รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 15
เกิดความโกลาหลย่อมๆ ภายในรถพยาบาล เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการช่วยชีวิตพักตรากันอย่างเต็มกำลัง สภาพที่เห็นนั้นหล่อนมีอาการชักดวงตาปรือจนถึงปิด และไม่สามารถหายใจได้ เจ้าหน้าที่ต้องติดตั้งเครื่องช่วยหายใจ และทำการปั๊ม กระตุ้นการเต้นของหัวใจเป็นระยะๆ
เสียงอาจารย์หมอดังขึ้นมาไม่นานถัดจากนี้
“คุณพักตรามีอาการช็อก และหมดสติโดยเฉียบพลัน การปฐมพยาบาลในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการปั๊มและกระตุ้นหัวใจจนผู้ป่วยพ้นขีดอันตราย”
อาจารย์หมอ เดินพูดมากับพลโทอรรถที่มีสีหน้าเป็นกังวลมากไม่น้อย
“หลังจากนั้นเราจึงทำการตรวจเช็คร่างกายคุณพักตราโดยละเอียด พบว่า การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่างจึงเป็นได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นอาการทางจิต อาจจะมีสาเหตุมาจากความผิดหวังอย่างรุนแรง และกระทบภาวะจิตใจอย่างหนัก ซึ่งแม้จะเป็นอาการทางจิต แต่ก็ส่งผลให้การสั่งการของสมองแปรปรวน”
โดยเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เข็นเตียงคนไข้พาพักตราเข้ามาในห้อง ICU หมู่พยาบาล ตรงเข้าไปทำการตรวจเช็ค และ เฝ้าดูคนไข้อย่างใกล้ชิด
อาจารย์หมอขยับตัวลงนั่ง และยังคงเล่าอาการพักตราให้กับพลโทอรรถที่นั่งอยู่เบื้องหน้าฟังอย่างต่อเนื่อง
“ทำให้สภาพโดยรวมของคุณพักตราในตอนนี้ จะไม่มีอาการตอบรับใดๆ นอกจากนอนนิ่ง เหม่อลอย ราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ”
สีหน้าของอรรถ เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
บ่ายคล้อยจวนเย็นย่ำวันนั้น พักตรานอนนิ่งอยู่ในห้องไอซียู อุปกรณ์ช่วยรักษาต่างๆ มากมาย ติดตั้งรอบตัว พลโทอรรถก้าวเข้ามาในห้องนี้ และยังคงคิดถึงคำพูดอาจารย์หมอ
“ความเห็นของหมอก็คือ เธอควรได้รับการพักผ่อนในที่สบาย ที่ไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจ และเราสามารถเฝ้าดูเธอได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะอาการแบบนี้จะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ การบำบัดที่ดีที่สุดก็คือ เราต้องทำให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกเสียใจจากความผิดหวัง เป็นการยอมรับเธอก็จะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้”
อรรถยืนนิ่งหน้าเตียงพักตรา จ้องมองดูลูกสาวด้วยความร้าวรานใจ ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือลูบศีรษะลูกอย่างนุ่มนวล
“พ่อจะพาลูกกลับมา กลับมาเป็นพักตราคนเดิมของพ่อ พ่อจะทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุขให้ได้ พ่อสัญญา”
หยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างนายพลนักรักเป็นสาย
บริเวณเมรุเผาศพธาดาตอนบ่ายวันนี้ มีเพียงมุกริน ดวงดาว และปรารภ ที่ยืนนิ่งไว้อาลัยอยู่เบื้องหน้าเตาเผาในวัดแห่งนั้น เสียงความในใจของมุกรินดังออกมาจนได้ยินว่า
“มุกไม่เคยรู้เรื่องชีวิตหลังความตาย มุกไม่อาจรู้ได้ว่าเวลานี้ดวงวิญญาณของพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน แต่ถ้าพี่ใหญ่จะสามารถรับรู้ได้ มุกอยากบอกพี่ใหญ่ว่า ไม่มีอะไรที่พี่ต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว สิ่งใดก็ตามที่พี่ใหญ่เคยทำผิดพลาดไป มุกให้อภัยและอโหสิให้ทุกอย่างมุกสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด จะไม่ทำให้พี่ใหญ่ต้องทุกข์ใจ...ส่วนลูกของพี่ใหญ่ มุกจะดูแลให้เขาเติบโตมาเป็นคนดีเป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน”
ดวงดาว บอกกับธาดาเสียงหัวใจของเธอดังออกมาให้ได้ยินเช่นกัน
“พักผ่อนให้สบายเถอะอา เลือดเนื้อของอาอยู่ในตัวหนู หนูจะเลี้ยงดูเขา ให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด แม้เขาจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อ แต่เขาก็จะได้รับรู้ความรักของแม่และพ่อทุกวัน หนูสัญญา”
ระหว่างนี้พลโทอรรถเดินขึ้นมาบนเมรุ ด้านหลังมุกรินและดวงดาว
“เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ”
มุกรินและดวงดาวเหลือบตาไปมองเพียงเล็กน้อย
“ฉันตั้งใจจะมาร่วมพิธีตอนเผา แต่ก็ไม่ทัน...เพราะฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องเสียใจไม่แพ้พวกเธอ ฉันขอคุยกับเธอสักครู่ได้มั้ย มุกริน”
ตรงบริเวณม้านั่งใต้เงาไม้ใหญ่อันร่มรื่นในวัดนี้ มุกรินเดินนำเข้ามาลงนั่ง ตามมาด้วยพลโทอรรถ
“งานศพพี่ชายเธอค่อนข้างจะเงียบนะ”
“ดิฉันไม่ได้บอกใครมากนักค่ะ”
“เพราะฉะนั้นคนที่มางานนี้ ก็ต้องเป็นคนที่ตั้งใจมาจริงๆ ซึ่งก็หมายถึงฉันด้วย”
อรรถขยับตัวลงนั่งข้างๆ มุกริน
“ท่านบอกว่า ท่านก็มีเรื่องเสียใจไม่แพ้ดิฉัน...เรื่องอะไรเหรอคะ”
พลโทอรรถ สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนเลือกคำตอบที่เหมาะสม
“นายคิมหันต์มาบ้างมั้ย”
มุกรินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบในสีหน้านิ่งเฉย
“ที่นี่ไม่ต้อนรับเขาค่ะ”
“นายคิมหันต์บอกเลิกกับพักตราแล้วนะ เขามาบอกเรื่องนี้กับเธอรึเปล่า”
“จะบอกหรือไม่บอก ก็ไม่มีความหมายสำหรับดิฉัน”
“ทำไมล่ะ” อรรถมองฉงน
“เขาไม่ใช่คนดี คนเดิมของดิฉันอีกแล้ว เขาไม่ซื่อ เขาหลอกลวงทุกคนเพื่อต้องการแก้แค้นเท่านั้น แม้แต่คนที่จริงใจกับเขา เขายังทำร้ายได้ ทั้งดิฉัน ทั้งดวงดาว ไม่มีใครที่นี่ ต้องการเขาอีกต่อไปแล้วค่ะ”
“เธอก็คงไม่ต่างอะไรกับลูกสาวฉัน แต่พักตราโชคร้ายกว่าเธอ เพราะเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้พักตราหมดสติ นอนนิ่งไม่รับรู้อะไร อยู่ในห้องไอซียู เขาทนไม่ได้ที่คิมหันต์มาขอหย่า ถ้าพักตราตัดใจได้อย่างเธอก็คงจะดี”
มุกรินถึงกับอึ้งไปพอสมควร
“ถ้าบังเอิญเธอได้เจอนายคิมหันต์ ช่วยส่งข่าวบอกฉันทีนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องสั่งสอนเขาอยู่หลายเรื่อง”
อรรถขยับตัวลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากพูดกับมุกรินอย่างจริงใจ
“ถ้ามีเรื่องใดที่ฉันทำผิดกับเธอ ฉันขอโทษ และขอภาวนาให้เธอไม่ต้องพบชะตากรรมแบบเดียวกับลูกสาวฉัน ผู้ชายดีๆ และดีกว่านายคิมหันต์ยังมีอีกเยอะ เชื่อฉันเถอะ”
อรรถเดินจากไป ทิ้งให้มุกรินนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
รถปรารภแล่นมาจอดหน้าบ้านเช่าธาดาตอนกลางคืน ในรถมุกรินและดวงดาวนั่งเอนหลังหลับสนิท พอจอดรถเรียบร้อย ปรารภจึงเอ่ยปากปลุกสองสาว
“ถึงบ้านแล้วครับสาวๆ”
มุกรินและดวงดาวขยับตัวเพียงเล็กน้อย
“ถ้ากำลังหลับลึกละก้อ จะนอนในรถพี่อีกซักสิบนาทีก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ปลุกให้ เอามั้ย”
“อย่าเลยค่ะ เข้าไปนอนในบ้านน่าจะสบายกว่า”
ดวงดาวเปิดประตูก้าวลงจากรถ
“ขอบคุณนะคะพี่รภ”
มุกรินก้าวลงจากรถ พร้อมกับถือรูปหน้าศพธาดา ติดมือลงไปด้วย ปรารภเปิดประตูรถก้าวตามออกมา
“พรุ่งนี้พี่แวะมา เช้าหน่อยนะ จะมาพร้อมกับอาหารเช้าเหมือนเคย”
มุกรินหันไปหาปรารภด้วยสีหน้าเกรงใจ
“พี่รภคะ”
“อย่าถามนะ ว่าพี่ไม่มีที่อื่นไปบ้างเลยเหรอ และอย่าคิดว่าพี่จะลำบากจากการกระทำอย่างนี้ เพราะทั้งหมดนี้พี่ตั้งใจทำด้วยความเต็มใจและเป็นสุข”
“ขอให้การลงทุนครั้งนี้สัมฤทธิ์ผลนะคะคุณปรารภ” ดวงดาวว่า
“ผลคือความอิ่มเอมใจครับ แต่ถ้ามุกรำคาญ มุกบอกพี่ได้”
มุกรินยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆ
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่รภ”
“กู๊ด ไน้ท์ ครับ”
ปรารภยิ้มตอบ แล้วกลับเข้าไปนั่งในรถ ขับออกไป มุกรินเดินถือรูปธาดานำหน้าดวงดาวเข้าไปในบ้าน
มุกรินและดวงดาวเดินเข้ามานั่งในห้องโถงบ้าน หน้าตาของทั้งสองยังมีแววเหนื่อยล้าและทุกข์ใจ ให้เราได้เห็น
“คืนนี้นอนห้องฉันมั้ยดาว”
ดวงดาวส่ายหน้า
“ฉันไม่อยากให้เธอเห็น ฉันร้องไห้”
“ถ้าต้องการคนปลอบก็เรียกแล้วกันนะ”
ดวงดาวขยับตัวจะเดินไปทางห้องนอน มุกรินเรียกไว้
“ดาว เอาไว้ในห้องเธอดีกว่า”
มุกรินส่งรูปธาดาให้ดวงดาว ดวงดาวรับ แล้วเดินไปยังห้องของเธอ
ดวงดาวเดินถือรูปเข้ามาในห้องนอนธาดา วางรูปธาดาตรงตำแหน่งที่เห็นว่าเหมาะสม เธอนั่งลงมองรูปนั้น และ ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ด้านมุกริน เปิดประตูเดินเข้าไปในห้องนอน เมื่อพลิกตัวกลับไปปิดประตูห้อง เธอจึงว่าคิมหันต์หลบอยู่หลังประตูนั้น มุกรินขยับปากจะตะโกน คิมหันต์รีบใช้มือปิดที่ปากของมุกรินโดยเร็ว
“อย่าเพิ่งพูด อย่าเพิ่งด่าผม อย่าเพิ่งตะโกนเรียกดวงดาว หรือเรียกใครทั้งนั้น”
มุกรินพยายามดิ้น เท่าที่เธอพอจะมีแรง คิมหันต์ยิ่งใช้แรงกดร่างของมุกรินให้นิ่ง
“ผมแค่ต้องการคุยกับคุณตามลำพังเท่านั้นเอง ได้มั้ยมุก”
มุกรินจ้องหน้าคิมหันต์นิ่งซักพัก คิมหันต์จึงค่อยๆ ปล่อยมือจากปากของเธอ มุกรินยอมที่จะไม่เปล่งเสียงร้องตะโกน
“คุณไม่ได้ล็อคหน้าต่างห้อง” เขาว่า
“ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเปิดหน่าต่างรอคุณ”
“ผมรู้”
“คุณทำตัวไม่ต่างจากโจรเลย”
“แต่ผมไม่ได้คิดจะปล้นอะไร และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้เลยด้วยซ้ำ”
“งั้นมีอะไรบ้างที่คุณตั้งใจ ช่วยบอกให้ฉันรู้หน่อยซิว่า มีอะไรบ้างที่คุณทำด้วยความตั้งใจ...มีบ้างมั้ย”
คิมหันต์นิ่งไปนิดหนึ่ง เขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ตั้งใจจะพูด ทว่ามุกรินไม่รีรอ เธอพรั่งพรูอารมณ์และความรู้สึกออกมาอย่างไม่ยั้ง
“หรือทั้งหมดที่คุณทำนี่ คุณไม่ได้ตั้งใจเลย ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกใช้ฉัน ไม่ได้ตั้งใจที่จะหลอกใช้ดวงดาวเพื่อเป็นเครื่องมือทำร้ายพี่ใหญ่ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ใหญ่ช้ำใจตาย ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พักตราท้อง และแท้ง และเจ็บหนักจนเข้าไอซียู ไม่ได้ตั้งใจเลยใช่มั้ย คนอย่างคุณไม่เคยตั้งใจอะไรเลยใช่มั้ย”
“ผมตั้งใจจะรักคุณ และเป็นคนที่คุณรักไง เท่านี้ยังไม่พออีกเหรอ”
“ไม่พอ ความรักต้องมีความซื่อสัตย์ ต้องสัมผัสได้ จับต้องได้ ความรักไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้คุณทำอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าเป็นเพราะความรัก ไม่ว่าคุณจะอ้างว่ารักฉันหรือรักพี่มล คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำกับคนอื่นตามอารมณ์ตัวเองอย่างนี้”
คิมหันต์นิ่งอึ้งไปจริงๆ มุกริน หายใจหอบแรง สักพักจึงเอ่ยปากต่อ
“เอาละ พูดสิ่งที่คุณอยากจะพูดออกมา พูดให้จบ จนเป็นที่พอใจ แล้วก็ออกไปจากห้องฉันซะ”
คิมหันต์เอ่ยปากอย่างตั้งใจ
“ผม ขอโทษ”
มุกรินสัมผัสได้ถึงการขอโทษอย่างจริงใจมากกว่าครั้งไหนๆ แต่เธอเลือกที่จะชักสีหน้ารังเกียจ
“ฉันฟังจนเบื่อแล้วหละ คำนี้ แค่ขอโทษ คุณไม่ต้องบุกเข้ามาถึงในห้องฉันก็ได้ส่งข้อความมาแบบที่ทำอยู่บ่อยๆ ง่ายกว่ากันตั้งเยอะ”
“ผมเกือบจะถ่ายคลิปคำขอโทษส่งมาด้วยซ้ำ แต่ผมอยากให้คุณเห็นกับตาตัวเอง ว่าผมขอโทษจริงๆ ผมอยากให้คุณเห็นสีหน้าและแววตาที่แท้จริงของผมว่าผมสำนึกผิดแค่ไหน”
มุกรินเป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง
“ผมจะไม่พูดถึงความรักที่ผมมีต่อพี่มล และความแค้นที่พี่มลถูกฆ่า เพราะคุณคงเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่า ทันทีที่พี่ชายคุณสารภาพความจริงกับผม ผมก็จบทุกอย่างแล้ว ผมเลิกหมด ผมไม่คิดจะเอาคำสารภาพนั้นไปใช้อะไรด้วยซ้ำ คลิปนั้นยังอยู่ที่ผม ถ้าคุณต้องการ แต่พี่ชายคุณจงใจฆ่าตัวตายเพื่อทำร้ายผม”
มุกรินโกรธ “ยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้อีกเหรอ”
“มันเป็นความจริง พี่ชายคุณต่างหากที่ต้องการเอาชนะผม”
มุกรินย้อนแย้ง “ด้วยการฆ่าตัวตาย”
“ใช่ เพราะเขาเป็นมะเร็งที่สมองขั้นสุดท้าย คุณรู้บ้างรึเปล่า เขากำลังจะตายอยู่แล้ว เขาไม่ยอมไปผ่าตัด เขาเลือกที่จะตาย และเลือกวิธีตายที่จะทำลายชีวิตผม นั่นคือสิ่งที่เขาทำ”
มุกรินตบหน้าคิมหันต์
“หยุดใส่ร้ายพี่ใหญ่ได้แล้วนะนายคิมหันต์”
“ผมไม่ได้ใส่ร้าย มันเป็นความจริง คุณจะตบผมอีกกี่ที ความจริงมันก็ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ แต่ผมรับรอง ว่าจะไม่พูดแบบนี้กับใคร เพราะผมจบแล้วจริงๆ แค่ผมได้รู้ความจริงของเหตการณ์คืนนั้น ผมก็พอแล้ว จากนี้ไปผมก็พร้อมจะยอมรับผลทุกอย่างที่เกิดจากการกระทำของผม ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม”
มุกรินยังคงจ้องหน้าคิมหันต์นิ่ง
“ผมขอโทษ” เขาบอกคำๆ นี้อีก
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ฉันยอมทน นั่งฟังคำพูดนี้จากปากของคุณ”
“แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ใช่มั้ย”
ไม่มีคำตอบออกจากปากของมุกริน คิมหันต์จึงค่อยๆ เดินไปเปิดประตูห้องนี้ เมื่อประตูเปิด เราจึงเห็นดวงดาวยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้น ดวงดาวเอ่ยปากด้วยเสียงเข้ม ใบหน้าเครียด
“ถึงแม้อาธาดาจะเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย แต่เขาก็ควรจะมีโอกาสใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสุขสบาย และยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ที่เป็นตัวเร่งให้เขาตัดสินใจทำแบบนี้”
คิมหันต์อึกอัก “ผม...”
“อย่าพูดคำว่าขอโทษกับฉัน...ฉันไม่ต้องการได้ยิน”
คิมหันต์จึงปิดปากเงียบ
“และฉันหมายความว่า ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าคุณอีกเลยจนชั่วชีวิต”
คิมหันต์เดินหงอยออกไปอย่างเหงาๆ ดวงดาวกระเถิบเข้าไปพูดกับมุกริน ใกล้ๆ
“เธอก็จะไม่ต้องเห็นหน้าเขาอีก จนชั่วชีวิต เช่นกัน”
ดวงดาวยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาพูดสาย
“เขาออกไปแล้วค่ะท่าน”
กลางซอยเปลี่ยว ไม่ไกลจากบ้านเช่าธาดา คิมหันต์เดินคอตกมาตามทางนั้น เขายกมือโบกเรียกรถแท๊กซี่ ที่แล่นเข้ามาจากไกลๆ จนเมื่อแท๊กซี่จอด คิมหันต์จึงเปิดประตูด้านหลัง ก้าวเข้าไปนั่งบอกปลายทาง
“ไปถนนพระรามห้า”
ฉับพลันนั้นเองรถตู้หนึ่งคันแล่นมาจอดขนาบข้างรถแท็กซี่ ชายกำยำลงจากรถตู้ พุ่งเข้าไปเปิดประตูรถแท็กซี่อีกด้าน พวกเขากระชากคิมหันต์ออกมาจากแท๊กซี่ แล้วจึงโยนเข้าไปในรถตู้คันนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วจนคิมหันต์ตั้งตัวไม่ทัน
คิมหันต์ถูกเหวี่ยงเข้ามานั่งบนเบาะรถตู้คันนี้ และเห็นพลโทอรรถนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆเขา
“ท่าน”
อรรถจ้องหน้าคิมหันต์นิ่ง
“ท่านต้องการอะไรจากผมอีก”
“สะสาง และสั่งสอน”
อรรถกระชากคอคิมหันต์เข้ามาใกล้ แล้วเงื้อหมัดชกหน้าคิมหันต์เต็มกำลังติดๆ กันห้าที พร้อมกับตะโกนลั่นรถ
“นี่สำหรับทั้งหมดที่มึงทำกับลูกกู”
เลือดสีแดงฉาน กระจายทั่วรถและใบหน้าของคิมหันต์ อรรถส่งผ้าให้คิมหันต์เช็ดเลือด
“ฉันอาจจะเป็นพ่อที่ตามใจลูกมากเกินไป บางคนบอกว่าฉันตามใจพักตราจนเสียคน ก็แล้วแต่ใครจะคิด แต่ฉันมั่นใจว่าเรื่องระหว่างนายกับพักตรา ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่ม”
คิมหันต์ได้แต่นั่งเช็ดเลือดนิ่งๆ
“ถ้านายไม่จงใจยุ่งกับพักตราตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดก็จะไม่เป็นอย่างนี้ แต่นี่นายมันเห็นแก่ตัว นายจงใจใช้พักตราทำร้ายจิตใจคนที่นายรังเกียจ จนทุกวันนี้พักตราต้องตกอยู่ในชะตากรรมที่โหดร้าย อยากรู้มั้ยว่าสภาพของพักตราเป็นยังไง”
อรรถยกโทรศัพท์ให้คิมหันต์ดู ที่หน้าจอโทรศัพท์ มันเป็นภาพพักตรานอนนิ่งๆในห้องไอซียู
“พักตรามีอาการกระทบกระเทือนทางจิตอย่างรุนแรง เธอได้แต่นอนนิ่งๆ ไม่สื่อสาร ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น”
คิมหันต์ถึงกับอึ้ง ช็อก สะเทือนใจไม่น้อย
“ฉันรู้ว่ามันคงไม่ทำให้นายสำนึกผิดอะไรนักหรอก เพราะนายไม่เคยมีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับลูกสาวฉันเลย แต่ที่ฉันให้นายดู ก็เพื่อนายจะอ้างทีหลังว่าไม่รู้ไม่ได้”
อรรถเก็บโทรศัพท์เครื่องนั้น
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันตามล่านาย ฉันจะไม่ขออะไรจากนายอีก นอกจากขอให้ไปให้ไกลจากลูกสาวฉัน ซึ่งก็คงเป็นสิ่งที่นายต้องการอยู่แล้ว ฉันคงไม่ต้องจ่ายค่าทำแผลให้นายหรอกนะ”
อรรถให้สัญญาณหมู่ชายกำยำ พวกเขาเปิดประตูรถ แล้วเหวี่ยงร่างของคิมหันต์ลงไปนอนกองกับพื้นถนน
“จำไว้ด้วยนะ ลูกผู้ชาย ทำแบบนี้กับผู้หญิงไม่ได้ ไม่ว่าจะผู้หญิงคนนั้นจะเป็นลูกสาวใคร และ ฉันมั่นใจว่า คนอย่างนายจะไม่ตายดี คิมหันต์”
รถตู้พลโทอรรถแล่นออกไปในที่สุด
คิมหันต์นั่งนิ่งอยู่ริมถนนเส้นนั้น นานพอสมควร เขาครุ่นคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเขา แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
ฝ่ายมุกรินและดวงดาวพากันเหม่อลอยกลางโถงบ้านคนละมุม ทั้งสองต่างทอดสายตาไปไกล ครุ่นคิดเรื่องราวของตัวเอง
ฟากพักตรานอนนิ่งอยู่ในห้องไอซียู พยาบาลทำหน้าที่ดูแลอยู่รอบๆ เตียง พักตราไม่มีท่าทีใดที่แสดงถึงการสื่อสารกับพยาบาลเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ถวิลและไสวเปิดประตูเดินเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่บ้านวิมลรัตน์ ทั้งสองถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามาเพื่อทำหน้าที่ตามปกติ จนมองไปเห็นเป็นคิมหันต์นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟากลางบ้าน ถวิล กะ ไสว สะดุ้งตามกัน
“คุณคิม ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย จะกลับมาทำไมไม่เรียกอิฉันล่ะคะ”
“ฉันกลับมาดึกมากน่ะ เลยไม่อยากกวน”
คิมขยับตัวพลิกหน้ามา เราจึงเห็นว่ามีแผลแตก เต็มมุมปาก
ถวิล กะ ไสว สะดุ้งเป็นคำรบสอง
“อุ้ย...ไปโดนอะไรมาคะคุณคิม ปากแตกขนาดนั้น”
“โดนเหมือนที่เคยโดน ไม่เป็นอะไรหรอก น้าช่วยโทร.หาชุมสายให้ฉันหน่อยสิ”
อีกฟาก ประตูรั้วบ้านเช่าธาดาถูกเปิดออก ปรารภยืนยิ้มแฉ่งกลางช่องประตู
“อรุณสวัสดิ์ครับสาวๆ”
มุกรินและดวงดาว เป็นผู้เปิดประตูบ้าน ต้อนรับ
“พี่รภมาแต่เช้าจัง”
“คุณสองคนก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะ”
“ยังไงก็ต้องตื่นค่ะ คุณปรารภเล่นกดออดซะดัง ยาว และนานขนาดนี้” ดวงดาวเหน็บตามเคย
“โทษที พี่ตื่นเต้นไปหน่อย”
“ตื่นเต้นอะไรคะ ถูกหวย หรือได้บอลล่ะ”
“พี่ไม่แทงหวย ไม่พนันบอล”
“ได้เซ็นสัญญาโปรเจ็กท์ใหม่เหรอคะ” มุกรินถาม
“ยังจ้ะ ลูกค้านัดคุยวันนี้”
ดวงดาวหมั่นไส้ “แค่นี้ก็ตื่นเต้นซะก่อนแล้ว”
“ผมตื่นเต้นกับดวงดาวต่างหาก อ้ะ ตื่นเต้นที่หนึ่ง”
ปรารภเดินไปเปิดท้ายรถของเขา แล้วหยิบถุงผ้าใบใหญ่ชูให้ดวงดาวดู
“อะไร” ดวงดาวฉงน
“เสื้อ โรงงานที่รู้จักกันต้องการคนช่วยเย็บเสื้อ ผมเลยไปรับมา เผื่อให้คุณดวงดาวได้ทำในยามว่าง”
“เสื้อโหล” ดวงดาวถาม
“หลายโหลเลยละ”
“รู้ได้ไงว่าฉันจะชอบและอยากจะทำ”
“ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ต้องทำ งั้นก็ฟังเรื่องตื่นเต้นที่สอง”
ดวงดาวยักคิ้วให้ รอฟัง
“ร้านที่คุณเคยร้องเพลง เขาเปลี่ยนเจ้าของ ตอนนี้เป็นของคนที่รู้จักกับผม”
“แล้วไง...ฉันต้องดีใจด้วย”
“เขาต้องการนักร้องผู้หญิง ถ้าคุณสนใจ”
ดวงดาวมีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที
“เขาไม่เกี่ยงว่านักร้องจะต้องเป็นสาวโสด ท้องอ่อนๆ เขาก็ไม่ว่า สนใจแล้วใช่มั้ยล่ะ”
ปรารภหันไปหามุกริน
“ส่วนมุก วันนี้ยังไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้นะ เพราะที่ต้องไปพบลูกค้าใหญ่เช้านี้แล้วบ่ายๆพี่จะมารับไปวัดนะ วันนี้ต้องไปบรรจุกระดูกที่วัด ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ปรารภหยิบถุงอาหารใบใหญ่ส่งให้มุกรินเหมือนเช่นเคย
“นี่อาหารเช้าสำหรับสองคน เดี๋ยวเจอกันนะ”
ปรารภเดินกลับไปขึ้นรถ ขับออกไปอย่างมีความสุข
“ความสุขของพ่อหม้ายวัยกลางคน” ดวงดาวมองหมั่นไส้
“ตอนพี่ใหญ่จีบเธอใหม่ๆ เขาเป็นอย่างนี้มั้ย”
ดวงดาวส่ายหน้า “เมาไม่รู้เรื่อง มองตากัน แล้วก็ทำสัญญา...”
มุกรินเลิกคิ้วเหมือนเป็นคำถาม และรอฟังต่อ
“สัญญาว่า ใครมีทางไปที่ดีกว่า ก็ไปได้เลย วันนี้อาเขามีทางไปที่ดีกว่าฉันแล้ว”
ทั้งสองน้ำตาซึมขึ้นมาอีกจนได้
รถชุมสายแล่นตรงเข้ามาจอดหน้าบ้านในจังหวะนี้ มุกรินและดวงดาวจ้องมองที่รถคันนี้ สีหน้านิ่ง
ชุมสายก้าวลงจากรถในไม่ช้า เขายิ้มและเอ่ยปากอย่างสุภาพ
“อย่าเพิ่งไล่ผมนะครับ ผมมาดี...ผมมีของมาส่ง”
ของสะสมสภาพเรียบร้อยสวยงามวางอยู่ในกล่องสวย มันล้วนเป็นของสำคัญที่บ่งบอกเรื่องราวของมุกรินกับคิมหันต์ในเวลาที่ผ่านมา ทั้งหมดถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้ามุกริน และ ดวงดาว
“คิมหันต์ฝากให้ผมเอาของเหล่านี้มาคืนให้คุณ”
มุกรินแสดงท่าทีเฉยชากับสิ่งของเหล่านี้
“ฉันเคยบอกเขาเหรอคะว่าอยากได้ของพวกนี้”
“คนให้เขาก็แค่อยากให้”
“เพื่ออะไร เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ความสงสาร เพื่อหวังจะให้ความรู้สึกเดิมๆกลับมาน่ะเหรอ”
มุกรินเปล่งเสียงดังขึ้น ชุมสายถึงกับอึกอัก
“คุณคงต้องไปถามเขา ผมตอบแทนไม่ได้”
“คุณนี่มันข้ารับใช้ของนายคิมหันต์จริงๆ”
ชุมสายหน้าเจื่อนๆ “ผมเป็นเพื่อนรักของเขา”
ดวงดาวแทรกขึ้น “ถ้าเป็นเพื่อนรักจริงก็หัดเตือนสติเพื่อนในทางที่ถูกหน่อยได้มั้ย”
“เอาของมาคืนนี่มันผิดตรงไหนไม่ทราบ”
“ไม่ผิด แต่น่ารำคาญ รำคาญที่ตื๊อไม่เลิกซะที”
“นายปรารภยังตื๊อได้ ทำไมนายคิมหันต์จะตื๊อบ้างไม่ได้” ชุมสายย้อนแย้งกับดวงดาว
มุกรินตัดบท “พอทีเถอะค่ะ คุณกลับไปบอกเพื่อนคุณด้วยว่า ไม่สำเร็จหรอก เรื่องระหว่างฉันกับเขา มันจบหมดแล้ว”
“ผมก็เชื่ออย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ผมบอกมันด้วยซ้ำว่า น่าจะหมดหวัง แต่รู้มั้ยครับ นายคิมหันต์มันไม่เคยหมดหวังกับคุณเลยแม้แต่นิดเดียว”
มุกรินอึ้งไปนิดหนึ่งกับคำพูดนี้
“คุณจะเก็บของไว้ หรือจะทิ้งหรือจะเอาไปคืน ก็เป็นสิทธิ์ของคุณครับ ผมกลับละ”
ชุมสายเดินออกไปจากบ้านทันทีที่พูดจบ ดวงดาวหันไปพูดกับมุกริน
“เขาหาเรื่องให้เธอไปเจอเขา”
“ฉันรู้ แต่เขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป”
เวลานั้น คิมหันต์นั่งเหม่อมองออกไปไกลราวกับคนสิ้นหวัง ชุมสายขยับตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อน
“ปลงซะเถอะว่ะเพื่อน ฉันฟันธงได้เลยว่า งานนี้ จบ ขาด คุณมุกไม่เหลือความรู้สึกดีๆให้แกอีกแล้ว”
“แกเป็นทนาย แกไม่ใช่หมอดู แกอย่ามาฟันธง”
“ฉันพูดจากข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ต่อหน้า และฉันเห็นด้วยว่า ในเวลาเดียวกันนี้ นายปรารภกำลังเร่งทำแต้มอย่างหนัก ซึ่งอาจจะแซงหน้าแกไปไกลแล้วก็ได้”
“ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก”
“มันไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะนะเพื่อน มันคือความจริงของชีวิต และถ้าเรายอมรับความจริงนี้ได้ เราก็จะมีชีวิตอย่างมีความสุขกับเวลาที่เหลือของเรา”
“มันก็แค่วิบากกรรมช่วงหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่เขายังไม่ลงเอยกัน ฉันก็ยังมีสิทธิ์”
“สิทธิ์อะไร สิทธิ์ในฐานะอะไร” ชุมสายเหนื่อยใจ
“คนที่เคยรัก ไม่มีใครรักมุกได้อย่างฉัน และไม่มีใครที่มุกจะรักได้เหมือนที่มุกรักฉัน”
“คำว่าเคย แปลว่า มันเป็นอดีต แกคืออดีต ส่วนปัจจุบันของมุกริน เธอมีปรารภเป็นตัวเลือก”
“ยังไม่ได้เลือกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้น่ากลัวตรงไหน ไอ้พ่อหม้ายแบบนั้น”
คิมหันต์ยังมั่นใจในตัวเองสูงสุด
ที่บ้านพักตากอากาศหลังงาม ซึ่งปลูกสร้างอิงแอบแนบชิดกับธรรมชาติของชายป่าบนเขาใหญ่ รถตู้คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดหน้าทางเข้าบ้านหลังนี้
พยาบาลพิเศษสองคนในชุดสะอาดตาก้าวลงจากรถ ทั้งสองนางช่วยกันประคองพักตราลงมานั่งบนรถเข็นวีลแชร์
พลโทอรรถก้าวตามลงมาใกล้ๆ พลางก้มลงไปพูดกับลูกสาว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เรามาเที่ยวเขาใหญ่กันนะลูก ลูกเคยมาที่นี่ตอนเด็กๆ จำได้มั้ย วันนั้นแม่หนูก็มาด้วย พ่อกับแม่สอนหนูขี่จักรยานที่นี่ไง...นึกออกหรือยัง...เข้าไปดูในบ้านกันนะลูก”
พยาบาลเข็นรถเข็นเข้าไปในบ้าน อรรถเดินตาม คนขับรถถือกระเป๋าสัมภาระตามเข้าไปทีหลัง
อ่านต่อหน้า 2
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
พยาบาลเข็นรถเข็นพักตรามาหยุดตรงมุมสบายในโถงกลางบ้าน อรรถยืนพูดโทรศัพท์ที่ด้านหลัง
“คุณหมอครับ ผมพาพักตรามาถึงบ้านพักที่เขาใหญ่แล้วครับ เธอยังนิ่งๆ ไม่มีอาการอะไร แต่ผมว่าเธอดูดีขึ้นนะครับ สดชื่นแจ่มใสขึ้นกว่าเก่า...ครับ...ผมจะดูแลอย่างดี ไม่ให้มีอะไรมากระทบจิตใจครับ”
พักตราเหลือบมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศสวยงามรอบๆ ตัว อรรถเข้ามาลงนั่งเบื้องหน้าลูกสาว พร้อมแตงโมลูกใหญ่ใส่น้ำปั่น เขายื่นมันให้ลูกสาว
“น้ำแตงโมปั่นที่หนูชอบ แบบเดียวกับที่แม่หนูชอบให้พ่อทำให้”
พักตรารับมันมาดื่ม สีหน้าเรียบเฉย
“เราจะเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนที่นี่กันนะ พ่อจะอยู่กับหนูตลอด เราจะรื้อฟื้นความหลัง ครั้งที่เรามาพักที่นี่ตอนหนูอายุซักเจ็ดขวบ หนูนอนตักพ่อตรงนี้ แล้วบ่นว่าอยากมีน้อง จำได้มั้ย หนูเกือบจะได้น้องจริงๆ แล้วนะ ถ้าแม่เขายอม แต่เป็นเพราะแม่เขาไม่อยากแบ่งความรักไปให้คนอื่นอีก นอกจากหนูคนเดียวเท่านั้น รู้มั้ย”
พักตรามองไปที่รูปที่ตั้งอยู่รอบๆ เธอยกมือชี้ไปที่รูปเหล่านั้น อรรถมองตามมือพักตรา
“รูปตอนพ่อกับแม่รักกันไงลูก นั่นงานแต่งงาน นั่นงานหมั้น”
พักตราจ้องมองภาพนั้น สีหน้าเริ่มเครียดขึ้น ภาพงานหมั้น และ งานแต่งงานของเธอกับคิมหันต์ผุดซ้อนเข้ามาเป็นฉากๆ
ร่างพักตรา มีอาการกระตุกเล็กน้อย
ภาพและน้ำเสียงจริงจังขึงขัง ในวันที่คิมหันต์บอกขอเลิกกับเธอผุดแทรกเข้ามาหลอกหลอน
ทันใดนั้นพักตราก็แหกปากกรีดร้องเสียงดังลั่นโลก พร้อมๆ กับคว้ากรอบรูปเหล่านั้นปาทิ้งเกลื่อนบ้าน
อรรถและพยาบาลรีบเข้ามาประคองและจับตัวไว้ทันที พักตรา ตัวแข็งจนเกร็ง
ถัดมา หมอยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องตรวจที่คลินิก กรุงเทพฯ
“อาการเกร็ง แข็งตัว เป็นปฏิกิริยาทางกายที่สัมพันธ์กับสภาพจิตใจโดยตรง พยาบาลที่ส่งไปดูแลจะรู้ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเป็นอย่างดี แต่ท่านต้องระวังอย่าให้เกิดสภาวะแบบนี้กับลูกสาวบ่อยนัก อาจจะต้องคอยกันไม่ให้เธอรับรู้อะไรมากไป ไม่ว่าเรื่องเก่า หรือ เรื่องใหม่ บางทีความทรงจำที่เราคิดว่าดี อาจไปสะกิดความรู้สึกบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้”
พลโทอรรถยืนพูดสายหน้าเครียด โดยด้านหลังเห็นพยาบาลพิเศษกำลังปฐมพยาบาลพักตราอย่างถูกวิธี
“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องจับเธอให้อยู่แต่ในห้องโล่งๆ ว่างเปล่า คนเดียวเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอครับ”
“อาจจะไม่ต้องถึงขนาดนั้นค่ะ แต่ท่านก็ต้องเฝ้าระวัง พฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หมอก็คงบอกได้เท่านี้ อย่าลืมว่า เราไม่อาจคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้น กับคนไข้ที่มีอาการภาวะทางจิต”
อรรถวางสายลง สีหน้าเครียดสุดขีด หันไปมองลูกสาวที่อยู่ด้านหลัง เห็นพักตราหายใจแรงขึ้น อาการชัก เกร็ง หมดไปแต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไร้อารมณ์และความรู้สึก
เช้าวันนี้ มุกริน ดวงดาว และปรารภ มาทำการทอดอัฐิธาดา ทั้งสามนั่งพนมมือหน้าเจดีย์บรรจุกระดูก พระสงฆ์หนึ่งรูปกำลังนั่งสวด เบื้องหน้าพวกเขา ระหว่างนี้เสียงโทรศัพท์มือถือของปรารภดังขึ้น เขาค่อยๆขยับตัว เดินเลี่ยงห่างออกมา แล้วจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“ผมขอพบคุณเป็นการส่วนตัว ได้มั้ย” เป็นสายจากคิมหันต์ที่พูดสายต่อว่า “ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้มุกรินรู้นะ”
ปรารภถือโทรศัพท์ฟัง นิ่ง สักพักจึงกดปุ่มวางสาย เขาเหลือบมองไปยังมุกรินและดวงดาวที่ยังนั่งพนมมือฟังพระ อยู่ที่เดิม
ตรงโต๊ะอาหารในมุมสงบของร้านแห่งหนึ่ง เห็นคิมหันต์นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น สักครู่ปรารภจึงขยับตัวลงนั่งตรงข้าม คิมหันต์เอ่ยปากอย่างมีไมตรี
“ทานอะไรหน่อยมั้ย”
“ผมทานมาแล้ว อยากเดามั้ยว่าทานกับใคร”
“ผู้หญิง...”
ปรารภต่อให้อีกว่า “สองคน เสร็จแล้วผมก็ไปส่งเขาที่บ้าน ตลอดทางในรถ พวกเธอดูผ่อนคลายขึ้น สดใสขึ้นกว่าเก่าเยอะ แล้วค่ำๆ ผมก็จะแวะไปรับพวกเธอออกไปกินข้าวนอกบ้านอีก”
“ถ้าคุณยังไปไหนมาไหน แบบกระเตงกันไปพร้อมกันทั้งมุกรินและดวงดาว ก็แปลว่ามุกเขายังรักษาระยะห่างกับคุณอยู่”
“ไม่เป็นปัญห เพราะระยะห่างระหว่างคุณกับมุก มันห่างกว่าระยะของผมเยอะ ชนิดที่เทียบกันไม่ได้”
คิมหันต์สะอึก อึ้ง เขาชะงักไปนิดหนึ่ง
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะได้มุกรินมาเป็นของคุณได้ง่ายๆ”
“ผมไม่รีบร้อนอะไร ผมรอได้ ผมชอบอะไรที่มันยาก มันท้าทาย เพราะเมื่อผ่านจุดนี้ไป มันคือความภาคภูมิใจไม่รู้ลืม”
“แต่ก็เป็นการเก็บตกต่อจากผมอยู่ดี”
ปรารภขยับชันตัวขึ้น ด้วยความโกรธ
“ถ้าคุณนัดผมมา เพื่อพูดจาให้ร้ายเธอต่อหน้าผม ผมจะชกหน้าคุณ และจะเดินออกไปจากร้านนี้ทันที”
คิมหันต์ยิ้มเยือกเย็น
“เดี๋ยวนี้ชักจะบุ่มบ่ามมากขึ้นนะครับคุณปรารภ”
“ความอดทนอดกลั้นของผมน้อยลง เฉพาะกับคุณเท่านั้น”
“นั่นคือจุดอ่อนที่คุณจะไม่มีทางชนะผม”
ปรารภเป็นฝ่ายยิ้มเย้ยหยันบ้าง
“ถามจริงๆเถอะ คุณยังคิดว่ามุกรินรักคุณอยู่อีกเหรอ”
ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันนิ่ง สักพัก คิมหันต์จึงเอ่ยปากท้าทาย
“แข่งกันมั้ยล่ะ”
“ช้าไปแล้วครับ คุณตกรอบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มแข่ง”
“ถือว่าผมต่อให้คุณไง ลองมั้ยล่ะ คุณกล้ามั้ย”
ปรารภจ้องหน้าคิมหันต์อย่างไม่ไว้วางใจ
“ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก คุณก็จีบมุกตามแบบของคุณไป ผมจะไม่ก่อกวน จะไม่ขัดขวางอะไรคุณเลย ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งทำอะไรเลยเถิดกับมุกตอนนี้นะ”
ปรารภงง “ทำอะไร”
“สภาพจิตใจเธอยังไม่ปกติ เธออยู่ภายใต้อารมณ์โกรธและโศกเศร้า จนอาจจะทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิด ถ้าคุณลวนลามเธอตอนนี้ คุณจะได้แต่ตัวเธอ ไม่ใช่หัวใจเธอ”
“คุณกำลังดูถูกทั้งผมและมุกริน ระหว่างผมกับมุก คือความรู้สึกดีๆ ที่บริสุทธิ์ ไม่ได้หมกมุ่นในกามอย่างคุณ”
“แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตคู่นะครับคุณปรารภ แสดงว่าคุณคงล้มเหลวเรื่องนี้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะกับเมียเก่าทั้งสามคน”
ปรารภกระชากคอคิมหันต์ด้วยความโกรธ
“ผมไม่ควรเสียเวลากับคนเลวๆอย่างคุณเลย”
“รอให้มุกรักคุณเหมือนที่เธอเคยรักผมซะก่อน แล้วคุณค่อยนอนกับเธอ ได้มั้ย ผมขอร้อง”
ปรารภเหวี่ยงคิมหันต์ออกไป แล้วขยับตัวลุกขึ้น
“รับปากได้มั้ยว่าจะไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ คุณจะไม่มอมเหล้าเธอ และมีอะไรกับเธอตอนเมา”
“ผมจะไม่รับปากอะไรกับคนเลวๆ อย่างคุณหรอก”
ปรารภเดินออกไปจากร้านทันที คิมหันต์ตะโกนไล่หลังเขาไป
“ผมจะถือว่าเรายังอยู่ในเกมเดียวกันนะคุณปรารภ”
ค่ำคืนนั้น พักตรานอนนิ่งบนเตียงนุ่มกลางห้องนอน มีพยาบาลพิเศษนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง พลโทอรรถเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง เอ่ยปากถามพยาบาลเบาๆ
“ลูกสาวฉันเป็นยังไงบ้าง”
“นอนนิ่งๆ ค่ะ”
“ทานอาหารรึเปล่า”
“ทานไปนิดเดียวค่ะ”
“คืนนี้ฉันนอนห้องนี้เอง มีอะไรฉันจะเรียกนะ”
“ค่ะ”
พยาบาลเดินออกไปแต่โดยดี อรรถขยับตัวเอนหลังบนที่นอนข้างๆลูกสาว พักตราเอ่ยปากออกมาเฉยๆ
“พ่อ”
“พักตร์...เรียกพ่อเหรอลูก”
อรรถขยับตัวเข้าไปใกล้ลูกสาวทันที
“คิมล่ะคะ”
อรรถชะงัก “เอ้อ...”
“คิมนอนรึยัง”
อรรถ “เอ้อ” อีก
“พ่ออย่าไปกวนคิมเขานะ ให้เขาหลับไปเถอะ เดี๋ยวเขาไม่รักพักตร์”
“จ้ะ ลูก”
อรรถยกมือลูบหัวลูกสาวด้วยความสงสารยิ่ง
“ลูกล่ะคะ ลูกพักตร์ล่ะ...ลูกอยู่ไหน”
“พักตร์”
พักตราจับมือพลโทอรรถไว้จนแน่น
“อย่าให้ใครเอาลูกพักตร์ไปนะพ่อ”
“จ้ะ”
“เดี๋ยวพักตร์ตื่นแล้วจะไปเล่นกับลูกนะพ่อ”
พักตราหลับตาลง น้ำตาหยาดใหญ่ไหลออกมาจากสองตาของนายพลผู้เป็นพ่อ
ที่กรุงเทพฯ ในบาร์หรูบรรยากาศชวนเมา ดวงดาวยืนร้องเพลงรักอยู่บนเวทีใหญ่ของร้านนั้น เพลงจบไปหนึ่งท่อน
ที่โต๊ะใหญ่ ไม่ไกลจากเวทีนัก มุกรินนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น มองไปที่ดวงดาวบนเวที ปรารภขยับตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมจานอาหารในมือ
“อยากดื่มอะไรบ้างมั้ยมุก แอลกอฮอล์เบาๆ อ่อนๆซักหน่อยมั้ย จะได้สนุกครึกครื้นขึ้นมาบ้าง ไม่ถึงกับเมาหรอก”
“ไม่ละค่ะ อยากฟังดาวร้องเพลงมากกว่า”
ปรารภจึงรินน้ำเปล่าให้มุกริน แล้วเฝ้ามองดูเธอ ไม่วางตา
ดวงดาวร้องเพลงนั้นต่อไปจนจบ เสียงตบมือดังลั่นร้าน นักดนตรีบนเวทีเอ่ยปากขอบคุณ
“น้องดวงดาวน้องสาวของเราครับ เธอหายไปนาน แต่จะกลับมาร้องเพลงที่นี่อีกครั้ง เร็วๆ นี้ครับ แต่คืนนี้เธอยังอยู่กับเรา พร้อมกับเพลงต่อไปเพลงนี้ ฟังกันเลยครับ”
มุกรินนั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอพลิกหน้าจากเวทีหันมาหาปรารภ
“ดาวเขาดูมีความสุขเวลาร้องเพลงนะคะ”
“เขาคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”
“เขาโชคดีกว่ามุกเยอะ...มุกยังไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร”
ปรารภจ้องมองมุกรินด้วยตาเชื่อม ด้วยแววตาเปี่ยมรัก
“ถ้าพี่บอกว่า มุกเกิดมาเพื่ออะไร มุกอาจจะทำท่าคลื่นไส้ หาว่าพี่น้ำเน่าก็ได้”
“แปลว่าสิ่งที่พี่รภพูด มันเกินจริงน่ะสิคะ”
“ไม่หรอก จริงที่สุดสำหรับพี่ พี่เองก็เพิ่งรู้ตัวไม่นานนี้ว่า พี่เกิดมาเพื่อสิ่งไหน”
“พี่รภเกิดมาเพื่อทำให้ทุกๆ คนรอบตัวพี่รภมีความสุข เกิดมาเพื่อเป็นที่พึ่ง และแก้ปัญหาให้กับลูกน้องทุกคน”
“ไม่ทุกคนหรอกครับ พิเศษเฉพาะคนๆเดียว คนที่มุกก็รู้ว่าพี่หมายถึงใคร”
มุกรินนิ่ง คล้ายจะเขินนิดๆ
“พี่เกิดมาเพื่อได้รักใครคนหนึ่ง และพี่หวังว่าใครคนนั้นจะเกิดมาเพื่อรักพี่เช่นกัน”
“น้ำเน่าค่ะ”
“ว่าแล้วเชียว เฮ้อ...อันนี้ถือเป็นการเกริ่นนำก็แล้วกันนะ มุกจะยังไม่เก็บไปคิดจริงๆจังๆก็ได้ แต่วันนึงที่เหมาะสมกว่านี้ พี่หมายถึง สถานที่ที่ดูดีกว่าร้านเหล้า พี่จะพูดเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ”
ปรารภจ้องมองมุกรินอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
“และพี่จะขอมุก ในสิ่งที่พี่รอมานานแสนนาน”
“พี่รภคะ ก่อนจะถึงวันนั้น...ให้มุกได้พักใจ อยู่นิ่งๆ เฉยๆ สักพักก่อนนะคะ”
ปรารภยิ้มรับ ไม่ปฏิเสธ
“พี่รภจะมองหาทางเลือกใหม่ก็ได้นะคะ อย่ายึดติดกับมุกนักเลย เดี๋ยวจะเสียเวลาเปล่าๆ”
“พี่รอได้ อย่างน้อยการรอ ก็ยังไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธ”
“พี่อาจจะต้องรอจนแก่นะคะ”
“แก่ก็แก่ด้วยกัน จะกลัวอะไร”
ทั้งสอง ยิ้ม หัวเราะให้กัน อย่างแจ่มใส
กลางดึกคืนนี้สองสาวเดินเข้ามากลางโถงบ้าน จนเมื่อทั้งสองขยับตัวลงนั่ง ดวงดาวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“มีอะไรอยากเล่าให้ฟังมั้ย”
“อะไร”
“ก็ตาปรารภเขานั่งจ้องหน้าเธอขนาดนั้น คงต้องพูดอะไรบางอย่างแล้วละ”
มุกรินยิ้มนิดๆ ขำ น้อยๆ
“และเป็นคำพูดที่ทำให้เธอถึงกับนิ่งอึ้งไป”
“ร้องเพลงอยู่บนเวที ยังเห็นอีกเหรอ”
“เห็นสิ เห็นมาเยอะแล้วหละ พวกที่มาฟังเพลง เพื่อเอาบรรยากาศเป็นตัวช่วย มีทั้งบอกรัก บอกเลิก หนักกว่านั้นถึงขั้นล่วงเกินกันในร้านยังมีเลย”
“บ้า”
“แต่นายปรารภนี่ คงจะขอแต่งงานละมั้ง”
“ยัง ยังไม่ถึงขั้นนั้น แค่เกือบๆ”
“แล้วเธอคิดยังไง”
“จะเป็นที่ปรึกษาให้ฉันเหรอ”
“เข็ดรึยังล่ะ” ดวงดาวเย้า
“ไม่ใช่เพราะเธอหรอกดาว ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉันเอง ฉันเป็นคนเลือกทางของฉันเอง”
“งั้นฉันก็ยินดีเป็นแค่คนนั่งฟัง เผื่อเธออยากจะระบาย หรืออยากจะคิดอะไรดังๆ ออกมา”
มุกรินตัดสินใจเอ่ยปากพูดสิ่งที่ตัวเองครุ่นคิด
“พี่รภเป็นคนดี ดีซะจนฉันไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากพี่ชาย”
“ความสุขในชีวิต ไม่ใช่การได้แต่งงานกับคนที่ดีแสนดีเสมอไป”
“เหรอ”
“แต่ถ้าเลวอย่างนายคิมหันต์ ฉันก็ไม่แนะนำ คนเราไม่ควรจะผิดพลาดกับเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“ไม่มีวัน”
“อย่าใจอ่อน อย่ากลับไปหาเขาอีกเป็นอันขาด อย่าลืมว่า เขาเป็นตัวอันตรายสำหรับทุกคนที่เขารัก”
มุกรินพยักหน้าช้าๆ รับคำ
“ส่วนตาปรารภ เธอก็ควรใช้เวลากับตัวเองเยอะๆ จนกว่าเธอจะเปลี่ยนความรู้สึกจากพี่ชายเป็นอย่างอื่นได้ ถึงวันนั้น จะอาศัยเพลงฉันสร้างบรรยากาศอีกครั้ง ก็ได้ ไม่มีใครว่า”
อรรถนอนพลิกตัว แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ไม่มีร่างของพักตรานอนอยู่บนเตียง ท่านนายพลแปลกใจ ค่อยๆ ลุกเดินออกจากห้อง
กลางดึก อรรถ เปิดประตูเดินออกมาจากห้องนอน กวาดสายตามองหาพักตราไปทั่วบ้าน จนถึงมุมระเบียงบ้าน จึงเห็นเงาร่างพักตรานั่งก้มหน้า หันหลังอยู่
บริเวณหัวไหล่และต้นแขนของเธอมีการเคลื่อนไหว อย่างน่าสงสัย
พลโทอรรถค่อยๆ เดินเข้าไปหาลูกสาว
“พักตร์ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะลูก...นอนไม่หลับเหรอ”
“มันไม่สวย...มันไม่ดี คิมไม่ชอบ”
อรรถเดินไปหาใกล้ๆ จนเห็นด้านหน้าของพักตราว่า เธอกำลังใช้มีดกรีดแขนของตัวเอง ด้วยสีหน้านิ่ง ไร้อารมณ์ เลือดสีแดงไหลอาบทั่วท่อนแขน
“พักตร์จะเอามันออก มันน่าเกลียดทั้งนั้น น่าเกลียดทั้งหมด”
อรรถถึงกับสะดุ้ง แต่พยายามควบคุมอารมณ์ เพื่อไม่ให้สถานการณ์บีบคั้นลูกสาวมากขึ้น
“พักตร์ ลูก”
“เอาออกให้หมดเลย คิมจะได้รักพักตร์มากๆ”
“พักตร์ พอก่อนเถอะลูก”
“พ่อช่วยพักตร์นะคะ ตัดมันออกไปเลยค่ะ มันไม่สวย คิมเขาไม่ชอบค่ะพ่อ”
พักตรายื่นแขนและมีดให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อได้จังหวะ เขาจึงดึงมีดออกมาจากมือพักตรา
“ไม่จริงลูก คิมชอบ...คิมเขาชอบทั้งหมดที่เป็นลูก เขารักลูกมากนะ”
“จริงเหรอคะ”
“จริงจ้ะ”
“แล้วเขาอยู่ไหนล่ะคะพ่อ เขาเอาลูกของพักตร์ไปทำไม ทำไมเขาทิ้งพักตร์ให้อยู่คนเดียวล่ะ พ่อ”
พักตราร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา อรรถกอดลูกไว้แน่น น้ำตาไหลพราก
พระอาทิตย์โผล่จากขอบฟ้า หลังเขาใหญ่ไม่นานนัก มีรถตู้คันใหม่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักตากอากาศหลังนี้ หมอประจำตัวพักตราคนเดิมก้าวลงจากรถคันนั้น เดินตรงเข้าไปในบ้าน
พยาบาลกำลังทำแผลที่แขนของพักตรา หมอคนนั้นเดินเข้าไปหาพลโทอรรถ ภายหลังจากตรวจอาการคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“แผลที่กรีดบริเวณแขน ไม่ลึกมาก นั่นเป็นเพราะว่าคุณพักตรา ไม่ได้ตั้งใจลงน้ำหนักมือจนแรง เพื่อให้เกิดการขาด อย่างที่ปากพูด แต่เป็นเรื่องของภาวะทางจิต เธอก็เลยไม่รู้สึกถึงความเจ็บ และอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป”
“แล้วผมจะต้องทำยังไง ถึงจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกครับ”
“ก็ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด”
“ใกล้ชิดมากกว่านี้อีกเหรอครับ”
“หมอคงต้องตอบว่าใช่ เพราะไม่เช่นนั้น ท่านก็ต้องส่งตัวคุณพักตราไปโรงพยาบาลจิตเวช มาตรการการป้องกันอันตรายที่นั่นเข้มงวดแน่นอน แต่ภาวะจิตใจอาจจะถูกกดดันมากขึ้น”
“วิธีนี้จะดีเหรอครับ”
“หมอยังไม่แนะนำครับ หมอคิดว่าถ้าเราสามารถสร้างสภาวะเป็นสุขให้กับเธอสร้างบรรยากาศปกติที่เธอคุ้นเคย ให้อยู่กับคนคุ้นเคย อยู่กับของที่ชอบ สีที่ชอบ กลิ่นที่ชอบและคนที่ชอบ นั่นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
“ผมต้องเป็นคนเลือก”
“หมอประเมินอย่างนั้นครับ”
พลโทอรรถ ครุ่นคิดตรึกตรอง สีหน้าเครียด
ห้องโถงกลางบ้านสวนปรารภ มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นแต่เช้า แป๋วเดินเข้ามายกหูขึ้นรับสาย
“ฮัลโหล มาแล้วค่ะ มาแต่เช้าเลย มาถึงก็นั่งทำงานที่โต๊ะเลยค่ะ”
มุกรินนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเธอ
ปรารภพูดโทรศัพท์ขณะขับรถมาตามทาง
“น้าแป๋ว หาน้ำ หาของว่างให้เธอด้วยนะ บอกว่าอีกแป๊ปนึงผมจะเข้าไป เพิ่งคุยกับลูกค้าเสร็จ”
“ทำไมไม่บอกเองล่ะคะ”
“ฉันไม่อยากให้เขารู้สึกว่าจู้จี้กับเขามากไป”
“ไม่เห็นจะจู้จี้ตรงไหน แป๋วบอกแกให้เอามั้ยคะ”
“ไม่ต้อง ทำตามที่ฉันบอกนั่นแหละ พอแล้ว”
“ค่ะ รู้มั้ยคะ คุณมุกรินนี่ ยิ่งดูยิ่งสวยนะคะ เหมาะกับคุณปรารภจริงๆ เลย”
“ฉันรู้น่า อ้อ ถ้ามีคนแปลกหน้ามา ห้ามเปิดประตูให้เข้าบ้านเด็ดขาดนะ”
“ค่ะ รับรองค่ะ...แป๋วเข็ดแล้วค่ะ”
แป๋ววางโทรศัพท์ลง เธอเดินไปหามุกริน
“คุณมุกคะ น้าไปปากซอยแป๊บนึงนะคะ จะไปซื้อขนมปลากริมไข่เต่ามาให้คุณมุก อร่อยมากเลยนะคะ...คุณปรารภแกฝากให้ดูแลคุณมุกให้ดีน่ะค่ะ”
“ขอบคุณจ้ะ”
“เอากาแฟ มั้ยคะ”
“มุกชงเองได้จ้ะป้า”
“คุณมุกนี่...ดูไปดูมา หน้าตาคล้ายคุณปรารภนะคะ”
มุกรินยิ้มให้แป๋ว แม่บ้านคราวน้ายิ้มมากกว่า แล้วจึงเดินออกจากบ้านไป
อ่านต่อหน้า 3
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
ที่บริเวณครัวหลังบ้าน มุกริน รินน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟอยู่ในนั้น แล้วจึงพลิกตัวเดินกลับไปที่โต๊ะในห้องโถง พบว่าชุมสายนั่งรออยู่กลางห้องนั้น มุกรินมองหน้าชุมสายนิ่งๆ
“ประตูบ้านเปิดอยู่ ผมก็เลยเดินเข้ามา เพราะเชื่อว่าบริษัทรับจัดงานอีเว้นท์น่าจะเปิดรับลูกค้า walk in ด้วยใช่มั้ยครับ”
“นี่มันเหตุผลแบบเดียวกับเพื่อนคุณเลยนะคะ ฉันว่า คุณคงรอจนไม่มีคนอยู่ในบ้าน แล้วค่อยเดินเข้ามาต่างหาก”
“เพื่อให้การสนทนาสะดวก ผมก็อาจจะทำอย่างนั้น”
“แต่ฉันไม่คิดว่า ยังมีอะไรต้องพูดกับคุณอีก”
“งั้นคุณไม่ต้องพูดก็ได้ครับ ผมพูดเอง คุณรอรับของอย่างเดียวพอ”
“ของ” มุกรินฉงน
ชุมสายยื่นซองสีน้ำตาลให้มุกริน
“ของคราวที่แล้ว ฉันยังทิ้งไม่หมด คุณเอาของใหม่มาให้ฉันอีกเหรอ”
“แค่กระดาษแผ่นเดียว ถ้าจะทิ้งก็คงไม่อยาก แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ทิ้งเด็ดขาด เพราะมันคือโฉนดบ้านของคุณ”
ชุมสายดึงโฉนดออกมาจากซองนั้น ชูให้มุกรินดู
มุกรินยังคงอยู่ในอาการนิ่ง ก่อนเอ่ยปากพูด
“ฉันไม่รับ พอกันทีกับการหยิบยื่นสิ่งของมีค่าเหล่านี้ให้ฉัน เพื่อให้ฉันรู้สึกดีกับเขา คุณเอาไปคืนเขาเถอะ”
ชุมสายหนักใจ “ผมมีหน้าที่แค่ส่งของ ไม่มีหน้าที่รับของคืน”
“งั้นก็ฉีกมันทิ้งซะ หรือเผาทิ้งเลยก็ได้”
ชุมสายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มโทร.ออก
“งั้นคุณมุกช่วยพูดกับมันเองก็แล้วกัน”
“ช่วยใครคะ ฉันต้องช่วยใครเหรอ ช่วยคุณ ฉันไม่ได้สนิทกับคุณมากขนาดนั้นและก็ไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณอะไรกับคุณด้วย หรือช่วยเพื่อนคุณ นั่นยิ่งไม่มีความจำเป็นเข้าไปใหญ่”
“ช่วยให้พวกเราทุกคนผ่านปัญหาทั้งหมดนี้ไปได้ด้วยดี”
“ดีของเขากับดีของฉันมันคนละเรื่องกัน”
“งั้นผมขอถามตรงๆ ในฐานะที่ผมเห็นคุณมาตั้งแต่วันที่คุณรักกับเจ้าคิม คุณไม่เหลือความรักให้มันเลย จริงๆเหรอครับ คุณคิดยังไง คุณบอกผมตามตรงได้มั้ยครับ เผื่อว่าผมจะได้ค่อยๆ หาทางปลอบมัน ไม่ให้มันช้ำใจตาย ไปซะก่อน”
“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอคะ”
“ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกมัน แค่ให้ผมรู้ความจริงเท่านั้น”
มุกรินคว้าโทรศัพท์จากมือของชุมสายมาดู แล้วจึงตัดสินใจเดินออกจากบ้านทันที ชุมสายรีบตามไปติดๆ
มุกรินที่ก้าวพรวดๆ ออกมาหน้าบ้านสวน โดยมีชุมสายเดินตามมาใกล้ๆ
“ฉันพูดกับตัวเขาเลยดีกว่า”
“คุณมุกครับ” ชุมสายทักท้วง
“ไม่จำเป็นต้องพูดผ่านคุณให้มันยุ่งยากหรอก แน่จริงมาฟังต่อหน้าต่อตากันเลยแล้วกัน”
มุกรินเปิดประตูบ้านเดินตรงไปที่รถชุมสาย ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากประตูรั้ว ประตูรถชุมสายถูกเปิดออก เผยให้เห็นว่าคิมหันต์นั่งถือโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“เก่งจังที่รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้”
“คนอย่างคุณ ไม่ได้ดูยากอีกต่อไปแล้ว คิมหันต์”
“เพราะผมจริงใจกับคุณไงมุก” คิมหันต์บอก
“ฉันไม่โง่ซ้ำๆ ซากๆ หรอก คิมหันต์ เลิกวางแผนกับฉันซะทีเถอะ แล้วไปให้พ้นจากชีวิตฉันได้แล้ว จะต้องให้ฉันไล่คุณอีกกี่ครั้ง ถึงจะเชื่อว่า ฉันรังเกียจคุณ”
มุกรินปาโทรศัพท์ใส่หน้าคิมหันต์แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน คิมหันต์ลงจากรถเดินตามไปโดยเร็ว
“แค่ครั้งเดียวผมก็เชื่อแล้ว แต่คุณต้องเชื่อใจตัวเองก่อนว่าคุณไม่ต้องการผมจริงๆ หรือคุณไล่ผมเพราะอารมณ์ชั่ววูบกันแน่”
“ชั่ววูบ ทั้งหมดที่คุณทำกับฉัน ฉันควรจะโกรธแค่ชั่ววูบเท่านั้นเหรอ” มุกรินย้อน
“คุณไม่นึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่ผมทำกับคุณ ในวันที่ผ่านมาบ้างเหรอ”
“เรื่องราวดีๆ พวกนั้น มันก็แค่หนึ่งในแผนการที่คุณหลอกลวงฉันเท่านั้น”
มุกหันไปคว้าโฉนดบ้านในมือของชุมสาย ปาใส่หน้าคิมหันต์
“นี่ไง เรื่องราวดีๆ โฉนดบ้านพ่อบ้านแม่ของฉัน ที่คุณยึดไป แล้วทำเป็นใจดีเอามาคืนฉันเพื่อให้ฉันประทับใจ”
มุกรินเปิดรถของเธอ หยิบของในรถออกมาขว้างใส่คิมหันต์ ทีละชิ้น
“นี่ไง รูปงานแต่งงานจอมปลอมที่คุณหลอกล่อฉัน แหวนเอ็นเบ็ด ความประทับใจที่หาไม่ได้ งานแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน แหวนเงินที่มาพร้อมกับถาดอาหารเช้า ทั้งหมดนี่มันคือเรื่องจอมปลอม มันคือการหลอกลวงทั้งนั้น ฉันเคยคิดว่าห้าปีกับผู้ชายคนนึง จะทำให้ฉันรู้จักทั้งชีวิตของเขาได้ แต่ เปล่าเลย มันก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของผู้ชาย ที่ฉันไม่ควรเฉียดเข้าไปใกล้ต่างหาก”
คิมหันต์นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากอย่างจริงใจ
“ผมรู้ว่าผมทำให้คุณผิดหวัง ผมรู้ว่าผมไม่อยู่ในความทรงจำที่ดีของคุณอีกแล้ว แต่ผมขอโอกาสเริ่มใหม่ได้มั้ย แค่เห็นผมเป็นคนที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน คนที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ และกำลังจะเริ่มทำความรู้จักกับคุณใหม่ ได้มั้ย”
ยังไม่มีคำตอบจากปากของมุกริน
“ค่อยๆ ดูผม ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากอยู่เฉยๆ ให้คุณพิจารณาผม ทั้งหมดที่ผมทำผิดไปผมสำนึกแล้วนะ มุก”
มุกรินจ้องมองหน้าคิมหันต์ นิ่ง
“คนผิดกลับใจ สังคมยังให้อภัยได้นะ มุก ผมขอโอกาสอย่างนั้นจากคุณได้มั้ย อย่าเพิ่งตัดผมออกไป จากการเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่พร้อมจะให้คุณเลือกอีกครั้ง ได้โปรด”
รถปรารภแล่นผ่านหน้าพวกเขา เข้ามาจอดในบ้าน คิมหันต์มองไปที่ปรารภ
“ให้ผมเป็นตัวเลือกที่สองรองจากเขาก็ได้ แต่อย่าเพิ่งตัดผมออกจากชีวิตคุณได้มั้ย”
“เสียใจค่ะ ฉันเลือกแล้ว”
คิมหันต์ชะงัก “เลือกแล้ว”
ปรารภก้าวลงจากรถ มองมาที่คิมหันต์ หน้าตาไม่ดีนัก มุกรินเดินไปหาปรารภ
“พี่รภคะ”
“มุก...”
มุกรินเอ่ยปากเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนได้ยินพร้อมๆกัน
“ถ้าพี่รภคิดจะขออะไรมุก คำตอบคือ ตกลงค่ะ”
ปรารภถึงกับสะดุ้ง
“มุก...พี่”
คิมหันต์พยายามทัดทาน “คุณกำลังตัดสินใจผิดนะ มุก”
“มุกยินดีจะแต่งงานกับพี่รภ เร็วที่สุดค่ะ”
มุกรินยังยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มปรารภแนบแน่น แล้วจึงเดินเข้าบ้านไป
คิมหันต์ยืนซึม เพลงอกหัก รักคุด ดังกังวานขึ้นในหัวเขาเป็นแน่
มุกรินขยับตัวลงนั่งนิ่ง ที่โต๊ะทำงานของเธอ แม้จะพยายามสะกดใจให้นิ่ง แต่ก็พอจะเห็นริ้วรอย ความปวดร้าว ชอกช้ำ และเสียใจ ที่ก่อตัวและเกิดขึ้นในใจเธอไม่น้อย
ส่วนในรถชุมสาย ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านปรารภ คิมหันต์ขยับตัวลงนั่งในรถหน้าเครียดจัด ชุมสายหย่อนตัวลงนั่งฝั่งคนขับ สักพักจึงเอ่ยปากถามเพื่อน
“จะไปไหนต่อ”
“ไม่รู้ว่ะ”
ฝ่ายปรารภเดินเข้ามานั่งข้างๆมุกริน เขาเอ่ยปากพูดอย่างสุภาพ และ นุ่มนวล
“ถ้าสิ่งที่มุกพูดเมื่อซักครู่ เป็นเพราะอารมณ์โกรธนายคิมหันต์ พี่ก็เข้าใจได้นะ และจะไม่ถือเป็นการรับปากหรือตกลงอะไรทั้งนั้น เอาไว้ค่อยๆ ตัดสินใจใหม่ เมื่อมีสติ และไม่มีอารมณ์อื่นใดมากวนหัวใจ จะดีกว่ามั้ย”
“พี่รภคะ มุกตัดสินใจแล้วค่ะ พี่รภคือผู้ชายที่ดีที่สุดที่มุกอยากจะใช้ชีวิตด้วย นอกจากว่า พี่รภจะเห็นว่ามุกไม่ดีพอ”
“มุกก็รู้ว่าพี่คิดยังไงกับมุก เพียงแต่ว่า พี่ตั้งใจจะคุกเข่า กล่าวคำขอแต่งงานซึ้งๆ ในที่สวยๆ”
“ไม่จำเป็นค่ะ นั่นมันคือการสร้างภาพ มุกเบื่อภาพปลอมๆแบบนั้น มุกขออยู่กับความเป็นจริงดีกว่าค่ะ”
ปรารภตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก
“พี่...”
“มุกขอทำงานก่อนนะคะ...เดี๋ยวพี่รภจะส่งงานลูกค้าไม่ทัน”
มุกรินขยับตัวทำงานต่อ ทิ้งให้ปรารภมีความสุข แบบตั้งตัวไม่ทัน อยู่เพียงลำพัง
ในรถชุมสายเวลานี้ คิมหันต์ยังคงนั่งเหงาหงอยอยู่ในรถคันนั้น โดยมีชุมสายเป็นผู้ขับมาตามทาง อย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก
เสียงโทรศัพท์มือถือดังลั่นห้องโถงบ้านธาดา ดวงดาวยืนกอดอกจ้องโทรศัพท์นิ่ง
หน้าจอโทรศัพท์ ปรากฏชื่อสายโทร.เข้าว่า...” ผู้ชายเลวๆ”
ดวงดาวไม่มีความคิดจะกดปุ่มรับสายแต่อย่างใด กระทั่งเสียงสัญญาณตัดไป มีเสียงฝากข้อความดังเข้ามา
“ผมรู้ว่าคุณรังเกียจผม ไม่ต้องการพูดกับผม ไม่ต้องการเจอหน้าผม”
รถคิมหันต์จอดอยู่หน้าบ้านธาดานานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ เสียงคิมหันต์ดังขึ้น
“แต่ถ้าคุณมีโอกาสเปิดโทรศัพท์ฟังข้อความนี้ คุณก็จะได้ยินเสียงผม เสียงที่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง เสียงที่จะบอกให้คุณรู้ว่า ผมไม่เหลืออะไรแล้ว...”
คิมหันต์นั่งเอนหลังในรถคันนี้ เขากำลังพูดข้อความเหล่านั้นใส่โทรศัพท์มือถือของเขา สีหน้าและแววตา สะท้อนอารมณ์ของคนสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต
“ผมไม่มีใครอีกต่อไปแล้ว ผมมาถึงทางตันของชีวิตแล้ว มันก็คงสาสมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำไป...แค่จะขอโทษ ยังไม่มีใครยอมรับฟังเลย ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยดีต่อผมนะดวงดาว คุณคือหนึ่งในความทรงจำที่ดีงามของผม ในฐานะเพื่อน หนึ่งในเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่ผมมี”
ระหว่างนี้ ดวงดาวเดินถือโทรศัพท์ ตรงมาที่ประตูรั้ว
“ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมไม่เคยคิดอะไรที่ไม่ดีกับคุณเลย แม้แต่ครั้งเดียว เสียใจที่มีส่วนทำให้ชีวิตคุณต้องล้มเหลว หากคุณได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานของมุกรินกับปรารภ ฝากอวยพรเขาแทนผมด้วยนะ ดวงดาว”
ดวงดาว ยืนพิงรั้ว หันหลังให้รถของคิมหันต์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน นักร้องเสียงแหบเสน่ห์เปล่งเสียงดังชัดเจน เพื่อให้คนในรถได้ยิน
“ไม่ว่าคุณจะส่งข้อความอะไรมาถึงฉัน ฉันบอกได้เลยว่าฉันไม่ฟัง ฉันจะลบมันทิ้งทั้งหมด”
คิมหันต์ ชะงักเมื่อได้ยินเสียงนี้ ดวงดาวยังคงพูดต่อไป
“ส่วนคำอวยพรที่นายฝากมา คงไม่มีใครต้องการ ประโยคเดียวที่ฉันจะพูดถึงคนอย่างนายก็คือ ไอ้คนเลว นายมันเลวอย่างไม่มีข้อสงสัย”
ดวงดาวเดินกลับเข้าไปในบ้านทันทีที่พูดจบ คิมหันต์นั่งซึม หมดสภาพ เขาตัดสินใจกดหมายเลขใหม่ลงบนโทรศัพท์มือถือ แล้วจึงยกขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล ผมขอคุยกับท่านได้มั้ยครับ”
ถัดมาไม่นานนัก รถคิมหันต์แล่นตรงเข้าไปในบ้านพักตรา มีพลโทอรรถยืนขวางอยู่กลางถนนก่อนถึงคฤหาสน์โอฬาร รถคันนี้จึงต้องจอดหยุดอยู่แค่ตรงนั้น คิมหันต์ก้าวลงจากรถ เดินไปยืนเบื้องหน้านายพลพ่อตา อรรถ เอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชา
“มีอะไรคุยกับฉันก็ว่ามา”
“ท่านไม่ให้ผมเข้าบ้านเหรอครับ”
“นายเคยอยากเข้าบ้านหลังนี้ด้วยเหรอ”
คิมหันต์นิ่งไปชั่วครู่ จึงเอ่ยปาก
“พักตราเป็นยังไงบ้าง”
“พักตราไม่อยู่”
“เขาดีขึ้นรึยังครับ”
“นายไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเกี่ยวกับพักตราอีกแล้ว”
ท่าทีของอรรถ ทำให้คิมหันต์พูดอะไรไม่ออก เขาพึมพำตามความรู้สึกของตนออกมาอย่างยากลำบาก
“พักตร์...เขา...”
“เขายังไม่ตาย”
“รู้สึกตัวรึยังครับ...”
อรรถไม่ตอบ
“ฝากบอกลูกสาวท่านด้วยว่า...ผมขอโทษ...”
“นายคงตระเวนขอโทษทุกคนที่นายทำอะไรๆ กับเขาไว้ใช่มั้ย กลัวบาปกรรมละซี ไม่ทันแล้วละ กรรมก็คือกรรม ทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นนั้น พักตรากำลังใช้กรรมของเขา เมื่อหมดกรรมแล้วก็จะเหมือนคนเกิดใหม่ในไม่ช้านี้แหละ ส่วนนาย นายมันคนใกล้ตายชัดๆ”
คิมหันต์ก้มหน้ารับคำนิ่งๆ
“ก่อนผมตาย ท่านจะไม่ไถ่บาปของท่านในส่วนที่ทำไว้กับผม บ้างเหรอครับ”
อรรถจ้องมองคิมหันต์ รอฟังต่อ
“แค่ให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ขอผมได้พบกับพักตรา ผมอยากขอโทษเธอด้วยตัวผมเอง ต่อหน้าเธอ ถ้าโชคดี อาจจะทำให้อาการของพักตราดีขึ้น ก็ถือเป็นบุญสำหรับท่านด้วยนะครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือไม่ ท่านก็ไม่เสียอะไร ไม่น่าลองเหรอครับ และหลังจากนั้นผมจะไม่อยู่ให้ท่านเห็นหน้าอีกเลยก็ได้ ถ้าท่านต้องการอย่างนั้น”
อรรถ ใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
“หรือท่านอยากจะชกหน้าผมอีกสักกี่ทีก่อนจะอนุญาต ผมก็ยอม”
ในเวลาตอนเช้าตรู่ รถตู้สองคันแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักตากอากาศหลังงามริมชายป่า ทิวทัศน์เขียวขจี
อรรถและคิมหันต์ก้าวลงจากรถตู้คนละคัน อรรถเดินเข้าไปจับไหล่คิมหันต์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ลูกสาวฉันอาจจะไม่เหมือนเดิมที่เธอเคยรู้จัก เขาอาจจะมีท่าทีที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งถ้าพักตรามีอาการแบบนั้นเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงดึงตัวนายออกมาจากลูกสาวฉันทันที และนายจะไม่ได้สิทธิ์ในการเรียกร้องอะไรจากฉันอีกแล้ว”
“ผมเข้าใจครับ”
อรรถเดินนำคิมหันต์เข้าไปภายในบ้าน
สองคนเดินไปหาพักตรา ที่นั่งเหม่ออยู่ริมระเบียงสวย อรรถหยุดยืนอยู่ห่างๆ เพื่อเฝ้าจับจ้องดูท่าทีของคนทั้งสอง
คิมหันต์ค่อยๆ เดินไปยืนเบื้องหน้าของพักตราเงียบๆ พักตราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองคิมหันต์ น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย โดยไม่เอ่ยปากอะไร คิมหันต์คุกเข่าลงตรงหน้าเธอฃ
“พักตร์ ผม ขอโทษ”
พักตราตอบรับด้วยการ สวมกอดคิมหันต์เต็มรักเต็มคิดถึง
เพียงเท่านี้ พลโทอรรถถึงกับน้ำตาไหล
ข้าวผัดจานใหญ่ ควันฉุย ถูกวางลงเบื้องหน้ามุกริน โดยฝีมือดวงดาวที่ขยับตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยปากชวนคุย พร้อมตักข้าวกิน
“เช้านี้ไม่มีอาหารจากหนุ่มใหญ่ ก็ต้องทนกินฝีมือฉันไปก่อนนะ”
“พรุ่งนี้เธอกินฝีมือฉันบ้างก็ได้ จะได้ไม่น้อยหน้ากัน”
“นึกว่าจะได้กินอาหารแพงๆ ส่งถึงที่ อีกซักเดือนนึง นี่ยังไม่ถึงสองอาทิตย์เลย หายจ้อยซะแล้ว”
“พี่รภ เขาติดธุระ เขาบอกก่อนแล้วไง”
“มีธุระอื่นสำคัญกว่าการเอาใจคุณมุกรินอีกเหรอ” ดวงดาวเย้า
“เขานัดคุยกับทีมจัดงานแต่งงาน”
“อ๋อเหรอ...แล้วเธอ”
“เขาอยากเซอร์ไพร้ส์ฉัน เขาไม่ยอมให้ฉันรู้ก่อนว่างานจะเป็นยังไง”
ดวงดาวพยักหน้ารับรู้ ทั้งคู่จึงนั่งกินข้าวกันต่อไปอย่างเงียบๆ สักพักดวงดาวจึงเอ่ยปากถาม
“ดูเธอไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะ”
“ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะดาว ผ่านอะไรๆ มาขนาดนี้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำทำไม”
“ทำอะไร”
“แต่งงาน”
มุกรินจ้องดวงดาวนิ่งๆ
“ถ้าไม่มีอะไรตื่นเต้น ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวัน เราจะทำไอ้สิ่งที่ไม่ตื่นเต้นนั้นทำไม นั่นเท่ากับว่ามันเป็นส่วนที่เกินไปจากความต้องการของชีวิตเราแล้วนะ”
“แต่พี่รภน่าจะดีที่สุดสำหรับฉัน”
ดวงดาวแย้ง “รู้ได้ยังไงว่าดีที่สุด”
มุกรินนิ่ง ไม่มีคำตอบให้
“ฉันยอมรับได้ว่านายปรารภเป็นคนดี แต่ไม่ใช่ว่าเห็นใครดีแล้วเราต้องรีบแต่งงานกับเขานะ”
มุกรินถอนใจออกมาเบาบาง
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอกลับไปคืนดีกับคิมหันต์หรอกนะ แต่การที่เราเกลียดใครซักคน ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้อง แต่งงานกับคนอื่นอีกคน เพื่อให้คนที่เราเกลียดนั้นเสียใจ เพราะทำอย่างนั้นความเสียใจก็จะตกอยู่กับเรา...เหมือนที่นายคิมหันต์ทำกับพักตรา”
มุกรินครุ่นคิดตามก่อนเอ่ยปาก
“วันนี้เขานัดมารับฉันไปเลือกชุดแล้ว”
“คิดให้ดีก็แล้วกัน คิดเท่าที่ยังมีเวลาให้คิด ฉันอาจจะเด็กกว่าเธอก็จริง แต่ถ้าเธอยังเชื่อใจฉัน เชื่อประสบการณ์ของฉันอยู่ ขอให้รู้นะว่า การตัดสินใจอะไรง่ายๆ เร็วๆ และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล มีโอกาสสูง ที่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด”
มุกรินนั่งนิ่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
อ่านต่อหน้า 4
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 15 (ต่อ)
คิมหันต์ และ พักตรานั่งอิงกัน อยู่ตรงบริเวณเนินดินสวย ของบ้านพักหลังนี้ สายตาของคนทั้งคู่ทอดยาวไปไกล
“คิม เราแต่งงานกันนานแค่ไหนแล้วนะ”
“เดือนที่แล้ว”
“ทำไมพักตร์จำไม่ได้เลยล่ะ มันเหมือนนานมากเลย เราจัดงานกันที่ไหนเหรอ”
“ที่ ห้องจัดเลี้ยง ตรัยยา”
“ใส่เสื้อผ้ายังไง”
“ผมใส่สูทผ้าไหมสีเทา พ่อคุณเป็นคนจัดให้ ส่วนคุณใส่ ชุดเจ้าสาว สีขาวทั้งชุด”
“คิมเก่งจัง จำได้หมดทุกอย่าง คิมต้องรักพักตร์มากแน่ๆ เลยใช่มั้ยคะ”
ไม่มีคำตอบจากปากคิมหันต์
มีสายตาคู่หนึ่งมองทั้งสองคนจากในตัวบ้าน เป็นพลโทอรรถเดินเข้ามายืนดูภาพนี้อยู่ไกลๆ ด้วยแววตาอ่อนโยน
พักตราเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“เราไปฮันนีมูนกันที่ไหนเหรอคิม”
“เรา...ยังไม่ได้ฮันนีมูนกันเลย”
พักตราขยับกายชันตัวขึ้น อย่างกระตือรือร้น
“งั้นเรารีบไปกันดีกว่า เผื่อกลับมาลูกเราจะได้มีน้องอีกคน ดีมั้ยคิม”
คิมหันต์ ยิ้มเงียบๆ
“ลูกล่ะ ลูกอยู่ไหน”
“เอ้อ...”
“สงสัยพ่อจะอุ้มไปเดินเล่น คิมไปดูลูกหน่อยนะ เผื่อลูกจะหิว”
“ครับ”
“คิม...อย่าลืมตั้งชื่อให้ลูกด้วยนะ...พักตร์นอนก่อนละ ง่วงจังเลย”
คิมหันต์ลุกขึ้นเดินแยกออกมา พยาบาลพิเศษที่อยู่ไม่ไกล เดินเข้าไปคอยดูแลพักตราต่อจากเขาทันที
สองคนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง ในบ้านพัก พลโทอรรถนั่งอยู่เบื้องหน้าคิมหันต์
“เห็นแล้วใช่มั้ยว่าพักตราเป็นยังไง”
“ครับ”
“ฉันจะให้รถตู้ไปส่งเธอที่กรุงเทพฯ ถือว่าเราหมดเวรหมดกรรมกันแค่นี้นะ หลังจากนี้ ก็ทางใครทางมัน แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคน”
“ผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ครับ”
“ทำอะไร”
“ผมเชื่อว่า อาการของพักตราน่าจะดีขึ้น ถ้าผมยังอยู่ที่นี่”
“รู้ได้ยังไง...ใครบอกเธอ”
“ความรู้สึกครับ มันอาจจะเป็นความรู้สึกของผม ที่อธิบายไม่ได้ แต่ท่านก็น่าเสี่ยงนะครับ เพื่อพักตรา ท่านไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้แล้วนะครับ”
“เธอจะเสี่ยงกับลูกสาวฉันทำไม ต้องการแลกกับอะไรเหรอ”
คิมหันต์ส่ายหน้า
“ผมอยากมีส่วนรับผิดชอบให้มากกว่านี้”
“ถ้าพักตราหายดีขึ้นแล้ว เธอจะต้องไปรับผิดชอบคนอื่นอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีใครต้องการผมอีกแล้วครับ”
“ลูกสาวฉันคือทางเลือกสุดท้ายของเธอ”
“เปล่าครับ ผมคือทางเลือกเดียวของท่านต่างหาก”
ที่ห้องเสื้อผู้มีเจ้าของเป็นดีไซเนอร์ผู้โด่งดังด้านชุดแต่งงาน โชว์รูมของร้านตั้งอยู่ในโรงแรมหรู
มุกรินก้าวออกมาในชุดเจ้าสาว แสนสวย เธอยืนลองชุดอยู่หน้ากระจกกลางห้องรับรองพิเศษ มีฝ่ายดูแลเสื้อผ้า สองคนคอยอำนวยความสะดวกอย่างใกล้ชิด ปรารภยืนยิ้ม จับตามองด้วยความภาคภูมิใจ
ส่วนอีกฟาก ที่บ้านพักชายป่าหลังงาม คิมหันต์มุ่งมั่นในภารกิจ ปรนนิบัติเอาใจใส่พักตรา ทั้งสองประคองกันเดินไปบนทางเดินสวยเชิงเขา
เมื่อได้เวลา คิมหันต์ป้อนข้าวพักตรา หลังอิ่มแล้ว สองคนเต้นรำกันใต้ต้นไม้ใหญ่ พักตราหัวเราะร่าเริงแจ่มใส
บนโซฟาสวยภายในล็อบบี้โรงแรมที่เดิม ปรารภและมุกรินนั่งอยู่ที่นั่น ปรารภชวนคุยอย่างสนุกสนาน ถึงเรื่องงานแต่งงาน เขาหยิบตัวอย่างการ์ดเชิญ และของชำร่วย ชูให้มุกรินดู สาวเจ้ายิ้มสดชื่น แจ่มใส ตามสมควร
ภายในมุมสวยของบ้านพักตากอากาศ พักตรานอนหนุนอยู่บนบนตักของคิมหันต์ ซึ่งเปิดหนังสือเกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติ อ่านให้เธอฟัง
อรรถเดินเข้ามาหยุดดูไม่ไกลจากสองคน จดตามองลูกสาวด้วยความพอใจไม่น้อย ไม่นานพักตราก็หลับสนิทบนตักคิมหันต์ ที่เอาแต่เหม่อลอยมองออกไปไกล ครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตนเอง
ฝ่ายมุกรินอยู่ในอาการไม่ต่างกับคิมหันต์ เธอนั่งเหม่อลอย คิดถึงเรื่องราวเก่าๆมากมาย บรรยากาศช่าง เหงา เศร้า ยิ่งนัก ดวงดาว เดินเข้ามาหยุดยืนมองอยู่ไกลๆ
ส่วนที่บ้านพักชายป่า คืนเดียวกัน คิมหันต์นั่งดูภาพเก่าๆ ระหว่างเขาและมุกริน ในกล้องถ่ายรูปของเขา แล้วค่อยๆ กดลบภาพเหล่านั้นทีละภาพ
พักตรา คอยเหลือบตามองดูอาการของคิมหันต์อยู่เงียบๆ
เช้านี้ภาพถ่ายชุดแต่งงานถูกวางลงบนโต๊ะในห้องโถงกลางบ้าน ดวงดาวก้มมองดูภาพเหล่านั้น โดยมีมุกรินยืนอยู่ข้างๆ
“โอ้โฮ นี่แค่ลองชุดนะเนี่ยะ ถ่ายรูปออกมายังกับงานแต่งงานจริงๆ เลย สงสัยวันแต่งจริงคงบึ้ม จนขนลุก มีหวังเป็นข่าวดังไปทั้งเมืองแน่ นี่เขาปิดเธอจนมิด ไม่ให้รู้เลยใช่มั้ยว่างานจะเป็นยังไง”
“อืม”
ดวงดาวหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู
“แล้วนี่รูปอะไรเนี่ยะ คุกเข่าขอความรักกันเหรอ”
“ใช่ เขาขอฉันแต่งงาน”
ดวงดาวตกใจใช่ย่อย “ห๊า เพิ่งจะขอ”
“เขาบอกว่า ฉันเป็นคนตกลงแต่งงานกับเขาโดยที่เขายังไม่ได้ขอ เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เขาก็เลยพาฉันไปริมน้ำ อยู่ๆ ก็มีวงดนตรีโผล่มาบรรเลงเพลง แล้วเขาก็คุกเข่าขอฉันแต่งงานอย่างที่เห็นนั่นหละ”
ดวงดาวนึกหมั่นไส้ “โอ้โฮ จอมสร้างภาพอีกคนแล้ว”
มุกรินขยับตัวไปนั่ง นิ่งๆ
“ฉันไม่ได้ว่าเขาไม่ดีหรอกนะ มันเป็นอาชีพของเขานี่ แต่ก็ขอให้ภาพที่เขาสร้างขึ้นครั้งนี้ จะทำให้เธอมีความสุขจริงๆ สมกับที่เธอเอาชีวิตลงไปเสี่ยงด้วย”
“เธอไม่เห็นด้วยที่ฉันแต่งงานใช่มั้ย”
“ฉันไม่อยากให้ความเห็นของฉันไปกระทบการตัดสินใจของเธอ แต่ถ้าเธอถาม คำตอบก็คือ ใช่”
ดวงดาวเดินไปนั่งข้างๆ มุกริน
“โลกนี้ไม่ได้มีผู้ชายแค่สองคนนะ ไม่คิมหันต์ ก็ ปรารภ แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ หรือถ้าโลกนี้จะไม่มีผู้ชายเลยซักคน เธอจะตายมั้ย ก็ไม่ แต่ถ้าในระหว่างชีวิตของเรา เราต้องทำอะไรที่มันไม่ใช่ความต้องการจากหัวใจของเราจริงๆ ฉันว่า นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความทุกข์”
คำพูดของเธอทำให้มุกรินใช้ความคิดมากยิ่งขึ้น
“รีบๆ ลืมคิมหันต์ให้สนิทใจก่อนเถอะ แล้วค่อยฟูมฟักรักครั้งใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ฉันว่าตาปรารภยินดีรอ”
“ฉันมีเวลาอีกเดือนนึง ก่อนงานแต่งงาน”
“เธอว่าพอมั้ยล่ะ”
มุกรินถอนใจเบาๆ
“ถ้าฉันปฏิเสธพี่รภตอนนี้ เขาคงเสียหน้าแย่”
“เสียหน้า กับ เสียใจ อันไหนหนักกว่ากัน”
โทรศัพท์มือถือคิมหันต์มีสัญญาณเรียกเข้า เขาหยิบมันขึ้นมากดปุ่มรับสาย แล้วเดินพูดไปตามทางเดินข้างบ้านพัก
“ฮัลโหล...ว่าไงเพื่อน”
“คุยได้มั้ยเพื่อน”
“ได้สิ ฉันไม่มีธุระอะไรให้ทำอีกแล้ว”
ชุมสายโทร.หาคิมหันต์ และนั่งพูดโทรศัพท์ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“คนมีสตางค์ก็พูดได้นะ งานการไม่ต้องทำ อยู่ใช้เงินไปวันๆ”
คิมหันต์ยังคงเดินพูดโทรศัพท์อยู่
“พร้อมๆ กับใช้กรรมไปด้วย”
“เกือบหมดรึยังล่ะ”
“อะไร”
“กรรมที่กำลังใช้อยู่น่ะ เกือบหมดรึยัง”
คิมหันต์หยุดเดินตรงโต๊ะสนามมุมสบาย พูดโทรศัพท์กับชุมสายต่อ
“ใครจะไปรู้วะ”
“ก็ดูที่ใจสิ ใจสบายใจรึยังล่ะ มีความสุขขึ้นมาบ้างรึเปล่า”
“ก็ดีขึ้นมาหน่อย”
“งั้นลองฟังเรื่องนี้เล่นๆ มั้ย จะได้วัดใจตัวเองดูด้วยว่า แกตัดสินใจถูกแล้วรึเปล่า”
“เรื่องอะไรวะ”
“แกคงไม่ได้เข้าไปดูเรื่องราวในโลกออนไลน์บ้างเลยใช่มั้ย”
“อืม ฉันเบื่อข่าวคราวพวกนั้น”
“นายปรารภโพสต์รูปสวยๆ หลายรูป มีคนเข้าไปกดไลค์กันเยอะเลย มันเป็นรูปถ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว สุดแสนโรแมนติก”
คิมหันต์อึ้งไปชั่วครู่
“เขาแต่งงานกันแล้วเหรอ”
“ยัง แค่ลองชุด งานแต่งก็คงเร็วๆ นี้แหละ ประมาณเดือนหน้า”
“แกบอกฉันทำไม เขาฝากแกมาหยามฉันเหรอ”
“เปล่า...แต่เพราะแกเป็นเพื่อนฉัน”
คิมหันต์หย่อนตัวลงนั่งนิ่ง โทรศัพท์ยังแนบหูเขาอยู่
“ฉันรู้ว่า แกยังมีอะไรค้างคาใจอยู่อีกเยอะ โอกาสสุดท้ายของแกเหลืออีกไม่มากแล้วนะ เพื่อน”
ชุมสายนิ่งไปชั่วครู่ “แต่ถ้าแกทำใจได้แล้ว ปล่อยวางไปแล้ว ฉันก็ดีใจด้วย แต่ถ้าแกอยากจะชำระล้างสิ่งที่ติดค้างนั้นออกให้หมด หรืออยากจะวัดดวงอีกสักครั้ง ก็บอกมา มีอะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันยินดี เหมือนที่ผ่านมาเสมอ”
“ขอบใจมากชุมสาย”
“ชาติหน้าแกต้องเกิดมาเป็นขี้ข้าฉันบ้างนะไอ้คิม”
ชุมสายวางสายไปก่อน
คิมหันต์กดปุ่มเลิกการสนทนา เขาครุ่นคิดอะไรหลายอย่างในใจ จนพยาบาลพิเศษคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา
“คุณคิมหันต์คะ ท่านเชิญทานข้าวค่ะ”
อรรถเดินเข้ามานั่งเด่นเป็นสง่าที่หัวโต๊ะอาหารบ้านพัก ซึ่งคิมหันต์ยืนรออยู่ข้างโต๊ะ
“นั่งสิ”
คิมหันต์ขยับตัวลงนั่งแต่โดยดี
“มีธุระสำคัญอะไรที่ยังทำไม่เสร็จหรือเปล่า ฉันเห็นเธอเดินพูดโทรศัพท์หน้าตาเครียดเชียว”
“ท่านยังจับตาดูผมอยู่ทุกเวลา”
“เพราะเธอเลือกอย่างนั้น”
คิมหันต์ขมวดคิ้ว รอฟัง
“ที่จริง ฉันตัดเธอออกไปจากวงจรชีวิตของฉัน ตั้งแต่คืนที่ฉันชกหน้าเธอในรถแล้ว แต่เธอเองเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยบำบัดพักตรา ก็เท่ากับว่าเธอเสนอตัวมาเป็นลูกชายฉันเหมือนเดิม และจะให้ฉันมีท่าทีที่ต่างไปจากเดิมได้อย่างไร”
“ครับ”
“ฉันมีข่าวดีของครอบครัวเรามาบอกเธอ อาการของพักตราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันได้ปรึกษาหมอ หมอบอกว่าถือเป็นสัญญาณที่ดี ถ้าคงสภาพนี้ไว้จะเป็นผลดีต่อการบำบัดฟื้นฟูมากทีเดียว แต่ในทางกลับกัน ถ้าบรรยากาศดีๆ เหล่านี้ เกิดเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การตีกลับทางอารมณ์ก็เกิดขึ้นได้และอาจจะรุนแรงมากกว่าเดิม”
“ท่านกำลังส่งสัญญาณเตือนผม”
“ใช่ ฉันทำอย่างนั้น เพื่อพักตรา”
คิมหันต์ก้มหน้านิ่ง
“เดี๋ยวพักตราจะลงมากินข้าวด้วย เธอลองสังเกตดูดีๆ สิ ว่าพักตรากลับมาน่ารักเหมือนเดิมหรือยัง ฉันว่ามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
อรรถเคลื่อนตัวโยกหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ คิมหันต์ ขู่ด้วยน้ำเสียงเข้ม
“อย่าทำให้เราต้องผิดหวังอีกนะ ไอ้ลูกชาย”
พักตราเดินตัวตรงเข้ามา พร้อมนางพยาบาลพิเศษ ขยับลงนั่งข้างๆ คิมหันต์ด้วยท่าทีนุ่มนวล
“คิม ตื่นเช้าก็ไม่ปลุกพักตร์ด้วย”
“ผมอยากให้คุณพักผ่อนให้เต็มที่น่ะ”
“พักตร์มีข่าวดีจะบอกคิม...บอกพ่อด้วยค่ะ”
“ข่าวอะไรเหรอลูก”
“พักตร์เพิ่งพูดโทรศัพท์กับหมอ”
“หมอ” อรรถมองฉงน
“หมอสูติ ที่เคยดูแลพักตร์น่ะค่ะ หมอบอกว่า พักตร์น่าจะแข็งแรงพอที่จะตั้งครรภ์ได้แล้ว”
อรรถปั้นหน้ายิ้มชื่นใจไปกับคำพูดของธิดาสุดสวาท
“แผลผ่าตัดก็หายดีแล้ว คิมคะ น่าจะถึงเวลาที่เราจะมีลูกของเราได้แล้วนะคะ คืนนี้เราสร้างบรรยากาศมื้อเย็นดีๆ เพื่อลูกของเรานะคะ”
คิมหันต์ชะงักนิดๆ แล้วจึงยิ้มบางๆ ให้พักตรา โดยไม่มีทางเลือก
อ่านต่อตอนที่ 16 อวสาน