สะใภ้จ้าว ตอนที่ 8
อุ่นเรือนยกมือทาบอกตกใจ
“ตายแล้วคุณแม่ไม่สบาย คุณพี่คะ ดิฉันขออนุญาตกลับไปบ้านสวนนะคะ”
“ค่ะ ไปกับสาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
คุณสร้อยแม้จะกังวลใจ แต่ก็จำยอม “ย่ะ ย่ะ ไปเถอะ นี่นังกำไลเข้าไปหยิบยาหอมเทวาประสิทธิ์มา เอาอย่างที่ปิดทองนะยะ ฉันจะฝากไปให้คุณยายแก โอย ทำไมต้องมาป่วยมาไข้ตอนนี้”
สาลินก้มกราบ “สา กราบขอบพระคุณค่ะ”
“ยังไงพรุ่งนี้แกมาที่นี่แต่มืดเลยนะยะ มาถึงซักตีห้าตีหกก็ได้”
สาลินรับคำ “ ค่ะ ถ้าสาตื่น จะมาทันทีเลย”
คุณสร้อยจับไม่ได้ว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่า ไม่มีตกปากรับคำใดๆ
“ฉันจะได้มีเวลาขนาบแกซักสี่ซ้าห้าชั่วโมง แล้วค่อยออกจากนี่ซักห้าโมง อ้อ แล้วแต่งตัวให้ดี อย่าให้เปิ่นเทิ่นมันเทศเทเวศร์สำปะหลัง”
“แปลว่าอะไรคะ”
คุณสร้อยค้อนขวับจนเหนียงสะบัด
พอแท็กซี่ตาผลจอดเทียบ อุ่นเรือนก็พรวดลงรถ วิ่งถลันขึ้นเรือน สาลินก้าวตามลงมา ดวงตาซุกซน
ตาผลมองอย่างอ่อนใจแกมตำหนิ แต่อีกฝ่ายทำไม่รู้ไม่ชี้
อุ่นเรือนผวาเข้าระเบียงมา ตาที่นั่งอยู่ที่ระเบียงหันมา
“อ้าว ลูก”
“หนูกราบค่ะ คุณพ่อ โธ่ คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“มาทันดูพอดี”
อุ่นเรือนตกใจ หน้าซีด “ดูใจหรือคะ โธ่”
สาลินก้าวมาสมทบ อุ่นเรือนตัวเซ ตามองอย่างงงๆ เจ้าแกะวางเข็มแผ่นเสียง ยายพิณยืนอยู่ที่หน้ายกพื้น พอเคลื่อนตัวออก ก็เห็นคุณยายที่สวมฉ่งซำรัดรูป แต่งหน้าเกล้ามวย มีกล้วยไม้ประดับผม มือถือผ้าเช็ดหน้าแพร
สาลินตาโต ปิดปากหัวเราะ อุ่นเรือนตาเบิกกว้าง ตาก้าวมานั่งเก้าอี้ ยายพิณยิ้มปากเปรอะ เจ้าแกะถอยมาดู ตาผลตามขึ้นมาตกตะลึงพรึงเพริด
ยายมองมา แล้วก็อึ้งไป “อ้าว แม่อุ่น”
ขาดคำเพลงก็ขึ้นพอดี ยายจึงร้องไปกับแผ่น เป็นเพลงจีนยุค 20's มือกรีดกราย
อุ่นเรือนลงนั่งข้างตา สาลินนั่งลงตัวติดแม่ ตาดูอย่างเพลิดเพลิน ยายพิณสบตาตาผล ตบมือเอียงคอ คล้ายเพลงสติ๊กกี้แบมบู เจ้าแกะยืนคุมเทิร์นเทเบิล
ยายร้องร้องอย่างมั่นใจ อุ่นเรือนยิ้มรับ แล้วหันมามองสาลิน ลูกสาวยิ้มตอบ ก่อนจะโดนแม่หยิกหมับเข้าให้ สาลินร้องวี้ดสุดเสียง กุมแขนลงไปล้มกลิ้งกับพื้นระเบียง เจ้าแกะตกใจมือกระตุก เข็มกรีดแผ่นควากทุกอย่างชะงัก
ยายเลิกร้องพร้อมกับก้าวมาดู สาลินกุมแขนลุกขึ้น อุ่นเรือนค้อนลูกสาวตาคว่ำ
“อะไรกันลูก ตียายสาทำไม”
ตาหันถามลูก สาลินทำแสร้งสะอื้น อุ่นเรือนรีบถาม
“คุณแม่ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรใช่ไหมคะ”
“ย่ะ เอ๊ะ อะไร เธอเห็นฉันลุกมาร้องเพลง แล้วคิดว่าฉันเป็นบ้าหรือ” ยายคิดไปอีกทาง
“ไม่ใช่ค่ะ คุณแม่”
ตารีบพูดเสริม “วันนี้รื้อหาของกัน แล้วไปเจอชุดแต่งงานคุณยาย ก็เลยท้าพนันกันว่าจะยังใส่ได้ไหม ตาว่าไม่ได้ คุณยายเขาว่าได้ ก็เลยเป็นยังงี้แหละ”
ยายยิ้มปลื้ม ” ใช่ ฉันชนะพนัน”
ยายพิณพูดต่อ “ แล้วอิฉันเคยระแคะระคายมาว่า คุณยายเคยหนีอาเหล่ากง เหล่าม่า ไปร้องเพลงโชว์ที่ตึกเจ็ดชั้น เยาวราช อิฉันถามขึ้น คุณยายก็เลยแซมเปิ้นให้ดูค่ะ”
สาลินทำตาหน้าเฉย “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
อุ่นเรือนยังไม่หายโกรธ “นี่ไม่ต้องมากลบเกลื่อน คุณแม่คะ ยายสาไปหลอกคุณพี่กับหนู ว่าคุณแม่เจ็บ
ป่วยเจียนตายค่ะ”
ยายรีบผลักหลานสาวออกไปไกลตัว
“อ้าว แม่คุณ แม่ทูนหัว มาแช่งอะไรฉันอีกยะ”
สาลินตัวลีบ “หนูไม่ได้แช่งซักหน่อย ที่หนูบอกคุณป้าไปน่ะ หนูพูดความจริงทั้งนั้น”
“ไหน ยายสามันบอกอะไรแม่สร้อย”
ตาคาดคั้น อุ่นเรือนรีบตอบ
“บอกว่าคุณแม่คลื่นไส้จะอาเจียน จะเป็นลม แล้วเจ็บปวดไปหมดทั้งตัวค่ะ”
ยายพยักหน้าหงึก “อ้อ ความจริงทั้งนั้น ไหนบอกมาซิว่า ฉันไข้หนักเจียนตายแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่เมื่อวานค่ะ” สาลินทำหน้าตาย
“ยังไง”
สาลินเริ่มเล่า “ เมื่อวาน คุณยายกะหนูไปเก็บละมุดกัน”
ที่ใต้ต้นละมุด สาลินคว้าลูกกระทกรกมา แหงนหน้าบีบใส่ปาก
“คุณยายก็บอกว่า.....”
ยายมองสาลินบีบลูกกระทกรกใส่ปากแล้วทำหน้ายี้
“ว้าย คลื่นไส้ กินไปได้ยังไง ต๊าย ฉันอยากอาเจียน”
ยายทำตาปริบๆ ทุกคนนิ่งฟัง สาลินไขคดีต่อ
“จากนั้น ละมุดบางกิ่งอยู่สูง หนูสอยไม่ถึง หนูก็....”
สาลินกับคุณยายยืนแหงนหน้า พอหลานสาวปลดผ้าถุงไปกองเป็นวง ยายก็ตบอกผาง
“ว้าย ลูกคนนี้ โอย ฉันจะเป็นลม”
ยายนิ่งอั้น ตากลั้นหัวเราะ อุ่นเรือนส่ายหน้า เหนื่อยใจ
“แล้วพอถึงตอนค่ำ พอล้างผึ่งละมุดเสร็จ รอบ่ม”
ละมุดถูกวางเรียงรายนับร้อยลูก ยายพิณเอาอ่างที่ล้างละมุดไป ยายนอนคว่ำบนเสื้อ สาลินนั่งคุกเข่าบีบนวดอย่างเมามัน
“คุณยายก็ให้หนูนวด พอหนูนวดเสร็จ....”
ยายทำหน้าเหยเก ขยับลุกมามองหน้าหลานสาว เอามือบิดไปคลึงกระเบนเหน็บ
“โอย ยายสา ทำไมนวดเสร็จ แล้วมันปวดกว่าเดิมฮะ โอ้ย หรือฉันใกล้จะตายแล้ว”
สาลินเชิดหน้า ยายทำหน้าบอกไม่ถูก อุ่นเรือนอ่อนใจ ตาผล ยายพิณ เจ้าแกะปิดปากหัวเราะ ตาหัวเราะก๊าก
“ความจริงก็เป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ สารวัตร”
“แล้วจริงของมันไหมล่ะ” ตาหันมาย้อนถาม ยายครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
“แต่ว่าทุกอาการของฉัน เกิดจากน้ำมือแกซีนะ แม่มะกอกสามตะกร้า”
“ไม่ใช่มะกอกสามตะกร้าหรอกค่ะ ต้องเรียกว่าแม่เสียวสวาด”
อุ่นเรือนหมั่นไส้ลูก เลยอ้างถึงนิทานพื้นบ้านอีสานที่ต้องอ่านให้ศรีจิตราฟังเพราะคุณสร้อยสั่งห้าม
ตา ยาย ยายพิณ ตาผลสะดุ้งเฮือก
“ ทำไมว่าลูกอย่างนั้น”
อุ่นเรือนหน้าซีด สาลินหัวเราะขำ
“มันเป็นคำอีสานค่ะ แปลว่าเฉลียวฉลาด”
ทุกคนถอนใจเฮือก ยายหันมาทางหลานสาว
“เดี๋ยว แล้วแกเอาเรื่องตายเรื่องเป็นฉันไปหลอกคุณป้าทำไม”
“ถ้าไม่บอกอย่างงี้ คุณป้าจะยอมให้แม่มาหรือคะ”
อุ่นเรือนถอนใจ แต่ก็หายโกรธลูกสาว ตา ยายมองอย่างอ่อนโยน
“ดีแล้วลูก จะได้คุยกันให้หายคิดถึง”
สาลินยิ้มแป้น “คืนนี้ยังคุยไม่ได้ค่ะ เพราะแม่กับคุณยายมีงานสำคัญ”
“งานอะไรของแกอีก”
“เสด็จพระองค์หญิงโปรดให้หนูเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ แม่กับคุณยายต้องเทรนหนูให้เต็มที่เลยนะคะ”
ยายทำหน้างง “เทรนอะไรยะ”
“แปลว่าฝึกซ้อมเข้มข้นค่ะ เอาแบบส่งอาภัสราเข้าประกวดงานวชิราวุธเลยนะคะ”
“งั้นไป เทรนกัน”
ยายขยับจะลุก แต่ฉ่งซำรัดติ้วจึงยักแย่ยักยัน สาลินกับอุ่นเรือนช่วยประคองขึ้น จนยายทรงตัวได้ ทันใดมีเสียงดังควาก ฉ่งซำปริแยกตั้งแต่รักแร้ 2 ข้างมาถึงสะโพก ยายตะลึงจังงัง สาลินกับแม่ร้องวี้ด ยายค่อยๆ หันไปสบตา ตายิ้มประกาศชัย
“ฉันชนะ”
ยายกับอุ่นเรือนช่วยกัน “เทรน” สาลิน ที่ทำท่าทางกระโดกกระเดก จนเริ่มมีทีท่าอ่อนช้อยขึ้น
สาลินค่อยๆ คลานมาถึงหน้าตั่ง พลางลดตัวลงพับเพียบเก็บเท้า แล้วโน้มกายลง ตั้งมือข้างหนึ่งก่อนแล้วก้มลง เพื่อจะนำมืออีกข้างประกบกราบ
ตา อุ่นเรือนมองแล้วคำนวณวิถี ปากจะร้องห้าม แต่ไม่ทัน หน้าผากสาลินโขกตั่งดังสนั่น ตัวผงะหงายหลังมานั่งแผ่ ผ้าถุงถลกอ้าคล้ายลำยอง เอามือคลึงหัว
การ “เทรน” ดำเนินมาจนคืนค่ำ ก่อนจะจบลงที่ท่ากราบอย่างอ่อนช้อยงดงามของสาลิน ยายพยักหน้าว่าใช้ได้ อุ่นเรือนตบมือชมเชย
ยายลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายเข้าห้องใน อุ่นเรือนหันมาหายายพิณที่ขึ้นบันไดมา
“ขมิ้น ดินสอพอง ละลายไว้แล้วค่ะ อ้อ มะกรูดเผาไว้แล้ว 3 ลูก คงพอนะคะ ส้มมะขาม เปลือกมะนาวมีพร้อมค่ะ”
“ดีจ้ะ”
ตาผลขึ้นเรือนตามมา “น้ำเดือดแล้วครับ วันนี้หนาว ผมเลยต้มไว้ 2 กา”
อุ่นเรือนยิ้มรับ “ขอบใจจ้ะ เฮ้อ”
ตาเดินกลับมาแล้วชะงัก อุ่นเรือนมองพ่อแล้วมองตามสายตา ยายพิณ ตาผลมองตาม เห็นสาลินยังตะแคงกราบซบอยู่อย่างนั้น มีอาการเหมือนถึงวิสัญญีภาพไปแล้ว
ตากลั้นหัวเราะ อุ่นเรือนดุ
“ยายสา”
สาลินไม่ติงไหว อุ่นเรือนเข้าไปข้างตัว ตีก้นเผียะ
“นี่แน่ะ”
สาลินค่อยลุกมานั่งพับเพียบ เอาสองมือวางซ้อนกันบนตัก เก็บเท้าปิดไว้ใต้สะโพก ไม่ให้ชี้โด่ออกมา
เงยหน้าน้อยๆ ทำหน้าเสงี่ยมหงิม ท่าทางเรียบร้อยกว่าศรีจิตราเจ็ดเท่า พูดเสียงเย็นยะเยือก
“คุณแม่มีกระไรกับลูกหรือค้า”
ตาหัวร่อคิก “นั่นมันเกินไป เหมือนผีอีนากพักโขนงแล้ว”
สาลินถอนใจ ลดท่าทีลงให้เป็นปรกติขึ้น พลางบ่นอุบ
“เข่าหนูด้านไปหมดแล้วค่ะ”
อุ่นเรือนรีบบอก “ไม่เป็นไร ยายพิณเตรียมเปลือกมะนาวกับส้มมะขามไว้ ขมิ้น ดินสอพอง มะกรูดเผา มีครบ”
“ไม่เอาค่ะแสบ ใช้แค่สบู่กับแชมพูก็พอค่ะ”
“ไม่ได้ลูก เดี๋ยวแพ้ยายศรี”
สาลินงง ตางง ยายหันมาถาม
“อ้าวยังไง แม่อุ่นพูดจาพิลึก”
“หนูไปสู้พี่ศรีได้ยังไงคะ”
อุ่นเรือนยิ้มพราย “แม่พูดผิดไป แม่ต้องพูดว่า ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะแพ้คุณป้าสร้อย”
สาลินตาโต “งั้นหนูจะไม่ขี้เกียจแล้วค่ะ เดี๋ยวขัดสีฉวีวรรณหนูสามรอบก็ได้”
ยายพูดต่อ “เดี๋ยวก็ได้ ก่อนอาบมาเจอยายก่อน”
สาลินนั่งอยู่ตรงหน้า ยายใช้ 2 มือกางดึงเส้นด้ายเป็นกากบาท
ปลายเส้นหนึ่งเอาปากคาบไว้ ทำมือขยับ เส้นด้ายเข้าเสียดสีกัน คล้ายเป็นวิชาลึกลับในคัมภีร์ทานตะวัน ตา อุ่นเรือน ยายพิณ เจ้าแกะ และตาผลนั่งดูด้วยความทึ่ง
ตาหันมาถาม “เขาเรียกอะไรน่ะคุณ”
“เขาเรียกว่าหมั่งหมิ่ง ภูมิปัญญาจีนใช้ด้ายกับแป้งเอาไว้ถอนขนบนหน้าให้เนียน กระทั่งสิวเสี้ยนก็หลุดออกหมด”
สาลินยิ้มแหยๆ อุ่นเรือนไม่แน่ใจ ยายพิณตบเข่าฉาด
“ทีนี้แหละ นางสาวไทยที่เขาประกวดที่งานวัดก็สู้ไม่ได้”
“นางสาวไทยอะไรฮึ ยายพิณ ถึงไปประกวดที่งานวัด”
“ก็เขาประกาศออกโครมๆ ไงคะ ว่ามีประกวดนางสาวไทยที่งานวัดชิราวุธ”
สาลินทำตาปริบ ๆ
สาลินนั่งตาปรือบนเตียง ผิวเหลืองเรืองรอง ผมที่สระด้วยมะกรูดดำวาววับ คิ้วเรียว ไรขนรอบหน้าหายไปจนเกลี้ยง เห็นกรอบผมกรอบหน้าคมชัด
อุ่นเรือนอยู่ตรงหน้า มีหนังสือราชาศัพท์บนตัก นาฬิกาบอกเวลา 2.00 น.
“เรื่องราชาศัพท์หนู่น่ะ แม่ไม่ห่วง”
สาลินทำหน้าล้อ “ เกล้ากระหม่อมฉันเป็นลิเกเก่าเพคะ เสด็จแม่”
อุ่นเรือนจุ๊ปาก “อย่ามาทำเป็นเล่นนะลูก เดี๋ยวติดไปตอนเฝ้าจริงๆ ไปนอนได้แล้ว ตอนเช้าต้องตื่นมาขัดผิวอีกรอบ”
“ตัวหนูเปื่อยหมดแล้วนะคะ”
สาลินพูดพลางเอาเสื้อนอกของชายรองจากตู้มาแขวนเตรียมเอาไปคืน อุ่นเรือนมองตาม
”เสื้อสูทอะไรของใครลูก ตัวยังกะยักษ์ปักหลั่น”
“เสื้อเพิ่งซักแห้งมาค่ะ ต้องเอาไปคืนเขา เขาให้หนูยืมใส่”
“เขาให้หนูยืมทำไม”
“ฝนมันตกค่ะ เขาให้หนูใส่...เอ้อ...กันฝน”
อุ่นเรือนยังไม่หายสงสัย “ แล้วเขานี่ใคร”
“แม่ขา หนูง่วงแล้ว”
สาลินตัดบทด้วยการตะแคงตัวนอน แล้วหลับตา
“จ้ะ จ้ะ นอนเถอะลูก”
อุ่นเรือนคลี่ผ้าห่มให้ลูกสาว “ เดี๋ยวนี้นายพลมาบ่อยขึ้นหรือลูก”
“ค่า”
“แล้วคุณชายรองเคยมาส่งหนูที่นี่เชียวหรือลูก”
สาลินหาวหวอดๆ “ หนูไม่ไหวแล้วค่ะ”
อุ่นเรือนเดินไปปิดไฟ แล้วมานอนข้างลูก
“เออ คุณยายบอกว่าหนูฝันว่างูรัดหรือลูก”
สาลินทำเสียงดุ “ แม่”
รถจากบ้านราชดำริแล่นสู่ตำหนักใหญ่วังวุฒิเวสม์ ที่งดงามดังปราสาทในเทพนิยาย นายทิมเป็นคนขับทางตอนหลังคุณสร้อยนั่งอยู่กับสาลิน ที่แต่งตัวงดงาม มีเครื่องเพชรชิ้นเล็กน้อยชิ้นประดับประดา
คุณสร้อยไม่วายหันมาบ่น “บอกให้มาแต่เช้า ดันมาเอาจวนเพล แทนที่จะได้ซักซ้อมนัดแนะกันก่อน
ไม่มีเวลา”
สาลินเอามือเขี่ยกรวยดอกไม้บนตักเล่น
“ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวไม่เป็นธรรมชาติ”
“ธรรมชาติของลิงน่ะซียะ โอ๊ยตายๆ นี่ฉันต้องอับอายขายหน้าขนาดไหนนี่ โธ่ โธ่ โธ่”
“เดี๋ยวคุณป้าก็ทราบค่ะ”
คุณสร้อยค้อนจนตากลับ “ อย่ามาพูดดีนะยะ นี่เวลากราบเสด็จพระองค์หญิงน่ะ อย่าได้ทำกระผลุบกระผลับ เป็นนางสวาหะนะยะ”
“ค่ะ“
“แล้วเวลาคลานน่ะ อย่าให้กระดกกระด่นโด่เป็นนางแก้วหน้าม้า”
สาลินแอบถอนใจ “ค่ะ”
“ตอนเปิดกรวยก็เบาๆ นะยะ อย่าให้ดอกไม้ทะลายเป็นนางแมวเย้ยซุ้ม”
“ค่ะ แต่เป็นนางในวรรณคดีทุกคนเลยนะคะ”
สาลินยิ้มเห็นฟันสามสิบสองซี่ คุณสร้อยรับเอาสองมือจับบีบปากให้หุบ
รถยังจอดไม่สนิทดี สาลินก็เปิดประตูรถผลุบลงมา คุณสร้อยร้องเสียงหลง
“ว้าย รอให้รถจอดก่อนซียะ แม่ชะนีพิกุลทอง”
สาลินไม่สนใจ รีบพุ่งไปจับมือศรีจิตรา
“พี่ศรี คิดถึงจังเลย”
“พี่ก็คิดถึงเธอ ยายสา”
สองพี่น้องมองตากันด้วยความรัก สาลินผละออกมายิ้มทักมาลา วรรณา
“หวัดดีค่ะ พี่มาลา พี่วรรณา”
“ค่ะ แหมวันนี้ สวยเช้งวับไปเลยนะคะ คุณสา”
สาลินเอียงหน้ากระซิบ “พอกไปตั้งหลายขนานแน่ะค่ะ”
วรรณายิ้มรับ “สวยผุดผาดบาดตาจริงๆ นะคะ”
คุณสร้อยก้าวตามมา มือถือกรวยดอกไม้ หน้างอดำตัดกับดอกไม้
“ย่ะ สวย สวยเหมือนนังสำมะนักขาแปลง ไป เข้าไปได้แล้ว”
พูดพลางเดินนำไป ศรีจิตราเดินตาม มาลา วรรณาคิกคักขนาบสาลินเดิน
ที่สวนตำหนักเล็ก ชายรองถือกล้องส่องทางไกล มีสายคล้องคอดูอยู่
ภาพสาลินที่มองผ่านกล้องดูงามพิลาส เข็มกลัดเพชร ต่างหูเล็กทอแสงพราวพร่าง
เขารีบลดกล้องลง มีอาการเหมือนกลัวถูกจับได้ แล้วก็สงบนิ่งดังเดิม เปรยเสียงขุ่น
“มาแล้วซิ แม่ตัวยุ่ง”
“สวยไหมครับ คุณชาย”
ชายรองเกือบสะดุ้ง พอหันไปตามเสียง ก็เห็นนายยอดยืนอยู่ในระยะประชิด
“หืมม์ ยังไง อะไร ยอด”
“คุณชายดูนกอพยพมาอยู่ไม่ใช่หรือครับ มาหากินวังเราเต็มเลย”
“สวยก็สวยอยู่หรอก แต่ชอบส่งเสียงจ๊อกแจ๊ก น่ารำคาญเป็นที่สุด”
พูดพลางยกกล้องส่องดูต่อ เห็นสาลินยังคงเหลียวดูโน่นดูนี่ แล้วเข้าประตูใหญ่ตัวตำหนักไป
เสด็จประทับบนตั่งดูงดงาม คุณสอางค์อยู่บนพื้นใกล้ๆ บรรดานางข้าหลวงทุกวัยทำงานดอกไม้กันอยู่ แต่มีอาการชัดว่ามารอดู
ศรีจิตรากับคุณสร้อยกราบลง คุณสอางค์หันสบตาน้องสาว
“นั่งสิแม่สร้อย ไหนล่ะ หลานสาวคนเล็ก” เสด็จตรัสถาม
คุณสร้อยตอบอย่างขมขื่น “อยู่ข้างนอกเพคะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่เข้ามาด้วยกัน”
“ให้แม่วิมาลากับแม่เลื่อมลายวรรณซักซ้อม เอ้ย ตรวจดูความเรียบร้อยอยู่เพคะ”
“วังนี้ปรกติเรียบร้อยกันนักซีนะ”
เสด็จประชด นางข้าหลวงคิกคัก
“ให้พาเข้ามาได้แล้ว”
คุณสร้อยหน้าเผือด คุณสอางค์พยักหน้า เสียงเครือ
“เอาเถอะ ยังไงก็หลาน ค่อยขัดค่อยเกลากันไป”
เสด็จทอดพระเนตรมองไปยังประตู นางข้าหลวงมองตาม คุณสอางค์กับคุณสร้อยกัดริมฝีปาก ก้มหน้ามองด้วยหางตา ศรีจิตรามอง ยิ้มกว้างกว่าปรกติ มีแววเชื่อมั่นน้องสาว
นางข้าหลวง 2 นางแง้มประตู เห็นมาลา วรรณายืนอยู่หน้ายิ้มแย้ม ก้าวเข้ามาแล้วแยกออกยอบกายลง เผยให้เห็นสาลินที่ยืนถือกรวยดอกไม้ ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าอย่างนุ่มนวล
“เข้ามาซี”
สาลินค่อยๆ คลานเข่าเข้าไป เสด็จทอดพระเนตรนิ่ง นางข้าหลวงอื่นพยักเพยิดชื่นชม คุณสร้อยอ้าปากค้าง คุณสอางค์ตกตะลึงแล้วยิ้มปลื้ม
สาลินคลานเข่า ด้วยใบหน้าสงบนุ่มนวล ข่มอกใจที่ตื่นเต้นระทึก เสด็จทอดพระเนตรอย่างพอพระทัย ศรีจิตรามองน้องสาว ที่ค่อยๆ คลานไปถึงหน้าพระพักตร์แล้วพับเพียบลงกราบ เปิดกรวย แล้วกราบซ้ำ
เสด็จทอดพระเนตร ด้วยความพอพระทัยล้นพ้น สาลินเข้าถวายกรวย แล้วกราบอีกครั้ง คุณสอางค์ดีใจจนสะอื้นฮัก คุณสร้อยแอบค้อนสาลินที่ทำได้ดีเกิน
ศรีจิตรารีบแนะนำ “สาลิน น้องสาวคนเดียวของหม่อมฉันเพคะ”
“ไหนเงยหน้าให้ดูชัดๆ หน่อยซิ”
สาลินเงยหน้าขึ้น หน้าซื่อ ดวงตาใสแจ๋วบริสุทธิ์ งามเหมือนนางใน
“เพคะ”
เสด็จแย้มสรวล “หน้าตาสดใสดีจริง ท่าทางคล่องแคล่วไม่กลัวใคร แต่หมอบคลานกราบกรานอะไรก็เรียบร้อย”
สาลินหลุบตาลง ซ่อนยิ้มไว้ คุณสอางค์กับคุณสร้อยคลานตามมา
“สอางค์ ไหนเธอบอกว่า แก่นแก้วทะโมนไพร”
สาลินฝืนทำหน้าเรียบยิ้มน้อยๆ อยู่เช่นนั้น ศรีจิตรามองดูก็รู้ว่าแกล้ง
“หม่อมฉันไม่ได้บอกเพคะ แต่แม่สร้อยตัวดีเป็นคนบอกเพคะ”
คุณสร้อยสะดุ้งเฮือก เสด็จทอดพระเนตรมอง
“ไง”
คุณสร้อยอึกอัก “ก็ ก็ ปรกติอยู่กับหม่อมฉัน ถ้าไม่ทำข้าวของแตก ก็ไปห้อยโจนทะยานอยู่บนต้นไม้
ไม่ก็ควบเป็นม้ามโนมัย วันนี้ที่เป็นอย่างงี้ได้...ก็แปลว่า ที่หม่อมฉันอบ หม่อมฉันรม มันซึมเข้าไปได้น่ะซิเพคะ”
สาลินตาโต ขยับปากจะโต้ ศรีจิตรารีบกดเข่าไว้ เสด็จทรงพระสรวล
“ฉันว่าเด็กมันใฝ่ดีเองมากกว่า จริงไหมสาลิน เธอเป็นประเภททำได้ทุกอย่าง แต่พอใครมากะเกณฑ์ จ้ำจี้ จำไช ก็พาลไม่ทำใช่ไหม”
สาลินยิ้มแหยๆ “อาจเป็นไปได้เพคะ”
“จบห้องแปดแล้วยังไงนะ”
“หม่อมฉันไปเรียนต่ออนุปริญญาอยู่ 2 ปีด้านบรรณารักษ์ พอจบก็ทำงานห้องสมุดฝรั่งที่สุรวงค์เพคะ”
“ดูซิทำงานทำการปานนี้แล้ว แต่หน้าอ่อนยังกะเด็กนักเรียน”
“ใครๆ ก็พูดกันแบบนี้กับหม่อมฉันบ่อยๆ เพคะ”
สาลินเกือบยิ้มร่า แต่ครั้นนึกได้ก็ยิ้มแต่พองาม คุณสร้อยค้อนขวับ
“อู้ย เสด็จทรงชมเข้าหน่อย ก็หน้าเห่อยังกะขึ้นปราสาทเหม”
เสด็จหันมองคุณสร้อย “แล้วจะให้หลานหน้างอคอคอดเป็นนิจศีลแบบเธอรึ”
คุณสร้อยสะดุ้งเฮือก มาลา วรรณาหัวเราะนำ นางข้าหลวงอื่นเลยหัวเราะตาม เสด็จตรัสถามต่อ “ตอนนี้เราอยู่ที่บ้านสวนหรือ”
“เพคะ อยู่กับคุณตา คุณยายที่บ้านสวนเมืองนนท์เพคะ”
“อยู่ไกลอย่างนั้น แล้วมาทำงานทางล่าง ไม่เดินทางกันย่ำแย่หรือ”
สาลินยิ้มนิดๆ “ก็ไกลเหมือนกันเพคะ แต่ไม่ลำบากอะไร”
“เอายังงี้ไหม มาอยู่ด้วยกันกับศรีจิตรา”
สาลินสะดุ้ง คุณสร้อยตาโต สองจิตสองใจ คุณสอางค์บุ้ยใบ้
“ตอบรับเลย ยายสา”
ศรีจิตรามองสาลิน น้องสาวสบตาตอบ แล้วทูลเสด็จ
“หม่อมฉันอยากอยู่ที่บ้านสวนมากกว่าเพคะ เพราะคุณตาคุณยายอายุมากแล้วไม่มีใคร แล้วอีกอย่างหนึ่ง อยู่โน่นก็มีอิสระ สุขสบายดีเพคะ”
ศรีจิตราใจหายวาบ ทำตาขึงใส่ คุณสอางค์ผงะไปพิงคุณสร้อย ที่ลืมตัวแว้ดต่อหน้าพระพักตร์
“อ้อ ใช่ซิยะ อยู่อย่างนั้นจะเป็นลิงค่างบ่างชะนีอะไรก็ได้ ไม่มีใครจ้ำจี้จ้ำไชนี่”
เสด็จพระพักตร์เคร่ง ดวงเนตรกริ้ว สาลินทำใจดีสู้เสือ
“เธอจะไปเอ็ดหลานทำไม ฮึ”
คุณสร้อยผิดคาดยกมือพนมแต้ “เพคะ”
“เด็กรู้จักกตัญญูรู้คุณ ดูแลคุณตา คุณยาย แทนแม่ ก็เพราะตัว ยึดแม่อุ่นเรือนเอาไว้ พรากลูกพรากแม่กันสองชั้น”
คุณสร้อยหน้าเสีย เสด็จทอดพระเนตรสาลิน
“พูดกันตรงๆ แบบนี้แหละดี ไม่ใช่อมพะนำไว้ แล้วมาหวานอมขมกลืนทีหลัง”
ตรัสพลางชำเลืองมองศรีจิตรา
“ไอ้เรื่องอิสระน่ะ เป็นใครก็ไม่ชอบถูกบังคับจู้จี้กันทุกคนแหละ”
มาลา วรรณาได้ช่อง “ จริงเพคะ”
เสด็จตรัสต่อ “แต่ที่พูดนี่เว้นแก 2 คน ขนาดจ้ำจี้จ้ำไชทุกวัน ยังกระดางลางพิลึกคน”
2 นางหน้าจ๋อย สาลินเงยหน้ายิ้ม ขยับไปนั่งข้างพี่สาว งามผุดผาดบาดตา เสด็จพยักพักตร์ชมเชย
คุณสอางค์ก็ขยับมาติดคุณสร้อย พลางหยิกน้องสาวสุดแรงเกิด
“พี่สอางค์ หยิกหนูทำไม”
สาลิน ศรีจิตราตาโต เสด็จทรงกลั้นพระสรวล
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 8 (ต่อ)
ชายรองนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เทอเรซด้านข้าง พักหนึ่งชายเล็กก็เดินมานั่งแปะพิงพนักเก้าอี้ ตามองฟ้า
“เพิ่งตื่นหรือ” ชายรองหันมาทักน้องชาย
“วันอาทิตย์นี่ฮะ ก็เลยนอนตกเบิก”
เจียมรีบเดินมาดูแล “ คุณชายเล็กรับอะไรดีคะ”
“กาแฟกับอาหารเช้า”
เจียมแหงนดูท้องฟ้า เห็นตะวันตรงหัว
“แต่นี่เที่ยงแล้ว คุณนมเตรียมตั้งโต๊ะอาหารกลางวันแล้วนะคะ”
“เหอะน่า เอาแค่อาหารเช้า เดี๋ยวอาหารกลางวันค่อยไปหากินเอาดาบหน้า”
เจียมจำต้องรับคำ กลับเข้าตำหนักไป ชายเล็กคว้ากล้องส่องทางไกลมาดู ชายรองเหลือบมอง
“จะไปแถวไหนล่ะ วันนี้”
“เมืองนนท์ฮะ สาวๆ ชาวสวนแถวนั้น น่ารักไม่ใช่เล่นนะพี่รอง” พูดพลางเอากล้องมาส่ายหานกบนต้นไม้ “พี่รองเลิกส่องนก มาส่องสาวๆ อย่างผมดีกว่า”
“เชิญนายตามสบายเหอะ”
เจียมถือถาดวางถ้วยกาแฟ กากาแฟ เครื่องเติม และอาหารเช้า นมย้อยถือตะกร้าที่ภายใน
มีชามใหญ่พร้อมฝาปิดมาด้วย ชายเล็กลุกมาแย่งถือ
“อุ๊ย หนักนะนม อะไรเอ่ย”
“เครื่องเสวยตำหนักใหญ่ค่ะ คุณสอางค์มาขอแรงให้ช่วยทำอาหารพิเศษ เอ้า เจียม เอาไปได้แล้ว”
ชายเล็กยื่นส่งให้ เจียมรับตะกร้าเดินไป ส่วนชายรองก็รีบลุกขึ้นรับนมย้อยประคองให้นั่งลง แล้วสองคุณชายก็นั่งตาม
“วันนี้ตำหนักใหญ่มีอะไรหรือฮะ” ชายเล็กถามขึ้นมา
“วันนี้คุณสร้อยมาร่วมโต๊ะเสวยค่ะ”
ชายเล็กหันไปบอกพี่ชาย “คุณป้าจอมจุ้นของคุณศรีไงฮะ”
“ฉันรู้น่า”
“นมจ๋า ทำเครื่องเสวยทั้งทีมีเหลือบ้างไหม”
นมย้อยยิ้มรับ “มีซีคะ ทำทั้งทีทำชามเดียวเปลืองแรงเปล่าๆ แน่ะ จะขอไปฝากสาวเมืองนนท์
ใช่ไหมคะ”
ชายเล็กทำอาย เอานิ้วใส่ปากกัด ชายรองทั้งขำ ทั้งหมั่นไส้
“เพิ่งกินไข่ลวกมาด้วย อยากจะอ้วก”
ศรีจิตราเดินนำน้องสาวเข้ามาในห้อง สาลินเดินก้มหน้านิดๆ ดวงตาหลุบต่ำ สองมือประสานไว้ระดับท้อง เดินตามนุ่มนวลแช่มช้าตามมา
“นั่งซิ ยายสา”
สาลินยกมือไหว้ ก้มหน้าลง ทุกอย่างแช่มช้า ไม่คล้ายนางชาววังแต่คล้ายผีญี่ปุ่น
“สากราบขอบพระคุณค่ะ คุณพี่ ที่กรุณาสา”
พลางค่อยๆ บรรจงลูบกระโปรงนั่งลงอย่างแช่มช้าคล้ายกลัวที่นอนยุบ ศรีจิตราครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ฟาดเผียะไปที่ต้นแขน สาลินร้องเบาๆ ยกแขนขึ้นลูบไล้รอยตีอย่างแช่มช้า พูดแผ่วอ่อนโยน
“โอย คุณพี่มาตีน้อง ด้วยเหตุอันใดกันคะ”
“นี่ยายสา เลิกทำเป็นเล่นเสียที”
สาลินหัวเราะกิ๊ก ลงไปนอนแผ่บนเตียง กิริยาการกลายเป็นธิดาวานรเหมือนเคย ศรีจิตราค้อนแล้วยิ้ม“ใครบอกว่าสาทำเล่น สาฝึกเอาจริงเอาจังอยู่ครึ่งวันกะครึ่งคืน แล้วตอนเช้ายังมีซ้อมใหญ่อีก”
“เห็นไหมล่ะ เธอน่ะจะทำดีก็ทำได้ เสด็จโปรดเธอมากนะ”
“นั่นซี ทีแรกสากลัวจะตาย ขาก็สั่น นึกว่าจะทรงดุ ที่ไหนได้พระทัยดีที่สุดเลย แล้วเสด็จทรงให้สามาเฝ้าทำไมคะ พี่ศรี”
สาลินกลิ้งตัวมานอนคว่ำ ตั้งศอกเอาคางวางบนฝ่ามือทั้งสอง
“ก็ทรงอยากเห็นตัวสา แล้วก็อยากให้สามาเป็นเพื่อนพาพี่ไปไหนต่อไหนบ้าง”
“ไปเที่ยวข้างนอกน่ะหรือคะ”
ศรีจิตราส่ายหน้า “ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นหรอก แต่เสด็จโปรดให้พี่ไปซื้อหาของ ซื้อผ้าอะไรทำนองนั้น”
“ซื้อผ้าอะไรอีก เสื้อผ้าที่ตัดมาก่อนเข้าวังน่ะไม่รู้กี่สิบชุด บางชุดก็ยังไม่ได้ใส่เลย ไม่ใช่หรือคะ”
“เสด็จทรงอยากให้ตัดชุดใหม่ สำหรับงานหมั้นน่ะ ยายสา”
ศรีจิตราพูดเรียบๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่เอียงอาย สาลินหน้าไถลแพร่ดจากมือ หัวทิ่ม แล้วกระเด้งผึงมานั่งคุกเข่าจังก้าบนเตียง จ้องหน้าศรีจิตรา ก่อนจะแผดเสียงดัง
“งานหมั้น”
“เบาๆ ยายสา”
“นี่จะหมั้นแล้วหรือ”
ศรีจิตราพนักหน้าช้าๆ “ ก็คงเร็วๆ นี้แหละ แต่ว่ายังไม่ได้ทรงกำหนดวัน เห็นว่าจะทรงปรึกษาคุณป้าก่อน”
สาลินค้อน “สุดแท้แต่คุณป้าเถอะค่ะ”
ศรีจิตราหยิกหมับเข้าให้ “นี่แน่ะ”
“แล้วอีตาคุณชายชื่อยาว คุณชายรองนั่นรู้เรื่องหรือยัง”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมหรือสา”
สาลินสั่นศีรษะปฏิเสธ พลางคิดหนัก จนศรีจิตรานึกสงสัย
สาลินเดินฉับๆ มาที่สวน เลิกเป็นชาววัง กลับเป็นบรรณารักษ์สาวแก่นคนเดิม
เวลาเดียวกับที่เจียมเดินจากบ้านมายอบตัวลงตรงหน้าชายรอง
“เมื่อกี้ที่เจียมไปตำหนักใหญ่ พบแขกคนนึงค่ะ อยากมาขอพบคุณชาย”
ชายเล็กหันมาถาม “คุณชายคนไหน”
“คุณชายรองค่ะ”
“แขกโพกหัวหรือแขกมุสลิม” ชายเล็กถามล้อๆ
“แขกผู้หญิงค่ะ”
“สวยไหม”
“สวยค่ะ สวยมากด้วย”
ชายเล็กยักคิ้วให้พี่ชายแผล่บ
“แน่ะ พี่รอง มีสาวสวยมาหา ใครกันเอ่ย”
“นี่เลิกเล่นซะที ไอ้เจ้าเล็ก ใครกันเจียม”
“เธอบอกว่าเธอชื่อสาลิน น้องสาวคุณศรีจิตราค่ะ”
ชายเล็กร้องหา หน้าทะเล้นพลันซีดลง ชายรองพยักหน้าอย่างไม่นึกแปลกใจ
“เชิญมาที่นี่”
เจียมรับคำเดินออกไป ชายเล็กลุกพรวดละล้าละลัง ยายน้อมโผล่มาเก็บจานบนโต๊ะ
“พี่รอง ทำไมรับแขกตรงนี้ล่ะ”
“ฉันขี้เกียจให้เขาเปิดห้องรับแขก”
“งั้นผมเผ่นก่อนหล่ะ”
ชายรองมองงงๆ “ทำไมล่ะ เห็นว่านายอยากรู้จักไง”
“โธ่ ผมยังทรงชุดนอนอยู่เลย”
“เขาไม่ว่าอะไรแกหรอก”
จังหวะนั้นเสียงเจียมก็ดังเข้ามา “เชิญทางนี้เลยค่ะ”
ชายเล็กละล้าละลังหนักขึ้นอีก
“ไม่ได้ฮะ ผมไม่ได้นุ่งกางเกงลิง เดี๋ยวมันโตงเตงโตงเข้า”
ชายรองทำหน้าบอกไม่ถูก ยายน้อมชำเลืองมอง ชายเล็กรีบเอามือกุมเป้า
“จริงด้วยค่ะ อย่าเดินผ่านแดดเชียวนะคะ”
เจียมพาสาลินมาถึงพอดี ชายรองหันมอง ส่วนน้องชายยืนตัวแข็งทื่อ
สาลินเดินใกล้เข้ามา สีหน้าเย็นชา ในมือถือถุงกระดาษใหญ่ ชายเล็กรีบกระชากหนังสือพิมพ์จากมือพี่ชาย
“ขอยืมฮะ”
ว่าแล้วก็กางหนังสือพรึ่บออกปิดหน้าทำเป็นอ่าน พอสาลินก้าวมาถึงโต๊ะ เขาก็ค่อยๆ หมุนตัวก้าวไป
แอบโล่งใจขึ้นนิด พลันเสียงชายรองก็เรียกขึ้น
“นายเล็ก”
ชายเล็กสะดุ้งสุดตัว พูดเสียงอู้อี้ แต่ไม่หันหน้ามา
“ไรฮะ”
“นี่อีกฉบับหนึ่งเอาไปด้วย”
ชายเล็กยื่นมือมาข้างหลัง ไม่ยอมหันมา ชายรองยื่นส่งให้ไม่ถึง สาลินเลยคว้ามาแล้วส่งให้ใส่มือ
“นี่ค่ะ”
ชายเล็กตัวชาวูบ รับหนังสือพิมพ์มา พูดอู้อี้ “ขอบคุณครับ”
จากนั้นก็เดินพรวดพราดเกือบจะวิ่งปรู๊ดออกไป สาลินมองตามหลังนิดนึง แล้วหันมายืนเชิด
ชายรองลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ราวไม่อยากทำตามมารยาท สาลินรู้ ก็เชิดหน้าขึ้นอีกจังหวะ
“เชิญนั่ง”
“ขอบคุณ”
ทั้งสองนั่งลง เจียมนั่งลงบนพื้นเท้าแขนแอ่นหยัด มองสาลินตาแป๋วอย่างชอบใจ
“มีธุระอะไร”
“ฉันมาเยี่ยมพี่สาว เลยเอาเสื้อมาคืนคุณด้วย”
สาลินวางถุงบนโต๊ะ เอานิ้วดันไปราวรังเกียจ ชายรองยิ่งขุ่นใจ ดึงถุงเสื้อมาวางบนเก้าอี้ข้างตัว
แล้วเห็นเจียมนั่งเยี่ยมหน้าเสนอนวลอยู่ ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้
” อุ๊ย น้ำเลี้ยงแขก”
เจียมคลานแล้วลุกขึ้นก้มตัวไป
สาลินยิ้มเยาะ พลางคิด “ต๊าย วางตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย มีหมอบคลานด้วย”
“ เธอมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวฉันต้องออกไปธุระข้างนอก”
“มี”
ชายรองรีบเร่ง “มีก็พูดมาซะที”
“นี่คุณรู้ไหมว่าเสด็จ ทรงกำหนดวันหมั้นแล้ว”
“อะไรนะ เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ”
สาลินมองจ้องเชิงตำหนิ “แปลว่าคุณยังไม่รู้ นี่ คุณจะมามัวชักช้าไม่ได้แล้ว จะทำยังไงก็รีบทำซะ อย่าให้ทุกอย่างมันคับขันไปกว่านี้”
“ฉันรู้ ขอบใจ ที่อุตส่าห์รีบมาบอก”
จรวยเยี่ยมหน้าจากกระถางต้นไม่มาแอบมอง นมย้อยถือตะกร้าหวายเดินมาจากเรือนครัวก็ชะงัก รู้ว่าต้องแอบดูอะไร
“หาอะไรคะ”
จรวยตกใจ “ว้าย เอ้อ อ้า ง่า คุณชายโตหิวแล้ว เลยให้ฉันมาดูว่าตั้งของกินที่นี่หรือเปล่า”
“วันนี้หม่อมให้ตั้งที่ห้องอาหาร ไปแอบดูที่นั่นดีกว่านะจ๊ะ”
จรวยค้อนขวับแล้วรีบเดินไป นมย้อยก้าวมาที่เทอเรซ ขึ้นมาที่โต๊ะ
“ได้แล้วค่ะ คุณเล็ก อ้าว”
นมย้อยมองดูสาลิน ชายรองลุกขึ้นดึงตะกร้าหวายจากนมย้อยวางบนโต๊ะ แล้วประคองให้นั่ง
สาลินมองดู แล้วแอบคิดในใจ
“ต๊าย ทำดีๆ ก็เป็น ทีเมื่อกี้ทำเหมือนจะไม่ลุกให้”
ชายรองรีบแนะนำ “นมครับ นี่คุณสาลินน้องสาวคุณศรีจิตรา นี่คุณนมย้อย พี่เลี้ยงท่านพ่อ แล้วเลย ดูแลพวกเราทั้ง 3 คนมา”
สาลินยกมือไหว้อย่างงดงาม นมย้อยรับไหว้
“อู๊ย ไหว้พระเถิดค่ะ”
ชายรองเหลือบมอง พลางคิด “อ้อ ไหว้ดีๆ ก็เป็น แต่เมื่อกี้ไม่ยอมไหว้ฉัน”
ชายเล็กแหวกใบไม้จากกระถางแอบมองมา แล้วก็ตกใจ
“ฉิบหายแล้ว”
สาลินยิ้มแย้มกับนมย้อย
“คราวก่อนหนูมาได้ชิมขนมคุณนม เกิดมาไม่เคยกินขนมอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ”
นมย้อยยิ้ม สาลินคิดในใจ
“เว้นแต่ขนมบ้านอีตาพล อร่อยเท่ากันเลย”
“อู้ย ขอบคุณค่า ปากหวานจริง”
“อีตาพล” ที่หลังพุ่มไม้ใจหายใจคว่ำ ชายรองมองดูตะกร้าหวาย
“นี่จัดของนายเล็กไปฝากสาวหรือนม”
สาลินมองดูตะกร้าอย่างคุ้นตา แต่ไม่ถึงกับเอะใจ
“ของกินกับของว่างน่ะค่ะ จัดให้คุณชายเล็กเอาไปฝากเพื่อน”
ชายรองรีบบอก “เห็นว่าอยู่แถวเมืองนนท์ เหมือนเธอ”
ชายเล็กทำท่าเหมือนอยากจะตาย เจียมถือถาดน้ำส้มและน้ำเปล่ามาข้างหลัง มองอย่างสงสัย
“มาแอบดูอะไรอยู่คะ”
“เปล่า ไป ชู่ว์ ชู่ว์”
เจียมค้อนขวับ ก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นเทอเรซ พลางคุกเข่านบนอบ ยื่นน้ำเสิร์ฟให้สาลิน ที่ทำหน้าไม่ถูก
“ขอบคุณค่ะ”
สาลินดื่มน้ำส้มพรวดเดียวหมดแก้วแล้วลดลง เห็นชายรองมองจ้องอย่างตำหนิ นมย้อยมองอย่างเอ็นดู
เจียมรีบบอก “ อ้อ ข้างในตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วนะคะ”
สาลินตกใจ “ตั้งโต๊ะ อุ้ยตายแล้ว ฉันต้องกลับแล้วล่ะ”
พลางรีบลุกขึ้น นมย้อยชายรองลุกตาม สาลินไหว้นมย้อยแล้วลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะไหว้ชายรองแล้วรีบเดินลงจากเทอเรซไปทางด้านล่าง นมย้อยมองอย่างชื่นชม
“อุ๊ย น่ารัก น่าเอ็นดู กิริยามารยาทอะไรงดงามไปหมด”
เจียมยิ้มรับ “สวยคนละแบบกับคุณศรีนะคะ น่ารัก”
ชายรองแอบคิดในใจ “น่ารักตายล่ะ สร้างภาพ”
ชายเล็กถือหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ลงจากตำหนักมารวมกลุ่ม ยังตกใจไม่หาย นมย้อยหันไปทัก
“แหม คุณเล็กไปถ่ายหนักมาหรือคะ เลยไม่ได้เจอคุณสาลิน”
“เปล่าครับ โธ่ ผมถือหนังสือพิมพ์เฉยๆ ไม่ได้เอาไปอ่านตอนอึ”
“นี่ค่ะ ของฝากสาวเมืองนนท์”
ชายเล็กรีบบอก “ เอามาแบ่งกันกินเถอะฮะ ผมสังหรณ์ว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่บ้าน”
พูดพลางรีบนั่งลง ชายรองดึงเสื้อนอกมาดูหน้าดูหลัง เห็นเรียบร้อยดี นมย้อยเตือน
“เชิญห้องอาหารเถอะค่ะ ตั้งโต๊ะแล้ว”
ชายเล็กลูบท้อง รำพึง ”ตกใจจนหิวอีกแล้ว ไปฮะ พี่รอง นม”
นมย้อยเหลือบมอง “ แต่ก่อนเข้าโต๊ะ ไปเปลี่ยนชุดซะก่อนนะคะ ชุดนอนคุณชายน่ะโตงเตงโตงเว้า”
ชายเล็กยิ้มอายๆ เจียมมองแล้วเมินหัวเราะคิก
หลังร่วมโต๊ะเสวย คุณสร้อยก็ตาปรือนั่งซึมอยู่บนเตียงพิงพนักไว้ คุณสอางค์ยิ้มละไม เดินกรายไปมา
“เห็นไหม เสด็จทรงโปรดยายสายังกะอะไรดี ตอนเสวยน่ะคุยแต่กับยายสา”
คุณสร้อยหาวหวอด “แหม คุณพี่ หนูยังงงอยู่เลย ว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้นไปได้”
“จะทำไม ก็เห็นอยู่ว่ายายสาน่ะรื่นเริง ไม่กลัวใคร แล้วก็ช่างพูดช่างจาเหมือนคุณชายเล็กไม่มีผิด”
คุณสร้อยตาเบิกโพลงเลิกง่วง ขยับมา คุณสอางค์รีบนั่งลง มองตากัน
ศรีจิตราเดินมา ยกมือขึ้นจะเคาะประตู ได้ยินเสียงคุณสอางค์พูดต่อ
“เสด็จน่ะโปรดปรานคุณชายเล็กมาก ก็เลยโปรดยายสาไปด้วยอีกคน จริงๆนะ เพราะเธอคนเดียว”
พูดพลางหยิกน้องสาวหมับ
“คุณพี่ มาหยิกหนูทำไม”
“ฉันน่ะบอกเธอล้านหนแล้ว ว่าให้พายายสามารู้จักคุณชายเล็ก”
ศรีจิตรานิ่งฟัง แล้วก็ค่อยๆ ลดมือลง
“เธอก็มัวบิดตะกูด โยกโย้กฐินบก บอกว่ายายสาเป็นลิงค่าง บ่างชะนีอะไรไม่รู้ เสียเวลาเปล่าๆ”
คุณสอางค์ค้อนน้อง คุณสร้อยหน้าคว่ำ
“ก็ใครจะรู้ล่ะคะ ว่านังแก้วหน้าม้า จะถอดรูปเป็นมณีรัตนาไปได้อย่างในนิทาน”
“ต่อไปนี้ เธอต้องให้ยายสามาที่นี่บ่อยๆ ฉันจะได้จัดการให้ได้เจอคุณชายเล็ก”
ศรีจิตราถอนใจ “ โธ่เอ๋ย คุณป้า”
คุณสอางค์ยิ้มละไม
“แต่ว่าเราต้องทำทุกอย่างให้มันแนบเนียน เป็นบังเอิญ เป็นฟ้าลิขิต เป็นธรรมชาติ เพราะยังไงเราก็เป็นฝ่ายหญิง ถ้าคนรู้มันจะน่าเกลียด”
พูดพลางเหลียวซ้ายแลขวาระแวงระไว “กำแพงมีหู ประตูมีช่อง อย่าให้อึงไป”
คุณสร้อยเลยระวังด้วย
ศรีจิตราเคาะประตู เสียงค่อนข้างดัง คุณสอางค์ตกใจ ร้องวี้ดออกมา คุณสร้อยตกใจกว่า
“แหก”
คุณสอางค์หยิกน้องอีกหมับ แล้วหันไปทางประตู
“ใคร นังคนไหนมาแอบฟัง”
ศรีจิตราถอนใจ พูดลอดประตูไป “หนูเองค่ะ คุณป้า”
คุณสอางค์โล่งอก คุณสร้อยขยับไปพิงพนักเตียง
“เข้ามาซิลูก”
ศรีจิตราเข้ามายอบตัวลง คุณสร้อยมองค้อน
“อะไรกันอีกล่ะยะ”
“ลุงผลไปส่งยายสา กลับมารับคุณป้าแล้วค่ะ”
คุณสอางค์ลุกขึ้น ประคองพาศรีจิตรามานั่งข้างบนเตียง แทบจะตระกองกอดไว้
“อะไรหรือคะ คุณป้า”
“อาทิตย์หน้า ยายสาจะพาหนูไปซื้อของ แหม ไปกันแค่สองคน ป้าไม่วางใจเลย”
ศรีจิตรารู้ทัน “ ก็พี่มาลากับวรรณาไปด้วยนะคะ”
“แม่เมียตะเข้ 2 ตัวนั่น จะมาปกป้องอะไรเขาได้ ต้องมีผู้ชายไปด้วย”
“ก็นายชมไงคะ”
คุณสอางค์ตบอกผาง “ ต้าย เจ้าชมน่ะแก่กว่าป้าอีก จะไปคุ้มไปครองอะไรได้จ๊ะ”
“งั้นก็ขอยืมนายยอดตำหนักโน้นไปเป็นเพื่อนอีกคน”
ศรีจิตราแกล้งทำไม่รู้เท่า คุณสอางค์หน้าหงิก แอบสบตาคุณสร้อย พอเห็นหลานสาวมองจ้อง ก็รีบฉีกยิ้มใหม่
หญิงก้อยนั่งอยู่ที่ภัตตาคารหรูกับวิรงรอง ทั้งคู่แต่งตัวหรูหราราคาแพงเกินกว่าเวลากลางวัน
ฝ่ายแรกดูมีแววเหงาเปล่าเปลี่ยวปรากฏ ฝ่ายหลังแอบมองอย่างเวทนา
“ งั้นเดี๋ยวว่ายน้ำกันไหม”
หญิงก้อยส่ายหน้า “ไม่เอา เดี๋ยวต้องมาทำผมใหม่อีก เบื่อ”
“เธอนี่พิลึกจริง นั่นก็เบื่อนี่ก็เบื่อ ถามจริงๆ เถอะ มีอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นเธอมู้ดดี้ มู้ดดี้ มาเป็นเดือนแล้ว”
หญิงก้อยคอแข็ง รีบวางแก้วลง
“ไม่มีอะไร แต่เธอก็รู้ว่ากรุงเทพฯ น่าเบื่อจะตายไป”
“ต๊าย ฉันลืมไปว่าคุยกับอดีตนิวยอร์คเกอร์อยู่ เออ หญิงก้อย อาทิตย์หน้าจะวันเกิดฉันแล้วล่ะ ฉันอยากจะโทร อะ พาร์ที่ อยากแต่งเป็นสไตล์เป็นเมษาฮาวาย หรือชุดเบธทิ่งสูท ชุดว่ายน้ำก็ได้นะ เธอว่าแบบไหนดี”
หญิงก้อยทำหน้าเซ็ง “แบบไหนก็น่าเบื่อทั้งนั้น”
วิรงรองนึกหมั่นไส้ ก่อนจะมองไปยังทางเข้า “มาแล้ว”
หญิงก้อยหันมองตาม จิตตินเดินเข้ามายกมือโบกทักทาย ก่อนจะเดินฉีกตัวออก เผยให้เห็นอัศนีย์ในชุดเหมือนอยู่ในเมืองหนาว ดูหรูหราราคาแพง หญิงก้อยเบิกตากว้าง เมื่ออัศนีย์ก้าวตรงมา เธอก็หันมามองหน้าวิรงรอง ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
จิตตินพูดทัก “ ฮัลโหล กู๊ดอาฟเตอร์นูน”
หญิงก้อยนั่งเงียบ หน้าเรียบสนิท วิรงรองเป็นฝ่ายทักตอบ
“กูด อ๊าฟเตอร์นูน”
อัศนีย์หันมองหญิงก้อย “ สวัสดีครับ คุณหญิง”
หญิงก้อยเชิดหน้ามอง “ค่ะ”
วิรงรองขยิบตากับจิตติน แล้วแสร้งพูด
“ว็อท'ส แฮปเปนนิ่ง จิตติน ฉันนัดเธอแค่คนเดียว ทำไมถึงพานายสายฟ้าฟาดมาด้วย”
“อ้าว ก็เธอบอกอยากได้สปอนเซอร์ ก็รู้อยู่ไอมันสปอนเซอร์เงินแสน สู้พาสปอนเซอร์เงินล้านมาดีกว่า นี่ใจคอจะไม่เชิญให้นั่งเชียวหรือ”
“ว่าไง หญิง จะให้นั่งดีไหม”
หญิงก้อยมองค้อน “แขกของเธอ เธอก็รับรองไปซี”
“เทก อะซีท พลีส”
จิตตินและอัศนีย์นั่งลง บริกรเดินมาคำนับ แล้ววางเมนูอาหารเครื่องดื่มให้
วิรงรองหันมาถาม “ นี่เธอไปพาอาร์นี่มาจากไหน”
“ก็จากแมนชั่นของเขานะซี ไอว่าหมดเวลาแล้วที่จะเลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมา ยังไงวีออล ก็เป็นเพื่อนเก่าจากสเตทด้วยกันทั้งเซ็ต”
อัศนีย์ยิ้ม ปรายตาดูหญิงก้อย
“นั่นซิ กรุงเทพฯ ก็แคบแค่นี้เองด้วย”
หญิงก้อยเลิกคิ้ว “ใครกันคะที่เลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมา ฉันก็ใช้ชีวิตปรกติ ไม่เคยหลบหน้าใครซักนิด
ขอตัวนะคะ”
พูดจบก็ลุกแยกไป อัศนีย์รีบตาม วิรงรองรีบหยิบกล้องออกมา
“จิตติน เธอถ่ายรูปให้ฉันที”
“ถ่ายรูปอะไร”
“สองคนนั่นน่ะซี ถ่ายเร็ว ฉันไว้ทำข่าวซุบซิบ”
“เอ้า ถ่ายก็ถ่าย”
จิตตินแอบถ่ายภาพ ระหว่างที่อัศนีย์ตามไปยืนคุยกับหญิงก้อย
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 8 (ต่อ)
อีกมุมหนึ่งของร้าน อัศนีย์ เถลิงการกำลังคุยกับม.ร.ว.เทพีเพ็ญแสง
"สิ่งที่คุณหญิงทำอยู่นี่แหละที่เรียกว่า หลบหน้า ทำไมไม่คิดเสียว่าสิ่งที่แล้วไปแล้วก็เป็นแค่ฮีสทรี่ เราอยู่แต่ในปัจจุบันก็พอ"
"ใช่ เพราะสิ่งที่แล้วไปแล้ว มันไม่มีความสลักสำคัญต่อฉันเลย...แม้แต่เพียงปลายเล็บ"
คุณหญิงก้อยกรายมือดูเล็บยาวที่เคลือบสีไว้อย่างประณีต ปากยิ้มหยัน อัศนีย์เลิกคิ้ว
วิรงรองกับจิตตินยังแอบถ่าย
"นั่นซี ได้ข่าวว่าตอนนี้ คุณหญิงกำลังมีความสุข"
คุณหญิงก้อยชะงัก แล้วยักไหล่
"คนอย่างฉัน มีความสุขเสมอ ไม่มีอะไรทำให้ฉันหมดความสุขได้หรอก" เธอยิ้มมั่นใจ
"เพราะโลกนี้ ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับฉัน เท่ากับตัวฉันเอง"
"โอ เรื่องนี้ผมรู้ รู้ซึ้งเข้าไปถึงสปิริตแอนด์โซลเชียวล่ะ"
คุณหญิงตาวาว "คุณ !... หมายความว่ายังไง"
"ก็หมายความตามที่พูด"
"ลาก่อน และคงไม่ต้องเจอกันอีก"
คุณหญิงก้อยจะเดินไป อัศนีย์จับมากอดแน่น
"ปล่อยนะ"
"ไม่ปล่อย คุณหญิงเวลาสะบัดสะบิ้งแบบนี้ มันยั่วอารมณ์ผัวเก่าคนนี้ดีนัก"
อัศนีย์ดึงร่างม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงมารวบกอดไว้ เธอพยายามดิ้น แต่เหมือนดิ้นไม่ให้หลุดมากกว่า สีหน้าเหมือนพอใจกับความเถื่อนของอัศนีย์
จิตตินกดชัตเตอร์รัว วิรงรองมองทั้งคู่อย่างทึ่ง
"หยาบคาย ไม่ปล่อยฉันจะเรียกพนักงาน"
"เอาซี้ อยากให้เป็นข่าวรึไง คุณหญิงถูกผัวเก่าปล้ำกลางโรงแรมหรู"
เธอผละจากอัศนีย์ แล้วตบหน้าเบา ๆ ทีหนึ่ง อัศนีย์ยิ้มสายตาพอใจ คุณหญิงหน้าเชิ่ด
วิรงรองและจิตตินรีบเข้ามาห้ามทันที
"เฮ้ เฮ้ อย่ามาเมก อะ วอร์ กันที่นี่เลยไอ้อัศ คุณหญิง" จิตตินบอก
"โอ มายก็อด ฉันหวังให้โอลด์ เฟลม ถ่านไฟเก่าปะทุ ทำไมถึงกลายเป็นไฟสงครามไปได้" วิรงรองว่า
คุณหญิงก้อยรู้แล้วว่าวิรงรองวางแผน จึงหันไปมองอย่างเอาเรื่อง วิรงรองยิ้มประจบกุมมือคุณหญิง
"ฟรอม เดอะ บ็อทท่อม ออฟ มาย ฮาร์ท ฉันเสียดายแทนเธอสองคนจริงๆ"
"ถ่านไฟเก่าเหรอ คนอย่างฉันไม่มีวันหวนคืน มีแต่จะก้าวไปข้างหน้า"
"แต่อาร์นี่เป็นม้าฝีเท้าดีนะครับ อาจจะวิ่งไปดักรอคุณหญิงอยู่ปลายทางก็ได้" จิตตินบอก
คุณหญิงก้อยตาวาว อัศนีย์ยิ้มเซ็กส์ ๆ วิรงรองยกสองมือ
"สต๊อป อิน เดอะ เนม ออฟ เลิฟ พลีส"
อัศนีย์บอก "โอเค ตกลงไหมคุณหญิง สงบศึกดีกว่าก่อสงคราม"
"เอาเป็นว่าไม่สงบศึก แต่ไม่ปะทะ สงครามเย็นน่ะ"
"ได้ครับคุณหญิง สงครามเย็น"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงโบกมือข้างหนึ่งกรีดกราย ทำนองว่า “ก็ได้” แล้วเมิน อัศนีย์ยิ้ม
อัศนีย์และจิตตินเดินคู่กันมาตามทางเดินในโรมแรมหรู วิรงรองและคุณหญิงก้อยเดินตามมา ทำเย็นชา
"ไปไหนต่อดีหญิง ดูหนังหรือช็อปปิ้ง"
"เธอตัดสินใจเองเถอะ เพราะว่าฉัน...ขอตัว"
"ว็อท"
จิตตินบอก "โธ่ ทำไมล่ะครับ คุณหญิง"
"ฉันเบื่อค่ะ ฉันจะกลับวังรัชนี"
"แล้วจะกลับยังไง โอเค เดี๋ยวฉันโฟนเรียกรถจากวังรัชนีมารับเธอ"
"ไม่จำเป็น ฉันจะเรียกแท็กซี่"
"จะต้องกลับแท็กซี่ทำไมคุณหญิง เดี๋ยวผมไปส่งเอง" อัศนีย์บอก
"ไม่ต้อง !"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงหันมาเกือบตวาด อัศนีย์ยิ้มยั่ว
"ทำไมหรือครับ"
"มันไม่ใช่ธุระของคุณที่จะไปส่งฉัน"
"สามีเก่าจะไปส่งอดีตภรรยามันเสียหายอะไรล่ะครับ เอาน่า สงครามเย็นของเรามันต้องมีการติดพันนัวเนียกันบ้าง ไม่งั้นจะเรียกว่าสงครามได้ยังไง"
จิตตินและวิรงรองอมยิ้ม คุณหญิงมองอัศนีย์อย่างประเมิน
"ก็ได้"
อัศนีย์ยิ้มกว้างผายมือไปทางหนึ่ง
"ไปนะ"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงไม่รอกล่าวลาตอบ เดินไป อัศนีย์ก้มหัวให้จิตติน วิรงรอง แล้วเดินตาม
วิรงรองเหนื่อยใจเซไปนั่งเก้าอี้ยาวริมทางเดิน นั่งเหนื่อย ขาถ่าง ก้มหน้าจนนมเกือบหลุดจากเสื้อ
จิตตินเซ็ง ก้าวมายืนใกล้ๆ
"นี่ฉันเหนื่อยอกเหนื่อยใจไปหมด"
วิรงรองเริ่มจัดนมให้เข้าที่ จิตตินเซ็ง
ไแต่ยังไงแผนขั้นหนึ่ง ก็คอมพลีท ให้ดาวสองดาวโคจรมาพบกันใหม่ไ
จิตตินถาม
"แล้วแผนขั้นสองคืออะไร ให้ดาวสองดวงชนกัน ระเบิดเป็นจุณมหาจุณงั้นเหรอ"
วิรงรองยักไหล่ จัดนมต่อ
"นี่... มาเป็นตากล้องคู่ใจฉันดีกว่า ฉันจ้างเธอเป็นตากล้องประจำ"
"จีบฉันเหรอ"
"จีบไว้ใช้งานโว้ย แต่ผลพลอยได้ ไม่แน่นะ"
วิรงรองยั่วยวนจัดนมเสร็จ ก่อนแยกไป
"ยุคนี้ผู้ชายกลายเป็นของเล่นไปแล้วเหรอวะ"
รถสปอร์ตของอัศนีย์แล่นไปตามถนนอันร่มรื่น ในรถ อัศนีย์มองตรงไปเบื้องหน้า คุณหญิงนั่งตัวตรงคอแข็งไม่พิงเบาะ เมินมองไปนอกหน้าต่าง
"เลี้ยวซ้าย ตรงสี่แยกหน้าใช่ไหมครับ"
"ใช่"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงหันมาตอบแล้วมองดูอัศนีย์ ทุกอย่างในตัวดูหรูเนี้ยบไปหมด ตั้งแต่เส้นผมไปถึงปลายเล็บ และรองเท้า แล้วเบนสายตามาดูความหรูหราในรถ แล้วมีแววเสียดาย
"รถคันใหม่"
"ก็ไม่เชิงใหม่ ซื้อมาหลายเดือนแล้ว ให้ของขวัญตัวเอง ในโอกาสที่หย่...."
อัศนีย์เกือบพูดว่า “หย่า”
"หย่าเหรอคะ"
"เปล่า โอกาสที่ยัง….เป็นที่ต้องการของสาว ๆ ทั้งที่เป็นพ่อม่าย"
คุณหญิงก้อยยิ้มหยัน
"รวย หล่ออย่างคุณ สาว ๆ ที่ไหนก็ต้องการทั้งนั้น"
อัศนีย์เจ็บปวดลึก ๆ "ยกเว้นคุณหญิง"
คุณหญิงมองอัศนีย์ครู่หนึ่งก่อนจะเมินไป ยกมือแตะผม อัศนีย์เหลือบดู เห็นนาฬิกาเรือนทองเล็กแบบบางแต่ฝังเพชรแพรวพราว ก็ยิ้มในหน้า แล้วมองดูเสี้ยวหน้าอันงามสมบูรณ์แบบ คอระหง ทรวดทรงกลมกลึงแต่แบบบาง เต็มไปด้วยรังสีจากตัว ก็ถอนใจนิด ๆ เบือนหน้าไป คุณหญิงหันมา
อัศนีย์คลายยิ้มลง หน้าขรึมไป
รถสปอร์ตจอดลงหน้าเทอเรซ วังรัชนีกุล รื่นกับโรยก้าวมา ตาค้าง
อัศนีย์ลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูรถให้ ม.ร.ว.เทพีเพ็ญแสง เธอก้าวออกมา
"ขอบใจที่มาส่ง"
"ขอบคุณเช่นกัน"
"มาขอบคุณฉันเรื่องอะไร"
"เรื่องที่คุณหญิงยังใส่นาฬิกาเรือนนี้อยู่"
คุณหญิก้อยงชะงัก แล้วทำหน้าเชิด
"คุณกลับไปได้แล้ว สวัสดี"
"แล้วเจอกัน คุณหญิง"
อัศนีย์โบกมือลาแล้วเดินไปขึ้นรถ คุณหญิงยืนตัวตรง อัศนีย์ขับรถวนออกไป รถพุ่งปราดหายไป
คุณหญิงมองตาม มีแววสับสนวุ่นวายในดวงตา แล้วหมุนตัวเดินขึ้นเทอเรซ รื่นกับโรยคุกเข่าลง รอรับคำตำหนิ ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงเดินไป มองตรง ยื่นกระเป๋าไป รื่นรับไว้ราวเป็นราชโองการ คุณหญิงเดินผ่านไป ดวงตาครุ่นคิด
รื่นกับโรยมองหน้ากัน
"แปลก วันนี้ไม่โดนด่า" รื่นว่า
"แล้วคุณพระเอกนั่นใครกันอีกล่ะ" โรยบอก
หม่อมวาณีกำลังช่วยม.ร.ว. ศศิรัชนีจัดชุดน้ำชาของว่างยามบ่าย คุณหญิงก้อยเดินเข้ามา ทั้งคู่แปลกใจ
หม่อมวาณีถลามาจับแขนลูกสาวคนโปรด
"กลับแต่วันเชียวหญิง แม่คิดว่าจะกลับดึก เอ๊ย ค่ำ ๆ เสียอีก มาลูก มารับประทานของว่างกัน"
"ไม่ล่ะค่ะ ของว่างซ้ำๆ หญิงเบื่อ"
คุณหญิงศศิรัชนีเลื่อนจานคานาเป้ ปากยิ้มนิดๆ ดวงตาเซ็ง
"ดีลูก วันหลังหาเมนูใหม่ๆนะหญิงกลาง งั้นเดี๋ยวกินน้ำชากับแม่"
คุณหญิงก้อยมานั่งที่โซฟา วาณีมานั่งด้วย รื่นกับโรยเข้ามาคุกเข่าลง คุณหญิงก้อยจิบชา
"ค่ะ"
"ดีลูก นี่ใครมาส่งหรือจ๊ะ"
"อัศนีย์ค่ะ"
"ดีลูก หา ! ใครนะ"
"หญิงขอตัวก่อนนะคะ"
ม.ร.ว.เทพีเพ็ญแสงเดินไปยังบันได รื่นกับโรยขอไม่ตามไป นั่งเงี่ยหูฟัง วาณีลุกถลามาหาหญิ
งกลาง
"ว้าย ยังไง อัศนีย์ ผัว เอ๊ย สามีเก่าหญิงน่ะหรือ"
รื่น โรยตาเบิกกว้าง
"คงใช่ค่ะ" ม.ร.ว.ศศิรัชนีว่า
"ว้าย แล้วมันจะมายุ่งมาตอแยอะไรกับหญิงอีก"
"หม่อมแม่คะ สมัยนี้น่ะถึงจะเลิกร้างกันแล้วก็ยังเป็นเพื่อนกันได้"
"ไม่มีทางหรอก มันจะมีแต่ตะขิดตะขวงมากกว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ ถ้าท่านพ่อทรงทราบ เดี๋ยวก็กริ้วปึงปังอีก นี่นะ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ก็เพราะ...โอย"
คุณหญิงศศิรัชนีเหลือบตามองเพดาน
"เพราะเจ้าอัศนีย์คนเดียว"
"เพราะเจ้าอัศนีย์คนเดียว"
คุณหญิงศศิรัชนียิ้ม หม่อมวาณีงง แล้วค้อนลูกสาว รื่น โรยกระซิบ
"ว้าย พ่อพระเอกนั่นผัวเก่าคุณหญิง" รื่นบอก
"ต้องเรียกสามีเก่า คุณหญิง คุณนายน่ะมีสามี ต้องพวกเราถึงจะมีผัว"
รื่นกับโรยชะงักมองกันอย่างเศร้าๆ
"แล้วทำไม เราถึงยังไม่มีล่ะโรย"
"รื่นเอ้ย ฉันว่าเงาวังนี้ทับศาลพระภูมิ เลยมีอะไรบังอยู่"
ทั้งคู่โพล่งพร้อมกัน "เราถึงไม่มีผัว"
คุณหญิงศศิรัชนีมองมาได้ยินแว่วๆ ก็มองหน้า รื่นกับโรยยิ้มแห้งๆ ลนลานไปถวายงาน “หญิงก้อย” ต่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น บริเวณห้องนั่งเล่นของตำหนักเล็ก จรวยแต่งตัวงดงาม เสื้อคว้านคอลึกเห็นทรวงอวบ นั่งวางท่าบนโซฟา พลิกดูข่าวหน้าสังคม นมย้อยอยู่ตรงข้าม เจียมเช็ดถูตามชั้นอยู่
จรวยมองดูหน้าข่าวสังคม ท่าทีเชิดวางท่านั้นก็หลุดบท ตาเบิกโพลง
"ว้าย แม่หก"
นมย้อยมองอย่างปราม เจียมมองเขม่น แต่จรวยกลับผวาลุกข้ามมานั่งกับนมย้อย
"คุณนมขา ดูข่าวนี่"
นมย้อยรับหนังสือพิมพ์มา จรวยหันมาเรียกเจียม ความขุ่นข้องหมองใจไม่มีชั่วคราว
"เจียม มาดูด้วยเร็ว"
เจียมทิ้งผ้าขี้ริ้วถลามาคุกเข่าชะเง้อดูด้วย นมย้อยกับเจียมตาเบิกโพลง
ภาพขาวดำในหน้าหังสือพิมพ์ เป็นรูปอัศนีย์กับ ม.ร.ว.เทพีเพ็ญแสงที่กำลังจับมือถือแขนในร้านหรู มีรูปใหญ่หนึ่งรูป และรูปเล็ก ๆ ประกอบอีกสองสามรูป บางรูปกำลังกอดกันแนบชิด
"ตุ๊กตาหน้ารถของอัศนีย์ เถลิงการคนล่าสุด ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสง อดีตภรรยา ว้าย" นมย้อยอ่าน
เจียมอ่านต่อ
"มีคนเห็นทั้งคู่ช่วยกัน เป่าถ่านไฟเก่าจนลุกสว่างวูบวาบ ไม่แพ้พลุวันปีใหม่...ว้าย"
นมย้อยตบอก
"คุณชายรองเห็นหรือยังคะ คุณนม" เจียมถาม
"ยัง เร็วนังเจียม เอาไปซ่อนเร็ว" นมย้อยบอก
จรวยตาวาว ทำหวังดี
"เอายังงี้ รวยจะเอาไปอ่านในห้องเอง"
"เออ ดีเหมือนกันแม่คุณ ไปเจียม ไปจัดโต๊ะ"
นมย้อยกับเจียมลุกเดินออกไป ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์ลงบันไดมา จรวยพับหนังสือพิมพ์เอาข่าวสังคมมาอยู่หน้า กิคุณชายรองเดินมาถึงโซฟา จรวยลุกขึ้น
"คุณชายคะ หนังสือพิมพ์เช้าค่ะ"
"ขอบใจ"
คุณชายกิตติราชนรินทร์รับหนังสือพิมพ์แล้วพลิกไปหน้าแรก
อ่านดูคร่าว ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ วางลงที่เดิม แล้วออกไปที่เทอร์เรซ จรวยมองอย่างขัดใจ
หม่อมวาณีและหญิงกลางนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีอาหารเช้าพอสมควร
เพราะคุณหญิงก้อยยังไม่เสด็จลง หม่อมวาณีพลิกหนังสือพิมพ์ผ่านๆไปหน้าสังคม พับครึ่งหน้าจ้องอ่านสุดแขน
"วันนี้มีข่าวอะไรบ้างคะ"
"ไม่เห็นมีข่าวอะไร มีข่าวงานแฟชั่นโชว์ แล้วก็สมาคมอะไรไม่รู้ลูก จัดระบำมินูเอ็ต แล้วก็ข่าวถ่านไฟเก่าอะไรซักอย่าง ดี ผัวเมียคืนดีกัน"
ขาดคำวาณีก็พลิกครึ่งบนแล้วร้องกรี๊ด คุณหญิงศศิรัชนีสะดุ้ง
"น่าอนุโมทนานะ หญิงกลาง ว้าย"
รูปโพสท์ท่าโรแมนซ์ของอัศนีย์กับม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสง
"หม่อมแม่ อะไรคะ"
วาณีส่งหนังสือพิมพ์ให้
"ก็ดูซีลูก ดู ดู โธ่จะมาถ่านไฟเก่าอะไร"
คุณหญิงศศิรัชนีดูนิดเดียวก็วาง ยิ้มเรื่อยๆ
"ก็ไม่ดีหรือคะ หญิงก้อยจะได้มีสามีเดียว ไม่มีใครครหา"
"น้อยไปซี แค่นี่ก็โดนนินทาจนไม่รู้จะยังไงแล้ว ฮึ ไอ้เจ้าเสือผู้หญิงนี่มันจะมาจริงใจกับใคร ขืนไปคืนดีกับมัน ก็ไม่แคล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า โดนมันทิ้งอีก"
"แต่คราวที่แล้วน่ะ หญิงก้อยเป็นฝ่ายทิ้งนะคะ"
"ไม่รู้ล่ะใครทิ้งใครก่อนก็เถอะ ถ่านไฟเก่าที่มันมีแต่ขี้เถ้าเป่าไม่ติดก็มีเหมือนกัน"
"ค่ะ ถ่านไฟเก่าแบบคุณรองก็อาจเป็นอย่างงั้นด้วย"
หม่อมวาณีชะงักค้อนคุณหญิงกลางทำปรกติ วาณีหยิบหนังสือพิมพ์มาดูสุดแขนใหม่ เพราะกลัวแก่ไม่ยอมใส่แว่น
ภาพของอัศนีย์กับม.ร.ว.เทพีเพ็ญแสงจับมือถือแขน และกอดกัน ขยายใหญ่ติดบอร์ดอยู่ มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดัง
ภายในห้องทำงานฝ่ายข่าวสตรีและสังคม เลื่อมประภัส กับฉัตรอาชา จิตตินในมือถือกล้อง นั่งอยู่ด้วย
ภาพโรแมนซ์นั้นเป็นภาพในหนังสือพิมพ์ที่วิรงรองกางอ่านเช็คข่าวอยู่ โทรศัพท์ดังครั้งที่สาม วิรงรองจึงค่อยรับ
"ฮัลโหล"
ที่ห้องนอน คุณหญิงก้อยถือโทรศัพท์ในมือ อีกมือถือหูโทรศัพท์เดินลากสายโทรศัพท์ยาวเหยียดเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่าน พูดกระชากเสียง ที่พื้นมีหนังสือพิมพ์กระจายอยู่
"นี่มันอะไรกัน ยัยติ่ง"
วิรงรองขมวดคิ้ว
"เรื่องอะไรอีกล่ะเพคะ ปริ๊นเซส"
"ไม่ต้องมาทำเป็นไขสือ ฉันพูดถึงข่าวที่เธอเสกสรรค์ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา"
วิรงรองยิ้มแสยะ แต่ทำเสียงนบนอบ
"แหม ก็แค่ยั่วเย้ากระเซ้าแหย่กันเล่นๆ"
"แต่ฉันไม่เล่นด้วย"
"ไม่เล่นก็ไม่เล่น พูดจริงๆนะหญิง ใครๆทุกคนน่ะอยากให้เธอคืนดีกัน"
"ถ้าอย่างนั้นใครๆทุกคนก็เตรียมผิดหวังก็แล้วกัน"
วิรงรองนึกอะไรได้
"หรือว่าเธอกลัวว่า คุณชายรองจะโกรธ"
คุณหญิงก้อยอึ้งไปนิด และยักไหล่ ทรุดนั่งลงบนสตูล
"โกรธก็โกรธไป ฉันไม่แคร์หรอก"
"นี่ เธอกับคุณชายรอง มีปัญหาอะไรกันแน่"
คุณหญิงมองโทรศัพท์อย่างโกรธ แต่ยักไหล่อีก
"เปล๊า ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่ฉันรำคาญความลูกแหง่ติดเด็จป้าของเขา อะไรก็
สุดแท้แต่เด็จป้า ตัดสินใจอะไรไม่ได้ซักอย่าง ชักช้าน่ารำคาญ"
วิรงรองจดปราดๆลงในสมุดโน๊ต ให้ เลื่อมประภัส กับฉัตรอาชาเข้ามาช่วยจด
...อาจจะโกหก สืบเรื่องเสด็จต่อ...
"งั้นข่าวของฉันวันนี้ อาจเป็นผลดีกับเธอ"
"ดีอะไร"
"ก็ดีตรงที่คุณชายรองจะได้รู้ว่า เขามัวชักช้าอยู่ไม่ได้ ในเมื่อเธอเป็นกระดังงาลนไฟ ที่หอมหวนทวนลมขนาดนี้"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงเลิกคิ้ว เห็นด้วยแล้วยิ้มพราย วางสาย หมุนตัวเข้าหาโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูเงาสะท้อนของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
จิตตินถาม "ยายคุณหญิงว่าไง"
"ด่าฉันใหญ่ นี่ เจาะข่าวมาได้แล้ว เรื่องยายก้อยระหองระแหงกับคุณรอง น่าจะเกี่ยวกับเสด็จพระองค์หญิง"
"ใคร"
"เด็จป้าของคุณชายกิตติน่ะซี"
ฉัตรอาชาบอก"งั้น งานนี้ต้องสืบ"
"สืบอะไร"
"สืบเรื่องเสด็จพระองค์หญิง"
เลื่อมประภัสบอก
"แล้วก็เรื่องคุณหญิงก้อยโกหก ไม่รู้ว่าพูดมามดเท็จหรือเปล่า"
"ดีมาก งานนี้ฉันจ้างเธอนะ รวมทั้งมาเป็นตากล้องจำเป็นให้ฉันด้วย ตกลง"
"เป็นทั้งนักสืบ ตากล้อง แล้วให้เป็นอย่างอื่นด้วยรึเปล่า"
"ก็...คู่เดทให้ฉันบางเวลา"
"งั้นฉันขอเธอเป็นนางแบบให้ฉันก่อน"
วิรงรองโพสต์ จิตติณถ่ายรูป
ห้องโถงตำหนักเล็ก ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลนั่งอยู่บนโซฟามองดูภาพอัศนีย์กับคุณหญิงก้อย เขายังแต่งชุดที่ใส่ไปทำงาน คุณชายรอง อาบน้ำแล้วใส่ชุดอยู่บ้านเดินเข้ามา จรวยเอาผ้าอ้อมลูกมาพับอยู่ไม่ห่าง
"พี่รองวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์หรือยัง หน้าข่าวสังคมน่ะครับ"
"ฉันไม่อ่านข่าวกอสซิปแบบนี้ ไม่ยักกะรู้ว่านายอ่านด้วย" ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์บอก
จรวยฮึดฮัดขัดใจ
"ปรกติผมก็ไม่อ่านหรอกครับ แต่มีใครก็ไม่รู้ พับหน้านี้เปิดหราวางเอาไว้ที่โต๊ะ ผมก็เลยเห็นเข้า" คุณชายเล็กบอก
ชายเล็กทำเป็นไม่รู้ จรวยหูผึ่ง คลี่ผ้าอ้อมออกทีละผืนใส่ตะกร้า
คุณชายกิตติราชนรินทร์รับหนังสือพิมพ์มา เห็นรูปก็ชะงัก อ่านปราดไปแล้วขมวดคิ้ว จรวยขยับมาอีก พับผ้าอ้อมใหม่เรียงลงอีกตะกร้า
"ว่าไงครับ"
"ไม่รู้ซี มันมึนๆ งงๆ ชอบกล" คุณชายรองว่า
"ฮ๊ะ ! ไม่โกรธหรือหึงซักหน่อยหรือครับ"
ม.ร.ว.กิตติราชนรินทร์แปลกใจตัวเอง
"มันก็อาจจะทั้งโกรธ ทั้งหึง แต่แปลกที่รู้สึกชัดที่สุดคือ เบื่อ"
คุณชายเล็กเกาหัว
"แล้วมันยังไงแน่ นี่พี่รอง ยังรักหญิงก้อยอยู่หรือเปล่า"
คุณชายกิตติราชนรินทร์นิ่งอึ้ง
จรวยพับผ้าหมดตั้ง ลงมือคลี่ออกทีละผืน เงี่ยหูฟังจนหน้าเบี้ยว
"ฉันกับหญิงรักกันมาเกือบสิบปีแล้วนะ"
"แล้วตอนนี้ กับภาพข่าวแบบนี้ล่ะครับ" ชายเล็กว่า
ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์นิ่งอั้น
"ไอ้เรื่องแต่งงานกับศรีจิตรานี่ ถ้านายเป็นฉันนายจะทำยังไง"
"ถ้าผมเป็นพี่รอง ผมก็ทำตามใจน่ะซี จะมีประโยชน์อะไร ถ้าแต่งกับคนหนึ่งแล้วหัวใจไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง"
คุณชายรองนิ่งอั้นมากขึ้น
"แล้วเด็จป้า"
"ผมจะทูลเด็จป้าให้เด็ดขาด ต้องยอมให้เด็จป้ากริ้วด้วย"
"ถ้าเด็จป้ากริ้ว เรื่องก็จะใหญ่โต ดีไม่ดี ฉันอาจถูกตัดจากกองมรดก และต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่น"
"จะขนาดนั้นเชียวเหรอครับ"
จรวยอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง
"เสด็จตรัสคำไหนต้องเป็นคำนั้น" คุณชายรองยืนยัน
"ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ครับ เงินส่วนตัวของพี่รองก็มี เงินเดือนก็ตั้งหลายพัน ร้านผ้าไหมก็คืนทุนแล้ว หญิงก้อยเองก็น่าจะทำงานหาเงินได้"
จรวยยิ้มแสยะ เปรยเบาๆ
"คงหรอก"
คุณชายกิตติราชนรินทร์ถอนใจเบาๆ
"แต่ฉันไม่แน่ใจว่าหญิงก้อยจะทนความลำบากได้หรือเปล่า"
"ถ้าหญิงก้อยรักพี่รองจริง ก็ต้องทนได้ซีฮะ ข้อสำคัญพี่รองต้องพูดกับหญิงก้อยให้เข้าใจ"
"แต่หญิงไม่ยอมเจอฉันเลย แล้วจะให้ฉันทำยังไง"
คุณชายเล็กพยักหน้า ม.ร.ว.กิตติราชนรินทร์นิ่งอั้น คุณชายโตเดินเข้ามา
"เจียม พับผ้ามาชั่วโมงนึงแล้ว ยังไม่เสร็จหรือ ตาตุ้มหิวนมแล้ว" ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์บอก
จรวยสะดุ้ง อ้าปากจะตอบ
"ก็พับเสร็จแล้วคลี่ คลี่เสร็จแล้วพับ มันจะเสร็จได้ยังไงล่ะครับพี่โต" คุณชายเล็กว่า
คุณชายรองกับคุณชายโตลุกขึ้น มองอย่างว่างเปล่าแล้วเดินออกไป จรวยหน้าเสีย
"คุณเล็กนะคุณเล็กพูดเข้า รวยไปพับต่อในห้องก็ได้ คุณโตขา จะทานน้ำพริกอะไร
ดีคะ เดี๋ยวรวยจะตำให้ น้ำพริกนรกมั้ยคะ"
จรวยหอบผ้า แล้วดึงสามีออกไป
ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์นอนบนเตียงอ่านหนังสือ มือยื่นมาดึงเชือกไกวเปลตาตุ้มอย่างสำราญใจ จรวยถือตะกร้าผ้าที่พับเรียบร้อยเข้ามามองอย่างสมเพช แล้ววางตะกร้าลง หมุนตัวกลับมา เปลี่ยนเป็นยิ้มเข้าไปนั่งเบียดดิเรก
"คุณชายขา ถ้าจรวยถามเรื่องนี้อย่าว่าจรวยจุ้นจ้านอีกนะคะ"
"เรื่องอะไรล่ะ"
"เรื่องคุณชายรองกับคุณศรีจิตราน่ะค่ะ"
"ไปยุ่งเรื่องของเขาอีกแล้ว"
"ที่ยุ่งน่ะเพราะจรวยเป็นห่วงคุณชายรองน่ะค่ะ"
"ทำไม"
"แหม....ต้องแต่งกับคนที่ตัวไม่ได้รัก ร่วมหัวจมท้ายกันไปทั้งชีวิต แล้วคนรักก็ต้องพลัดพรากจากกันไป มันเจ็บปวดทรมานมากนะคะ"
"เธอห่วงชายรองจริง ๆเหรอ"
"จริงซีคะ คุณโตลองนึกนะคะ ถ้าคุณโตไม่ได้แต่งกับจรวย แล้วต้องไปแต่งกับคุณศรีจิตราเข้าจริง ๆ คุณชายจะมีความสุขได้ขนาดนี้เหรอคะ"
จรวยเข้ามากอด คุณชายโตหน้ามึน ๆ เพราะไม่ได้มีความสุขอะไรมากมาย นอกจากเรื่องเซ็กส์
"คงเย็น ๆ ชืด ๆ จืด ๆ ไปแต่ละวัน ไม่ได้ทานน้ำพริกกะปิครกเด็ดของที่จรวยตำกับมือแบบนี้หรอกค่ะ"
จรวยแนบชิดคุณชาย ม.ร.ว.ดิเรกราชวิทย์อมยิ้ม จรวยทำหน้านางร้าย
ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลนั่งอยู่ที่เทอเรซข้างตำหนักเล็ก คุณชายโตก้าวมานั่งลงด้วย
"ไงนายเล็ก
"ครับผม"
"ฉันอ่านข่าววันนี้แล้ว เรื่องชายรองกับหญิงก้อยไปถึงไหนแล้ว"
คุณชายเล็กงง
"ทำไมหรือฮะ ไม่ยักรู้ว่าพี่โตสนใจเรื่องนี้ด้วย"
"ทำไมพี่จะไม่สนใจ เพราะฉันเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย"
"ฮ๊ะ ! มียังไงครับ"
"ก็เรื่องแต่งกับศรีจิตรา ความจริงน่ะมันเรื่องของฉัน แต่ชายรองต้องมารับเคราะห์แทน"
"แหม มันคงไม่ใช่เคราะห์ร้ายขนาดนั้นมังฮะ"
"ยังไงก็เถอะ ถ้าชายรองรักกะหญิงก้อยก็ไม่น่าต้องมาเป็นเหยื่อการคลุมถุงชนแบบนี้ ชายรองควรจะได้กินน้ำพริก เอ๊ย ควรได้แต่งกับคนที่เรารัก"
คุณชายเล็กมองงงๆ
"แล้วพี่โตมาบอกกับผมทำไม"
"ก็นายน่าจะเป็นสื่อให้ชายรองกับหญิงก้อยคืนดีกันได้นะซี"
"นี่พี่รองคิดเอง หรือมีใครบอกครับ"
"จรวยน่ะมานั่งบ่นว่าห่วงชายรอง" คุณชายเล็กนั่งทำตาปริบๆ "แล้วแนะให้ฉันมาพูดกับแก"
ม.ร.ว.บดินทราชทรงพลเกือบถอนใจ ที่พี่ชายโง่จนไม่รู้ทันจรวย แต่ดีใจที่พี่ชายไม่ได้ร้ายกาจตามเมีย
"ทำไมเหรอ"
"พี่รองคงดีใจน่ะซีฮะ ที่รู้ว่าพี่โตกับจรวย ห่วงพี่รองขนาดนี้"
ม.ร.ว. ดิเรกราชวิทย์ยิ้ม
วันรุ่งขึ้น ณ เทอเรซหน้าวังรัชนีกุล รถของคุณชายเล็กแล่นมาจอดลง รื่น โรยเดินซึมเศร้าออกมา พอเห็นว่าเป็นรถของ ม.ร.ว.บดินทราชทรงพลก็ตาโต
ประตูรถเปิดออก คุณชายลงจากรถ อ้าแขนเหมือนจะโอบกอด รื่นกับโรยคล้ายได้วัคซีนต้านซึมเศร้า ถลามารับอย่างระริกระรี้
ในห้องนั่งเล่น ม.ร.ว. ศศิรัชนีนั่งปักสะดึงหน้าหมอนอยู่กับแม่ ทั้งคู่ถือสะดึงคนละกรอบนั่งบนโซฟาปักผ้ากันไป มีเสียงหัวเราะคิกคักของรื่นกับโรยแว่วมา
"อุ๊ย แม่สองคนนี่เคยหัวเราะด้วยหรือ" หม่อมวาณีว่า
"ท่าทางนายเล็กคงจะมาน่ะค่ะ"
รื่น โรยหน้าระรื่น เข้ามายอบตัวลง
"คุณชายเล็กมาเจ้าค่ะ หม่อม คุณหญิง"
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 8 (ต่อ)
คุณชายเล็กเดินยิ้มร่าเข้ามา ยกมือไหว้หม่อม หม่อมวาณียิ้มแก้มปริ
"หวัดดีครับหม่อมอา หวัดดีครับคุณกลางที่รัก"
"นี่เธอยังมีชีวิตอยู่เหรอ ฉันคิดว่าเธอล้มหายตายจากไปแล้วเสียอีก" คุณหญิงกลางบอก
ม.ร.ว. ศศิรัชนีพูดพลางยิ้มละไม คุณชายเล็กสะดุ้งเฮือก รื่น โรยตกใจแล้วปิดปากยิ้ม ผิดกับหม่อมวาณีที่ยิ้มแล้วชะงัก
"ว้าย หญิงกลาง ทักอะไรไม่เป็นมงคลเลย"
คุณชายเล็กตั้งสติได้ยิ้มร่า
"แหม หม่อมอา ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก"
"วุ้ย ชายเล็ก"
"งั้นนั่งลงจ้ะ เดี๋ยวฉันจะชมเชย ยกยอปอปั้นเธอทั้งวันเลย" คุณหญิงว่า
ม.ร.ว. บดินทราชทรงพลรำพึง พลางนั่งลง
"ก็แปลว่าเกลียดขี้หน้า"
"นี่มาทำไม จะมาเป็นทูตให้พระพี่ชายล่ะซี"
หม่อมวาณีตาโตยิ้มออกแล้วรีบระงับท่าทีไว้
"ก็ใช่น่ะซี"
"แล้วท่านทูต มีข้อเสนออะไรบ้าง"
"พี่รองน่ะ เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะขัดพระทัยเด็จป้า ไม่แต่งงานกับหลานคุณสอางค์ พี่รองอยากถามว่าหญิงก้อยเป็นยังไงบ้าง"
"ว้าย"
หม่อมวาณีร้องอุทานดีใจ เมื่อลูกสาวหันไป หม่อมวาณีก็เปลี่ยนท่าทีเป็นผู้ใหญ่แสนสุขุม จุ๊ปาก ส่ายหน้า
"อาไม่เห็นด้วยเลย ที่ชายรองจะขัดพระทัยเด็จป้า"
คุณหญิงศศิรัชนีเซ็ง แต่ยิ้ม
"จริงด้วยค่ะ หม่อมแม่"
หม่อมวาณีแอบค้อน
"แต่ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องความสุขตลอดชีวิต เฮ้อ พูดยาก"
"แต่พี่รองตัดสินใจแน่นอนแล้วล่ะครับ หม่อมอา"
หม่อมวาณีเกือบกระโดดจิกเบาะโซฟาไว้ พยักหน้าลำบากใจ แต่ตาวาว
"เฮ้อ งั้นอาก็พูดไม่ออกแล้ว" หม่อมขยับเมินไป
"แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง นายเล็ก"
"ไม่เห็นต้องทำยังไง ก็แค่ไปหยั่งดูท่าที"
"ถ้าหญิงโอเค"
"ถ้าโอเค ก็ให้เขานัดพูดจากันเอง เฮ้อ โตขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมพูด หลบกันไปหลบกันมายังกะวัยรุ่น"
หม่อมวาณีเสียงแจ๋ว
"ก็นั่นซีจ๊ะ ไม่งั้นเรื่องก็จบไปนานแล้ว วุ้ย ดีใจจริ้ง"
หม่อมวาณีลืมตัวหลุดบทจนลูกสาวต้องสะกิด รื่น โรยบุ้ยบ้าย หม่อมชะงักรีบทำสุขุมใหม่ ม.ร.ว. บดินทรราชทรงพลกลั้นหัวเราะ
ในห้องนอน ม.ร.ว.วเทพีเพ็ญแสงยืนระทวยอยู่ หันขวับมา จนผมและชายผ้าภูษาทรงสะบัด ดวงหน้ากระจ่างสดใส ดวงตาเป็นประกาย
"คุณรองว่าอย่างงั้นจริงๆหรือคะ"
หม่อมวาณีก้าวมากุมมือลูกสาวคนโปรด พาไปนั่งบนโซฟาหลุยส์บอบบางปิดทองล่องชาด พี่สาวยืนอยู่ห่างๆเหมือนนางกำนัลต้นห้อง
"จริงซีลูก ชายรองกล้าขัดพระทัยเสด็จ ยิ่งชัดว่าชายรองรักหญิงมั่นคงขนาดไหนนะลูก คืนดีกันซักที"
"ฮึ เขาไม่มาเองต่างหาก หญิงไม่ได้พระยศพระเกียรติอะไรมากมายซักหน่อย"
"จ้ะ พี่รู้ว่าหญิงไม่ใช่คนเรื่องมาก"
คุณหญิงศศิรัชนีประชดน้องสาวเรียบๆ หญิงก้อยตวัดสายตา หม่อมวาณีมองอย่างปราม แล้วหันมาโอ๋ต่อ
"แล้วหญิงจะให้แม่ตอบไปว่ายังไงล่ะจ๊ะ"
ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงลุกขึ้น กรายไปยังกระจกเงากรอบทองฉลุฉลักบานยาว
"ก็ตอบว่า หญิงยินดีที่จะพบกับเขาค่ะ"
"อุ้ย ดีลูก งั้นให้ชายรองมาเย็นนี้เลยนะจ๊ะ"
คุณหญิงก้อยพิศดูตัวเอง พลางเอามือแตะผมเบาๆ
"ไม่ค่ะ"
หม่อมวาณีอ้าปากค้าง
"หา"
"มันเร็วเกินไปค่ะ หญิงเตรียมตัวไม่ทัน"
หม่อมวาณีสบตาคุณหญิงกลาง ประมาณว่า ต้องเตรียมอะไรอีก
คุณหญิงกลางพูดเบาๆ "จ้ะไม่เรื่องมาก...แล้วเมื่อไรดีล่ะจ๊ะ"
คุณหญิงก้อยคว้าผ้าผืนหนึ่งมา เดินลากผ้ากรายไป ครุ่นคิดไปด้วย
"เมื่อไรมันก็ไม่สำคัญเท่าอย่างไรหรอกค่ะ หญิงอยากให้การที่คุณรองกลับมาหาหญิง มันเป็นโอกาสพิเศษ"
คุณหญิงก้อยหยุด แล้วกรายสองมือยกขึ้นคล้ายโมเดิร์นแดนซ์
"ให้มันมีบรรยากาศ มีสักขีพยาน และมีแต่ความชื่นชมยินดี"
หม่อมวาณีอ้าปากค้างอีกรอบ หญิงกลางยิ้ม
"งั้นที่สวนอัมพร หรือ สนามหลวงดีล่ะจ๊ะ"
คุณหญิงก้อยหันมา ดีใจจนไม่สนใจคำประชดของพี่สาว
"หญิงนึกออกแล้วค่ะ"
บ้านวิรงรอง ตอนกลางคืน เป็นบ้านโมเดิร์นในยุค 60’s ส่วนหน้าบ้านทำเป็นรูปอาร์คโค้ง และหน้าต่างช่องประตูเป็นทรงเหลี่ยม กำแพงดีไซน์เป็นช่องทรงตาหมากรุก
ในห้องนั่งเล่น วิรงรองในชุดอยู่บ้าน โชว์ทรวงอก จิตตินแต่งตัวลำลองแต่เลิศหรู ผสมเหล้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ ธัญญามายืนเมียงมองดูจิตติน
"หา หญิงก้อยจะคืนดีกับไอ้เจ้าคุณชาย"
"ใช่ แล้วจะมาเอางานพาร์ที่วันเกิดฉันเป็นที่คืนดีด้วย เอาบรรดาเพื่อน ๆเป็นวิทเนส"
จิตตินถือเหล้ามา 2 แก้ว ส่งให้วิรงรองแก้วนึง แล้วนั่งลงใกล้
"แล้วเธอเขียนข่าวเชียร์เพื่อให้ไอ้อัศคืนดีกับยายคุณหญิงยังไงหว่า มันถึงกลับตาลปัตรแบบนี้"
"ก็ใช่น่ะซี อีข่าวนี้แหละ ทำให้คุณชายรองตัดสินใจคืนดีกับหญิงก้อย"
"งานนี้ไอ้อัศจะมาได้ยังไง"
"ห้ามขาด....หญิงก้อยห้ามเชิญอาร์นี่มาเด็ดขาด ต๊าย เซ็ง งานวันเกิดฉัน ฉันเป็นเบิร์ธเดย์เกิร์ล ควรจะเด่นล้ำที่สุดในงาน นี่คุณเธอจะมาสตีล ซีน เป็นนางเอกของงานแทนฉัน"
"ดีแล้วล่ะ ยายคุณหญิงเขานางเอก ส่วนเธอมันนาง"
"นางอะไร พูดดี ๆ นะนายไอ้จิตติน"
"นางแบบไง"
"แล้วไป"
วิรงรองแยกไปผสมเครื่องดื่ม
จิตตินเอ่ยเบา ๆ "นางแบบโป๊"
"ฮึ เป่าถ่านไฟก้อนนึง ทำไมไปติดอีกก้อนได้"
"ถ่านของนายอัศนีย์มันหมดเชื้อไฟแล้วจริงๆมั้ง"
"นี่ จิตติน ฉันเหมาะเป็นนางแบบจริง ๆ เหรอ ลงโว้คไหวไหม"
"ปฏิทินเหล้าดีกว่ามั้ง"
"ไอ้บ้า ฉันโพสท่านี้เป็นไง พอจะเหมือนหญิงก้อยบ้างไหม"
"สวยกว่าอีก งั้นขอถ่ายรูปไว้หน่อย"
"ได้เลย"
วิรงรองโพสท่าแบบต่าง ๆ จิตตินคว้ากล้องมาถ่าย บอกท่าโพสต่าง ๆ ยิ่งดูยิ่งเหมือนนางแบบโป๊เข้าไปทุกที
วันต่อมา ... การ์ดงานวันเกิดของวิรงรอง แนวไซคีเดลิก เขียนไว้ว่า “เชิญร่วมงานปาร์ตี้วันเกิด วิรงรองซุบซิบ แต่งตัวหรูกึ่งราตรี”
ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มีไดอารี่วางอยู่ตรงหน้า ในมือมีการ์ดวันเกิด อ่านดูแล้วทำหน้าพิกล คุณชายเล็กยืนอยู่ด้วย
"งานวันเกิดคุณติ่งหรือ"
"ครับ หญิงก้อยจะไปงาน บอกว่า ถ้าพี่รองอยากเจอเธอก็ไปเจอที่งานได้"
"ทำไมหญิงไม่พูดกับฉันตรง ๆ"
"ตามประสาหญิงก้อยแหละฮะ ขอไว้ท่าก่อน มีอะไรก็ไปพูดในงานแล้วกันฮะ"
"แต่ฉันไม่ชอบกลุ่มเพื่อนของคุณติ่ง น่ารำคาญ โดยเฉพาะนายคนที่ชื่อ จิตติน อะไรนั่น"
"ก็อยู่ในงานซักแป๊บนึง แล้วค่อยปลีกตัวออกมาสองคนก็ได้นี่ฮะ"
คุณชายรองพยักหน้า แต่มีแววขุ่นมัว
"นี่พี่รองไม่ได้ดีใจเลยหรือฮะ ที่เรื่องยุ่งๆนี่จะได้จบเสียที"
"ก็เพราะฉันรู้ไง ว่าถึงเรื่องนี้จบลง เรื่องยุ่งเรื่องใหม่มันก็จะเกิดขึ้นแทนที่"
"นี่แหละครับ ชีวิต เขาว่าไงนะ โลกนี้คือละคร"
"โลกนี้คือละครโรงใหญ่ ชายหญิงไซร้คือตัวละครนั่น"
"แต่งานนี้พี่รองไม่ใช่ตัวละครธรรมดา แต่เป็นพระเอกเลยนะครับ"
คุณชายรองยิ้ม มีแววกังวล
"ยังไงก็เบรก อะ เลกนะครับ ผมไปล่ะ"
"นายไม่ต้องมาอวยพรชั้น งานนี้นายก็ต้องเบรกอะเลกเช่นกัน เพราะนายต้องไปกับฉัน"
คุณชายบดินทราชทรงพลออกไป ชายรองพลิกไดอารี่ เจอดอกไม้แห้งของสาลิน แต่สียังสดใสอยู่ เขาหยิบมาดู สีหน้าที่กังวลกลับคลายออกนิดหนึ่ง
วันต่อ ๆ มา สาลินหน้ายังคงสุกปลั่งเรืองรอง ด้วยเคล็ดลับความงามทั้งจีนไทยผสมกับเครื่องสำอางบันได 3 ขั้นของยุค นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ ตรงหน้ามีกองหนังสือนิทานสำหรับศรีจิตรา เป็นหนังสือภาษาอังกฤษอย่างง่าย มีรูปภาพประกอบงดงาม จิตริณีเข้ามาพร้อมหนังสือของเมื่อสองสามวันก่อน
"สาลิน เธอเห็นข่าวคุณอาร์นี่หรือยัง"
"ใครคะ"
"โทษ,,,คุณอัศนีย์ไง"
สาลินรับหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าสองวันที่แล้วมาอ่าน
"ตายจริง คุณอัศนีย์กลับไปคืนดีกับคุณหญิงเทพีเพ็ญแสงแล้ว ในข่าวบอกว่าจะมีการแต่งงานรอบสอง"
สาลินเบิกตากว้าง
"ว๊า ทำไมเป็นแบบนี้ละคะ ถ้าเขาคืนดีกัน อีตาคุณชายก็ต้อง"
"ว่าไงล่ะคะ"
"ไม่มีอะไรค่ะ"
"แหม....อยากรู้แล้วล่ะค่ะ ไหนว่าจะเล่าให้ฟังไง"
"รออีกหน่อยค่ะ รอให้ฉันสรุปเรื่องอีตาคุณชายขี้เก๊กนั่นก่อน"
สาลินไม่รู้เลยว่า ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์มายืนอยู่ข้างหลัง มือถือหนังสือที่ยืมไปมาคืนด้วย จิตริณีพยายามส่งซิกแนล แต่สาลินไม่รู้ตัว
"นี่เอาหนังสือไปตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้ว ยังไม่เอามาคืนอีก อย่าบอกบอสนะคะ ฉันขู่จะปรับนายคุณชายขี้เก๊ก ตั้งห้าบาท เอาให้หมดตัวเลย"
"เออ คุณชาย สวัสดีค่ะ"
จิตริณีไหว้คุณชายรอง สาลินอึ้ง พูดไม่ออก ค่อย ๆ หันไปเห็น ชายรองยืนอยู่
"กลัวต้องถูกปรับน่ะ เลยรีบเอาหนังสือมาคืนเธอ"
สาลินเก้อไป
"มานานแล้วเหรอคะ"
"นานพอได้ยินเธอด่าฉันทั้งหมดแหละ"
สาลินยิ่งเก้อ พูดไม่ออก
ริมทางเท้า เมื่อเวลาเที่ยงครึ่ง บรรดาชาวออฟฟิศทั้งหลาย เสร็จจากอาหารกลางวัน กำลังซื้อของขบเคี้ยวต่างๆเพื่อกินล้างปาก บ้างก็สั่งสมเอาไว้กินตอนบ่ายแก่ๆ
ลลิตา บราลี จิตริณี หนุ่มแว่น นั่งทานกันอยู่
"แล้ววันนี้คุณสาลินล่ะครับ" แว่นบอก
"อ้าว ไม่รู้เหรอคะ เมื่อกี้คุณชายกิตติมารับเธอไปทานกลางวัน" จิตริณีบอก
"อีกแล้วเหรอครับ"
"นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ มาโน่นแล้ว" บราลีว่า
ทั้งหมดมองตามไป เห็นทั้งคู่เดินผ่านร้านไป ทั้งหมดกรูตามไป
อีกมุมของถนน สาลินเดินมากับคุณชายกิตติราชนรินทร์
สาลินเดินดูของทานเล่นไปตลอดทาง บราลี ลลิตา จิตริณี หนุ่มแว่นตามมาแอบดู
"อุ๊ย ขนมไข่นกกระทา ฉันซื้อก่อนนะ"
"ตกลงจะไปทานกับฉันที่ร้าน หรือจะทานที่นี่กันแน่"
"รอฉันเดี๋ยวน่า เจ้านี้อร่อยมากนะคุณ ขอชิมลูกนึงนะแม่ค้า"
"ได้ค่า คุณสาลิน" แม่ค้าบอก
สาลินหยิบมาเข้าปากทันทีแล้วตาเหลือก
"อ๊ายย ร้อน"
สาลินอ้าปากกว้างคล้ายหนุมาน เอาอีกมือพัดปาก คุณชายมองมีแววขบขันแต่ทำหน้าเฉย สาลินเสียหน้าอย่างยิ่ง กล้ำกลืนขนมลงคอ
"อร่อยมากเลยซี"
"นี่ อย่ามายั่วฉันนะ"
"ฉันไปยั่วอะไรเธอ ฉันแค่ถามดู เผื่อว่าฉันจะซื้อบ้าง"
"ผู้ดีอย่างคุณ กินขนมติดดินอย่างนี้เป็นด้วยหรือ"
คุณชายรองสมใจ
"กินเป็นซี...อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า ควรจะรอให้มันเย็นลงก่อนแล้วค่อยกิน"
"คุณ !"
สาลินตกหลุมพราง เกือบจะเต้นเร่าๆ ชายรองยืนมองนิ่ง
จิตริณี บราลี ลลิตา ยืนดูอยู่อย่างสนใจ แว่นฮึดฮัด
"นี่คุณจะพาฉันเข้าโรงแรมเลยหรือ"
"พูดให้ดี ๆ พาเธอไปทานข้าวในโรงแรม ฉันอยากพาเธอไปร้านผ้าไหมฉันด้วย"
"เพื่ออะไร จะอวดว่าคุณไม่ได้มีแค่เงินเดือนกระทรวง ยังทำธุรกิจส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ ฮึ....ถึงจะอวดรวยแค่ไหน ฉันก็ไม่ใจอ่อนให้คุณแต่งงานกับพี่ศรีหรอก"
"เธอนี่มันเพ้อเจ้อจริง ๆ นะ ไปร้านผ้ากับฉันแล้วฉันจะบอกข่าวดีให้เธอฟัง"
"ข่าวดี ? แม่ค้าเร็ว ๆ มีเท่าไหร่เอาเท่านั้นแหละ"
สาลินรับถุงมา แม่ค้าแบมือรับเงิน สาลินทำเฉย ๆ
"จ่ายซีคะ"
"หา...ให้ฉันจ่าย"
"ค่ะ ก็เลี้ยงแล้วเลี้ยงเลยไง"
คุณชายรองส่ายหน้า หยิบเหรียญมาจ่ายให้แม่ค้า ก่อนจะพาสาลินแยกไป
บราลีบอก "ฉันเหน็ดเหนื่อยแทนแม่คนนี้จริงๆ ทั้งนายพล เด็กปั๊มตัวหอม"
ลลิตาเสริม "คุณชายยาว"
"หา"
"ยาวทั้งชื่อ ยาวทั้งรถไง"
"แม้แต่อาร์นี่ ก็ยังอยากเดทกับเธอ" จิตริณีบอก
"ผมอยากตายวันละร้อยหน" แว่นว่า
"กินน้ำใบบัวบกก่อนนะ เขาว่าแก้ช้ำใน" ลลิตาว่า
แว่นดื่มน้ำพรวด
รถสปอร์ตหรูอีกคันแล่นมาจอดที่ถนนหน้าห้องสมุด อัศนีย์ก้าวลงมา วันนี้สวมแจ็กเก็ตหนังสีสวย ผมหวีเสย เสื้อคอเต่า กางเกงขาลีบ รองเท้าหัวแหลม แว่นตาดำสะท้อนแสงแดด
ผู้คนทั้งละแวก เบรกกึก มองดูตาค้าง
อัศนีย์ขยับแว่น แสงสะท้อนวูบวาบ คนทั้งละแวกยกมือป้องหน้า คล้ายโดนอิเหนาฉายกริช
อัศนีย์ถอดแว่นออก เห็นว่าหล่อไปอีกแบบ ในมาดแบดบอย
คนทั้งละแวกมองอย่างตะลึงในความหล่อ มวยมณีก้าวแหวกคนมา
"ให้ตายชัก หล่อไม่เกรงใจมวยเลยว่ะ"
อัศนีย์ยิ้มนิดหนึ่งเดินไป
ที่เคาน์เตอร์ห้องสมุด ร่างระหง ผมมันเป็นเงาเลื่อม แต่งตัวเป็นเดรสเรียบ ยืนหันหลังให้ ลลิตา บราลีไปเข็นรถจัดหนังสือเข้าที่อยู่แถวชั้น แว่นเลยพลอยช่วยไปด้วย
อัศนีย์ยิ้มมุมปาก เอามือเท้าเคาน์เตอร์ จิตริณีกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
"ฮัลโหล"
"ไฮ"
อัศนีย์เกือบสะดุ้ง ผิดคาดแต่รีบกลบเกลื่อน ยิ้มตาพราว จิตริณีรู้ทัน
"มาหาใครกันคะ"
"โธ่ ผมจะมาหาใคร ถ้าไม่ใช่คุณ...จินนี่"
"จินนี่ หรือ ลินซี่กันแน่คะ"
จิตริณียิ้มอย่างปรกติ ดวงตาร้าวรานนิดหนึ่ง อัศนีย์หัวเราะ
"คุณนี่รู้ทันจริงๆ"
"ลินซี่ไม่อยู่ค่ะ มีชายหนุ่มมารับเธอไปตั้งแต่เที่ยงครึ่ง"
"เรื่องธรรมดา หญิงสาวย่อมมีชายหนุ่มหมายปอง ไม่เห็นแปลกเลย"
จิตริณีก้าวจากเคาน์เตอร์ ทำหน้ามีเลศนัย
"แต่มันแปลกตรงที่ ชายหนุ่มคนนั้นไม่ธรรมดาน่ะซีคะ"
"ใคร คนที่ผมรู้จักหรือเปล่า"
"รู้จักค่ะ แต่คงไม่มักคุ้น"
"จินนี่ที่รัก เลิกพูดเป็นริดเดิล เป็นปริศนาเสียที"
"งั้นฉันจะเฉลย ชายหนุ่มคนนั้นเป็นหม่อมราชวงศ์ ชื่อ กิตติราชนรินทร์ค่ะ"
"ว็อท !"
อัศนีย์ร้องเสียงสูง คนใช้บริการ ลลิตา บราลี แว่น ต่างหันมาดู จิตริณีสมใจ อัศนีย์อัศจรรย์ใจเป็นที่ยิ่ง
ณ วังรัชนีกุล ตอนกลางวัน ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงรับโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผลุดลุกขึ้นนั่งทันที
"เธอว่าอะไรนะ อาร์นี่"
อัศนีย์กำลังพูดสายอยู่ที่เคาน์เตอร์ของห้องสมุด จิตริณีฟังความอยู่ข้าง ๆ
"คุณหญิงรีบมาดีกว่า ถ้าอยากเห็นอะไรดี ๆ ให้ทันการ"
"ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ร้านผ้าไหมของคุณรองใช่ไหม"
"ถูกต้อง เราเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม"
อัศนีย์วางสาย
"อาร์นี่ ถ้าเธอจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับสาลิน ควรจะบอกให้ฉันรู้ด้วยนะ"
"ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอช่วยเล่าหน่อยเถอะ นายคุณชายมันมาหาสาลินบ่อยไหม ถึงขั้นจีบเลยรึเปล่า แล้วสาลินมีท่าทียังไงกับเจ้าคุณชายบ้าง"
อัศนีย์สงสัย
ในโรงแรมหรู ที่ร้านผ้าไหมมีลูกค้าประปราย ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์เดินนำสาลินเข้ามา พนักงานขายยกมือไหว้ คุณชายรับไหว้ สาลินรีบไหว้ตอบ พนักงานงงไป ที่ชั้นวางม้วนผ้าไหม สาลินถลาไป มือยื่นไปจะจับผ้า คุณชายรองคว้าข้อมือไว้
"เดี๋ยว"
สาลินมองหน้า ชายรองส่งผ้าเช็ดหน้าให้
"ทำไม ฉันไม่ได้ขี้มูกไหลซักหน่อย"
"ฉันให้เธอเช็ดมือต่างหาก ไม่อยากให้ผ้าไหมฉันเป็นผ้าซับน้ำมันไข่นกกระทาของเธอ"
สาลินยื่นกระทงไข่นกกระทาให้
"ชั้นไม่ทาน"
"ชั้นให้ถือ"
คุณชายรองทำหน้าเหวอ สาลินค้อน เอาผ้ามาเช็ดมืออย่างกระแทกกระทั้น
ที่มุมด้านในวางของชิ้นเล็ก เช่น ผ้าพันคอ กล่องผ้าไหม สาลินเลือกดูอย่างพอใจ คุณชายรองยืนทำหน้าเฉยอยู่ข้างๆ
"นี่คือข่าวดีของคุณ คุณคืนดีกับคุณหญิงแล้ว"
"ใช่"
"แล้ว...ทำไมถึงมีข่าวกับภาพคุณหญิงกับคุณอัศนีย์กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างนั้นล่ะ"
"เธอจะไปเอานิยมนิยายอะไรกับข่าวกอสซิป เอาเป็นว่าฉันจะคืนดีกับหญิงก้อยก็แล้วกัน เธอคงสบายใจได้"
"สบายใจซี สบายใจที่สุดเลย พี่ศรีจิตราก็คงสบายใจเหมือนกัน"
สาลินหันไปเลือกผ้าต่อ
คุณหญิงก้อยในชุดทะมัดทะแมง เป็นชุดเสื้อกางเกงติดกันแบบผ้ายืด เหมือนเอ็มม่าพีล จากเรื่องขวัญใจสายลับเดินเข้ามาในล็อบบี้ อัศนีย์รออยู่
"เชิญคุณหญิงครับ"
ทั้งสองเดินตรงไปยังร้านผ้าไหมของคุณชายรอง
สาลินกำลังเชยชมผ้าพันคอหลากสีหรูหราผืนหนึ่ง สาลินคลี่ผ้ากรีดนิ้ว ผ้าบังหน้า โผล่แต่ตามา ดวงตาสาลินสวยใสบริสุทธิ์ อะไรบางอย่างบอกว่ามีจิตใจงดงามยิ่ง ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์มองดูอย่างพิศวง
"ผืนนี้ก็แล้วกัน คุณ คุณ เหม่ออะไร"
"อะไร"
"ฉันถามว่า เอาผืนนี้ไหม ของขวัญวันเกิดให้เพื่อนคุณ"
สาลินส่งผ้าให้ คุณชายรับมาดู เห็นว่าดูดีจริงๆ
"ตกลงเอาผืนนี้ เธอก็รสนิยมดีเหมือนกันนี่"
"เปล๊า ฉันเลือกเพราะมันแพงดีต่างหาก"
"จะถูกจะแพงมันก็ร้านฉันเอง ยังไงฉันก็ไม่ล่มจมหรอก"
สาลินเชิดใส่
คุณหญิงก้อยกับอัศนีย์เดินมาตามทางเดิน เห็นร้านผ้าไหมอยู่ตรงหน้า
สาลินดูผ้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ต่อ คุณชายรองเดินตามมาห่างๆ สาลินเจอผ้าไหมชิ้นหนึ่ง
"สวยจังเลย"
สาลินพลิกดูราคาที่ป้ายห้อยแล้วสะดุ้ง รีบวางลง
"เธอชอบหรือ"
"ชอบผ้า แต่ไม่ชอบราคา"
"เดี๋ยวฉันให้เขาลดราคาให้เธอก็ได้"
"ไม่เอาหรอก พอดูๆแล้ว มันหรูหราเกินไปสำหรับมนุษย์เดินดินกินข้าวแกง โหนรถเมล์อย่างฉัน"
ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์มองนิ่ง
"ฉันซื้อให้"
"ไม่ต้องเอาใจฉันแบบนี้หรอก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณ ทั้ง ๆ ที่คุณจะไม่ได้เป็นพี่เขยฉันแล้ว"
คุณชายรองจับมือสาลินแน่น เธอตกใจเล็ก ๆ เขาดันร่างเธอเข้ามุม ร่างใกล้ชิดกัน คุณชายรองหน้าดุ เสียงเข้ม
"จำไว้นะ ที่ฉันซื้อก็เพราะอยากซื้อให้ ไม่ได้คิดว่าซื้อเพราะอยากได้เธอเป็นน้องภรรยาเหมือนกัน"
สาลินตกใจ มองตะลึง เขายังยึดข้อมือของสาลินแน่น
ที่นอกร้าน ม.ร.ว. เทพีเพ็ญแสงและอัศนีย์มองอยู่ หญิงก้อยสั่นระริกด้วยความโกรธขีดสุด เพราะมุมที่มองนั้นเหมือน คุณชายรองกำลังคลอเคลียกับสาลินอย่างแนบแน่น คุณหญิงสะบัดเดินออก อัศนีย์ตาม
"ทำไมต้องทำหน้าดุอย่างนี้ด้วย" สาลินถาม
จบตอนที่ 8