รัตนาวดี ตอนที่ 12
ประพัทธ์รีบเดินมาหาจูนด้วยสีหน้าไม่พอใจมาก คว้าแขนจูนอย่างแรง พูดอย่างไม่มีเยื่อใยแต่เสียงไม่ดังเพราะรักษาหน้าตัวเอง
"มาที่นี่ทำไม"
จูนหันไปมองหน้าประพัทธ์อย่างไม่สะทกสะท้าน สบัดแขนออก
"มาหาคุณป้าสร้อย"
ประพัทธ์หันไปมองหน้าป้าสร้อย ป้าสร้อยรีบเก็บจดหมายของจูนใส่ในกระเป๋าเสื้อคลุมอย่างเร็ว
"หนูมาหาป้าเรื่องอะไรล่ะ"
"หนูมีเรื่องมาคุยด้วยค่ะ"
ประพัทธ์ตวาด ท่านดนัยเดินมายืนใกล้ๆ รัตนาวดี แต่เยื้องไปด้านหลัง รัตนาวดีสีหน้าเรียบเฉย
"ไม่ต้อง...เธอไม่เคยรู้จักคุณป้าสร้อยซักหน่อย...มีเรื่องอะไรจะมาคุย เอาไว้ให้กลับไปลอนดอนก่อนเราค่อยคุยกัน...กลับไปได้แล้ว"
"เอ้า...เค้าเพิ่งมาจะไปไล่เค้ายังไง...ไป...อยากคุยกับป้าเราก็ไปนั่งคุยกันทางโน้น"
ป้าสร้อยทำท่าจะเดินไป จูนจะเดินตามแต่ประพัทธ์ขวางไว้
"ผมไม่ยอมให้คุณป้าคุยกับผู้หญิงคนนี้หรอกครับ"
จูนมองหน้าประพัทธ์ด้วยสีหน้าผิดหวังจนจะร้องไห้ รัตนาวดีมองจูนอย่างสนใจ
"ทำไมล่ะประพัทธ์....ก็แม่หนูคนนี้เค้าจะคุยกับฉันนะ...นี่หนูมาจากลอนดอนเพื่อมาหาป้าหรือนี่"
"ค่ะ"
ป้าสร้อยมองหน้าท่านหญิง
"แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ" ท่านหญิงบอก
ประพัทธ์พยายามตัดบท
"โอ้ย...ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ...ไปจูน...ถ้าอยากคุยก็ไปหาที่นั่งคุยกัน อย่าไปรบกวนคุณป้าสร้อยเลย"
ประพัทธ์ดึงจูนจะให้เดินออกไป จูนไม่ยอมสบัดแขน
"ไม่ค่ะ...จูนไม่ได้อยากคุยกับพี่ประพัทธ์...เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว...จูนจะคุยกับป้าสร้อย"
ประพัทธ์พูดกระซิบกับจูน
"ทำอย่างนี้ทำไมจูน...อยากฉีกหน้าพี่หรือไง พี่ไม่ยอมหรอกนะ"
"แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าป้าพักที่นี่" สร้อยถาม
จูนมองหน้ารัตนาวดี กับ ป้าสร้อย เลยตัดสินใจพูด
"พี่วิมลค่ะ...พี่วิมลให้ที่อยู่ท่านหญิงกับจูน"
รัตนาวดีสงสัย
"วิมลเหรอ ถ้าวิมลให้เธอมาหาฉัน แปลว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ ป้าคะ เราไปคุยกันที่ห้องดีกว่ ไปจูน"
ป้าสร้อยพาจูนเดินออกไป ประพัทธ์รับเดินมาดักหน้ารัตนาวดี
"อย่านะท่านหญิง...พี่จะไม่ยอมให้ท่านหญิงคุยกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด"
รัตนาวดีจ้องหน้าประพัทธ์
"หญิงขอตัวก่อนนะคะ"
รัตนาวดีเดินหลบประพันธ์ ไปหาป้าสร้อยกับจูนที่ยืนคอยอยู่ ประพัทธ์มองตามอย่างแค้นมาก...
ย้อนกลับไป ... วิมลนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่ม้านั่งสบายๆ ในสวนสาธารณะที่ลอนดอน สีหน้ากังวล
"ทูลท่านหญิงทรงทราบ ท่านหญิงคงเคยทอดเนตรจูนมาบ้างแล้ว...เค้าเรียนที่เดียวกับประพัทธ์...และได้คบหากันตั้งแต่ประพัทธ์มาลอนดอน (ประพัทธ์มาเรียนปริญญาโท แต่จูนเรียนปริญญาตรี) หม่อมฉันได้พบจูนที่โรงพยาบาล จึงได้รู้ว่าจูนท้องได้เกือบสามเดือนแล้วเพคะ แต่ประพัทธ์ไม่ยอมรับ หนีมาตามเสด็จกับท่านหญิง หม่อมฉัน กับ คุณนพจึงคบคิดกันว่าผู้ที่สามารถทำให้ประพัทธ์ยอมรับจูนได้ มีแต่เพียงท่านหญิงเท่านั้น... หม่อมฉันสงสารจูนว่าจะเสียอนาคต เพราะเค้าตัดสินใจที่จะลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับเมืองไทย"
วิมลเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ถอนใจอย่างใช้ความคิด...
บริเวณที่เป็นห้องรับแขกในห้องชุดที่รัตนาวดีพัก จูนนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ป้าสร้อย รัตนาวดียืนอ่านจดหมายของวิมลใกล้ๆ หน้าต่าง
"จูนตัดสินใจที่จะตัดขาดจากประพัทธ์ ยอมรับชะตากรรมแต่เพียงคนเดียว แต่หม่อมฉันว่ามันไม่ยุติธรรมจะหาทางช่วยเขา แต่สติปัญญาก็ไม่ฉลาดพอ...เห็นจะพึ่งท่านหญิงให้ทรงช่วยจูนได้สมหวังกับประพัทธ์ น่าจะเป็นไปได้มากกว่า รักและคิดถึงมากเสมอ....วิมล"
รัตนาวดีพับจดหมายของวิมลใส่ซองส่งให้ป้าสร้อย ซึ่งมีสีหน้าไม่พอใจ
"หม่อมฉันไม่แปลกใจเลย...ประพัทธ์นี่ไม่มีความรับผิดชอบ ผู้ชายแบบนี้อย่าไปเอามันเลย...หาเอาใหม่ดีกว่า"
จูนเช็ดน้ำตาเงียบๆ
"หญิงว่าเราหาทางให้คุณประพัทธ์ กับ จูนสมหวังกันดีกว่าค่ะป้า เพราะตอนนี้จูนก็ท้อง"
"จะไหวเหรอมังคะ...ท่าทางนายประพัทธ์น่ะเอาแต่ไล่แม่จูนอย่างเดียว...พูดว่าเสียๆ หายๆ"
จูนก้มหน้าน้ำตาร่วง
"เป็นไปไม่ได้หรอกคะ"
"ต้องเป็นไปได้สิ...ประพัทธ์น่ะมีความหวังว่า หญิงจะชอบเขาถึงได้ปฏิเสธจูน...ถ้าคุณประพัทธ์ยอมรับความจริงว่า หญิงไม่เคยคิดที่จะชอบเขาเลย...ที่ดีกับเขาก็ในฐานะที่เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีคนนึงเท่านั้น...เขาคงจะกลับไปหาจูน"
ท่านดนัยแอบทำหน้าดีใจ
"แต่จูนไม่ต้องการพี่ประพัทธ์แล้วค่ะ ในเมื่อจูนไม่มีความหมายอะไรกับพี่ประพัทธ์ จูนก็ตัดใจตอนนี้ดีกว่า"
รัตนาวดีเดินมาหาจูนพยายามปลอบใจ
"ใจเย็นๆ ก่อน...การที่จะตัดขาดจากใครมันอาจจะไม่ยาก แต่ฉันอยากให้จูนคิดให้รอบคอบ...ถึงอย่างไรประพัทธ์ก็เป็นพ่อของลูกจูน...ถ้าเราเตือนสติให้เค้ารับผิดชอบจูนกับลูกได้จะไม่ดีกว่าหรือ"
ป้าสร้อยถอนใจ
"เฮ้อ...มันจะเป็นไปได้เหรอเพคะ ป้าว่า....หาคนดีๆ ให้จูนใหม่ดีกว่าไหมเพคะ.. เอ้อ" ป้าสร้อยหันไปมองท่านดนัย "อย่างนายเล็กยังงี้ไงเพคะ"
ท่านดนัยสะดุ้ง รัตนาวดีกลั้นหัวเราะ
"ป้าคะ พูดอะไรอย่างนั้น...จู่ๆ จะไปเที่ยวจับคู่ให้เขาได้ยังไง"
"ก็หม่อมฉันมองไม่เห็นทางว่าคนอย่างนายประพัทธ์จะกลับตัวกลับใจได้ยังไงซิเพคะ...สู้หาคนใหม่ง่ายกว่า"
ท่านหญิงรัตนาวดีดุเบาๆ
"อย่าพูดเล่นสิคะป้า"
"หนูเข็ดแล้วค่ะ...หนูจะกลับบ้าน"
จูนร้องไห้สะอึกสะอื้น ป้าสร้อยกอดไว้เบาๆ
"อย่าคิดมาก...ทุกอย่างต้องมีทางแก้ไข"
รัตนาวดีสบตากับป้าสร้อย รัตนาวดีสีหน้าใช้ความคิด
ณ วังศิลาขาว ปริศนานั่งอ่านจดหมายรัตนาวดี
"เวลานี้การท่องเที่ยวของหญิงเหลือกันแค่สามคนค่ะ..คือมีป้าสร้อย หญิง และ นายเล็กตามเดิม....ประพัทธ์กลับไปแล้วเพราะมีเมียมาตาม ....เมียจริงๆ ค่ะ กำลังท้องด้วย หญิงเคยเห็นแฟนของประพัทธ์คนนี้ที่ลอนดอนแล้ว แต่ประพัทธ์บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้อง...กว่าป้าสร้อยกับหญิงจะพูดหว่านล้อมให้ประพัทธ์กลับไปกับภรรยาได้ ก็แทบแย่..."
รัตนาวดีคุยกับประพัทธ์ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ประพัทธ์อารมณ์เสีย ไม่พอใจ ท่านหญิงใช้เหตุผล ความเป็นไปไม่ได้ที่จะคบกับประพัทธ์ในฐานะคนรัก.....จนประพัทธ์ค่อยๆสงบสติอารมณ์ และเข้าใจสถานการณ์
"ประพัทธ์นี่แย่จริง หญิงผิดหวังมากเพราะประพัทธ์เคยเป็นรุ่นพี่ที่ดี..ป้าบอกว่าโชคดีที่ประพัทธ์มาออกลายให้เห็นก่อน...ป้าคงกลัวหญิงจะไปชอบกับประพัทธ์ละเพคะ คิดแล้วก็ตลกดี เพราะไม่มีทางที่หญิงจะชอบเลย...ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงจะชอบคนแบบไหน แต่ไม่ใช่แบบประพัทธ์แน่ๆ"
รถของท่านดนัยที่วิ่งไปในทางสวยๆ ท่านหญิงรัตนาวดีนั่งในรถอย่างสบายใจ อดชำเลืองตามองท่านดนัยทางกระจกส่องหลังไม่ได้
"อันที่จริงหญิงก็โล่งใจที่ประพัทธ์กลับไปจัดการเรื่องของตัวเองเสียได้...แต่คนที่ดีใจมากกว่าหญิง คงเป็นนายเล็ก"
ปริศนาอ่านจดหมายจบ พับจดหมายเก็บใส่ซองด้วยสีหน้ายิ้มๆ...
ท่านดนัยขับผ่านถนนที่วิวสวยๆ จาก Interlaken ไป Lucerne ภายในรถ รัตนาวดีมีความสุขมาก เปิดหน้าต่างรถออกไปรับลมที่พัดมาอย่างสบายใจ ท่านดนัยหยุดรถข้างทาง รัตนาวดีรีบวิ่งลงไปที่ทุ่งดอกไม้ ท่านดนัยตามไปถ่ายรูปอย่างมีความสุข ทั้งสองคนหัวเราะอย่างมีความสุข ทีแรกป้าสร้อยก็สนุกไปด้วย แต่พอเห็นรัตนาวดีหัวเราะกับท่านดนัยบ่อย ๆ ก็เริ่มมองทั้งสองคนอย่างไม่สบายใจ
พนักงานโรงแรม Grand National Lucerne หิ้วกระเป๋าเดินทางนำหน้า รัตนาวดีกับป้าสร้อยและท่านดนัยเดินตาม ทั้งหมดเดินขึ้นบันไดวน ผ่านโถงทางเดิน รัตนาวดีกับป้าสร้อยมองความสวยงามของโรงแรมด้วยความพอใจ
ประตูห้องพักของรัตนาวดีกับป้าสร้อยเปิดออก ทั้งคู่เดินเข้ามาในห้อง ท่านดนัยหิ้วกระเป๋าเดินทางตามเข้ามา รัตนาวดีกับป้าสร้อยมองรอบห้องอย่างพอใจในความสวยงามของห้องพัก
"ห้องสวยมากเลยนะเพคะ"
รัตนาวดีเดินไปเปิดประตูระเบียงมองออกไปเห็นทะเลาสาบลูเซิร์นอันสวยงาม
"ป้าสร้อยมาดูวิวตรงนี้ซิค่ะ"
ป้าสร้อยเดินตามไปชะโงกมองวิวทะเลสาบ ท่านดนัยมองอย่างมีความสุข รัตนาวดีเดินกลับเข้ามาหาท่านดนัย
"ห้องสวย และวิวยังสวยยิ่งกว่าอีกนะนายเล็ก"
"กระหม่อม"
"แต่หญิงว่าเราไม่จำเป็นต้องอยู่โรงแรมหรูๆอย่างนี้ตลอดก็ได้นะจ๊ะ....หญิงว่าเก็บเงินไว้เที่ยวอีกหลายๆที่ดีกว่า"
"เราจะพักที่นี่แค่สองวัน ก่อนที่กระหม่อมจะพาป้าสร้อยไปตามรอยเสด็จที่น้ำตกไรน์ก่อนกลับมาเที่ยวที่เมืองนี้อีกครั้ง"
"ถ้าป้าสร้อยรู้คงดีใจมากแน่ๆ"
รัตนาวดีมองท่านดนัยด้วยสายตาชื่นชม
ที่สะพานไม้เมืองลูเซิร์น (Chapel Bridge Lucerne) ท่านดนัย รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยพากันเดินดูบนสะพาน
"สะพานไม้ชาเพล" ท่านหญิงบอก
"ทูนหัว...ทรงรู้จักด้วยหรือเพคะ"
"หญิงอ่านจากหนังสือก่อนมาที่นี่ค่ะ...แต่ได้มาเห็นของจริงแล้วรู้สึกว่าสวยกว่าในรูปเสียอีก"
"ดูมันเก่ามากนะเพคะ"
"น่าจะเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดครับคุณสร้อย...สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14"
"ฟังแล้วรู้สึกว่าเก่ามากจริงๆ แหมเค้าเก็บรักษาไว้ได้ดีจริงๆ นะ"
"เค้าก็ซ่อมดูแลเรื่อยๆ ครับ ใครๆ ที่มาลูเซิร์นก็ต้องมาข้ามสะพานนี้ ที่จั่วของหลังคามีภาพวาดเก่าๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองไว้ด้วยครับ"
อ่านต่อหน้า 2
รัตนาวดี ตอนที่ 12 (ต่อ)
รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยเดินมาถึงกลางสะพานไม้ที่มีหอคอยแปดเหลี่ยม
"หอคอยนี่สวยดีจริงนะคะป้า"
ป้าสร้อยนิ่วหน้า
"มีแต่หินเป็นแท่งๆ นะเพคะ...หม่อมฉันว่าก็งั้นๆ เค้าเอาไว้ทำอะไรน่ะนายเล็ก"
"ใช้ประโยชน์หลายอย่างครับ เป็นที่เก็บเอกสาร เก็บของมีค่าของเมืองก็มี ต่อมาใช้เป็นที่คุมขังนักโทษด้วยครับ แต่ตอนนี้ปิดไว้เฉยๆ แล้ว ท่านหญิงจะทรงถ่ายรูปกับคุณสร้อยตรงนี้ดีไหมกระหม่อม ด้านหลังเห็นเทือกPilatus ด้วยกระหม่อม"
รัตนาวดียิ้มสดชื่น
"ดีจ้ะนายเล็ก...ฉันจะเอารูปที่ถ่ายกับสะพานชาเพลไปอวดเพื่อนๆ"
ท่านดนัยถ่ายรูปรัตนาวดี กับ ป้าสร้อย หลายๆ มุม และถ่ายรัตนาวดีคนเดียว มีฝรั่งเดินผ่านมา
หวังดีจะถ่ายรูปรัตนาวดี กับ ท่านดนัยให้ จึงมีรูปท่านดนัย ที่ถ่ายคู่กับรัตนาวดี ป้าสร้อยมัวแต่เผลอมองหงส์ในทะเลสาปอยู่ จึงรีบเดินมาห้ามไม่ทัน
ท่านดนัยพารัตนาวดี ป้าสร้อย เดินชมบ้านเรือนที่ Stein am Rhill ซึ่งตกแต่งสวยงามริมแม่น้ำ
"บ้านของคนสวิสนี่น่ารักนะคะ...เค้าชอบปลูกต้นไม้ไว้ตามหน้าต่างเหมือนบ้านตุ๊กตา"
รัตนาวดีมองบ้านสวยงามเหล่านั้นอย่างมีความสุข
"ถ้าหญิงแต่งงาน ป้าว่าเจ้าพี่จะทรงอนุญาตให้หญิงปลูกบ้านหลังเล็กๆ แบบนี้ได้ไหมคะ"
ป้าสร้อยนิ่งอึ้งทันที
"ทำไมจู่ๆ ถึงได้ตรัสเรื่องแต่งงง แต่งงานล่ะเพคะ...เป็นผู้หญิงเค้าไม่พูดเรื่องนี้กันนะ...มันไม่งาม"
ป้าสร้อยค้อน รัตนาวดีเขินแต่ก็ทำเป็นขำเสีย
"โธ่ป้าคะ...หญิงพูดเล่นเท่านั่นเอง"
"อย่าทรงตรัสเล่นๆ อย่างนี้อีกเพคะ...ใครไม่รู้เค้าจะหาว่า ท่านหญิงทรงอยากจะแต่งงานซะงั้น"
ท่านหญิงรัตนาวดียิ้มๆ เดินไป ท่านดนัยมองตามอดยิ้มมีความสุขไม่ได้ ป้าสร้อยคอยจับผิดท่านดนัยอยู่แล้วพอเห็นท่านดนัยยิ้มมองตามก็อดขวางไม่ได้
"ยิ้มอะไรนายเล็ก"
ท่านดนัยสะดุ้งรีบหันมา
"เปล่าครับ"
"เปล่าอะไรกันล่ะ...แหม...หมู่นี้ตั้งแต่ไม่มีนายประพัทธ์นี่อารมณ์ดีจริงนะ...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"
ท่านดนัยกลั้นหัวเราะกับความเอาเรื่องเอาราวของป้าสร้อย
"เอ้อ...ผมเห็นท่านหญิง กับคุณสร้อยสบายใจ ผมก็พลอยรู้สึกดีไปด้วยครับ"
"อ๋อ...เหรอ แต่ป้าจะแนะนำให้นะ ถ้าอยากมีความสุขมากๆ ก็หาคนรักซักคนสิจ้ะ"
ท่านดนัยยิ้มขำ
"สงสัยคงต้องรบกวนให้คุณสร้อยช่วยแนะนำดีไหมครับ"
ป้าสร้อยยิ้ม
"จริงหรือเปล่า...ถ้าป้าหาให้นายเล็กต้องยอมรับนะ"
"เอ้อ....ครับ..."
ป้าสร้อยทำยิ้มเจ้าเล่ห์เดินตามรัตนาวดีไป
"ท่านหญิง.....ท่านหญิง"
ท่านดนัยมองตามไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ....
ท่านหญิงรัตนาวดี ป้าสร้อย ท่านดนัยยืนชมน้ำตกไรน์ (Rheinfall) อยู่ รัตนาวดuเดินไปดูอีกทางหนึ่ง ท่านดนัยเดินตามมา
"ฉันกำลังคิดถึงโคลงที่พูดถึงน้ำตกนี้...สวยมากจริงๆ"
"โคลงของ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท กระหม่อม"
รัตนาวดีหันขวับมามอง ท่านดนัยรู้ตัวว่าพลาดอีกแล้ว
"เอ้อ...กระหม่อมเคยเห็นท่านดนัยอ่านหนังสือเกี่ยวกับน้ำตกนี้กระหม่อม"
"ท่านก็เลยบังคับให้นายเล็กอ่านด้วยเหรอไง"
ท่านดนัยก้มหน้า
"กระหม่อม"
ป้าสร้อยเดินตามมา
"ป้าอยากรู้จริงๆว่าสมัยที่พุทธเจ้าหลวงเสด็จมาสภาพรอบๆนี้เป็นยังไง"
รัตนาวดีมองไปรอบๆ
"หญิงว่ารอบๆนี้คงเป็นป่าทึบ กว่าจะเสด็จเข้ามาได้คงลำบากมากค่ะ"
"กระหม่อมเห็นด้วย"
ป้าสร้อยสีหน้าปลื้มมาก
"ป้าดีใจมากเลยที่ได้ตามรอยเสด็จอีก"
รัตนาวดียิ้ม
"ถูกใจป้าละสิคะ"
"แล้วปราสาททางโน้นเป็นปราสาทอะไรนายเล็ก"
"ปราสาท Schloss Laufen am Rheinfall ส่วนป้อมปราสาทที่อยู่กลางแม่น้ำนั่นคือ ป้อมปราสาทเวิร์ท ที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จไปทอดพระเนตรน้ำตกที่นั่นครับ"
"ป้าอยากตามรอยเสด็จไปที่ป้อมกลางน้ำตกไหมคะ"
ป้าสร้อยค้อน
"ยืนดูอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วละจ้ะ"
ท่านดนัยหัวเราะ
ทั้งสามนั่งมองดูน้ำตกอย่างมีความสุข
"เราจะไปที่ไหนกันต่อดีนายเล็ก"
"กระหม่อมว่าจะพาเสด็จไปทอดเนตรวีรบุรุษของสวิสกระหม่อม"
รัตนาวดียิ้มพอใจ
"วิลเลียม เทล ใช่ไหม"
ท่านดนัยยิ้มดีใจ
"กระหม่อม...เมือง Altdort และที่นั่นมีร้านขนมอร่อยด้วยครับคุณสร้อย"
"แหม..นายเล็ก...เราก็ช่างหาร้านอร่อยๆ อยู่เรื่อย...นี่ป้ารู้สึกเสื้อผ้าชักจะตึงๆ แล้วนะ"
ท่านดนัย กับ รัตนาวดีหัวเราะมองหน้ากัน
"ถ้าอย่างนั้นพอทานแล้วก็ต้องเดินเยอะๆ สิคะป้า"
ป้าสร้อยทำหน้าเหรอ
"แล้วทุกวันนี่ยังเดินน้อยไปเหรอเพคะ...ไม่รู้ละ...ถ้าหม่อมฉันปวดขา...ท่านหญิงนะแหล่ะจะทรงเดือดร้อน"
ท่านดนัยถามอย่างเป็นห่วง
"ให้ผมช่วยได้ไหมครับ"
"กลัวท่านหญิงทรงเดือดร้อนนะสิ...แต่เธอคงช่วยไม่ได้หรอก เพราะถ้าป้าปวดขา...ท่านหญิงจะประทานนวดขาให้ป้าก่อนนอน"
"อันที่จริงถ้านายเล็กอยากช่วย....ก็ให้มาช่วยนวดขาให้ป้าแทนหญิงก็ดีนะคะ"
ป้าสร้อยค้อนปะหลักประเหลือกรีบเดินขึ้นรถ
"โอ้ย..ไม่เอาหรอกเพคะ...จะให้ผู้ชงผู้ชายเข้าห้องค่ำๆ มืดๆ ได้ยังไง..ท่านหญิงก็..."
รัตนาวดีหัวเราะกับท่านดนัย
ที่อนุสาวรีย์ วิลเลียม เทล ท่านดนัยบอก
"จักรวรรดิ์ออสเตรียยึดดินแดนของสวิส และส่งข้าหลวงชื่อเกสเลอร์มาปกครอง แต่ชาวสวิสไม่ยอม แคว้นทั้งสามของสวิสมารวมตัวกันเพื่อปฏิญาณตนขับไล่กองทัพของออสเตรีย"
"วันที่มารวมตัวกันนี่ต่อมาคือวันชาติสวิสใช่ไหม"
"กระหม่อม"
"สนุกเหมือนประวัติศาสตร์บ้านเรานะเพคะ" ป้าสร้อยบอก
"ข้าหลวงเกสเลอร์เป็นคนโหดร้าย เขาสร้างเสาต้นหนึ่งไว้ที่จตุรัสกลางเมืองอัลดอร์ฟและแขวนหมวกของเขาไว้ ประกาศให้ชาวสวิสทุกคนที่เดินผ่านเสา ต้องทำความเคารพหมวกของเขาที่แขวนไว้ ถ้าใครไม่ทำตาม จะมีทหารที่ซุ่มดูอยู่จับตัวไปลงโทษ"
ป้าสร้อยเริ่มโมโห
"เออ..ท่าจะบ้า"
"วันหนึ่งวิลเลียมเทล ซึ่งเป็นนายพรานได้เข้ามาในเมืองกับลูกชาย เขาไม่รู้เรื่องว่าต้องทำความเคารพเสาที่แขวนหมวกจึงเดินผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ได้ทำความเคารพ ทหารเลยโดนจับตัวไป เกสเลอร์รู้ว่าวิลเลียมเทล ชำนาญเรื่องยิงธนู จึงให้นำลูกแอปเปิลวางไว้บนหัวลูกชาย แล้วบังคับให้วิลเลียมเทลยิงแอปเปิลนั้น โดยบอกว่าถ้ายิงถูกก็จะปล่อยตัวไป"
ป้าสร้อยเอามือตบอก
"ตายจริง...ทำไมถึงโหดร้ายอย่างนี้...แล้ววิลเลียม เทลแยิงลูกธนูโดนแอปเปิล หรือโดนลูกตัวเองล่ะ" สร้อยถาม
"โดนแอปเปิลครับ...ลูกชายของเขาเชื่อมั่นในฝีมือยิงธนูของพ่อ ได้ตะโกนบอกให้วิลเลียม เทลยิงธนูมา"
"แหม...ใจเด็ดเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก"
"คนเราถ้าโดนรังแกถึงที่สุดก็ต้องสู้ค่ะ" รัตนาวดีบอก
"แล้วไอ้เกสเลอร์นี่มันโดนใครปราบไหมนายเล็ก"
"ต่อมาเกสเลอร์โดนวิลเลียมเทลดักซุ่มยิงด้วยธนูตายครับ วิลเลียมเทลก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวสวิสที่ต่อต้านจักรวรรดิออสเตรีย จนรวบรวมผู้คนขับไล่กองทัrออสเตรียออกไปจากสวิสเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ"
ป้าสร้อยสีหน้าปลื้มมาก
"แหม...อย่างนี้ซิ วีรบุรุษตัวจริง...ป้าต้องขอตบมือให้วิลเลียมเทลคนนี้หน่อยละ"
ท่านดนัยพารัตนาวดีกับป้าสร้อยเดินชมโบสถ์ซังต์กัลเลน (St.Gallen ) ดนัยอธิบายประวัติของโบสถ์
ทั้งสามนั่งที่เก้าอี้ริมสนามหญ้า ท่านดนัยยังพูดถึงหอสมุดของโบสถ์ที่มีความสำคัญ
ห้องนอนใน Romantik Wilden Mann Hotel รัตนาวดีเขียนจดหมายถึงปริศนา "หญิงกำลังสนุกกับการเที่ยวในสวิสค่ะ ช่างเป็นประเทศที่สวยงามจริงๆ...วันก่อนนายเล็กพาไปพักที่โรงแรมอันดับหนึ่งของลูเซิร์น โอ๋อ่าสวยงามตามฐานะเลยค่t แต่หญิงเห็นว่าเกินความจำเป็นที่จะต้องพักในโรงแรมอย่างนี้ ก็เลยพักแค่สองคืน ....แต่โรงแรมแห่งใหม่ที่นายเล็กพามาพัก ก็เป็นโรงแรมเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากเลยนะค่ะ.....นายเล็กพาหญิงกับป้าสร้อยทานแต่ของอร่อยทั้งวัน บางครั้งทานกันเสียจนต้องงดข้าวเย็น นายเล็กนี่ดูจะรู้จักไปหมดทุกที่ โชคดีเหลือเกินที่ได้เขามาพาไปเที่ยว"
ณ อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument ) ท่านดนัยอธิบายความเป็นมา
"สิงโตที่แกะสลักอยู่ในหินนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงความกล้าหาญ และความซื้อสัตย์ ให้กับทหารสวิสที่โดนสังหารระหว่างการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ฝรั่งเศส... ถ้าแปลจากชื่อที่ตั้งไว้จะหมายถึง อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น หรือสิงโตร้องไห้ กระหม่อม"
รัตนาวดีอ่านที่สลักไว้
"ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 วันที่ 10 สิงหาคม คศ.1792"
ท่านดนัยยิ้ม
"กระหม่อม"
"โถ...ทำไมต้องร้องไห้ด้วย...น่าสงสาร" สร้อยว่า
"อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้น 29 ปี ให้หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต รูปสิงโตที่ถูกหอกแทงทะลุหลังนอนหมอบอยู่ข้างโล่ห์ร่ำไห้ก่อนเสียชีวิต ด้วยใบหน้าและท่วงท่าที่เศร้าสร้อยอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนพญาราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังสิ้นท่า"
ในระหว่างนั้น คณะเก็จกำง๋ง ยืนฟังท่านดนัยอธิบายให้รัตนาวดีกับป้าสร้อยฟังเรื่องราวต่างๆ อย่างตั้งใจฟัง สะอาดศรีมองท่านดนัยอย่างรักแรกพบ...วีระสิงห์มองรัตนาวดีอย่างหลงไหล
"ทหารรับจ้างสวิสก็เป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่า เมื่อสมัยก่อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวิสไม่ได้สุขสบายเหมือนทุกวันนี้ ถึงกับต้องไปเป็นทหารรับจ้าง ต้องจากครอบครัวไปอยู่ต่างถิ่น ไม่รู้ตัวว่าจะตายเมื่อใด"คณะของเก็จกำง๋งที่ยืนฟัง ทำหน้าเห็นด้วย ทั้งหมดเดินเข้ามาหา
"ขอโทษเถอะคุณ หวังว่าคุณคงไม่ว่าที่ผมและลูกสาว ลูกชายของผมขอฟังด้วยนะครับ...พวกผมไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษา ลูกชายก็เพิ่งมาเรียนได้ได้ปีเดียวพอจะพูด งูๆ ปลาๆ" เก็จกำง๋งบอก
"ไม่เป็นไรค่ะ...เราคนไทยด้วยกัน"
"ดีใจจังเลยได้เจอคนไทยด้วยกัน" ป้าสร้อยบอก
สะอาดศรีรีบเข้ามายืนข้างๆ ท่านดนัย... ทั้งหมดยืนฟังท่านดนัย อธิบายเกี่ยวกับอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้นต่อ
"เมื่อก่อนชาติอื่นๆในยุโรปมีคำที่กล่าวดูถูกชาวสวิสว่า “no money , no Swiss” คือที่ไหนไม่มีเงินที่นั้นไม่มีชาวสวิส เพราะพวกทหารรับจ้างพวกนี้จะเข้าร่วมกับกองทัพใด หรือกษัตริย์ของเมืองใดๆก็ได้ หากได้รับเงินค่าจ้างที่พวกตัวเองพอใจ"
วีระสิงห์ถาม
"แล้วพวกทหารสวิสที่อยู่ที่วาติกันตอนนี้ละครับ"
คาแร็คเตอร์ของวีระสิงห์อย่างหนึ่งคือ จะประหม่าเฉพาะที่พูดกับรัตนาวดี หรือถูกรัตนาวดีมอง
"ก็เป็นทหารรับจ้างที่ตกทอดมาจากสมัยก่อนครับ เรียกว่kพวก “สวิส การ์ด” มีประมาณร้อยกว่าคนครับ....ถ้ามาที่เมืองลูเซิร์นแล้วไม่ได้มาเที่ยวชมที่นี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงลูเซิร์นครับ"
"บางคนกล่าวถึงอนุสาวรีย์สิงโตหินนี้ว่า เป็นหินที่ดูเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในโลก"
อ่านต่อหน้า 3
รัตนาวดี ตอนที่ 12 (ต่อ)
คณะของรัตนาวดี และ เก็จกำง๋ง พากันเดินชมเขตกำแพงเมืองเก่าในมุมสวยๆ
เก็จกำง๋งท่าทางชอบท่านดนัย จึงเดินประกบท่านดนัยข้างหนึ่ง สะอาดศรีเดินประกบอีกข้างหนึ่ง รัตนาวดีกับป้าสร้อย เดินห่างออกไป วีรสิงห์คอยแอบมองรัตนาวดี
"บริเวณนี้เคยเป็นแนวเขตกำแพงเมือง มีป้อมที่สร้างสูงขึ้นไปเก้าป้อม...ส่วนใหญ่สร้างเพื่อทำให้มองเห็นข้าศึกที่จะเข้าโจมตีเมือง บางป้อมสร้างเพื่อเป็นหอสังเกตการณ์เวลาเกิดไฟไหม้ จะได้แจ้งเตือนพวกชาวบ้านได้ทันที...มีอยู่ป้อมหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นป้อมที่ติดตั้งนาฬิกาที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง เก่าถึงห้าร้อยปี"
ทั้งคณะทำหน้าสงสัย
"แล้วมันยังเดินอยู่หรือเปล่าคุณ"
"ปัจจุบันยังทำงานอยู่ครับ...และเพื่อเป็นการให้เกียรติครับ การตั้งให้ตีเวลาก่อนนาฬิกาเรือนอื่นๆในเมืองหนึ่งนาทีครับ"
เก็จกำง๋งบอก
"คุณมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีมาก...คุณเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์รึ"
ท่านดนัยยิ้มๆ
"หามิได้...ผมเป็นแค่คนขับรถ"
ท่านดนัยหันไปยิ้มกับรัตนาวดี
"อ๋อ...เค้าไปจ้างคุณมาจากไหน"
ท่านดนัยหันไปมองรัตนาวดีอีก รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยทำท่าจะเดินหนี ท่านดนัยเลยหันมาตอบ
"จากลอนดอน"
"คนไทยที่ขับรถพาผมมานี่ คนของสถานฑูตจัดให้ แต่ขับรถเป็นอย่างเดียว ที่ท่งที่เที่ยวไม่รู้จักเลย...แถบภาษายังไม่ค่อยเก่งด้วย"
"นายทุยไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างคุณนะนาย" วีระสิงห์บอก
"นั่นสิ...คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน" เก็จกำง๋งว่า
"ผมก็อ่านจากหนังสือ"
"อ้อ...แหมดีจริงๆ...ถ้าคุณเลิกไปกับคณะนี้เมื่อไหร่ ผมอยากให้คุณไปกับผมได้ไหม...ผมจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณทุกอย่าง แล้วผมก็ยินดีจะจ่ายค่าจ้างให้คุณมากเป็นสองเท่าเลย"
สะอาดศรีดีใจ รัตนาวดีได้ยินก็ไม่พอใจ
"คุณไปกับเราดีกว่านะคะ นายเป็นคนสนุก...เวลาไปเที่ยวที่ไหน ขอให้ถูกใจละก็ เท่าไหร่เท่ากัน"
รัตนาวดีเดิน พูดยิ้มๆเข้ามาใกล้ๆ ท่านดนัย
"เห็นจะไม่ได้...นายเล็กเป็นคนของเรา...จะทิ้งเราไปไม่ได้เป็นอันขาด จนกว่าเราจะกลับอังกฤษ"
ท่านดนัยยิ้มปลื้ม เก็จกำง๋งพูดอย่างนอบน้อม
"ถ้างั้นผมก็ขอโทษ...ผมไม่รู้ว่าคุณตกลงกันมาอย่างไร ผมหมายความว่า เวลาคุณว่างแล้วน่ะซิ..คุณจะติดต่อกับผมได้ที่สถานทูตของทุกๆ ประเทศ....ผมไปไหนก็รายงานตัวกับสถานทูตก่อนเสมอ...คุณว่างเมื่อไหร่ก็ติดต่อผมแล้วกัน ผมยังเที่ยวอีกสองเดือน"
เก็จกำง๋งหยิบนามบัตรส่งให้ท่านดนัย สะอาดศรีทำหน้าผิดหวังอย่างมาก ป้าสร้อยคอยสังเกตตลอด
"ถ้าผมว่างก็จะติดต่อไปครับ.."
เก็จกำง๋ง กับลูกสาวดีใจ
"ขอบคุณมาก...ขอบคุณมาก...ถ้างั้นผมต้องลานะครับหวังว่าจะได้เจอกัน...ลานะครับ"
เก็จกำง๋ง กับ คณะพากันเดินจากไป สะอาดศรีมองท่านดนัยอย่างอาลัยอาวรณ์...วีระสิงห์มองรัตนาวดีแบบไม่อยากจากไป
นามบัตรของเก็จกำง๋ง อยู่ในมือป้าสร้อย ป้าสร้อยอ่านชื่อในนามบัตรก็พยักหน้าหงึกๆ
"อ้อ..อ้อ"
รัตนาวดีมองอย่างสงสัย
"อะไรคะป้า...ร้องอ้อ..อ้อ..ทำไม"
"นายเก็จกำง๋ง เศรษฐีทางเหนือ...ร่ำรวยมากอย่างที่เค้าเรียกกันว่าพ่อเลี้ยงไงเพคะ"
รัตนาวดีสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ
"อ้อ...แต่เศรษฐีหรือใครก็ตาม เล่นจะมาแย่งนายเล็กไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้หญิงไม่ยอมเป็นอันขาด..จะต้องสู้ให้ยิบตาทีเดียว"
"เราก็ควรจะถามความสมัครใจเจ้าตัวเขานะเพคะ..ว่าไงนายเล็ก เค้าจะให้ค่าแรงตั้งสองเท่าเชียวนา"
ท่านดนัยยิ้มๆ
"ท่านดนัยรับสั่งให้ผมคอยดูแลท่านหญิง กับ คุณสร้อยครับ"
ท่านหญิงรัตนาวดีสีหน้าหม่นนิดหนึ่ง
"จริงสินะ...ถ้าหากท่านดนัยไม่ได้สั่งให้เธอมากับฉัน เธอก็คงไม่มาหรอก"
รัตนาวดีพูดเหมือนงอนหน่อยๆ ท่านดนัยอดร้อนใจไม่ได้
"กระหม่อมอยากมาถวายงานท่านหญิงด้วยกระหม่อม พอทูลท่านดนัยก็ทรงเห็นชอบด้วย"
"ก็แปลว่านายเล็กเป็นคนไปทูลขอท่านดนัยที่จะตามเสด็จท่านหญิง" สร้อยว่า
"ท่านดนัยก็ทรงมีพระประสงค์อยากให้กระหม่อมพาเสด็จเที่ยวให้ทั่วเหมือนกันกระหม่อม"
"ทำให้เราน่ะขาดรายได้ไปเลยนะ...ท่านหญิงเพคะ...ถ้าเขาจ่ายให้นายเล็กอย่างที่พูดจริงๆ นี่นายเล็กได้เงินค่าจ้างเยอะเลยนะเพคะ"
รัตนาวดีสีหน้าไม่สบายใจหน่อยๆ ท่านดนัยยิ้มๆ
"คุณสร้อยอย่าห่วงเรื่องนั้นเลยครับ...ผมไม่เคยคิดเรื่องเงินหรือค่าจ้างอะไรทั้งนั้น...ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนั้น การที่ผมได้ตามเสด็จท่านหญิง ได้ดูแลคุณสร้อย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับผมมากกว่าเงินทองไหนๆ ครับ"
รัตนาวดีสีหน้าพอใจกับท่านดนัย
"ขอบคุณมากนะ."
ป้าสร้อยแอบทำหน้าเหนื่อย...
ท่านดนัย รัตนาวดี กับ ป้าสร้อย เดินเข้ามาในโถง Hotel Romantik Wilden Mann
"ท่านหญิงกับป้าสร้อย จะดื่มชาก่อนมั้ยกระหม่อม"
"ก็ดีจ๊ะ"
รัตนาวดีหยักหน้าเห็นด้วย...ท่านดนัยพาเดินขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นสอง
ต่อมา ชุดน้ำชาถูกเสริฟให้รัตนาวดีและป้าสร้อย พร้อมขนมคุ๊กกี้ ขณะที่รัตนาวดีกับป้าสร้อยและท่านดนัย นั่งคุยกันอยู่ คณะเก็จกำง๋งเดินขึ้นมาข้างบน
สะอาดศรีมองเห็นท่านดนัยก็ดีใจมากรีบวิ่งมาหา
"คุณ...คุณ...คุณมาพักที่นี่เหมือนกันเหรอ"
รัตนาวดียิ้มๆ ป้าสร้อยเห็นท่าทางสะอาดศรีที่ติดใจท่านดนัยก็พอใจ
"ใช่จ้ะ...หนูก็พักที่นี่เหรอจ้ะ"
"ค่ะ...เรามาเมื่อคืน...แหม...เผอิญจังเลยนะคะ"
เก็จกำง๋ง กับ วีระสิงห์เดินเข้ามา คณะของรัตนาวดีก็ดีใจรีบเดินมาหาสมทบกับสะอาดศรี
"ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า...เจอกันอีกจนได้" เก็จกำง๋ง
ป้าสร้อยรีบทำเป็นดีใจ
"พวกคุณพักที่นี่เหมือนกันเหรอครับ...ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ เราไปทานอาหารด้วยกันนะครับ...ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกคุณที่เราได้มาเจอกันอีก...แหม...เป็นลางดีนะครับ"
"ก็ดีเหมือนกันนะ...หลายๆ คนสนุกดี"
"ถ้าอย่างนั้นเราเจอกันที่นี่ทุ่มนึงดีไหมครับ...หรืออยากไปเร็วกว่านั้น"
"สักสองทุ่มก็แล้วกันค่ะ"
ตลอดเวลาสะอาดศรีพยายามสบตาท่านดนัยด้วยดวงตาหวานฉ่ำ
"ดึกไปครับ...ทุ่มนึงดีแล้ว...สองทุ่มก็หิวกันท้องโบ๋"
รัตนาวดีพยายามไม่ตกใจ ได้แต่ยิ้มๆ
"ถ้างั้นก็ทุ่มนึงแล้วกัน"
ท่านดนัยรู้ว่ารัตนาวดีไม่ค่อยสนุก ป้าสร้อยมองสะอาดศรีกับท่านดนัยอย่างพอใจ...
ท่านดนัยเดินขึ้นมาส่งรัตนาวดีกับป้าสร้อย ป้าสร้อยเปิดประตูห้อง รัตนาวดีเดินเข้าไป
ป้าสร้อยหันมาพูดกับท่านดนัย
"ไปพักผ่อนเถอะนายเล็ก...ทุ่มนึงค่อยเจอกัน...อ้อ.. หรือจะไปคุยกับเพื่อนๆ ก็ได้นะ"
ท่านดนัยยิ้มๆ
"ถ้าคุณสร้อยหมายถึงคณะของคุณเก็จกำง๋ง...ผมว่ายังเรียกว่าเพื่อนไม่ได้หรอกครับ"
ป้าสร้อยยิ้ม คิดว่าท่านดนัยถ่อมตัว
"อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย...ความจริงพวกเก็จกำง๋งกับนายเล็กน่าจะเพื่อนกันได้เลยละ"
ท่านดนัยยิ้มๆ
"ผมจะรอที่ล็อบบี้ตอนทุ่มนึงครับ"
ป้าสร้อยปิดประตูห้องเดินเข้ามาในห้อง...เห็นรัตนาวดีนั่งซึมอยู่
"ทูนหัว...ประชวรหรือเปล่าเพคะ...ทำไมทรงเงียบไป"
รัตนาวดีพยายามยิ้ม
"ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ...คงจะเหนื่อย ความจริงเย็นนี้หญิงอยากทานอะไรเบาๆ มากกว่า"
"อ้าว...ก็เรานัดเขาแล้วนี่เพคะ"
"หญิงไม่ได้นัดนี่คะ...ป้านัดกับพวกเขา ป้าก็ไปแล้วกัน"
"ทำอย่างนั้นหม่อมฉันว่าไม่งามนะเพคะ...มันเหมือนจะไม่ให้เกียรติเขา"
รัตนาวดีลุกขึ้นยืนมองออกไป ท่าทางไม่เต็มใจ ป้าสร้อยมองอย่างจับผิด แต่ก็ทำเป็นพูดร่าเริง
"ที่ป้ารับคำเชิญพวกเขาเพราะคิดว่าท่านหญิงจะได้เจอคนอื่นๆบ้าง...ไหนๆ มาเที่ยวทั้งทีถ้าได้รู้จักกับคนโน้น คนนี้บ้าง จะได้มีเรื่องคุยกันสนุกๆ ไงเพคะ"
ท่านหญิงรัตนาวดีหันมายิ้มๆ อย่างเกรงใจป้าสร้อย แต่จริงๆ แล้วไม่อยากไป...
อ่านต่อหน้า 4
รัตนาวดี ตอนที่ 12 (ต่อ)
ทั้งหมดนั่งดื่มไวน์ก่อนอาหารที่ร้านหรูหรา สวยงาม รัตนาวดีแต่งตัวสวยแต่เรียบๆ ตรงข้ามกับหนูอาดที่แต่งตัวสีฉูดฉาดไม่เข้ากันสักอย่าง หนูอาดมองท่านดนัยอย่างทึ่งตลอดเวลา
รัตนาวดีเห็นสายตานั้น ป้าสร้อยมอง สีหน้ามีความหวังที่จะจับคู่ให้กับหนูอาดกับท่านดนัย เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง วีระสิงห์นั่งมองรัตนาวดี
"ผมขอแนะนำตัวอีกครั้งครับ...ผมชื่อเก็จกำง๋ง นี่ลูกชายผมชื่อ..เชิด..ชื่อแกเพราะๆ ว่าอะไรนะ"
วีระสิงห์ทำหน้าพิกล
"วีระสิงห์ครับ"
รัตนาวดีพยายามกลั้นหัวเราะ หันไปสบตากับท่านดนัยที่กลั้นหัวเราะเหมือนกัน เก็จกำง๋งตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่
"วีระสิงห์...ส่วนลูกสาวผมชื่อ หนูอาด"
สะอาดศรีค้อน
"นายละก็...ชื่อสะอาดศรีไงล่ะคะ..จำไม่ได้อีกแล้ว"
เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง
"เออ..ใช่...แหมพ่อจำไม่ได้สักที...ชื่อสะอาดศรี แล้วคุณชื่ออะไร"
"เรียกเค้าว่าคุณเล็กจ้ะ...แล้วจะเรียกฉันว่าป้าสร้อยก็ได้ ส่วนท่านนี้คือ หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี"
สามคนพ่อลูกพากันอึ้ง..
"โอ้...ตายละ...ผมพูดกับเจ้าไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ...เคยดูลิเกที่เขาพูดกัน...จะเหมือนกันไหมเพคะ"
รัตนาวดีหัวเราะกิ๊กออกมา กับ คำพูด และท่าทางของเก็จกำง๋งที่อยู่ๆ ก็จ่องขึ้นมา
"ไม่เป็นไรจ้ะ...พูดธรรมดาอย่างที่เราเคยคุยกันนี่แหล่ะ"
เก็จกำง๋งหันไปหาท่านดนัย
"จะดีเหรอคุณเล็ก...จะทำให้ไม่ทรงพระเจริญหรือเปล่า"
ท่านดนัยสำลัก
"ผมว่าคุณพูดธรรมดาอย่างที่ท่านหญิงรับสั่งดีกว่าครับ"
ผ่านเวลา ทั้งหมดทานอาหารบนโต๊ะ บรรยากาศการมองซึ่งกันกันอย่างเหมือนเดิม
"นี่พวกคุณเดินทางจากเมืองไทยมาที่ฝรั่งเศสแล้วก็ขับรถมาสวิสกันเหรอจ้ะ" สร้อยถาม
"ผมมาที่อังกฤษก่อนครับ...พอดีมีคนรู้จักกันเค้าแนะนำให้ไปที่ลอนดอนก่อน...เห็นว่าจะมีคนไทยสองคนจะมาขอร่วมคณะกับผมด้วย...ผมก็ไม่ว่า...ยินดีจะไปด้วยกันเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน...แต่พอผมไปถึงลอนดอนสองคนนั่นก็ไปที่อื่นแล้ว"
"อ้าวตายจริง...อย่างนี้ก็เสียเที่ยวพวกคุณแย่น่ะซิ"
"ไม่เสียเที่ยวหรอกครับ...พวกผมก็ได้เที่ยวที่ลอนดอนได้ไปดูอะไรต่ออะไรเยอะแยะ"
รัตนาวดีเฉลียวใจ
"คนไทยสองคนที่คุณพูดถึง...ติดต่อกันอย่างไรคะ"
"ทางสถานทูตเป็นคนติดต่อ...เห็นว่าเป็นผู้หญิงสองคน... ผมก็ว่า...ถ้าเป็นผู้หญิงสองคนจะไปกันตามลำพังคงไม่ค่อยดีแน่...แต่พอไปถึงก็ไม่อยู่ที่ลอนดอนแล้วไปไหนก็ไม่รู้"
รัตนาวดีมองหน้ากับป้าสร้อย
"คุณติดต่อกับใครที่สถานทูตจำได้ไหมครับ"
เก็จกำง๋งทำท่านึก
"เอ..ชื่ออะไรน้า...ติดอยู่ที่ริมฝีปากนี่ละ..ชื่อ...คุณเสแสร้ง"
ทุกคนทำหน้างง
"ไม่มีชื่อนั้นหรอกครับ"
เก็จกำง๋งอาย
"ไม่ใช่นะ"
รัตนาวดีหัวเราะกิ๊ก ป้าสร้อยทำหน้าคิดไม่ถึง เก็จกำง๋งเกาหัว
"เอ..เชิด...คนที่สถานทูตที่ลอนดอนที่เค้าคุยกับเราน่ะชื่ออะไรนะ"
วีระสิงห์ทำท่านึก รัตนาวดีมองหน้าอย่างอยากรู้ วีระสิงห์ก็ติดอ่างขึ้นมา
"เอ้อ...ดูเหมือนจะชื่อสะหวง...หรือแสวง นี่แหละครับนาย"
เก็จกำง๋งตบเข่าฉาดใหญ่ ทุกคนทำหน้าเหรอ
"ใช่แล้ว..แสวง...ชื่อนายแสวงแน่ๆ"
"ถ้าอย่างนั้นคณะที่สถานทูตติดต่อให้ท่านหญิงร่วมคณะ เดินทางน่าจะเป็นคณะนี้แน่นอนกระหม่อม"
รัตนาวดียิ้มๆ เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง
"แหม...คนจะได้ไปด้วยกัน...ก็มาเจอกันจนได้...ได้ไปด้วยกันจนได้W
สะอาดศรีดีใจ มองท่านดนัยอย่างตาหวาน
"จริงค่ะนาย...ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน"
ป้าสร้อยมองสะอาดศรีที่สนใจท่านดนัยจนออกนอกหน้า
ผ่านเวลา จนเป็นช่วงทานของหวาน
"อาหารอร่อยมาก...ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารค่ำนี้" ท่านหญิงบอก
เก็จกำง๋งยิ้มดีใจ
"ไม่เป็นไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง..ถ้าองค์หญิงชอบละก็ ข้าพระพุทธเจ้ายินดีเลี้ยงอีกพ่ะย่ะค่ะ"
รัตนาวดีกลั้นยิ้ม ป้าสร้อยอดไม่ได้
"พูดธรรมดาเถอะจ้ะ...ขอบใจมากนะ"
เก็จกำง๋งอาย
"แล้วพรุ่งนี้ท่านจะไปเที่ยวที่ไหน"
"ก็คงจะแถวๆ นี้แหล่ะ...เราเพิ่งมาถึงกันไม่กี่วัน"
"เอ้อ...คุณเล็กนำเที่ยวเก่งจริง...ข้าพุทธเจ้าขอตามเสด็จเที่ยวด้วยได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ"
ป้าสร้อยดุแล้ว
"บอกให้พูดธรรมดา"
ท่านดนัยกลั้นหัวเราะ รัตนาวดีมองท่านดนัยเหมือนขอความคิดเห็น แต่ป้าสร้อยรีบชิงตัดบทก่อน
"หม่อมฉันว่าก็ดีเหมือนกันนะเพคะ ไปเที่ยวหลายๆ คน สนุกดี"
ท่านดนัยหน้าเหรอหรา สะอาดศรียิ้มหวาน...
"ฉันไม่รู้ว่าการไปเที่ยวของฉันจะถูกใจคณะของคุณหรือเปล่า ฉันชอบไปเที่ยวในที่ๆ คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็ได้"
"แค่พวกเราได้ตามไปด้วยก็น่าจะสนุกแล้ว...มีนายเล็กเป็นคนนำเที่ยวให้ความรู้ดีๆอย่างนี้ ผมกับลูกๆ ก็สนุกแล้ว"
สะอาดศรีรีบสนันสนุน วีระสิงห์ก็มายืนยิ้มแป้น
"ขอเราตามไปเที่ยวด้วยนะคะ"
ป้าสร้อยยิ้มแย้มพยักเพยิดเห็นด้วย
"ก็ได้...แต่ถ้าพวกคุณอยากแยกไปเมื่อไหร่ก็บอกได้นะ"
สามคนพ่อลูกพากันดีใจ โดยเฉพาะสะอาดศรี ป้าสร้อยสมใจ..
บรรยากาศเมืองลูเซิร์นตอนกลางคืน เปลี่ยนผ่านเป็นยามเช้า
วันใหม่ ท่านดนัยนำทั้งหมดมายืนหน้าโบสถ์ Hofkirche (โบสถ์หอคอยคู่) และอธิบายประวัติให้ฟัง รัตนาวดียืนฟังอยู่ใกล้กับป้าสร้อย สะอาดศรีอยู่ใกล้ชิดกับท่านดนัยตลอดเวลา วีระสิงห์จะหาโอกาสที่จะยืนในจุดที่แอบมองท่านหญิงรัตนาวดีได้ชัดที่สุด
"โบสถ์ฮอฟเคียร์เคอ เป็นโบสถ์แรกๆที่สร้างขึ้น สมัยก่อนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเมือง....เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วถูกไฟไหม้จนเกือบหมด....เหลือเพียงหอคอยคู่เท่านั้นอาคารตรงกลางที่เห็นนั้นสร้างขึ้นมาใหม่"
นอกดาดฟ้าเรือกลไฟ ที่แล่นชมทะเลสาบลูเซิร์น ท่านดนัยอธิบาย ชี้มือให้ดูยอดเขาต่างๆสองข้างทาง....รัตนาวดียืนชมวิวอย่างมีความสุข นานๆเหลือบตามามองสะอาดศรีที่กระแซะเข้าใกล้ท่านดนัยตลอดเวลา ป้าสร้อยนั่งฟังนั่งมองท่านดนัยอธิบาย....วีระสิงห์หูฟังท่านดนัยพูด แต่สายตาจับจ้องที่รัตนาวดี พอรัตนาวดีหันกลับมามอง วีระสิงห์ก็รีบหลบสายตาหันไปที่ท่านดนัย เก็จกำก๋งไม่ค่อยสนใจฟัง เอาแต่ถ่ายรูป
ทั้งหมดถ่ายรูปหมู่.ร่วมกัน
ท่านดนัยถ่ายรูปรัตนาวดี กับป้าสร้อย วีระสิงห์ถ่ายรูปเก็จกำง๋งกับสะอาดศรี แต่สายตายังมองไปที่รัตนาวดี ทำให้ภาพในกล้องของตัวเองไม่เห็นเก็จกำง๋งกับสะอาดศรี
อีกภาพในกล้อง สะอาดศรีไม่สนใจกล้อง ตามองไปแต่ท่านดนัย
ท่านดนัยเป็นคนถ่ายรูปให้ทั้งคณะ รัตนาวดียืนกับป้าสร้อย สะอาดศรียืนติดกับรัตนาวดี และยิ้มให้กล้อง ความจริงคือการยิ้มให้ท่านดนัยอย่างเต็มที่ เก็จกำง๋งยืนเต๊ะจุ้ย
วีระสิงห์ยืนอีกด้าน แต่ชะโงกหน้าไปมองแต่รัตนาวดี
ท่านดนัยกำลังถ่ายรูปหมู่ให้อยู่ สะอาดศรีเดินออกมาฉุดท่านดนัยเข้าไปถ่ายรูปด้วย และยังเอากล้องส่งให้วีระสิงห์ ให้เป็นคนออกมาถ่ายรูปแทน ในภาพสะอาดศรีเกาะเกี่ยวกับท่านดนัยเกือบทุกรูป บางรูปจะเห็นรัตนาวดีชำเลืองมองด้วยสายตานิ่งๆ บางรูปจะเห็นท่านดนัยพยายามแกะสะอาดศรีออกแต่ไม่เป็นผล....ป้าสร้อยมองเห็นแอบยิ้ม
เก็จกำง๋งแยกลูกสาวออกมากับท่านดนัย และเป็นคนถ่ายรูปให้กับทั้งสองคน
ในโบกี้รถไฟ Steam Train เมือง Vitznau เพื่อขึ้นยอดเขาริกิ ( Rigi) ท่านดนัยอธิบายประวัติ ความเป็นมาของยอดเขา และวิวที่จะมองเห็นจากยอดเขา
เก็จกำง๋งค่อยๆ เผลอหลับ สัปหงก.... สะอาดศรีตั้งใจฟังเกินเหตุ...รัตนาวดีมองวิวข้างทาง วีระสิงห์มองรัตนาวดี
อ่านต่อตอนที่ 13