สะใภ้จ้าว ตอนที่ 1
ท้องฟ้าสีครามสด เมฆขาวกลุ่มใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาบดบังแสงตะวัน ...
“สาลิน” นั่งเหม่อมองสายน้ำ พลางคิดถึงถ้อยคำที่นักปราชญ์เคยกล่าวไว้
“คนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิต.....จริงหรือที่เรากำหนด ชีวิตของเราเองมิได้ ทุกสิ่งขึ้นกับพรหมลิขิตจะดลบันดาลให้เป็นไป”
สาลินนั่งคร่อมอยู่บนกิ่งมะม่วงสูงลิบลิ่ว “ศรีจิตรา” ผู้เป็นพี่สาว ถือตะกร้าคอยรับมะม่วงที่เธอสอยลงมา
ครู่หนึ่งร่างบนกิ่งมะม่วง ก็ร้องเอะอะโวยวาย จะตกมิตกแหล่ กระทั่งสุดท้ายก็ร่วงลงมากองใต้ต้นมะม่วง
“โอ๊ย พี่ศรี ช่วยด้วย”
“ยายสา บอกแล้วไงให้ระวัง”
สาลินคิดต่อจากคำพูดของนักปราชญ์ “แต่มันเกิดขึ้นกับชีวิตของฉันและพี่สาวจริงๆ เรา 2 คนเป็นเพียงแค่หญิงบ้านสวน แต่วันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นตลกให้เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคุณชายทั้งสามแห่งวังวุฒิเวสม์ อย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว”
ภาพน่ารักของ 2 สาวพี่น้อง ค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนที่ภาพตำหนักใหญ่ของวังวุฒิเวสม์ ที่ใหญ่โต งดงามเข้ามาแทนที่
ภายในตำหนักอันโอ่อ่า เสด็จพระองค์หญิงประทับอยู่บนตั่ง มี “ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์ “ หรือ “คุณชายโต” , “ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์ “ หรือ “คุณชายรอง” และ “ม.ร.ว. บดินทราชทรงพล” หรือ “คุณชายเล็ก” นั่งอยู่บนพื้นตรงหน้า
เสียงสาลินเล่าถึงคุณชายโต ม.ร.ว.ดิเรกราชวิทย์ ที่อ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาภายในห้องนั่งเล่นที่ตำหนักเล็ก
“คุณชายโต รูปงาม เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อยู่ในศีลในธรรม”
จังหวะนั้นนางข้าหลวงที่ชื่อจรวย ที่กำลังคุกเข่าถูพื้น เกิดทำคอเสื้อหย่อนจนอกเกือบผลัดออกมา คุณชายโตตาค้าง ขยับแว่นดู จรวยทำตาแป๋วไม่รู้ไม่ชี้ เงยหน้าสบตาคุณชาย
สาลินเล่าต่อถึงคุณชายเล็ก ม.ร.ว.บดินทราชทรงพล
“ตรงกันข้ามกับคุณชายเล็ก ที่ปราดเปรียว ปรู๊ดปร๊าด รักสนุก แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลย”
ณ อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งที่เมืองนอก กำลังมีปาร์ตี้สุดเหวี่ยงแบบยุค 60 อยู่ริมสระว่ายน้ำ คุณชายเล็กแต่งตัวแบบจิ๊กโก๋ ผมหวีเสยชะโงก กำลังเต้นทวิสต์คลอเคลียกับแหม่มสาวในชุดบิกินี 5-6 คน ก่อนจะถูกแหม่มแย่งกันดึงตัวเข้ามาจูบ บ้างก็กระชากเสื้อ ดึงกางเกงตรงขายาวออกกลายเป็นขาสั้น แล้วผลักเขาตกตูมลงสระ
คุณชายเล็กผุดขึ้นจากน้ำ พอเจอแหม่มแสนสวยนอนบนเบาะพลาสติกเป่าลม ก็ว่ายไปเกาะ แล้วส่งตาหวานให้ แหม่มหัวเราะระริก ก่อนจะถูกคว่ำเบาะมาคลอเคลียในน้ำ
สาลินเล่าต่อถึงคุณชายรอง ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์
“ส่วนคุณชายคนกลาง ที่เรียกกันว่าคุณชายรองนั้น เธอถือตัว เย็นชา”
ภาพคุณชายรองคุกเข่าคุยกับยายแก่ แม่ค้าหาบเร่ขายของเล่นจักสานริมถนน
“วางท่าเป็นผู้ดี ทำตัวไม่ติดดิน เหมือนเตรียมตัวเป็นท่านทูตผู้สูงศักดิ์อยู่เสมอ”
คุณชายรองกับศุภรนั่งกินขนมอยู่ข้างทางริมถนน
สาลินยังเล่าต่อ “ที่ฉันและพี่สาวต้องเข้าไปเกี่ยวดองกับคุณชายทั้งสาม”
ศรีจิตรากับสาลิน 2 สาวพี่น้อง แต่งเครื่องตัวนางกำลังรำอยู่ เครื่องทรงดูวิบวับ
“เพราะเราถูกกำหนดให้เป็น “สะใภ้จ้าว” ของคุณชายคนใดคนหนึ่งนั่นเอง ใครกันนะที่จะครอบครองหัวใจของเรา พรหมลิขิตเท่านั้นหรือที่จะตอบคำถามนี้ได้”
ต้นไม้ใหญ่ยื่นกิ่งก้านแผ่ลงในน้ำ มีเรือพายขายขนมพายมาตามคลอง ทันใดนั้นก็มีเงาวูบมาจากเบื้องบนโฉบวูบไป ขนมห่อใบตองทั้งถาดหายไปด้วย อาแปะพ่อค้าเอะใจหันขวับมาดู
“ไอ๊หยา”
อาแปะหันรีหันขวางแล้วเงยดู เห็นบนกิ่งไม้ที่ทอดขนานกับผิวคลอง มีฝูงเด็ก 4-5 คนรวมทั้งเจ้าแกะ
นั่งแกะใบตองกินขนมอยู่
“ไอ๊หยา ไอ้เด็กขี้ขโมย เค้าเป๋อ้า”
ทันใดก็มีร่างร่างหนึ่งห้อยตัวพรวดลงมา เอาหัวลง หน้าอยู่ในระดับเดียวกับอาแปะ
“ซำปอกงช่วย....”
สาลินที่เอาเถาวัลย์เหนี่ยวพันขาไว้ ห้อยหัวลงยิ้มแป้นกับอาแปะ
“ไม่ใช่ซำปอกงค่ะ หนูเอง อาแป๊ะ”
“อาหนูสา”
อาแปะถอนหายใจอย่างอ่อนใจ แต่นบนอบพอควร เพราะเช่าที่ปลายสวนอยู่
“อาแป๊ะ ไปเก็บเงินที่คุณยายนะคะ”
อาแปะยิ้มเซ็งๆ ก่อนจะพยักหน้า แล้วออกเรือพายต่อไปยังศาลาท่าน้ำ สาลินโยนตัวเพื่อไปยังกิ่งไม้ใหญ่ที่ลูกสมุนรออยู่เต็ม ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะคลายเท้าจากเถาวัลย์ กลับตัวลงยืนบนกิ่งไม้ จนสะเทือนไหว แล้วลงนั่งรวมกับกลุ่มสมุน
“ไหน เหลือกี่ห่อ”
เจ้าแกะทำตาปริบๆ แล้วส่งขนมให้ ในถาดเหลือขนมใส่ไส้อยู่ห่อเดียว สาลินตาคว่ำ คว้ามาแกะเข้าปาก
ทันใดมีเสียงลั่นเปรี๊ยะ ทั้งหมดสะดุ้งโหยง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็มีเสียงอีกเปรี๊ยะตามมา พร้อมกับกิ่งไม้ใหญ่สะเทือนวูบ สาลินร้องเหวอมือสะบัดถาดลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ แต่กิ่งใหญ่ทั้งกิ่งขาดจากโคน เลื่อนตกพรวดลงในน้ำ บรรดาสมุนร้องกันเซ็งแซ่ ตกลงในน้ำด้วยลักษณาการต่างๆ ถาดสังกะสีเคลือบลอยหวือไปในอากาศ
กิ่งไม้ตกลงน้ำ ลูกสมุนบ้างเอาหัวลง บ้างพุ่งตัวลง บ้างเอาท้องฟาดน้ำ สาลินพุ่งตัวราวนักว่ายน้ำอาชีพจมหายไป
ลูกสมุนโผล่จากน้ำสำลักกระอักกระไอ สาลินโผล่ขึ้นอย่างงดงาม ผมเปียกลู่ราวนางพราย ยิ้มวางท่ากับลูกสมุนว่าไม่มีเภทภัยใดมากล้ำกรายได้
ลูกสมุนยิ้มพยักหน้า เจ้าแกะยกหัวแม่โป้งให้ว่า “เป็นเต้ย”
สาลินยิ้มภาคภูมิ ทันใดถาดก็หล่นจากฟ้าตกเปรี้ยงเข้าเต็มหัว สาลินตากลับจมน้ำหายไป บรรดาลูกสมุนร้องจ๊าก กรูเกรียวกันเข้าช่วย
“คุณสร้อย” สาวใหญ่วัย 55 ร่างบอบบาง มีเค้าความสวย แต่ด้วยความเจ้ายศ เคร่งเครียด ระเบียบจัด ทำให้ดูแก่กว่าวัย กำลังนั่งอยู่บนตั่งมีหนังสือบนตัก กำลังหลับพิงเสามีเสียงกรนเป็นระยะ
ที่พื้นรอบๆ มีศรีจิตรา ซึ่งมีหน้าตาสะสวยราวภาพวาด รวมถึงอุ่นเรือน ยายพิศ กำไล กำลังช่วยกันแกะขิง ปอกหอม กระเทียม ทุกคนชำเลืองดูการกรนของคุณสร้อยแล้วกลั้นหัวเราะ
นาฬิกาตีบอกเวลา 11.00 น. ดังสนั่น จนคุณสร้อยผวา
“แหก”
พอรู้สึกตัว เห็นทุกคนมองเป๋ง ก็รีบยกผ้าเช็ดมุมปาก พร้อมกับถลึงตามอง
“กี่โมงกี่ยามแล้วล่ะนี่ ดู๊ จะเที่ยงแล้วนี้ ทำไมไม่ลงครัว มานั่งลอยหน้าเสนอนวลอยู่ทำไมยะ”
อุ่นเรือนรีบบอก “ก็กำลังจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ คุณพี่”
สร้อยค้อนควัก “ย่ะ นี่แม่ศรี วันนี้แกงสะระหมั่นน่ะ ให้มันถึงกะทิหน่อยนะยะ อย่าให้ใสแจ๋ว
เป็นแกงจืด ชืด ๆ ชา ๆ เหมือนอาม่าบ้านสวน”
อุ่นเรือนสะดุ้งนิดหน่อย เพราะโดนมาบ่อยจนชิน ศรีจิตรายิ้มแย้ม
“แกงคราวที่แล้วใสไปหรือคะ คุณป้า”
“ก็ยังงั้นซิยะ ใสเป็นน้ำล้างหัวล้าน”
กำไลรีบแย้ง “เอ หนูว่าพอดีแล้วนะคะ คุณสร้อย”
ยายพิศช่วยพูด “ยิ่งกะทิข้น พอแป้งในมันออกมาอีก มันจะข้นใหญ่นะคะ”
คุณสร้อยชะงักตาเขียวปัด “อย่ามาสาระแนสู่รู้ เครื่องในวังเขาต้องข้นย่ะ ไป๊ ไป”
ทั้ง 4 คนรับคำ พลางคว้าของที่ทำค้าง แล้วรีบขยับตัว คุณสร้อยพูดต่อ
“นี่แม่ศรีอยู่หน้าเตาน่ะเหมาะกับแกแล้ว เผื่อวันไหนบ้านแตกสาแหรกขาดขึ้นมา แกจะได้มีวิชาไปต้มยำทำแกงขาย ไม่ต้องไปตักอึรดผักให้เหม็นโฉ่เหมือนอาม่าแก”
อุ่นเรือนและศรีจิตรานั้นได้ยินบ่อยจนขำ แต่ยายพิศกับกำไลโกรธแทน
“ค่ะ ขอบพระคุณคุณป้าค่ะ”
ทั้งสี่รีบเดินเลี่ยงออกไป เหลือคุณสร้อยนั่งไว้ยศอยู่ พอได้ยินเสียงกริ่งดังรัว ก็ชะเง้อคอยาว
“นังคนไหนมาอีกล่ะ หาความสงบไม่ได้เลย”
บ้านคุณสร้อยเป็นบ้านทรงปั้นหยาขนาดใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น นายทิมคนสวนและคนรถเปิดประตูออก รถยุโรปหรูแล่นมาจอดเทียบ คนขับจากวังชื่อยอด ลงมาจะเปิดประตูหลัง แต่ไม่ทันที่ประตูเปิดออก “คุณสอางค์”
พี่สาวคุณสร้อย แต่สาวและสวยกว่า ก็วิ่งถลาเข้าไปในบ้าน ผ่านกำไลที่ย่อตัวไหว้โดยไม่สนใจ
ฟากคุณสร้อยเมื่อลมพัดเย็นก็เข้าภวังค์อยู่บนตั่งอีกครั้ง พอคุณสอางค์ถลามานั่งลง ก็สะดุ้งสุดตัว
ตาเบิกโพลง
“แหก”
คุณสอางค์ทำหน้าดุ “ว้าย พูดอะไร น่าเกลียดจริง แม่สร้อย”
ว่าแล้วก็ตีน้องสาวไป 1 เพี้ยะ
“ว้าย คุณพี่สอางค์มาได้ยังไงคะ”
“ก็มาจากวังเสด็จน่ะซิ เสด็จโปรดให้มาตามเธอไปเฝ้า”
คุณสร้อยเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรคะ”
คุณสอางค์มองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบที่หู คุณสร้อยตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน
ณ วังวุฒิเวสม์ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีต้นไม้ร่มรื่น ทางด้านหนึ่งเป็นบึงบัวมหึมา มีถนนคอนกรีตยาวไปถึงตัวตำหนักใหญ่ที่งดงาม วิจิตรบรรจงราวปราสาทในเทพนิยาย เยื้องไปทางด้านหลังมีตำหนักเล็กที่ขนาดย่อมกว่า
บนถนนคอนกรีตสู่ตัวตำหนักใหญ่ รถจากวังวุฒิเวสม์ที่ไปรับคุณสร้อยวิ่งตรงเข้ามา
รถจอดลงยังไม่สนิทดี ประตูด้านหลังก็เปิดผางออก คุณสร้อย คุณสอางค์ลงจากรถคนละด้าน นายยอด ที่ลงมาเปิดประตูไม่ทัน ยืนเกาหัวแกรกๆ
พี่น้อง 2 สาวใหญ่ เดินแกมวิ่งขึ้นบนเทอเรซ มาลา วรรณา นางข้าหลวงคนสนิทวัย 30 เศษ หน้าตา หมดจดมายืนรับพลางยกมือไหว้ คุณสร้อยรับไหว้หน้าเชิดอย่างไว้ตัว
“ไหว้พระเถอะย่ะ แม่วิมาลา แม่เลื่อมลายวรรณ”
สองนางหัวเราะคิกคัก เพราะเรียกกันมาจนแทบมีผัวเป็นชาละวันแล้ว
“เจ้าค่ะ คุณสร้อย”
“เสด็จประทับรออยู่ที่โถงกลางแล้วค่ะ”
ยอดหันมาทำหน้าทะเล้น “สวัสดีจ้า วิมาลา เลื่อมลายวรรณ“
วรรณาค้อนให้ “มาลา วรรณาย่ะ”
มาลาค้อนต่อ “ฉันไม่ใช่เมียตะเข้”
เสด็จพระองค์หญิงที่มีชันษาอยู่ในราว 60 แต่ดูเปล่งปลั่งงดงาม นั่งทรงงานอยู่ในห้อง คุณสอางค์และคุณสร้อยหมอบกราบลง มาลา วรรณาก็กราบด้วย รอบห้องยังมีนางข้าหลวง 10 นางกำลังทำงานดอกไม้อยู่
“มาแล้วหรือแม่สร้อย”
“เพคะ เสด็จทรงพระสำราญดีอยู่หรือเพคะ”
เสด็จยิ้มอย่างใจดี “แก่เฒ่าขนาดนี้แล้ว มันจะสำราญอะไรฮึ”
“วุ้ย ตรัสอะไรเพคะ ยังทรงพระโฉมขนาดนี้”
“ห้องนี้มันมืดน่ะซีจ๊ะ มันยังพอหลอกตาคนได้”
ทั้งคุณสร้อย คุณสอางค์แย้งขึ้นมาพร้อมกัน “วุ้ย เสด็จ”
ทุกคนหัวเราะคิกคักกัน เสด็จทรงยิ้มแล้วยกหัตถ์ห้าม ทุกคนหยุดคิกคักแต่ยังยิ้มอยู่ คุณสร้อยและคุณ
สอางค์ขยับใกล้พระที่ เสด็จสบตาสองสาวแก่ แล้วพยักหน้า
คุณสอางค์รีบหันมาหานางข้าหลวง
“เอ้า แม่คุณทั้งหลาย ใครทำอะไรค้างอยู่ เอางานไปทำที่ระเบียงข้างไป”
“เจ้าค่ะ คุณแม่บ้าน”
นางข้าหลวงทั้งหลายกราบลง แล้วคว้างานฝีมือออกไป 2 พี่น้องรีบขยับมาใกล้เสด็จมากขึ้น
คุณสร้อยรีบบอก “หลานสาวหม่อมฉัน”
เสด็จพูดขัดขึ้นมา “เดี๋ยว”
พลางทอดพระเนตรเลยมา เห็นมาลา วรรณายังคงหมอบฟังตาแป๋ว 2 พี่น้องหันมองตาม แล้วก็สะดุ้ง ตบอกผาง ร้องว้ายเสียงดัง
เสด็จทำตาดุ “นี่ นัง 2 คนมาเบิ่งฟังอะไรอยู่”
คุณสร้อยพูดต่อ “ต๊าย แม่เมียตะเข้ เสด็จทรงให้พวกหล่อนออกไป แล้วมาเยี่ยมหน้าเสนอนวล
อยู่ทำไมยะ”
มาลาเงยหน้ามาเถียง “อ้าว ก็คุณแม่บ้านให้พวกที่ทำงานค้างอยู่ออกไปนี่คะ”
ต่อด้วยวรรณา “อิฉันสองคนอยู่เปล่าดายไม่มีงานค้างเจ้าค่ะ”
คุณสร้อยและคุณสอางค์สะดุ้งโหยง เสด็จทรงแย้มสรวลเยือกเย็น แต่พระเนตรเอาจริง มาลา วรรณาแหงนดูแล้วคอหด
“เพิ่งนึกออก หม่อมฉันมีงานครัวค้างอยู่เพคะ”
“หม่อมฉันก็ต้องลงสวนเพคะ”
สองนางข้าหลวงก้มกราบ แล้วคลานกระดุบๆ ออกไป พอออกจากห้อง ก็รีบดึงประตูปิด ก่อนจะหันมาสบตากัน พลางพยักหน้าคล้ายมีแผนร้าย
เสด็จหันมาตรัสกับคุณสร้อยต่อ
“หลานสาวแม่สร้อยจะเต็มยี่สิบสองแล้วนะ”
“แหม หลานสาวหม่อมฉันมีคนเดียว แต่เสด็จทรงมีพระภาติยะตั้งสามนะเพคะ”
เสด็จยิ้มแย้ม “มีสามก็เหมือนมีหนึ่ง ชายรองน่ะรักใคร่ใยดีอยู่กับหญิงก้อย ส่วนเจ้าชายเล็ก
ก็อยู่เมืองนอกไม่ยอมกลับ”
คุณสอางค์อธิบายต่อ “ก็เหลือแต่คุณชายโตน่ะแม่สร้อย”
เสด็จยิ้มรับ “ชายโตน่ะ สงบเสงี่ยมเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย แม่อำพันเขาเลี้ยงลูกดี”
คุณสอางค์แอบค่อน “เพคะ ดีผิดแม่”
เสด็จขมวดคิ้วเป็นเชิงปราม คุณสอางค์รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มอ่อนๆ
“เอาเป็นว่า ฉันขอทาบทามศรีจิตราไว้ให้ชายโตก็แล้วกัน”
คุณสร้อยยิ้มกว้าง
ด้านนอกห้อง มาลาและวรรณาเอาหูแนบประตูห้องทรงงาน นางข้าหลวงเกือบหมดวัง
บ้างนั่ง บ้างหมอบ บ้างคุกเข่ายืดตัว เอาหูแนบตามกรอบประตูแทบไม่มีที่ว่าง
มาลาโพล่งขึ้นมา “ตกลงคุณชายโต....”
วรรณาร้องเสียงหลง “ว้าย มาแล้ว”
ประตูเปิดออก คุณสอางค์ คุณสร้อยก้าวออกมา เสด็จยืนตรงกลาง กวาดเนตรมองที่พื้น นางข้าหลวงนั่งออกันเต็ม บ้างร้อยดอกไม้ บ้างเย็บบายศรี บ้างขึ้นรูปกันง่วน ทุกนางมีพิรุธล้นตัว โดยเฉพาะมาลา วรรณาที่ไม่มีงาน แต่รีบคว้าพรมเช็ดเท้าคนละด้านมาดึงผงไผ่ให้วุ่น เสด็จทรงรู้ทันที
“ดู๊ นังพวกลิงหลอกเจ้า มาออกันทำอะไรตรงนี้”
นางข้าหลวงอื่นก้มหน้างุด มาลา วรรณาเงยหน้า เอานิ้วรูดตามรอยฉลุไม้ของประตู
“หม่อมฉันตรวจดูความเรียบร้อยเพคะ”
“ตามรอยฉลุฉลักที่ประตูยังมีฝุ่นติดเพคะ”
คุณสร้อยและคุณสอางค์เพิ่งรู้ตัว
“ว้าย นี่พวกหล่อนมาแอบฟังล่ะซี”
คุณสอางค์ส่ายหน้า “ปากมีหู ประตูมีช่องจริงๆ เพคะ”
เสด็จแย้มพระสรวล แต่พระเนตรเตรียมเอาคืน “งั้นวันนี้ก็เลิกทำงานดอกไม้ได้”
มาลา วรรณา กับเหล่านางข้าหลวงยิ้มแป้น
“แล้วเอาสำลีพันปลายไม้มาเช็ดรอยฉลุประตูแทน”
ทั้งหมดหุบยิ้ม หน้าม่อย
“พอเสร็จบานนี้ ก็ไปทำประตูอื่นจนครบทั้งตำหนัก เข้าใจไหม”
มาลา วรรณายิ้มกร่อย “เข้าใจซาบซึ้งแล้วเพคะ ฮือ”
นางข้าหลวงทุกนางก้มกราบลง เสด็จกลั้นพระสรวล คุณสอางค์ คุณสร้อยแอบสมน้ำหน้า
พอมาลา กับวรรณา มาเล่าให้ฟัง เจียมก็วิ่งหน้าตื่นตรงไปยังตำหนักเล็ก แล้ววิ่งหายไปในครัวด้านหลัง
แล้วรีบกระซิบข้างหูยายน้อม ที่กำลังทำครัวอยู่
“ว้าย นังเจียม จริงนะ”
“จริงซิคะยายน้อม”
ยายน้อมเลิกทำกับข้าว วิ่งหน้าตื่นขึ้นตึก ไปเล่าให้นมย้อย ที่กำลังนั่งสลักผักอยู่ที่โต๊ะฟังต่อ
นมย้อยวิ่งหอบเหนื่อยผ่านระเบียงโถงบน ตรงไปห้องหม่อมอำพัน ที่เปิดประตูแง้มอยู่
หม่อมอำพันเป็นหญิงวัยราว 50 ปี แต่ยังดูสะสวย คมเข้ม สง่า กำลังทานของว่างอยู่กับชายโต ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์ ชายหนุ่มวัยราว 29 ปี ที่ดูหล่อเหลา ขาวสะอาด สูงใหญ่
นมย้อยจะเคาะประตูห้อง แต่แล้วก็ชะงัก เปลี่ยนใจเดินไปอีกห้อง
ชายรอง ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์ กำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เชิญ”
พอนมย้อยเข้ามา ชายรองก็รีบลุกทันที
“ครับ นมย้อย มีอะไรครับ”
“มีซีคะคุณรอง เรื่องใหญ่ด้วย ขอนั่งก่อนค่ะ เหนื่อย”
กิตติราชนรินทร์รีบเข้าประคองนมย้อยลงนั่ง
จรวย นางข้าหลวงวัยราว 20 ปี เดินผ่านหน้าห้องมาพอดี เห็นประตูห้องแง้มอยู่ ก็แอบฟัง
“ข่าวมาจากตำหนักใหญ่ค่ะ เสด็จท่านทรงตัดสินพระทัยแล้ว เรื่องคู่หมายคุณชายโตค่ะ เห็นว่าเป็นหลานสาวคนโตของคุณสอางค์”
“หลานสาวคุณสอางค์?”
จรวยอ้าปากค้าง
กิตติราชนรินทร์หันมาถาม “นมบอกหม่อมรึยังครับ พี่ชายโตด้วย”
“ยังค่ะ เดี๋ยวหม่อมก็คงทราบจากเสด็จเอง แต่ที่อิชั้นร้อนใจมาปรึกษาคุณรอง ก็เรื่องคุณโตกับแม่จรวยสาวใช้ค่ะ”
จรวยตาลุกโพลง กิตติราชนรินทร์เลิกคิ้ว
“มีอะไรเหรอครับนม”
“คุณรองเพิ่งกลับจากต่างประเทศ คงไม่รู้เรื่องอะไร คุณโตเธอแอบมีอะไรลับๆ กับแม่จรวยค่ะ มีมานานเป็นปีๆ แล้วด้วย คุณรองคิดอ่านประการใดคะ จะตัดไฟแต่ต้นลม ให้แม่จรวยกลับต่างจังหวัดไปเสียเลยดีไหม เพราะถ้ายังปล่อยคาราคาซังแบบนี้ เรื่องอื้อฉาวไปถึงพระเนตรพระกรรณแน่ ๆ”
“เรื่องนี้มีใครรู้เรื่องบ้างครับ”
“ก็มีอิชั้น แม่น้อมกับนังเจียม บ่าวไพร่คนอื่นคงไม่มีใครรู้หรอกค่ะ”
กิตติราชนรินทร์พยักหน้ารับรู้
จรวยเดินเลี่ยงออกมา ครุ่นคิดหาทางออกอย่างว้าวุ่นใจ
รถจากวังวุฒิเวสม์แล่นมาตามถนน แต่ยังจอดลงไม่สนิทดี ประตูหลังก็เปิดผาง คุณสร้อยวิ่งลงจากรถตรงดิ่งเข้าบ้าน ด้วยอาการเดียวกันกับคุณสอางค์ไม่ผิดเพี้ยน นายยอดจะลงมาเปิดประตูให้ยืนค้าง
คุณสร้อยวิ่งผ่านกำไลที่จะมารับกระเป๋าร่ม ได้แต่ยกมือค้าง เพราะอีกฝ่ายไม่ใยดี
“หนูศรี หนูศรีหลานรักของป้า”
กำไลอ้าปากค้าง สบตานายยอด
ยายพิศและอุ่นเรือนกำลังทำงานง่วนอยู่ จู่ๆ คุณสร้อยก็โผล่พรวดมา
“หนูศรี หนูศรี ลูก”
พลางรีบโยนกระเป๋าร่มลงบนเตียง อุ่นเรือนหันมาถามอย่างสงสัย
“อะไรคะ คุณพี่”
“นี่แม่อุ่นบ้าน อุ่นเรือน นี่หลานฉันอยู่ไหนยะ”
“อยู่ในครัวค่ะ”
คุณสร้อยรีบถลาเข้าครัวไปทันที
ศรีจิตราอยู่หน้าเตาถ่านกำลังผัดเครื่องแกงในกระทะส่งกลิ่นฟุ้งอยู่ คุณสร้อยรีบถลาเข้ามาใกล้
“หนูศรี ลูก”
กลุ่มควันเครื่องแกงรมหน้าคุณสร้อยเต็มหน้า ศรีจิตราหันมาอย่างแปลกใจ
“คะ คุณป้า”
คุณสร้อยพูดไม่ออก สำลักกระอักกระไอ ก่อนจะจามอย่างแรง ศรีจิตราตกใจ อุ่นเรือน พิศ กำไลเรียงแถวเข้ามาดู
“ว้าย ขอผ้ามาเช็ดหน้าหน่อย เร็ว ๆ”
กำไลรีบส่งผ้าให้ คุณสร้อยเอาผ้าเช็ดจมูกลูบหน้า หน้าดำเป็นถ่าน ทุกคนยืนอึ้งอีก ยิ่งเช็ดซ้ำ หน้าก็ยิ่งเปื้อนมากขึ้น
“เอ๊ะ นี่ผ้าอะไร นังกำไล”
“ผ้าเช็ดตูดหม้อข้าวเจ้าค่ะ”
กิตติราชนรินทร์เดินมาทางระเบียงโถงบน ตรงไปยังห้องชายโต จะเคาะประตู แต่กลับได้ยินเสียงแว่วมา พอเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ ก็มองเข้าไป เห็นจรวยกำลังร้องไห้กระซิกอยู่ที่พื้น ชายโตเดินไปมา หน้าซีดเจื่อน
“หา ฉันต้องแต่งงานกับหลานสาวคุณข้าหลวงใหญ่งั้นเหรอ”
“ค่ะ เสด็จรับสั่งมาแล้ว แล้วคุณนมก็จะไล่จรวยออกจากวังด้วย เขาไม่ให้จรวยอยู่กับคุณชาย ขัดขวางความรักของเรา”
ชายโตมองจรวยอย่างอึ้ง ๆ สีหน้าไม่อยากรับคำว่ารักเท่าไหร่ ก่อนจะลงนั่งข้างเตียง ชายรองเห็นสีหน้านั้นชัดเจน
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยน่าจรวย”
จรวยหน้ากังวล “ไม่ได้ค่ะ จรวยไม่อยากจากคุณชายไปไหน จรวยรักคุณชาย คุณชายต้องช่วยจรวย นะคะ”
พูดจบก็ถลาเข้ากอดขาดิเรกราชวิทย์ พลางช้อนตาขึ้นมอง ดิเรกราชวิทย์ก้มมองเห็นเนินอกที่ถูกดันขึ้นมาจนล้น แล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก
“เอาน่า เรื่องแต่งคงอีกนาน เราคงพอจะคิดอ่านหาทางออกได้”
“สัญญานะคะคุณชายว่าคุณชายจะไม่ทิ้งจรวย”
ชายโตประคองร่างจรวยขึ้นมานั่งข้างเตียง “สัญญาซีจรวย”
จรวยยิ้มออก แล้วโผเข้ากอดดิเรกราชวิทย์แนบแน่น ชายรองต้องเบือนสายตาไป พอเหลือบมองอีกที เห็นทั้งคู่กำลังกอดจูบกันพัลวัน ล้มลงกับเตียง จึงรีบเดินแยกมาก่อนจะเห็นภาพรัญจวณไปกว่านั้น สีหน้าหนักใจ ว่าจะเตือนหรือไม่เตือนดี
คุณสร้อยล้างหน้าแล้วนั่งบนตั่ง ก่อนจะดึงศรีจิตรามานั่งคู่ด้วย แล้วเชยคางหลานสาว
“ต๊าย หน้าเป็นมัน ฟันเป็นยาง ต่อไปนี้ห้ามลงครัวเด็ดขาดนะลูก”
ศรีจิตราทำหน้างง “อ้าว ไหนคุณป้าบอกให้ลงครัวไว้ เผื่อวันไหนตกระกำลำบากไงคะ”
คุณสร้อยชะงักไปนิดแล้วฉีกยิ้ม
“วุ้ย จะตกระกำอะไร มีแต่จะขึ้นสูงนั่งวอช่อฟ้าสาวิกากาญจน์น่ะซี”
ศรีจิตรา อุ่นเรือน ยายพิศ และกำไล ต่างทำหน้างง
อุ่นเรือนรีบถาม “ยังไงหรือคะ คุณพี่”
คุณสร้อยค้อนอุ่นเรือนขวับ
“ต๊าย สมแล้วเป็นลูกอาซิ่มสวนผัก ช่างไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้แม่ศรีหลานฉันจะได้เป็นสะใภ้จ้าวแล้วน่ะ
ซิยะ”
อุ่นเรือนสบตาลูกสาว
“เสด็จพระองค์หญิงโปรดมาหรือคะ คุณพี่”
“ย่ะ แหม เสียดาย คุณชายวังโน้นตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ตั้งสององค์ ฉันก็มีหลานสาวตั้งสอง น่าจะได้เข้าคู่กัน”
“ยายสาน่ะหรือคะ” อุ่นเรือนย้อนถาม
“ก็ใช่น่ะซียะ” พลางหันมาทางศรีจิตรา “แม่น้องสาวเธอน่ะใฝ่ต่ำ ให้มาอบมารมให้เป็นผู้ดีก็ไม่ยอม อยากจมอยู่ท้องร่องท้องสวน วัน ๆ ดองผักหมักหญ้า จนเหม็นโฉ่ไปทั้งตัว อุ๊ย...จะอาเจียน”
2 แม่ลูกแอบถอนใจ
สนามหญ้าหลังบ้านคุณสร้อยขึงผ้า 4 ด้านราวเป็นปะรำพิธี ศรีจิตรานุ่งกระโจมอกเดินออกมาจากตึกพร้อมคุณสร้อยและอุ่นเรือน เข้ามาในปะรำ ลงนั่งบนแคร่กับคุณสร้อย
มุมหนึ่งมีเตาอั้งโล่ กำไลกำพัดพัดไฟควันโขมง ยายพิศยกหม้อดินมาตั้งไฟ สาวใช้อีกนางกำลังตำกาก
มะพร้าวให้เป็นผง อุ่นเรือนยืนถือถ้วยขมิ้นอยู่ มองดูลูกสาวอย่างสงสาร บนตั่งวางอุปกรณ์เพียบ
คุณสร้อยรีบบอก “เอาละ เครื่องเคราอยู่ครบแล้วนะ”
ยายพิศขานรับ “ครบค่ะ”
เครื่องขัดผิวทั้งหมดอยู่ตรงหน้า ศรีจิตรามองอย่างสงสัย มีทั้งกาบมะพร้าวแห้ง ใยบวบแห้ง น้ำมัน
มะพร้าวในขวดโหล เกลือในชาม น้ำมะชามเปียกชามใหญ่ ขมิ้นผง ผ้าขนหนูหลายผืน
“คุณป้าคะ นี่อะไรคะ มีทั้งกาบมะพร้าว มีใยบวบ มีเกลือด้วย”
“ไว้ใช้ขัดผิวบ่มผิว ทั้งหมดจ้ะ”
ศรีจิตราทำตาโต “ใช้ทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ”
“ใช่แล้ว และหนูจะต้องเข้ากระโจมขัดผิวแบบนี้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ห้ามขาด ห้ามเกิน ผิวจะผุดผ่องยองใยไม่มีใครเทียมทัน เอาละ จะเริ่มต้นที่น้ำอุ่นนี่แหละ”
พลันคุณสร้อยก็ใช้ขันตักน้ำราดน้ำอุ่นลงบนร่างของศรีจิตรา กำไลคอยเติมน้ำร้อนผสม ศรีจิตราสะดุ้ง อุ่นเรือนยิ้มอย่างเป็นกำลังใจให้ ลูกสาวยิ้มตอบแต่เจื่อนเต็มที พอน้ำราดมาอีกขัน ก็สะดุ้งอีก
“คุณป้าขา ขันนี้ร้อนค่ะ”
คุณสร้อยร้องโวยวาย “ว้าย ยายกำไล หล่อนผสมน้ำยังไง ร้อนเกินไป ผิวหลานฉันพองกันพอดี
แม่อุ่นเรือน มาดูแทน”
“ค่ะ ค่ะ”
ทุกคนดูวุ่นวาย
ณ ย่านถนนสุริวงศ์ สองข้างเป็นห้องแถวไม้สลับกับตึกสร้างใหม่เป็นระยะ สาลินแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ
เดินยิ้มมาตามฟุตบาธ แล้วก็สะดุดกึกเมื่อผ่านเจ้าลูกชิ้นปิ้งเตาถ่าน น้ำจิ้มฉี่ฉ่าควันโขมง
จังหวะเดียวกัน รถยุโรปคันใหญ่ยาวก็แล่นมาตามถนน คุณชายรอง กิตติราชนรินทร์อยู่หลังพวงมาลัยกำลังขับรถ ดวงตามีแววหวาน
สาลินเดินกินลูกชิ้นมาจนหมด พอเจอถังขยะ ก็รีบทิ้งไม้และถุง แต่แล้วชะงักกึกเมื่อเห็นว่าบนอกเสื้อสีอ่อน มีน้ำจิ้มลูกชิ้นติดอยู่ 4-5 หยด
“ว้าย ตายแล้ว ชุดสัมภาษณ์ฉัน”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
กิตติราชนรินทร์มองดูมือที่จับพวงมาลัย ที่มีแหวนพลอยติดนิ้วก้อยอยู่ แล้วยิ้มนิดๆ
สาลินทำหน้างอ “ ต้องหาน้ำล้าง เอาน้ำที่ไหนดีล่ะ”
รถของกิตติราชนรินทร์ก็โฉบผ่านมาใกล้ตัว ล้อรถแล่นลงในแอ่งน้ำขังริมฟุตบาธ
สาลินยังรำพัน “เอาน้ำที่ไหนดีล่ะ”
พลันล้อรถก็กรีดน้ำขึ้นมาเป็นสาย สาลินผงะจะหลบแต่ไม่ทัน ถูกน้ำรดตั้งแต่ผมจนถึงเสื้ออย่างชุ่มโชก
แล้วรถของกิติราชนรินทร์ก็แล่นผ่านไป
สาลินเต้นเร่าๆ มองตาม “ฮือ ไอ้บ้า ไอ้คนบ้า” พลางรีบคว้ากระเป๋ามาเปิด เอาปากกาสมุดโน้ตมาจดเลขทะเบียนรถ
“ฮือ ถ้าเจออีกนะ”
จดเสร็จก็ปิดสมุดโน้ตมองตาม เห็นรถเลี้ยวลับไป คนละแวกนั้นมองดู บ้างขบขัน บ้างสงสาร
สาลินอายเลยทำเชิด สะบัดหน้าใส่ น้ำกระจายออกเป็นรัศมี คนรอบด้านกระโดดหลบกันเหย็ง
ที่เคาน์เตอร์ของห้องสมุด มีเจ้าหน้าที่ 2 นางนั่งทำอะไรก๊อกแก๊กรอเวลาเริ่มงานอยู่ นางหนึ่งดูอวบกลม แต่งตัวสีสันฉูดฉาด ชื่อ “ลลิตา” ส่วนอีกนางผอมหน้ากระดูก แต่งตัวด้วยสูทเรียบ ชื่อ “บราลี”
บราลีพับหนังสือพิมพ์ หันไปดูนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้ 12.00 น.
“เอ๊ะ เดี๋ยวจะมีเด็กใหม่มาให้บอสสัมภาษณ์ใช่ไหม”
ลลิตาพยักหน้า “ใช่ นัดไว้เที่ยง หรือไงนี่”
“จะเที่ยงอยู่รอมร่อแล้ว ทำไมยังไม่มา”
ลลิตาทำหน้ารังเกียจ เอามือขยับผ้าพันคอไหม
“ก็เด็กเนี่ยบ้านอยู่ตั้งนนท์ เห็นว่าเป็นบ้านสวน คงมัวเก็บผัก หักฟืนอยู่มั้งยะ พวกรากหญ้า”
บราลีทำตาโตอย่างชื่นชม “เป็นชาวสวน ชนชั้นกรรมาชีพ แต่ใฝ่เรียนจะมาเป็นบรรณารักษ์ ยอดไปเลย
ไหนชื่ออะไรนะ”
ว่าแล้วก็รีบเอาใบสมัครมาดู “ชื่อนางสาว สาลิน ภักดีนฤนาถ”
ลลิตาสนใจขึ้นมาทันที “ภักดีนฤนาถ ก็ตระกูลขุนนางใหญ่ ผู้ดีเก่าน่ะซิ ว้าย พวกไฮโซไซตี้”
บราลีหน้าเหรอ “อ้าว ไหนหล่อนว่ารากหญ้า”
“ต๊าย มิน่าเล่า เจอกันวันยื่นใบสมัคร ก็ถูกชะตาทันทีเลย น้องเค้าดูมีฉัพพรรณรังสี”
ลลิตาด้นสด บราลีทำหน้ารังเกียจ
“ต๊าย เหรอ ฉันเห็นหล่อนนั่งชูคอสูงตั้งคืบตอนฉันคุยกะเด็ก”
“ใครบอกยะ อย่ามาใส่ความ แล้วหล่อนคุยอะไรไปบ้าง”
“ก็ไม่ได้บอกอะไร แค่บอกให้วันสัมภาษณ์แต่งตัวดีๆ เป็นการเป็นงานหน่อย”
ลลิตาเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มปลื้ม “อู๊ย น้องสาลินเป็นลูกชาติลูกตระกูล ต้องแต่งตัวดีอยู่แล้ว ไม่กระปุก กระปุยหรอกย่ะ”
ยังพูดไม่จบก็ชะงักมองไปหน้าเคาน์เตอร์ บราลีมองตามแล้วสะดุ้ง เมื่อเห็นสาลินยืนอยู่ ในสภาพผมกระเซิง มีน้ำหยดเป็นสาย เสื้อเปียก มีโคลนประดับทับทรวง
ลลิตายกมือทาบอกตกใจ “ว้าย ตาเถรตกคลอง”
บราลีรีบถาม “หนูขึ้นเรือมาหรือ”
สาลินหน้าเจื่อน “ช่วยด้วยค่ะ มีไอ้บ้ามันขับรถฉีดน้ำโคลนใส่สา”
“ไนเจล” หนุ่มวัย 30 ผมทอง อยู่เมืองไทยมานานจนพูดไทยได้พอสมควร นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานใหญ่ พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เชิญ”
บราลี กับลลิตาโผล่หน้าเข้ามา
“บอสคะ น้องที่มาสัมภาษณ์มาแล้วค่ะ”
ไนเจลพยักหน้ารับ ก่อนที่สาลินจะก้าวเข้ามา มีท่าทีฝืนทำมั่นใจเต็มเปี่ยม ผมที่ปียกถูกหวีเรียบแสกข้างผม ด้านหลังทำเป็นมวยเล็กๆ ใส่ชุดแม่บ้านของห้องสมุด แขนกระบอก
“ยังไม่ได้เรียกให้มาทำความสะอาดอะไรนี่ครับ คุณแม่บ้านเข้ามาทำไม”
สาลินยิ้มเรี่ยราดเต็มที บราลี ลลิตา หัวเราะคิก
ลลิตารีบบอก “บอสคะ นี่ละค่ะ คุณสาลิน ภักดีนฤนาถ”
สาลินยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ มินเตอร์ไนเจล”
ไนเจลทำหน้างง “หา เป็นแฟชั่นใหม่เหรอครับ ใส่ชุดแม่บ้านมาสัมภาษณ์งานวันแรก”
บราลีช่วยอธิบาย “บังเอิญ สาลินเขาเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยต้องขอยืมชุดแม่บ้านมาใส่ไป
พลาง ๆ ก่อน”
ไนเจลลุกขึ้นยืนต้อนรับมองอย่างสนใจ พลางยื่นมือมา ให้สาลินเช็คแฮนด์
“สวัสดี มิสแพก ดี นา รือ แนท”
“สวัสดีค่ะ”
“ถึงจะเป็นชุดแม่บ้าน แต่คุณก็ “ซวย” มาก”
สาลินยิ้มเจื่อน “ค่ะ วันนี้ซวยจริงๆ”
“โอว์ โน ซอร์รี่ ผมหมายถึง สวยมาก”
สาลินยิ้มโล่งอก
ทั้งหมดเดินมาที่ร้านอาหารริมถนนสาทร ไนเจลมีท่าทางเอาใจสาลินเป็นพิเศษ
ลลิตามีท่าทางประจบเจ้านายและแสนดีกับสาลิน ส่วนบราลีเดินเชิดไม่สนใจใคร
“เราจะกินร้านไหนดี”
สาลินที่ยังไม่คุ้นละแวกรีบบอก “ไม่ทราบซิคะ”
ลลิตารีบเสนอ “เอาร้านนี้เถอะค่ะบอส ดูหรูเฟ่ที่สุด”
บราลีทำหน้ายี้ “ตาย นังวัตถุนิยม”
“ตกลง เป็นร้านนี้นะครับ ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับคุณ “สะหลิ่ม” ก็แล้วกัน”
สาลินทำหน้างง พลางมองตรงไปไป เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่เลยร้านไปนิดหนึ่ง ลลิตา บราลี ไนเจลมองตาม
เธอรีบเดินมองดูรถใกล้ๆ ก้มตัวมองดูข้างใน แล้วขยับไปดูทะเบียนท้ายรถ ไนเจล ลลิตา บราลีขยับมาดู
ไนเจลมองรถอย่างทึ่ง “รถซวย สวยจัง”
ลลิตาตาวาว “ต๊าย รถหรูอย่างนี้ต้องเป็นพวกไฮโซไซเอตี้”
บราลียิ้มเยาะ “นังเปลือก”
สาลินทำหน้าแค้น “อย่าให้เจอตัวนะ” เมื่อดูเลขทะเบียนชัดๆ ก็แน่ใจทันที
กลุ่มของสาลินนั่งที่มุมหนึ่งของร้าน บริกรเข้ามารอรับคำสั่ง ส่วนชายรองนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมสวยของร้าน
ที่จองไว้แล้ว กัปตันของร้านกำลังเจรจาอยู่
“คุณหญิงเทพีเพ็ญแสงมาถึงแล้วเหรอ”
“ใช่ครับคุณชาย คุณหญิงเชิญคุณชายไปพบที่ห้องด้านในครับ”
ชายรองลุกเดินตามไปห้องด้านใน ผ่านโต๊ะที่สาลินนั่ง แต่ทั้งโต๊ะสนใจแต่เมนู เลยไม่ได้มอง
ไนเจลสั่งอาหารก่อน
“สะหลิ่ม”
บริกรรีบบอก “วันนี้ไม่มีสลิ่มครับ”
“เปล่า ยังไม่ได้สั่งอาหาร พูดกับเพื่อนฉัน คุณ สะหลิ่ม ผาก ดี พู วา แนท เลือกได้หรือยังครับ”
สาลินรีบบอก “ ถ้าลำบากก็เรียกสาลินเถอะค่ะ”
“สา หลี่น”
“ไม่ใช่คะ สาลิน ค่ะ สา...ลิน”
ไนเจลพยักหน้า “โอว์ ไอซี แซลีน”
ลลิตารีบหันไปสั่งอาหาร “เอาสเต็กเนื้อฟิเลมิยอง”
บราลีสั่งต่อ “ฉันเอาก๋วยเตี๋ยวราดหน้า”
สาลินสั่งตาม “ด้วยค่ะ ฉันเอาก๋วยเตี๋ยวราดหน้าด้วย”
ลลิตายิ้มหยัน “มาร้านหรูทั้งที มากินราดหน้านี่นะ”
“ก็มันถูกที่สุดนี่ยะ”
สาลินพยักหน้ารับ “ขนาดถูกยังตั้ง 7 บาท”
“แล้วสเต็กหล่อนน่ะ ดูราคาแล้วหรือยังยะ”
บราลีย้อนถาม ลลิตาเอาเมนูมาดูใหม่ แล้วหมดท่านางพญา
“ว้าย 50 บาท ว้าย จะเป็นลม ฉันเอาราดหน้าด้วยดีกว่า เปลี่ยนทันไหมนี่”
ไนเจลถอนใจ “ไม่ต้องห่วง ไว้เป็นหน้าที่ผมเอง ดีไหมครับ แซลีน”
ลลิตายิ้มออก “ว้าย บอสใจดีที่สุดเลย”
กิตติราชนรินทร์เดินตามกัปตันเข้าไปส่วนร้านด้านใน ที่ตกแต่งหรูหราตระการตา แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็น “ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสง” กำลังโพสท่าถ่ายแบบอยู่กลางห้อง ด้วยท่วงท่าราวนางแบบอาชีพ ช่างภาพกำลังถ่ายรูป ทีมงานจัดแสงและทีมงานอื่น ๆ อยู่เต็มห้อง
วิรงรองรีบเข้ามาหาชายรอง “คุณชายสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณ วิรงรอง”
“แหม เรียกเสียห่างเหินเชียว เรียกติ่งดีกว่าค่ะ”
“รับคุณติ่ง นี่อะไรกันครับ หญิงก้อยนัดผมทานกลางวันนะครับ ไม่ใช่นัดให้ผมมาดูการถ่ายแบบ”
วิรงรองทำหน้างง “ อ้าว หญิงไม่ได้บอกคุณชายเหรอคะ หญิงก้อยนัดติ่งมาทำข่าว ถ่ายแบบลง
ปกหนังสือสตรีสยาม”
“ผมเพิ่งรู้จากคุณนี่แหละ”
“งั้น คงต้องคุยกันเองแล้วละค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงกำลังโพสท่าไม่แพ้ทวิกกึ้ในยุคนั้น จนช่างภาพสั่งให้พักได้ เมื่อหันมาเห็นชายรอง ก็ยิ้มร่าเข้ามาหา พร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวา
“หญิงดูเป็นยังไงบ้าง”
“สวยมาก หรูหราเสียจนจะร่วมโต๊ะทานกลางวันกับผมได้ไหมเนี่ย”
“คุณรองขา หญิงคงไม่ใส่ชุดกรุยกรายแบบนี้ไปลันช์ในห้องอาหารหรอกค่ะ เดี๋ยวจะหาว่าหลุดออกมาจากงานคาร์นิวาล”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มรับ “เสร็จงานแล้วใช่ไหมครับ จะได้ทานกลางวันกันเลย”
“ยังเลยค่ะ เหลือถ่ายอีกเซ็ตนึง รอหญิงก่อนนะ”
“หญิงก้อย ผมมีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง ต้องรีบกลับไปกระทรวงให้ทันบ่ายสอง”
เทพีเพ็ญแสงชักสีหน้าทันที “ก็เลื่อนไปบ่ายสาม หรือลางานไปเลยซิคะ เพราะงานของหญิงก็ยังไม่เสร็จเหมือนกัน รอนะคะ”
สั่งเสร็จก็กลับไปถ่ายแบบต่อ ชายรองพยายามข่มความโกรธ มองการถ่ายแบบอย่างไม่สบอารมณ์
เสียงกลุ่มทีมงานถ่ายแบบ จากในโถงด้านในของร้าน จ้อกแจ้กขึ้น พร้อมกับที่บริกรเข้ามาเสิร์ฟน้ำ
ลลิตารีบถาม
“อุ๊ย มีอะไรกันห้องข้างในน่ะ บริกร”
“วันนี้มีถ่ายแฟชั่นหนังสือสตรีสยามน่ะครับ”
ลลิตาตื่นเต้น “หา สตรีสยาม ใครเป็นนางแบบ”
“เอ ไม่ทราบครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
บริกรรีบเดินแยกไป ลลิตารีบบอก
“งั้น บอสค่ะ ขอตัวไปดูหน่อยนะคะ”
“เชิญครับ”
ลลิตากับบราลีรีบลุกไป ไนเจลยิ้มหวานให้สาลิน ที่ยิ้มตอบแบบเจื่อนๆ
จังหวะนั้น กิตติราชนรินทร์ก็เดินหัวเสียออกมาจากห้องด้านใน ตรงไปที่โต๊ะที่จองไว้
ไนเจลส่งยิ้มหวาน แล้วมองสาวเสิร์ฟที่แต่งตัวละม้ายชุดของสาลินที่เดินผ่านไปมา แล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ขำอะไรคะ”
“ขำที่คุณแต่งตัวในชุดเมดน่ะซีครับ ทำให้คุณดูเหมือนสาวเสิร์ฟในร้านเลย”
สาลินหน้าเจื่อน “อย่าทักซิคะ ฉันก็อายเหมือนกันนะ”
“Sorry โทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มิสเตอร์ไนเจล”
“โน เรียกผมว่าบอส ดีกว่านะครับ แซลีน”
สาลินยิ้มรับ “ค่ะ บอส”
ไนเจลยิ้มหวานอีก จนสาลินชักอึดอัด
“มีสาวสวยอย่างคุณมาทำงานด้วย ผมคง “สลดใจ” มาก”
“ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ คุณถึงกับสลดใจ”
“ก็อด ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง “สุขใจ” ต่างหาก”
พูดพลางมองตาเยิ้ม จนอีกฝ่ายอึดอัด
“บอสคะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”
ไนเจลลุกให้ทันที สาลินรีบเดินแยกไป
บราลีและลลิตาเข้ามาดูการถ่ายแบบ ขณะที่เทพีเปลี่ยนเป็นชุดเป็นแส็คสั้น ท็อปบู้ตสูง กำลังโพสท่าเท่ ๆ
ลลิตาทำเสียงตื่นเต้น “ตายแล้วส่วน VIP หรูหราอย่างงี้นี้เอง นั่นคุณหญิงก้อย”
บราลีมองตาม “ก้อยไหน”
“หม่อมราชวงศ์หญิงเทพีเพ็ญแสง ธิดาคนเล็กของท่านชายจันทร์ไงล่ะ”
“อ้อ เจ้าวังรัชนีกุล”
“ตัวจริงสวยมาก อย่างกะแอนน์ มาร์เกร็ต ต้องขอลายเซ็นแล้วละ”
บราลีรีบแย้ง “ไม่ใช่ดารานะ จะขอเหรอ”
“สวยกว่าดาราอีก”
เทพีพักถ่ายพอดี เดินกลับมาพักที่โต๊ะแต่งตัว วิรงรอง และช่างเข้าดูแลความงาม ลลิตา บราลีเดินรี่เข้ามา ฉัตรอาชารีบปราดมาดัก “เดี๋ยวครับ จากไหนครับ”
ลลิตาแกล้งปด “อ๋อ เราเป็นคนทำข่าวค่ะ”
บราลีสะดุ้ง วิรงรองและเทพียิ้มให้กันทันที ลลิตารีบส่งสมุดโน้ตให้เทพีเซ็น
“ขอลายเซ็นคุณหญิงเทพีเพ็ญแสง เป็นเกียรติกับดิฉันหน่อยค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงทำท่าเตรียมเซ็น “นักข่าวเหรอคะ ได้เลยค่ะ จากโทรทัศน์ หรือสำนักพิมพ์ไหนคะ”
“อ๋อ เซ็นตามนี้เลยนะคะ ลลิตา บรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน”
เทพีเพ็ญแสงชะงักมือทันที วิรงรองถลึงตามอง
“หา บรรณารักษ์ห้องสมุด แล้วมาโกหกว่าเป็นนักข่าวทำไม”
“ไม่ได้โกหกค่ะ บอกว่าเป็นคนทำข่าวค่ะ ไม่ใช่นักข่าว เราทำข่าวแปะของคุณหญิงก้อยจากนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ในบอร์ดข่าวสังคมของห้องสมุดเราเป็นประจำเลยค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงรีบสั่ง “ติ่ง เฉดหัวไป”
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
บราลีไม่พอใจ “เดี๋ยว ใช้คำว่าเฉดหัวเลยเหรอยะ”
“ก็ใช่น่ะซี มาหลอกว่าเป็นนักข่าว หวังจะเข้ามาตีสนิทเจ็ทเซ็ทคนดัง ออกไป”
ลลิตาอ้าปากจะพูดต่อ “แต่ว่า....”
“ยายลิตา ไม่ต้องทู่ซี้อยู่หรอก นี่คุณ ที่ว่าเจ็ทเซ็ทคนดังน่ะ ดังเพราะข่าวปาร์ตี้พี้ยาริมสระน้ำที่แอลเอ ใช่ไหมคะ คนไทยเขาขายขี้หน้ากันทั้งนั้น”
เทพีเพ็ญแสงและวิรงรองอ้าปากค้าง
“ตายแล้ว นังไพร่ ติ่ง เรียกยามมาเลย ลากมันออกไป
วิรงรองเชิดหน้า “รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ฉันวิรงรอง เจ้าของคอลัมน์ “วิรงรองซุบซิบ” ฉันสามารถเขียนข่าวเล่นงานห้องสมุดพวกหล่อนให้ปิดตายไปทั้งชาติเลยก็ได้นะ”
บราลีย้อนกลับ “ โถ คุณวิรงรองซุบซิบ นินทาเรื่องในมุ้งชาวบ้านหากินไปวัน ๆ อย่าอวดอ้างสรรพคุณตัวเองให้มากนักเลยค่ะ อีพวกหากินบนหลังคนแบบคุณน่ะ ระวังจะลงมาจากหลังคนไม่ได้ เพราะไม่มีแผ่นดินให้เหยียบ”
เทพีเพ็ญแสงกับวิรงรองร้องกันเอะอะ เรียกหายามทันที
ลลิตาหันมาเรียก “ยายบราลี ไปเถอะ”
จากนั้นก็รีบลากบราลี ที่เดินยิ้มอย่างสะใจออกไป
สาลินกลับจากห้องน้ำ จะกลับมาที่โต๊ะ พลันก็เสียงดังมาจากโต๊ะเบื้องหลัง
“เมนูอยู่ไหน ทำไมไม่เอาเมนูมาให้เสียที”
พอหันกลับไปมอง ก็เห็นชายรองนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง
“คุณพูดกับฉันเหรอคะ”
กิตติราชนรินทร์ยิ่งหัวเสียหนัก “แล้วจะให้ฉันพูดกับใคร พูดกับเธอนั่นแหละ ฉันมานั่งนานแล้วนะ นี่โต๊ะจองนะ บริการกันยังไง เรียกกัปตันมาให้หน่อย”
สาลินรีบหยิบเมนูโต๊ะว่างข้าง ๆ มาให้ “นี่ค่ะ”
กิตติราชนรินทร์มองอย่างตำหนิ สาลินยิ้มเก้อๆ
“แอพเพอร์ไทด์ ฉันสั่งชุดนี้ แต่ขอเปลี่ยนเป็นซุปใส”
ชายรองชี้ไปที่เมนู ครั้นเห็นอีกฝ่ายยังยืนเก้ออยู่ ก็มองจ้องเขม็ง สีหน้าเหลืออดเต็มที
“ต้องให้ฉันลุกไปให้เธอดูเมนูอาหารงั้นใช่ไหม”
“อ๋อ โทษค่ะ”
สาลินรีบเข้ามาข้างกิตติ แล้วดูเมนู พอได้กลิ่นโคโลญจ์จากร่างของชายรอง ก็รู้สึกหวิวๆ
“แซลมอนสโมค สลัดผัก ส่วนดีเซิท ขอเมนูของไทยดีกว่านะ เห็นว่าวันนี้มีสเปเชี่ยลแบบชาววัง ขนมอะไรบ้างนะ”
“ก็หลาย ๆ อย่าง”
“เพิ่งมาทำงานใช่ไหม”
สาลินทำหน้าเฉย “ใช่มั้ง”
“งั้นสิ ไม่รู้ประสาอะไรสักอย่าง”
“อะไรนะ ไม่รู้ประสาเหรอ”
กิตติราชนรินทร์มองจ้อง “อาหารที่ฉันสั่ง ก็ใม่เห็นจดให้เป็นเรื่องเป็นราว จำได้เหรอ”
“ได้มั้ง ฉันจำเก่ง”
“เอ๊ะ นี่รวนกันใช่ไหม”
สาลินส่ายหน้า “เปล่านะ”
“มารยาทของเธอทรามมาก ฉันคือลูกค้าวีไอพี เธอถูกอบรมมายังไง พูดจายอกย้อนกับลูกค้า หางเสียงสักนิดก็ไม่มี ชื่ออะไร ฉันจะรายงานนายเธอเดี๋ยวนี้”
สาลินของขึ้นบ้างเหมือนกัน พอดีกับที่บริกรถือถาดใส่แก้วน้ำมา
“เวทเทอร์ แม่คนนี้ชื่ออะไร”
บริกรมองงงๆ “ผมไม่ทราบครับ คุณชาย”
สาลินทวนคำ “คุณชาย”
“ไม่ทราบ แย่ที่สุด ไปเรียกกัปตันของนายมา”
สาลินรีบบอก “คุณขา ใจเย็นก่อนค่ะ ใจร้อนไปเดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อย ท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว มันจะไปกลบกลิ่นโคโลญจน์หอม ๆ ของคุณเสียหมด”
“นี่เธอ อย่ามาตีฝีปากนะ ไปเรียกกัปตันมาเดี๋ยวนี้”
“ได้ค่ะ เรียกให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
สาลินทำลนลาน แล้วกระแทกถาดน้ำของบริกร ก่อนจะคว้าแก้วน้ำ แล้วราดลงกับเสื้อและกางเกงของกิตติราชนรินทร์อย่างแนบเนียนว่าไม่ได้ตั้งใจ
กิตติราชนรินทร์ตะลึงงัน
“อุ๊ย โทษค่ะ หนูผิดไปแล้ว เดี๋ยวหนูเช็ดให้”
สาลินทำท่าจะเช็ดที่เป้ากางเกง อีกฝ่ายเอามือกุมเป้าทันที
“ไม่ต้อง”
“ค่ะ ค่ะ ขอโทษค่ะ”
สาลินรีบออกมาทันที พร้อมกับกลั้นขำเต็มที่ บริกรหน้าเจื่อน
“คุณชายครับ ผมขอโทษ”
กิตติราชนรินทร์โกรธจนพูดไม่ออก
สาลินวิ่งมาที่โต๊ะ พบไนเจล กำลังยืนต่อหน้าลลิตาและบราลี ที่กำลังเอะอะกับบริกร
“นี่มันยุคของเสรีภาพและความเท่าเทียมนะคะ ยังมีคนที่กดขี่ ดูถูกเพื่อนมนุษย์แบบนังคุณหญิงไพร่นั่นอีก ไม่ทานแล้วค่ะบอส กลับดีกว่า”
“แต่อาหารสั่งไปแล้วนะครับ”
“บ๋อย งดไปเลย”
บริกรรีบรับคำ “ครับ ครับ”
บราลีพูดต่ออย่างโมโห “ตามใจนะคะ อยากทานต่อก็ได้ แต่ฉันขอกลับไปกินข้าวแกงกรรมาชีพตรอก
ข้างออฟฟิศดีกว่า”
ไนเจลมองมาทางสาลิน “แซลีน เอายังไง”
“เห็นด้วยค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันก็ถูกอีตาคุณชายใจหยาบ กดขี่มาเหมือนกัน ไปปลดแอกด้วยข้าวแกงกรรมาชีพกันค่ะ”
สาลินและบราลีควงกันออกไป ลลิตาทำท่าอยากจะร้องไห้
“ยายบราลีไม่น่าไปว่าคุณหญิงเธออย่างนั้นเลย ถ้าเธอฟ้องเอาล่ะคะ”
ไนเจลตกใจ “หา ฟ้องเหรอครับ งั้นรีบโกยสี่ตีน เอ๊ย รีบเผ่นจากที่นี่เถอะครับ”
ว่าแล้วก็รีบพาลลิตาออกไป
สาลินกับบราลีเดินผ่านรถของกิตติราชนรินทร์อีกครั้ง ไนเจลและลลิตาตามมาห่าง ๆ
“ไอ้รถเจ้ากรรมนี่แหละ ต้นเหตุเรื่องทั้งหมด ถ้าเจ้าคนขับไม่ขับให้โคลนสาดมาเต็มตัวฉัน ฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดสาวใช้ ไม่ต้องถูกเจ้าคุณชายคนนั้นเข้าใจผิดว่าฉันเป็นสาวเสิร์ฟ แล้วมาด่าฉันสาดเสียเทเสีย”
ลลิตารีบถาม “อุ๊ย คุณชายคนไหนด่าเธอเหรอ มีคุณชายอยู่ในร้านด้วยเหรอ”
“ไม่ทราบค่ะ เห็นบ๋อยเรียกคุณชาย”
“ผมว่าเรารีบไปจากร้านนี้เถอะครับ เพราะพวกคุณมีเรื่องทั้งคุณหญิง คุณชายพวกเจ้าทั้งนั้น ถ้าถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย พวกเราจะหมดตูด”
สามสาวมองหน้ากัน แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขำอารายกัน ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
บราลีรีบบอก “ไปเถอะค่ะ บอส ใครน้าสอนภาษาไทยให้บอสเนี่ย”
เทพีเพ็ญแสงเปลี่ยนชุดแล้ว แต่ยังไม่ได้ลบเครื่องสำอาง กัปตันเชิญมานั่งที่โต๊ะ แต่ไม่เห็นชายรอง
“แล้วคุณชายล่ะคะ เมื่อไหร่จะมา”
“คงอีกสักครู่ครับ”
ชายรองเดินหน้าเครียดกลับมา กางเกงที่เลอะน้ำตอนนี้แห้งสนิทดีแล้ว กัปตันเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง
“ไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่พนักงานของคุณ”
“ไม่ใช่แน่นอนครับ เห็นบริกรบอกว่าเป็นลูกค้าที่มาสั่งอาหาร แต่บังเอิญแต่งตัวคล้ายสาวเสิร์ฟของเรา ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร ขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะ”
“ยินดีครับ”
กัปตันแยกไป เทพียิ้มขัน ๆ
“ไปทะเลาะกับเด็กที่ไหนคะ ถึงขั้นต้องเอากางเกงไปรีดใหม่”
“อย่าไปสนใจเลย”
“ดีค่ะ เพราะหญิงหิวแล้ว สั่งอาหารเลยดีกว่า”
กิตติราชนรินทร์รีบบอก “เดี๋ยว หญิง ผมคงทานอะไรไม่ได้แล้ว ผมต้องกลับกระทรวง”
เทพีเพ็ญแสงหน้างอ “อะไรกัน ใจคอคุณรองจะให้หญิงทานคนเดียวเหรอคะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมต้องกลับไปทำงาน วันนี้มีประชุมสำคัญด้วย”
“ดูคุณรองให้ความสำคัญกับงานมากกว่าหญิงเสียอีก”
“เปล่า แต่สำหรับเจ้าหน้าที่การทูต การตรงต่อเวลา เป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
“ความผิดของหญิงใช่ไหม” เทพีย้อนถาม
กิตติราชนรินทร์พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง “หญิงน่าจะบอกให้ผมทราบก่อนเรื่องถ่ายแบบ ถ้ารู้แต่แรก คงไม่นัดทานกลางวันแบบนี้”
“ได้ค่ะ มันเป็นความผิดของหญิง การอยากจะเซอร์ไพรส์คุณชาย กลายเป็นความผิดมหันต์”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เทพีเพ็ญแสง”
เทพีเพ็ญแสงสวนขวับ “มันเป็นอย่างนั้น คุณชายกิตติ หญิงไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของคุณชายแล้วล่ะค่ะ เชิญกลับไปทำงานได้ เพราะหญิงก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
พูดจบก็ลุกสะบัดไปทันที
“หญิง เดี๋ยว”
กิตติราชนรินทร์กำลังจะตาม แต่บริกรถืออาหารจานแรกมาเสิร์ฟเสียแล้ว
ณ วังรัชนีกุล
รื่นกับโรยวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในโถง ศศิรัชนีและหม่อมวาณีกำลังจิบน้ำชา และมีเค้กสายรุ้งวางอยู่ตรงหน้า
“หม่อมขา พายุถล่มแล้วค่ะ”
หม่อมวาณีถอนใจ “ อีกแล้วเหรอ”
ศศิรัชนีทำหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับเสียงเดินกระแทกส้นเข้ามาในโถง ก่อนที่เทพีเพ็ญแสงเดินกราดเกรี้ยวเข้ามา แล้วร้องกรี๊ด ปัดแจกันยุโรปตกแตก รื่น โรยกรี๊ดตาม
“อะไรกันคะลูก อะไรกัน”
“คุณแม่ ทำไมคุณรองทำแบบนี้กับหญิง เขาไม่เห็นความสำคัญของหญิงแล้วใช่ไหม โฮ เขาไม่รักหญิงแล้ว”
พูดพลางถลาเข้าไปที่แจกันอีกใบ หม่อมวาณีรีบห้าม
“อย่าลูก นั่นเรือนหมื่นนะจ๊ะ”
เทพีเพ็ญแสงชะงัก แล้วหันมาทางเค้กสายรุ้ง จะเข้ามาปัด ศศิรัชนีพูดเสียงเรียบเย็น
“นั่นเค้กสายรุ้งของพี่ เพิ่งจะหัดทำ อย่าปัดเชียวนะ”
เทพีเพ็ญแสงชะงักอีก มองทุกคนแล้วร้องไห้โฮทรุดลงนั่ง ทุกคนโล่งอก หม่อมวาณีเข้ามากอดไว้
“เล่าให้แม่ฟังนะคะ เรื่องมันเป็นยังไง”
“เขาไม่รักหญิงแล้ว เขาไม่รักหญิง”
“โอ๋ รักซีลูก รักซี ใครจะไม่รักหญิงก้อยของแม่ สะสวยออกอย่างนี้ ใครเห็นก็อดรักไม่ได้หรอก ไหนเล่ามาซีจ๊ะ เรื่องราวมันเป็นยังไง”
ศศิรัชนีถอนใจ เห็นหม่อมวาณีโอ๋ลูกเช่นที่เคย หันไปพยักเพยิดกับรื่น โรย ให้ทำความสะอาดความเสียหาย สองนางรีบทำทันที
ที่ชานเรือนบ้านสวนของสาลิน คุณตานั่งอ่านพงศาวดารจีนเล่มหนา คุณยายนั่งเย็บกระทงใบตองอยู่ข้างๆ
สาลินเดินหน้างอถือกระเป๋าและถุงเสื้อเข้ามา แล้วนั่งคุกเข่าลง ยกมือไหว้คุณตา คุณยาย
“สวัสดีค่ะ”
“อ้อ ดีลูก” ตารับไหว้ พลางมองชุดสาลินงงๆ
ยายยิ้มให้ “มาแล้วหรือแม่คุณ ว้าย ทำไมแต่งแบบนี้ ก่อนไปแต่งเป็นนางหงส์ กลับมาเป็นนางคนใช้”
“มีไอ้บ้าคนนึงขับรถไม่ดูทาง ฉีดน้ำโคลนใส่หนูจนเปียกไปหมดทั้งตัว ดีะคะที่พี่ที่ห้องสมุด เขายืมชุดแม่บ้านมาให้ใส่ก่อน หนูต้องตากหน้าใส่ชุดนี้ทั้งวัน อายคนเขาจะแย่”
ตาหัวเราะร่า “แล้วสัมภาษณ์งานเป็นยังไงลูก เขารับไหมในชุดแม่บ้านเนี่ย”
สาลินค่อยยิ้มออก เข้าไปนั่งประจบตา “รับค่ะ บอสฝรั่งให้หนูเริ่มงานวันพรุ่งนี้เลย”
“เก่งจริง ลูก”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ยายทำหน้าสงสัย “ได้งาน แล้วแม่มาทำหน้างอคอคอกทำไมยะ”
“ก็เพราะชุดแม่บ้านนี่แหละ ทำให้อีตาคุณชายทำท่าโก้คนนึงคิดว่าหนูเป็นสาวเสิร์ฟ สั่งอาหารหนูใหญ่ แถมยังต่อว่าหนูอีก”
” อ้าว เราแต่งชุดแบบนี้ คนเขาก็เข้าใจผิดเป็นธรรมดา”
“ตาขา หนูสวยออกอย่างนี้ บอสยังชมเลยว่า หนูอยู่ในชุดแม่บ้านหนูยังซ้วย สวย อีตาคุณชายนั่นตาต่ำ แยกไม่ออก”
ยายรีบโบกมือไล่ “ย่ะ แม่ตาสูง รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ เดี๋ยวฉันจะแยกแยะไม่ออกเข้าอีกคน จะใช้หล่อนไปล้างนังมอม”
“อย่าให้เจอนะ ทั้งนายคุณชาย ทั้งอีตาคนขับรถนั่น”
สาลินเดินบ่นกระปอดกระแปดขึ้นเรือนไป ตา ยายมองตาม ขำ ๆ
วันต่อมา ที่ชานเรือนไทย วางโต๊ะยาวปูผ้าแดงวางของไหว้เจ้าที่บรรพบุรุษแน่นขนัด
ยายของสาลิน ซึ่งเป็นลูกจีน แต่นุ่งซิ่น สวมเสื้อแขนกระบอก กำลังจุดธูปกำใหญ่ แล้วส่งให้ตา 3 ดอกก่อนจะส่งให้ยายพิณ กับนายผลลูกชาย ที่อยู่ในชุดคนขับแท็กซี่อยู่ใกล้ๆ ทุกคนไหว้เสร็จก็ปักธูป ยายหันรีหันขวาง
“เอ แล้วนี่ยายสา กับไอ้เจ้าแกะไปไหน”
ยายพิณรีบบอก “เอ เห็นอยู่หน้าเรือนค่ะ”
”ถึงเวลาไหว้เจ้าไหว้เชื้อมัวแต่ไปทำ.....”
ทันใดนั้น ประทัดก็ระเบิดแตกกระจายสนั่นหวั่นไหว ยายร้องตกใจ
“ว้าย”
ยายพิณยกมือทาบอก “อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก”
ประทัดยังระเบิดต่อเนื่อง สาลินกับเจ้าแกะนั่งยองๆ เอา 2 มือปิดหู พลางหัวเราะคิกคัก
ยายค่อยหายตกใจ ตาหัวเราะขำ
“รู้แล้วล่ะซี ว่ามันไปทำอะไรอยู่”
สาลินกับเจ้าแกะยิ้มแป้นขึ้นเรือนมา ยายค้อนตาคว่ำ
“ใครใช้ให้จุดยะ”
“คุณยายขา ไม่จุดก็พิธีไม่ครบตามธรรมเนียมซีคะ”
ยายค้อนอีก ตาแอบหัวเราะ สาลินชะโงกดูของไหว้
“กินได้หรือยังคะ”
“รอให้ธูปหมดดอกก่อนซีจ๊ะ อ้าว นี่หนูยังไม่ได้ไหว้เลย เจ้าแกะด้วย”
ยายพูดพลางรีบจุดธูปเพิ่ม 6 ดอก สาลินหน้างอ
“ว้า จุดใหม่ก็ต้องรออีกนานซีคะ เอายังงี้”
สาลินแย่งธูปมา แล้วรีบเอาลนไฟจนไฟลุกติด 2 ใน 3 ของตัวธูป ก่อนจะปัดให้ดับ ส่งให้เจ้าแกะ 3 ดอก เจ้าแกะหัวเราะ
สาลินกับเจ้าแกะรีบปักธูป ยายทำท่าจะเป็นลม
“แม่คุณ ไปเร่งเจ้าท่าน ระวังให้ดีเถอะ ท่านจะมาหักคอ”
“แหม หักทำไมคะคอหนู หักคอเป็ดดีกว่า ยายขาแล้วจะเอาอะไรไปบ้านโน้นดีล่ะคะ”
“แม่ศรีชอบขนมเทียน แม่หนูน่ะชอบฟักเชื่อม”
สาลินทำหน้าเมื่อย “ที่หนูห่วงไม่ใช่ของโปรดแม่กับพี่ศรีหรอกค่ะ แต่หนูห่วงว่าจะเอาอะไรไปถึงจะสมพระยศพระเกียรติคุณป้าต่างหาก คราวก่อนเอาไปให้น้อยไปหน่อย ยังโดนคุณป้ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยอยู่ตั้งนาน”
ตาถอนใจ “เฮ้อ ไอ้เราก็ดันต้องมาเกี่ยวดองหนองยุ่งกับผู้ดีเก่าเหง้าผู้ดีเสียด้วย”
ยายรีบพูดปลอบ “เอาเถอะ เอาเถอะ ไม่ว่ายังไง ผู้ให้ก็เป็นที่รัก ลูก”
สาลินคิกคักไม่ได้ทุกข์ร้อน แอบหยิบของมาทานเล่น แล้วแบ่งกับเจ้าแกะ
ที่ห้องโถงตำหนักเล็กที่ตกแต่งค่อนข้างเรียบไม่หรูหรามากนัก
หม่อมอำพันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีจรวยนั่งนวดขาให้ กำลังนั่งคุยกับนมย้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ
“พ่อคุณของแม่ ว่านอนสอนง่าย น่ารักกะร่อยกะหลิบ ดูซิ ขนาดเสด็จทรงเลี้ยงตารองมา ยังโปรดลูกโตมากกว่า”
หม่อมอำพันพร่ำรำพัน นมย้อยไม่เห็นด้วย แต่ไม่อยากขัด
“พอแต่งกับแม่สะใภ้นี่แล้ว สมบัติเสด็จจะไปไหนเสีย”
จรวยกัดริมฝีปาก ตาวาวขึ้นมาทันที นมย้อยพูดต่อ
“อิฉันคิดว่าเสด็จทรงโปรดคุณชายรองยังกะอะไรดี”
หม่อมอำพันเบะปาก “ก็ทรงเลี้ยงมาก็คงโปรดหรอก แต่ก็คงโปรดชายโตมากกว่า เพราะชายโตน่ะ
น่ารัก เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ได้ไม่มีที่ติ แต่ชายรองน่ะมัวแต่ทำขรึม วางท่าเป็นนักเรียนอังกฤษ จะพูดอะไรทีทำยังกะกลัวดอกพิกุลร่วง”
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ หม่อม”
“อีกอย่าง เสด็จคงทรงเห็นว่าตารองมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว แม่หญิงก้อยนั่นไง ไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยเหมือนชายโต”
จรวยนวดขาหม่อมอำพันเต็มแรง
“ว้าย เบาๆ ซิยะ นังจรวย ต๊าย นวดถลากถลำเส้นเอ็นพลิกหมด”
“ขอประทานโทษค่ะหม่อม”
พลันเสียงรถยนต์ 2 คัน ก็แล่นมาทางหน้าตำหนัก
“กลับกันมาแล้วละมั้ง”
จรวยรีบเผ่นพรวดไปทันที
หน้าตำหนักเล็กมีรถยุโรปหรู 2 คันจอดอยู่ ประตูรถคันแรกเปิดออก ชายโต ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์ ในมือมี
กระเป๋าเอกสารใบเล็กก้าวเดินลงมา จากนั้นประตูรถคันหลังเปิดออก ชายรองก้าวลงมา หอบกระเป๋า แฟ้มพะรุงพะรัง
“ไง นายรอง วันนี้กลับเร็วนี่”
“ครับ พี่โต”
“ไม่ไปสังสรรค์ที่ไหนหรือ”
กิตติราชนริทร์ส่ายหน้า “เย็นนี้เด็จป้ามีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าน่ะครับ เออ พี่โต คืนนี้ว่างไหม ผมมีเรื่อง
จะคุยด้วย”
“ได้ ที่จริงว่ามาเลยก็ได้นะ มีเรื่องอะไร”
กิตติราชนรินทร์อ้าปาก กำลังจะพูด แต่จรวยถลามาก่อน ชายโตหันไปมอง ดวงตาวิบวับขึ้นแว่บหนึ่ง
“คุณชายขา รวยถือกระเป๋าให้ค่ะ”
จรวยถือกระเป๋าใบเล็กบาง ตามชายโตเข้าในตำหนัก ชายรองมองดูกระเป๋ากับแฟ้มสูงเป็นตั้งในมือตนที่กำลังจะเลื่อนหล่น
นมย้อยพูดกับหม่อมอำพันต่อ
“เฮ้อ อิฉันคิดถึงคุณชายเล็ก”
“ไปคิดถึงมันทำไม ฉันห้ามไม่ให้มันไปเมืองนอก มันก็ไม่ฟัง ดิ้นรนไปเองจนได้ ดีไม่ดี ป่านนี้กลายเป็นไอ้จิ๊กโกโร่ ได้นังแหม่มเป็นเมียกี่โขลงแล้วไม่รู้”
“อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ คุณเล็กเธอเป็นคนใฝ่ดีจะตาย”
หม่อมอำพันหันขวับมาทันที “นี่นมย้อย ว่าฉันเลี้ยงลูกลำเอียงหรือ”
นมย้อยเกือบตอบว่าใช่ ชายโตเดินเข้ามาพร้อมจรวยที่รีบหลบเข้าหลังครัว ชายรองแบกแฟ้มและกระเป๋าตัวเอียงตามหลังมา หม่อมอำพันลุกทันที โผเข้าไปหาลูกชายคนโต พลางลูบหลังลูบไหล่ โดยไม่ได้สนใจชายรอง นมย้อยส่ายหน้า หลบเข้าส่วนครัวเพื่อสั่งน้ำมาเพิ่ม
“ชายโต เป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม”
“นิดหน่อยครับ”
จรวยถือถาดวางแก้วน้ำส้มกับน้ำเย็นถลามาคุกเข่า ชายโตมองเห็นคอเสื้อกว้าง ชายรองมองอย่างสังเกต
“คุณชายขา ดื่มอะไรดีคะ”
“นม...เอ๊ย น้ำส้มก็แล้วกัน”
จรวยค้อนอย่างมีจริต ชายโตคว้าแก้วน้ำส้มมาดื่ม
“รสชาติเป็นไงบ้างคะ นี่รวยคั้นเองกะมือเลยนะคะ”
หม่อมอำพันถลึงตามอง “นี่นังจรวย หล่อนชักจะมากไปแล้วนะยะ”
นมย้อยเดินนำเจียมที่เตรียมน้ำดื่มอีกถาดออกมา พอเห็นชายรองก็อุทาน
“อุ๊ยตาย คุณรอง ไม่มีใครช่วยเลยเหรอคะ”
“ขอบคุณครับนม”
นมย้อยช่วยเอาแฟ้มวางลงที่ไซด์บอร์ด ชายรองวางกระเป๋าแล้วยกมือไหว้ หม่อมอำพันพยักหน้ารับ
อย่างไม่สนใจ หันไปเสยปอยผมดิเรกราชวิทย์
“ต๊าย ชายโต เหงื่อไหลไคลย้อย ไปๆ ลุกไปอาบน้ำอาบท่าก่อน”
“ครับ” จากนั้นก็หันมาสั่งจรวย “ถือน้ำส้มขึ้นไปให้ฉันที”
จรวยตาวาว ชายรองและนมย้อยแอบสังเกตพฤติกรรม
“เดี๋ยวรวยเอาไปให้คุณชายที่ห้องนะคะ”
“เดี๋ยวแม่จะให้เขาตั้งของว่างที่ศาลาหลัง วันนี้มีกระทงทองของโปรดลูก ลงมาเร็วๆ นะลูก เดี๋ยวเราจะคุยเรื่องคู่หมายของลูก งามมากเชียวล่ะ หนูศรีจิตราเนี่ย”
ดิเรกราชวิทย์กับจรวยเดินออกไปเพื่อขึ้นไปชั้นบน หม่อมอำพันกระวีกระวาดไประเบียงหลัง เจียมกลับเข้าครัวไป
กิตติราชนรินทร์นั่งลงบนโซฟาแทน นมย้อยถือน้ำส้มและน้ำเย็นมาให้
“คุณรองขา น้ำค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ นม”
“เห็นไหมคะคุณรอง แม่จรวยน่ะ นับวันกับคุณโตยิ่งออกนอกหน้า”
“ครับ ผมจะคุยกับพี่โตคืนนี้ละครับ”
ที่โต๊ะเตี้ยใกล้ตั่งที่สำราญของคุณสร้อย
นายทิม ยายพิศ กำไล ช่วยลำเลียงปิ่นโตใหญ่ 2 เถา หม้อเคลือบ 4 ใบ มีตะกร้าไม้ไผ่สานใส่ขนมต่างๆอีก 5 ใบ แล้วยังมีกล้วยอีก 1 เครือ พร้อมกับขนุนยักษ์ ชะลอม อีก 3-4 ใบ บรรจุมะม่วง ฝรั่ง เป็นต้น มาวางหน้าตั่ง
สาลินตามมา สีหน้าภาคภูมิสะใจอยู่ พอเห็นอุ่นเรือนที่เดินรีบเร่งมาจากครัวกางมือออก ก็รีบยกมือไหว้
“มานี่ลูก ขอแม่กอดที”
“หลายทีก็ได้ค่ะ”
2 แม่ลูกกอดกันกลม แล้วผละออก
“ขนอะไรมามากมายลูก”
“วันนี้คุณยายไหว้อะไรก็ไม่รู้ค่ะ ตรุษก็ไม่ใช่ สารทก็ไม่เชิง”
“คุณยายน่ะ หาเรื่องไหว้ได้ทั้งปีแหละลูก”
สาลินยิ้มรับ “จะได้หาเหตุให้หนูเอาของมาฝากแม่บ่อยๆ ไงคะ”
คุณสร้อยเดินหน้าตึงออกมา มือเหลืองด้วยขมิ้น สาลินยกมือไหว้ ฝ่ายแรกรับไหว้ส่งๆ ก่อนนั่งลงบนตั่ง
“หล่อนเองหรือยะ แม่ลำโพงงานวัด มาทีเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน”
“แหม บ้านแถวนี้ที่กว้างเป็นไร่ อย่างเก่งก็ได้ยินแค่หลังถัดไป ไม่ถึงแปดบ้านหรอกค่ะ”
คุณสร้อยค้อนตาคว่ำ อุ่นเรือนจุ๊ปากปราม เอานิ้วแหนบขาลูกสาวเบาๆ
“แล้วนี่ขนอะไรมา ไหว้เจ้าไหว้ก๋งองค์ไหนกันยะ”
“หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ว่าไหว้กี่อย่าง ก็ขนมาให้คุณป้าหมดเลยค่ะ”
พูดไปสาลินก็ถอดปิ่นโตให้ดู กำไลรีบเปิดหม้อต่างๆ ที่ส่งควันร้อนกรุ่นโชย เห็นของไหว้ที่จัดมางามประณีต คุณสร้อยมองอย่างลืมตัว
“อุ๊ยตาย น่ากิ๊น น่ากิน”
พูดแล้วก็นึกได้ รีบปั้นหน้า “แต่ก็อย่างว่า ของไหว้ก็เท่านี้ ซ้ำๆ ซากๆ ซ้ำยังขนมาท่วมหัวท่วมหู”
อุ่นเรือนรีบเสนอ “งั้นก็แบ่งไปให้บ้านรอบๆ ด้วยซิคะ คุณพี่”
คุณสร้อยตาเขียว มีอาการราวจะเข้าไปโอบหม้อทั้งมวลไว้อย่างหวงแหน
“เรื่องอะไร เดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่าไปประจบประแจงเขา ยิ่งนังพิศ เจ้าทิม นังกำไลน่ะ ท้องยุ้งพุงกระสอบ ของแค่นี้ไม่ครนามัน ไป ไป ขนข้าวขนของไปเรือนครัวได้แล้ว”
ยายพิศ กำไล นายทิม รวมทั้งตาผลช่วยกันขนของไปเรือนครัว ศรีจิตราเพิ่งแต่งตัวเสร็จ เดินตัวเหลืองละออมา สาลินมองอย่างฉงน
“อุ้ย พี่ศรีเป็นอะไรคะ ตัวเหลืองยังกะสูบฝิ่น”
คุณสร้อยร้องตกใจ “ว้าย”
“พี่เพิ่งออกจากกระโจมอบตัว เหลืองนี่เหลืองขมิ้นยายสา”
สาลินจับแขนศรีจิตรามา ก้มลงดม “ฮิ ฮิ ฮิ พี่ศรีกลิ่นเหมือนไก่ย่างสถานีรถไฟเลย”
คุณสร้อยมองค้อน “ดู๊ ดู ปากมัน แม่คนนี้ ของดีว่าเน่า ขี้เต่าว่าหอม พี่สาวหล่อนน่ะ เขาต้องอบร่ำ
ตามตำรับชาววัง เพราะอีกหน่อยก็ต้องถวายตัวเข้าวังเสด็จแล้ว”
“ถวายตัว เข้าวัง ทำไมคะ”
“จะทำไม ก็ไปเตรียมตัวให้พร้อมน่ะซี”
สาลินถามต่ออีก “เตรียมตัวให้พร้อม พร้อมทำไมคะ”
“ก็พร้อมที่จะเป็นสะใภ้จ้าวน่ะซียะ ไม่เหมือนนังบางคน อย่างดีก็เป็นได้แค่สะใภ้ไพร่”
สาลินตาโต มองศรีจิตรา กับแม่ โดยไม่สนใจคำจิกกัดของคุณสร้อย
กิตติราชนรินทร์นั่งเขียนไดอารี่อยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอน ก่อนจะวางปากกาลง บนโต๊ะมีรูปของเทพีเพ็ญแสงอยู่ในกรอบเงินวาบวับ เมื่อนาฬิกาที่ข้างฝาตีบอกเวลาสองทุ่ม เขาก็รีบลุกขึ้น เพราะได้เวลาจะคุยส่วนตัวกับดิเรกราชวิทย์ก่อนจะออกจากห้องไป
กิตติราชนรินทร์ก้าวออกมาจากห้อง เห็นทางเดินค่อนข้างมืด มีเพียงไฟเหนือบันไดเปิดอยู่ดวงเดียวส่องแสงสลัวจังหวะจะเอื้อมมือจะไปเปิดสวิชท์ไฟ แต่ชะงักเพราะเห็นร่างอวบของจรวยย่องมา แล้วก้าวไปหยุดหน้าห้อง พลางเคาะประตูแผ่วเบา
“คุณชายขา จรวยเอานมมาให้ค่ะ”
ประตูห้องค่อยๆ แง้มออก มีมือขาวแข็งแรงดึงจรวยวูบหายไปในห้อง พร้อมกับเสียงหัวเราะระริก
ประตูปิดลงใหม่ กิตติราชนรินทร์ก้าวมาหน้าห้อง แล้วถอนใจ เดินกลับห้องไป
ศรีจิตรานั่งอยู่บนเตียง สาลินนั่งอยู่ข้าง ๆ หน้าหงิกงอ อุ่นเรือนเลือกเสื้อและผ้าซิ่นที่จะให้ลูกสาวเปลี่ยน
“ไปทำงานที่ห้องสมุดแล้วค่ะ ก็สนุกดี เพื่อน ๆ น่ารัก มีแต่อีตาบอสฝรั่งเท่านั้นแหละค่ะ ที่ชอบมาทำตาหวานใส่”
“เขามาชอบสาเหรอ” พี่สาวหันมาถาม
“ไม่รู้ แต่สาไม่ชอบเขาหรอก พี่ศรี แม่ขา พอเรื่องของหนูเถอะ เล่าเรื่องคู่หมายของพี่ศรีดีกว่า มันเป็นมายังไง”
อุ่นเรือนรีบอธิบาย “คือ เสด็จพระองค์หญิงที่วังวุฒิเวสม์น่ะลูก ทรงมีหลานชาย 3 คน เรียกกันว่า
คุณชายโต คุณชายรอง แล้วก็คุณชายเล็ก”
“แล้วคุณชายคนไหนละคะ ที่จะมาเป็นคู่หมายของพี่ศรี”
ศรีจิตราส่ายหน้า “พี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าคนไหน”
“หา ! แล้วจะแต่งกันไปได้ยังไง”
“ก็อีกหน่อย คงจะได้เจอตัวทำความรู้จักกัน”
สาลินเบ้ปาก “ โธ่ ใครก็ไม่รู้ หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเกิดปากเบี้ยว ตาเหล่ ฟันเหยินล่ะ”
อุ่นเรือนอ่อนใจ ตีลูก 1 ที ศรีจิตราหัวเราะขำ คุณสร้อยเดินผ่านมาหน้าห้อง ก็เลยแอบฟัง
“ดู๊ ปากคอ คุณชายวังนั้นน่ะ งามๆ กันทุกคน”
ศรีจิตรายิ้มนิดนึง “ พี่ก็ได้ยินมาว่าอย่างงั้น”
สาลินทำหน้าเบ้ “งาม แต่นิสัยใจคอล่ะคะ ถ้าเกิดใจทมิฬหินชาติ หรือขี้เหล้า เจ้าชู้เป็นไฟ หรือว่ามีเมียเก็บเมียซุกเมียซ่อนอยู่แล้วล่ะคะ”
คุณสร้อยปราดเข้ามาทันที
“ว้าย นังสู่รู้ ไปว่าคุณชายเขา พี่เราน่ะเขาจะได้เป็นสะใภ้จ้าว แทนที่จะดีใจติดใบบุญพี่เขาไปอบร่ำเป็น
ผู้ดิบผู้ดีชาววัง กลับมาเสี้ยมพี่สาวไม่ให้แต่งเสียนี่”
“คุณป้าขา หนูไม่อยากไปอบร่ำเป็นชาววังหรอกค่ะ เจ้าเดี๋ยวนี้ขายวังกินถมถืดไป อีกอย่าง นี่มันยุคอวกาศแล้วนะคะ มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้ว”
อุ่นเรือน กับศรีจิตราสะดุ้งโหยง
“แม่อุ่น ดูลูกสาวหล่อนนะ นี่คงอ่านหนังสือพวกหัวรุนแรงมาแน่ ๆ ถึงได้มีความคิดขวางโลกแบบนี้”
สาลินเถียงอีก
“สาไม่ได้ขวางโลก แต่สาเชื่อว่าคนเราแต่งงานกัน ก็ต้องแต่งเพราะความรัก ไม่ใช่ถูกบังคับแต่ง”
คุณสร้อยมองค้อน “แหม แม่หัวสมัย แก่แดดนักนะ รู้จักด้วยเหรอความรักน่ะ”
“ก็อ่านในหนังสือไงคะ”
“อ้อ นิยายประโลมโลกย์ทั้งนั้น ไม่ต้องมาเถียงฉัน ฉันน่ะผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านโลกมามากกว่าแก”
“แล้วคุณป้ารู้จักความรักด้วยเหรอคะ” สาลินย้อนกลับ
คุณสร้อยอ้าปากค้าง เช่นเดียวกับอุ่นเรือนและศรีจิตรา
“ยายสา ขอโทษคุณป้าเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องขอโทษ แต่ฉันจะสำเร็จโทษมัน ไม้เรียวอยู่ไหน ไม้แขวนเสื้อก็ได้”
อุ่นเรือนร้องห้าม “ว้าย คุณพี่ อย่าค่ะ”
คุณสร้อยหยิบได้ไม้แขวนเสื้อ ไล่ตี สาลินร้องวี้ดว้าย แล้ววิ่งออกไปที่ระเบียง อุ่นเรือนและศรีจิตราวิ่งตาม
สาลินวิ่งวนจนคุณสร้อยหมดแรง เรอดังเอิ้ก อุ่นเรือนและศรีจิตรต้องช่วยประคองลงนั่ง
“โอย ฉันละเหนื่อยกับหล่อนจริง ๆ นังชะนีพิกุลทอง”
อุ่นเรือนทำตาดุ “มาขอโทษคุณป้าเดี๋ยวนี้”
ลินมานั่งพับเพียบข้างๆ แล้วกราบ
“หนูขอโทษค่ะคุณป้า แต่แหม หนูเห็นว่าเราเข้ายุคอวกาศ ไปเดินดวงจันทร์กันแล้ว ทำไมเรายังมาติดธรรมเนียมโบราณกันอยู่”
“อย่ามาเห่อเรื่องเหยียบดวงจง ดวงจันทร์เลย เขาเหยียบกันมานมนานกาเลแล้ว”
3 แม่ลูกมองหน้ากันงงๆ ศรีจิตรารีบถาม
“ใครเหยียบดวงจันทร์มานมนานคะคุณป้า”
“จะใคร ก็คนไทยน่ะซิ เราถอดจิตไปดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์มาแต่ไหนแต่ไร อย่าได้เห่อเชื่อมันฝรั่งมันเชียว”
3 แม่ลูกกลั้นหัวเราะ
“แล้วไม่ต้องมาทำรู้มากปากเสีย ยายศรีได้เป็นสะใภ้จ้าววังวุฒิเวสม์น่ะเพราะใคร รู้ไหม”
สาลินส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ”
“เพราะฉันไง ฉับอบรมขัดเกลายายศรีมากับมือ จนเป็นผู้รากมากดี เป็นแม่ศรีเรือน เสด็จทรงเล็งเห็นถึงได้ทรงเลือกยายศรี”
“เป็นพระคุณเหลือเกินค่ะ แล้วตกลงพี่ศรีจะเป็นคู่หมายใครคะ”
“คุณชายโตไง นั่นก็เป็นข้าราชการอนาคตไกล ต่อไปก็จะได้เป็นคุณชายปลัดเป็นคุณชายเจ้ากระทรวง โก้หร่าน เหมาะกับยายศรีราวกิ่งทองใบหยก”
3 แม่ลูกหันมองหน้ากัน
เช้ารุ่งขึ้น
ดิเรกราชวิทย์หน้าเครียดมองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมกับจิบกาแฟร้อน ๆ ไปด้วย ชายรองอยู่ในเชิ้ตไท พร้อมไปทำงานเช่นกัน ยืนอยู่ในห้อง
“นายรู้เรื่องฉันกับจรวยเมื่อไหร่”
“ไม่กี่วันนี่ล่ะครับ”
“ใครมันปากดีนักนะ”
กิตติราชนรินทร์พยายามอธิบาย “คนที่มาเตือนน่ะเขาหวังดีนะครับ เพราะไม่อยากให้เรื่องพี่โตกับสาวใช้
ต้องอื้อฉาวไปถึงตำหนักใหญ่ หรือแค่ถึงหม่อมแม่ก็คงเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง เลิกกับจรวยงั้นเหรอ”
“ก็คงต้องอย่างนั้น”
ดิเรกราชวิทย์ยิ้มหยัน “ แล้วนายจะให้ฉันไปรักกับยายหลานสาวคุณสอางค์อะไรนั่น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคย
เห็นหน้าค่าตางั้นเหรอ”
“พี่จะขัดพระประสงค์ของเสด็จเหรอครับ”
“ฉันยอมแต่ง แต่ฉันก็ต้องมีเมียรองไว้ปรนนิบัติส่วนตัวฉันเหมือนกัน”
“หมายความว่าพี่จะไม่เลิกกับจรวย” ชายรองถามย้ำ
“ไม่เลิก.....”
“ ถ้าอย่างนั้นผมเห็นว่า พี่ก็ควรกราบทูลความจริงเด็จป้าทั้งหมด การหมั้นหมายจะได้ล้มเลิกไป”
ดิเรกราชวิทย์มองหน้าน้องชาย “ชายรอง เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่พี่ตัดสินใจดีกว่านะ ถึงเสด็จจะทรงมอบหมายให้นายจะเป็นคนดูแลคนในตำหนักเล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่านายจะมาควบคุมเรื่องส่วนตัวของฉันได้”
ขาดคำ จรวยวิ่งเข้ามาพร้อมรองเท้าที่ขัดจนเป็นมันปลาบ
“คุณชายขา จรวยขัดรองเท้าให้แล้วค่ะ”
ครั้นเมื่อเห็นกิตติราชนรินทร์ก็ชะงัก ทำท่าจะถอยออกไปจากห้อง ชายรองมองทั้งคู่ ก่อนจะเดินออกไปอย่างเย็นชา ชายโตมองตาม จรวยมองตามยิ้มอย่างสะใจ
“ตั้งใจใช่ไหมเนี่ย”
จรวยยิ้มยั่ว ชายโตยิ้มพึงใจ
“เธอนี่ร้ายไม่ใช่เล่น”
“ไม่มีใครมาพรากจรวยจากคุณชายได้หรอกค่ะ”
จรวยวางรองเท้า แล้วนวยนาดเข้ามากอดชายโตแนบแน่น
รถของกิตติราชนรินทร์แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกแบบยุโรปงดงาม
แต่ไม่ใหญ่โตนัก กิตติราชนรินทร์ก้าวลงจากรถ ศศิรัชนี ลงมาจากเทอเรซพร้อมกับรื่น สาวใช้
ศศิรัชนียกมือไหว้ “คุณรอง สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ หญิงกลาง” กิตติรับไหว้
“ยายก้อยอยู่ที่หลังตำหนักค่ะ”
กิตติราชนรินทร์มีอาการหนักใจ ศศิรัชนียิ้มปลอบใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณกลาง หม่อมแม่กับหญิงช่วยกันกล่อม จนยายก้อยหายงอนแล้วล่ะค่ะ”
บริเวณเทอเรซหลังมีชุดเก้าอี้สนามหวาย แต่บุผ้าหรูหรา รอบด้านเต็มไปด้วยไม้ประดับแพรวพราว เทพีเพ็ญแสงอยู่ในชุดอยู่บ้านซึ่งเป็นแมกซี่ยาวกรอมเท้า เธอสวมสลิปเปอร์ปักเพชรเทียมวูบวาบนั่งอยู่บนโซฟายาว ชายรองนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน เทพีเพ็ญแสงยังมีแววน้อยใจหน้าเศร้า กิตติราชนรินทร์ยิ้มวิงวอน
“ยกโทษให้ผมนะครับ หญิง”
เทพีเพ็ญแสงอ่อนลงโดยยิ้มเล็กน้อย
“ก็ได้ค่ะ”
กิตติราชนรินทร์เอื้อมมือมากุมมือเทพีเพ็ญแสง
“แต่โปรดเข้าใจผมด้วยนะครับ เรื่องการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนักการทูต”
“หญิงเข้าใจค่ะคุณรอง แต่คุณรองทำเหมือนหญิงไม่มีหัวจิตหัวใจ ไม่แคร์ความรู้สึกของหญิงเลย”
“ใครว่า หญิงก้อยคือคนที่ผมแคร์มากที่สุด แต่หญิงต้องเข้าใจด้วยว่าถ้าเราแต่งงานกัน หญิงคือภริยานักการทูตในอนาคต มีหน้าที่ต้องสนับสนุนงานของสามีในทุก ๆ ด้าน หญิงจะเอาตัวเป็นที่ตั้งแบบนี้ไม่ได้”
เทพีเพ็ญแสงนิ่งงันไปแล้วความโกรธก็ขึ้นมาอีกครั้ง แต่เธอยังระงับไว้ได้
“เหรอคะ”
“หญิงต้องตามผมไปอยู่ต่างประเทศ และอาจจะย้ายไปหลายประเทศด้วยซ้ำ หญิงต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้คน หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปให้ได้ เข้าใจใช่ไหมครับ” กิตติราชนิรนทร์ถาม
“ค่ะ เข้าใจ หญิงต้องหมุนไปตามโลกของคุณชายท่านทูต”
“ไม่เอานะ อย่าพูดประชดแบบนั้น หญิงต้องเลิกทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ที่ต้องให้ใครต่อใครมาพะน้อเอาใจอยู่ตลอดเวลา หญิงเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ”
เทพีเพ็ญแสงนิ่งงันด้วยความโกรธ แต่แล้วก็เปลี่ยนลีลาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ กิตติราชนรินทร์มองอย่างเอ็นดู
“ค่ะ หญิงขอโทษ หญิงผิดไปแล้ว”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มยินดีก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งด้วย
“อีกไม่นาน ผมจะทูลเชิญเสด็จให้ทรงพระกรุณาสู่ขอหญิงก้อยแต่งงานกับผม”
“ค่ะ”
กิตติราชนรินทร์ตื้นตันใจ เขาถอดแหวนออกจากนิ้วซึ่งเป็นแหวนเกลี้ยงที่มีหัวแหวนฝังพลอยก่อนจะใส่ลงบนนิ้วนางของเทพีเพ็ญแสง
“นี่ยังไม่ใช่แหวนหมั้น แต่นี่เป็นแหวนที่ผมรักที่สุด ขอให้แหวนนี่เป็นแหวนแทนใจผม”
“นี่แหวนผู้ชายนี่คะ” เทพีเพ็ญแสงว่า
“แหวนนี้ท่านพ่อทรงสวมติดนิ้วไว้เสมอ แล้วท่านพ่อประทานให้ผมก่อนท่านสิ้น”
“ขอบคุณค่ะ คุณรอง”
กิตติราชนินิทร์กอดเทพีเพ็ญแสงไว้ เทพีเพ็ญแสงกรายมือดูแล้วทำจมูกย่นอย่างไม่พึงใจนัก
เทพีเพ็ญแสงนั่งตรงหน้าวิรงรอง ห้องทำงานของเขาตกแต่งแนวโมเดิร์นของยุคสมัย แต่ตัวตึกนั้นเป็นแบบเก่า
“ภริยาทูตงั้นเหรอ ตกลงแต่งงานกันไป ฉันต้องกลายเป็นยายเมียทูต เดินตามผัวต๊อก ๆ ไปอยู่ประเทศโน้น ประเทศนี้ ต้องทำพินอบพิเทากับทุกคนทุกสังคมที่ผัวพาไปรู้จัก”
“นั่นแหละหน้าที่ภริยาผู้เพียบพร้อม เธอไม่ต้องการหรอกเหรอ” วิรงรอง
“แล้วชีวิตฉันอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันก็อยากมีชีวิตของฉันเองบ้างซี นี่มันยุคเสมอภาคทางเพศแล้วนะ”
“หญิงก้อยขา หัวสมัยมากไม่ได้นะคะ เพราะหญิงกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายหัวเก่าอย่างคุณชายรอง”
เทพีเพ็ญแสงจิบกาแฟแล้วหยิบแหวนกิตติออกมาจากกระเป๋า
“ติ่ง เธอดูนี่”
วิรงรองมอง “แหวนผู้ชาย ทำไมเหรอ”
“นี่แหละ แหวนท่านพ่อของคุณรอง คุณชายให้ฉันไว้แทนแหวนหมั้น”
“อุ๊ย” วิรงรองดูชื่อที่สลักไว้ “วุฒิวงศ์”
“คุณรองคิดยังไง ให้แหวนราคาถูกแบบนี้กับฉัน”
“เอ แต่มีคุณค่าทางจิตใจนะจ๊ะ แหวนท่านพ่อแท้ ๆ แหวนหมั้นของจริงอาจจะเพชรระยิบก็ได้นะ”
“ฉันชักลังเลแล้วละติ่ง”
“ลังเลเรื่อง”
“แต่งงานกับคุณชายน่ะซี”
“ว้าย หญิงคะ พูดเหมือนหมดรักคุณชายเสียแล้ว”
“ก็รัก แต่ไม่อยากถูกจองจำ”
วิรงรองแอบขำ “คิดอย่างนั้นไม่ได้นะคะ รักคือการเสียสละ”
เทพีเพ็ญแสงถอนใจ “เฮ้อ หญิงเบื่อจัง อยากหนีไปไกลๆ”
“เบื่อ อยากหนีไปไกล ๆ งั้น คืนนี้ปาร์ตี้กันไหม จะแนะนำกลุ่มนักเรียนนอกจากมะกันให้รู้จัก กลุ่มนี้ทั้งหล่อทั้งรวย”
เทพีเพ็ญแสงตาวาวด้วยความสนใจทันที “ใคร”
“ไปกับฉันคืนนี้ งานนี้เริ่ดสะมันเตาเชียวละ”
เทพียิ้ม วิรงรองแอบยิ้มตามที่หลอกล่อได้สำเร็จ
บรรดาขาแดนซ์ในไนท์คลับกำลังเต้นทวิสต์กันอย่างเมามัน แบนด์กีตาร์ไฟฟ้าและกลอง เล่นเพลงร็อคตามสมัยนิยมกันอยู่ นักดนตรีใส่ชุดสูทแบบสี่เต่าทอง
อัศนีย์ จิตติน จิตริณี วิรงรอง และเพื่อนอีกชายหญิงอีกสองคนที่มีท่าทางร่ำรวยเป็นลูกเศรษฐีกันทั้งหมดกำลังวาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์ จิตริณีหัวเราะจวนจะหมดแรงก่อนจะทำสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว อัศนีย์เข้ามาโอบจิตริณีเดินกลับมาที่โต๊ะมุมห้อง วิรงรองมองตาม ศุภรกำลังเต้นกับสาวสวยหนึ่งนางอยู่อีกด้านของฟลอร์
“โอย ฉันไม่ไหวแล้วอาร์นี่”
“ดื่มเสียหน่อย” อัศนีย์บอก
“ถามหน่อยเถอะ ตั้งแต่เรียนจบกลับมากรุงเทพ พวกเธอเที่ยวกันทุกคืนเลยเหรอ”
“จะให้ทำอะไรล่ะ” อัศนีย์ถาม
“อุตส่าห์เรียนมาทั้งที ไม่คิดจะทำงานเป็นเรื่องเป็นราว คือ ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองบ้าง”
“จะให้ทำอะไร ช่วยแด้ดเหรอ ไม่ไหวล่ะ เดี๋ยวไปทำกิจการแด้ดเจ๊ง แกยิ่งว่าว่าฉันไม่เอาถ่านอยู่”
“ก็เลยไม่ทำอะไร ลอยชายไปเรื่อยๆ”
“ไม่แน่ อาจจะกลับไปอเมริกา ไปอยู่เที่ยวอีกสักปี หรือไม่ก็ ฉันอาจจะหาเมียดี ๆ สักคน”
“เมียแหม่มเหรอ”
“ไม่เอาละ สาวไทยนี่แหละสวยสุด อย่างเธอนี่ไง”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
อัศนีย์มองจิตริณีตาหวาน จิตริณียิ้มหยัน
“อาร์นี่ ถ้านี่คือการจีบผู้หญิง ก็เป็นการจีบที่ล้มเหลวที่สุดเลยย่ะ”
อัศนีย์หัวเราะ จิตตินพาวิรงรองกลับมาแล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เลื่อมประภัส ฉัตรอาชาเดินกลับมาที่โต๊ะ
“โอ๊ย ฉัตรเบื่อเจ๊เลื่อม เมาแล้วชอบเลื้อย ไม่เปิดโอกาสให้ฉัตรบ้างเลย”
“โอย ไอ้จิตติน ทำไมเท้าไฟขนาดนี้ ติ่งเต้นไม่ทันเลยค่ะ” วิรงรองว่า
“ลองมาฝึกอีกสักสองคืน คุณติ่งเท้าไฟกว่าผมแน่”
“ค่ะ”
“ยายติ่ง ไหนว่าวันนี้จะนักเดทให้ผมไง”
จิตริณีนิ่งไปทันที
“เดี๋ยวสาวเจ้าก็มาค่ะ”
“เฮ้ย นัดเดทใครวะ”
อัศนีย์บอก “เดี๋ยวก็รู้ อยากเห็นตัวจริงว่าสวยเหมือนปกหนังสือรึเปล่า”
จิตริณีหน้าเจื่อนไป
ศศิรัชนีกำลังพูดสายกับกิตติราชนรินทร์ที่โถงวังรัชนีกุล
“อ้าว หญิงก้อยไม่ได้ไปกับคุณรองเหรอคะ”
กิตติราชนรินทร์ที่พูดสายอยู่ในห้องนอนของตนทำสีหน้าแปลกใจ
“ไปไหนครับ”
“เห็นว่าจะไปเที่ยวไนต์คลับ” ศศิรัชนีว่า
“หญิงก้อยบอกว่าจะไปกับผมเหรอครับ”
“เออ งั้น กลางคงเข้าใจผิดน่ะค่ะ”
“หญิงกลาง โปรดพูดความจริงกับผมเถอะครับ”
ศศิรัชนีอึ้งไปก่อนจะสารภาพ “ค่ะ หญิงก้อยบอกว่าไปกับคุณรอง”
กิตติราชนรินทร์รู้สึกเจ็บวูบขึ้นมาแต่พยายามข่มอารมณ์
กิตติราชนรินทร์พูดเสียงแหบแห้ง “ขอบคุณครับหญิง”
กิตติราชนรินทร์วางหูแล้วทรุดลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง
เทพีเพ็ญแสงเดินเข้ามาในผับด้วยท่วงท่าสง่างาม ชุดของเธอเป็นแส็คมินิสเกิร์ตที่มีเลื่อมระยับ ผมรวบสูง ปล่อยเป็นหางม้า ใบหน้าของเธอแต่งเข้มแต่ดูลึกลับทรงอำนาจอย่างประหลาด จังหวะนั้นเพลงก็เปลี่ยน เพลงแดนซ์จบลงกลายเป็นเพลงแจ๊สร้อน ๆ แสงในผับเปลี่ยนสีทาบลงร่างเทพีเพ็ญแสงดูราวนางพราย
วิรงรองพูด “คุณหญิงมาแล้วค่ะ”
อัศนีย์และทั้งโต๊ะหันมา อัศนีย์มองเทพีเพ็ญแสงแล้วก็ตะลึงจึงลุกขึ้นทันที วิรงรองรีบเข้าไปต้อนรับเทพีเพ็ญแสง
“โอ้โห ไอ้อัศ นี่น่ะเหรอคู่เดทแก” จิตตินถาม
“ใช่”
“ใครวะ สวยยังกะนางสวรรค์”
“คุณหญิงเทพีเพ็ญแสงหรือหญิงก้อย แห่งวังรัชนีกุลค่ะ”
“ว้าว เล่นของสูงจริง ๆ ไอ้อัศ”
“สวยอะไรอย่างนี้”
อัศนีย์ลุกไปหาเทพีเพ็ญแสงทันที จิตริณีมองอย่างเซ็งๆ อัศนีย์ตรงมาหาเทพีเพ็ญแสงที่ยังยืนคุยกับวิรงรอง
“สวัสดีครับ คุณหญิงเทพีเพ็ญแสง รัชนีกุล เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ”
เทพีเพ็ญแสงมองอัศนีย์อย่างพึงพอใจ
“ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผม”
“คงไม่ต้องมังคะ เพราะใคร ๆ ในสังคมไฮโซ ก็ต้องรู้จักคุณ อัศนีย์ เถลิงการอยู่แล้ว”
“โอ ผมดังขนาดนั้นเชียว”
“ตกลงไม่ต้องแนะนำกันแล้วนะคะ งั้นตามสบายนะคะ”
“เรารู้จักกันและกันแล้วละครับ รู้จักก่อนได้พบตัวจริงกันเสียอีก ใช่ไหมครับคุณหญิง”
“ถ้ารู้จักจริง อย่าเรียกให้ห่างเหินอย่างนั้นซีคะ เรียกหญิงก้อยเถอะค่ะ”
“งั้นก็ต้องเรียกผมว่าอาร์นี่” อัศนีย์บอก
“ได้ค่ะ อาร์นี่” เทพีเพ็ญแสงว่า
“เชิญทางนี้เลยครับ”
อัศนีย์พาเทพีเพ็ญแสงไปที่โต๊ะพิเศษด้านใน วิรงรองตามไป
จิตตินเอ่ยขึ้น “โอ้โฮ แยกโต๊ะเลยแฮะคุณจิต ไอ้อัศนี่ร้ายจริง ๆ”
“คราวนี้ชั้นคงได้ข่าวใหญ่ไปลงคอลัมน์แล้วค่ะ”
จิตริณีไม่รู้สนุกอีกแล้ว
อัศนีย์ เทพี และวิรงรองสั่งเครื่องดื่มจากบริกร อีกมุมหนึ่งศุภรและเพื่อนผู้หญิงนั่งอยู่ด้วยกัน ศุภรมองไปยังเทพี
“คุณศุภร มองสาวที่ไหนคะ”
“คุณน้อง ช่วยดูหน่อยซีครับ นั่นใช่คุณหญิงก้อยรึเปล่า” ศุภรถาม
“ใช่ค่ะ เธอมากับใครคะ คุณชายรองเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ”
“คุณอัศนีย์ เถลิงการ”
“ผมขอตัวสักครู่”
ศุภรมองอัศนีย์ที่เอาอกเอาใจเทพีเป็นพิเศษอย่างแคลงใจ
กิตติราชนรินทร์กำลังดื่มอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยหน้าตาสลดหดหู่ นมย้อยเคาะประตู
“เชิญครับ”
นมย้อยเข้ามาพร้อมนม
“ดื่มนมค่ะคุณรอง อุ้ย” นมย้อยวางแก้วนม “คุณรองดื่มทำไมคะ ปรกติคุณจะดื่มเฉพาะวันหยุดนี่คะ พรุ่งนี้จะต้องทำงานด้วย” นมย้อยดูขวดเหล้า “ตายจริง นี่ดื่มเข้าไปเยอะแล้วนะคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
กิตติราชนรินทร์มองนมย้อยแล้วหลบตา
“ไม่มีอะไรหรอกครับนม”
“บอกนมเถอะค่ะ คุณน่ะผิดกับคุณชายเล็กจริงจริ๊ง รายนั้นมีอะไรก็เล่าหมด แต่คุณน่ะชอบเก็บไว้กับตัว แล้วก็เครียดอยู่คนเดียว”
กิตติยิ้มเศร้า “ผมไม่อยากให้ใครเป็นภาระนี่ครับ”
“ไม่ใช่ภาระอะไรเลย ถ้าคุณระบายออกมาเสียบ้าง ก็ไม่ต้องแบกภาระหนักอึ้งไว้คนเดียว”
“นมครับ ผมกำลังสงสัยว่าหญิงก้อยรักผมบ้างรึเปล่า”
นมย้อยนิ่งไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องใหญ่จริง ๆ เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เล่าซีคะ เรื่องเป็นยังไง”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“โทษครับ”
กิตติราชนรินทร์รับสาย
“สวัสดีครับ ว่าไงศุภร”
ศุภรโทรศัพท์อยู่ที่โถงล็อบบี้ของโรงแรม
“เฮ้ย ไอ้หม่อม แกรีบมาที่ฮอลลิเดย์เดี๋ยวนี้เลย”
“มีอะไรวะ” กิตติถาม
“หญิงก้อยแกน่ะซี กำลังเฟลิตอยู่กับลูกชายนายอรรถ เถลิงการ แกควรมาดูให้เห็นกับตานะโว้ย”
กิตติราชนรินทร์นิ่งงัน นมย้อยที่อยู่ข้างหลังมองด้วยความเป็นห่วง
กิตติราชนรินทร์หน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้าเดินเข้ามาในผับพร้อมศุภร
คนมากมายกำลังแดนซ์เมามัน จิตติน วิรงรอง จิตริณี และเพื่อนเต้นกันอีกครั้ง
“เฮ้ย นี่แกกินเหล้าเข้าไปกี่ขวดวะเนี่ย หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย” ศุภรว่า
“ฉันไม่เป็นไรหรอก หญิงก้อยอยู่ไหน” กิตติถาม
“หาก่อน คนมันเยอะโว้ย โน่นไง กำลังแดนซ์อยู่กับนายอัศนีย์ ตรงนั้น”
กิตติมองตามไปก็เห็นอัศนีย์แค่ด้านหลัง เทพีเพ็ญแสงกำลังออกลีลาอย่างร้อนแรงกับอัศนีย์ กิตติราชนรินทร์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เทพีเพ็ญแสงปล่อยตัวกับอัศนีย์ถึงขั้นโอบรอบคอของอัศนีย์ อัศนีย์จับเอวเทพีเพ็ญแสงแล้วเหวี่ยงหมุนตัว แล้วหมุนกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของอัศนีย์อีกครั้ง อัศนีย์ดึงเทพีเพ็ญแสงออกมาจากฟลอร์ กิตติราชนรินทร์จะตามไปแต่มีอาการเซ ศุภรยึดไว้
“เฮ้ย ไหวไหมวะ”
“ไหวซีวะ”
กิตติราชนรินทร์ดันศุภรออกแล้วเดินแยกไป ศุภรเดินตามไปห่าง ๆ
อัศนีย์ดึงเทพีเข้ามาในมุมมืด ทั้งสองประสานสายตากันอย่างดูดดื่มและเคลิบเคลิ้ม อัศนีย์โน้มใบหน้าเข้ามาที่ข้างหูของเทพีแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหู เทพีหัวเราะระริก ใบหน้าของทั้งสองคลอเคลียกันอยู่
กิตติราชนรินทร์เดินตามมายืนมองอยู่ในเงามืดห่าง ๆ
อัศนีย์เชยคางของเทพีขึ้นมาแล้วทำท่าเหมือนจะประทับจูบ เทพีเบือนหน้าหนีไป กิตติราชนรินทร์เดินเข้ามาทันที
“เทพีเพ็ญแสง”
เทพีเพ็ญแสงมองข้ามไหล่อัศนีย์แล้วผงะจากร่างอัศนีย์ทันที
“คุณรอง”
อัศนีย์หันขวับมาอย่างแปลกใจ
“เรามีเรื่องต้องพูดกัน”
กิตติราชนรินทร์เข้ามาคว้าแขนของเทพีเพ็ญแสง ศุภรตามมาเบื้องหลัง
“ปล่อยนะคะ”
กิตติราชนรินทร์ตวาด “เราต้องคุยกันเดี๋ยวนี้ เทพีเพ็ญแสง”
“ไม่ หญิงไม่คุยกับคุณรองตอนนี้”
กิตติราชนรินทร์กระชากร่างเทพีเพ็ญแสง เทพีเพ็ญแสงร้องเจ็บอย่างมารยา อัศนีย์เข้ามายึดร่างเธอไว้
“เฮ้ย นาย คุณหญิงไม่อยากคุยกับนาย ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
กิตติราชนรินทร์มองหน้าอัศนีย์ อัศนีย์จ้องตอบแล้วผลักอกกิตติจนกิตติเซไป แล้วสวนหมัดเข้าเต็มหน้าอัศนีย์ อัศนีย์เซ เทพีเพ็ยแสงกรีดร้อง อัศนีย์ถลาเข้ามาประชิดร่างกิตติจะแลกหมัด ศุภรเข้าขวางคนทั้งคู่
อัศนีย์ชกเข้าเต็มหน้าศุภร ศุภรเซ กิตติราชนรินทร์ สวนหมัดคืนเข้าหน้าอัศนีย์อีกหมัดจนอัศนีย์ล้มไปกับพื้น เทพีเพ็ญแสงกรี๊ดลั่น
กลุ่มของจิตติน วิรงรอง จิตริณี และคนอื่น ๆ วิ่งมาดูเหตุการณ์
“เฮ้ย อะไรกันวะ” จิตตินถาม
จิตตินผลักกิตติเซไป จิตริณี และเพื่อนช่วยประคองอัศนีย์ลุกขึ้น ทั้ง กิตติ ศุภร และจิตตินทำท่าจะแลกหมัดกันอีก
วิรงรองร้องออกมา “ว้าย คุณชายรอง คุณจิตตินอย่าค่ะ”
“เฮ้ย” ศุภรชี้หน้าอัศนีย์ “หญิงก้อยที่นายกำลังคลอเคลียอยู่นี่ คือคนรักของคุณชาย เข้าใจไว้เสียด้วย”
อัศนีย์กับจิตตินนิ่งลง แต่ยังมีท่าทียียวนอยู่
“จะชายรอง หรือชายกระโปรงที่ไหน หรือใครมันจะรักใคร ฉันไม่สน ถ้าคุณหญิงไม่อยากไปกับไอ้คนนี้แล้วมาใช้กำลังบังคับแบบนี้ ฉันถือว่าฉันปกป้องคุณหญิงโว้ย” อัศนีย์ว่า
“เฮ่ย ให้คนที่เขาเป็นแฟนกันปกป้องกันเองดีกว่าว่ะ โดยเฉพาะปกป้องจากไอ้พวกแย่งแฟนคนอื่นหน้าด้าน ๆ น่ะ”
“ซดแม่งเลย”
สองหนุ่มทำท่าจะเข้าถึงกิตติและศุภรที่กำหมัดเตรียมพร้อม วิรงรองตวาดแว้ด
“หยุด หยุดโว้ย”
ทุกคนอึ้งไปด้วยความตกใจกับอาการห้าวของวิรงรองมากกว่า
“หญิงก้อย กลับไปกับคุณชายค่ะ” วิรงรองบอก
“แต่”
“เดี๋ยวนี้ค่ะหญิง”
เทพีเพ็ญแสงอึ้ง
“ไปกับผม หญิงก้อย”
กิตติราชนรินทร์ดึง เทพีเพ็ญแสงแยกไปทันที ศุภรมองหน้าทั้งอัศนีย์และจิตติน ขยับปกแจ็คเก็ตกวนตีนก่อนจะแยกไป
“คุณชายวังไหนวะ เจอบาทาคุณชายหลังวังอย่างพวกเราสักหน่อย ขี้คร้านจะวิ่งหางจุกตูด”
วิรงรองทำท่าเป็นผู้ดีใหม่ “อย่ามีเรื่องเลยคะ ไม่คุ้มหรอก กลับไปสนุกกันต่อดีกว่า”
วิรงรองดึงจิตตินกลับไป จิตริณีมองหน้าอัศนีย์
“ไอ้จ้าวขี้เก๊ก เมื่อกี้น่าจะตั้นหน้ามันสักหมัด”
“ไปจีบแฟนคนอื่นน่ะ ไม่รู้สึกว่าทำผิดเลยเหรอ”
“ใครว่าจีบ” อัศนีย์ยิ้มกวน “แค่จะขอจูบเท่านั้นเอง เธอรู้จักมันไหม”
“คุณชายกิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์ เธอไม่ควรไปมีเรื่องกับเขาเลยนะ”
“โธ่ ไอ้เจ้าหางแถว ฉันไม่สนสักนิด”
“ควรจะสนไว้บ้าง ถึงเธอจะลูกอภิมหาเศรษฐี แต่ก็แค่ลูกพ่อค้าวาณิช จะไปเทียบอะไรกับลูกเจ้าลูกนาย”
จิตริณีแยกไป อัศนีย์โกรธตาขวางแล้วขบกรามแน่น
“ก็คอยดูซีวะ”
รถของกิตติราชนรินทร์จอดที่หน้าตึก เทพีเพ็ญแสงลงจากรถทันทีแล้วจะวิ่งขึ้นตึก กิตติราชนรินทร์รีบตามมาในสภาพหัวหูกระเซิงส่วนหน้ายังแดงก่ำ
“จะหนีไปไหน เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ที่หญิงไปเฟลิตกับเจ้านั่น หญิงคิดอะไรอยู่” กิตติว่า
“หญิงไม่คุยถ้าคุณชายยังเต็มไปด้วยอคติแบบนี้”
“อคติเหรอ ที่ผมเห็นหญิงแทบจะจูบกับเจ้านั่น นี่เรียกว่าอคติเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างที่คุณรองคิด”
“แล้วจะให้ผมคิดว่ายังไง”
“คุณอัศนีย์เป็นแค่เพื่อน เราแค่เต้นรำด้วยกัน แล้วเขาก็กระซิบข้างหูหญิงเท่านั้นแต่ความหึงหวงหน้ามืดตามัวของคุณรองต่างหาก ที่ตีความผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดนั้น”
“ตาผมไม่ได้เพี้ยน ผมเห็นหญิงเฟลิตกับมัน”
“อย่าลืมซีคะว่าตรงนั้นมันเป็นที่มืด แล้วคุณชายก็เมาเสียขนาดนี้”
กิตติราชนรินทร์อึ้งไป
เทพีเพ็ญแสงสะอื้น “คุณชายคิดว่าหญิง “ง่าย” จูบกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักในคืนเดียวได้เหรอคะ คุณชายคิดว่าหญิงทำตัวต่ำ เหมือนหญิงข้างถนนแบบนั้นเลยงั้นเหรอ”
“ใช่ ผมเมาแล้วมันก็มืดมาก ก็เป็นได้ที่ผมมองผิดไป หญิงผมขอโทษ”
“ไม่ต้องค่ะ หญิงมันต่ำเกินไป เราจบกันเท่านี้เถอะค่ะคุณรอง” เทพีเพ็ญแสงว่า
เทพีเพ็ญแสงจะกลับเข้าตึก กิตติราชนรินทร์เข้าคว้าร่างเธอมากอดไว้แนบแน่นแล้วสะอื้นเบา ๆ
“ไม่นะหญิง ผมรักหญิง ผมขอโทษ ให้อภัยผมเอถะนะ”
เทพีเพ็ญแสงร้องไห้ซบกับไหล่ของกิตติ
ศศิรัชนีออกมาดูเหตุการณ์พร้อมรื่นและโรย รื่นและโรยตาลุกเมื่อเห็นคนกอดกัน ศศิรัชนีบอก
ให้สองสาวใช้กลับเข้าไป
“รักหญิง ก็อย่าทำร้ายหญิงแบบนี้ซีคะ” เทพีเพ็ญแสงบอก
กิตติน้ำตาไหล “ผมไม่ได้ตั้งใจ สัญญาครับ จะไม่ทำร้ายจิตใจหญิงแบบนี้อีกแล้ว”
เทพีเพ็ญแสงเงยหน้าขึ้นมองกิตติเต็มตาด้วยน้ำตาที่เต็มตา
“ไม่รู้หรอกเหรอคะคุณรอง หญิงไม่มีวันปันใจให้ชายอื่น เพราะหญิงรักและเทิดทูนคุณรองให้เป็นเจ้าชีวิตของหญิงแท้ ๆ”
กิตติราชนรินทร์พยักหน้าแล้วยิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบคุณครับหญิงก้อย”
กิตติราชนรินทร์ดึงร่างเทพีเพ็ญแสงมากอดแน่น
เทพีเพ็ญแสงยิ้มเศร้าอยู่กับไหล่ของกิตติ ศศิรัชนีตัดสินใจลงบันไดตึกมาพูด
“ขอโทษค่ะคุณชาย นี่ดึกมากแล้ว เชิญคุณชายกลับก่อนดีกว่า ถ้ายังอ้อยอิ่งกันแบบนี้ มันจะไม่งามกับหญิงก้อยนะคะ”
กิตติราชนรินทร์คลายกอดเทพีเพ็ญแสง เทพีเพ็ญแสงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับน้ำตาให้กิตติ กิตติยิ้มปลื้ม
“โทษครับ เราเข้าใจกันแล้วนะ” กิตติถาม
เทพีเพ็ญแสงยิ้มสุขใจ “ค่ะ”
“พรุ่งนี้เย็น ผมจะแวะมาหา รอนะ”
“คุณรองขา อย่าเพิ่งค่ะ คืนนี้หญิงบอบช้ำเหลือเกิน ให้หญิงได้พักสักสองสามวันนะคะ แล้วหญิงจะโทรไปนัด”
“ได้ครับ”
“รื่น โรยส่งคุณชาย หญิงก้อยขึ้นตึกกับพี่”
กิตติราชนรินทร์หันมาคำนับศศิรัชนีแล้วกลับขึ้นรถไป รื่นกับโรยออกมาปิดรั้วบ้าน เทพีกลับขึ้นตึกไป ศศิรัชนีรีบเดินตาม
ศุภรหน้าเครียดอยู่ตรงหน้ากิตติ
“แกเชื่อหญิงก้อยงั้นเหรอวะ” ศุภรถาม
“ใช่ ฉันเมา แล้วตรงนั้นก็มืด ฉันเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ” กิตติบอก
“อย่าให้ความรักบังตาน่า”
“แกล่ะ เห็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันตามมาทีหลัง ไม่เห็นอย่างที่แกเห็นหรอก แต่แค่เห็นหญิงเฟลิตกับมันเหมือนคู่รัก ฉันก็แน่ใจแล้วว่าหญิงก้อยทรยศแก”
“หญิงก้อยรักฉัน เรารักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ไม่มีวันทรยศฉันเด็ดขาด”
“เอา เอา จะเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ แล้วตอนนี้หญิงก้อยไปไหนล่ะ”
“เขาขอพักผ่อนสักสองสามวันน่ะ”
กิตติราชนรินทร์จิบกาแฟมองเหม่อไปนอกหน้าต่างได้ยินเสียงคลื่นทะเล และเสียงนกทะเลร้องจ้อกแจ้กดังคลอมา
อัศนีย์นั่งครึ่งนอนครึ่งเอกเขนกอยู่กับเทพีเพ็ญแสงที่อยู่ในชุดบิกีนี่เซ็กซี่ มีเครื่องดื่มสีสวยวางอยู่ข้างตัว
“พัทยานี่แหละครับ ที่ผมว่าน่าลงทุนอย่างที่สุด ไม่นานที่นี่จะกลายเป็นริโอเดอจาไนโร ของเมืองไทยเลยละ”
“คุณคงเที่ยวมาแล้วทั่วโลกซีคะ”
“ครึ่งโลกมากกว่า แล้วอยากเที่ยวต่อให้ครบอีกครึ่งโลก กับคนรู้ใจ”
“ใครเอ่ย คนรู้ใจน่ะ”
“หญิงไงครับ”
อัศนีย์ตาเยิ้มใส่เทพีเพ็ญแสงก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาจะประทับจูบ เทพีเพ็ญแสงเบือนหน้าหนีแล้วลุกไปเกาะที่กราบเรือ อัศนีย์เดินตามมากอดเทพีเพ็ญแสงจากด้านหลัง
“ตอบผมได้รึยัง เรื่องไปอเมริกากับผมน่ะ”
“แล้วหญิงจะอ้างกับท่านพ่อกับหม่อมแม่ว่ายังไงดีคะ”
“ไปเที่ยว หรือเรียนต่อไงครับ”
“เรื่องใหญ่นะคะ ไม่ให้เวลาหญิงตัดสินใจหน่อยเหรอ”
อัศนีย์หยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้เทพีเพ็ญแสงทันที
“นี่คงทำให้หญิงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
เทพีเพ็ญแสงตาเป็นประกายวาวแล้วเปิดกล่องออกดูก็เห็นแหวนเพชรงามระยับหลายกะรัติ
“คุณอัศนีย์”
อัศนีย์หยิบแหวนจากกล่องแล้วบรรจงสวมที่นิ้วนางของเทพีเพ็ญแสง
“นี่หมายความว่า”
“ผมจะแต่งงานกับหญิงทันทีที่เราไปถึงเมริกา”
เทพีเพ็ญแสงใจเต้นระทึก อัศนีย์ก้มลงจุมพิตดูดดื่ม เทพีเพ็ญแสงรู้สึกระทวยในก้อมกอดของอัศนีย์
บริกรคนเดิมทำตาปริบๆ ก่อนจะส่งเมนูให้สาลิน ลลิตา บราลีที่ยังชูคอหยิ่งอยู่ สามสาวรับมา
“พอเถอะ เมื่อย” สาลินว่า
“เออน่ะซี” บราลีบอก
สาลินกับบราลีเลิกชูคอ ลลิตาค้อนแล้วค่อยๆเลิกเชิด สามสาวเปิดเมนู บริกรถอยออกไป
“คิดยังไงยายลลิตา ถึงกลับมากินร้านนี้อีก ไม่กลัวเจอยายคุณหญิงเทพี เทโพนั่นอีกเหรอ” บราลีถาม
“เราไม่ได้กินห้อง VIP ซะหน่อย ไม่ต้องกลัว หือม์ นี่มันแพงกว่าคราวที่แล้วอีก” สาลินว่า
“ราดหน้าคราวที่แล้วเจ็ดบาทเองไม่ใช่เหรอ นี่ตั้งแปดบาท” บราลีบอก
“ขึ้นมาตั้งบาทนึง ว้ายจะเป็นลม”
สามสาวมีอาการอยากลุกหนีไปจากร้าน ลลิตาถอนใจเฮือก
“แปดบาทก็แปดบาท ไว้พรุ่งนี้ห่อข้าวจากบ้านมากินกัน”
“พวกค้ากำไรเกินควร แปดบาทซื้อข้าวได้ตั้งครึ่งถัง”
“เอาเถอะ ง้างนกแล้วต้องยิง สั่งเลย”
“สั่งเผื่อชั้นด้วย ชั้นไปเข้าห้องน้ำโซน VIP ดีกว่า สะอาด สดชื่นกว่าตั้งเยอะ”
“เข้าให้คุ้ม 8 บาทเลยนะ” สาลินว่า
กิตติราชนรินทร์กับศุภรนั่งด้วยกัน กิตตินั่งตัวเดิม ศุภรเลื่อนเอกสารให้กิตติเซ็น
“เซ็นตรงนี้ ไอ้หม่อม”
“อือ”
“กิจการผ้าไหมไปได้ดีนะ แต่จะคืนกำไรก็คงอีกปีนึง คงรอไหว”
“ไม่มีปัญหา”
สาลินเดินจะไปห้องน้ำพอผ่านโต๊ะแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นกิตติ โดยที่กิตติยังไม่ทันมอง
“สงสัยจะมานั่งประจำ” สาลินเปรย
สาลินรีบเดินไปห้องน้ำ
“ฉันเข้าห้องน้ำก่อน”
กิตติราชนรินทร์ลุกไปทันที
กิตติราชนรินทร์เดินออกมาห้องน้ำชายแต่มองไม่เห็นกระดาษเช็ดมือ
“แย่ แย่จริง ๆ กระดาษเช็ดมือก็ไม่มี”
กิตติราชนรินทร์จะเดินเลย จังหวะที่สาลินออกมาจากห้องน้ำหญิงทำให้ทั้งสองเจอหน้ากันอย่างจัง
“เธอ”
“อุ๊ย”
สาลินจะแยกไป
“เดี๋ยว ตกลงวันนี้เป็นพนักงานหรือเป็นลูกค้าของร้าน”
“อยากให้ฉันเป็นอะไรล่ะ”
“จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เธอต้องรับผิดชอบที่แกล้งทำน้ำเปียกกางเกงฉันวันนั้น”
“งั้นก็ต้องขอโทษฉันก่อนซี ที่ว่าฉันไม่รู้ประสาบ้าง มารยาททรามบ้าง”
“ฉันมีสิทธิ์ว่าเธอในฐานะที่เธอเป็นสาวเสิร์ฟที่ไม่ได้เรื่อง”
“ถ้าคุณมีสายตาและมันสมองที่ได้เรื่องอยู่บ้าง น่าจะแยกแยะออกว่าฉันคือลูกค้าไม่ใช่สาวเสิร์ฟ”
“ฉันแยกแยะไม่ออกหรอก เพราะเธอแต่งตัวหลอกได้เหมือนขนาดนั้น ตกลงแต่งหลอกชาวบ้านเพื่อหวังทิป หรือหวังมากินอาหารฟรีกันแน่”
สาลินโกรธจนอ้าปากค้างแล้วชี้หน้าจะด่า
“อ๊ะ อ๊ะ ถ้าเธอมีสายตาและมันสมองที่ได้เรื่องอยู่บ้าง อย่าผรุสวาทอะไรออกมา ไม่งั้นฉันเรียกกัปตันมาลากเธอส่งตำรวจแน่ ๆ”
สาลินเชิดหน้าก่อนจะทำสงบเสงี่ยมใหม่ “ไม่เป็นไรฉันให้อภัยคนอย่างคุณ”
“ให้อภัยคนอย่างฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“เห็นเรียกกันว่า คุณชาย คุณชาย คงเป็นเชื้อเจ้าละมัง”
“ถูกต้อง”
“เห็นใจนะคะที่เกิดมาเป็นเจ้าอย่างคุณ”
“ทำไม”
“เจ้าไม่มีศาลไงคะ”
“เธอนี่มันพูดจาสามหาวจริง ๆ”
บริกรถือแก้วน้ำผ่านมา
“บริกร ขอน้ำแก้วค่ะ”
“เออ นี่แก้วทานแล้วครับ”
สาลินคว้าแก้วมีน้ำครึ่งนึงมาจากถาด “ได้ค่ะ เพราะไม่ได้ทาน แต่จะไว้ราดคน”
สาลินราดน้ำที่เป้ากางเกงกิตติราชนรินทร์จนเปียกชุ่ม
“ไปนะคะคุณชายไม่มีศาล”
สาลินสะบัดหน้าเดินไป กิตติทำอะไรไม่ถูก
“เอาไงดีครับคุณชาย” บริกรถาม
“เรียกกัปตันมา แล้วจับตัวแม่นั่นไว้ด้วย” กิตติราชนรินทร์สั่ง
สาลินเดินอย่างเร็ว บราลีกับลลิตาจ้ำอ้าวตามมา
“ไปมีเรื่องอีกแล้วเหรอ” บราลีถาม
“กับคุณชายคนเดิมด้วย หน้าตาเป็นยังไงนะ อยากเห็น” ลลิตาบอก
“รีบเดินเถอะ ก่อนที่เจ้าคุณชายนั่นจะตามมาทัน” สาลินเสนอ
สาลินชะงักเมื่อเดินผ่านรถของกิตติ
“เอ๊ะ รถคันนี้อีกแล้ว รีบไปเถอะ”
สาลินดึงบราลีกับลลิตาไป
กิตติราชนรินทร์กางเกงยังเปียกอยู่ เขาเดินหัวเสียมากับศุภรที่หัวเราะคิกคัก ทั้งสองตรงมาที่รถ
“มันน่าโมโหจริง ๆ”
“แล้วเอายังไง เป้าเปียกเสียขนาดนี้” ศุภรถาม
“กลับกระทรวงค่อยเปลี่ยน ตอนนี้ไม่ทันแล้วต้องเข้าประชุมให้ตรงเวลา นายไปกับฉันไหม ฉันจะไปดร็อปนายที่ร้าน”
“ได้”
ทั้งสองขึ้นรถไป
สาลิน ลลิตา และบราลีเดินกลับห้องสมุด
รถของกิตติราชนรินทร์แล่นมา ล้อรถกิตติหมุนพรืดในน้ำท่วมขัง น้ำที่ท่วมพุ่งขึ้นเป็นลำคล้ายคลื่นซัดสาดอาบสาลิน ส่วนลลิตากับบราลีกระโจนหลบทัน
สาลินยืนอึ้ง แบบจะร้องก็ไม่ได้เพราะกลัวน้ำเข้าปาก ลลิตาชะเง้อตาม
กิตติราชนรินทร์และศุภรคุยกันตามปรกติอย่างไม่ได้รู้เรื่องอะไร รถยังคงแล่นเลยไป แล้วเลี้ยวเข้าแยกหนึ่ง สาลินเต้นเร่าๆ แล้วออกวิ่งตามไปนิดหนึ่ง
“อีคันนี้ คันนี้อีกแล้ว ฮือ ไอ้บ้า ไอ้คนผี ไม่มีมารยาท เอ๊ะ”
ลลิตาชะเง้อมองตามทั้งที่รถลับหายไปนานแล้ว
“รถยี่ห้อดัง คันยาวตั้งห้าวา อย่างนี้ต้องเป็นพวกเจ็ทเซ็ท ไม่ไช่ผู้ดีก็คงเป็นเจ้า”
“เจ้าเหรอ เอ๊ะ หรือว่าเจ้าคนเดียวกับนายเจ้าไม่มีศาล”
“คุณชายที่ทะเลาะกับเธอในร้านน่ะเหรอ มันจะไม่บังเอิญเป็นนิยายน้ำเน่าไปหน่อยเหรอ”
“นั่นซี แล้วทำยังไงดีกับชุดฉันล่ะ”
“ชุดคนใช้ยังมีอยู่นะ” ลลิตาบอก
ยายน้อมกำลังคนแกง โดยมีเจียมเป็นลูกมือ ส่วนจรวยแต่งตัวสวยเกินทุกคนกำลังปอกผลไม้ลงแช่น้ำเกลือเจือจาง
“เอาพริกมา นังเจียม” น้อมสั่ง
“เอ้า นี่จ้ะ พริก” เจียมว่า
น้อมยังคงคนแกง เจียมยื่นชามสังกะสีเคลือบใส่พริกที่หั่นแล้วมาโดนแขน น้อมผวา
“แหก พริก พริก พริก พริก”
เจียมหัวเราะคิกคักชอบใจ จรวยทำหน้าเชิดรังเกียจ
“นี่ ยายน้อม บ้าจี้ขนาดหนัก เดี๋ยวหม่อมได้ยินเข้าจะโดนตบปาก” จรวยว่า
“วุ้ย หม่อมจะมาได้ยินได้ยังไง ข้าคุดอยู่แต่ก้นครัว ไม่ได้ไปเสนอหน้าอยู่บนตำหนัก เหมือน”
น้อมเว้นวรรค จรวยเชิดใส่ น้อมปรายตามองเจียม
“นังเจียมซักหน่อย”
“แหม ป้า ฉันก็ไปเสนอหน้าแค่ตอนกลางวันเท่านั้นแหละ”
เจียมกับน้อมมีอาการรู้ๆอยู่ จรวยไม่สะเทือนจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“นี่ ยายน้อม ทางตำหนักใหญ่พูดกันยังไงบ้าง เรื่องสะใภ้ที่เสด็จทรงเตรียมไว้ให้คุณชายโต หลานคุณสอางค์น่ะ”
“แต่ไม่ยักกะเคยเห็นนะยายน้อม”
“อุ้ย จะเห็นได้ยังไง เขาอยู่บ้านราชดำริของคุณสร้อย”
“เฮอะ เข้ามาจองสมบัติตั้งแต่รุ่นป้า พอพลาดไปไม่ได้ก็รอจนรุ่นหลาน” จรวยว่า
จรวยทำหน้าดูถูกไม่ปิดบัง
“แกพูดอะไรหา นังจรวย เรื่องของเจ้าของนาย เป็นบ่าวเป็นไพร่พูดไป อัปรีย์จะลงหัว”
“ฮึ ไม่เห็นจะต่างกันเลย ก็คนเหมือนกัน”
“ย่ะ คนเหมือนกัน แต่บุญแต่วาสนามันไม่เหมือนกัน”
“ฉันไม่มามัวรอบุญรอวาสนาหรอก”
น้อมสบตาเจียม จรวยพูดอย่างมุ่งมั่น
“คนเราต้องรู้จักไขว่จักคว้า ถึงจะได้มาต่างหาก”
ทางเดินชั้นบนมีแสงไฟจากเหนือบันไดสลัวราง จรวยเดินมาช้าๆ ด้วยดวงตามุ่งมั่น มือปลดกระดุมเสื้อแบะออกทำให้เห็นยกทรงมหึมาราคาถูกอยู่ข้างใน
ดิเรกราชวิทย์นอนอยู่บนเตียงกำลังเคลิบเคลิ้มสะลึมสะลือ แล้วเขาก็ขยับตัวนอนตะแคงตาปรือ เขาเห็นภาพเบลอๆ ร่างหนึ่งยืนอยู่ในสภาพผมรุ่ยร่ายปิดอก ปิดหน้า คล้ายผีญี่ปุ่น ดิเรกราชวิทย์เด้งผางลุกขึ้น
“ผี”
จรวยยืนมีผ้าถุงกระโจมอกอยู่หมิ่นเหม่ เบี่ยงตัววางท่าเป็นภาพศิลป์ จรวยชะงักทำตาปริบๆ
“ไม่ใช่ผีค่ะ รวยเอง”
ดิเรกราชวิทย์มองดูใหม่แล้วกลืนน้ำลาย
“จรวยมาทำไม คืนนี้ฉันไม่ได้นัดเธอนะ”
“แต่จรวยเหงาค่ะ อยากมาปรนนิบัติคุณชายโตทุกวันทุกคืนเลย”
“ถ้าคุณแม่รู้เรื่องล่ะ”
“ไม่มีวันแน่นอน”
จรวยขยับกระโจมอกแบบผลุบโผล่ ดิเรกราชวิทย์โผมาตระกองกอด จรวยยิ้มสมใจ
หม่อมอำพันเดินครุ่นคิดออกมาจากห้อง พลางรำพึงเรื่องธุรกิจหลัก
“หมู่นี้มันยังไง เสียยุบ เสียยิบ เสียยับ รออยู่ตัวเดียวแท้ๆ ก็โดนจั่วตัดหน้า”
อำพันหน้าหงิก
“หรือว่า มีใครทำเรื่องไม่ดี กาลกิณีมันเลยเกิด ว้าย”
อำพันเตะผ้ากองหนึ่งแล้วจึงหยุดก้มเก็บมากางดูก็เห็นเป็นเสื้อตัวเล็ก อำพันมองไปเห็นเข็มขัดรัดผ้าถุง อำพันไม่แน่ใจจึงหยิบขึ้นมาดูแล้วตาเหลือกมองเลยไปที่ลูกบิดประตูห้องดิเรกก็เห็นยกทรงมหึมาคล้องอยู่ อำพันตาเบิกกว้าง
ดิเรกราชวิทย์นอนเคลิบเคลิ้มอยู่บนเตียงในสภาพท่อนบนเปลือย แล้วขยับตัวนอนตะแคงตาปรือ ภาพเบลอร่างหนึ่งยืนอยู่ มือข้างหนึ่งถือผ้าเป็นวง อีกมือถือยกทรง ดิเรกราชวิทย์เด้งผางลุกขึ้น
“ผี”
ร่างนั้นกดสวิชท์ไฟทำให้ไฟสว่างขึ้นทั้งห้อง หม่อมอำพันยืนถือผ้าถุงและยกทรง มองตาค้างตรงมา
ดิเรกราชวิทย์ร้อง “ผีหม่อมแม่”
ดิเรกราชวิทย์ตาเหลือกโพลงดึงผ้าห่มขึ้นปิดอก จรวยเองก็ร้องอุทานดึงผ้าห่มปิดอกไว้หมิ่นเหม่ แต่ดวงตาสมใจไม่ตกใจเท่าที่ควร
“ฉันเอง ผีอะไร ฉันยังไม่ตาย ของหล่อนทั้งหมดเลยใช่มั้ย นังจรวย หล่อน หล่อน ว้าย”
จบตอนที่ 1