม่รู้จักหรอก แม่นี่ ชื่อแม่สาลิน”
“นั่นซีฮะ ผมจะไปรู้จักได้ยังไง อ๋อ เขาชื่อสาลินหรือฮะ”
“ใช่”
“คือคนที่เอาผลไม้มาให้บ้านเรา แล้วมาเจอพี่รองจู๋จี๋กับหญิงก้อย และก็เลยทำให้ความแตก หญิงก้อยเลยรู้เรื่องคุณศรีใช่ไหมฮะ”
ชายเล็กทำเป็นนึกก่อนจะพูดเรื่องราวเป็นฉากๆ ชายรองมองหน้า
“ความจำแกดีเกินขนาดไปแล้ว”
“นั่นชมใช่ไหมฮะ”
“แต่ฉันจำได้ว่า ฉันไม่เคยเล่าว่า กำลังจู๋จี๋กับหญิงก้อย”
ชายเล็กคอหดแล้วจึงรีบแก้ตัว
“เอ งั้นเรื่องนี้ผมคงได้ยินมาจาก “คนอื่น”
ชายเล็กคิดไปเองว่าคงเป็นจรวยเลยไม่ถามอะไร
“เห็นว่าวันนั้น คุณสาลินอะไรเนี่ย เล่นงานซะพี่รองตั้งตัวไม่ติด”
“แกก็ยังเทียบไม่ได้กับที่เขาด่าฉันสาดเสียเทเสียวันนี้”
ชายเล็กอ้าปากค้าง
“ยังไงฮะ พี่รองไปเจอเขาที่ห้องสมุดหรือ”
“แกรู้ได้ยังไงว่าเขาทำงานที่ห้องสมุด”
ชายเล็กเกาหัว “เหมือนกับ เอ้อ คุณศรีเคยเล่าฮะ ว่าแต่ว่าเขาว่าอะไรพี่รองมั่ง”
“เขาว่า จนฉันแทบจะบีบคอเขาตายคามือ”
ภาพจินตนาการที่ชายรองบีบคอสาลินแวบขึ้นมา
“แต่ที่เขาว่าฉันเป็นจริงเกือบทั้งหมด” ชายรองบอก
“ยังไงฮะ”
“เขาว่าฉันขี้ขลาดกลัวไปหมด กลัวหญิงก้อยโกรธ กลัวเด็จป้าเสียพระทัย กลัวต้องกลายเป็นคนอกตัญญู”
“แล้วตรงไหนฮะ ที่ไม่จริง” บดินทร์ถาม
“ก็ตรงที่เขาว่าฉันงก อยากได้มรดกเด็จป้า จนดึงพี่สาวเขามารับเคราะห์น่ะซี”
ชายเล็กลุกขึ้นครุ่นคิดแล้วหันมา
“แปลกนะฮะ”
ชายรองงง “แปลกอะไร”
“เขาเพิ่งเจอพี่รองแค่ 2 หน แต่สามารถพูดเอาชนะพี่รองให้ยอมรับได้”
ชายรองมองหน้าแล้วพูดเสียงเข้ม
“นี่แกหมายความว่ายังไง”
“ก็ในบ้านนี้พี่รองเป็นคนดูแล ถึงบางทีพี่รองจะทำอะไรไม่เข้าท่า ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรอกฮะ”
“นี่ฉันเป็นคนแบบนั้นจริงเหรอ”
ชายเล็กยิ้มเจื่อนๆเหมือนกลัวถูกเตะแล้วพยักหน้า ชายรองอึ้งไป
ห้องนอนสาลินมีแสงจันทร์เบื้องนอกส่องสว่างเข้ามา
สาลินนอนหลับกระสับกระส่าย ผ้าห่มบิดเป็นเกลียวพันอกพันตัวพันแขนไว้ สาลินดิ้นขลุกขลัก
“ฮือ ไอ้งูบ้า”
สาลินผวาลุกขึ้นนั่งหัวใจเต้นระทึก เธอมองไปตรงหน้าในเงามืด ชายรองยืนอยู่เป็นเงาดำทะมึนดูสูงใหญ่ไหล่กว้าง สาลินลืมตาโพลง สาลินเลื่อนมือไปคว้าที่ทับกระดาษหนาหนัก ชายรองทำท่าจะก้าวออกมาสาลินพลันปาที่ทับกระดาษเข้าใส่สุดแรงพลางแหกปาก
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าข้า โจร โจรขึ้นห้อง”
ที่ทับกระดาษโดนร่างสูงใหญ่ถนัดถนี่จนร่างนั้นร่วงลงคล้ายทรุดคุกเข่าลงกับพื้น สาลินลุกพรวดขึ้นยืนบนที่นอน เธอคว้าไม้เกาหลังมากวัดแกว่ง
“ช่วยด้วย”
ประตูห้องสาลินเปิดผางออก สวิชต์ไฟถูกกดแชะทำให้ไฟสว่างขึ้น คุณตาถือดาบ 2 มือคล้ายชาวบ้านบางระจัน คุณยายถือปืนยาว ยายพิณถือสากมหึมา ตาผลถือประแจพรวดเข้ามาเต็มห้อง
“ไหนลูก มันอยู่ไหน”
คุณยายยกปืนขึ้นระดับอกแล้วกระชากลูกเลื่อนแกร็กก่อนจะตวาดเฉียบขาด
“ค้นให้ทั่วห้อง”
ตาผลกับยายพิณตรงเข้าดูตามตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ หลังฉากกั้น ฯลฯ
“ตรงเข้าห้องยายสาอย่างนี้ มันคง”
คุณตาชะงักเพราะคิดว่าไม่ควรพูด ยายพิณเลยพูดต่อ
“คิดจะปลุกปล้ำ ทำชำเราแน่ๆ ค่ะ”
สาลินทำตาปริบๆ ก่อนจะมองดูเสื้อนอกกิตติที่บัดนี้กองกับพื้น แล้วเข้าไปเอาไม้เกาหลังเขี่ยๆ แล้วใช้เกี่ยวชูขึ้นเห็นเป็นรูปทรงบุรุษไหล่กว้างก็รู้แล้วว่าตัวเอง “มโนเต็มๆ ” ตาผลไปมองที่หน้าต่าง
“ไม่มีใครเลยนี่ครับ” ผลว่า
คุณยายเข้าคว้าแขนสาลิน
“ยังไงลูก มันเข้ามายังไง”
“มันทำอะไรหนูหรือเปล่า” ตาถามต่อ
ทุกคนมองสาลินเป๋งราวจะสำรวจความเสียหาย สาลินยกเสื้อนอกมากอดปิดอก
“เปล่าทำค่ะ” สาลินบอก
“แล้วเห็นหน้ามันไหม สูงต่ำดำขาวเป็นยังไง” ตาถาม
“มันไม่มีหน้าค่ะ แล้วไม่สูงไม่ต่ำไม่ดำไม่ขาวอะไรทั้งนั้น”
สองตายายมองหน้า ยายพิณกับตาผลสบตาแล้วทั้งสองก็เกิดอกุศลจิตพร้อมกัน
“คือว่า ไม่มีอะไรค่ะ หนูฝันร้ายมากจนตกใจตื่น ก็เลยร้องขึ้นมา”
สาลินไม่ได้ขยายความว่าเสื้อใครแต่ยังคงเอากอดไว้ คุณตาร้องปู้โธ่ คุณยายอะดรีนาลีนจางหายรู้สึกหมดแรงนั่งแปะลงบนที่นอนทำให้ปืนชี้คุณตา คุณตาร้องแย่งปืนมาแล้วส่งปืนและดาบคู่ให้ตาผลเอาไปเก็บ ผลขนปืนกับดาบไป
“นี่แม่คุณฝันร้ายอะไรนักหนา” ยายถาม
พิณรีบถาม “เห็นเป็นตัวเลขบ้างไหมคะ”
“ไม่มีค่ะ แต่ฝันว่างูรัด ฮือ ตัวมันใหญ่ ปากก็กว้าง แลบลิ้นแผล็บๆน่ากลั้วน่ากลัว”
คุณตา คุณยาย และยายพิณร้องอุทานต่อกัน
“งูรัด งูรัด งูรัด”
คุณตากับคุณยายเริ่มยิ้มอมๆ ยายพิณตบอกผางแล้วหัวเราะจนน้ำหมากหยด
“วุ้ย งั้นไม่ใช่ฝันร้ายแล้วค่ะ ฝันดี”
สาลินนั้นรู้ทุกเรื่องแต่เรื่องนี้กลับนึกไม่ถึง เธอทำตาปริบๆ
“ดียังไงคะ มันรัดซะแน่น น่ากลัวจะตาย ตื่นขึ้นมาก็เป็นอีผ้าห่มบ้านี่ค่ะ”
“ฝันดีก็แล้วกันลูก”
“เดี๋ยวก็สวนยันทุน 3 จบแล้วนอนต่อ”
“ใครบอกล่ะคุณ นั่นมันสำหรับฝันร้าย ฝันดีอย่างงี้เขาให้กลับหมอนแล้วนอน เผื่อจะฝันต่อ”
“ฝันทำไมคะ ไม่เอาค่ะ” สาลินว่า
“อุ้ย จะได้ดูให้ชัดๆไงคะ ว่างูมันดำมันขาวมีเค้าใครบ้าง” พิณบอก
“ไป”
คุณตา คุณยาย ยายพิณอมยิ้มผิดกับขามา ประตูห้องปิดลง สาลินหน้าบึ้งโดยเพิ่งรู้ตัวว่ากอดเสื้อไว้จึงเอาไปแขวนไว้ที่เดิม
“เพราะเสื้อของอีตาบ้านี่ทีเดียว”
สาลินค้อนควักเสื้อ ปิดไฟ สาลินปรือตาดูแล้วเริ่มเข้าสู่ภวังค์ฝัน ในมโนนั้นเธอเห็นชายรองยืนอยู่ในความมืด ไหล่กว้าง สูงใหญ่ ดูอบอุ่น หันมายิ้มให้ สาลินหลับไปด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
ชายรองอาบน้ำแล้วสวมเสื้อคลุมทับชุดนอนมานั่งที่โต๊ะทำงาน รูปถ่ายหญิงก้อยมองออกมา ชายรองถอนใจแล้วหยิบแฟ้มเอกสาร ดอกไม้ของสาลินหล่นปุลงมา ชายรองหยิบมาดูจากหน้าบึ้งค่อยๆกลายเป็นอ่อนลง ดอกไม้สีสวยตกอยู่บนเบาะ ชายรองขมวดคิ้วแล้วนึกถึงอดีต
เหตุการณ์ในอดีต กิตติเลี้ยวรถขวับ สาลินเซถลามานั่งตักกิตติ ดอกไม้หล่นจากรังดุม ตกลงบนตักชายรอง
เมื่อนึกถึงอดีต ชายรองก็หน้าบึ้ง เขาสอดดอกไม้ลงในหนังสือเล่มหนาหนักแล้วหยิบไดอารี่ของปี 2510 มาเขียนบันทึกประจำวัน
วันต่อมา ชายโตกำลังทานของว่างที่ระเบียงตำหนักเล็ก จรวยช่วยเสิร์ฟ
“คุณชายขา จรวยขอถามเรื่องนึง อย่าหาว่าจรวยจุ้นจ้านเลยนะคะ” จรวยบอก
“มีอะไร”
“คืนก่อน จรวยไปเก็บดอกราตรี บังเอิญไปเห็น เออ คุณเล็กน่ะค่ะ”
จังหวะนั้นชายเล็กผ่านมาพอดีเพราะเตรียมตัวจะไปหาสาลิน เขาหยุดฟัง
“กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงกับคุณ”
“ใคร”
“คุณศรีจิตราน่ะซีคะ คุณโตว่าจะ”
“นี่ไปแอบดูเขาอีกแล้วเหรอเนี่ย ฉันเตือนแล้วนะว่าอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
“จรวยไม่ได้ยุ่งนะคะ บังเอิญไปเห็น”
“แล้วเธอสงสัยอะไร”
“สงสัยว่า เสด็จทรงจับคู่ผิดคนก็ได้ คนพี่ที่ต้องแต่งไม่ได้รัก กลับไปรักคนน้องแทน”
ชายเล็กทนไม่ไหวจึงแสดงตัวทันที
“แหม จรวย สร้างเรื่องเก่งจริงนะ”
“ว้าย คุณเล็ก”
“พี่โตครับ พี่ต้องเตือนเมียพี่ไว้บ้างแล้วล่ะครับ ว่าอย่าเที่ยวไปสอดรู้สอดเห็นที่ตำหนักใหญ่ให้มาก เดี๋ยวข้าหลวงที่นั่นเขาจะค่อนเอาได้ ว่าทางเราไม่อบรมมารยาทข้าหลวงของเรา”
“รวยเป็นเมียคุณโตนะคะ คุณเล็ก ไม่ใช่คนใช้แล้ว”
“รู้อย่างนี้ก็ควรจะทำตัวให้สมเกียรติเมียคุณชาย ไม่ใช่ทำตัวเป็นนางบ่างยุแยงไปวัน ๆ”
จรวยจะร้องไห้ “คุณเล็ก คุณโตคะ”
“จรวย ไม่ต้องเถียงแล้ว ไปได้”
จรวยร้องไห้แล้ววิ่งออกไป
“ขอโทษพี่ด้วยที่ต้องเตือนแรง ๆ ผมกลัวว่าถ้าจรวยเอาเรื่องไปลือแบบนี้ คนที่จะเสียคือคุณศรีจิตรา”
“เฮ้อ ถ้าฉันเชื่อนายรอง ตัดใจจากจรวยเสียแต่แรก ฉันคงไม่ต้องมาทนกับเรื่องแบบนี้”
“พี่โตพูดแบบนี้ หมายความว่าพี่โตจะยอมแต่งงานแทนพี่รองเหรอ”
“ชั้นว่านายอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย”
“ครับ”
“แปลก ที่นายรองไม่ยักสนใจ”
“พี่รองรักหญิงก้อยครับ คงไม่เหลือใจให้ใครแล้ว”
ชายเล็กคิดถึงพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 6 (ต่อ)
สาลินนอนคว่ำเอาหมอนรองอกอยู่ที่ศาลาท้ายสวน เธอทำรายงานรายชื่อหนังสือห้องสมุด
ยายพิณเข้ามานั่งคุยโดยกำลังเอามือเปิบข้าวกับน้ำพริก ผักสดบางอย่างก็เด็ดๆเอาแถวนั้น เจ้าแกะวิ่งเล่นเท้าเลอะโคลนมานั่งข้างๆ
“เจ้าชายนั่นเป็นพระคู่หมั้นคุณศรีหรือคะ”
“ยังไม่ได้หมั้น แต่ก็เกือบแล้ว”
“เธอพระทัยดีนะคะ อุตส่าห์เสด็จมาส่งคุณสาถึงนี่”
“ฮึ สาว่าเขาไม่ได้ใจดีหรอก เขามาส่งสาต้องมีจุดประสงค์แอบแฝง”
“มีพระประสงค์แอบแฝง”
“ป้าขา ป้าพูดภาษาเจ้าผิดหมดแล้วค่ะ”
“เหรอคะ”
“เขาคงมาดูว่าพวกเรามีการศึกษารึเปล่า”
พิณสะดุ้ง
“มาถึงบ้าน แถมยังอยู่กินข้าว ก็แปลว่าเขาอยากมาดูกำพืดเราน่ะซี ว่าพี่ศรีจะไปร่วมวงศ์เทวัญอสัญหยากับเขาได้ไหม”
ยายพิณฉีกปลาเข้าปาก
“ว้าย จริงหรือคะ”
“จริงน่ะซี เขาคงมาดูว่าบ้านเรากินข้าวด้วยช้อนส้อม หรือว่าใช้มือเปิบ”
ยายพิณชะงักโดยมือที่ยัดข้าวเข้าปากชะงัก สาลินค้อนไปยังทิศของกรุงเทพฯ ไม่ได้รู้ว่าทุกคำทำให้ยายพิณปริวิตก
“มาดูว่าบ้านเราใส่รองเท้าหรือว่าเดินตีนเปล่า”
ยายพิณทอดสายตาไปยังเท้าอันใหญ่บานแตกระแหงแห่งตน แล้วก็มองไปที่เท้าเจ้าแกะก็เห็นโคลนเปื้อนขาทั้งสองข้างของแกะ
“ยาย”
“เขาจะได้เอาไปดูถูกไง ว่าพี่ศรีเป็นพวกบ้านนอก”
ยายพิณตัดสินใจจะยกระดับคุณภาพชีวิตในนาทีนั้น
“อิฉันสัญญาค่ะ ว่าต่อแต่นี้ อิฉันจะใช้ช้อน แล้วก็ใส่รองเท้าตลอดค่ะ ไป ไอ้แกะ” พิณบอก
“ไปไหนยาย”
ยายพิณรวบจานข้าวก่อนจะดึงลูกที่ยังงงๆ เดินไป
“ไปอาบน้ำอาบท่าล้างขาแข้ง ทีนี้เอ็งจะมาเดินตีนเปล่าคลุกขี้เลนขี้โคลนไม่ได้แล้วนะ”
สาลินเพิ่งรู้ว่าที่บ่นบ้ามานั้นสร้างทุกข์ให้ยายพิณใหญ่หลวงก็เลยทำตาปริบๆ ชายเล็กเยี่ยมหน้ามาจากหลังต้นไม้ สาลินมองไป
“คุณทำบ๊องอะไร เข้ามาซี”
ชายเล็กเข้ามานั่งโดยห่างออกมาพอควร
“หวัดดีฮะ ทำไมบ้านช่องเงียบจัง”
“วันนี้วันพระนะซี คุณตา คุณยายไปถืออุโบสถที่วัด”
“ผมนี่แย่จัง ไม่รู้แล้วว่าวันไหนวันโกนวันพระ”
“ก็ยังดีหรอก คุณยังรู้ว่ามีวันโกนกับวันพระ อีกหน่อยคนรุ่นต่อไป อาจไม่รู้จักเลยก็ได้ นี่คุณมาจากปั๊มเหรอ”
“เปล่าฮะ นี่ผมตรงดิ่งมานี่เลย”
“อ้าว แต่ก่อนคุณต้องทำงานก่อนแล้วถึงจะเลยมา”
ชายเล็กหน้าระรื่น
“ก็ตอนนั้นเพิ่งรู้จักใหม่ๆไงฮะ ยังกำเริบเสิบสานไม่ได้”
สาลินหัวเราะคิก
“แปลว่าตอนนี้ชักสนิทแล้ว ก็เลย”
“กำเริบเสิบสาน โธ่ คนเราก็ยังงี้แหละครับ พอรู้จักใหม่ๆก็เกรงใจ พออีกหน่อยผมอาจจะกำเริบยืมเงินคุณก็ได้”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย”
ชายเล็กขยับมาใกล้อีกนิด “ฮ้า แปลว่าคุณจะให้ผมยืมเงินจริงๆหรือฮะ”
“เปล่า ฉันหมายความว่า อยากยืมก็ยืมไป แต่ฉันไม่ใจอ่อนให้ยืมเด็ดขาด”
ชายเล็กหัวเราะ
“จริงฮะ คนสมัยนี้ต้องทันคน ถ้ามัวอ่อนมัวเกรงใจอยู่ก็จะถูกคนอื่นเอาเปรียบตลอด”
สาลินสลด “อย่างพี่ศรีของฉันซีนะ”
“เฮ้อ วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว”
“ก็จริงนี่ อีตาคุณชายชื่อยาวนั่นร้ายที่สุดเลย ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ คือ เรื่องมันเป็นยังงี้”
สาลินเริ่มเล่าด้วยความจริงบ้าง ใส่ไฟบ้าง ตีความเองบ้างตามประสา ชายเล็กลงนอนคว่ำ ศอกเท้าพื้นแล้วเอาฝ่ามือรองคางฟังไป
บนศาลาการเปรียญหลังจากการเลี้ยงพระเพล บรรดาญาติธรรมครึ่งหนึ่งแต่งชุดขาว ส่วนใหญ่คือผู้เฒ่า ผู้แก่ หญิงผัวทิ้ง หญิงขึ้นคาน และหญิงอกหักรักคุด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแต่งกายด้วยสีสันปรกติ
บรรดาญาติธรรมกำลังล้อมวงกินข้าวกลางวันกันอยู่ 3-4 วง คุณตา คุณยาย กับผู้เฒ่าวัยใกล้เคียงอยู่วงหนึ่ง เสียงสนทนาดังแซ่ดราวไม่ใช่วัด คุณตามองไปยังประตูเข้าศาลาแล้วชะงัก คนอื่นๆมองตาม จู่ๆเสียงแซ่ดก็เงียบกริบ
พุดซ้อนอยู่ในชุดผ้าซิ่นขาวห่มสไบ ตามหลังมาด้วยชบาทิพย์ที่สวมกระโปรงเหนือเข่าเล็กน้อยเสื้อขาว พุดซ้อนถือปิ่นโตเถามหึมานัยว่าเพิ่งไปถวายส่วนตัวกับรองเจ้าอาวาสที่เป็นหมอดู ส่วนชบาทิพย์ถือถุงห่านพะโล้มา 4 ถุง ท่าทางสำหรับ 4 วง
เมื่อพุดซ้อนกรายเข้ามาใกล้ ทุกคนจึงเห็นว่าซิ่นขาวนั้นแทรกดิ้นทองทั้งผืน สไบก็เป็นผ้าลูกไม้สวิส ยาวเกินสไบผู้ปฏิบัติธรรมลงไประพื้น หน้าผมจัดเต็ม พุดซ้อนมาคุกเข่าลงที่กลุ่มคุณยาย
“อ้าว แม่พุดซ้...พุทธชาติ มาด้วยหรือจ๊ะ” ยายทัก
“มาค่ะ เอาของเพลไปถวายหลวงพี่น้ำผึ้ง เห็นว่าท่านอาพาธไม่ได้ลงศาลา” พุดซ้อนบอก
“อ๋อ จ้ะ”
“แล้วนี่ ห่านพะโล้ท่าดินแดงค่ะ ซื้อมาหลายตัว จะได้แบ่งกันทั่วๆทุกวง”
ชบาทิพย์คลานเข่าเอาถุงเปิดแจก ผู้คนทุกวงเซ็งแซ่อนุโมทนาแต่พุดซ้อนพูดต่อ
“คนที่ไม่เคยกิน จะได้รู้รสให้เป็นลาภปาก”
แทบทุกคนชะงักแล้วแทบจะไม่อยากแกะใส่จาน แต่ไหนๆก็ไหนๆก็เลยกิน คุณยายยิ้มเซ็งๆ
“ขอบใจจ้ะแม่คุณ ขอให้เจริญๆ”
พุดซ้อนเลยนั่งแปะที่วงนี้แล้วแสร้งสอดส่ายสายตา
“อ้าว หนูสาล่ะคะ”
“เมื่อเช้านี้เขาเป็นหวัดฟ่อดๆแฟ่ดๆน่ะ ก็เลยให้อยู่บ้าน”
พุดซ้อนตาวาว “คงเปียกฝนเมื่อวานนี้ใช่ไหมคะ” พุดซ้อนเสียงดังขึ้น “เมื่อวานพอดีอิฉันอยู่ที่ปั๊ม พอฝนซาก็มีรถคันยาวหรูหรามาเติมน้ำมัน คนขับก็เป็นหนุ่มท่าทางโก้”
ทุกคนหยุดกิน ฟังพุดซ้อน คุณตา คุณยายเริ่มรู้แล้วว่าไม่ชอบมาพากล
พุดซ้อนพูด “ดิฉันกับชบาทิพย์เติมน้ำมันให้”
ชบาทิพย์ยิ้มหน้าซีดเพราะรู้ว่าแม่เป็นจอมใส่ไข่
“แล้วเห็นอะไรรู้ไหมคะ” พุดซ้อนบอก ทุกคนยิ่งสนใจ “ดิฉันเห็นในรถมีผู้หญิงสาวนอนหลับไหลไม่ได้สติอยู่”
ทุกคนตาเบิกโพลง คุณตากับคุณยายสบตากัน
พุดซ้อนตบอกผาง “ดิฉันกับลูกชบาทิพย์ใจหายวาบ นึกได้ถึงข่าวแท็กซี่มอมยาผู้โดยสาร เลยไปดูใกล้ๆ”
พุดซ้อนตาเบิกโพลงขึ้นอีกเท่านึง
“แล้วดิฉันกับลูกก็ตกใจขึ้นเป็นสองเท่า เพราะผู้หญิงคนนั้นคือ”
ทุกคนมองอย่างใจจดใจจ่อ
“หนูสาลิน”
กลุ่มที่เจริญสติมาน้อย พลันส่งใจออกนอกวิเคราะห์ วิตก วิจารณ์กันแซ่
“ว้าย สลบเลยหรือคะ / ผ้าผ่อนอยู่ครบหรือเปล่า / เรื่องมอมยาที่จริงนะเธอ ไม่ใช่ข่าวลือ วันนั้นหลานห่างๆของพี่สาวเพื่อนของเพื่อนลูกสาวฉันอีกทีก็โดน / โธ่เอ๋ย หนูสา มิน่าถึงมาวัดไม่ได้”
คุณตาโกรธจนแทบลุกขึ้นเต้น คุณยายเอามือกดขาไว้ ยิ้มเหี้ยมกับพุดซ้อนและทุกคน ดวงตาวาววับราวสายฟ้า
“มันไม่ใช่”
“คือยังงี้ค่ะ เมื่อวานนี้ยายสาเขาไปเยี่ยมพี่สาวที่วังวุฒิเวสม์ วังของเสด็จพระองค์หญิงไงคะ”
ทุกคนนิ่งฟัง คุณยายพนมมือไหว้เหนือศีรษะเมื่อกล่าวถึงเสด็จ ทุกคนไหว้ตาม พุดซ้อนเลิ่กลั่กไหว้ทีหลังสุด
“แล้วก็เกิดฝนตกใหญ่ คุณชายกิตติราชนริทร์ วุฒิวงศ์ พี่เขยยายสาก็เลยขับรถมาส่ง”
ชาวบ้านทั้งหลายมีอาการที่มิได้ผิดแผกจากยายพิณนัก ทุกคนวิจารณ์กันเซ็งแซ่
“คุณชายก็หม่อมราชวงศ์น่ะซี พี่สาวยายสาก็เป็นสะใภ้จ้าว”
“อ๋อ พวกก๊กวุฒิวงศ์ แต่วังชื่อวุฒิเวสม์”
“คุณชายท่านเป็นอะไรกับเสด็จน่ะครับ”
“เป็นพระภาติยะค่ะ คำชาวบ้านก็คือลูกของลูกพี่ลูกน้องเสด็จพระองค์หญิงท่าน”
คุณยายเชิดหน้าแล้วปรายตาดูพุดซ้อน พุดซ้อนรู้สึกผิดแผน
พุดซ้อนถาม “แล้วที่สลบไสลล่ะคะ”
“อ๋อ ยายสาโดนละอองฝนเลยรับประทานยาหวัดเข้าไป แต่ไม่ได้หลับนะคะ แค่นั่งหลับตานิ่งๆ”
ชบาทิพย์กระตุกขาแม่ พุดซ้อนรู้แล้วว่าถึงเวลาต้องพลิกพลิ้วชิวหามาเชลียร์แทน
“มิน่าเล่า รถถึงได้งามยังกะราชรถ เป็นหม่อมราชวงศ์ชายถึงได้ราศีจับ ยังกะมีแสงออกจากตัว เห็นปั๊บก็รู้ว่าผู้ดีมีสกุล”
“แต่ไอ้ยาหวัดนี่มันกินแล้วซึมจริงๆนะ วันก่อนฉันกินแล้วขึ้นรถจะไปลงแครายไปตื่นอีกทีก็ทุ่งพระเมรุแล้ว”
คุณยายยิ้มอย่างผู้ชนะ พุดซ้อนยิ้มเรี่ยราด
“แหม ดีนะคะ ที่อิฉันไปเห็นเข้า ถ้าเป็นคนอื่นต้องคิดไปในทางบัดสีแน่ค่ะ”
“ดีนะคะ ที่แม่พุทธชาติเป็นคนใจบุญสุนทาน มองคนแต่แง่ดีแง่งาม ไม่ใช่คนปากยื่นปากยาว”
“ค่ะ ผลบุญถึงส่งให้รวยขนาดนี้ไงคะ”
พุดซ้อนโบกมือไปด้วย แหวนที่นิ้วและสร้อยข้อมือเปล่งแสงสว่างแวบวับ
“แม่ ไป”
พุดซ้อนขอตัวลุกไปสังสรรค์อีกวง คุณยายมองตามตาเขียว คุณตาสะกิด
“คุณ เมื่อกี้รับศีลข้อมุสาหรือเปล่า”
“ตอนนี้น่ะศีลข้อมุสามันด่างมันเดาะหมดแล้ว ขืนอยู่ต่อข้อปาณาก็จะด่างด้วย วันนี้ไม่ถงไม่ถือมันแล้วนะ อุโบสถ กลับ”
“คุณตา คุณยายกินห่านกันค่ะ”
“ชั้นไม่ชอบห่าน มันปากยื่นปากยาว” ยายว่า
คุณตาพายเรือแคล่วคล่องเข้าเทียบบันไดศาลา ยายพิณคอยดึงเรือผูกเชือกเรือ แต่คุณยายขึ้นท่าตัวปลิวไปโดยไม่สนใจปิ่นโต หม้อไหอะไรทั้งสิ้น คุณตารีบตามขึ้นไปบนศาลา
ศรีษะของคุณตาคุณยายโผล่ขึ้นมาหลังเถาบวบดอกสีเหลืองออกพราว ชายเล็กกับสาลินกินขนมจีนแกงที่เหลือแบ่งจากถวายพระอยู่ที่ศาลา
“มาอีกแล้ว” ยายว่า
“เอ หรือว่านี่งู ตัวที่ยายสาฝัน” ตาบอก
“วุ๊ยคุณ อย่าไปชี้โพรงให้กระรอก”
คุณยายเสียงดัง สาลินหันมาเห็นคุณยายเลยทำเป็นเลือกบวบ ส่วนคุณตาไม่รู้จะทำอะไรเลยดึงดอกบวบมาถือ สาลินและชายเล็กเดินมายกมือไหว้
“กระรอกอะไรคะ”
“หมู่นี่กระรอกมันชอบมาเจาะมะม่วงลูก ร่วงเกลื่อนเลย”
คุณยายโกหกเป็นชุด คุณตาส่ายหน้าแล้วเปรยเบาๆ
“นี่ขนาดเพิ่งไปต่อศีลกับสมภารมานะ”
คุณยายค้อน คุณตาโอภาปราศรัยกับชายเล็ก
“ไงพ่อพลมาทำงานหรือวันนี้”
“เปล่าครับ วันนี้แวะมาเยี่ยมคุณตา คุณยายเลย”
ชายเล็กร์ประจบ คุณตากับคุณยายสบตากัน ชายเล็กชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“เมื่อกี้ผมไปจอดรถที่ปั๊ม เด็กปั๊มบอกแม่พุดซ้อน เอ๊ย พุทธชาติไปวัด เจอกันหรือเปล่าครับ”
คุณยายหน้าบึ้ง
“เจอน่ะซี ถึงได้รีบกลับมานี่ไง”
ฟ้าเบื้องบนร้องครืนครัน ลมพัดอู้มา ทุกคนแหงนหน้าดูเห็นเมฆมหึมาเคลื่อนมาบังฟ้า
“ฝนมาอีกแล้ว”
“ใช่ครับ เมื่อวานก็ตกหนักมากนะครับ ผมยังไปติดฝนกับพี่สาว”
ชายเล็กพูดเรื่อยเจื้อยแล้วชะงัก
“คุณมีพี่สาวด้วยหรือ” สาลินถาม
“ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆหรอกครับ คือญาติผู้ใหญ่ผมเขากำลังทาบทามพี่สาวคนนี้ให้พี่ชายผมน่ะครับ”
“คงไม่ใช่เรื่องจับคลุมถุงชนนะคะ”
“ไม่หรอกครับ เพราะผู้ใหญ่ท่านปล่อยให้ทำความรู้จักกันก่อน ยังไม่มีเรื่องหมั้นหมาย สู่ขออะไร”
“เห็นไหมคะ ไม่มีใครเขาทำเหมือนคู่พี่ศรีกะคุณชายขี้เก๊กนั่นซักคน”
ชายเล็กอมยิ้ม ลมแรงพัด คุณยายถือโอกาสพูด
“เอ พ่อพล ฝนท่าทางจะตกใหญ่ กลับไปเสียก่อนดีไหมจ๊ะ”
“เอ สาว่าอาจจะไม่ตกก็ได้นะคะ ลมพัดข้ามไปทางบางกรวยหมดแล้ว”
คุณยายตาเขียว
“ฉันบอกว่าตกก็ตกซี”
สาลินสะดุ้ง บดินทร์เห็นท่าไม่ค่อยดีรีบยกมือไหว้ลา คุณยายรับไหว้ส่งๆ คุณตาสงสาร สาลินยังงง
“ครับ ท่าทางจะตกห่าใหญ่เลยครับ”
คุณตา คุณยายนั่งบนยกพื้น สาลินนั่งห่างออกมา
“ทีคุณพลไปไล่เขากลับ แต่กับอีตาคุณชายชื่อยาวนั่น ต้อนรับซะยังกะรับซาร์ซาเรวิซ”
“นั่นเขาจะมาดองกับเรา ก็ต้องรู้จักมักคุ้นไว้ซีจ๊ะ แต่นายพลนี่ ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้” ยายว่า
“เขาดู เปิดเผย จริงใจ ตรงไปตรงมาดีออก” สาลินบอก
“ยายสาเอ๋ย คบคนน่ะ เขาต้องดูนานๆลูก อย่ารีบด่วนตัดสินใครเลย” ตาเตือน
“ที่ฉันให้เขากลับไปแต่หัววันน่ะ ไม่ได้รังคัดรังแคอะไร แต่ว่าช่วงนี้มีนังพวกตาผี จมูกมด คอยสอดส่ายสายตาหาเรื่องหนูอยู่”
สาลินนึกแล้วพูด
“อ๋อ ยายซ้อน แกชอบมาแอบดูหนูกับคุณพล แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ”
คุณยายค้อน
“มันไม่ใช่แค่นายพล แต่ยายซ้อนเอาไปป่าวประกาศกลางศาลาว่า เห็นหนูอยู่ในรถคุณชายรองเมื่อวานนี้”
“แล้วมันเป็นอะไรหรือคะ”
“มันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถ้าแม่นั่งรถเขามาเฉยๆ ไม่ใช่นอนหลับไหลไม่ได้สติขนาดนั้น”
สาลินทำหน้าละเหี่ย
“หนูแค่หลับตาเล่นๆ เอ๊ะ แล้วยายซ้อนมาเห็นได้ยังไง”
“อุ๊ยตาย แค่หลับตาเล่นๆ แต่ไม่รู้เลยหรือว่า คุณชายรองเขาเข้าไปเติมน้ำมันในปั๊มยายซ้อนตั้งนานสองนาน”
“ก็ลมมันเย็น หนูก็ต้องเคลิ้มไปบ้างซีคะ”
คุณตาอมยิ้ม
“รู้ไหม คุณยายเขายอมศีลขาด โกหก” ตาว่า คุณยายหยิก “เอ๊ย แก้ตัวให้หนูเป็นฉากๆ”
“ใช่ พอบอกว่าเป็นคุณชาย เป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นพระภาติยะเสด็จพระองค์หญิงก็เลยคดีพลิก ยายซ้อนเห่อเจ้า ปลาบปลื้มประโลมใจ เลิกคิดอกุศลได้”
สาลินหน้าหงิก
“พอเห็นเป็นเจ้า เป็นหม่อมเข้าล่ะก็ กลายเป็นสัปบุรุษ บริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาเชียวหรือคะ ฮึ อีตานี่แหละ คุณชายชื่อยาว เสือผู้หญิงแท้ๆ เชียว”
คุณตากับคุณยายมองหน้ากัน
“พอหนูเจอทีไรก็เห็นเขากำลังโอ้โลมปฏิโลม กอดจูบลูบคลำผู้หญิงอยู่ทุกที”
“อ้อ เขาเป็นเสือผู้หญิง แล้วยังมีหน้าไปหลับไหลไม่ได้สติในรถเขาอีกนะจ๊ะ” ยายว่า
สาลินนึกๆ แล้วก็อ่อนลงนิดแต่ก็ยังกระฟัดกระเฟียด
“ฮึ หนูอยากให้ยายซ้อนรู้ว่า อีตาคุณชายนี่ไม่ใช่คนดี” สาลินว่า
“งั้นเดี๋ยวก็ไปหายายซ้อน บอกว่าที่ฉันพูดน่ะผิดไป ที่จริงคุณชายเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ หนูเลยนอนแผ่หมดแรงหมดเรี่ยวมา ดีไหมจ๊ะ”
คุณยายประชด คุณตาสะดุ้ง
“แรงเกินไปแล้วคุณ”
“ถ้าไปบอกจริง ชื่อหนูก็คงกระฉ่อนไปทั่วคุ้งน้ำเลยนะคะ ไม่น่าเผลอหลับเลยเรา”
คุณยายค้อนคุณตา
บราลีกับลลิตาซักถามสาลินเกี่ยวกับเรื่องวันก่อน หนุ่มแว่นแอบฟังอยู่ไม่ห่าง
จิตริณีทำงานอยู่ เหลือบมองเป็นระยะ
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง คุณชายกิตติราชนรินทร์เขาฉุดเธอขึ้นรถแบบนั้น” ลลิตาบอก
“แล้วเธอก็สมยอมด้วย” บราลีถาม
หนุ่มแว่นหน้าเสีย
บราลีซัก “บอกมา ไปไหน เรื่องราวเป็นยังไง”
“เขาเรียกฉันไปด่า ก็เท่านั้น แล้วจากนั้น”
แว่นรีบแทรกเข้ามาทันที “อะไรครับ”
สามสาวเป็นงง
“พูดมาซีครับว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้น” แว่นซัก
“ฉันก็กลับบ้าน เอ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้เลยนะคุณแว่น”
“ใช่ ผมมันไม่มีความหมาย ผมมันแค่นักศึกษาต๊อกต๋อย ไม่ใช่ หม่อมราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์”
“กลับบ้านไปทานยาก่อนไหมคะ”
“ไม่ต้องมาเสือกไสไล่ส่งผม ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก โป้งแล้ว โกรธสิบทีอย่ามาดีสิบชาติ”
แว่นชูนิ้วโป้งแล้ววิ่งหายไป สามสาวเป็นงง
“ฉันชักห่วงสวัสดิภาพตัวเองแล้วซี มีคนบ้าอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด” บราลีว่า
จิตริณีเดินเข้ามาพร้อมหนังสือพิมพ์
“มีใครอ่านข่าวสังคม วิรงรองซุบซิบแล้วหรือยังคะ”
“มีอะไรคะคุณจินนี่”
ลลิตาคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่าน
“นางเอก ย.ไปฉีดนม กับฉีดแก้ม นางงามถูกผัวซ้อม เอ๊ะ ว้ายตายแล้ว”
“ใครตายยะ ญาติฝ่ายไหน”
“ไม่มีใครตายย่ะ แต่ว่าคุณอัศนีย์ เถลิงการ กลับเมืองไทยแล้ว”
“คนนี้ไงที่แต่งปุ๊บก็หย่าปั๊บกับคุณหญิงเทพีเพ็ญแสง คุณหญิงเลยกลับมาควงคุณชายกิตติราชนรินทร์”
“ถ้ากลับมา ถ่านไฟเก่าจะคุไหมเนี่ย”
สาลินเป็นกังวลจึงรีบดึงจิตริณีแยกมา
สาลินกระซิบจิตริณี
“คุณจิตริณี คุณเคยบอกใช่ไหมคะว่าคุณอัศนีย์คนนี้เป็นเพื่อนคุณ”
“ใช่ค่ะ เพื่อนสนิทด้วย”
จิตริณีสายตาเศร้าไปเล็ก ๆ
“ถามทำไมคะ”
“ฉันกลัวที่ลลิตาพูดค่ะ กลัวว่าถ่านไฟเก่าของคุณอัศนีย์กับคุณหญิงเทโพจะคุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นไปได้ไหมคะ”
“คุณคิดอะไรอยู่”
“ฉันไม่อยากให้เขาคืนดีกันน่ะซี ฉันอยากให้อีตาคุณชายได้สมรักกับยายคุณหญิงเทโพค่ะ”
“ทำไมคะ ฉันสงสัยอยู่เหมือนกันคุณไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณชายคนนี้”
“เรื่องยาวค่ะ วันหลังจะเล่าให้ฟัง”
ไนเจลเดินเข้ามาพอดี
“โอว์ วันนี้ร่านจริง ๆ”
จิตริณีถาม “บอสหมายถึง “ร้อน” ใช่ไหมคะ”
“ใช่ ใช่ ร้อน เมื่อกี้ตอนขับรถ มีแท็กซี่ตะโกนใส่ผม บอกว่า “พ่อเมิงตาย” เขารู้ได้ยังไงว่าพ่อผมเสียแล้ว”
“เออ มันคือคำด่าคะ บอส”
“ฉิบหายแล้ว”
“ใจเย็น ๆ ค่ะ เดี๋ยวฉันจะทำน้ำใบเตยเย็นเจี๊ยบให้ทานนะคะ”
“เยี่ยมครับ ใบเตยเป็นเครื่องเพศที่หอมมาก”
สองสาวสะดุ้ง
“เครื่องเทศค่ะบอส อย่าพูดผิดนะคะ มันทะลึ่ง Dirty มากค่ะ”
“เหรอ คุณจินนี่” ไนเจลตาหวานเชื่อม “คุณต้องช่วยฝึกให้ผมอีกเยอะเลยน้า”
“ค่ะ วันนี้ฝึกแบบเรียนเร็วได้รึยังคะ “พ่อหลีพี่หนูหล่อ พ่อเขาชื่อหมอหลำ แม่ชื่อแม่หยา อยู่แพที่สำเหร่”
ไนเจลพูดตามแต่ยิ่งพูดยิ่งวิปริต สาลินครุ่นคิดแต่เรื่องถ่านไฟเก่า
บนถนนหน้าห้องสมุดมีรถสปอร์ตสีแดงเพลิงรุ่นล่าสุดของยุคและเปิดประทุนแล่นมาจอด คนขับคืออัศนีย์ หนุ่มหล่อ แต่งตัวหล่อเนี้ยบหรูหราไปตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาก้าวลงรถมาเห็นว่าสวมแว่นกันแดดหรู เขาพิงประตูรถมองดูอาคารห้องสมุดแล้วอมยิ้มนิดๆ ชาวบ้านชาวตลาด ออฟฟิศแมนและเกิร์ลแถวนั้นมองเป็นตาเดียว มวยมณีเดินผ่านมา อัศนีย์ถาม
“คุณครับ ห้องสมุดบริติช-ไทยไปทางไหน
“เดินไปอีก 2 บล็อคค่ะ”
อัศนีย์เดินไป มวยมณีหันไปจับกล้ามหนุ่มข้างๆ
จบตอนที่ 6