xs
xsm
sm
md
lg

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สะใภ้จ้าว ตอนที่ 4

ชายเล็กจอดรถที่หน้าบ้านราชดำริ ก่อนจะลงมาเปิดประตูให้คุณสร้อยแบบสุภาพบุรุษ ฝ่ายหลังก้าวออกมาอย่างกระชดกระช้อย
 
“จะลงไปรู้จักใครต่อใครหน่อยไหมคะ”
“เอาไว้โอกาสหน้าเถอะครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมมีนัดกับเพื่อนไว้”
“โถ ถ้าอย่างงั้นรีบไปเถอะค่ะ”
“ผมลาล่ะครับ”
ชายเล็กยกมือไหว้ลาคุณสร้อย แล้วรีบขึ้นรถขับกลับออกไป

ศรีจิตรากับกำไลยืนรีรออยู่ ก่อนที่รถของชายเล็กจะขับผ่านมา เขายิ้มให้นิดหนึ่ง พร้อมกับก้มศีรษะให้ ศรีจิตราอึ้งไป ส่วนกำไลยิ้มแป้น พร้อมกับโบกมือลา
พอรถขับผ่านออกไป ทั้งคู่ก็รีบปิดประตูรั้ว
“ฮิ ฮิ ฮิ เขายิ้มให้หนูด้วย”
ศรีจิตราแกล้งล้อ “ รู้ได้ยังไง”
“เอ๊ะ หรือว่า ยิ้มให้คุณศรี”
ศรีจิตราทำหน้าปราม ก่อนจะเดินนำกำไลเข้ามา คุณสร้อยยืนชะเง้อ พร้อมกับที่อุ่นเรือนออกมารับกระเป๋าถือและร่มไป
“ใครมาส่งคะคุณพี่”
คุณสร้อยไม่ตอบ แต่กลับหันมาทำตาดุใส่กำไล
“หล่อนไปเสนอหน้าอะไรอยู่ริมรั้ว นังกำไล”
“อ้าวก็คุณบอกไว้เองว่ากลัวพวกก่อสร้าง ให้หนูมารอไงคะ”
คุณสร้อยนึกออก ที่กำลังจะฟุ้งเรื่องคุณชายเล็กมาส่ง ก็แปรไป
“อุ๊ยตายใช่ เมื่อกี้ตอนรถผ่านมา มันตั้งวงกินเหล้ากัน เสื้อแสงก็ไม่ใส่ เห็นตัวเปียก เหงื่อเป็นมันเชียว แล้วมีไอ้คนนึง ลุกมาถ่ายเบาที่เสาไฟฟ้า อี๋”
ทุกคนนึกภาพตามแล้ววางหน้าไม่ถูก จังหวะนั้นศรีจิตราเดินเข้ามาสมทบ
“อ้าว แม่ศรีทำไมไปทำอะไรมืดๆ ตรงนั้น เดี๋ยวพวกมันก็มาชีเปลือยอาบน้ำ บัดสี”
ชายรองกับหญิงก้อยในชุดกีฬานั่งอยู่มุมสนาม มีแร็กเก็ตเทนนิสวางไว้ข้างๆ ฝ่ายหลังใช้หลอดคนเครื่องดื่มเล่น พลางมองดูฝ่ายแรกอย่างอ่อนหวาน
“ทำไมวันนี้คุณรองเงียบไปคะ”
ชายรองหันมาส่งยิ้ม “เหนื่อยน่ะซีครับ”
“อะไรกันคะ เล่นแค่เซ็ตสองเซ็ตก็เหนื่อยแล้ว ถ้าเป็นอาร์นี่”
“ใครหรือฮะ”
หญิงก้อยชะงัก ดวงตามีแววรักระคนแค้นวูบไหวแว่บหนึ่ง
“เพื่อนหญิงคนหนึ่งน่ะค่ะ เขาเล่นได้ทั้งบ่ายเลย”
พูดพลางมองเลยไป เห็นจิตติน วิรงรอง จิตริณี ในชุดกีฬาเดินเข้ามาที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่
“แน่ะ ยายติ่งมาค่ะ จะเข้าไปทักทายเขาหน่อยดีไหม”
ชายรองส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ เชิญหญิงเถอะครับ”
“ค่ะ คุณรองพักให้หายเหนื่อยก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวหญิงกลับมา”
หญิงก้อยรีบลุกขึ้นเดินไป ชายรองมองตาม ก่อนจะลุกไปทางห้องน้ำ

พอหญิงก้อยเดินเข้ามา วิรงรองก็ทำทีตื่นเต้น
“ว้าว หญิงก้อย ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้”
“ฉันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญมากกว่ามั้ง เธอตามฉันมาใช่ไหม”
วิรงรองยักไหล่ “แล้วแต่จะคิดซีจ๊ะ”
จิตตินยิ้มทัก “สวัสดีครับคุณหญิง คงจำผมได้”
จิตริณีพูดต่อ “สวัสดีค่ะ คงจำดิฉันได้เช่นกันนะคะ”
หญิงก้อยมองด้วยสายตาเย็นชา “ ค่ะ บอกได้รึยังยายติ่ง เธอตามฉันมาที่นี่ทำไม”
“มีเรื่องอยากบอกน่ะค่ะ ใช่ไหมจิตติน”
จิตตินพยักหน้ารับ “ครับ นายอัศนีย์น่ะซิครับ จะกลับกรุงเทพฯเร็วๆ นี้”
“แล้วทำไมฉันต้องรับรู้คะ” หญิงก้อยย้อนถาม
“เจ้าอัศนีย์ยังอยากพบคุณหญิงนี่ครับ คงมีเรื่องเกี่ยวกับเอกสารบางอย่างที่คุณหญิงต้องเคลียร์ละมัง”
“ได้ค่ะ บอก อาร์นี่นะคะ ว่าฉันพร้อมจะเจรจากับเขาทุกเรื่อง”
“แหม....มันได้ยินคงดีใจ”
หญิงก้อยพูดต่อ “ค่ะ แต่การเจรจาทั้งหมดผ่านทนายค่ะ”
จิตตินหน้าเจื่อน วิรงรองกับจิตริณีนั่งอึ้ง หญิงก้อยพูดจบก็เดินแยกไป
“โอ้โฮ หัวหมอไม่ใช่เล่นยายคุณหญิงคนนี้ ไอ้อัศนีย์คงคิดหนักแล้วล่ะ”

ชายรองออกมาจากห้องน้ำ ก็เดินมาตามทางเดิน จิตตินและจิตริณีเดินมาด้วยกัน คุยกันต่อเนื่อง
“ที่ยายคุณหญิงแต่งกับอัศนีย์ เพื่อเงินรึเปล่า”
จิตตินรีบปราม “อย่าเรียกอัศนีย์ ต้องเรียกอาร์นี่ตามยายคุณหญิงเรียก”
ชายรองชะงัก รีบหลบมุมฟัง จิตริณีถามย้ำ
“ว่าไง ยายคุณหญิงต้องการเงินใช่ไหม”
“คงใช่ ได้ข่าวว่าฐานะที่วังย่อบแย่บเต็มทน ได้เงินจากเสด็จพระองค์หญิงช่วยจุนเจือ อีกอย่างที่ไอ้อัศมันเล่า พอยายคุณหญิงได้แหวนเพชรเข้าเท่านั้น ใจอ่อน ตกลงไปอเมริกากับไอ้อัศทันที”
ชายรองนิ่งงันอย่างไม่อยากเชื่อ จิตริณีพูดต่อ
“งั้นคงไม่ใช่ความรักหรอกนะที่แต่ง ไม่งั้นคงไม่หย่ากันเร็วแบบนี้”
“ไอ้อัศมันบอก แรก ๆ ก็รักกันดี แต่พอมาเจอแด้ดกับมอมของไอ้อัศ ยายคุณหญิงก็เย็นชากับมันนับแต่นั้น แล้วก็ขอหย่าเลย มันแทบไม่ตั้งตัว”
จิตริณียิ้มเยาะ “เธอคงรับตระกูลพ่อค้าไม่ได้ล่ะมัง งั้นซีกลับไปหาคุณชายอีกครั้ง”
“เออ ไอ้คุณชายนี่ก็โง่บรม ดันรับของเหลือเดนจากไอ้อัศหน้าชื่นตาบาน”
“แสดงว่าคุณชายเขารักจริงต่างหาก”
จิตตินเยะปาก “รักจริงกับโง่บรม ฉันว่าไม่ต่างกันนะ”

ทั้งสองเดินผ่านไป ชายรองสลดใจ ในใจเริ่มสับสน

ชายรองนั่งเขียนไดอารี่อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
 
พลางมองดูรูปหญิงก้อยในกรอบเงินอย่างอึดอัดขัดข้อง พลันเสียงเคาะประะตูก็ดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออก พร้อมกับที่ชายเล็กในชุดท่องราตรีเดินเข้ามา
“ถ้านายเคาะเสร็จก็เปิดเข้ามาเลย นายจะเคาะทำไมหือ นายเล็ก”
“ก็เป็นการป่าวประกาศไงครับว่าผมมาแล้ว เขียนไดอารี่หรือพี่รอง”
ชายรองพยักหน้า “อือ”
“แล้วไดอารี่เก่าที่พลิกห้องหาวันนั้น หาเจอยังครับ”
“ยังเลย สงสัยหลงไปอยู่กับหนังสือเก่าในห้องเก็บของแล้ว”
ชายเล็กหยิบรูปหญิงก้อยขึ้นมาดู แต่ครั้นเห็นพี่ชายมองมา ก็รีบวาง
“แหม พี่รอง ขอดูหน่อยเดียวก็ไม่ได้”
พูดพลางเดินไปนั่งที่เตียง แล้วคว้าหมอนมากอด
“เออ นี่ คู่หมั้นพี่รองชื่ออะไรนะครับ”
ชายรองส่ายหน้า “ไม่รู้”
“อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะครับ”
“เด็จป้าเคยตรัสชื่อมาหนเดียวเองเลยจำไม่ได้”
ชายเล็กถามต่อ “ชื่อศรีอะไรซักอย่างหรือเปล่าฮะ”
“ไม่รู้ อีกอย่างเขาไม่ใช่คู่หมั้นฉัน ยังไม่มีเรื่องหมั้นหมายอะไรซักอย่าง”
“ไม่หมั้นก็ยิ่งกว่าหมั้นแล้วล่ะครับ ผมได้ข่าวว่าเด็จป้าจะให้ว่าที่พี่สะใภ้ผมเข้าวังอาทิตย์หน้านี้แล้ว
พี่รองจะได้รู้จักมักคุ้นไว้”
ชายรองทำหน้าเอือม “ฉันไม่เห็นอยากรู้จักเลย”
“อ้าว ใจคอพี่รองจะไปแนะนำตัวในคืนเข้าหอหรือครับ”
“บ้าน่ะซี เรื่องมันยังไม่มีอะไรแน่นอน ฉันก็เลยไม่อยากเอาตัวไปพันหลัก”
ชายเล็กมองหน้าพี่ชาย “อีกอย่าง พี่รองก็ไม่อยากทรยศหญิงก้อย”
“อย่าใช้คำว่าทรยศเลย ฉันแค่ยังไม่อยากรู้จักเขา”
“ถ้าพี่รองเปิดใจทำความรู้จักเขาเสียก่อน เขาอาจจะสวย ฉลาด และแสนดี จนพี่รองชอบเขาได้สนิทใจก็ได้”
ชายรองส่ายหน้า “ไม่มีทาง”
“โอ้โฮ เด็ดเดี่ยวจริงแฮะ พี่ชายเรา”
“ถ้าลองเป็นนายถูกจับคลุมถุงชนบ้าง นายคงไม่มาหน้าระรื่นอยู่อย่างนี้หรอก”
ชายเล็กยิ้มกริ่ม “ไม่แน่นะฮะ ผมอาจจะถูกหมายหัวเป็นรายต่อไปก็ได้”
“ถ้าเป็นจริง นายจะทำยังไง”
“ผมก็จะรีบไปดูว่าที่เจ้าสาวของผมซะแต่เนิ่นๆ ไงครับ”
ชายเล็กยิ้ม นัยน์ตาวาว มีแวววาดหวังบางอย่าง ตรงข้ามกับชายรองที่ยิ่งขุ่นใจ รีบปิดไดอารี่ลง

ที่ปั๊มน้ำมันใหม่เอี่ยมขนาดค่อนข้างเล็ก
รถจากบริษัทน้ำมัน ประทับตราบริษัทข้างรถเด่นชัด มีชายในชุดหมีคนหนึ่งดูเครื่องรถอยู่
พุดซ้อนแต่งตัวเป็นคุณนายนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน ชบาทิพย์นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เมียงมองออกไปนอกผนังกระจก
“แหม รายรับมันดีหรอก แต่ทำไมรายจ่ายมันยุบยับไปหมด นี่ลูกชบาทิพย์เรื่องบัญน้ำบัญชีพวกนี้
หนูต้องดูแลให้ดีนะคะ ลูกขา”
พุดซ้อนหันไปบอกลูกสาว ทว่าชบาทิพย์ยังคงมองเหม่อไปข้างนอก
“ได้ยินไหมคะ ลูกชบาทิพย์ ลูกชบา ชบา ชบา เอ๊ะ อีชบา แกหูแตกหรือ”
ชบาทิพย์สะดุ้งเฮือก “หา อะไรจ๊ะแม่”
“อย่าพูดจ๊ะ พูดคะซี พูดจ๊ะน่ะ ฟังดูบ้านนอก”
“จ้ะ เอ๊ย ค่ะ แม่”
พุดซ้อนทำหน้าจริงจัง “อย่าเรียกแม่เฉยๆ ต้องเรียกคุณแม่ ตอนนี้น่ะเราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว”
ชบาทิพย์เลิกสนใจแม่ หันไปชะเง้อมองนอกผนังกระจกต่อไป
“เข้าใจไหม เอ๊ะ นี่แก เอ๊ย หนูดูอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องดูซักอย่าง ฉันเห็นแต่จับกัง”
ชบาทิพย์มองไป ดวงตาวาววาม

ฝากระโปรงรถของบริษัทน้ำมันเปิดอ้าอยู่ สมชายหนุ่มหน้าทะเล้น ลูกน้องของชายเล็ก กำลังดูเครื่องและเงยหน้าขึ้น เรียกไปในรถ
“หม่อม หม่อมครับ”
ชายเล็กที่นั่งอยู่ในรถถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะทำหน้าเมื่อย แล้วรีบลงมาจากรถ
“เฮ้ย เรียกฉันพลก็พอ อย่าเรียกหม่อม ผมไม่ได้เป็นเมียเจ้า”
สมชายรับคำ “ครับ คุณพล”
“ว่าไง เครื่องเป็นอะไร”
สมชายส่ายหน้ายิกๆ “ไม่รู้ครับ”
“งั้นผมดูเอง นายไปเตรียมสตาร์ตเครื่อง”
พูดพลางรีบก้มตัวดูเครื่อง พร้อมกับที่สมชายขึ้นรถไป อีกฝ่ายก้มดูต่อ จนเห็นก้นในชุดหมีเด่น ทำเอา
ชบาทิพย์ถึงกับดวงตาวาววาม
“ฮิ ฮิ ฮิ ตูดสวยจัง”

พุดซ้อนรีบท้วง “อย่าเรียกตูด ต้องเรียกก้นลูกขา เอ๊ะ อีชบา นี่แกดูอะไร”

สมชายพยายามสตาร์ตรถ แต่ยังไงก็ไม่ติด
 
กระทั่งชายเล็กรีบโบกมือให้พอ แล้วก้มลงขยับเครื่อง ก่อนจะถอยมานิดหนึ่ง
“เอ้า สตาร์ตอีกที”
สมชายรีบสตาร์ตเครื่อง รถสั่นพั่บๆๆ ก่อนที่เครื่องจะส่งเสียงสนั่น
“ติดแล้วครับ หม่อม”
ชายเล็กตัวพอง “โฮ่ มือชั้นนี้”
ทันใดก็มีน้ำมันเครื่องฉีดมาเต็มหน้าชายเล็ก จนหน้าดำมะเมื่อมราวพรายทะเลจากทะเลสาปดำ
สมชายลงจากรถมาดูสารรูปใกล้ๆ รถแท็กซี่ตาผลเลี้ยวขวับมาจอด
“อ้าว ฉิบหายแล้ว”
ชายเล็กทำหน้าเซ็ง “ปู้โธ่ ฉันกะว่าเสร็จงานแล้วจะไปหาสาวซักหน่อย”
“สาวที่ไหนหรือครับ”
ชายเล็กอ้าปากจะตอบ แต่ครั้นดวงตามองเลยไป ก็ถึงกับชะงัก
สาลินก้าวลงจากแท็กซี่ ดูกระจ่างสดใสร่าเริงดังเคย ชายเล็กตะลึงไปแวบหนึ่ง พอฝ่ายแรกมองมา
เขาก็รีบยิ้มทักทาย อวดฟันขาว อีกฝ่ายกลั้นหัวเราะ
ชายเล็กยังคงยิ้มค้างอยู่ จนสมชายต้องสะกิด
“อะไร”
ชายเล็กเสียงขุ่นด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัด ก่อนจะถูกสมชายดึงมาข้างรถบริษัท
“ดูนี่ก่อนเถอะครับ”
ชายเล็กทำหน้างงนิดหน่อย แล้วเห็นเงาสะท้อนในกระจกข้างรถ เห็นตัวเองหน้าดำทั้งหน้า หมดความผยอง แต่กลับรู้สึกอับอายสาลิน
“ให้ตายเถอะ คิดว่าเปื้อนนิดเดียว”

ชบาทิพย์เบิกตากว้าง แล้วยิ้มรับชายเล็กที่เดินโผล่เข้ามา น้ำมันเครื่องถูกเช็ดออกไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังดูมอมแมม
ชายเล็กรีบพูดทัก “สวัสดีครับ”
ชบาทิพย์อึกอัก ใบหน้าขาวที่ซีดกลับแดงซ่าน ก่อนจะรีบก้าวจากหลังเคาน์เตอร์
“จ๋า สวัสดีจ้ะ เอ๊ย ค่ะ”
“ผมมาขออนุญาตเข้าห้องน้ำล้างหน้า ล้างมือหน่อยน่ะครับ”
ชบาทิพย์ยิ้มหวาน “ได้ ได้จ้ะ”
ชายเล็กก้าวไปยังห้องน้ำท้ายห้อง จังหวะที่ประตูเปิดออก พุดซ้อนที่แต่งตัวคล้ายลูกสาว ก็ยิ้มระรื่นก้าวออกมา ชายเล็กยิ้มตอบ พุดซ้อนมองหน้าแล้วร้องกรี๊ด
“ว้าย จะมาเข้าส้วมฉันเหรอ”
“ครับ ขอล้างหน้าหน่อยนะครับ”
พุดซ้อนรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ย่ะ นี่แก แกไปล้างที่ก๊อกหน้าปั๊มโน่น”
ชบาทิพย์ทั้งผิดหวัง ทั้งโกรธแม่
“แม่”
พุดซ้อนรีบโบกมือไล่ “ว้าย อย่าจับอะไรนะ เดี๋ยวเปื้อน ชู่ว์ ชู่ว์ ไป๊ ไปหน้าปั๊ม”
ชายเล็กแอบยิ้มขำ “ขอรับ ขอบพระเดชพระคุณขอรับ คุณท่าน”
พุดซ้อนยิ้มออก พลางยืดกายเชิดหน้า พอชายเล็กเดินออกไป ฝ่ายแรกก็รีบคว้าผ้าขี้ริ้วมาเช็ดลูกบิดประตู
“พูดจาดี มีสัมมาคารวะ รู้จักที่ต่ำที่สูง แต่ยังไงก็พวกกรรมกร นี่ลูกชบาทิพย์ คุณแม่เปิดปั๊มน้ำมันก็เพื่อให้เธอดูแล มีสมบัติติดตัว เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่ชาวสวนบ้านนอกแล้ว แต่เราเป็นคฤหัสต์ปัตตานี”
ชบาทิพย์ทำตาปริบๆ “คหปัตนีใช่ไหมจ๊ะ เอ๊ย คะ”
“นั่นแหละๆ ฉะนั้น เธอก็ควรจะหมายสูง มองลูกเจ้า ลูกนาย ลูกเศรษฐี ไม่ใช่มามองพวกช่างเครื่อง ช่างฟิต จับกัง”
“จ้ะ” พอเห็นพุดซ้อนถลึงตามอง ก็รีบเปลี่ยน “ค่ะ” พลางเหลือบไปเห็นสาลิน “แม่นั่นพี่สานี้”
พุดซ้อนยิ้มเยาะ “แต่งตัวเปิ้ดสะก้าดท่าทางสำรวยสวยกราก”

ทางด้านชายเล็กก็มาเปิดน้ำก๊อกที่ตรงกับส่วนอู่ซ่อมของปั๊มเพื่อล้างมือ ตาผลเลื่อนแท็กซี่เสียงเครื่องดังกึกกัก สาลินเดินตามมา พุดซ้อนกับชบาทิพย์เดินมารับ
“สวัสดีค่ะ น้าพุดซ้อน เอ๊ย น้าพุทธชาติ”
“สวัสดีค่ะ หนูสา”
“เครื่องมันเป็นอะไรไม่รู้ค่ะ คุณน้า”
ตาผลรีบบอก “ต้องให้ช่างดูแล้วล่ะ นังซ้อน”
พุดซ้อนสะดุ้งเฮือก เชิดใส่ตาผล ก่อนจะกระชากเสียงตอบ
“มันอยู่ที่ไหนล่ะ ไปซื้ออะไหล่ตั้งแต่เช้า หายหัวไปทั้งวัน” พลางมองดูชายเล็ก “นี่แก แก”
ชายเล็กล้างมือเสร็จ ก็ทำหน้าเหรอ เอานิ้วชี้ตัวเอง พุดซ้อนพยักหน้าหงึก
“เออ แกนั่นแหละ อย่าเพิ่งล้างหน้ามาดูเครื่องรถให้ก่อน”
ชายเล็กรีบเดินมาดู สาลินทำหน้าเซ็ง
“ว้าคงอีกนาน งั้นหนูเดินกลับบ้านเลยนะตาผล”
“ครับ คุณสา”
ชายเล็กนัยน์ตาสว่างวาบ
สาลินหันมาไหว้ พุดซ้อนรีบรับไหว้อย่างมีท่วงท่า
“หนูลานะคะ น้าพุดซ. พุทธชาติ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูสาลิน”
ชายเล็กจ้องมองสาลินเต็มตา ฝ่ายถูกมองทำเมิน เดินไปยังท้ายปั๊ม ชายเล็กมองตาม แล้วรู้สึกว่ามีร่างหนึ่งขยับมาใกล้ พอหันมาดูเห็นว่าเป็นชบาทิพย์ จึงรีบเดินเลี่ยงไปดูแท็กซี่ โดยมีตาผลช่วยเปิดฝากระโปรง ส่วนชายเล็กดูเครื่อง
“อู้ย ร่ำรวยไม่รู้เท่าไร ที่ทางไม่รู้กี่ขนัด เชื้อสายขุนนางรางน้ำ จะออกรถใหม่ให้หลานกี่คันก็ได้"
 
"นี่มาออกรถแท็กซี่ เซ็ก...เซ็ก กั้น แฮนด์ ก็เลยต้องซ่อมบ่อย อย่างนี้แหละ"

ตาผลหันมามอง อย่างไม่ได้กลัวเกรงคหปัตนีหน้าใหม่
 
“อ้าวอีซ้อน คนรวยจริงเขารู้จักใช้เงิน แต่อีคนรวยปลอมน่ะ วันๆ มีแต่อวดรวยซื้อนั่นซื้อนี่ ลงท้ายก็หมดตูด”
พุดซ้อนสะดุ้งเฮือก ชายเล็กรีบกลั้นหัวเราะ พุดซ้อนเชิดหน้า
“ไม่มีทางย่ะ ว้ายอีชบา ทำไมไปยืนซะชิด ถอยออกมานะอีใฝ่ต่ำ”
พุดซ้อนลืมตัวเข้าไปหยิกคีบแขนชบาทิพย์ออกมา พลางด่าเป็นชุด

สาลินเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกับกางเกงขาสั้น ล้างหน้าจนสดใส เดินถือหนังสืออ่านเล่นออกมาจากห้อง ที่ชานเรือน ยายพิณกับยายนั่งปอกจาวตาลกันอยู่ ส่วนตากำลังเล็มไม้ประดับที่นอกชาน เจ้าแกะนอนพังพาบทำการบ้าน สาลินลุกมานั่งลง
“ปอกจาวตาลจะทำลอยแก้วหรือคะ”
ยายส่ายหน้า “เปล่าลูก จะทำแกงจาวตาลกับปลาช่อน”
“ขา นี่คุณยายทำอาหารชาววังแข่งกะบ้านราชดำริหรือ”
ยายรีบบอก “ชาววง ชาววังอะไร อาหารไทยน่ะไม่มีชาวบ้านชาววังหรอกลูก คนไทยเราก็กิน เหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่ทำให้ครบเครื่องกว่าประณีตกว่าเท่านั้นเอง”
สาลินหยิบจาวตาลมากินหมับๆ ยายพิณหัวเราะจนผ้าแถบหย่อน เห็นทรวงอกรำไร
“แหม สาจะไปทราบหรือคะ สาเคยได้ยินแต่....”
พูดพลางวางแขนบนหมอนขวาน เชิดหน้า คิ้วขมวด เคร่งเคียด รวมทั้งเลียนเสียงคุณสร้อยชนิดเหมือนเปี๊ยบ
“แกงเป็ดย่างใส่พุทราแดง หล่อนคงไม่เคยเห็นล่ะซี หลานอาซิ้มบ้านสวน วันๆ คงดูดแต่หนำเลี๊ยบ ของดีๆ น่ะไม่เคยได้ลิ้มรสหรอก”
ยายหัวเราะร่วน ยายพิณหัวเราะจนผ้าแถบหลุด ส่วนตาทำหน้าบึ้ง
“คุณสาพูดกี่ครั้งๆ ก็เหมือนทุกครั้ง”
ยายรีบปราม “ล้อป้า ล้อเชื้อ ไม่เอาลูก รู้ไว้เถอะ หนูโชคดีกว่าใคร ของชาววังก็รู้จัก ของพื้นบ้านก็คุ้น อาหารจีนก็รู้จักหมดทุกอย่าง”
ตาพูดเหน็บสียงขุ่น “ถ้าไม่รู้ก็คงโดนพวกผู้ดีค่อนตายซี ว่าเป็นพวกหลังเขาไกลปืนเที่ยง”
ยายมองอย่างอยากจะปลอบ สาลินถอนใจ แล้วล้วงจาวตาลชิ้นที่สอง ก่อนจะถูกยายฟาดเผี๊ยะ จนร้องโอดโอย
“ฮึ ไม่กินก็ได้ หนูไปอ่านหนังสือที่กลางสวนดีกว่า”
ตาหันมาสั่ง “เจ้าแกะ ไปเล่นในสวนไป อย่าให้ห่างคุณสานะ”
สาลินลุกขึ้น เจ้าแกะรับคำ แล้วรีบวิ่งตามไป
ยายพิณทำหน้าสงสัย “คุณสาจะไปอ่านหนังสือ ให้เจ้าแกะไปซนให้หนวกหูทำไมคะ”
“บ้านสวนตอนนี้มันไม่เหมือนก่อน ผู้คนคึ่กๆ ดีหรือร้ายยังไม่รู้ กันไว้ดีกว่าแก้”

สาลินนั่งพิงเสาศาลา กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะมีสายลมเย็นพัดผมมาระแก้ม
ห่างออกไปในแนวสวนที่รกเรื้อ ชายเล็กแต่งตัวหล่อ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผมหวีหย่งเป็นมัน มองมาพลางยิ้มแย้ม
สาลินขมวดคิ้วงงๆ
“ฮัลโหล”
ขาดคำบชายเล็กก็กระโดดข้ามท้องร่องมาหนึ่งท้องร่อง สาลินขยับตัวให้ท่านั่งเรียบร้อยขึ้น
“สวัสดีครับ”
ชายเล็กตั้งท่าจะกระโดด ทันใดนั้น ก็มีกระสุนดินปั้นถูกยิงมา ข้ามหัวไปกระแทกต้นมะม่วงข้างหลัง
“เฮ้ย เว้ย ใครลอบยิงผม”
ชายเล็กพูดพลางมองไป เจ้าแกะง้างหนังสติ๊กป้อนกระสุนลูกใหม่เข้า เดินย่างสามขุมออกมา
สาลินรีบบอก “นั่นเป็นการเตือน เพราะที่ที่คุณยืนเป็นสวนของน้าพุดซ้อน แต่ถ้ากระโดดมาอีก
ก็เป็นสวนของฉัน”
“ไอ้หนู ลดหนังสติ๊กลงก่อน”
สาลินพยักหน้าหงึก เจ้าแกะลดหนังสติ๊กลง
“ผมข้ามไปได้ไหมครับ”
สาลินมองหน้าอีกฝ่าย “คุณเป็นใครก็ไม่รู้”
“โธ่ เราเพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง”
สาลินทำหน้างง “เจอกันยังไงที่ไหน”
“โธ่ ก็ที่ปั๊มไงครับ ผมเพิ่งช่วยซ่อมแท็กซี่ของตาผลจนวิ่งได้เมื่อกี้นี้เอง”
สาลินทำตาปริบๆ “คุณคือช่างฟิตที่หน้าดำเป็นนางชั่นบอเหมาเมื่อกี้นี้เหรอ”
“เห็นไหมว่าเรารู้จักกันแล้ว ทีนี้คุณจะอนุญาตให้ผมเข้าสวนได้หรือยัง”
สาลินหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้า ชายเล็กรีบกระโดดตุ๊บมา เจ้าแกะขยับตัว พ ร้อมกับตั้งท่าง้างหนังสติ๊ก หน้าถมึงทึง
“โธ่ คุณแกะ”
เจ้าแกะชะงัก แปลกใจที่ชายเล็กรู้ชื่อ
“ฉันมีของมาฝากด้วย”
ชายเล็กแบมือ ที่ฝ่ามือมีรถสปอร์ตของเด็กเล่น แต่ประณีตด้วยรายละเอียด ราคาแพงลิบ
 
เจ้าแกะอ้าปากค้าง อยากได้จนน้ำลายแทบหก 

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 4 (ต่อ)

สาลินกัดริมฝีปาก รู้สึกว่าชายเล็กเตรียมตัวมาดีเกิน แต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ เจ้าแกะยิ้มแป้น รีบคว้ารถเด็กเล่นออกมา
 
ยายพิณก้าวมาหัวกระได ก่อนจะเกร็งพลังจากช่องท้องแล้วตะโกน
“ไอ้แกะ”
เสียงนั้นดังสะท้อนสะท้านมาถึงศาลา
“ไอ้แกะ มาเอาของกินให้คุณสา”
ชายเล็กอ้าปากค้าง สาลินพยักหน้า เจ้าแกะรีบวิ่งไป
" อ๋อ นั่นเสียงยายพิณใช่ไหมครับ”
ชายเล็กหันมาถาม สาลินขมวดคิ้ว
“คุณติดสินบนตาผลไปเท่าไรนี่”
ชายเล็กรีบบอกปัด “โธ่ เปล่านะครับ ผมซ่อมรถแล้วแกก็ชวนคุย แกเล่าว่ามีลูกจอมซนชื่อเจ้าแกะ
แล้วก็มีเมียเสียงแปดหลอดชื่อยายพิณ”
สาลินเกือบหัวเราะ แต่กลั้นไว้
“นี่ผมนั่งได้ไหมครับ”
“เชิญ”
ขาดคำ ชายเล็กก็นั่งลงบนศาลา ห่างสาลินมาพอควร
“ในสวนนี่เย็นสบายดีจริง คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือครับ” ชายเล็กถามขึ้นมา
“ตาผลไม่ได้ให้ข้อมูลคุณไว้แล้วหรือ”
“โธ่”
“ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด”
ชายเล็กมองหน้าอีกฝ่าย “ท่าทางคุณ ไม่เห็นเหมือนสาวชาวสวนเลย”
สาลินสวนกลับทันที “นี่คุณ ตอนนี้เมืองนนท์เกือบจะเป็นกรุงเทพฯอยู่แล้วนะ ผู้หญิงชาวสวนเดี๋ยวนี้
เขานุ่งกางเกงยืด ใส่ส้นสูง ผมยีโป่งกันทุกคนแหละ”
ชายเล็กนิ่งคิด “โธ่ ผมเห็นแล้วฮะ ทั้งแม่ทั้งลูกสาวเจ้าของปั๊ม แต่ยังไงเขาก็ยังดูเหมือนสาวชาวสวน อยู่ดี ไม่หมือนคุณ”
สาลินหัวเราะคิก “คุณกำลังนินทาคหปัตนีประจำจังหวัดอยู่นะ สวนเขาน่ะตลอดคุ้งน้ำเลย”
“แล้วรู้ได้ยังไงฮะ ว่าเขตของใครแค่ไหน”
“เขาตอกหมุดไว้ตรงมุมสี่มุม แล้วถือร่องสวนเป็นเกณฑ์ไง”
ชายเล็กถามต่ออีก “แล้วเวลาเก็บผลไม้น่ะ ไม่มีใครเผลอไปเก็บในเขตคนอื่นบ้างหรือฮะ”
สาลินยิ้ม “คนที่นี่เขามีหิริโอตัปปะ มีศีลธรรม ไม่เหมือนคนในกรุงเทพฯหรอก”
“แน่ะ คุณแขวะผม”
สาลินหัวเราะขำ

พุดซ้อนเดินเหมือนเดินแบบเข้ามาในสวน ชบาทิพย์เดินกระย่องกระแย่งตามมา
“เอ้า เดินดีๆ ซิคะลูกขา เดินให้มีสง่าราศีหน่อย”
ชบาทิพย์หน้างอ “ก็มันเจ็บตี เอ๊ย เจ็บเท้านี่จ๊ะ รองเท้ามันบีบจะตาย”
“ผู้ดีน่ะเข้าต้องตี เอ๊ย เท้าเล็กๆ ของแก เอ๊ย ของลูกน่ะยังกะใบพาย ต้องทนเอา ว้ายนั่น”
พุดซ้อนมองไปแล้วค่อยๆ แอบหลังต้นมะม่วง ชบาทิพย์ตามมาแอบด้วย
“ว้าย หัวร่อต่อกระซิกกับไอ้ช่างฟิต ต๊าย ทีที่ปั๊มเมื่อกี๊ทำไม่รู้จัก ท่าทางคงจะส่งสายตา นัดไอ้หน้าดำนั่นเข้าหา”
“ล้างหน้าแล้ว หน้าตาดี๊ดี”
พุดซ้อนยิ้มหยัน “เสียแรงเป็นหลานพระยา ต๊ายใฝ่ต่ำ ไปคบกับพวกกุ๊ย ดู๊ คุยกันไม่หยุดปาก”
“ทีกับหนูน่ะ ถามคำก็ตอบคำ ไม่เห็นค่อยจะยอมพูดเลย”

พุดซ้อนชะงักหันมามองหน้าลูกสาว

ชายเล็กชะโงกมองถาดเมี่ยงคำที่จัดอย่างสวยงามอย่างทึ่งๆ สาลินยิ้มภูมิใจ
 
“โอ้โฮ น่ากินจัง”
สาลินห่อเมี่ยงคำหนึ่งส่งให้ เจ้าแกะยกมือไหว้ แล้วรีบรับไป
“คุณเพิ่งล้างมือมานี่ ห่อเองก็แล้วกัน”
พูดพลางห่ออีกคำกินเอง ชายเล็กยิ้ม พร้อมกับจัดแจงห่อเมี่ยงบ้าง
“ขอบคุณครับ คุณนี่ใจดีจัง”
สาลินเหน็บอีก “คนแถวนี้เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีมิตรจิตมิตรใจ ไม่เหมือน....”
ชายเล็กรีบพูดแทรก “ คนกรุงเทพฯ”
“แต่อีกหน่อยที่นี่คงเปลี่ยนไปหมด เพราะความเจริญที่เข้ามานี่แหละ”
สาลินทำหน้าเป็นทุกข์ ชายเล็กพยายามปลอบ
“ถ้าจริงเราก็ต้องทำใจว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงเลย แม้แต่ชีวิตของเราเอง”
สาลินนิ่งฟัง “บางที พี่สาวฉันก็อาจถือคตินี้เหมือนกัน นี่เย็นมากแล้ว ฉันต้องกลับเข้าบ้านล่ะ”
“ โธ่ คุณยังไม่ขยายความเลย“
“ใกล้มืด ป่านนี้งูเริ่มออกมาหากินแล้ว คุณน่ะกลับได้แล้ว ฉันจะให้เจ้าแกะไปส่ง สวัสดี”
พูดจบ สาลินก็หมุนตัวเดินไป ชายเล็กยืนมองตามตาปรอย จนเจ้าแกะต้องกระตุกมือให้เดิน

พุดซ้อนทำหน้าดูหมิ่นดูแคลน หันมาหาชบาทิพย์
“ต๊าย กว่าจะร่ำลา ก็พิรี้พิไร ส่งสายตากันอยู่นั่นแหละ ไปค่ะ ลูกชบาทิพย์ ลูก”
“ลุกไม่ได้จ้ะ เอ๊ย ค่ะ หนูเดินไม่ไหว เจ็บตีน”
พุดซ้อนทำหน้าดุ “เจ็บตีนอีกแล้ว”
“ก็เหน็บมันกินตีน เอ๊ย เท้าค่ะ”
ชบาทิพย์พูดพลางดึงเท้าออกจากรองเท้าส้นสูง เห็นเท้าบานแผ่ราวใบตาลมาในระดับหน้าแม่ พุดซ้อนสะดุ้งค้อนลูก พอมีเงาดำกระโดดโครมมาใกล้ๆ ก็ร้องสุดเสียง
“แม่มึงหกตกแหก”
2 แม่ลูกผู้ดีใหม่ผงะหงายไปนั่งแผ่ ชายเล็กที่โดดข้ามท้องร่องมายืนตาปริบๆ
“มาทำอะไรกันครับ”
พุดซ้อนมองเหยียด “ก็มาหาใบบอนกินไง แล้วแกล่ะรู้จักหนูสาเหรอ”
“รู้จักสิครับ”

สาลินถือหมอนขึ้นเรือนมา ตากับยายนอนเอกเขนกฟังวิทยุ ยายพิณถือกระจาดผลไม้เข้ามา พร้อมกับที่ตาผลคอยรับใช้อยู่
ตาหันมาทางหลานสาว ”ทำไมวันนี้ขึ้นมาเร็วล่ะ ลูก”
สาลินเหลือบมองตาผล ดวงตาเจ้าเล่ห์ แล้วหันมาทำเคร่งเครียด
“มีผู้ชายบุกเข้ามาในสวนเราค่ะ คุณตา คุณยาย”
ตากับยายผุดลุกขึ้นนั่ง ยายพิณทิ้งผ้าหันขวับมา
ยายรีบถาม “ผู้ชายอะไร มันทำอะไรหนูบ้าง”
ตาถามต่อ “ใคร ไอ้หน้าไหน...มันกล้า”
ยายพิณ หันไปดุ “ไอ้ผล ทำไมไม่ไปคอยดูแลคุณสา”
สาลินกลั้นหัวเราะ ทำหน้าขมขื่น “ก็ตาผลนี่แหละค่ะ ตัวการชักพาเขามา”
“ไอ้ผล”
ตาขยับตะพด ตาผลจะร้องไห้ ยายพิณคว้าตะบันหมากชูคล้ายจะแพ่นหัวผัว
“โธ่ นี่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยขอรับ”
ยายพิณหันไปดุผัว “ ไอ้ผล ไอ้เนรคุณ กินบนเรือนขี้บนหลังคา”
สาลินเชิดหน้าปากสั่น แล้วก็หัวเราะออกมา ตากับยายเริ่มรู้ตัว
“อ้อ แม่คุณ แม่เด็กเลี้ยงแกะ มาสร้างเรื่องอะไรอีกยะ”
ตาถอนหายใจ “อ้อ แกปั้นน้ำเป็นตัวอีกแล้วหรือยายสา”
“สาไม่ได้ทำงานโรงงานน้ำแข็งซักหน่อย ที่สาพูดมาน่ะจริงทุกคำนะคะ”
“ไหน ว่ามาซิ ใครที่ไหนบุกมา แล้วไอ้ผลไปชักพามาได้ยังไง”
สาลินนั่งแหมะลง “ก็หนูอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนไทยดีๆ ก็มีชายหนุ่มโผล่มาทำความรู้จัก เขามาตรวจ
ปั๊มน้ำมันยายซ้อน เขาบอกเขาเพิ่งช่วยแก้เครื่องรถให้ตาผลมาเมื่อกี้นี่เอง”
ผลพยักหน้า “อ๋อ คุณพลน่ะเอง”
“เห็นไหมคะ หนูบอกแล้วว่าตาผลเป็นตัวการ”

“โธ่ เขามาช่วยซ่อมรถให้ฟรีๆ คุยก็สนุก เขาถามว่าสวนแถวนี้เดินเล่นได้ไหม นังชบามันบอกว่าได้ ผมก็บอกว่าสวนท่านอยู่ถัดไป”

ยายพยักหน้าหงึก “อ้อ แกจริงๆ”
 
เจ้าแกะคลานมานั่งหัวกระได สาลินหันไปเห็นพอดี
“ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เขายังเอารถของเล่นมาติดสินบนเจ้าแกะ”
เจ้าแกะหน้าเหรอ
“แถมรู้ว่ายายพิณเสียงแปดหลอด”
ยายพิณชะงัก ค่อยๆ หันมามองผัว สาลินยังไม่ยอมหยุด
“ไม่รู้ว่าเขายังรู้เรื่องลี้ลับในบ้านเราเรื่องไหนอีก”
ยายทำเสียงเข้ม “แกนะแก เจ้าผล ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
ตาผลหน้าเจื่อน “โธ่ ผมแค่คุยสัพเพเหระ”
“ยังไงแกก็เป็นต้นเหตุ”
ตาผลหน้าจ๋อย สาลินนึกสงสาร
“โธ่ คุณตา คุณยาย อีตานี่เขาไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกค่ะ”
“พวกจิ๊กโก๋หรือเปล่า” ตาย้อนถาม
“ไม่หรอกค่ะ เฮ้อ เรือนไทยนั่นเป็นแดนสงบของสาแท้ๆ ทีนี้ก็เลยไปนอนเล่นไม่ได้แล้ว เสียดายจัง”
ยายหันมาหาตา “ยังไงดีคุณ หรือว่าจะห้ามไม่ให้มา”
ตาส่ายหน้า ” คนหนุ่มๆ น่ะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ดูตอนที่อากงห้ามฉันพบเธอซี”
ตายิ้มหวาน จนยายชะงัก สาลิน ตาผล ยายพิณ แม้กระทั่งเจ้าแกะอ้าปากค้าง
“วุ้ย กำลังพูดเป็นงานเป็นการ จะมารำลึกความหลังอะไรกันตอนนี้”
ตารีบเสนอ “เอาอย่างงี้ ทีหลังนายคนนั้นมาอีก ก็ให้พามาพบตากับยายก่อนก็แล้วกัน”
“ค่ะ งั้นหนูขึ้นข้างบนก่อนนะคะ”
ยายหันมาทางยายพิณ “เอ้า ยายพิณ เตรียมจัดสำรับคับค้อนได้แล้ว”
สาลินเดินก้มตัวไปทาง ยายพิณเอานิ้วคีบแขนตาผลลากไปอีกทาง พร้อมกับมีเสียงดังมาแว่วๆ
“หนอย แกว่าใครเสียงแปดหลอด”
ยายยังไม่วายกังวล “จะดีหรือคุณ ยิ่งให้เข้านอกออกในได้ยังงี้”
ตารีบบอก “ให้อยู่ในสายตานี่แหละดีแล้ว เฮ้อ ต่อไปฉันคงต้องเริ่มไว้หนวดโง้งแล้วล่ะมั้ง”

ชายโต จรวยที่เอาตาตุ้มนั่งตักนั่งอยูบนโซฟา พร้อมด้วยชายรอง นมย้อย นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ ชายเล็กที่แต่งหล่อเตรียมเที่ยวกลางคืนเดินผิวปากมานั่งอีกข้างของนมย้อย
ชายรองหันมามอง “ ครึ้มอก ครึ้มใจอะไรนายเล็ก“
“ผมเพิ่งไปทำความรู้จักสาวสวยคนหนึ่งมาครับ”
“พวกนักร้อง หรือพาร์ตเนอร์นั่งชั่วโมงที่บาร์ไหนล่ะ”
หม่อมอำพันพูดพลางเดินหน้าบึ้งเข้ามา ชายเล็กเสียงอ่อย
“โธ่หม่อม ผมรู้จักพวกนี้กี่คนกัน แค่ 1,2,3 แค่สิบเจ็ดคนเอง”
หม่อมอำพันทำท่าตกใจ “ว้าย พูดมาได้ไม่อายปาก"
ชายรองลุกขึ้น “ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ้าว ชายรอง เธอจะไปไหน”
“ผมมีนัดกับหญิงก้อยฮะ”
หม่อมอำพันทำหน้ายี้ “อู้ย เชิญเถอะย่ะ ฉันพูดอะไรน่ะไม่เคยฟังหรอก เหมือนตักน้ำรดหัวตอ”
ชายเล็กลุกขึ้นโอบไหล่พี่ชาย “ผมออกไปพร้อมพี่รองดีกว่า”
หม่อมอำพันพูดแขวะ “อ้อดี ถึงเวลากินข้าว หายหัวกันไปหมด”
“อ้าว ก็พี่โตอยู่ไงครับ”
“อู้ย ลองถามดูซี”
ชายโตหน้าเจื่อน “เอ้อ ผมเพิ่งกินไปเมื่อกี้นี่เองครับ”
หม่อมอำพันยิ้มหยัน “นั่นไง เขาไม่กินหรอกย่ะกับฉัน เขาต้องให้เมียป้อนให้กิน”
ชายโตปรายตามองจรวยอย่างอึดอัด ฝ่ายหลังคิดได้ทันที
“ว้าย ตาตุ้มฉี่”
“ไปเร็ว ไปเปลี่ยนผ้าอ้อม”
ทั้งคู่รีบลุกขึ้น ชายเล็กหันมาทางพี่ชายคนรอง
“ไปยังพี่รอง เดี๋ยวไม่ทันนัด”
“ไปซิ“
นมย้อยรีบบอก “อย่ากลับดึกนักนะคะ”
ชายเล็กรับคำ ชายรองหันมาบอก
“ผมไปก่อนนะครับ หม่อมแม่ นม”
“เชิญ จะไปหัวหกก้นขวิดยังไงก็ตามสบาย เชิญไปกันให้หมด”
2 พี่น้องเดินออกไปทางหน้าบ้าน ส่วนชายโตกับจรวยล่าถอยออกประตูหลัง
“ดู๊ ดู นมย้อย มีลูกกี่คนก็ไม่ได้ดั่งใจ บ้านช่องก็ร้อนรุ่ม วันนี้ก็เสียยุบเสียยับมาตั้งแต่เช้า”
นมย้อยกับเจียมที่เพิ่งรู้สาเหตุแท้จริง แอบสบตากัน
“ไม่รู้ว่ากรรมเวรอะไร”
นมย้อยแอบเหน็บ “ค่ะ ตัวเวรตัวกรรม มันคงวนเวียนอยู่แถวนี้มังคะ”
หม่อมอำพันไม่รู้ว่าโดนเหน็บพยักหน้ารับ เจียมหัวเราะพรืดออกมา
“แกหัวเราะอะไร นังเจียม”
เจียมกลั้นขำ “ หัวเราะตัวเวรตัวกรรมเจ้าค่ะ หม่อม”

ตากับยายมองดูอย่างลุ้นเต็มที่ ตรงหน้าสาลินที่ถือมีดคว้านเล่มเล็กกำลังคว้านเม็ดเงาะออก
“อุ๊ย เสียอีกแล้ว”
ขาดคำก็หยิบเงาะที่ฉีกใส่ปากหน้าตาเฉย
ตามองหลานสาวงงๆ “นึกยังไง มานั่งคว้านเงาะฮึ ยายสา”
“ทำไว้ให้เป็นไงคะ ชาววังที่ไหนจะได้มาค่อนแคะสาไม่ได้”
ตาพนักหน้าหงึก “ เออ เข้าท่าลูก”
ยายหันมาถามย้ำ “อ้อ ยังไง ที่ไปสืบความ พี่ศรีเขาจะแต่งกับคุณชายอะไร”
“ชื่อคุณชายกิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์ค่ะ คนอะไรชื่อยาวตั้งโยชน์ ยาวกว่านามสกุล อีก แหยะ
ตาทำเสียงดุ “อ้าว ทำไมทำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์เขาขนาดนั้น”
“ไม่ชอบค่ะ”
ยายหันมาเอ็ด ” แล้วกันแม่คุณ มันเรื่องอะไรไม่ชอบ ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาเขาซักหน่อย”
“ถึงไม่เห็นก็ไม่ชอบค่ะ มีอย่างหรือคะ ตัววิเศษแค่ไหน ถึงต้องให้พี่ศรีต้องไปอบรมเพื่อปรนนิบัติตัวเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ใช่อีเย็นนะคะ”
“อีเย็นไหนลูก”

“ก็นางเอกเรื่องเมียทาสไงคะ ว้าย เสียอีกแล้ว”

ขาดคำสาลินก็เอาเข้าปากอีกหนึ่งลูก ยายส่ายหน้า
 
“เออ ทำงานไปก็กระแทกกระทั้นไป มันจะดีได้ยังไง เฮ้อ เรื่องพี่ศรีน่ะ ดูๆ ไปก่อนเถอะ เราน่ะมันพวกเสมอนอก ไม่ได้ร้องได้รำกับเขา”
“ก็ได้ค่ะ อุ้ยเสร็จแล้วค่ะ”
สาลินวางเงาะคว้านผลสุดท้ายลงจาน ตากับยายมองดู เห็นมีเงาะประมาณ 10-12 ผล
“เอ๊ะ ตอนเริ่มทำน่ะ มี 2 กิโลไม่ใช่หรือ”
ยายถามต่อจากตา “แล้วมันหายไปไหนกิโลครึ่งยะ”
“ที่หายไปนั่น ถือเป็นค่ายกครูค่ะ”
สาลินตอบหน้าตาเฉย

ที่โต๊ะใกล้ฟลอร์ในไนท์คลับหรู
หญิงก้อยสวมชุดราตรีดูงดงามระเหิดระหง ชายรองใส่เพียงเชิ้ตกับไท เอาเสื้อนอกพาดเก้าอี้ไว้ ท่าทางเมาเล็ก ๆ สีหน้าเครียด ๆ เมื่อเหลือบมองที่นิ้วมือของอีกฝ่าย ก็เห็นว่าไม่ได้สวมแหวนของตน
“ว้า ไม่มีไฮโซของแท้เลย มีแต่พวกเปลือก ๆ”
เทพีทำหน้าเซ็ง
“แหวนหายไปไหนครับหญิง”
หญิงก้อยสะดุ้งโหยง รีบพูดปด “หัวแหวนพลอยมันคลอนอีกแล้วน่ะค่ะ ให้ช่างซ่อมอยู่”
“ผมน่าจะซื้อแหวนเพชรน้ำงามให้คุณนะ หมายถึงวันหมั้นผมจะสวมแหวนเพชรน้ำงามที่สุดให้คุณ”
“ขอบคุณค่ะคุณรอง”
ชายรองเริ่มเบื่อและเหม่อๆ
“คุณรองคะ คุณรอง ใจลอยไปถึงไหนกันคะ”
“เปล่าหรอกหญิง ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยเท่านั้น เออ เรื่องเสด็จป้าน่ะฮะ”
หญิงก้อยทำหน้าเอือม “เด็จป้าอีกแล้ว ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคุณรองจริงนะคะ”
ชายรองขมวดคิ้ว สีหน้าขรึมลง อีกฝ่ายรู้ว่าแรงไป รีบอ่อนลง ขยับมาใกล้ๆ แล้วจับแขนไว้
“หญิงขอโทษค่ะ นั่นเพลงโปรดของหญิง ไปกันเถอะค่ะ”
พูดพลางรีบลุกขึ้น ชายรองลุกตาม
“สวมแจ็กเก็ตด้วยซีคะ”
“ไม่ใส่ไม่ได้หรือหญิง”
หญิงก้อยส่ายหน้า “ ไม่ได้ค่ะ ที่จริงคุณรองควรใส่แบล็กไทด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใส่ เดี๋ยวหญิงไปหาคู่เต้น
คนใหม่นะคะ”
พูดจบก็ยิ้มยวนยั่ว ชายรองยิ้ม
“ผมไม่มีทางปล่อยหญิงไปหรอก”
จากนั้นก็รีบคว้าเสื้อนอกมาสวม แล้วเดินตามเทพีเพ็ญแสงไปในฟลอร์ และเต้นรำกัน

ชายเล็กล้างมือเสร็จก็เหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นปลอดคนก็รูดซิบชุดหมีลง
ที่หลังกระถางไม้ประดับ ชบาทิพย์โผล่มาดูตาค้างมือจับกิ่งไม้ พอเห็นชายเล็กรูดซิบลงถึงเป้า ก็ทำท่ารัญจวนใจ จนเผลอหักกิ่งไม้เปาะ
ชายเล็กก้าวจากชุดหมี เห็นว่าใส่สแล็คกับเสื้อยืดมีปกราคาแพง ดูหล่อขึ้นอีกหลายเท่า
สมชายก้าวมาหา ชายเล็กรีบส่งชุดหมีให้
“นายเอารถกลับบริษัทเลยก็แล้วกัน”
“จะไปดูอะไรสวยๆ งามๆ หรือหม่อม เอ๊ย คุณพล”
“ทำนองนั้น ไปล่ะ”
พูดจบก็เดินไปทางสวนหลังปั๊ม สมชายหอบชุดหมีเดินไป ชบาทิพย์เคลิบเคลิ้ม พอหันกลับก็เจอ
พุดซ้อนในระยะประชิด
“แม่มึง”
“เรียกคุณแม่ค่ะ ลูกชบา เอ๊ะ ทำไมทำหน้าอย่างงั้น”
ชบาทิพย์หน้าระเรื่อ “นายพลแก้ผ้าอยู่หลังปั๊มค่ะ”
พุดซ้อนตาเบิกโพลงรีบชะเง้อดู
“ไหน อยู่ไหน ทำไมทำตัวผิดวิสัยกุลธิดา ไหนหนูเห็นอะไรบ้าง เล่ามาให้ถี่ถ้วน”
“หนูเห็นเขาแต่งตัวโก้อยู่ใต้ชุดหมี แล้วเดินไปทางหลังสวน”
“ว้าย คงนัดแนะกันอีกแล้ว ไปลูก ชบาทิพย์”
ชบาทิพย์ทำหน้างง “ไปไหนคะ”
“ปิดออฟฟิศน่ะซีคะ ลูกขา”

สาลินถือหมอนกับหนังสือตรงมาที่ศาลาแล้วชะงัก ชายเล็กที่นั่งพิงเสามองท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ หันมาเห็น ก็ยิ้มทัก
“อ้าว คุณมาตั้งแต่เมื่อไร”
“คนที่ควรจะแปลกใจน่ะ คือฉันต่างหาก”
“โธ่ ผมไม่ได้มีสิบเศียร ยี่สิบกรซักหน่อย” ชายเล็กยิ้มกวน
“คุณเข้ามานี่ ขออนุญาตใครหรือยัง”
“อ้าว ก็คุณบอกว่าแถวนี้มีแต่คนใจดี ผมก็มาผูกมิตรไง”
“คุณจะมาผูกมิตรทำไม คนแถวนี้มีแต่ชาวบ้าน ชาวสวน ไม่มีผู้ลากมากดีขุนนางรางน้ำที่ไหน”
ชายเล็กผุดลุกขึ้น “นี่คุณแอนตี้พวกผู้ดีหรือ ทำไมล่ะ”
“เพราะฉันเป็นลูกหลานเจ๊กชาวสวนมั้ง มา ตามฉันมา”
“หา ไปไหนครับ”
“ก็คุณบอกว่าอยากผูกมิตรกะคนแถวนี้ ฉันจะพาคุณไปผูกมิตรกะคุณตา คุณยายฉันไง”
ชายเล็กรีบถาม “โอ้ย นี่ผมจะโดนตีกบาลหรือเปล่า”
“คงไม่หรอก เพราะคุณตาไม่ชอบใช้ไม้ตะพด”
“โล่งอกไป”
“คุณตาถนัดแต่ปืนลูกซอง” สาลินพูดหน้าตาเฉย
ชายเล็กถึงกับคอหด สาลินกลั้นหัวเราะ แล้วรีบเดินนำไป

หลังพุ่มไม้พุ่มเดิม พุดซ้อนโผล่หน้ามากับชบาทิพย์
“ว้าย นี่คุณตา คุณยายคงไม่อยู่ แม่สาเลยเล่นเกม จูงนายเข้าห้อง ว้าย บัดสี”
“ไม่จริง หนูไม่เชื่อ”

ชบาทิพย์ปากแบะ ทำท่าจะร้องไห้

สะใภ้จ้าว ตอนที่ 4 (ต่อ)

สาลินพาบดินทร์เดินมาที่บริเวณใกล้ตัวเรือน เสียงกระดิ่งจักรยานดังมาทางด้านถนน สาลินหันไปดู
 
“ไปรษณีย์มา คุณขึ้นเรือนไปก่อนไป” สาลินบอก

คุณตากับคุณยายยังนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ ยายพิณนั่งเจียนใบตองโดยผ้าแถบหย่อนตกอยู่ที่พื้น ชายเล็กเข้ามานั่งลง คุณตา คุณยาย และพิณชะงัก ชายเล็กไหว้ด้วยอาการนอบน้อม
“สวัสดีครับ คุณตา คุณยาย”
ยายกับตางง “สวัสดี พ่อคุณ”
“สวัสดีครับ ป้าพิณ”
“ค่ะ โชคดีมีชัยเถอะค่ะ”
คุณตากับคุณยายยังงง ชายเล็กยิ้มระรื่น
“เป็นยังไงมายังไง พ่อ” ตาถาม
“ผมทำงานเสร็จเลยมาเดินเที่ยวน่ะครับ คุณตา คุณยาย สบายดีหรือครับ”
“ก็ดี ไม่ได้เจ็บได้ไข้อะไร แต่ยายเขาไม่ค่อยดีวันนี้”
“ก็ปวดเข่าปวดข้อไปตามเรื่องน่ะพ่อ”
“โรคเดียวกับแม่ย้อยของผมเลยครับ นี่เพิ่งได้ยาดีมา วันหลังผมจะเจียดมาให้คุณตา คุณยายดีกว่า”
“ขอบใจนะพ่อคุณ” ยายพูด
ชายเล็กขยับมาดูยายพิณ
“นี่ป้าพิณทำอะไรหรือครับ”
“เจียนตองน่ะค่ะ จะเย็บกระทง”
คุณตากับคุณยายได้โอกาสกระซิบกัน
“ไอ้บ้านี่มันใคร คุณไปรู้จักที่ไหน” ตาถาม
“อ้าว คุณก็ไม่รู้จักหรือ คงรู้จักนังพิณน่ะค่ะ” ยายบอก
สาลินถือจดหมายเดินมาเห็นบดินทร์หันมาดูหนังสือในมือคุณตา
ชายเล็กเอ่ยถาม “นี่อะไรเอ่ย คุณตาอ่านเรื่องจีนกำลังภายในหรือครับ”
“ไม่ใช่หรอกคุณ นี่เรื่องไคเภ็กน่ะ”
“อ๋อ ตำนานสร้างโลกของจีน ผมเคยอ่านหนนึงตอนเด็กๆ”
สาลินมองความเจื้อยแจ้วของชายเล็กด้วยความชอบใจ ยายพิณอดรนทนไม่ไหวจึงถามขึ้น
“นี่คุณขา คุณเป็นใครกันคะ”
“อ้าว นังพิณ แกก็ไม่รู้จักหรือ” ตางง
“นี่พ่อคุณ พ่อเป็นใครกันแน่ฮะ” ยายถาม
“อ้าว ผมก็คิดว่ารู้แล้ว”
สาลินหัวเราะพรืดออกมาก่อนอธิบาย
“ก็คุณคนนี้ไงคะ ที่มาเอ้อระเหยในสวนเราเมื่อวันก่อน แล้วคุณตาบอกว่าถ้ามาอีกก็ให้พามาดูหน้าหน่อย”
ตาถึงบางอ้อ “อ๋อ”
“ปู้โธ่” ยายเซ็ง
“อพิโถ อพิถัง” พิณรำพึง
สาลินขยับมานั่งลง ชายเล็กถอนใจ ยายรินน้ำชาลงถ้วยจิ๋วส่งชายเล็กกับสาลิน
“ผมชื่อพลครับ พล พ.พาน ล.ลิง”
“ดีจัง ชื่อสั้นดี” สาลินว่า
ชายเล็กถามต่อ “ดียังไงหรือครับ”
“ก็ฉันเพิ่งไปรู้จักคนที่ชื่อยาวเกินมนุษย์มาน่ะซี ชื่อคนเดียวเอาไปตั้งชื่อชาวบ้านได้ห้าหกชื่อ”
“ชื่ออะไรหรือครับ” ชายเล็กถาม
ชายเล็กจิบน้ำชา สาลินทำหน้าเชิด
“ชื่อ กิตติราชนรินทร์”
ชายเล็กสำลักชาพรวด สาลินร้องอุ๊ย ชายเล็กสำลักไออยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ
“ขอโทษฮะ” ชายเล็กบอก
สาลินสงสัย “คุณหัวเราะอะไร”
“หัวเราะชื่อยาวน่ะซีฮะ ชื่อยาวจริงๆด้วย แต่ชื่อพวกนี้เป็นชื่อที่เจ้านายประทานมา ไม่มีใครอยากใช้ชื่อยาวๆให้เพื่อนล้อหรอก”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นชื่อเจ้า”
“ผมก็รู้แล้วกันน่า”
ชายเล็กทำท่าภาคภูมิใจ

เสด็จประทับบนตั่งมองลงมาอย่างพินิจ ศรีจิตราแต่งกายงดงามมีกรวยดอกไม้ตรงหน้า สร้อยและสอางค์แต่งตัวเต็มที่นั่งยิ้มพยัก อุ่นเรือนนั่งอยู่ข้างหลังศรีจิตรา มาลา วรรณาโบกพัดแผ่วเบาอยู่เบื้องหลังเสด็จ ที่ทางสุดห้องมีนางข้าหลวงทุกวัยชะเง้อกันสลอน ศรีจิตราข่มความประหม่าก้มลงกราบงดงาม แล้วเปิดกรวยดอกไม้ ก่อนจะคลานเข่าเข้ามาถวาย เสด็จทรงรับไว้ ศรีจิตราก้มลงกราบอีกทีแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ไหน ขอดูหน้าชัดๆอีกทีซิ” เสด็จพูด
“เพคะ”
ศรีจิตราเงยหน้าขึ้น เสด็จทรงแย้มสรวล
“หน้าตาหมดจด กิริยามารยาทงดงามจริง”
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
“ไง แม่สร้อย เลี้ยงหลานได้ดีจริง”
สร้อยยิ้มแป้นก่อนจะขยับมาลูบหลังลูบไหล่ของศรีจิตรา
“อุ๊ย เหนื่อยสายตัวแทบขาดเพคะ กว่าจะได้ขนาดนี้”
เสด็จเบือนพระพักตร์มองอุ่นเรือน

“สวยเหมือนแม่นี่เอง อุ่นเรือนเข้ามาใกล้ๆซิ”

อุ่นเรือนตื้นตันขยับมาข้างศรีจิตราหมอบกราบลง สร้อยเขม่นมองกลัวทำขายหน้า
 
“ผิวพรรณวรรณะจมูกปากมาจากแม่ แต่คิ้วกับตาเหมือนตาสาวิตร”
อุ่นเรือนเพคะ แม่ศรีเหมือนคุณสาวิตรมากเพคะ
“อุ่นเรือน ฉันขอลูกสาวมาอยู่ด้วยกันที่นี่ อย่าห่วงเลยนะ ฉันจะดูแลให้ดีที่สุด”
“เป็นพระกรุณาเพคะ แต่วิสัยแม่ ถึงยังไงก็ห่วงเพคะ”
สอางค์สะดุ้ง สร้อยตาเขียวปัดแทบกราดเข้ามาหยิก
“พูดอะไร” สร้อยว่า
“นั่นซีนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แม่อุ่นเรือนก็มาเยี่ยมลูกสาวบ่อยๆ จะมาบ่อยแค่ไหนก็ได้ ฉันอนุญาต”
อุ่นเรือนตอบรับ “เพคะ”
เสด็จพูดกับศรีจิตรา “ศรีจิตรา ถ้าชอบงานฝีมือ มาอยู่นี่จะได้ฝึกทำอะไรแปลกๆเยอะเชียวล่ะ ข้าหลวงเก่าแก่ที่นี่มีวิชาติดตัวไม่แพ้วังไหน”
มาลากับวรรณายิ้มระรื่น “เพคะ”
“ข้าหมายถึงข้าหลวงผู้ใหญ่ ไม่ใช่หล่อนสองคน ดูรึให้ร้อยกระแต ไพล่ไปเหมือนชะนี”
มาลากับวรรณาหุบยิ้ม ศรีจิตรากลั้นหัวเราะ สร้อยกับสอางค์หัวเราะ เสด็จทอดเนตรดูศรีจิตรา
“น่าเอ็นดูจริง จะยิ้มจะแย้มอะไรก็ไม่เกินงาม เหมือนสาวๆสมัยนี้”
“จริงเพคะ สาวๆสมัยนี้เหมือนม้าดีดกระโหลก หัวเราะทีเห็นไปถึงลิ้นไก่” สอางค์ว่า
“เพคะ ยิ่งแม่หลานสาวหม่อมฉันอีกคน พูดแล้วอ่อนใจเพคะ” สร้อยบอก
“ใครกันหือ” เสด็จถาม
“น้องสาวแม่ศรีจิตรานี่แหละเพคะ ชื่อแม่สาลิน”
ศรีจิตรากับอุ่นเรือนสบตากัน
“อือม์จริงซี แม่อุ่นเรือนมีลูกสาวอีกคน”
“เอ้อ สาลินอยู่ที่บ้านเดิมหม่อมฉันที่เมืองนนท์เพคะ ได้อาศัยแกดูแลตากับยายแทนหม่อมฉัน”
“เพคะ เลยแก่นแก้วแววชะนีอยู่ในสวน”
“หม่อมฉันน่ะอยากให้เข้ามาอบรมในวังเพคะ แต่แม่สร้อยขัดไว้”
“อย่าให้หม่อมฉันขายหน้าวันละห้าเบี้ยเลยเพคะ ถ้าจะให้มาจริงก็ต้องอบต้องรมอีกนาน”
“จะมาเที่ยวเกณฑ์ใครให้เข้าวังหมดน่ะไม่ได้หรอก โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว น้องสาวแม่ศรีจิตราดูแลตายายแทนแม่ได้ก็ถือว่าใช้ได้”
“แหม อย่าให้หม่อมฉันต้องพูดเลยเพคะ แม่สาลินนี่”
สร้อยเตรียมเล่าสาธกโวหาร เสด็จทรงตัดบทฉับ
“ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ดู๊ มานินทาลูกสาวเขาต่อหน้าแม่ มาว่าน้องสาวต่อหน้าพี่ ไม่มีใครเขาอยากฟังหรอก จริงไหมอุ่นเรือน ศรีจิตรา”
สร้อยอ้าปากค้าง อุ่นเรือนกับศรีจิตราพูดไม่ออก มาลากับวรรณาได้ทีรีบเห็นด้วย
“จริงเพคะ”
เสด็จชะงักแล้วทำพระเนตรเขียว มาลากับวรรณาหดหายไป

สร้อยกับสอางค์เดินนำศรีจิตรา อุ่นเรือน มาลา และวรรณาเข้ามา มาลากับวรรณาถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาคนละใบ ในห้องนอนใหญ่ตกแต่งงดงามเรียบหรู เครื่องเรือนเป็นไม้ขัดมันรูปทรงอ่อนช้อย มีผ้าตกแต่งเป็นงานปักฝีมือละเอียดยิบไม่ว่าจะเป็นม่าน ผ้าคลุมเตียง หมอนอิง ศรีจิตรามองดูรอบๆ ห้องด้วยความชื่นชอบ สอางค์เดินไปเปิดม่านก็เห็นตำหนักเล็กอยู่ห่างไปพอควร
“เป็นไงบ้าง หนูศรี นี่ป้าตกแต่งใหม่ให้หนูเป็นพิเศษเลยนะ”
“หนูกราบขอบพระคุณ คุณป้าใหญ่ค่ะ”
สร้อยนั่งลงบนเก้าอี้ยาว
“อ้าว แม่อุ่น นั่งซียะ ยืนเท่ออยู่ทำไม”
อุ่นเรือนนั่งบนเก้าอี้ตัวลีบให้ห่างสร้อยที่สุด มาลากับวรรณามองศรีจิตราด้วยความชื่นชม
“คุณศรีนี่งามซึ้งนะคะ”
“เห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ”
“ก็ใช่ซียะ หลานฉันน่ะเชื้อไม่ทิ้งแถว”
สร้อยเชิดเห็นความเหี่ยวดำชัดเจน มาลา วรรณาทำหน้าสยองขวัญ
“แหม ดูๆไปก็คล้ายฉันเมื่อสาวๆ เหมือนกันนะ”
สอางค์ยืนระทวยดูงดงาม แบบบาง ราวกับดาราฮอลลีวูดยุค 30-40
“อุ้ย ไม่เห็นเหมือนเลยค่ะ” วรรณาว่า
สอางค์สะดุ้ง “หมายความว่ายังไงยะ”
“อ้าว ก็ดูในรูปน่ะ คุณแม่บ้านน่ะเปรี้ยวเปิ๊ดสะก๊าดจะตาย”
ภาพนิ่งสอางค์เมื่อสาว อยู่ในชุดราตรีเปลือยหลัง โป๊สะเด็ด เอี้ยวหน้ามองกล้อง เซ็กซี่กว่ามาร์ลีน ดีทริชแวบขึ้นมา
สอางค์ยิ้มภาคภูมิ สร้อยพยักเพยิด
“ค่ะ คุณสอางค์น่ะเปรี้ยวเหมือนคุณหญิงก้อยมากกว่า”
สอางค์กับสร้อยสะดุ้งเฮือก ศรีจิตราขมวดคิ้ว
“นี่แม่วิมาลา แม่เลื่อมลายวรรณ เลิกพูดมากปากพล่อยได้แล้ว” สอางค์ว่า
“ไป ไป๊ ไปจัดของเข้าตู้เข้าต่าง” สร้อยบอก
“หนูจัดเองดีกว่าค่ะ คุณป้า เกรงใจคุณวิมาลา คุณเลื่อมลายวรรณ” ศรีจิตราบอก
มาลากับวรรณาตกใจ “ว้าย”
“พี่ชื่อมาลาค่ะ”
“พี่ชื่อวรรณาค่ะ”
ศรีจิตราหน้าเสียก่อนจะยกมือไหว้ มาลากับวรรณาหัวเราะคิกคัก
“ขอโทษนะคะ แล้วทำไม”
“ก็มีแต่คุณสร้อยกับคุณแม่บ้านเท่านั้นหละค่ะ ที่ชอบเรียกอย่างนี้”
“ไม่ดีหรือยะ ได้เป็นนางในวรรณคดี เป็นเมียชาละวัน” สร้อยบอก
“เธอสองคนน่ะปากยื่นปากยาวเหมือนนางตะเข้ เรียกชื่อนี้แหละไม่ผิดหรอก” สอางค์ว่า
มาลากับวรรณาค้อน ศรีจิตรานั่งลงใกล้อุ่นเรือน อุ่นเรือนกุมมือลูกไว้
ศรีจิตราเรียก “แม่คะ”
“หนูอยู่นี่ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขนะลูก” อุ่นเรือนบอก
“ยังไงก็ไม่ใช่บ้านเรา หนูกลัวจังค่ะ”
“คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ยิ่งเสด็จทรงพระเมตตาอย่างนี้ อย่ากลัวเลยลูก”
ศรีจิตรากอดแม่ อุ่นเรือนน้ำตาคลอลูบผมลูก มาลา และวรรณาอินจึงทำตาปริบๆ สอางค์น้ำตาเอ่อ
“โถ แม่ลูกไม่เคยห่างกันซีนะ”
“ต๊าย ลูกได้ดี มาทำน้ำหูน้ำตาพิรี้พิไรอยู่ได้”
สร้อยไม่อินอยู่คนเดียว สอางค์หันมาแล้วหยิกเต็มแรง

สร้อยตกใจ “ว้าย หยิกหนูทำไม พี่สอางค์”

ศรีจิตรา มาลา และวรรณามาเก็บดอกไม้ใกล้ตำหนักเล็ก นางข้าหลวงสาว ๆ ระริกระรี้ระเริงร่า เพราะไม่มีผู้ใหญ่คุม
 
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณศรี อยู่นี้มีอะไรสนุกๆให้ทำเยอะแยะเลย”
“ทางโน้นจะเป็นตำหนักเล็กนะคะ” มาลาบอก
“ข้าหลวงของตำหนักเล็กและตำหนักใหญ่ก็สนิทกันดีกลมเกลียวกันดี ยกเว้นก็แต่...”
มาลารีบจุ๊ปาก “จุ๊ จุ๊ จุ๊”
ศรีจิตรามองไปที่ตำหนักเล็กแล้วลองไปเก็บดอกไม้ไกลจากมาลา วรรณา โดยเดินเข้าใกล้ตำหนักเล็กมากขึ้น

ศรีจิตราเก็บดอกไม้แล้วก็ต้องชะงัก เพราะชายรองเดินออกมาที่ระเบียงตึกโดยถือหนังสือมาด้วย ชายรองนั่งเก้าอี้ที่ระเบียง ศรีจิตรารีบหลบเข้าพุ่มไม้แล้วแอบมองไป ชายรองอ่านหนังสือนิ่งแล้วรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้น ศรีจิตราหลบเข้าหลังพุ่มไม้ด้วยใจที่เต้นระทึก ชายรองลุกขึ้นมองตรงมา
“ใครน่ะ”
ศรีจิตรากลั้นหายใจ ชายรองมองไม่เห็นใครจึงเดินกลับเข้าตึกไป ศรีจิตรามองตามแล้วรีบเดินกลับไปหามาลากับวรรณา

ศรีจิตรากลับมาพบว่าจรวยกำลังยืนทำท่าเป็นคนสำคัญกับมาลาและวรรณา
“พวกเรากำลังเก็บดอกไม้ค่ะ คุณจรวย” วรรณาบอก
“คุณจรวยล่ะคะ มาเก็บดอกไม้หรือมาแอบดูพวกเรา” มาลาถาม
จรวยสวน “อุ้ย หล่อนสองคนมีเขางอกออกมาบนหัวเหรอจ๊ะ ฉันถึงต้องมาแอบดูน่ะ”
มาลาเห็นศรีจิตรา “คุณศรี”
จรวยหันมองศรีจิตรา ศรีจิตราเดินเข้ามาพอดี จรวยมองศรีจิตรานิ่งโดยไม่ไหว้เพราะถือว่าตนคือว่าที่พี่สะใภ้
“มาเก็บดอกไม้ก็ให้ระวังหน่อย อย่าเลยเถิดมาเก็บถึงเขตตำหนักเล็ก เพราะพวกฉันต้องใช้ดอกไม้ทำงานฝีมือเหมือนกัน”
“งานฝีมือ หรืองานรำพัดคะ” มาลาว่า
สองสาวหัวเราะ ทั้งสองมองศรีจิตราแล้วก็สะบัดหน้าเดินกลับตำหนัก
“คงจะมาดูคุณศรีแน่ ๆ เลย”
“ใครหรือคะ” ศรีจิตราถาม
“ข้าหลวงตำหนักโน้นน่ะค่ะ ไปทางโน้นดีกว่า”
มาลากับวรรณาดึงศรีจิตราเดินไป

ชายรองเดินผ่านห้องชายโตก็ได้ยินจรวยมารายงานชายโตในห้อง
“หน้าตาจืด ๆชืด ๆ เป็นน้ำยาเย็น ไม่เห็นจะสวยเลย”
ชายโตเอ่ยถาม “หลานคุณสอางค์เข้ามาอยู่ในตำหนักแล้วเหรอ”
ชายรองนิ่งฟัง
จรวยตอบ “ค่ะ มาวันนี้แหละ แต่ที่จริงก็ดูเหมาะกับคุณรองดี”
“ทำไม” ชายโตถาม
“อ้าว ก็เย็น ๆ ชืด ๆ เหมือนคุณรองน่ะซีคะ แต่คุณชายขา ถ้าหลานคุณสอางค์ เข้ามาอยู่ร่วมบ้านเราแล้ว จรวยกับคุณโตจะเป็นยังไง”
“จะเป็นยังไง ไม่เข้าใจคำถาม”
“เราจะกลายเป็นรองเขาน่ะซีคะ ยิ่งจรวยถูกดูถูกว่าเป็นเมียบ่าว เมียนอกคอกอยู่แล้ว ต่อไปเขาคงเฉดหัวออกจากวัง”
“โธ่ ไม่อย่างนั้นหรอกน่าจรวย ใครจะมาเฉดหัวเธอได้ เธอเป็นเมียฉันนะ”
จรวยสะอื้นไห้ ชายโตเดินเข้ามากอด ชายรองส่ายหน้าแล้วเดินแยกมา

ศรีจิตรานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง บนตักของเธอมีอัลบั้มรูปสมัยเมื่อราว พ.ศ. 2480 คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ สอางค์อยู่ใกล้ๆชี้ชวนดู มาลา วรรณาอยู่ที่พื้นชะเง้อดู ในอัลบั้มเป็นรูปสอางค์แต่งตัวเปรี้ยวต่างๆ โพสท์ท่าอยู่กับเสด็จพระองค์ชายในสูทหล่อเฟี้ยว
“คุณป้าสวยจังค่ะ เสด็จพระองค์ชายก็งามเหลือเกิน”
สอางค์ยิ้มหวานรำลึกความหลัง “ใช่จ้ะ งามที่สุด งามยังกะแกรี่ คูเปอร์ บวกกับเออร์รอล ฟลินน์”
สอางค์กรายตัวไปเกาะเสาเตียง แล้วก็เริ่มรู้สึกหมองหม่นจนน้ำตาคลอ
“โธ่ ไม่น่าพระชนม์สั้นเลย”
ศรีจิตราใจหายวาบ มาลา วรรณาสะกิดบอกให้รีบเปลี่ยนเรื่อง ศรีจิตรารีบแก้สถานการณ์พลิกอีกหน้า
“เอ๊ะ นี่รูปคุณป้ากับใครหรือคะ เด็กผู้หญิงรุ่นๆแบบบาง”
รูปสอางค์สาวสวยถ่ายคู่กับเด็กสาววัยราว 14-15 ตัวผอม หน้าตอบ ผมหยิกฟู ตัวดำ หน้า
เคร่งจ้องมองกล้องถมึงทึง มาลากับวรรณาชะเง้อดู
“อุ๊ย ไม่แบบบางหรอกค่ะ อย่างนี้เรียกว่าผอมกงโก้กงก” มาลาว่า
ศรีจิตราเสริม “แล้วก็ดูคล้ำๆนิด”
“ไม่นิดหรอกค่ะ ขนาดโดนแฟลชยังดำปี๋ขนาดนี้” วรรณาว่า
สอางค์ลืมเรื่องร้องไห้แล้วเดินมาดู
“ไหนลูก ว้าย นี่หนูไม่รู้หรือ”
“หนูรู้จักด้วยหรือคะ เอ๊ะ หรือว่า รูปคุณป้า ส.”
มาลากับวรรณาเองก็เพิ่งนึกออกจึงร้องอุทาน
“ว้าย คุณสร้อยเองหรือคะ”
“ธรรมโม สังโฆ นี่อึดอัดเคร่งเครียดมาตั้งแต่ยังไม่เป็นสาวเชียวหรือ”
มาลากับวรรณาทำหน้าละเหี่ย ทั้งสองรู้ตัวว่าเพิ่งด่าน้องสาวสอางค์ไปจึงรีบแก้ไข
“ไม่เหมือนคุณแม่บ้านนะคะ” มาลาบอก
“ร่าเริงสดใส สวยระหงยังกะออร์เดรย์ รูปนี้ยังกะคุณหญิงก้อย” วรรณาว่า
“ไม่เหมือนย่ะ ฉันไม่ได้เปรี้ยวปรู๊ดปร๊าดขนาดนั้น ฉันน่ะเหมือนการ์โบมากกว่า”
ศรีจิตราตัดสินใจถาม
“คุณหญิงก้อยนี่ใครกันหรือคะ”
“เอ้อ หลานสาวห่างๆของเสด็จน่ะจ้ะ”
มาลากับวรรณาคันปากยิบๆ
“อยากเห็นตัวไหมล่ะคะ”
“เธอมาเฟลิ๊ตที่ตำหนักโน้นอยู่บ่อยๆ”
สอางค์แทบถลามาอุดปาก
“นี่แม่เมียชาละวันพอที ไปดูเรื่องเครื่องว่างได้แล้ว”
มาลากับวรรณาลุกขึ้น มาลาเดินไปรูดม่านเพราะแดดจางลงแล้ว ก่อนจะยิ้มแล้วพูด
“วุ้ย คุณแม่บ้าน มองจากตรงนี้ตรงห้องคุณชายรองพอดีนะคะ”
“ก็ใช่น่ะซียะ ฉันก็กะ” สอางค์นึกได้ “อุ๊ย มันบังเอิญหรอก ไป ไปได้แล้ว”
มาลากับวรรณาหัวเราะคิกคัก สอางค์คว้าอัลบั้ม ทั้งสามออกไปจากห้อง ศรีจิตราลุกขึ้นไปที่หน้าต่างแล้วมองไปยังตำหนักเล็ก สายตามีแววฝันบางอย่างแล้วก็ลดสายตาลง
ศรีจิตราเห็นรถของชายเล็กจอดอยู่ริมถนนของตำหนักเล็กโดยที่ฝากระโปรงเปิดอยู่ ชายคนหนึ่งดูเครื่องตัวเลอะด้วยน้ำมันเครื่อง แล้วหันมาเกาหัวแกรกกราก
ศรีจิตรานึกออก “อ๋อ คนขับรถที่เคยขับไปส่งคุณป้า”
ศรีจิตรามองดูอีกครั้งเห็นชายเล็กถอดเสื้อออกโยนไปจนเห็นแผงอกแข็งแรง แล้วดูเครื่องรถต่อ
ศรีจิตราใจหายวาบรีบดึงม่านปิดฉับ ด้วยอะไรบางอย่างทำให้ชายเล็กหันมาดูแต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากตำหนักใหญ่ไกลๆ

ชายเล็กเกาหน้าทำให้หน้าดำเป็นปื้น ศรีจิตราแง้มม่านแอบดูอีกครั้ง

ที่ไนท์คลับหรูแห่งเดิม ชายรองใส่แบล็คสูทหรูเนี้ยบ
 
หญิงก้อยสวมชุดราตรีเปิดเปลือยกำลัง
จิบเครื่องดื่มสีสวยด้วยท่วงท่าราวดาราฮอลลีวูด หญิงก้อยปรายตาดูคนรอบๆ
“ตายจริง มีแต่คนหน้าเดิมๆ บางคนก็ถึงขั้นใส่ชุดเดิมด้วยซ้ำ”
“เขาคงไม่คิดมั้งครับ ว่าจะมีใครจำได้”
ชายรองหลุดปากค่อน แต่หญิงก้อยกลับไม่รู้สึก เธอยิ้มเหยียด
“หญิงเองก็คงจำไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าชุดเขาไม่เร่อร่าเป็นพวกเศรษฐีใหม่ขนาดนั้น”
“แต่หญิงเองก็คุ้นเคยกับพวกนี้หลายคนไม่ใช่หรือฮะ”
คราวนี้หญิงก้อยเริ่มรู้สึก
“แค่บางคนเท่านั้นล่ะค่ะ บางคนที่มีรสนิยมอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่พวกตู้ทองเคลื่อนที่แบบนั้น” หญิงก้อยโบกมือ
หญิงก้อยหันไปเห็นไฮโซโบกมือให้เธอ
“ไฮ สวัสดีค่ะคุณเล็กน้อย”
ชายรองถอนใจ
“หญิง ผมมีเรื่องอยากปรึกษาหญิงเรื่องนึง” ชายรองพูด
หญิงก้อยมองเลยไปพลางโบกมือให้วิรงรองที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
“ยายติ่ง ไฮ”
ชายรองมองตามไปก็เห็นวิรงรองกับกลุ่ม โดยมีจิตตินกับเพื่อนไฮโซอีกสองสามคนนั่งอยู่ด้วย
“เทพี คุณนัดเพื่อนกลุ่มนี้มาเหรอ”
“ไม่ได้นัดค่ะ ยายติ่งเขาก็มาของเขา”
“บอกตามตรงนะ ผมไม่ชอบเพื่อนกลุ่มนี้ของคุณเลย”
“เข้าใจค่ะ ถึงได้ไม่เรียกมาจอยกันไงคะ”
วิรงรองและจิตตินเดินมา ชายรองลุกขึ้นต้อนรับตามมารยาท จิตตินไม่ทักทายชายรอง
“สวัสดีค่ะคุณชาย”
“สวัสดีครับ”
“ไปจอยกับพวกเราทางนู้นไหมคะ”
“อย่าดีกว่าครับ ผมมากับหญิงก้อยสองต่อสอง”
วิรงรองหน้าเสียไป
“นี่หญิงมานานแล้วหรือจ๊ะ”
“นานพอที่จะเบื่อแล้ว เฮ้อ เมื่อไรจะมีคลับที่ดีกว่านี้นะ” หญิงก้อยว่า
“ผมได้ข่าวว่ามีมหาเศรษฐีกำลังจะลงทุนเปิดคลับที่หรูที่สุดในเอเซียอาคเนย์เลยนะครับ”
“มหาเศรษฐีที่ไหนกัน”
วิรงรองเตะหน้าแข้งจิตติน สบตากัน จิตตินยิ้ม
“ตอนนี้แค่เป็นโครงการในกระดาษ เขาเลยขอให้ผมเก็บเป็นความลับก่อนแต่รับรองว่า เปิดตัวออกมา คงจะเซอร์ไพรส์กันแน่นอน”
“ก็ดีนะ ฟ้าเมืองไทยจะได้มีอะไรแปลกๆใหม่ๆบ้าง”
ชายรองมีอาการเบื่อหน่าย
“เห็นว่ามหาเศรษฐีท่านนี้ จะไปลงทุนที่พัทยาด้วยนะครับ”
หญิงก้อยหันมาก็รู้ทันทีว่าจิตตินหมายถึงใคร
“ทั้งโรงแรม ทั้งคลับ แข่งกีฬาแหลมทองในไทยคราวนี้ จะมีแข่งเรือใบที่พัทยาด้วย คุณหญิงสนใจไปไหมครับ จะได้แนะนำให้รู้จักมหาเศรษฐีท่านนี้”
จิตตินยิ้มขัน ๆหญิงก้อยเหลือบมองทางชายรองอย่างกลัวว่าจะรู้ว่าคือใคร
“เออ คุณรองคะ หญิงขอตัวไปร่วมจอยกับติ่งก่อนนะคะ ครู่เดียวนะ”
หญิงก้อยไม่รอคำตอบ เธอแยกไปกับวิรงรองทันที จิตตินยิ้มกวนๆ ใส่ ชายรองจนต้องขบกรามแน่น

เวลาผ่านไป ชายรองดื่มไปมองที่กลุ่ม วิรงรอง จิตติน หญิงก้อยที่คุยกันสนุกสนานไปด้วย

เวลาผ่านไปอีกช่วง ชายรองที่ถอดแบล็คสูทแล้วมองไปยังกลุ่ม หญิงก้อยที่ยังหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน หญิงก้อยเบื่อหน่ายถึงขีดสุด

หญิงก้อยเดินกลับมาที่โต๊ะ เธอพบว่าชายรองนั่งหลับไปแล้ว หญิงก้อยมองชายรองอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกลับไปร่วมวงกับวิรงรองและจิตตินตามเดิม

อำพันนั่งประสานมือหน้าเชิดอยู่บนโซฟา สอางค์เชิดไม่แพ้กันอยู่บนโซฟาตรงข้าม ส่วนเสด็จประทับนั่งบนเก้าอี้เดี่ยวพนักสูงโดยเหลือบมองซ้ายขวาอย่างอ่อนพระทัยเล็กน้อย ศรีจิตรา มาลา วรรณาเข้ามาทรุดลงกราบ
“นั่งซี่แม่ศรี นั่งกับคุณป้าใหญ่นั่นแหละ”
ศรีจิตราลุกขึ้นไปนั่งกับสอางค์ โดยมีอำพันมองดูทุกอิริยาบท
“แม่อำพันนี่ไงศรีจิตรา ศรีจิตรากราบหม่อมซะซี” เสด็จตรัส
ศรีจิตราไหว้อย่างนอบน้อม อำพันรับไหว้อย่างเย็นชาเล็กน้อย
“ฉันเพิ่งรับเข้ามาอยู่ที่นี่ได้วันสองวันนี่เอง”
“หน้าตาหมดจดงดงามดีนะเพคะ กิริยาก็นุ่มนวลดี” อำพันบอก
ศรีจิตราอึ้ง อำพันยิ้มนิดหนึ่งโดยมีดวงตาจิกกัด
“คุณสอางค์คง วางแผน อบรมอยู่นานซีคะ”
“ไม่นานเท่าไรหรอกค่ะหม่อม เด็กเองก็มีแววหงส์อยู่แล้ว ถ้าเป็นแววกาล่ะก็ยังไงก็อบรมไม่ได้ค่ะ” สอางค์ยิ้มละไมขณะพูดกัดตอบ อำพันหน้ากระตุกเกือบลุกขึ้นเต้นแต่ยิ้มละไมกว่าเดิม ดวงตาแทบลุกเป็นไฟ
“แต่ถ้าหงส์ลงปลักล่ะก็ มันอาจจะดำกว่ากาอีกนะคะ”
สอางค์และอำพันเชิดใส่กันก่อนจะสะบัดหน้าพรืดไปทางเสด็จ เมื่อเห็นเสด็จขมวดพระขนงก็รีบฉีกยิ้มพร้อมกัน
“พอๆ เรื่องหงส์เรื่องกานี่พอที ฉันไม่ได้จะทำสวนนก”
สอางค์กับอำพันรับพร้อมกัน “เพคะ”
“ฉันคิดว่าถ้าตารองได้รู้จักมักคุ้นกับศรีจิตราแล้วคงพอใจ”
ศรีจิตราก้มหน้าลงด้วยความอึดอัด
“อะไรที่เสด็จป้าประทานให้ ชายรองคงพอใจเสมอล่ะเพคะ”
“แต่บางที ฉันเห็นตารองไปพอใจกับของที่ฉันไม่ได้ให้นี่นะ”
“ตารองคงจะจัดการได้เร็วๆนี้ล่ะเพคะ” อำพันบอก
“นั่นซี ฉันก็หวังว่าตารองคงจะยุติเรื่องวุ่นวายทั้งหลายของเขาได้เสียที”
“หม่อมฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันเพคะ”

ศรีจิตราเริ่มรู้สึกผิดปกติ
 
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.



สะใภ้จ้าว ตอนที่ 4 (ต่อ)

อำพันกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟา นมย้อยนั่งอยู่ตรงข้าม ในขณะที่ชายรองก็นั่งอยู่ด้วย
 
“มาแล้ว แม่ว่าที่ลูกสะใภ้ฉัน”
“ได้เจอตัวแล้วหรือคะหม่อม เป็นยังไงบ้างคะ” ย้อยถาม
“ก็สะสวยดีอยู่ แต่ท่าทางกระต้วมกระเตี้ยมเป็นนางอาย พูดทีเหมือนกลัวดอกพิกุลร่วง” อำพันว่า
อำพันและย้อยมองดูท่าทีกิตติ แต่ชายรองไม่แสดงออกอะไร นมย้อยเลยพูด
“แต่เสด็จคงจะโปรดนะคะ”
“ใช่ ทรงโปรดมาก ๆ ตารองแล้วเธอล่ะจะว่ายังไง เสด็จทรงเตือนมาแล้วนะ เรื่องแม่หญิงก้อยของเธอ ตกลงจะเลือกใคร นางในวรรณคดี หรือนางเอกจากแมกกาซีน”
“ผมบอกแล้วไงครับ เมื่อผมตัดสินใจ ผมจะกราบทูลเสด็จทันที” ชายรองบอก
“เฮ้อ ฉันไม่รู้แล้ว ให้เสด็จทรงขนาบเธอเองก็แล้วกัน ดูซิ ต้องไปดูหน้าแม่สะใภ้ ฉันเสียงานเสียการไปทั้งวัน”
“งานอะไรกันคะ หม่อม”
นมย้อยสงสัย เจียมเข้ามาคุกเข่าบอกอำพัน
“ขามาครบแล้ว เจ้าค่ะ”
“อ้อเรอะ ดี”
อำพันเดินไป นมย้อยถอนใจ
“โธ่เอ๋ย คิดว่างานอะไร คุณรองขาอย่าขัดเสด็จเลยนะคะ”
“นมครับ เรื่องความรัก ไม่ใช่เรื่องที่จะจับคู่กันแล้วเกิดเป็นความรักขึ้นได้ง่าย ๆ นะครับ ผมเองก็มีคนรักของผมอยู่แล้ว
“คุณรอง อย่าลืมนะคะว่าคุณรับปากกับเสด็จแล้ว”
“ผมจะต้องทำยังไงล่ะครับนม”
“ก็ลองพบคุณศรีเธอก่อนซีคะ ทำความรู้จักกันก่อน”
ชายรองหนักใจ

ศรีจิตรายืนอยู่บนฟุตสตูลเล็กๆหน้ากระจกเงาบานยาวส่องเต็มตัว บนเตียงมีชุดกระโปรงวางเรียงราย สอางค์ถือชุดอยู่ 2 ชุดในมือซ้ายขวา เธอเอาชุดขวาทาบแล้วส่ายหัวไม่พอใจ เอาชุดซ้ายทาบบ้างแล้วก็ส่ายหน้าอีก
“คุณป้าคะ ที่เสด็จตรัสกับหม่อม คุณชายรองเธอมีเรื่องวุ่นวายอะไรหรือคะ” ศรีจิตราถาม
“เอ้อ อ้า ก็เรื่องการเรื่องงานของคุณชายน่ะแหละจ้ะ ว้า ตัวนี้ก็ไม่ดี” สอางค์ว่า
“นี่คุณป้าทำอะไรหรือคะ”
“วันนี้เสด็จมีรับสั่งให้คุณชายรองมาร่วมโต๊ะเสวย ฉะนั้นวันนี้หนูต้องสวยที่สุดน่ะซีลูก”
ศรีจิตราชะงัก
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยค่ะ”
ศรีจิตราหยิบชุดสีส้มบนเตียงขึ้นมาทาบตัว
“สีส้มนี่ดีไหมคะ ยายสาบอกว่าหนูแต่งสีนี้ขึ้น”
“จริงด้วย ต๊าย ยายสาก็มีหัวทางนี้เหมือนกัน เฮ้อ เสียดาย ถ้าได้ยายสามาอยู่ที่นี่กับหนูอีกคนก็ดี”
“ดียังไงคะ”
“ก็คุณชายเล็ก คุณชายคนสุดท้อง ยังตัวเปล่าเล่าเปลือยน่ะซีจ๊ะ”
ศรีจิตรานิ่งไป

ชายรองเดินลงมาจากชั้นบน หม่อมอำพันนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง โดยมีนมย้อยนั่งปักผ้าอยู่เป็นเพื่อน เจียมกับน้อมนั่งดูทีวี อำพันมองดูเครื่องแต่งตัวของกิตติแล้วยิ้มสมใจ
“อ้อ ชายรอง เด็จป้ามีรับสั่งให้เธอไปร่วมโต๊ะเสวยด้วยนะ คืนนี้” อำพันบอก
“ผมคนเดียวหรือครับ” ชายรองถาม
“ก็คนเดียวน่ะซี จะต้องให้ใครไปด้วยล่ะยะ เธอมันคนสำคัญอยู่คนเดียวนี่”
ชายรองขมวดคิ้ว ย้อยกับเจียมมองอย่างเห็นใจ จรวยหูผึ่ง
“มีอะไรหรือฮะ คืนนี้มีแขกสำคัญหรือ” กิตติถาม
“สำคัญย่ะ แต่ไม่ใช่แขก คืนนี้เสด็จทรงเลี้ยงรับว่าที่หลานสะใภ้” อำพันว่า
ชายรองรู้สึกโกรธวูบขึ้นมา
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมเลย”
“ไม่เกี่ยวยังไงยะ เขาจะมาแต่งกับเรา เราก็ต้องสนใจเขาบ้าง”
“แต่ค่ำนี้ ผมนัดกับหญิงก้อยไว้แล้ว”
“นัดได้ก็เลิกได้ ฉันอยากจะเตือนเธอเป็นครั้งที่ร้อยว่า เสด็จป้าไม่ทรงโปรดหญิงก้อย”
“หญิงก้อยไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไร หญิงก้อยพลาดไปเพราะอ่อนต่อโลก” กิตติบอก
“อ่อนต่อโลก หรือ เจนโลกย์กันแน่ยะ” อำพันแขวะ
ชายรองเม้มปาก
“ไม่ว่ายังไง หญิงก้อยควรมีโอกาสได้แก้ตัว”
“การแก้ตัวน่ะทำได้หลายทาง ไม่จำเป็นต้องมาแก้ตัวโดยการแต่งงานกับเธอเพราะตอนนี้ เธอน่ะ เป็นของต้องห้ามไปแล้ว”
อำพันลุกขึ้นแล้วสะบัดพรืดไป ชายรองนิ่งอั้น ย้อยกระซิบ

“โทรศัพท์ไปเลื่อนนัดคุณหญิงก่อนเถอะค่ะ”

ท่านจันทร์ประทับดูโทรทัศน์ หม่อมวาณีนั่งอยู่กับศศิรัชนีกำลังปอกผลไม้ลงแช่น้ำเกลือ
 
หญิงก้อยอยู่ในชุดอยู่กับบ้านกรุยกรายกำลังพลิกดูแมกกาซีนอยู่บนโซฟาตัวยาว
“คืนนี้หญิงไม่ไปไหนหรือจ๊ะ” วาณีถาม
หญิงก้อยลดหนังสือลงแล้วทำหน้าเบื่อ
“คุณรองนัดหญิงไปเที่ยวคลับค่ะ แต่หญิงเบื่อจังเลย”
“ทำไมล่ะจ๊ะ” วาณีสงสัย
“คุณรองไม่ได้สนุกไปกับหญิงด้วยน่ะซีคะ คืนก่อนหญิงเต้นระบำกับยายวิรงรองสนุกจะตาย แต่คุณชายรองกลับนั่งหลับ”
“ยายวิรงรอง คงไม่มีใครอยากสังสรรค์ด้วยล่ะมัง เพราะเธอถนัดเอาข่าวซุบซิบไปลงคอลัมน์”
“ยายติ่งเป็นเพื่อนหญิงนะคะพี่กลาง”
“ดีนะ คบยายนี่เป็นเพื่อน ทั้ง ๆ ที่มันเอาข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของแกไปลงหากิน ทั้งเรื่องหย่าผัว แล้วกลับมาคบคนรักเก่าหวังจะได้เป็นผัวใหม่”
หญิงก้อยโกรธจึงเม้มปากแน่น
“แกโง่จนดูไม่ออกเหรอ ว่านังเพื่อนคนนี้มันหากินกับข่าวฉาว ๆ ของแก”
หญิงก้อยชะงักด้วยอาการโกรธแต่ยิ้ม หม่อมวาณีตกใจ ศศิรัชนีนิ่ง
“หญิงก็ชอบที่จะเป็นข่าวฉาว ๆ นี่เพคะ มันสนุกออก”
“งั้นแกก็ควรจะเลิกคิดจะเป็นสะใภ้จ้าวให้วุฒิวงศ์ได้แล้ว เพราะนั่นเขาผู้ดีแท้ ไม่ใช่ไพร่เหมือนแก” ท่านจันทร์บอก
“หญิง ท่านเพคะ”
ท่านจันทร์อยากจะพูดต่อก็ชะงักแล้วเมิน หญิงก้อยโกรธตัวสั่นจึงลุกจะกลับชั้นบน โทรศัพท์ดังขึ้น หญิงก้อยชะงัก ศศิรัชนีรีบรับขึ้นมา
“ฮัลโหล วังรัชนีกุลค่ะ”

ชายรองกำลังพูดโทรศัพท์
“คุณกลางสวัสดีครับ ขอสายหญิงหน่อยนะครับ” ชายรองพูด
“ค่ะ คุณรอง”
ศศิรัชนีส่งโทรศัพท์ให้แต่หญิงก้อยนั่งรอ ศศิรัชนีต้องเดินเอาโทรศัพท์มาให้ถึงโซฟา หญิงก้อยนอนเอนพูดโทรศัพท์ ท่านจันทร์ยิ่งขัดตา
หญิงก้อยเสียงสั่นด้วยความโกรธ “ฮัลโหล คุณรองจะออกมาแล้วหรือคะ รีบมารับหญิงเดี๋ยวนี้เลย”
“หญิง วันนี้ผมต้องผิดนัดหญิงแล้ว”
หญิงก้อยเสียงดังลั่น “อะไรนะคะ”
หญิงก้อยร้องเสียงแหลมก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่ง วาณียิ่งห่วง ศศิรัชนีนั่งปอกผลไม้ต่อ
“เด็จป้ามีรับสั่งให้ผมไปร่วมโต๊ะเสวยด้วย” ชายกลางบอก
“เสด็จรับสั่ง” เทพีเพ็ญแสงทวน
“หญิง หญิงไม่โกรธผมนะ หญิงก็ทราบดี”
เทพีเพ็ญแสงพูดแทรก “ค่ะ หญิงทราบดีว่าประกาศิตของเด็จป้าต้องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น”
ชายรองเหนื่อยใจแต่ก็ยังวิงวอน
“หญิง ผมขอแก้ตัวพรุ่งนี้นะครับ”
“หญิงไม่ทราบค่ะ หญิงจะไปวันนี้”
เทพีเพ็ญแสงเน้นเสียง ท่านจันทร์กับหม่อมวาณีมอง ศศิรัชนีหยุดมือ
“หญิง”
“หญิงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงไม่ยอมเป็นแม่สายบัวแต่งตัวค้างหรอกค่ะ” หญิงก้อยบอก
ท่านจันทร์มองชุดอยู่บ้านของเทพีเพ็ญแสงหัวจรดเท้า
“หญิงจะไปยังไงคนเดียว”
“อย่าห่วงเลยค่ะ ยังมีใครอีกเยอะแยะที่เต็มใจพาหญิงไป สวัสดีค่ะ”
หญิงก้อยวางหูทันที ชายรองถอนใจวางหูลงช้าๆ วาณีถลามาหาลูกสาวคนโปรด
“โธ่ หญิงทำไมพูดกับคุณรองอย่างนั้นล่ะลูก” วาณีบอก
“หญิงไม่ชอบคนไม่รักษาคำพูดค่ะ หญิงเกลียดคนโกหก”
“แล้วใครกันที่โกหกว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว แล้วใครล่ะที่รักษาคำพูด โดยการไปแต่งงานกับไอ้เศรษฐีใหม่ที่เพิ่งเจอกันแค่เดือนเดียว” ท่านจันทร์โมโห
หญิงก้อยตาวาวลุกพรวดขึ้น แล้วร้องกรี๊ดยาว ผลักแจกันล้มลงแตกกระจาย ท่านจันทร์ผุดลุกขึ้น
หญิงก้อยหมุนตัวร้องกรี๊ดอีกวิ่งซอยเท้าขึ้นชั้นบนไป ท่านจันทร์ผวาตาม หม่อมวาณีคว้าแขนดึงไว้ รื่นกับโรยวิ่งเข้าประตูมามองอย่างงงๆ แล้วคุกเข่าลง
“ดู ดู มัน ร้องกรี๊ดกร๊าดเหมือนกับพวกตลาดไม่มีผิด”
“โธ่ ท่านเพคะ อย่าทรงดุด่าลูกอีกเลย หญิงคงเสียใจมาก แต่ก่อนไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้”
ศศิรัชนีถอนใจก่อนจะวางมีดลง
“จริงหรือคะ หม่อมแม่”
วาณีชะงักเพิ่งนึกออก
“ตอนเด็กๆพอไม่ได้ดั่งใจ หญิงก็จะอาละวาดร้องกรี๊ดๆแบบนี้ล่ะค่ะ”
ท่านจันทร์ถอนใจนั่งลง
“ตอนนั้นหญิงน่ารักเหมือนตุ๊กตา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีคนเห็นว่าน่ารักไปเสียหมด”
ท่านจันทร์อึ้ง หม่อมวาณีนั่งลงตามพลางเหลือบมองศศิรัชนีว่ากำลังแขวะหรือเปล่า แต่ศศิรัชนีหน้าเฉยก่อนจะเรียงผลไม้ลงในจานแก้วต่อ

ชายเล็กเดินลงบันไดมาเห็นชายรองพูดโทรศัพท์อีกครั้ง นมย้อย น้อมกับเจียมฟังอย่างลุ้นไปด้วย
“คุณกลางช่วยบอกหญิงก้อยทีนะครับว่าผมจะแวะไปหาแต่เช้า ครับ ครับ สวัสดีครับ”
ชายรองวางหูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไงฮะ มีนัดกับหญิงก้อยหรือฮะวันนี้” ชายเล็กถาม
“ใช่ แต่ว่าต้องเข้าเฝ้าเด็จป้า เลยต้องโทรไปแคนเซิล” ชายรองบอก
“อ้าว หญิงก้อยไม่อาละวาดตายหรือครับ”
ชายรองชะงักมองหน้าชายเล็ก ชายเล็กทำหน้าเฉย
“เฮ้อ ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องคลุมถุงชนแบบนี้ด้วยนะ ทำไมเด็จป้าต้องเลือกฉัน ทำไมไม่เลือกนาย”
“เด็จป้าทรงทราบน่ะซีฮะว่า ถ้าจับผมลงถุง ถุงก็ขาดหมดแน่ๆ”
“แกน่าจะไปดูตัวเขาแทนฉัน เผื่อจะอยากเป็นเจ้าบ่าวแทนฉันบ้าง”
“อ้าว ไหงยังงั้น”
ชายรองเดินอารมณ์เสียออกไป ชายเล็กหันมาหานมย้อยแล้วก็นั่งลงด้วยกัน เจียมกับน้อมฟังความ
“พี่รองเป็นอะไรไปฮะ พาลรีพาลขวางไปหมด” ชายเล็กบอก
“จะอะไรล่ะคะ ก็เสด็จให้ไปเฝ้าน่ะซี คงจะให้ไปรู้จักหนูศรีน่ะแหละ” ย้อยว่า

“หนูศรี แน่ะ นมเรียกซะสนิทสนมเชียว”

นมย้อยยิ้มภาคภูมิ เจียมพยักเพยิด
 
“ก็นมได้ไปรู้จักตัวแล้วน่ะซีคะ เธอสวยมากนะคะ”
ชายเล็กอมยิ้ม
“ผมรู้ฮะ”
“เจ้าประคู๊ณ ขอให้เหมือนอิเหนาเจอหน้าบุษบาทีเถอะ”
“ยังไงหรือฮะ”
“แม่น้อมเล่าซิ”
“ก็อิเหนาหมั้นกับบุษบา แต่ไปเจอนางจินตหราเข้าก็หลง ไม่ยอมเจอหน้าบุษบาไงคะ”
“โอ้โฮ นี่มันเรื่องพี่รองชัดๆเลยนี่ฮะ แล้วยังไงฮะ”
“จนกระทั่งเกิดศึกสงคราม อิเหนาต้องไปช่วยรบ ก็ถึงได้เจอหน้าบุษบาเป็นครั้งแรก”
“แล้วยังไงฮะ”
ย้อยอมยิ้มแล้วพูดกลอน
“หันไปรับไหว้นางเทวี ภูมีดูนางไม่วางตา”

ศรีจิตราสวมชุดสีส้มที่เตรียมไว้ก่อนจะมองดูเงาสะท้อนในกระจก สอางค์บรรจงปักกิ๊บเพชรวูบวาบที่ผม มาลากับวรรณาคุกเข่ากับพื้นจัดแจงดึงชายกระโปรงให้ไม่มีรอยยับ สองนางท่องกลอนต่อเนื่อง
“งามจริงดังเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นนักหนา” มาลาว่า
“เสโทหลั่งไหลทั่วกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป ฮิ ฮิ” วรรณาขัน
ศรีจิตรายิ้มเย็นๆ มาลากับวรรณาหัวเราะคิกคัก
“นี่ แม่สองคนจะคิกคักอะไรกันนักหนา”
“ก็วันนี้อิเหนาจะเจอบุษบาเป็นครั้งแรกนี่คะ”
“แต่ไม่รู้ว่าคุณชายรองจะเหงื่อแตกพลั่ก แล้วเพ้อปล้ำสียะตราหรือเปล่านะคะ”
“ว้าย หล่อนสองคนพูดอะไร”
สอางค์จับศรีจิตรามาพิศดู
“แต่ก็จริง หลานสาวฉันงามเหมือนบุษบา พ่ออิเหนาคงลืมแม่จินตหราได้เสียทีล่ะทีนี้”
ศรีจิตราขมวดคิ้ว
“จินตหรา มีจินตหราจริงๆใช่ไหมคะ”
“ว้าย ไม่มี จินตหราอะไรไม่มี กลอนมันพาไปน่ะลูก”
มาลากับวรรณาอยากพูดเต็มแก่ สอางค์ถลึงตา ศรีจิตราหันมามองเงาตัวเองใหม่ด้วยสีหน้าแน่ใจว่าต้องมีจินตหราอยู่แน่ๆ

เสด็จลุกบอกเดินไปดูโทรทัศน์ก่อน
“งั้นเราไปดูโทรภาพรอก่อนดีกว่า”
เสด็จประทับบนตั่ง โทรทัศน์เครื่องใหญ่เปิดไว้ นางข้าหลวงทั้งวังแห่กันมาคล้ายมาดูโทรทัศน์
ศรีจิตรา สอางค์ มาลา วรรณานั่งเด่น และนางข้าหลวงซุบซิบกัน
นาฬิกาบอกเวลา 20.00 น. เสด็จยังคงเป็นปรกติ สอางค์มาเพ็ดทูลใกล้ๆ เริ่มชะเง้อเหลียวหน้าเหลียวหลัง มาลา และวรรณาเริ่มเข้าไปถวายงานพัด พลางสบตากันทำปากขมุบขมิบว่าทำไมยังไม่มา ศรีจิตรามองดูโทรทัศน์นิ่ง
นาฬิกาบอกเวลา 20.30 น. เสด็จยังคงปรกติ สอางค์เหลียวหน้าเหลียวหลัง หน้าหงิกลงทุกที มาลา วรรณาตาปรือ มือยังกำพัดไว้แต่ไม่โบก นางข้าหลวงเริ่มง่วงเหงาหาวนอน บางนางหาวเห็นลิ้นไก่ บางนางขยับพิงฝา บางนางพิงเสา ศรีจิตรามองดูโทรทัศน์ สีหน้าปรกติ ดวงตามีแววหวั่นไหวไม่แน่ใจ
นาฬิกาบอกเวลา 20.45 น. เสด็จยังทอดพระเนตรดูโทรทัศน์นิ่ง ศรีจิตรามองดูโทรทัศน์ แต่สมองอึงอลด้วยข้อมูลใหม่
คำพูดในอดีต สอางค์เผลอพูดเรื่องจินตหรา
“หลานสาวฉันงามเหมือนบุษบา พ่ออิเหนาคงลืมแม่จินตหราได้เสียทีล่ะทีนี้”
ศรีจิตราถาม “จินตหรา มีจินตหราจริงๆใช่ไหมคะ”
“ว้าย ไม่มี จินตหราอะไรไม่มี กลอนมันพาไปน่ะลูก”
ศรีจิตราหน้านิ่งก่อนจะลอบถอนใจนิดๆ
ท่ามกลางหมู่นางข้าหลวงง่วงเหงาหาวนอน กิตติในชุดลำลองอยู่บ้านเดินผ่านตรงไปยังตั่งเสด็จ ผ่านหลังศรีจิตรา เขาก้าวไปถึงตั่งแล้วทรุดลงกราบกับพื้น
“มาแล้วหรือ ตารอง” เสด็จถาม
“พะย่ะค่ะ”
สอางค์เพิ่งรู้ตัว มาลา และวรรณาสะดุ้งเฮือก ตาที่หรี่ลืมโพรง นางข้าหลวงทั้งห้องสะกิดปลุกกันเป็นทอด ๆ ศรีจิตราตื่นจากภวังค์ สอางค์มองเขม้น ศรีจิตราหันมาช้าๆมองไปเห็นกิตตินั่งพับเพียบกับพื้นคุยกับเสด็จอยู่โดยหันหลังไว้ไม่เห็นหน้า
“ศรีจิตรา มานี่ซิ”
ศรีจิตราคลานเข่าเข้าไป ชายรองยังคงไม่หันมา สอางค์ลุ้นเต็มที่ มาลา และวรรณาเงื้อพัดค้าง บรรดานางข้าหลวงทุกนางจ้องเป๋ง ศรีจิตราเข้ามาใกล้ตั่งโดยสะทกสะท้านนิดหนึ่ง ชายรองยังไม่หันมา เสด็จยิ้มอย่างปรานี
“รู้จักกันไว้ ศรีจิตรานี่ชายรอง ชายรองนี่ศรีจิตราลูก”
ชายรองค่อยๆหันมา สอางค์ลุ้น มาลา วรรณาหอบหายใจ นางข้าหลวงใกล้ไกลชะเง้อ
มาลาพูดเบาๆ “เหลียวไปรับไหว้นางเทวี”
“ภูมีดูนางไม่วางตา”
ชายรองหันมามองศรีจิตราอย่างปรกติ มีแววเย็นชานิดหนึ่ง ศรีจิตรามองใบหน้าสงบเยือกเย็น ยกมือไหว้ชายรอง ชายรองรับไหว้
ชายรองพูดอย่างเย็นชา “ยินดี ที่ได้รู้จัก”
ชายรองเมินก่อนจะหันไปหาเสด็จใหม่ ศรีจิตราทำหน้าเฉย นางข้าหลวงใหญ่น้อยผิดหวัง มาลา วรรณาพัดหลุดมือ สอางค์ผิดหวังเกินใคร ชายรองนิ่ง ศรีจิตรายิ้มเย็นๆนิดหนึ่ง

ศรีจิตรานั่งทานอาหารอยู่ตรงข้ามชายรอง ชายรองพูดคุยกับเสด็จโดยแทบไม่ได้แลมาทางศรีจิตราเลย สอางค์มีสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรงก่อนจะมองไปทางศรีจิตราอย่างเอาใจช่วย มาลากับวรรณามองหน้ากันอย่างเซ็งจิต
“วันไหนว่าง ๆ ก็พาศรีจิตราไปเที่ยวตำหนักเล็กบ้าง จะได้ไปทำความรู้จักกับทางหม่อมอำพัน ทางพี่ชาย น้องชายเธอไว้”
“พะยะค่ะ”
“วันไหนว่างก็บอกมานะคะคุณรอง ป้ากับมาลา วรรณา จะไปเป็นเพื่อนหนูศรีด้วย”
ชายรองหันมาทางศรีจิตรา ศรีจิตราหลบตา ชายรองพูดเสียงเรียบ ๆ
“คงจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์น่ะครับ” ชายรองพูดกับศรีจิตรา “เธอว่างเมื่อไหร่ก็บอกไปก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
ชายรองหันไปคุยกับเสด็จต่อ ศรีจิตรากลืนอาหารแทบไม่ลง สอางค์ถอนใจ เสด็จมองดูอย่างสังเกต

ในห้องโถงเหลือเพียงชายเล็กที่อยู่หน้าโทรทัศน์ ชายรองเดินเย็นชาเข้ามา
“ไง พี่รอง”
“อะไร”
“ก็ว่าที่ พี่สะใภ้ผมน่ะซี”
“เหมือนหุ่น” กิตติว่า
ชายรองนั่งลงบนโซฟา บดินทร์นั่งตาม
“แปลว่าอะไรครับ สวยเหมือนหุ่นนางละคร หรือว่าไม่มีชีวิตชีวาเหมือนหุ่น”
“ถูกทุกข้อ”
“สวยเหมือนหุ่นนี่ผมพอจะนึกออก แต่ไม่มีชีวิตนี่มันประมาณไหนกันครับ”
“ก็เขาทำหน้านิ่งๆเฉยๆอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่มีปากมีเสียงอะไร”
“ยังไงครับ”
“ก็เขาแทบไม่พูดอะไรเลย นอกจากเพคะ กับค่ะน่ะซี”
ชายเล็กยิ้ม เขาเกาแก้มตัวเองแล้วพูดเบาๆ
“ไม่ยักกะเหมือนน้องสาวแฮะ”
“อะไรนะ น้องสาวไหน”

“ไม่มีอะไรครับ”

ศรีจิตราเดินกลับเข้าห้องมา ลงนั่ง คิดๆลุกเดินไปมองที่หน้าต่าง แล้วเบนสายตาไปนอกหน้าต่าง
 
เธอเห็นตำหนักเล็กค่อนข้างมืด มีไฟสว่างที่ห้องกิตติชั้นบนเท่านั้น ศรีจิตราครุ่นคิด ไฟในห้องชายรองดับวูบลงศรีจิตรามองดูเงาตัวเองแล้วก็น้ำตาไหลพราก

วันต่อมา นายยอดเช็ดรถของบดินทร์อยู่ ชายเล็กเดินมาแล้วก็ชะงัก
“อ้าว เฮ้ย ลืมอีกแล้ว” ชายเล็กบอก
“อะไรครับ” ยอดถาม
“ฉันลืมตะกร้าขนมอยู่ที่เทอเรซน่ะ นายช่วยไปเอามาที”
“ครับ คุณชาย”
ยอดเดินไป ชายเล็กแบมือ
“จะลงมือเองเหรอครับ” ยอดถาม
“ใช่”
ยอดวางผ้าเช็ดรถให้ในมืออย่างพินอบพิเทาแล้วจึงเดินไป ชายเล็กเช็ดรถต่ออย่างทะมัดทะแมง
ศรีจิตราถือขันใส่ดอกไม้เดินเก็บดอกไม้มาเรื่อยๆ เธอเห็นชายเล็กเข้าก็ชะงัก ชายเล็กเช็ดกระจกข้างแล้วจึงเห็นเงาสะท้อนศรีจิตราในกระจก ชายเล็กยิ้มแป้นหันขวับมา
“แน่ะ คุณ”
ศรีจิตราสะดุ้งแล้วขันก็ตกจากมือจนดอกไม้กระจายเกลื่อน
“อุ๊ย”
“คุณมาแอบดูผมหรือ”
ชายเล็กเดินตรงมาหา ศรีจิตราขยับถอยหลังก่อนจะเชิดหน้านิดหนึ่งด้วยใบหน้าที่สงบเย็น
“ฉันไม่ได้มาแอบดูใคร ฉันมาเก็บดอกไม้”
“แต่ดอกไม้ของคุณคลุกฝุ่นหมดแล้ว”
ชายเล็กทรุดลงเก็บขันแล้วเก็บดอกไม้ที่หล่นใส่ขันอย่างทะนุถนอม ศรีจิตรานั่งลงหยิบดอกไม้ใส่
ฝ่ามืออีกข้าง
“ฉันเก็บเองได้ ขอบใจ”
ศรีจิตรายื่นมือไปยังดอกไม้ดอกหนึ่ง พอดีกับชายเล็กที่ยื่นมือมาหยิบดอกนั้นเหมือนกัน ชายเล็กเลยคว้ามือศรีจิตรา ศรีจิตราตัวชาวาบ ชายเล็กงงไปเล็กน้อยเพราะเคยเจอแต่สาวสมัยใหม่ ศรีจิตราดึงมือออก ลุกขึ้นยืน แล้วถอยไป
“นี่ คุณ” ศรีจิตราโมโห
“โธ่ คุณ มันบังเอิญน่ะครับ ผมไม่ได้คิดแต๊ะอั๋งคุณนะ” ชายเล็กบอก
“ค่ะ ฉันจะพยายามเชื่อ”
ศรีจิตราทำเย็นชาเดินกลับไป ชายเล็กยืนถือขันมองตาม นายยอดวิ่งมาถือตะกร้ามาด้วย
“ได้แล้วครับ คุณชาย”
“อืม ขอบใจ”

มาลากับวรรณานั่งเอาเท้าแช่น้ำในสระบัวเล็กๆ
“เมื่อคืน ฝันดี๊ดี” มาลาบอก
“ฝันว่าอะไรยะ” วรรณาถาม
“ฝันว่าฉันเป็นบุษบาลงเล่นธารน่ะซียะ”
“ว้าย แล้วมีอิเหนามาแอบดูหรือเปล่า”
“ถ้ามีก็คงแอบอยู่หลังพุ่มไม้โน่น เอ๊ะ”
พุ่มไม้แหวกออก ยอดโผล่หน้ามา มาลากับวรรณาร้องกรี๊ด
“ว้าย คุณพระ” วรรณาอุทาน
“ไม่ใช่คุณพระ ดำอย่างงี้เค้าเรียกจรกา” มาลาว่า
“นายยอดเป็นบ้าอะไร อยู่ดีๆก็โผล่พรวดเข้ามา”
“นี้มันขันของคุณศรีนี่”
“ผมจะเอามาคืนคุณศรีครับ”
ยอดทำตาปริบๆ ในมือของเขาถือขันดอกไม้ของศรีจิตรา

มาลากับวรรณาถือขันดอกไม้เดินบ่นบ้ามา
“ลักษณาผมหยักพักตร์เพรียง” มาลาว่า
“นายยอดนี่มันดำเหมือนจรกาจริงๆนะเธอ” วรรณาบอก
ทั้งสองนางเดินขึ้นมาบนศาลากลางสวนก็เห็นศรีจิตรานั่งอยู่ก็เอาขันเข้าไป
“คุณศรีขา นายยอดเอาขันดอกไม้มาคืนค่ะ”
“แล้วคุณศรีไปลืมไว้ได้อย่างไรคะ”
“ไม่ได้ลืมหรอกค่ะ แค่ทิ้งไว้ว่าจะกลับไปเอาทีหลัง เอ้อ คนรถตำหนักเล็กชื่อนายยอดหรือคะ”
“ค่ะ”
“คุณศรีรู้จักนายยอดด้วยเหรอคะ”
“นายยอดเคยขับรถไปส่งคุณป้าสร้อยที่บ้านคราวนึงน่ะค่ะ ก็เลยเคยเห็นหน้ามาก่อน”
มาลากับวรรณาทำท่าสยิว
“อุ๊ย หน้าเจ้ายอดนี่จำง่ายค่ะ” มาลาพูด
“เห็นหน้า แล้วเอาไปฝันร้าย ฮิ ฮิ ฮิ” วรรณาบอก
ศรีจิตราพยักหน้า
“เอ ทำไมล่ะคะ นายยอดเขาก็หน้าตาดีเหมือนกันนี่คะ เฮ้อ ขอตัวก่อนนะคะ”
ศรีจิตราถือขันลุกไป มาลากับวรรณาหัวเราะกัน
“ว้าย คุณศรีนี่ช่างประชดประชันเหมือนกันนะนี่” มาลาว่า
“นั่นซี ดำเป็นเหนี่ยงเชียว” วรรณาบอก
“ขอตัวก่อนนะคะ” ศรีจิตราลุกขึ้นเดินออกไปอย่างงงๆ

ตะกร้าขนมใบใหญ่ถูกวางไว้นอกชาน คุณตากับคุณยายนั่งอยู่ ชกยเล็กนั่งเก็บมือเก็บเท้าเรียบร้อย สาลินนั่งห่างออกมาแล้วหันไปที่ระเบียง เจ้าแกะกำลังไสรถของเล่นคันใหม่อยู่ที่ระเบียง ตาผลคลายจุกขวดเหล้านอกสูดกลิ่น ยายพิณกำลังคลี่ผ้าไหมอย่างพึงพอใจ สาลินทำจมูกย่นๆ ก่อนจะเปรยเบาๆ
“อีตานี่ ติดสินบนทีเดียวทั้งบ้าน”
“วันนี้แม่ย้อยทำขนมครับ ผมก็เลยขอแบ่งมาฝากคุณตา คุณยาย นี่ขนมค้างคาวครับ นี่ขนมทองเอก มีปิดทองด้วยครับ”
“ช่างทำ ช่างประดิดประดอยจริงๆ”
“เออนะ ของบางอย่างเคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งได้เห็นจริงๆก็วันนี้ ขนมชาววังนะเนี่ย”
“แม่ย้อยคุณเป็นชาววังเหรอคะ” สาลินถาม
“ครับ เลี้ยงผมในวังมาตั้งแต่เล็ก”
“คุณถูกเลี้ยงในวังเหรอ” สาลินถามต่อ

ชายเล็กหน้าเหวอ ทุกคนมองเขม้น


จบตอนที่ 4 
กำลังโหลดความคิดเห็น