xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 17 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 17 อวสาน

บูรพาขับรถพาธิชาและตะวันฉายมาหลบพัก รอออกเรือตามเวลานัดที่บ้านร้าง ไม่ไกลจากสะพานปลามากนัก ภายหลังจากขังตะวันฉายไว้ด้วยกุญแจมือเช่นเดิม เขากลับลงมาที่รถเสืออีกครั้ง เพื่อค้นหาข้าวของเครื่องใช้ เจอผ้าห่มกับเสื้อผ้าที่พอใช้แทนเครื่องนอนกันหนาวได้ รวมทั้งพวกเสบียงอาหารแห้งก็หอบไปด้วย

ขณะจะกลับเข้าบ้าน สายตาของบูรพาไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าทหารใบใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งวางปนอยู่กับกองหนังสือปืน และหนังสืออาชญากรรมที่เสือชอบอ่าน บูรพาลากมารูดซิปเปิดดู แล้วพบว่าภายในเป็นอาวุธปืนของเสือมากมายหลายกระบอก
อดีตนายใหญ่แก๊งมังกรแดงหยิบปืนกระบอกหนึ่งมาลองกระชากลูกเลื่อน แล้วส่องตรวจดูลำกล้อง อดยิ้มทึ่งในรสนิยมของเสือออกมาไม่ได้

ค่ำลงไปอีกทุกขณะ ภายในบ้านร้างจุดเทียนให้แสงไว้มากมาย เปลวเทียนวูบไหวไปตามแรงลมริมทะเลที่พัดเข้ามาเป็นระลอก
ตะวันฉาย ธิชา และ บูรพา ทานบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ด้วยกัน บูรพาคอยคดบะหมี่เป็นคำๆ ป้อนให้ธิชาที่นั่งพิงกำแพงอยู่ แลเห็นกระเป๋าปืนของเสือวางอยู่แถวนั้น ตะวันฉายมองที่กระเป๋าอย่างสนใจ และเห็นว่าบูรพามองมาที่เขาพลางถามเพราะจำเป้ได้ดี
“ของหมู่เสือ”
“ฉันเจออยู่ในท้ายรถ”
“แกเอามันลงมาทำไม จะก่อสงครามกลางเมืองงั้นเหรอ”
“ฉันต้องป้องกันตัว ไม่ว่าหน้าไหนก็ขวางฉันไม่ได้ทั้งนั้น”
บูรพาหันไปมองตะวันฉาย
“ถ้างั้นทำไมไม่ยิงฉันทิ้งซะเลยล่ะ เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องหาทางขวางแกจนได้”
“หนี้เก่าของแกกับฉัน ฉันถือว่ามันจบไปแล้ว แกอย่าพยายามก่อหนี้ใหม่อีกเลย”
“แต่สำหรับฉันมันยังไม่จบ จนกว่าทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม”
บูรพาอึ้งไป เมื่อสบสายตาคมเข้มของตะวันฉาย
ธิชามองลุ้นอยากให้ทั้งคู่คืนดีกัน จิตรกรสาวเอื้อมมือไปบีบมือบูรพาและพยักหน้าคะยั้นคะยอเป็นเชิงขอร้องอ้อนวอน แต่บูรพายังคงบ่ายเบี่ยง
“อย่าพยายามทวงความเป็นพี่ของแกอีกเลย ตะวันฉายยอมรับความจริงเถอะ แกกับฉันกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้อีกแล้ว”
ตะวันฉายปวดร้าว ส่วนบูรพาก็จ่อมจมอยู่แต่ด้านมืดของบาดแผลในใจ
ธิชาลอบมองไปมาระหว่างสองพี่น้อง และครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

ในบรรยากาศอันวังเวงของสะพานปลาตอนกลางดึก พบว่า ยุทธ และ ทัศน์ กำลังยืนคุยอยู่กับเฮียเป็ด ระหว่างที่ทัศน์คุยธุระ ยุทธก็ดวดเบียร์กระป๋องไปพลางเดินสำรวจไปรอบๆ พื้นที่ ไม่ไกลกันนัก
“มันมาคนเดียว แต่จ่ายเงินค่าหัวสองที่ จะให้อั้วไปส่งมันขึ้นเรือใหญ่ของฝรั่งบอกว่าจะไปสิงคโปร์”
“รู้รึเปล่าว่ามันพักที่ไหน”
เฮียเป็ดทำเป็นหูตึงขึ้นมากะทันหัน ลอยหน้าลอยตา ทัศน์ควักเงินจ่ายไปประมาณ 6 ถึง 7 พัน หูจึงหายตึง นับเงินเสร็จจึงขายของว่า
“อั้วก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ตอนที่มันขับรถมาเมื่อวันก่อนฝนมันตก อั๊วเห็นขี้โคลนที่ล้อมันมีแต่ใบไผ่เกาะเป็นแผงเลย”
“แล้วไง” ยุทธหันมาถาม
เฮียเป็ดบอกว่า “เลยไปอีกซัก 3-4 โล รู้สึกจะมีบึงตกปลาเก่า ตรงทางเข้ามันมีป่าไผ่อยู่”
ทัศน์หันไปพยักหน้ากับยุทธ แล้วจึงเดินเลี่ยงไป ยุทธเดินมาแทนที่
“ขอบใจนะเฮีย”
เฮียเป็ดยิ้มร่า ยุทธยกก้นกระป๋องเบียร์กดกับขมับเฮียเป็ด ชักปืนยิงกรอกเข้าไปแทนที่เก็บเสียง เฮียเป็ดถูกยิงล้มทั้งยืน
“ระดมคนของเรามาให้หมด คืนนี้เราจะถล่มพวกมัน”
ยุทธพยักหน้ารับ ทัศน์มองไปบนท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด
“จบกันซะที ไอ้บูรพา ลาก่อน ผู้หมวดตะวันฉาย”

กลางดึก ท่ามกลางกองฟืนและแสงเทียน ตะวันฉายถูกย้ายไปล่ามอยู่อีกมุม ส่วนบูรพานอนเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงธิชา แต่ทั้งสามคนไม่มีใครนอนหลับ หากแต่กำลังเหม่อมองทะลุเพดานหลังคาที่แตกขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือบ้านร้าง
ธิชาเห็นดาวดวงหนึ่งสุขสว่างกว่าดวงอื่น จึงหันไปถามบูรพาเบาๆ
“นั่นดาวเหนือใช่มั้ยคะ”
“อืม สวยดีนะ”
“เค้าบอกว่ามันไม่เคยย้ายทิศไปไหน อยู่ที่เดิมของมันตลอด” ธิชาว่า
“คงใช่มั้ง เวลาหลงทางเขาถึงได้ให้เรามองดาวเหนือไงล่ะ”
“ถ้าในชีวิตจริง เรามีอะไรมาช่วยตัดสินใจแบบนี้ก็คงดีถ้ารู้แน่นอนว่าความถูกต้องอยู่ตรงไหน คนเราก็คงไม่ต้องโต้เถียงกันให้วุ่นวาย”
ตะวันฉายสะดุดหูคำพูดดังกล่าวของธิชา บูรพาก็เช่นกัน
“น่าเสียดายนะคะ ที่ชีวิตเราไม่มีโอกาสได้เลือกทางเดินง่ายๆ อย่างนั้น ก็เลยต้องมีคนผิด ต้องมีคนถูกอยู่เสมอ”
ตะวันฉายปวดร้าวอยู่ลึกๆ ไม่ต่างจากบูรพา
“ถ้าดวงดาวทุกดวงมีพรวิเศษอยู่จริงๆ ฉันก็จะอธิษฐานกับดาวเหนือ จะขอให้ชีวิตของฉันเลือกแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง และก็ขอให้พวกคุณสองคนเห็นอะไรตรงกันสักครั้ง”
ตะวันฉายและบูรพาเหลียวมองหน้ากันเงียบๆ ในความมืด ก่อนจะหันกลับไปมองที่ดาวเหนือดวงนั้น
“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่พวกคุณจะได้เห็นหน้ากันพอถึงวันพรุ่งนี้ อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าผลลงเอยของมันจะเป็นยังไงพรุ่งนี้ ชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล”
ตะวันฉายมองดูดวงดาว บูรพามองดูดาวดวงเดียวกัน
มองผ่านช่องหลังคานั้นลงมา เห็นสองพี่น้องกำลังนึกถึงอนาคตของพวกเขา

จนเวลาล่วงเลยไปจนล่วงเข้าสู่ช่วงกลางดึก ตะวันฉายยังคงนอนเหม่ออยู่อย่างเดิม แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อบูรพาปราดมาไขกุญแจมือของขาออก บุ้ยใบ้ให้ออกไปคุยด้วยกันข้างนอก
ตะวันฉายเดินนำบูรพาออกมา แต่เมื่อหันมาก็เห็นบูรพาชูสมุดบัญชีให้ดู
“อะไร”
“หลักฐานที่แกตามล่าอยู่ไงล่ะ” บูรพาอธิบายรายละเอียด “คนของแกที่ตายไป รวมทั้งชัชชัย หรือแม้แต่เจิมฉัตรฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งนั้น”
“ฉันรู้” ตะวันฉายมองบัญชี “ทำไมแกไม่ส่งให้ตำรวจแต่แรก”
“ตอนนั้นฉันคิดว่า อาจจะใช้มันถ่วงเวลาหรือต่อรองอะไรกับพวกบารมีได้บ้าง”
“ถึงเวลานี้ มันไม่มีวันรับเงื่อนไขของใครอีกแล้ว”
บูรพาพยักหน้า “ฉันก็เลยคิดจะต่อรองกับแกแทน”
“แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกหนีเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่ได้คิดจะขอแกเรื่องนั้น ฉันแค่ต้องการให้แกรับปาก ถ้าพรุ่งนี้ฉันเกิดหนีไม่รอดขึ้นมา แกช่วยดูแลธิชาแทนฉันได้มั้ย”
ตะวันฉายอึ้ง นิ่งไปนาน จนบูรพาเอ่ยขึ้น “ฉันขอร้อง”
ตะวันฉายพยักหน้าออกมา บูรพายื่นสมุดบัญชีให้ก่อนจะเดินเล่นไปมองท้องฟ้า
“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ใกล้สว่างแล้ว”

มองผ่านทิวไม้มะขามเทศออกไป ท่ามกลางแสงจันทร์ เห็นรถของทัศน์จอดรออยู่ปากทาง ไม่นานนัก รถอีกสองคันแล่นตามเข้ามาจอดสมทบ ส่วนทัศน์กำลังโทรศัพท์รายงานบารมีอยู่ในรถ
“คิดว่ากำลังจะเจอตัวมันแล้วครับท่าน ใช่ครับ ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว”
ทัศน์วางสายแล้วพยักหน้าให้ยุทธเริ่มงานล่าสองพี่น้องและธิชา ยุทธกระพริบไฟท้ายเป็นสัญญาณสองสามครั้ง ก่อนจะออกรถเลี้ยวเข้าไป ทั้งหมดมีกันสิบคน ทัศน์ ยุทธ และ สมุน อีก 8 คน

ธิชานอนหลับอยู่ สักครู่จึงค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้น ได้ยินเสียงตะวันฉายกับบูรพาคุยกันแว่วเข้ามา
“แกก็รู้ว่ามันเสี่ยง แล้วจะดันทุรังไปทำไม ถ้าเกิดมันเป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ ถ้าแกตายไป ฉันจะกลับไปบอกพ่อว่ายังไง”
ตะวันฉายสังหรณ์ในใจ ห่วงน้องอย่างรุนแรง “บูรพาเลิกล้มแผนการของแกซะเถอะ แกหนีไม่พ้นหรอก ถ้าแกยอมมอบตัวฉันรับปาก ฉันจะคุ้มกันแกเอง”
“แบบเดียวกับที่แกคุ้มกันชัชชัยน่ะเหรอ”
ตะวันฉายอึ้งไป
“เมื่อไหร่แกจะตาสว่างซะที โลกนี้ทั้งโลกทุกคนเล่นตุกติกกันทั้งนั้น เหลือแต่แกคนเดียวที่ยังเล่นตามกฎอยู่ แกไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอุ้ยอ้ายบ้างหรือไง แบกอุดมการณ์ไว้บนหลังแล้วก็คลานไปเหมือนเต่า คิดดูสิ แกรับราชการมากี่ปี แกยิงคนร้ายไปกี่คน ยังติดยศอยู่แค่ร้อยตรี แต่พอแกมีปัญหาเรื่องของฉันแค่นิดเดียว แกต้องโดนย้ายไปอยู่ชานเมือง อาชีพตำรวจแบบของแก มันคุ้มกันแล้วเหรอ”
ที่แท้บูรพาเองก็ห่วงตะวันฉายไม่น้อยเช่นกัน
“ฉันไม่ได้เป็นตำรวจเพราะหวังความก้าวหน้า พอๆ กับที่แกเป็นไอ้วายร้าย ฉันรู้ว่าแกก็ไม่ได้หวังจะเป็นคนเลวเหมือนกัน” นึกขึ้นมาแล้วอดสมเพชชะตากรรมตัวเองกับน้องไม่ได้ “ความจริงเราสองคนก็แค่พยายามชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองสูญเสียไป”
บูรพาหันมามองตะวันฉาย ท่าทีลังเล แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเหยียบกิ่งไม้แห้งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
ด้วยสัญชาติญาณ ตะวันฉายเองก็เอะใจ เหลียวมองตามแล้วรีบสั่งการ
“รีบเข้าบ้านไปก่อนเร็ว”

บูรพากระโจนเข้ามาอุ้มธิชาพามานั่งหลบมุมหลังกำแพง ในขณะที่ตะวันฉายก็ปิดประตู ผลักเตียงโต๊ะฟูกทุกอย่างปิดทางเข้าออกเอาไว้
บูรพาเปิดกระเป๋าอาวุธของเสือ หยิบแม็กกระสุนมาเติมใส่ปืนตัวเอง และพกตุนติดตัวไว้อีกสองสามกระบอก ก่อนจะมองไปที่ตะวันฉายผิวปากวี้ด ตะวันฉายหันมาบูรพาโยนปืนลูกซองมาให้ แล้วไสกระเป๋าไปตรงหน้าพี่ชาย
“แล้วค่อยคุยกัน”
ตะวันฉายพยักหน้าก่อนจะหยิบปืนพกมาเหน็บเอวไว้เป็นกระบอกสำรอง แล้วบรรจุกระสุนลงปืนลูกซอง

ยุทธเป็นหน้าด่าน นำสมุนของทัศน์ย่องมาที่หน้าบ้านร้างเป็นทีมแรก แล้วพบว่าประตูถูกถีบเปิดออก โดยมีบูรพายืนจังก้ากระหน่ำยิงด้วยปืนสองมือใส่ก่อน จากนั้นจึงย่อตัวลงให้ตะวันฉายลั่นปืนลูกซองซ้ำอีกระลอก
พวกสมุน และ ยุทธ กระโดดหนีตายเข้าหาที่กำบังกันจ้าละหวั่น และพยายามหาจังหวะยิงตอบโต้

ธิชาซุกตัวติดกำแพง ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวสุดขีด แล้วก็ยิ่งต้องตกใจมากขึ้นเมื่อวัสดุที่ใช้ปิดหน้าเธออยู่ถูกพังออก และมีคนร้ายคนหนึ่งกระโดดเข้ามาเล็งปืนใส่เธอ
ตะวันฉายหันไปเห็น เขาลั่นปืนลูกซองออกไป แรงอัดของปืนกระชากร่างคนร้ายกลับออกไปอย่างเร็วและแรง
ขณะเดียวกัน บูรพาหันไปเห็นหน้าต่างอีกบานถูกพังออก จึงรัวปืนใส่คนร้ายอีกคนจนร่างพรุน
ตะวันฉายดึงประตูปิดลงมาตามเดิม ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง บูรพาปลดแม็กกระสุนเก่าทิ้งเพื่อเปลี่ยนใหม่ เช่นเดียวกับตะวันฉายที่บรรจุกระสุนเพิ่มลงไป พอเติมเสร็จ บูรพารีบคลานไปหาธิชา
“ไม่ต้องกลัวนะ พวกมันไม่มีทางบุกเข้ามาได้หรอก”
“พวกมันมากันเยอะรึเปล่าคะ”
“แค่ไม่กี่คน” เขามองตะวันฉายเป็นเชิงขอร้องให้ช่วยโกหก “ใช่มั้ย”
ตะวันฉายมองธิชา ตัดสินใจโกหกว่า “ใช่”
“เห็นมั้ย เดี๋ยวก็จะสว่างแล้วถึงตอนนั้นเราก็จะหนีออกไปด้วยกัน”
ตะวันฉายมองภาพบูรพากอดธิชาอย่างรวดร้าวในใจลึกๆ เขาหันหนีจากภาพบาดตาไปเลิกหน้าต่างมองออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอก
เมื่อตะวันฉาย เห็น ยุทธ กับสมุนอีก 6 คน เริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อยๆ ก็คิดหนัก แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหยิบสมุดบัญชีที่เหน็บไว้ใส่ลงในกระเป๋าอาวุธ และยกทั้งกระเป๋ามาสะพายบ่า ก่อนจะมองออกไปอีก

มองจากด้านนอกบ้านร้างเข้ามา เห็นแววตาตะวันฉายมองลอดม่านออกมา โดยไม่รู้เลยว่ามีคนร้ายคนหนึ่งยืนพิงซุ่มอยู่ข้างหน้าต่างใกล้นั้นเอง
ตะวันฉายเฝ้ามองจนกระทั่งเหลือบเห็นแอ่งน้ำขังสะท้อนเงาคนร้ายเข้าพอดี พอคนร้ายพลิกตัวจะยิง ก็ถูกตะวันฉายกระหน่ำถูกซองทะลุฝาออกมากระแทกร่างของมันจนกระเด็นกระดอนไป
เท่านั้นเองกระสุนนับไม่ถ้วนก็ถูกระดมยิงเข้ามาในบ้านชนิดไม่ยั้งมือ
เท่ากับเหลือสมุนทัศน์อีก 5 คน ไม่รวม ยุทธ กับ กฤช
“พาธิชาหลบไปด้านในก่อนเร็ว”
บูรพาลากธิชาหลบเข้าไปด้านในบ้าน แต่คนร้ายคนหนึ่งเพิ่งปืนหน้าต่างด้านในโผล่ออกมาดักหน้าในระยะประชิด
บูรพาต้องผลักธิชาออกและยิงใส่คนร้าย แต่เขาเองก็ถูกยิงสวนเข้าที่หัวไหล่ ส่วนคนร้ายที่ถูกยิงจนปืนหลุดมือ
“บูรพา”
คนร้ายที่ถูกยิงคลานไปคว้าปืน ตะวันฉายสไลด์ตัวเข้าไปหยุดหน้าคนร้าย ปากกระบอกปืนจ่อเข้าหว่างคิ้วคนร้ายพอดิบพอดี คนร้ายเห็นปากกระบอกปืนลั่นตูมพร้อมๆ กับที่วิญญาณของมันลอยจากร่างไป
ตอนนี้ ทัศน์ เหลือสมุนอีก 6 รวม กฤช และ ยุทธ

ตะวันฉายรีบขยับไปประคองบูรพาลุกขึ้น พอดีกับที่ยุทธนำคนร้ายอีกสองคนพังประตูเข้ามา
ตะวันฉายกระชากร่างบูรพาหลบออก ตัวเขาเองยืนปักหลักยิงสู้กับคนร้ายปกป้องน้องชายกับธิชา คนร้ายถูกตะวันฉายยิงตายไปอีกคนหนึ่ง ยุทธยิงสวนไปด้วยปืนลูกซองของเขา
ตะวันฉายถูกกระสุนเจาะเข้าที่ต้นแขน ส่วนอีกนัดหนึ่งระเบิดผนังแตกกระจุย ตะวันฉาย แผดเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมา เห็นมีเลือดไหลโกรกเต็มหน้า เขาถูกสะเก็ดกำแพงระเบิดใส่หน้าเข้าเต็มๆ แรง
บูรพาตกใจรีบยิงสวนฆ่าสมุนยุทธทิ้งไปอีกคน จึงเหลือสมุนด้านนอกอีก 2
บูรพารีบลากตัวตะวันฉายหลบเข้าห้องด้านใน และปิดประตูลง
ยุทธซึ่งรอดตายอยู่คนเดียว หายใจหอบแฮ่กๆ ด้วยความตื่นตระหนก จนสายตาไปสะดุดเข้ากับซากโทรศัพท์มือถือที่บูรพาปาทิ้งไว้ที่พื้น

บูรพาลากตะวันฉายกลับเข้ามาในห้อง
ธิชาตกใจรีบมาดูอาการ “ผู้หมวด คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ตา...ตาผม ตาผม”
“ประคองเค้าไว้”
ธิชาดึงร่างตะวันฉายมานอนลงบนตัก บูรพาคว้าขวดน้ำเปล่าที่วางอยู่มาเปิดฝา และกดตัวตะวันฉายเอาไว้
“อยู่นิ่งๆ”
บูรพาเทน้ำรดชะเลือด และเศษผงเศษอิฐออกจากใบหน้าตะวันฉาย ได้ยินเสียงตะวันฉายกัดฟันร้องในคอด้วยความเจ็บปวด
ธิชาได้แต่มอง ทั้งสงสาร และอดสยองแทนไม่ได้
เมื่อน้ำชะเลือดออกจึงเห็นว่ารอบๆ เบ้าดวงตาตะวันฉายยังมีรอยแผลถูกสะเก็ดอิฐตำอยู่ประปราย
“ลืมตาได้มั้ย”
ตะวันฉายค่อยๆ ลืมตาขึ้นปรือๆ
บูรพามองลุ้น ใจเสีย “เป็นยังไงบ้าง”
ตะวันฉายพยายามเพ่งสายตามอง แต่ทุกอย่างกลับมืดสนิท
“คุณเห็นฉันรึเปล่าคะผู้หมวด”
ตะวันฉายยกมือป้องดวงตาด้วยความปวด
“ผมไม่แน่ใจ”
“นัยน์ตาแกไม่มีแผล น่ากลัวคงเป็นเพราะแรงกระแทกมากกว่า”
“ถ้างั้นอีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
บูรพามองหน้ากับธิชาอย่างหวั่นใจ
“ดูเค้าไว้ ผมจะคอยสกัดพวกข้างนอก”
ธิชาพยักหน้า บูรพาล่าถอยไปคอยเฝ้าประตูไว้ ส่วนตะวันฉายยังคงพยายามเพ่งมองสิ่งต่างๆ รอบตัว

ทัศน์นั่งรออยู่ในรถหน้าบ้านร้าง ยุทธเดินเข้ามารายงานสถานการณ์คนเดียว
“คนของเราเสร็จไป 6 คนแล้ว ตอนนี้พวกมันขังตัวเองไว้ข้างใน ถ้าตามคนมาเพิ่มแล้วบุกเข้าไปมันต้องเสร็จแน่”
“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ป่านนี้มันคงโทร.เรียกพรรคพวกไปเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่หรอกครับ” ยุทธยื่นซากโทรศัพท์ให้ดู “ผมเจอตอนที่บุกเข้าไปเมื่อครู่ มันติดต่อใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“ถ้างั้นก็ต่อเวลาได้เต็มที่สินะ” ทัศน์ยิ้มชั่ว แล้วสั่งการ “เรียกพวกเราที่เหลือไม่ต้องคอยดักแล้วมารวมกันที่นี่ให้หมดเลย”

บูรพายังปักหลักเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องระวังพวกทัศน์ และคอยเหลียวมาดูตะวันฉายกับธิชาเป็นระยะ
สายตาตะวันฉายค่อยๆ มองเห็น แต่ยังเห็นแค่ 30 % และทุกอย่างในกรอบสายตายังดูมัวอยู่ ตะวันฉายกัดฟันลุกขึ้น
“ผู้หมวดคะ” ทิชาทักท้วง
“ไม่เป็นไร ผมค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว”
บูรพาหันมามอง “แกแน่ใจนะ”
ตะวันฉายพยักหน้า โกหกออกไป “ขืนปล่อยให้มันล้อมต่อไปแบบนี้เราต้องเสร็จมันแน่ มีทางเดียวต้องรีบหาทางฝ่าพวกมันออกไป รถยังจอดอยู่ที่เดิมรึเปล่า”
“เปล่าฉันเอาไปซ่อน อยู่ห่างจากไปนี่ไปสัก 50 เมตร”
“เดี๋ยวฉันจะยิงล่อพวกมันเอง ตอนนั้นก็ก็รีบวิ่งไปเอารถมา”
“แล้วไง พวกมันดักอยู่ที่ถนน แกจะขับฝ่าออกไปงั้นเหรอ”
“ฉันมีทาง แต่แกไปเอารถมาก่อนก็แล้วกัน”
บูรพาประหลาดใจ หันไปมองธิชาเป็นเชิงหารือกัน

ในบรรยากาศอันวังเวง ออกไปทางน่ากลัวในบ้านร้าง มีแต่รอยกระสุน กลิ่นคาวเลือด และซากศพตายเกลื่อน บูรพาค่อยแง้มๆประตูออกมา บูรพามองไปไม่เห็นมีใครในบ้าน
บูรพาดูจนแน่ใจจึงเคลื่อนตัวออกไปจากห้อง ตะวันฉายตามออกมาติดๆ เขาเห็นบูรพาเป็นแค่เงารางๆ ตะวันฉายสะบัดหน้าพยายามใช้สมาธิในการมอง
ตะวันฉายและบูรพาดักซุ่มอยู่คนละซีกประตู บูรพามองออกไปด้านนอก ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ตะวันฉาย โดยไม่รู้ว่าตะวันฉายเห็นเพียงเงาของบูรพาอยู่รางๆ เช่นเดิม
“แกพร้อมแน่นะ”
ตะวันฉายหรี่ตามองและยิ้มให้ตรงมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ซุกซ่อนความหวาดกลัวไว้ภายใน
“พร้อม”

ในความมืดที่หน้าบ้านร้าง มีรถอีกคันแล่นมาจอด คนบนรถกรูกันลงมาสมทบยุทธกับพวกสมุนที่รออยู่
ยุทธกำลังนำสมุนลัดเลาะมาตามสุมทุมพุ่มไม้เตรียมบุกเข้าจู่โจมบ้านร้างอีกครั้ง
สมุนโยนปืนกลเล็กให้ยุทธรับไปถือไว้ ยุทธกระชากลูกเลื่อนขึ้นรังเพลิงอย่างสะใจ
ตะวันฉายวิ่งปราดออกมาล่อเป้า และยิงถล่มเข้าไปในกลุ่มคนร้าย และกระชากลูกเลื่อน
อนิจจา เมื่อมองสำรวจชัดๆ จะพบว่ารอบๆ ดวงตาตะวันฉายมีแต่บาดแผล เขาเห็นคนร้ายเป็นเงารางๆ วิ่งกันวุ่นวายไปมา
บูรพาวิ่งออกมาจากประตู กราดยิงสองมือวิ่งไป โดยมีตะวันฉายคอยยิงคุ้มกันให้ ยุทธโผจากที่ซ่อนขึ้นมายิง ตะวันฉายรีบพลิกตัวหลบเข้าบ้านและปิดประตู ปรากฏว่าในเสี้ยววินาทีนั้นประตูก็ถูกกระสุนฉีกกระจุยหายไปเกือบค่อนบาน
ตะวันฉายหายใจเฮือกที่รอดพ้นวินาทีมรณะไปได้ฉิวเฉียด เขาเริ่มนึกห่วงบูรพาที่อยู่ข้างนอก

บูรพาวิ่งลัดเลาะฝ่าดงหญ้าสูงท่วมหัวเพื่อไปยังรถที่ซ่อนไว้ โดยมีสมุนของยุทธสองคนตามมาติดๆ บูรพาได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาก็วาดปืนหันไป สมุนทั้งสองยกปืนขึ้นเล็ง บูรพาวาดตัวหันมา ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็นกันเพราะต้นหญ้าที่พรางกันและกันเอาไว้ หากแต่หูยังได้ยิน
บูรพาย่ำถอยไปบนหญ้าช้าๆ เสียงสวบสาบ
เท้าของสมุนทั้งสองย่ำตามมาบนหญ้า เสียงสวบสาบเช่นกัน บูรพาคิดหาทางออก

ทางด้านธิชานั่งอุดหูหลบกระสุนในห้อง กระทั่งตะวันฉายหลบกลับเข้ามาเพื่อหาที่พักเติมกระสุน ตะวันฉายใช้มือควานหากระสุนในกระเป๋ามาบรรจุ ก่อนจะหันไปบอกธิชา
“อีกเดี๋ยวบูรพาจะย้อนกลับมาที่นี่ ทันทีที่บูรพาได้รถมา คุณต้องบอกให้เขาออกรถไปเลย”
“หมายความว่ายังไงคะ คุณคิดจะอยู่รับมือกับพวกมันคนเดียวงั้นเหรอ”
“มันจำเป็น ขืนขับรถออกไปด้วยกัน เราจะกลายเป็นเป้าให้พวกมันที่ดักอยู่ระดมยิง แต่ถ้ามีอีกคนคอยยิงสะกัดมันเอาไว้ โอกาสรอดยังจะมีมากกว่า”
“ไม่ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”
ตะวันฉายหันไปทางธิชา
“คุณต้องทำได้ธิชา แค่บอกบูรพาไปว่าผมจะหนีออกไปอีกทางก็พอแล้ว”
ธิชาเริ่มสังเกตว่าตะวันฉายไม่ได้สบตาขณะคุยกับเธอ
“นี่คุณมองไม่เห็นแล้วใช่มั้ย”
ตะวันฉายนิ่งเงียบไป ธิชาได้แต่ตะลึง
“ตะวันฉาย”
ตะวันฉายไม่ตอบ แต่หยิบสมุดบัญชีออกมาและฉีกเพียงปกสมุดเก็บไว้ ส่งเนื้อในให้ธิชา
“เก็บมันไว้กับคุณจะปลอดภัยกว่า”
“ตะวันฉาย ฉันถามว่าคุณมองไม่เห็นแล้วใช่มั้ย”
ตะวันฉายพยักหน้ายอมรับช้าๆ ธิชาได้แต่อึ้ง ตะลึงตะไล

สมุนสองคนยังคงเล็งปืนสืบเท้าเดินหาบูรพาในทุ่งหญ้า จนก้อนหินถูกปาไปร่วงลงทางหนึ่ง สมุนทั้งสองตกใจหันไปยิงตามสัญชาตญาณ บูรพาเห็นประกายไฟจากปากกระบอกปืนก็กระหน่ำยิงหูดับตับไหม้ไปในจุดนั้น ร่างของสมุนคนแรกถูกยิงผงะไป สมุนคนที่สองกระโจนหลบพร้อมทั้งยิงสวนใส่ บูรพากลิ้งหลบ และยิงออกไปเช่นกัน
สองคนกลิ้งมาประจันหน้ากันพอดี ทั้งคู่ลุกขึ้นนั่งบูรพายิงเด็ดหัวสมุนสองทิ้งโดยไม่ปรานีปราศัย

ฝ่ายตะวันฉายยิงสกัดพวกยุทธเป็นระยะ แต่ก็ยิงได้อย่างยากลำบาก เพราะมองไม่เห็น แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีคนปราดออกมาทางด้านหลัง อารามตกใจ เขายกปืนเล็งใส่ แต่เมื่อเพ่งดูชัดๆ ปรากฏว่าเป็นธิชา ตะวันฉายรีบดึงเธอนั่งลง
“คุณออกมาทำไม”
“ฉันต้องบอกคุณ ฉันทำตามแผนคุณไม่ได้”
กระสุนของพวกยุทธลั่นกราว ตะวันฉายดึงธิชาหลบลงก่อนจะบอก
ตะวันฉายเราไม่มีเวลามาเถียงกันแล้วนะธิชา
ธิชาแต่คุณไม่ควรจะมาเสี่ยงตายคนเดียวแบบนี้
ตะวันฉายหันไปยิงก่อนจึงหันมาโน้มน้าวธิชาต่ออีกว่า “คุณไม่เข้าใจอีกหรือไง ถ้าผมรอดไปได้ผมก็ต้องจับบูรพาอยู่ดี ถึงตอนนั้นคุณก็จะไม่ได้หนีไปกับเค้า”
“ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากให้คุณตาย”
ตะวันฉายอึ้ง
“ในชีวิตของฉันนอกจากบูรพาแล้ว ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่เป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจที่สุด ผู้หมวด ฉันขอร้อง หนีไปด้วยกันเถอะค่ะ”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณสมควรรู้ธิชาแต่ผมก็ไม่มีเวลาเหลือมากไปกว่านี้อีกแล้วคุณกับบูรพาคือคนที่ผมรักมากที่สุดไม่มีเหตุผล ถ้าพี่ชายคนนึงจะรักน้องของตัวเองอย่างสุดหัวใจและก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ที่ผู้ชายสักคนจะประทับใจกับสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ถึงแม้มันจะไม่ใช่ของๆ เค้าก็ตาม”
ธิชาตะลึงตะไล นิ่งงันไปเลย
“ผมขอร้องธิชา แค่คุณกับบูรพาปลอดภัย ผมขอเท่านั้นเอง คุณทำให้ผมได้มั้ย”
ธิชาตกอยู่ในสภาพไม่อาจปฏิเสธได้อีก ระหว่างนี้เห็นไฟสูงหน้ารถสว่างจ้าเข้ามา
บูรพาจอดรถหน้าบ้านพลางยิงสกัดพวกศัตรู
“ขึ้นรถเร็ว”
ธิชายังพยายามอ้อนวอนตะวันฉายจนนาทีสุดท้าย
“ตะวันฉาย”ตะวันฉายตะโกนบอกธิชา “ไป” “ไม่”
พวกยุทธพยายามจะบุกเข้ามาอีก แต่ก็ยังติดที่บูรพายิงกระหน่ำสกัดไว้ ” เร็วๆ เข้าธิชา” ธิชาอ้อนวอนครั้งสุดท้าย ”ตะวันฉาย” ”ผมบอกให้ไป”
ตะวันฉายตัดสินใจลากธิชาออกไป อีกมือหนึ่งชักปืนสั้นออกมาช่วยบูรพายิงสกัด บูรพารีบเปิดประตูดึงธิชาขึ้นรถ แล้วบอกกับตะวันฉาย
“ขึ้นรถเร็ว”
“ฉันจะหนีออกอีกทาง แกออกรถไปก่อนเร็ว”
ธิชาได้แต่นิ่งเงียบกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล บูรพามองตะวันฉายอย่างงุนงง แต่แล้วเสียงปืนที่กราดมากระทบตัวรถก็ทำให้บูรพาได้สติ “เร็วเข้า”
บูรพาเลยต้องตัดสินใจออกรถแล่นจากไป โดยมีตะวันฉายคอยยิงสกัดให้ คนร้ายโผจากที่ซ่อนจะยิงใส่รถ แต่ก็ถูกตะวันฉายสอยร่วง
รถของบูรพาแล่นไปตามถนนออกสู่ปากทาง มีคนร้ายวิ่งปราดออกมาจะยิงใส่ บูรพาโผล่หน้าออกไปยิงใส่คนร้ายจนล้มลง ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวหนี รถของบูรพาแล่นออกสู่ถนนปากทางได้สำเร็จ บูรพาทั้งดีใจและสะใจ
“พ้นแล้วธิชา พวกเรารอดแล้ว”
ธิชาไม่ดีใจด้วยเลย แถมยังเหลียวพะวงไปข้างหลัง

ตะวันฉายยิงสกัดพวกคนร้ายอีกครั้ง ขณะกำลังจะล่าถอยกลับเข้าบ้าน ยุทธโผล่ออกมายิงใส่ตะวันฉาย ตะวันฉายถูกยิงล้มลง ต้องพลิกตัวคลานหาที่หลบ
ตะวันฉายพลิกตัวหลบกลับเข้าบ้าน หายใจหอบ ค่อยๆ เลื่อนมือลูบต่ำลงไป จนพบว่าตัวเองถูกยิงเข้าที่ท้อง
ตะวันฉายคิดหนัก ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบซองสมุดบัญชีออกมาจากกระเป๋าสะพาย และชูขึ้น พร้อมกับตะโกนออกไป
“ไม่ต้องตามบูรพา ถ้าพวกแกอยากได้บัญชี แน่ใจจริงก็เข้ามาเอาที่ฉัน”

รถเสือที่บูรพาใช้ขับพาทิชาหนี แหวกฝ่าความมืดออกมาตามถนน บูรพาลิงโลดยังอยู่ในอารมณ์ดีใจ
“จวนจะถึงท่าเรืออยู่แล้วธิชา อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะเป็นอิสระแล้ว”
ธิชาเอาแต่นิ่งเงียบ
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
ธิชาไม่ตอบ บูรพาเริ่มผิดสังเกต จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นในมือธิชาถือสมุดบัญชีอยู่
รถจอดพรืดเข้าข้างทาง บูรพามองหน้าธิชา
“ทำไมสมุดบัญชีถึงมาอยู่ที่คุณ”
ธิชามองบูรพา บอกส่งไปในแววตากับความจริงอันน่าสะเทือนใจ บูรพาดูออก
“เค้าไม่ได้หนี เค้ายังอยู่ที่นั่นใช่มั้ย”
ธิชาระเบิดร้องไห้ ก่อนจะพยักหน้าออกมา บูรพาช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง หันขวับมองกลับไปยังบ้านร้างที่เพิ่งหนีออกมา

บริเวณหน้าบ้านร้างยามนี้ กลุ่มคนร้ายเคลื่อนพลมาถึงหน้าเรือนแล้ว ทั้งหมดซุ่มรอจังหวะจะบุกเข้าไป
ทัศน์เดินมาสมทบกับพวกลูกน้อง และทอดสายตามองไปที่ตัวบ้านอย่างใจเย็น ยุทธเข้ามารายงาน
“สมุดบัญชียังอยู่ที่มัน ท่าทางคงอยากตายเต็มแก่ถึงได้ร้องท้าเหยงๆ แบบนี้”
ทัศน์เหยียดยิ้ม “ก็สงเคราะห์ให้มันซะสิ”
ยุทธพยักหน้าก่อนจะปลีกตัวไปสั่งการลูกน้อง ทัศน์มองเข้าไปในบ้านอย่างลำพองใจ
ในความมืดตะวันฉายควานมือไปในกระเป๋า และคลำไปคลำมาก็พบว่ากระสุนปืนลูกซองเหลืออีกเพียงไม่เกิน 5นัด
ตะวันฉายตระหนักว่าโอกาสของตนเหลืออีกไม่มาก จึงบรรจุกระสุนแต่ละนัดอย่างมีสมาธิ
พอบรรจุกระสุนเสร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมพร้อม ประจัญบาน แต่ลำตัวไปนั่งเบียดเอาขวดน้ำล้มลงเสียงดังเคล้ง
ตะวันฉายหูผึ่ง นึกอะไรขึ้นได้

ยุทธคุมกำลังคนร้ายทั้งหมดเดินเรียงหน้ากระดานตรงมาที่บ้านร้าง ทุกคนตระเตรียมอาวุธในมืออย่างกระฉับกระเฉง
“ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ถล่มมันให้ราบไปเลยทั้งผู้หมวดตะวันฉายแล้วก็บัญชีนั่น”
พูดไม่ทันขาดคำ ยุทธก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงขวดแตก เมื่อมองไปก็เห็นขวดเปล่าหลายใบถูกปาออกมาจากบ้าน จนแตกกระจายเกลื่อนพื้นหน้าบ้าน
ส่วนในบ้านตะวันฉายคว้าขวดโยนไปกระจายตามจุดต่างๆ
ยุทธมองฉงน ไม่เข้าใจ
“มันทำอะไรของมันกันแน่วะ”
“กระสุนมันหมดแล้วมั้งพี่”

สมุนหนึ่งในนั้นบอกอย่างย่ามใจ




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 17 อวสาน (ต่อ)

เมื่อปาขวดออกไปเสร็จ ตะวันฉายก็นั่งลุ้นรอให้พวกคนร้ายบุกเข้ามา หลับตาลงช้าๆ ใช้สมาธิ

ที่หน้าบ้านพวกของยุทธระดมยิงสาดกระสุนเข้าไปในบ้าน กระสุนสาดซัดทำลายทุกอย่างที่ขวางวิถีของมัน
จังหวะหนึ่งเท้าของสมุนคนหนึ่งเตะถูกซากขวด ตะวันฉายลุกขึ้น เห็นว่าใช้หูเล็งปืนแทนตา เก็บสมุนของยุทธคนนั้นอย่างแม่นยำ
ยุทธกับพวกที่เหลือชะงักกึก มองไปเห็นตะวันฉายผลุบหายไปจากหน้าต่างตามเดิม
ตะวันฉายผลุบลงกระชากลูกเลื่อน และเงี่ยหูรอฟังเสียง
สมุนคนหนึ่งเผลอถอยไปเหยียบเศษแก้วเข้าแกร็ก มือปราบปืนทองโผล่ขึ้นมาอีก และยิงสมุนคนนั้นล้มลงด้วยลีลาเดิมคือใช้หูเล็งปืน
ถึงตอนนี้ยุทธถึงคิดออก มันจึงก้มลงมองพื้นเห็นเศษแก้วที่หล่นเกลื่อน

ฝ่ายทัศน์ นั่งมองผ่านหน้าต่างเข้าไป ดูการต่อสู้แบบหมาจนตรอกของตะวันฉายอย่างนึกทึ่ง ทัศน์ยิ้มสะใจ ก่อนจะชักปืนออกมา คล้ายสนใจจะร่วมเกมด้วย แล้วปลีกตัวอ้อมไปดักทางด้านข้างตามสไตล์
ยุทธและสมุนหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ จนเห็นทัศน์บุ้ยหน้าให้สมุนทุกคนบุกเข้าไปพร้อมกัน รองเท้าของแต่ละคนย่ำเศษแก้วเสียงดังกราว
ตะวันนั่งฟังเสียงฝีเท้าที่กระจายกันเข้ามา อย่างใช้สมาธิ
“สองคน สาม สี่คน
ตะวันฉายลืมตาขึ้นโผลุกขึ้นยิงพวกของยุทธทางหน้าต่างอีกครั้ง พวกของยุทธถูกยิงไปหลายคน แต่กระสุนปืนลูกซองหมดลงเสียก่อน ตะวันฉายชักปืนพกออกมายิง แต่ก็ไม่ไวพอจะยิงพวกของมันทั้งหมด ในที่สุดเขาก็ถูกยุทธยิงเข้าที่ท้องอีกนัดจนปืนกระเด็นหลุดมือ
ตะวันฉายล้มลง ก่อนจะนึกขึ้นได้รีบควานมือหาปืน แต่ไม่เจอ
พวกยุทธลุยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยุทธเห็นตะวันฉายกำลังคลานหาปืนก็ยิงเฉี่ยวโดนจนล้มไปอีก
พอตะวันฉายคว้าปืนได้จะลุกขึ้น แต่ก็ถูกทัศน์กระทืบเข้าเต็มแรง ตะวันฉายเงยหน้ามองแต่เห็นเงาแค่ลางๆ
“สมุดบัญชีอยู่ที่ไหน” ทัศน์ตะคอกถาม
ตะวันฉายไม่ยอมตอบ รอจนได้จังหวะก็กระแทกร่างทัศน์ออกก่อนแล้วจึงโผไปชกใส่ทัศน์ ทว่าพลาดไปเป็นคืบ ตะวันฉายล้มลงกินฝุ่น ทัศน์มองอย่างนึกขำก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่าง
ตะวันฉายมองหาทัศน์ ทั้งๆ ที่ทัศน์ย่อตัวลงนั่งมองหยันอยู่ใกล้ๆ
“มือปราบปืนทอง สงสัยต้องตัดแว่นใส่ซะละมั้ง”
ตะวันฉายจะคว้าตัวทัศน์ แต่ทัศน์รีบลุกขึ้นแล้วเตะอัดชายโครงตะวันฉายจนกระดอนออกไปข้างนอกบ้านร้าง
ตะวันฉายกลิ้งออกมา ครั้นลุกขึ้นเดินได้ก็เดินเปะปะก็โดนสมุนทัศน์ฟาดด้วยพานท้ายปืนจนทรุดลงอีก ทัศน์ตามออกมาอย่างใจเย็น
“ผมไม่มีเวลามาเล่นเกมผู้หมวด สมุดบัญชีอยู่ไหน”
ตะวันฉายไม่ยอมตอบ
“ผมสัญญา แค่คุณยอมบอก ผมจะถือว่าเราหายกันคุณกับน้องก็ไปตามทางของคุณ ผมไปตามทางของผม คุณว่าดีมั้ย”
ตะวันฉายหันไปมองทัศน์ และได้พบว่าบัดนี้สายตาของเขาเริ่มเห็นชัดขึ้น แต่ยังเห็นทัศน์รางๆ เมื่อเลื่อนสายตาต่ำลงตรงหน้า ก็เห็นเงาพระจันทร์สว่างในแอ่งน้ำขังตามหน้าบ้าน
“ทางใครทางมันงั้นเหรอ น่าเสียดายนะ คนที่เลือกทางตรงข้ามกับคุณ ดูเหมือนจะลงนรกกันหมด ไอ้หัวจักร เสี่ยเจริญ ชัชชัย”
ทัศน์เสริมให้อีกหลายศพ “หรือแม้แต่จ่าบุญส่ง ดาบปกรณ์ จ๊อด กุญแจผี เคี้ยง มังกรแดง ไอ้พวกหน้าโง่ทั้งหลาย” ทัศน์ยกปืนจ่อตะวันฉาย “รวมทั้งคุณ”
ตะวันฉายเครียดสุดขีด
“บอกมาผู้หมวด สมุดบัญชีอยู่ไหน”
ตะวันฉายถ่วงเวลา “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะรักษาคำพูด”
“คุณยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือผู้หมวด”
“รอให้บูรพาปลอดภัยก่อน แล้วฉันจะบอกแก”
ทัศน์ยิ้มมองหน้ากับยุทธ ทุกคนเหมือนกับอ่านเกมออกกันหมดว่า ตะวันฉายจงใจถ่วงเวลา
“เสียใจด้วยผู้หมวด การต่อรองจบแล้ว”
ตะวันฉายใจหล่นเสียววูบ “แกไม่อยากได้สมุดบัญชีแล้วหรือไง”
“อย่าลักไก่ดีกว่าผู้หมวด คุณไม่มีสมุดบัญชี”
ตะวันฉายอึ้ง ได้แต่เก็บปากเงียบเตรียมรับความตาย
ทัศน์หันไปพยักหน้าให้ยุทธ
ยุทธยกปืนจะยิงตะวันฉาย แต่แล้วปืนในมือของยุทธกลับถูกยิงกระเด็นไป ยุทธตกใจเหลียวหลังไปดูแต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด
ตะวันฉายนึกออกหันไป
“บูรพา”
บูรพาเดินออกมาจากเงามืด และลั่นปืนยิงใส่พวกของยุทธ สมุนที่เหลือกับยุทธออกไปรับหน้าบูรพา
บูรพาเดินหน้าเข้าหายุทธและสมุน และกระหน่ำยิงจนร่วงระนาว ตะวันฉายถือโอกาสนนั้นพลิกตัวไปที่ศพของสมุนคนหนึ่งและชักปืนออกมา ทัศน์เล็งปืนมาทางตะวันฉาย เช่นเดียวกับตะวันฉายที่เล็งไปยังทัศน์
ยุทธถูกบูรพายิงล้มลง บูรพาวาดปืนหันปากกระบอกมายังทัศน์
“เอาเลยบูรพา ถ้าอยากเห็นพี่ของแกตายต่อหน้า”
“ไม่มีทาง แกนั่นแหละที่จะต้องเสร็จเค้า” บูรพาบอกอย่างมั่นใจ
ทัศน์หันมาเย้ยตะวันฉาย “แน่ใจอย่างนั้นเหรอ”
ตะวันฉายกระชับปืนพยายามเพ่งสายตามอง
“ว่าไง ผู้หมวด คุณคิดว่าจะยิงโดนผมงั้นเหรอ”
เมฆดำกระจายตัวออกไป เผยให้เห็นดวงจันทร์สุกสว่างดังเดิม ตะวันฉายเบิกตามอง ทัศน์เห็นท่าไม่ดียกปืนจะยิงตะวันฉาย
แต่ตะวันฉายเหนี่ยวไกกระสุนพุ่งเข้าปากกระบอกปืนของทัศน์ ปืนระเบิดออก ทำเอามือข้างนั้นฉีกไปในพริบตา ทัศน์ล้มลงแผดเสียงร้องโหยหวน
บูรพาจะยิงซ้ำ แต่ทัศน์รีบพลิกตัวหลบ และชักปืนด้วยอีกมือยิงตอบโต้ ตะวันฉายและบูรพาช่วยกันยิงทัศน์
ทัศน์ยิงสกัดก่อนจะฉากหลบไปทางหลังบ้าน บูรพาทำท่าจะตามไป
“อย่าตาม พวกเราถอยก่อนดีกว่า”
บูรพาคิดปราดเดียวจึงพยักหน้า

รถเสือจอดซุ่มอยู่ที่ในป่าไผ่ตรงปากทางเข้าบ้านร้าง รถสตาร์ตเครื่องรอไว้ ธิชาชะเง้อมองไปด้านในอย่างร้อนรน สักครู่ก็เห็นบูรพาประคองตะวันฉายเดินลัดเลาะออกมาก็ดีใจ
บูรพาทิ้งร่างตะวันฉายเอนลงกับเบาะหลัง
“ไม่เป็นไรนะคะผู้หมวด”
ตะวันฉายได้แต่ยิ้มตอบอย่างอ่อนล้าโรยแรง บูรพาเข้าเกียร์ ออกรถไปจากที่นั่น โดยมีทัศน์ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าพันมือข้างที่ถูกยิง จดสายตามองตามรถที่แล่นจากไปด้วยความอาฆาตแค้นถึงขีดสุด

ใกล้เช้าเข้าไปทุกขณะ บูรพาแล่นรถมาจอดแถวท่าเรือ ทั้งสามคนมองจากในรถออกไปต่างเงียบๆ และพบว่าท่าเรือดูเงียบเชียบผิดสังเกต
จู่ๆ ก็มีมือมาเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ บูรพาตกใจชักปืนก่อนจะเห็นว่าเป็นคนเรือ จึงรีบไขกระจกลง
“ว่าไง”
คนเรือ 1 บอก “เรือชื่อภราดร 4 อีกครึ่งชั่วโมงจะเทียบท่า ถึงตอนนั้นรีบขึ้นไปเลยนะ วิทยุออกข่าวว่าตำรวจกำลังล่าตัวคุณอยู่”
บูรพามองหา “แล้วเถ้าแก่ล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน หายไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ถึงได้หาหัวปั่นกันอยู่นี่ไง” คนเรือมองแผลบูรพาแล้วจึงบอกว่า “จะลงมาทำแผลก่อนรึเปล่า”
บูรพามองไปทางตะวันฉายแล้วนึกห่วงจึงพยักหน้ารับ

เวลาผ่านไปอีก ตะวันฉายหลบมุมให้บูรพาทำแผลอยู่ที่ท้ายรถ โดยมีธิชาเฝ้ามองผ่านทางกระจกหูช้าง ตะวันฉายเหลือบมามองบูรพา
“แกยังคิดว่าฉันจะไปไม่รอดอยู่มั้ย”
ตะวันฉายส่ายหน้า
“ทำไม”
“เพราะฉันไม่ยอมเห็นแกตายต่อหน้าเด็ดขาด” ตะวันฉายปล่อยมุก
บูรพานึกขำ “ตกลงฉันลากแกมานี่ หรือแกลากฉันมากันแน่”
ตะวันฉายยิ้ม “ก็คงลากมาด้วยกันนั่นแหละ”
บูรพาอึ้ง เลี่ยงไปเรื่องอื่น “ถ้าฉันหนีไปได้ แกจะตอบคำถามเจ้านายแกว่ายังไง”
“อย่าห่วงเลยฉันจัดการเองได้ อยากมากก็คงโดนย้ายอีกรอบ หรือไม่ก็ออกจากราชการ”
“แกไม่เสียดายเหรอ”
“อย่าลืมสิ ว่าฉันมาเป็นตำรวจเพื่ออะไร”
บูรพารอฟัง ตะวันฉายเงียบไปนาน ก่อนจะเปิดปากพูดสิ่งที่อัดอั้นตลอด 5 ปีออกมา
“เพราะฉันรับปากกับแกเอาไว้ เมื่อห้าปีก่อนฉันเคยบอกกับแกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของฉัน…และฉันก็ไม่เคยลืม”
“ก็แค่คำพูดแกจะจำมันไปทำไม”
“แกรู้มั้ย สี่ปีในคุกของแก ฉันไม่เคยนอนหลับฝันดีเลยสักครั้งเดียว เฝ้าแต่นับวันรอให้แกออกมาอโหสิให้ฉัน ปีที่แล้วพอแกพ้นโทษ แกก็ไม่ยอมกลับบ้านพ่อต้องร้องไห้ ฉันจะขอร้องแกให้เปลี่ยนใจสักครั้งก็ทำไม่สำเร็จ ถ้าแกเป็นฉัน แกคิดว่ายังจะทำอะไรได้อีกนอกจากฝังความผิดทั้งหมดเอาไว้ในหัวของตัวเอง ฉันไม่เคยโกรธที่แกทำร้ายฉันบูรพา เพราะฉันคิดอยู่เสมอว่าทุกการกระทำของแกก็คือบาดแผลที่ฉันต้องชดใช้ ฉันไม่รู้ และฉันก็ไม่สนด้วยว่า ในหัวใจของแกจะรับสิ่งเลวร้ายมามากมายมหาศาลขนาดไหนแต่อย่างเดียวที่ฉันรู้ ก็คือฉันยังทนได้ และจะทนต่อไปจนกว่าแกจะรู้สึกดีขึ้น จนกว่าแกจะยอมกลับมาเป็นบูรพาคนเดิม จนกว่าแกจะยอมกลับบ้าน รู้ไว้เถอะบูรพา ทุกความทรมานของแกตลอด 5 ปี มานี้ ฉันยินดีรับมันไว้เอง”
ตะวันฉายน้ำตาไหลพราก บูรพานิ่งอึ้งสายตาเหลือบเห็นธิชาซึ่งไม่รู้ลงจากรถมาแต่เมื่อไหร่ และกำลังยืนนิ่งมองตะวันฉายทั้งน้ำตา คาดไม่ถึงว่าตะวันฉายจะแบกรับความทุกข์เอาไว้มากมายขนาดนี้ เธอมองมาที่บูรพาด้วยสายตาวิงวอน
บูรพานิ่งคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา
“ฟังนะ ฉันจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” เขาเน้นเสียงตรงคำว่า “แกชดใช้มาพอแล้ว”
ตะวันฉายเหมือนคนถูกถอนคำสาป นิ่งไป
บูรพายิ้ม “ฉันยกโทษให้แก”
ตะวันฉายหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา บูรพาเดินเข้าไปยืนตรงหน้ายอมปล่อยตัว รอจนตะวันฉายรวบตัวเข้าไปกอดเอาไว้
ภาพนั้นทำให้ธิชายิ้มออกมาทั้งน้ำตา
ตะวันฉายกอดน้องชายไว้อีกครั้ง นิ่งนาน ความบาดหมางที่ติดค้างในกันและกัน มลายหายไปสิ้น
“เอาล่ะ เดี๋ยวเรือจะมาแล้วแกกับธิชาเตรียมตัวเดินทางเถอะ”
บูรพาพยักหน้า แต่แล้ว กลับมีเสียงปืนดังขึ้นมาหนึ่งนัด ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ตะวันฉายก้มลงมองที่ข้อแขนของตัวเอง เขาถูกยิง และเมื่อเงยหน้ามอง จึงคิดได้ว่ากระสุนนัดนั้นตัดออกมาจากลำตัวของบูรพา
บูรพามองหน้าตะวันฉาย แล้วค่อยๆ ก้มลงมองร่างตัวเอง มีรอยถูกยิงทะลุออกมาจากอกด้านขวาใกล้ๆ บริเวณบ่า เลือดฉีดกระเซ็น
บูรพาชักปืนหันกลับไป เห็นทัศน์เดินถือปืนฝ่าสายหมอกมาแต่ไกล ทัศน์ยิ้มชั่วสาแก่ใจ ก่อนจะเหนี่ยวไกยิงอีกนัด
กระสุนนัดที่สองส่งร่างบูรพาผงะหงายไปทันที ตะวันฉายได้สติ ตกใจสุดขีด
“บูรพา”
ตะวันฉายรีบช้อนประคองร่างบูรพา แล้วชักปืนกระหน่ำยิงใส่ทัศน์
เห็นเงาทัศน์ไวๆ พลิกตัวหลบเข้าที่กำบัง ตะวันฉายถือโอกาสนั้นลากบูรพาหลบไปเช่นกัน ธิชาตกใจเปิดประตูลงมาจากรถ
“บูรพา ผู้หมวด”
บูรพาตะโกนก้อง “อย่าลงมาธิชา กลับขึ้นรถไป”
ธิชาชะงัก โดยไม่รู้ว่าทัศน์ปรากฏตัวออกมาจากไอหมอกทางเบื้องหลัง ยกปืนขึ้นจ่อจะยิง
“ธิชา”
บูรพาแข็งใจผลักตะวันฉายออก แล้วโผไปนอกที่กำบัง
“ธิชาหมอบ”
ธิชารีบหมอบลง บูรพายิงใส่ทัศน์พลางวิ่งไปหลบอีกด้าน ทัศน์วิ่งตามเป็นเส้นขนาบ และยิงบูรพาในฟากตรงข้าม
บูรพากับทัศน์ระเบิดความแค้นใส่กันอย่างบ้าคลั่ง ต่างฝ่ายต่างหลบเข้าหาที่กำบัง ตะวันฉายถือโอกาสนั้นดึงตัวธิชาหลบเข้ามาข้างรถ และบอกว่า
“คุณรอผมตรงนี้ ผมจะไปช่วยบูรพาจำไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าโผล่ออกไปเด็ดขาด”
“ระวังตัวด้วยนะคะผู้หมวด”
ตะวันฉายพยักหน้า แล้วเคลื่อนกายออกไปหาที่กำบังใหม่ที่อยู่ตรงข้ามกับบูรพา และได้เห็นว่าบูรพากำลังย่ำแย่เพราะบาดแผลที่หน้าอก หน้าตาซีดเซียว
บูรพาเหลือบสบตากับตะวันฉายอย่างอ่อนล้า พลางส่งซิกมองไปยังที่ซ่อนของทัศน์และพยักหน้า ตะวันฉายมองไปยังตำแหน่งที่ทัศน์น่าจะซ่อนตัวอยู่ด้วยความแค้นก่อนจะค่อยโถมตัวออกจากที่ซ่อน
ตะวันฉายพลิกตัวมาตรงหน้าที่ซ่อนของทัศน์ เพื่อกะจ่อยิงซ้ำแต่เมื่อมองให้ถนัดกลับพบแต่รอยเลือดของทัศน์ กับเสื้อเกราะกันกระสุนซึ่งโดนยิงพรุน ถูกถอดทิ้งไว้
ตะวันฉายโผล่หน้าไปส่ายหน้ากับบูรพาว่าไม่เจอตัว ทั้งสองคนช่วยกันกวาดสายตามองหาทัศน์
บูรพาตะโกนก้อง “แกอยู่ไหนไอ้ทัศน์ ออกมา”

ชาวบ้านชาวประมงในละแวกสะพานปลาโผล่หน้ามาดู ก่อนจะหดหัวปิดหน้าต่างหลบกลับเข้าไป ไม่มีใครกล้าแหลมออกมาที่สะพาน
ผ่านกระบอกปืนทัศน์ตรงมาหาตะวันฉายทางด้านหลัง ขณะที่ตะวันฉายมัวสนใจบูรพาที่กำลังตะโกนอยู่
“แน่จริงออกมาสิวะ”
บูรพาหันมาเหลือบเห็น ตะโกนก้อง
“ระวัง”
ตะวันฉายหันไปดู และเจอปากกระบอกปืนของทัศน์ชนิดเต็มตา ตะวันฉายบ่ายหน้าหลบทางปืนทัศน์ไปพ้นแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ตะวันฉายพลิกตัวกลิ้งหลบฉากออกมา โหนกแก้มโดนกระสุนเฉี่ยวจนเป็นแผล ทัศน์ยกปืนยิงตามอย่างบ้าระห่ำจนพื้นสะพานพรุน
บูรพาถือโอกาสนั้นยิงใส่ทัศน์ จนทัศน์เสียจังหวะต้องรีบหลบเข้าหลังเสา
ตะวันฉายตั้งหลักได้ลุกขึ้นนั่งจะยิงใส่ทัศน์ แต่ทัศน์เหลือบเห็นก่อน จึงยิงสวนจนปืนตะวันฉายกระเด็นหลุดมือไป แต่ครั้นพอทัศน์จะยิงตะวันฉายซ้ำ ก็ปรากฏว่าบูรพาปราดเข้ามาเตะปืนออกจากมือของทัศน์เสียก่อน และจ่อปืนเข้าที่ขมับทัศน์
“จบกันซะที ไอ้ทัศน์”
บูรพาเหนี่ยวไก แกนในปืนเด้งออกมา ด้วยว่าปืนบูรพากระสุนหมดเสียก่อน ทัศน์ใจหายวาบ
บูรพาตกใจ แต่ไม่ยอมเสียโอกาสรีบล็อคคอทัศน์เอาไว้ และหวดด้วยด้ามปืนป้าบๆ เหมือนกะไม่ให้ตั้งหลัก ทัศน์โดนฟาดจนหัวแตกทรุดไป ตะวันฉายปรี่เข้าเตะซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะลากคอเสื้อทัศน์ขึ้นมาหมายจะทวงหนี้คืนให้สาสม
ทัศน์ได้จังหวะรีบปัดมือตะวันฉายออก รวบไว้ทั้งสองข้าง และเอาหัวโขกเข้าเต็มแรงหลายทีซ้อน ตะวันฉายหน้ามืดเสียหลักไป บูรพากระโดดเข้ารวบตัวทัศน์แต่กลับถูกทัศน์ทุ่มลงไปฟาดพื้น และจะกระทืบซ้ำ บูรพารีบยกมือยันฝ่าเท้าทัศน์ออกเสียก่อน และรีบพลิกตัวขึ้นตั้งหลักการ์ดมวย
ทัศน์ขยับบิดมือคลายเส้นคลายสาย พร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกให้บูรพาเข้ามา
บูรพารอจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะโผเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว ทั้งต่อย เตะ เสยเข่าพัลวัน แต่ทั้งหมดถูกทัศน์ปัดป้องได้หมด ทัศน์รอจนบูรพาอ่อนแรงลง จึงตวัดแขนล็อคแขนบูรพามาหนีบเอาไว้ก่อนจะชกใส่หน้าสามหมัดรวด บูรพาทรุดลงไปกับพื้น

ด้านตะวันฉายพอหายมึน ก็มองไปที่ปืนของทัศน์ ซึ่งทัศน์กำลังมองอยู่เช่นกัน ทั้งสองโผเข้าแย่งปืนกระบอกเดียวกัน
บูรพารีบพลิกตัวไปคว้าปืนของตนบ้าง เขาดึงแม็กกระสุนจากซอกถุงเท้าออกมาเติม
ทัศน์แย่งปืนได้สำเร็จ และยิงใส่บ่าตะวันฉายจนล้มคว่ำลง ก่อนจะเล็งใส่บูรพาอีกคน ในวินาทีเดียวกับที่บูรพาเติมกระสุนเสร็จ และเล็งปืนใส่ทัศน์เช่นกัน
สองคนเล็งปืนเข้าใส่กันพร้อมๆ กัน นิ้วของทั้งสองฝ่ายเหนี่ยวไก
ปืนสองกระบอกต่างลั่นกระสุนออกมา ร่างบูรพาถูกยิงผงะไป เช่นเดียวกับทัศน์
บูรพา และทัศน์ต่างนอนจมกองเลือดขยับลุกกันไม่ไหว ทัศน์อาศัยเลือดทรหดกัดฟันลุกขึ้นนั่ง หมายจะยิงบูรพา แต่แล้วก็ถูกตะวันฉายซึ่งอาศัยเลือดบ้าแผดเสียงร้องลั่น พร้อมกับโถมตัวเข้ารวบตัวทัศน์จนล้มไป
ทัศน์พยายามสลัดตะวันฉายออก แต่กลับถูกล็อคแขนจากข้างหลัง
“บูรพา ยิงมัน” ตะวันฉายตะโกนก้อง
“อย่า อย่า” ทัศน์ร้องลั่น
บูรพาแข็งใจยืนขึ้นเล็งปืน
“ยิงมัน ยิงมัน”
บูรพายิงไม่ถนัด ปืนในมือทัศน์ลั่นใส่แบบไม่รู้ทิศทางเหมือนจะขู่ไม่ให้บูรพาเข้ามาใกล้ทัศน์ซึ่งโดนล็อคแขนจากข้างหลังลดปืนลงยิงใส่ขาตะวันฉายจนล้มลง และหันไปจะยิงบูรพา
บูรพาถือโอกาสนั้นยิงใส่ทัศน์ ตะวันฉายที่ล้มลงคว้าปืนได้ยิงใส่ทัศน์
บูรพากับตะวันฉายกระหน่ำยิงทัศน์จนพรุน ทัศน์ทรุดเข่าล้มลง ขาดใจตายคาที่ จบชีวิตชั่วชาติของมันในสภาพตาเบิกค้าง
บูรพาทิ้งตัวลงหอบเหนื่อย ทรมานทรกรรม เช่นเดียวตะวันฉายหลับตาลง หายใจทั่วท้อง หืดขึ้นคอกว่าจะพิชิตทัศน์ลงได้

เช้าแล้ว ธิชากับตะวันฉายประคองบูรพามานั่งรอเรือด้วยกัน ทั้งคู่ได้รับการปฐมพยาบาลกันแล้วตามมีตามเกิด สองพี่น้องหันมามองหน้ากัน
“แกไม่เป็นไรนะ”
“ยังไหว” บูรพาบอกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียแล้วเงียบไป

จนกระทั่งมีเสียงหวูดเรือขัดจังหวะขึ้นมา สองพี่น้องมองไป และเห็นเรือภราดร 4 แล่นอยู่ไกลลิบตา กำลังบ่ายหน้าเข้ามาช้าๆ
สีหน้า ธิชา ตะวันฉาย และบูรพาต่างมองเรือซึ่งเป็นความหวังของในใจแต่ละคน
บูรพามองหน้ากันกับตะวันฉาย ระลึกว่าเวลาของการพลัดพรากมาถึงแล้ว
“เรือมาแล้ว”
“ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก” ตะวันฉายใจหาย
บูรพานิ่ง ไม่มีคำตอบให้
“ฉันฝากดูแลพ่อด้วย
“ไม่ต้องห่วง แกเตรียมตัวเดินทางเถอะ”
บูรพามองพี่ชายนิ่งๆ ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปจับมือกับตะวันฉาย
“ถ้ามีโอกาสฉันจะส่งข่าวมา”
“ไม่ต้องหรอก ฉันว่าทางนี้คงมีคนตามล่าตัวแกอีกนาน ทางที่ดีอย่าชี้เบาะแสของตัวเองดีกว่า”
“ถ้างั้น ถ้าฉันรอดตาย ฉันส่งโปสการ์ดมาถึงแกก็แล้วกัน จะให้ฉันเขียนบอกแกว่ายังไง”
“แค่บอกว่า แกเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ก็พอแล้ว”
บูรพารู้สึกตื้นตันใจ
ธิชามองทั้งคู่ก่อนจะล้วงหาของในกระเป๋าเป้เดินทางของเธอ หยิบของออกมาและส่งให้ตะวันฉาย
“ผู้หมวดคะ ฉันกับบูรพาไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวมากมาย นอกจากสิ่งนี้ บางทีมันอาจจะมีความหมายสำหรับคุณ”
ตะวันฉายรับมาดู และพบว่ามันเป็นกรอบรูปโลหะเล็กๆ ใส่รูปถ่ายของธิชากับบูรพา
“มันเป็นความทรงจำของฉันกับบูรพา”
“ขอบคุณมากธิชา ผมจะเก็บมันไว้โชคดี บูรพา คุณด้วยนะธิชา”

ระหว่างรอเรือ ตะวันฉายเดินกระเผลกๆ เข้ามาสำรวจในออฟฟิศเฮียเป็ด ซึ่งเป็นห้องทำงานหยาบๆ รกๆ ไร้ระเบียบ มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่และใช้เป็นที่เก็บสินค้าไปด้วยในตัว ตะวันฉายเห็นประตูเปิดอยู่จึงเคาะเรียก ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามามองหา
“มีใครอยู่รึเปล่าครับ”
ตะวันฉายเดินกระเผลกๆ เข้ามาในห้อง มองจนทั่วแต่เห็นว่าไม่มีคนเลย จึงทำท่าจะกลับออกไป แต่แล้วจมูกก็ได้กลิ่นฉุนๆ ผิดปกติในห้อง
ตะวันฉายเดินไปดูที่โต๊ะทำงานเฮียเป็ด ที่มีวิทยุตั้งอยู่สำหรับวอ.กับวิทยุบนเรือ ตะวันฉายค่อยๆ ย่อตัวลงดูที่ใต้โต๊ะ จนเห็นศพเฮียเป็ดถูกยัดหมกเอาไว้ เนื้อตัวเขียวแล้ว เพราะโดนฆ่าตั้งแต่เมื่อคืน
ตะวันฉายตกใจผงะ นึกขึ้นได้
“ไอ้ทัศน์”
ตะวันฉายได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจึงชักปืนออกมา ขยับไปที่หลังโต๊ะทำงาน เจอคนเรืออีกคนจะวิ่งหนี ตะวันฉายคว้าเอาไว้
“เรือล่ะ ทำไมยังไม่มา นี่เลยเวลามานานแล้วนะ”
“ก็มันไม่มาแล้วน่ะสิคุณ ผมวิทยุไปแคนเซิลเรียบร้อยแล้ว”
ตะวันฉายเลือดขึ้นหน้ากระชากคอเสื้อคนเรือ
“คุณว่าอะไรนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง ไหนน้องผมเค้าบอกว่าเค้าจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้วไงล่ะ คุณคิดจะเบี้ยวเค้าใช่มั้ย”
“เดี๋ยวๆ ฟังผมก่อน ถึงเรือมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วตำรวจกำลังจะแห่กันมาที่นี่ แห่กันมาทั้งกองปราบคุณรู้รึเปล่า”
“ว่าไงนะ”
“ไม่เชื่อคุณลองเปิดวิทยุดูสิ”
ตะวันฉายตั้งสติ ขยับไปเปิดวิทยุของเฮียเป็ด และจูนหาคลื่นของตำรวจ
คนเรือถือโอกาสนั้นรีบหนีไปโดยไม่รั้งรอ ตะวันฉายเห็นแต่ขี้คร้านจะตามเพราะมัวสนใจฟังคลื่นวิทยุมากกว่า
“อินทรีเรียกนกยูง ขอรายงานตำแหน่ง ขณะนี้เดินทางถึงแยก อีก 5 นาที จะเข้าถึงที่หมาย ช่วยประสานงานกับทางท้องที่ด้วยว่า ให้ปิดทางเข้าออกของบริเวณท่าเรือ ย้ำปิดทางเข้าออกของบริเวณท่าเรือให้หมด เป้าหมายเป็นคนร้ายในคดียาเสพติด มีอาวุธ และคาดว่าจะต้องขัดขืนการจับกุมแน่นอน”
วิทยุตำรวจประสานงานกันต่อไป
“นกยูงรับทราบ ทวนคำสั่ง...”
ตะวันฉายนิ่งอึ้งรำพึงออกมา “อินทรี หรือว่า หน่วยอรินทราช”

กองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านกั้นให้รถที่แล่นสัญจรละแวกนั้นจอดรอชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้กับขบวนรถตำรวจกองปราบที่มาพร้อมกับหน่วยอรินทราช แล่นตามกันมาเป็นแถว
ในรถบรรทุกหน่วยอรินทราช ทุกคนตรวจตราอาวุธในขณะที่หัวหน้าหน่วยก็กำชับสั่งการ
“ทุกคนจำไว้ เป้าหมายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่จะปล่อยให้หลุดรอดไปไม่ได้เด็ดขาดถ้ามีการขัดขืนการจับกุม อนุญาตให้ยิงได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น”
สารวัตรเมธามาพร้อมกับยักษ์ในรถอีกคันหนึ่ง
ยักษ์มองตามท้ายรถหน่วยอรินทราชที่แล่นนำอยู่ข้างหน้า ด้วยสีหน้าหนักใจเหลือบมองเมธาเป็นระยะก่อนจะตัดสินใจถาม
“สารวัตรครับ ถ้าเกิดผู้หมวดช่วยนายบูรพาขึ้นมาจริงๆ สารวัตรจะทำยังไงครับ”
“ทำไมหมู่ไม่วิทยุไปถามหน่วยอรินทราชข้างหน้าโน่นล่ะ นอกจากภาวนาผมก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วหมู่ ขออย่าให้ผู้หมวดตะวันฉายติดร่างแหไปกับน้องเลย”
ยักษ์หน้าเสีย สารวัตรหนักใจมาก
ขบวนรถตำรวจแล่นไปอย่างรวดเร็ว

ตะวันฉายโลดลิ่วกลับมาที่สะพานอย่างร้อนรนเร็วเท่าที่สังขารจะอำนวย พร้อมกับตะโกนบอกบูรพากับธิชา
“บูรพา ธิชา รีบขึ้นมาเร็วเข้า”
ธิชางง “ผู้หมวด”
“กลับไปที่รถเร็ว เรือไม่มาแล้ว”
ธิชาตกใจ ไม่เชื่อหู “คุณว่าอะไรนะคะ”
บูรพาใจหล่นวูบ “เกิดอะไรขึ้น”
“ตำรวจกำลังมาที่นี่ ส่งหน่วยล่าสังหารมาด้วย”
บูรพากับธิชาต่างช็อกกันไป โดยบูรพาถึงกับอึ้งไปกับชะตากรรมของตน
“รีบหนีกันเถอะ เร็ว”

ธิชาประคองบูรพาให้หนี ตะวันฉายเข้าไปช่วยอีกแรง

อ่านต่อหน้า 4




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 17 อวสาน (ต่อ)

ขณะที่ตะวันฉายกับธิชากำลังจะประคองบูรพามาที่รถแต่แล้วธิชาก็ต้องชะงัก

“ผู้หมวด”
ตะวันฉายชะงักตามเมื่อเห็นรถหลายคันแล่นเข้ามา มองไปเห็นขบวนรถของกองปราบและหน่วยอรินทราชได้มาถึงแล้ว ทั้งสามได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก สีหน้าบูรพาสลดวูบ
“ฉันหนีไม่พ้นแล้ว”
“ไม่ แกต้องไปรอด ฉันไม่ยอมให้แกตายแบบนี้เด็ดขาด” ผู้หมวดมองไปรอบตัว “ลองไปดูด้านโน้นก่อน เร็วเข้า”
ตะวันฉายกับธิชาประคองบูรพาหลบไปอีกทาง สักพักก็เห็นรถของตำรวจแล่นเข้ามาจอดบริเวณรถของเสือ

ที่ปลายท่าเรือ มีรถเก่าๆ คันหนึ่งจอดอยู่ริมท่า ตะวันฉายมองดูรอบตัวเห็นว่าไม่มีทางไป แถมสถานที่ยังเปิดโล่งเสียอีก
“ขึ้นไปหลบบนรถนั่นก่อน”
ทั้งคู่ช่วยประคองบูรพาไปนั่งที่เบาะท้ายรถ ตะวันฉายหันไปถามธิชา
“รถมีน้ำมันรึเปล่า”
ธิชาดูหน้าปัด “มีค่ะ”

ตะวันฉายปราดขึ้นนั่งยังที่นั่งคนขับ แล้วกระชากสายไฟออกมาเพื่อจะต่อสายตรงเพื่อสตาร์ตรถ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินบูรพาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
ตะวันฉายกับธิชามองหน้ากันงงๆ เห็นบูรพาชี้ไปที่กระจกหูช้าง ตะวันฉายมองตามไปก่อนจะหันไปมองนอกตัวรถอย่างไม่เชื่อสายตา
ล้อหลังของรถไม่มี มันถูกยกค้างอยู่บนแม่แรง
ตะวันฉายอึ้งไป ยังได้ยินเสียงน้องชายหัวเราะ ตะวันฉายเหมือนจะร้องไห้ตาม จนบูรพาต้องตบบ่าเตือนให้ขำเหอะ ตะวันฉายถึงหัวเราะตามน้องออกมา ด้วยความสมเพชตัวเอง
ธิชาขำไม่ออก ได้แต่มองทั้งคู่อึ้งๆ
ตะวันฉายกับบูรพาหัวเราะหัวใคร่ให้กันอย่างสนิทสนม จนหนำใจจึงเงียบกันไป แล้วมองหน้ากันอย่างปวดร้าว
“ยอมรับความจริงเถอะ ทางเลือกของแกกับฉันมันเหลือไม่มากนักหรอก”
“ฉันจะลองไปเจรจากับตำรวจ”
“ไม่ต้อง แกอย่าเสี่ยงเพื่อฉันอีกเลย แกกับธิชาเสี่ยงมาพอแล้ว ไปจากที่นี่ซะ”
ตะวันฉายนิ่งเงียบไป ก่อนจะบอกว่า
“ฉันทำไม่ได้”
“แต่แกต้องไป พาธิชาไปด้วย”
“ไม่ ฉันไม่ไป”
“ขืนอยู่กับผมตรงนี้มีแต่ตายเท่านั้น”
ธิชาไม่ยอมรับ ขยับโอบกอดบูรพาไว้แน่น ตะวันฉายมองทั้งสองอย่างเวทนาก่อนจะคิดหาทางออกอยู่สักครู่
“ตะกี้แกพูดเองว่าแกมีทางเลือกไม่มาก”
“ใช่”
“ฉันก็เหมือนกัน แต่ชั้นจะทำทุกอย่างให้แกรอด”
บูรพาไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ตะวันฉายรวบรวมสติก่อนจะสั่งการ
“รอฉันที่นี่ ฉันจะไปเจรจา ระหว่างนั้นพยายามนั่งติดกับธิชาเข้าไว้ แล้วก็อย่าชักปืนออกมาให้ตำรวจเห็นเด็ดขาด ไม่งั้นเค้าจะยิงแกทันที”
บูรพาพยักหน้าอย่างจำยอม ตะวันฉายมองมาที่ธิชา
“คุณจะเปลี่ยนใจรึเปล่า ธิชา”
ธิชาส่ายหน้าอย่างหนักแน่น ท่าทางพร้อมจะตายกับบูรพา ตะวันฉายพยักหน้าแล้วเดินลงไปจากรถ ตะวันฉายลงมาจากรถและเดินไป ภาพเคลื่อนรับไปที่ต้นท่าน้ำเห็นว่าบัดนี้มีรถตำรวจจอดปิดทางเข้าออกอย่างแน่นหนา โดยมีตำรวจทั้งกองปราบและหน่วยอินทราชวางกำลังพร้อมอาวุธในมือสภาพพร้อมยิง ตะวันฉายหายใจลึกสะกดความกลัวก่อนจะเดินมุ่งหน้าเข้าหาปากกระบอกปืน

ทางต้นท่า เมธายืนรอสั่งการ โดยมียักษ์เฝ้าดูอยู่ด้วยความเป็นห่วง เห็นตะวันฉายเดินเข้ามา
หัวหน้าหน่วยตะโกนก้อง “นายบูรพา พงศ์พิทักษ์ จนท.ได้ล้อมไว้หมดแล้วกรุณาเดินออกมามอบตัว ไม่งั้นเราจะสั่งยิง”
ตะวันฉายเมื่อขึ้นมาถึงก็ชูมือขึ้น และเตือนทุกคน
“อย่าเพิ่งยิง เอาปืนลงก่อน น้องผมกับผู้หญิงยังอยู่ในรถ อย่าเพิ่งยิง”
เมธาตะโกนกลับมา “หยุดอยู่ตรงนั้น ผู้หมวด”
ตะวันฉายชะงัก
“สารวัตร นี่ผมเองนะครับ”
เมธาส่ายหน้าเหมือนไม่ไว้ใจ เห็นมีเจ้าหน้าที่ปราดเข้ามาค้นตัวตะวันฉาย และดึงอาวุธปืนไป เมธาจึงเดินมาหาพร้อมยักษ์
“ผู้หมวดค่อยเดินออกมาช้าๆ”
ตะวันฉายยังคงยืนอยู่ไม่ยอมออกมา
“สารวัตรครับผมแค่ต้องการเวลา ผมจะเกลี้ยกล่อมเค้า”
“คุณจะเอาอะไรไปต่อรองกับเค้า”
“ผมมีหลักฐานมัดตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ท่านรองบารมี ผมมีบัญชีฟอกเงินค้ายาของเค้า ศพที่นอนอยู่เป็นของทัศน์คนสนิทของเค้า”
เมธาหนักใจสุดขีด “ผู้หมวด”
“คิดดูนะครับสารวัตร บูรพาเป็นคนเก็บหลักฐานนี่เอาไว้ เค้ามีสิทธิ์เป็นพยาน เค้าเป็นสมาชิกของแก๊งเสี่ยเจริญ เค้ารู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่าง แค่บอกว่าเค้าจะไม่โดนโทษประหาร เค้าก็คง…”
“ผู้หมวด” เมธาพูดแทบเป็นตะคอก
ตะวันฉายเงียบ
“เรามาพูดความจริงกันดีกว่า น้องของคุณหมดทางรอดแล้ว”
สุดท้ายตะวันฉายต้องยอมรับฟังความจริง ด้วยความปวดร้าว
“สารวัตร ผมขอเวลาอีก10 นาที”
เมธายังเงียบ
“ผมขอร้อง อย่างน้อยก็ให้ผู้หญิงออกมาก่อน”
เมธาคิดหนัก “ก็ได้ 10 นาที หลังจากนั้นถ้าคุณหรือเค้าไม่กลับขึ้นมา เราจะบุกลงไป”
ตะวันฉายพยักหน้า แล้วปลีกตัวไปที่เจ้าหน้าที่ซึ่งริบปืนเขาไป
“ขอปืนคืนให้ผม”
เจ้าหน้าที่ลังเลมองมาที่เมธา จนสารวัตรพยักหน้าให้ ตะวันฉายรับปืนคืนไป และดึงวิทยุของเจ้าหน้าที่ไปด้วย พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ซึ่งตั้งปืนเตรียมเล็งอยู่
“อย่าเพิ่งยิง อีก 10 นาทีผมจะกลับมา”
ตะวันฉายเดินกลับไป เมธากับยักษ์เฝ้ามองตามอย่างกังวล

ที่ปลายท่า บูรพากับธิชาเฝ้ามองตะวันฉายเดินกลับมาที่รถ จนกระทั่งตะวันฉายขึ้นมานั่งบนรถ
“ถ้ามอบตัวฉันก็ต้องโดนประหาร ถ้าขัดขืนฉันก็ถูกยิง ไม่ว่าจะสู้หรือยอมแพ้ มันมีค่าเท่ากัน จริงมั้ย”
“แต่อย่างน้อยถ้าแกมอบตัว แกก็มีลมหายใจต่อไปอีกอย่างน้อยฉัน พ่อ ธิชา ก็ยังได้เห็นแกนานกว่านี้”
“กี่วันล่ะ หรือว่ากี่เดือน ที่แกจะได้เห็นหน้าฉันรอวันตายอยู่แบบนั้น จนถึงวันปิดคดีงั้นเหรอใช่ แกอาจทนได้ ธิชาอาจทนได้ แล้วพ่อล่ะ แกไม่คิดบ้างเหรอว่าพ่อต้องทรมานอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงวันที่ฉันตายไปจริงๆ”
ตะวันฉายกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ให้มันจบไปเถอะ จบไปซะวันนี้ ฉันขอร้อง”
ตะวันฉายเบือนหน้าทนรับคำขอนั้นไม่ได้
“บูรพา ไม่แน่นะคะ ถ้าคุณมอบตัวคุณอาจมีทางผ่อนปรนกับศาล อาจจะมีคนเห็นใจคุณ”
“เห็นใจคนที่ค้ายาเสพติด แล้วก็ฆ่าตำรวจตายน่ะเหรอธิชา ใครกันจะเห็นใจคนแบบนั้น” บูรพามองไปที่แถวตำรวจ “หน่วยแม่นปืนคงมากันหมด”
ธิชาได้แต่เงียบ บูรพาหันมาถามตะวันฉาย
“เรามีเวลาแค่ไหน”
“คงอีก 7 นาที”
บูรพานิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเด็ดขาด “พาธิชาไปซะ”
ธิชาทำท่าจะปฏิเสธ บูรพารีบหันไปเอ็ดดักคอ
“ไม่ธิชา ไม่ ถ้าคุณรักผม นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่คุณจะทำอะไรให้ผมได้ เชื่อผมเถอะ อย่าให้ผมต้องเป็นห่วงอะไรอีก”
“บูรพา ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของคุณแล้วทำไมไม่ให้ฉันอยู่ด้วย ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะตายกับคุณบูรพา”
ธิชาร้องไห้ด้วยความเสียใจ บูรพามองตะวันฉายอย่างวิงวอน บีบให้ตะวันฉายต้องตัดสินใจ
“ธิชา คุณไปก่อน ผมจะอยู่กับเค้าเอง”
“ไม่ ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันจะอยู่กับเค้า”
“คุณต้องเชื่อผมธิชา เค้าจะต้องปลอดภัย อย่าลืมสิ เค้าเป็นน้องผม”
ธิชาส่ายหน้า หัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่ยอมเชื่อ ยอมฟัง บูรพาช่วยพูดอีกแรง
“เค้าพูดถูก ธิชา คุณลงจากรถไปก่อน”
“ฉันไม่ยอมให้คุณทำอะไรโง่ๆ เด็ดขาด”
“ไม่หรอก ผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ขอผมปรึกษากับเค้าตามลำพัง แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น”
ธิชายังลังเล บูรพาโอบกอดและปลอบเธอ
“อย่ากลัวธิชา คุณเคยบอกผมเอง สำหรับคุณ ผมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
“สัญญากับฉันได้มั้ย ว่าคุณจะไม่เป็นอะไร”
บูรพาเหลือบมองมาที่ตะวันฉาย
“ผมสัญญา”
ตะวันฉายรู้สึกปวดร้าวแทน
ที่ต้นท่า สารวัตรเมธาลดกล้องส่องทางไกลลง เห็นตะวันฉายประคองธิชาเดินมาด้วยใบหน้าหม่นหมอง
เจ้าหน้าที่สองคนรีบวิ่งเข้ามารับตัวธิชาไป โดยธิชายังเหลียวมามองที่ตะวันฉายอีกครั้งและมองไปที่รถอย่างอาลัยอาวรณ์
“คุณต้องช่วยเค้าให้ได้นะคะผู้หมวด”
ตะวันฉายพยักหน้าให้ “คุณรอผมอยู่ที่นี่”
ตะวันฉายเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง

บูรพานั่งรออยู่ จนตะวันฉายเดินกลับมาขึ้นรถ ทั้งคู่นั่งเงียบกันครู่หนึ่ง
“อย่าลืมที่รับปากฉันไว้ ฝากธิชาด้วย”
“ฉันน่าจะปล่อยให้แกหนีไปตั้งแต่ห้าปีก่อน ถ้าฉันปล่อยให้แกหนีไปตั้งแต่ตอนนั้น”
“เปล่า แกทำถูกแล้ว มันเป็นทางของแก วิธีของแกฉันผิดเองที่โยนความผิดให้แกไปแบบนั้น”
บูรพายื่นมือมาให้ตะวันฉาย ผู้หมวดกุมมือน้องชายอย่างปวดร้าว
เมธาส่งเสียงมาทางวิทยุ “ผู้หมวด คุณมีเวลาอีก 3 นาที”
ตะวันฉายมองไปต้นท่า และมองกลับมาที่บูรพาอย่างลังเล
“เวลาของแกกำลังหมดแล้ว”
“ฉันเหลือทางเดินแค่สองทาง ตาย กับ ตายถ้าแกเป็นฉัน แกจะเลือกอะไร”
“แกหมายความว่ายังไง”
“ระหว่างจัดการตัวเองกับถูกคนอื่นจัดการอย่างไหนมันจะทรมานน้อยกว่ากัน”
ตะวันฉายรู้ว่าน้องหมายความถึงอะไร
“ชั้นไม่มีวันทำอย่างนั้นบูรพา”
“งั้นส่งปืนมาให้ชั้น”
“ไม่นะบูรพา...ยังไงชั้นก็ไม่มีวันให้แกทำอย่างนั้นแน่”
“ชั้นไม่มีสิทธิ์เลือก แกก็เหมือนกัน อย่าลืมดูแลธิชาแล้วบอกพ่อด้วยว่าชั้นรักพ่อ”
บูรพาเอาปืนจ่อเข้าหาตัวเอง
“อย่า...บูรพา...อย่า...”
ในสายตาตำรวจทุกคนเห็นตะวันฉายกับบูรพายื้อยุดกันอยู่จนมีเสียงปืนดังขึ้น
ตำรวจระวังเตรียมเข้าไปยิง
หัวหน้าหน่วยตะโกนก้อง “ระวัง”
หน่วยอรินทราช ประทับปืนเตรียมลั่นไก
“เดี๋ยวก่อน”
เมธาพยักหน้าให้หัวหน้าหน่วยมองไปที่รถ
ทุกคนเห็นตะวันฉายเดินออกมาจากรถ ส่วนบูรพายังนั่งนิ่งไม่ไหวติง
“ไม่นะ... ไม่...ไม่...”
ธิชาใจจะขาด โผเข้าไปที่ท่า แต่ถูกตำรวจคุมตัวไว้ ตะวันฉายเดินน้ำตานองหน้าออกมา ก่อนจะหยุด แล้วหันกลับไปที่รถ
“แกเชื่อใจพี่ใช่มั้ย บูรพา”
บูรพาตอบเสียงแผ่ว “ฉันเชื่อ”

ที่ต้นท่าทุกคนร้อนรนลุ้นระทึกตามจริตใครมัน ธิชาพยายามตะโกนขอร้องตะวันฉาย
“ผู้หมวด คุณต้องช่วยเค้านะ ผู้หมวด
เมธาพูดวิทยุ “ผู้หมวด ผมจะนับถอยหลัง ถ้าคุณไม่ออกมาเราจะเริ่มยิง...9…8…7…”

ส่วนที่ปลายท่า ตะวันฉายกับบูรพามองหน้ากัน
“แกเคยบอกเอง สิ่งที่ฉันคิดมันไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดก็ได้”
ตะวันฉายมองหน้าน้องชายเหมือนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด บูรพาพยักหน้ายืนยัน ตะวันฉายมองไปที่ตำรวจ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่าเวลานี้ท้องฟ้าเปิดกว้างเป็นอิสระ ตะวันฉายชูมือขึ้นเดินกลับไปหาตำรวจ
หัวหน้าหน่วย นับ “4…3…2…”
ตะวันฉายหันหลังเดินออกไปช้าๆ อย่างคนเตรียมใจ พึมพำกับตัวเอง
“จำไว้นะบูรพา พี่รักแก”
หัวหน้าหน่วยสั่งการ “เตรียมยิง...ยิงได้...”
หน่วยอรินทราชยิงถล่มใส่รถ รถระเบิดตูม แรงระเบิดดันรถลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนตะลึงตะไลถ้วนหน้า โดยเฉพาะธิชา เธอจะวิ่งกลับไปแต่ถูกคว้าตัวเอาไว้ รถกลายเป็นซากมอดไหม้ไปในพริบตา
ตะวันฉายหลับตาลงร้องไห้ ธิชาสลัดจนหลุดจากเจ้าหน้าที่แล้ววิ่งเข้ามาดู
ตะวันฉายเดินจากไปช้าๆ ธิชาพูดไม่ออก ทรุดลงนั่งมองกองเพลิง และเมื่อส่งเสียงเรียก เสียงก็ตันอยู่ด้วยก้อนสะอื้นในคอ
“บูรพา บูรพา”
ตะวันฉายถอยหลังเซๆไปอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะทิ้งปืนในมือลง
เมธากับยักษ์ตามลงมา และเห็นตะวันฉายกำลังเดินกลับขึ้นมาจากสะพาน
เมธาดูหน้าตะวันฉายที่มีแต่น้ำตาชุ่มโชก ก่อนจะยอมพยักหน้าอย่างสลดใจ
ตะวันฉายเดินจากไป ภาพบูรพาในความทรงจำของตะวันฉายผุดซ้อนขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวสายน้ำไหล น้องชายในความทรงจำของพี่
ตะวันฉายเดินแหวกฝ่าวงล้อม ตำรวจ และนักข่าวออกไป ไม่สามารถหยุดกลั้นน้ำตาได้
ธิชายังนั่งอยู่ที่เดิม เหม่อมองดูซากรถในเปลวเพลิงอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะส่งเสียงเพรียกหาคนที่เธอรักออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
“บูรพา…บูรพา…บูรพา”
เสียงนั้นบาดลึกกรีดเฉือนหัวใจของตะวันฉายเป็นชิ้นๆ จนเขาต้องหลบมุมและร้องไห้ออกมา
“พี่ช่วยแกได้แค่นี้บูรพา พี่ทำได้แค่นี้”
พื้นที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เศษเถ้าจากซากรถปลิวคว้างไปในอากาศและลอยลงสู่สายน้ำที่สงบเยือกเย็น
เหมือนกับชีวิตของบูรพาซึ่งในที่สุดก็ได้หยุดพักลงกระนั้น

ผ่านทิวแถวนักข่าวไปยังสารวัตรเมธาที่อ่านรายงานผลข้างต้นเกี่ยวกับคดีของบูรพา ในระหว่างการแถลงข่าวปิดคดีอย่างเป็นทางการในค่ำวันนี้
“จากการพิสูจน์หลักฐานข้างต้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่าศพของนายบูรพา พงศ์พิทักษ์ ได้สูญหายไปเพราะแรงระเบิดในที่เกิดเหตุ ซึ่งทางเราจะต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้กันโดยละเอียดในขั้นตอนต่อไป ส่วนเรื่องที่สองเกี่ยวกับพฤติกรรมของร้อยตำรวจตรีตะวันฉาย พงศ์พิทักษ์ ในขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อสอบสวนเป็นการเร่งด่วน ซึ่งหากพบว่าการกระทำของร้อยตำรวจตรีตะวันฉาย มีเจตนาไปในทางให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาแล้วล่ะก็ ทางเบื้องบนก็จะมีคำสั่งให้ลงโทษทางวินัยขั้นร้ายแรง แก่มือปราบปืนทองของเราได้ทันที”
นักข่าว1 ยิงคำถาม “ท่านครับแล้วไม่ทราบว่าข่าวลือเกี่ยวกับหลักฐานในคดีที่โยงใยไปถึงนักการเมืองท่านหนึ่ง เป็นความจริงแค่ไหนครับท่าน”
“เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ หลักฐานที่ว่าเป็นสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่แจกแจงรายละเอียดระบบการฟอกเงินของนักการเมืองท่านนั้นไว้อย่างชัดเจน”
นักข่าว2 ซัก “ท่านคะ แล้วท่านพอจะเปิดเผยชื่อได้ไหมคะว่านักการเมืองท่านนั้นเป็นใคร”
“ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในเวลานี้ครับ จนกว่าจะมีคำสั่งให้จับกุมอย่างเป็นทางการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสะเทือนขวัญแวดวงการเมืองระดับประเทศเลยทีเดียว”
“ท่านคาดว่าคำสั่งจะออกมาเมื่อไหร่ครับท่าน” นักข่าว 1 ถามอีก
เมธาดูนาฬิกาแล้วยิ้ม “เร็วๆ นี้ครับ อีกไม่กี่ชั่วโมง ผมจะเป็นคนกระชากหน้ากากของนักการเมืองท่านนั้นเอง”

ในเวลาไม่นานต่อมา ประตูลิฟต์ตรงล็อบบี้อาคารที่ทำการพรรคเทอดธรรมเปิดออก บารมีเดินนำเลขาออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน ส่วนเลขาก็คอยกดเบอร์มือถือโทร.หาใครต่อใครให้วุ่น
“โทร.ติดต่อได้รึยัง”
“ยังเลยครับท่าน”
บารมีคุมแค้น “นี่มันบ้าบอคอแตกอะไรกันวะ กรรมการพรรค 20-30 คนหายหัวไปไหนกันหมด คิดจะลอยแพะฉันให้รับเคราะห์คนเดียวหรือไง”
เลขาสะกิด “ท่านครับ”
บารมีชะงักมองตามไปและเห็นสารวัตรเมธายืนรออยู่พร้อมด้วยหมู่ยักษ์และกำลังตำรวจชุดใหญ่
“ท่านครับ ผมขอเชิญไปให้ปากคำที่กองปราบด้วยครับ”
บารมีมองซ้ายมองขวา กระซิบถามเบาๆ “มีทางต่อรองมั้ย”
สารวัตรเมธาส่ายหน้า บารมีอึ้ง ยักษ์พยักพเยิดให้ตำรวจเข้าจับกุมใส่กุญแจมือบารมีกับเลขา คุมตัวออกไป
“เฮ้ย อะไรกันถึงกับใส่กุญแจมือกันเลยเหรอนี่ผมเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่นะคุณ พรรคเทอดธรรม ผมให้การสนับสนุนทางตำรวจมาโดยตลอดนะ มาจับผมทำไม ปล่อยผมเดี๋ยวนี้สารวัตรผมถูกใส่ร้าย มันเป็นเกมการเมืองคุณไม่รู้หรือไง คอยดูนะผมจะฟ้องพวกคุณทุกคน ผมจะฟ้องให้หมด ฟ้องเจ้านายของคุณด้วย ผมจะฟ้องสำนักงานตำรวจ ผมจะฟ้อง…”
สารวัตรเมธามองตามบารมีไป แล้วหันมามองหน้ากันกับยักษ์อย่างเหนื่อยใจ

เช้าวันนี้ ตะวันฉายในเครื่องแบบตำรวจ พาตัวเองมานั่งอยู่เบื้องหน้าเมธาในห้องทำงานสักครู่หนึ่งแล้ว
“ทางผู้ใหญ่ได้อ่านรายงานของคุณเรียบร้อยแล้วผู้หมวดทุกคนสรุปว่าคุณมีความพยายามจะช่วยเหลือผู้ต้องหาอยู่โดยทางพฤตินัย
ตะวันฉายหน้าสลดลง “ครับผม”
“ตามกฎหมายคุณอาจจะมีข้อแก้ตัว ที่เราอาจจะไม่สามารถเอาผิดกับคุณได้ แต่ในทางปฏิบัติเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าคุณมีความผิดทางวินัย คุณจะยอมรับมั้ย”
“ครับ ผมยอมรับ”
“ทางผู้ใหญ่มอบสิทธิ์ขาดให้ผมเป็นผู้พิจารณาการลงโทษสถานหนักแก่คุณ คุณมีความเห็นว่ายังไง”
แทนคำตอบตะวันฉายหยิบซองขาวมาวางบนโต๊ะ
“อะไรผู้หมวด”
“ใบลาออกครับผม สารวัตรจะได้ดำเนินการทุกอย่างเกี่ยวกับผมได้อย่างสะดวก”
“ก็ดี ผมเห็นด้วย แต่...แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก ว่าไอ้โทษสถานหนักที่ว่าเนี่ยมันคืออะไร ก็เลยกะจะคิดไปเรื่อยๆ ก่อน”
ตะวันฉายมองนายอย่างประหลาดใจ เมธาพูดโดยไม่ยอมสบตา
“พักเรื่องลาออกของคุณซะผู้หมวด คุณไปจัดการเรื่องคดีของท่านรองบารมีต่อให้เสร็จหลังจากนั้นเราค่อยมาว่าเรื่องนี้กันอีกครั้ง”
“สารวัตรครับ”
เมธาส่งเสียงดุ “นี่เป็นคำสั่ง ไปทำงานได้แล้ว”
ตะวันฉายลังเลอยู่อีกครู่หนึ่ง “ครับผม”
จากนั้นตะวันฉายจึงลุกขึ้น จะเดินออกไปจากห้อง แต่แล้วก็หันมามองเมธาอีกครั้ง
“สารวัตรครับ”
เมธาเงยหน้ามามอง
“ขอบคุณครับ”
เมธาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รอจนกระทั่งตะวันฉายออกไปแล้ว จึงได้หยิบจดหมายลาออกขึ้นมาดู และฉีกจดหมายนั้นทิ้งลงตะกร้า พึมพำกับตัวเองออกมาว่า
“นี่ผมทำผิดหรือถูกกันแน่ ผู้หมวด”

ตะวันฉายเดินกลับมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ แต่แล้วโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ตะวันฉายพูดครับ” แต่กลับไม่มีเสียงขานรับ “ฮัลโหล ใครจะเรียนสายด้วยครับ ฮัลโหล นั่นใคร”

ตะวันฉายเงียบไป ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
 
อ่านต่อหน้า 4




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 17 จบบริบูรณ์

ธิชาเปิดประตูห้องพักหลังจากได้ยินเสียงเคาะ ยิ้มทักเมื่อพบว่าเป็นตะวันฉาย

ถัดมาไม่นานตะวันฉายนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟารับแขก สายตาหยุดมองที่กระเป๋าเดินทางของธิชาที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ธิชาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้และนั่งลง

“ปูโทร.ไปบอกคุณเหรอค่ะว่าฉันจะเดินทาง”
ตะวันฉายเลี่ยงที่จะตอบ แต่กลับย้อนถามธิชา
“ตกลงคุณจะไปไหน”
“สิงคโปร์ค่ะ”
ตะวันฉายเงียบไป
“บูรพา คงอยากให้ฉันทำอย่างนั้น”
“คุณจะไปนานสักแค่ไหน”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงนานมาก อย่างน้อยก็จนกว่าจะลืมอะไรได้บ้าง”
ธิชาเหม่อ ซึมไป ตะวันฉายตัดสินใจยื่นมือไปลูบบ่าปลอบเธอ
“ธิชา ไม่มีอะไรเลวร้ายไปซะหมด เชื่อผมเถอะไม่แน่ ชีวิตคุณอาจจะดีขึ้น เมื่อไปให้พ้นจากที่นี่ซะ”
“คุณรู้ได้ยังไงกันคะผู้หมวด มันอาจจะแย่ลงก็ได้”
“ไม่หรอก คุณเป็นคนดีธิชา เป็นผู้หญิงที่ดี และก็เป็นเพื่อนที่ดีผมเชื่อว่าโลกคงไม่โหดร้ายกับคนดีๆ อย่างคุณเกินไปนัก”
ธิชาบีบมือตะวันฉายด้วยความตื้นตันใจ
“รู้มั้ยคะผู้หมวด” เธอยิ้มให้ “คุณก็เหมือนกัน”
ถัดมา ธิชาเดินออกมาส่งตะวันฉายที่หน้าสตูดิโอ
“ตกลง คุณจะเดินทางเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้เช้าค่ะ สัก 11 โมง” พอเห็นตะวันฉายมีท่าทีลังเลเธอจึงบอกอีกว่า “ถ้าคุณอยากไปส่ง ฉันจะรอ”
ตะวันฉายลังเลอยู่อย่างนั้น คล้ายมีเรื่องอยากจะบอกธิชา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่บอก
“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าถ้าผมไปคุณจะเห็นเอง”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
ตะวันฉายกับธิชามองหน้ากันอย่างเพื่อนที่ดี
“ดูแลตัวเองด้วย”
ธิชาเพียงแต่พยักหน้า ตะวันฉายยิ้ม

บ้านจ่าเวชตกอยู่ในแสงสลัวและความเงียบสงัดกลางดึก จ่าเวชนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง มือยังกอดรูปของบูรพาแนบอกอยู่ ตะวันฉายดึงรูปน้องชายออกเบาๆ แล้วจึงห่มผ้าให้พ่อ
ตะวันฉายออกมายืนเหม่ออยู่ที่ชานเรือนตามลำพัง สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด
“คุณเคยตัดสินใจอะไรยากๆ ได้สำเร็จมั้ย เมื่อต้องเลือกระหว่างของสองอย่าง ที่มีเหตุผลจูงใจเท่ากันหรือให้ผลลัพธ์ที่เลวร้าย พอๆ กัน”
สายตาตะวันฉายไปหยุดลงที่รูปถ่ายบูรพา ที่วางอยู่ในบ้าน
“คล้ายๆ กับต้องเลือกว่า จะตัดมือซ้ายทิ้งหรือตัดมือขวาทิ้ง ตะวันฉายหันมามองรูปน้องชายช้าๆ “ผมเคย”

เช้าวันนี้ ธิชาเดินเข้ามาซื้อตั๋วเรือ และยืนรอที่ท่าเรือตามลำพัง
เสียงความคิดตะวันฉายดังก้องขึ้น “ระหว่างสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ควร”
เรือลำนั้นแล่นมาแต่ไกล และกำลังเข้าเทียบท่าในไม่ช้านี้ ธิชายืนรอที่จะขึ้นเรือ
“ในความเป็นจริง ไม่มีใครเลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้เสมอไปและก็เช่นกัน..ไม่มีใครทำตามแต่สิ่งเค้าเห็นควรได้ทุกครั้ง”
ธิชาก้าวขึ้นไปบนเรือช้าๆ จนเห็นสะพานเทียบเรือถูกยกขึ้น ธิชานั่งอยู่บนเรืออย่างเปลี่ยวเหงา
“แต่คนทุกคนมีสิทธิ์ที่เชื่อในอะไรสักอย่าง แม้จะไม่มีคนเห็นด้วยกับมันเลยก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นและศรัทธา ผมคิดและถามตัวเองเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ท่าน้ำนั่น ผมเชื่ออะไร”
ภาพเหตุการณ์บนรถวันนั้นผุดซ้อนขึ้นมา ในยามที่ตะวันฉายกอดบูรพาอยู่ และเหลือบมองแผงมาตรวัดน้ำมัน แล้วตัดสินใจกระซิบบอกบูรพา
บูรพามองหน้าตะวันฉายอย่างลังเลที่จะทำตามแผนนั้น
เสียงความคิดตะวันฉายดังก้องขึ้นมาต่อเนื่อง
“ผมเชื่อมั่นและศรัทธาในความดีของบูรพา ผมเชื่อว่าน้องของผมจะต้องกลับตัวและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้อีกครั้ง”

ระหว่างนี้ ธิชานั่งเหม่ออยู่ตรงที่นั่งอย่างเดียวดาย ก่อนจะมีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเข้ามานั่งด้วย ธิชายังคงเหม่อลอยปล่อยความคิดอยู่ จนรู้สึกผิดสังเกต จึงค่อยๆ หันมองไป
ภาพเหตุการณ์วันนั้นผุดซ้อนขึ้นมาอีก เป็นเหตุการณ์ภายหลังจากที่ตะวันฉายยิงใส่ถังน้ำมันรถ บูรพาซึ่งบนรถ ก้มลงหมอบต่ำ ผลักประตูอีกด้านออก รถระเบิดตูม ในจังหวะเดียวกับที่บูรพาพุ่งหลาวลงน้ำไป
ธิชาหันไปมองชายหนุ่มคนที่นั่งข้างๆ ใบหน้าสวยเศร้าของเธอ มีหยาดน้ำตาจะเอ่อซึมออกมา มันเป็นน้ำตาแห่งความปีติ
เรือแล่นไปข้างหน้า ฝ่าสายลมแรงและแสงตะวันไปสู่ทิศตะวันออกเบื้องหน้า
บูรพาค่อยๆ เอื้อมมากุมมือธิชา มองเธออย่างลึกซึ้ง ทอดเสียงอ่อนโยนบอกไป
“จำได้มั้ยธิชา สำหรับคุณ ผมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
ธิชาโผกอดบูรพาเต็มรัก ร้องไห้ออกมา บูรพากอดตอบและหลับตาลงอย่างอิ่มเอมใจ
สองคนไม่คิดว่าชีวิตจะได้รับโอกาสที่สองนี้อีกครั้ง

ตะวันฉายเดินมาที่ท่าน้ำ มองไปเห็นเรือกำลังถอนสมอออกจากท่า สักครู่จึงเห็นธิชากับบูรพาเดินมาที่ดาดฟ้าเรือ และมองมายังเขาเช่นกัน ตะวันฉายโบกมือให้น้องชายและหญิงสาวในหัวใจเขา ทั้งสองคนโบกมือตอบ เรือค่อยๆ แล่นห่างฝั่งออกไปทีละนิดๆ
ตะวันฉายพึมพำเป็นการบอกลา
“โชคดีบูรพา โชคดีธิชา”
เรือลอยลำออกสู่ท้องทะเลกว้าง ใต้เวิ้งฟ้ากว้างสู่อิสรภาพดังที่หัวใจบูรพาและธิชาวาดหวัง

5 เดือนต่อมา
ค่ำนั้น ตะวันฉายขี่มอเตอร์ไซค์คันใหม่กลับมาบ้าน มือตะวันฉายล้วงไปกล่องรับจดหมาย พอดีโจออกจากบ้าน มาช่วยเปิดประตูรั้วและแกล้งแซว
“เฮ้อ รถใหม่ก็เท่ดีหร๊อก เสียอย่างเดียวไม่รู้จักหาสาวมานั่งซ้อนท้าย แบบนี้เค้าเรียกว่าใช้สอยไม่คุ้มค่ารู้รึเปล่า”
ตะวันฉายเลยไม่ได้อ่านจดหมาย 4-5 ฉบับในมือจัดการเข็นมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านเสียก่อน
“ว่างๆ หัดพาน้องพานุ่งไปนั่งรถเล่นบ้างดิหมวด ไม่งั้นใจแตกหนีออกจากบ้านไม่รู้ด้วยนะ” โจบ่นบ้าไป
“ทำกับข้าวเสร็จรึยังน่ะเรา”
“เสร็จแล้ว วันนี้มีกระเพราปลาหมึกที่หมวดชอบด้วยนะ”
ตะวันฉายยิ้มมองโจด้วยความเอ็นดู ก่อนจะล้วงกล่องของขวัญส่งให้โจอย่างไม่สนใจนัก
“ลองดูนี่หน่อยสิ เธอว่าสวยมั้ย”
โจเปิดกล่องกำมะหยี่ดูและพบว่ามันเป็นเลสข้อมือ
“อื้อหือ ของจริงของเก๊เนี่ย สวยจัง”
“ของจริง”
โจหน้าสลดลงวูบหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นของมีค่ามาก
“ของดีๆ แบบนี้ หมวดซื้อให้ใครเหรอ หรือว่าหมวด ซื้อให้คนอื่น”
ตะวันฉายส่ายหน้า “ก็ให้เธอน่ะสิจะมีใครอีกล่ะ”
โจช็อก ไม่อยากเชื่อ
“สุขสันต์วันเกิด”
โจน้ำตาคลอแต่ยังยิ้ม ทำอะไรไม่ถูก “ฮั่นแน่ หมวดหมวดล้อเล่นใช่ป่ะ นี่...นี่...ของแพงนะหมวด...น่ะเหรอจะซื้อให้ฉัน ไม่เชื่อหรอก”
ตะวันฉายหยิบเลสออกมาผูกให้โจเองกับมือ และตบหัวใจเขย่าโยกเบาๆ
“น้องสาวทั้งคน ทำไมจะซื้อให้ไม่ได้”
โจตื้นตันใจ น้ำหูน้ำตาไหลพราก พูดไม่ออก โผกอดตะวันฉายแน่น ตะวันฉายนึกขำลูบหัวปลอบอย่างเอ็นดู โจกลั้นน้ำตาไว้แล้วรีบบอก
“หมวดไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะเดี๋ยวเสร็จแล้วมากินข้าวพร้อมกัน”
ตะวันฉายพยักหน้า โจมองเลสข้อมือด้วยความตื้นตันอีกที ก่อนจะปลีกตัววิ่งเข้าบ้านไป สวนกับจ่าเวชที่เข็นรถเข็นออกมา มองตามโจไปงงๆ
“โจมันเป็นอะไรของมัน”
“คงช็อกน่ะพ่อ วันนี้วันเกิดเค้า”
“จริงเหรอ เออดี สงสัยต้องมีฉลองแตกเนื้อสาวกันหน่อยละมั้ง” จ่าเวชมองเหล่ลูกชาย
ตะวันฉายส่ายหัว ยิ้มขำ ก่อนจะพลิกจดหมายในมือดูทีละฉบับ แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเจอโปสการ์ดใบหนึ่ง เป็นรูปสิงโตหินพ่นน้ำออกมาทางปาก บอกให้รู้ว่าถูกส่งมาจากสิงคโปร์
“พ่อครับ”
จ่าเวชรับโปสการ์ดไปดู และเงียบงันไป สักครู่จึงเงยหน้ามองลูกชายคนโต ตะวันฉายพยักหน้าให้พ่ออย่างมีความหวัง จ่าเวชดูโปสการ์ดใบนั้นอีกครั้ง
สองพ่อลูกรับรู้ข่าวดีจากแดนไกลที่บูรพาส่งมาให้
เสียงโจดังแหลมเข้ามา “หมวด คุณลุง ทานข้าวได้แล้วค่า”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ” หมวดบอกพ่อว่า “ไปเถอะครับพ่อ สงสัยวันนี้คงต้องฉลองกันจริงๆ แล้ว”
จ่าเวชยิ้มกว้าง ตะวันฉายเข็นรถเข็นนำพ่อเข้าบ้านไป

เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ตะวันฉาย จ่าเวช และ โจ กำลังทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า โดยที่โจนั้นคอยดูแล เจ้ากี้เจ้าการเอาอกเอาใจ ทำคะแนนกับจ่าเวชด้วยกิริยาท่าทางน่าขัน

บรรยากาศในบ้านพงศ์พิทักษ์ดูอบอุ่น มีชีวิตชีวา ความสุขหวนคืนสู่บ้านนี้อีกครั้ง
ตรงชั้นวางของ ข้างๆ โต๊ะทานข้าว ระหว่างกรอบรูปถ่ายครอบครัวพงศ์พิทักษ์ และรูปคู่ของสองพี่น้องตั้งอยู่ มีโปสการ์ดจากสิงคโปร์วางอยู่ โดยหงายด้านหลังขึ้นเผยให้เห็นข้อความจากคนไกล 
ซึ่งเขียนข้อความนั้นด้วยลายมืออันคุ้นตาเพียงแค่ว่า

“ชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้ว...บูรพา”

จบบริบูรณ์



กำลังโหลดความคิดเห็น