ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 5
ฉบับ ตรงกับที่ออกอากาศทางทีวีมากที่สุดในสามโลก!!!
ภายห้องประชุมบนสถานีตำรวจเวลานั้น ตะวันฉาย บุญส่ง เสือ และยักษ์กำลังประชุมกันอยู่ จ่าบุญส่งกางแผนที่ โดยมีเสือคอยอธิบาย
“นี่คือเขตปกครองทั้งหมดของแก๊งหัวจักรและเสี่ยเจริญ” เสือวงปากกาลงไป “ตั้งแต่บางซื่อ ดุสิต พระนคร ป้อมปราบ อยู่ในการดูแลของเสี่ยเจริญ ส่วนบางกอกใหญ่ บางพลัด คลองสาน ธนบุรี อยู่ในการดูแลของไอ้หัวจักร”
บุญส่งเสริมขึ้น “ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอาณาเขตของพวกมันทั้ง 2 แก๊ง กว้างมาก แล้วเราจะไปหาพวกมันเจอได้ที่ไหนเนี่ย”
ยักษ์กำลังซดมาม่า เหมือนไม่ได้สนใจงาน เลยโดนบุญส่งตบกบาลเข้าให้
“ไอ้ยักษ์ คนเค้ากำลังเครียด มัวแต่กินอยู่ได้”
ยักษ์สั่งงานผ่านวอ “กระจายกำลังดูให้ทั่วเลยนะ ตั้งแต่ บางซื่อ ดุสิต พระนคร ป้อมปราบ บางกอกใหญ่ บางพลัด คลองสาร ธนบุรี ตรวจทุกตารางนิ้วอย่าให้พลาด ทราบแล้วเปลี่ยน”
“เอาไงดีครับหมวด”
ตะวันฉายดูแผนที่ “ผมเชื่อว่าพวกมันคงไม่นัดคุยกันในเขตของใครคนใดคนหนึ่ง คุณลองหาจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกมันหน่อยสิ”
เสือเปิดดูแผนที่อีกอันหนึ่ง “ได้การณ์แล้วครับหมวด มี 5 จุดที่ผมว่าจะเข้าข่าย ที่พวกมันจะนัดเจอกัน 1. ปั้มร้าง เขตบางบอน 2. ใต้สะพานซังฮี้ 3. สุสานรถ บางซื่อ 4. โรงสีร้าง แถวบางมด 5. โกดังริมแม่น้ำเจ้าพระยา”
บุญส่งออกความเห็น “แต่ปั้มร้างเค้าสร้างใหม่แล้วนะครับ”
“ใต้สะพานซังฮี้ ผมว่าช่วงนี้น้ำขึ้นไม่น่าจะเป็นที่นั่น” ยักษ์บอก
“ส่วนสุสานรถบางซื่อ ผมว่ามันใกล้ตลาด ไม่น่าจะนัดกัน”
“ถ้างั้นก็เหลือ 2 ที่ คือโรงสีร้าง และโกดังริมแม่น้ำ”
“ผมว่าโกดังริมแม่น้ำไม่น่าจะใช่ เพราะเป็นกิจการของหัวจักร เสี่ยเจริญไม่น่ายอมเข้าถ้ำเสือ” เสือว่า
“ถ้างั้นก็เหลือแค่โรงสีร้าง บางมด” ตะวันฉายสรุป
“ไปพวกเราลุย” ยักษ์บอกอย่างฮึกเหิม
“เดี๋ยวนะ ผมยังไม่อยากตัดอีกช้อยทิ้ง พวกคุณนำไปที่โรงสีร้างก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
เสือเป็นห่วง “แล้วหมวดจะไปคนเดียวเนี่ยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกเสือ เดี๋ยวผมรีบตามไป”
ไม่นานถัดมา ตะวันฉายขี่มอเตอร์ไซค์มาที่โกดังริมน้ำ แต่ไม่เจออะไร หยิบวอ มาคุยกับเสือ
“เสือตอนนี้ผมอยู่โกดังริมน้ำ ไม่เจอพวกมันซักคน”
“ครับหมวด ตอนนี้ผมกำลังขับรถตามพวกแก๊งเสี่ยเจริญอยู่ครับท่าทางมันกำลังจะไปที่โรงสีร้าง”
“โอเคเดี๋ยวไปเจอกันที่นั่น”
ตะวันฉายรีบขี่รถออกไป
เสือ ยักษ์ และบุญส่งจอดรถซ่อนไว้ในมุมลับตาคน แล้วรีบกระจายกำลังเข้าไปซุ่มด้านในโรงสีร้าง
ไม่นานก็เห็นรถแก๊งเสี่ยเจริญขับมาจากไกลๆ กระจกหน้าต่างรถถูกลดลง เผยให้เสริมกับสมุนคู่ใจสองคน ขับรถมาดูต้นทาง ห่างออกไป ยักษ์กับบุญส่งและเสือหลบมุมดูอยู่ บุญส่งกำลังส่องกล้องส่องทางไกลดูเหตุการณ์ ส่วนยักษ์กำลังถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน เสือพยายามขอกล้องจากจ่ามาดูบ้าง แต่บุญส่งไม่ให้
เสริมลงจากรถ สั่งลูกน้องให้เอาของไปวางหลบมุมอยู่จุดหนึ่ง สักครู่ก็มองซ้ายมองขวาแล้วกลับไปขึ้นรถ ก่อนจะเห็นรถแล่นไปจากที่นั่นทันที บุญส่งมองตามอย่างใช้ความคิด
ถัดมาอีกไม่นาน รถของสมุนไอ้หัวจักรแล่นเข้ามาบ้าง และสามคนเห็นสมุนไอ้หัวจักร 3 คน เดินมาสำรวจพื้นที่เช่นกัน เสร็จแล้วก็ขึ้นรถจากไปอีก
รถมอเตอร์ไซค์ตะวันฉายวิ่งเข้ามาจอด บุญส่ง ยักษ์ พร้อมกับเสือเดินตรงเข้าไปหา ทั้งทีมเดินไปด้วยกัน บุญส่งรายงาน มีเสือ กะ ยักษ์ คอยเสริม
“พอพวกเสี่ยเจริญมา พวกผมเลยซุ่มแอบดูพวกมันอยู่ซักพัก ดูจากทำเลแล้วก็น่าจะใช่นะครับ แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ทางหนีทีไล่ก็มีเยอะ ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ปิด แต่ก็มีทางออกหลายทาง”
เสือเสริม “ใช่ครับตอนผมซุ่มดูอยู่เห็นพวกมันมาซ่อนอาวุธกันที่นี่
“หมวดจะให้ยึดอาวุธไว้ไหมครับ” ยักษ์ถาม
“ผมว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า” บุญส่งบอก
“หมวดคิดว่าไงครับ” เสือถาม
“ผมว่าเราปล่อยอาวุธไว้ที่เดิมแล้วรอรวบตัวพวกมันกันที่นี่แหละ หาที่ซุ่มกันเถอะ”
ตะวันฉายครุ่นคิด สีหน้าหนักใจ บุญส่งสังเกตเห็น
“หมวด เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่า ผมแค่ไม่อยากให้พวกมันยิงกันเท่านั้นเอง”
เช้าวันรุ่งขึ้น เจิมฉัตรเดินออกมาส่งเสี่ยเจริญหน้าคฤหาสน์ เห็นเสริมกับชัชชัยยืนรออยู่ ส่งเสร็จ เจิมฉัตรก็ส่งสายตาให้กับชัชชัย
เสี่ยเจริญเดินนำมา มีเสริม และชัชชัยเดินมาด้วย ปอด กับ ฉัตร รออยู่ด้านหน้าตึก ส่วนบูรพารออยู่ที่รถ
“ป๋าครับ ผมว่าให้ไอ้ฉัตรไอ้ปอดไปดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อนดีกว่า”
เสี่ยเจริญพยักหน้าเห็นด้วย ชัชชัยสั่งการต่อ
“ฉัตรเดี๋ยวมึงกับไอ้ปอดนำไปก่อน แล้วอีกครึ่งชั่วโมงพวกกูตามไป แล้วของที่ให้เตรียมล่ะ”
ปอดเอากระเป๋าปืนส่งให้เสริม แล้วเสริมเดินเอาไปให้บูรพา ชัชชัยเดินตามมาสั่งบูรพา
“ก่อนจะเข้าไปถึงจุดนัดพบ วนดูแถวนั้นรอบๆ ก่อน”
ทุกคนเดินไปขึ้นรถ ครู่ต่อมาก็เห็นขบวนรถเคลื่อนออกไป เต็มอัตราศึก
อีกฟาก จ่าบุญส่งลาดตระเวนดูรอบๆ โรงสีร้าง ในขณะที่ทุกคนหลับกันอยู่ จนกระทั่งตะวันฉายตื่นขึ้นมา เสือรีบเด้งตัวตื่นตาม คว้ากล้องส่องทางไกลมาเช็คอีกครั้ง
“โอ๊ยไม่มีไรเลยโว้ย ง่วงก็ง่วง”
ตะวันฉายอยู่ในอาการสะลึมสะลือ “มีอะไรเคลื่อนไหวกันรึยัง”
“ยังเลยหมวด ไม่มีแม้แต่วี่แววมือปืนจากซุ้มต่างๆ ของหัวจักร ไม่มีอะไรเลย”
ยักษ์เหล่มองเสืออย่างหมั่นไส้ ตะวันฉายค่อนข้างโล่งใจขยับลงซุ่มรอ
“บางทีพวกมันอาจจะยกเลิกนัดหมาย”
“ไม่หรอกหมวด ผมสังหรณ์ใจว่าเดี๋ยวมันก็ต้องมาเชื่อผมสิ”
“งั้นเราจะรอที่นี่ต่อไป”
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปหาเสบียงมาเพิ่มนะครับ”
ตะวันฉายมองเสือเป็นเชิงถาม
ขบวนรถของเสี่ยเจริญจอดอยู่กลางทางก่อนถึงจุดนัดพบ ทุกคนกำลังตรวจเช็คอาวุธ บูรพากำลังใส่เสื้อเกราะให้เสริม พอเช็คอาวุธเสร็จทุกคนก็กลับขึ้นรถ ชัชชัยสั่งบูรพาอีก
“อย่าเสือกดับเครื่องเชียวนะมึง”
บูรพาเหล่มองชัชชัยอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ชัชชัยทำไม่รู้ไม่ชี้
สายมากแล้ว แสงแดดบริเวณโรงสีร้างเริ่มแผดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ตะวันฉายและลูกทีมเริ่มออกอาการเครียด บุญส่งเอาผ้าซับเหงื่อ เสือดื่มจากขวดน้ำ แล้วเอาน้ำราดหัว ก่อนจะส่งต่อให้ยักษ์ดื่ม ยักษ์ส่งต่อให้ตะวันฉาย แต่หมวดไม่รับ
เวลาผ่านไปอีกหน่อย มีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามา ทีมตะวันฉายทุกคนคว้าปืนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าที่จริงเป็นแค่ หญิงชาวบ้านมาดคุณนาย 2 คน มาจุดธูปขอหวย
เสือเสียเส้น เอากำปั้นทุบดินอย่างหงุดหงิด
“ทำไมป่านนี้ยังไม่โผล่หัวกันมาอีกวะ”
“ใจเย็นๆ หมู่ มันอาจจะอยู่แถวนี้ แล้วซุ่มดูต้นทางอยู่ก็ได้”
“หรือไม่ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลานัด” บุญส่งว่า
“หรือไม่ มันก็ไม่ได้มานัดเจอกันที่นี่แต่แรก”
ลูกทีมทุกคนชะงัก มองหน้าตะวันฉายเป็นตาเดียว
ทุกคนเดินออกมาจากจุดซุ่ม กวาดตามองไปรอบตัวอย่างครุ่นคิด
บุญส่งมองไปแล้วนึกอะไรขึ้นได้
ตอนเห็นเสริมลงจากรถเดินมาที่มุมหนึ่ง แล้วก้มลงทำอะไรบางอย่าง
ทุกคนมาดูที่ซ่อนอาวุธซึ่งเป็นถังน้ำมันเก่า เมื่อเปิดดู ทุกคนถึงกับอึ้ง ที่พบว่าในนั้นเป็นปืนปลอมทั้งหมด
“นี่มันปืนปลอมนี่” เสือโมโห
“เราโดนหลอก” บุญส่งบอก
ทุกคนอึ้งกันถ้วนหน้า
“ทุกคน”
เสียงเรียกตะวันฉายทำให้ทุกคนหันไปมองที่กำแพงข้างๆ มีสีพ่น
และพบคำว่า “ตำรวจหน้าโง่” เด่นหรา
เสือชกลมวืดอย่างหัวเสีย ขณะที่ยักษ์กุมกบาลสุดเซ็ง
“ไอ้เวรเอ๊ย แล้วนี่มันไปฟัดกันที่ไหนแล้ววะเนี่ย”
เสือโวยวายตามประสาคนเลือดเดือด
ฉัตรกับปอดยืนรออยู่รออยู่ตรงลานโกดังริมน้ำจุดนัดพบแล้ว ขณะที่รถของเสี่ยเจริญ กับ หัวจักร แล่นเข้ามาพร้อมกันแต่คนละฝั่ง
พวกของเสี่ยเจริญพากันลงจากรถ รวมทั้งบูรพาและชัชชัย
บูรพาลงจากรถแล้วมองกราดสำรวจดูสถานที่ เริ่มรู้สึกว่ามีหลายจุดที่อับทึบ เหมาะแก่การพรางตัว
เสี่ยเจริญกำลังจะลงจากรถ บูรพารีบปราดเข้ามากันไว้ บอกด้วยเสียงเบาๆ
“ป๋า พวกมันซุ่มคนเอาไว้”
เสี่ยเจริญชะงักมองไปรอบๆ และเห็นจริงตามนั้น หากแต่ก็เห็นไอ้หัวจักรยืนยิ้มรออยู่ เสี่ยเจริญมองเกมอย่างนักเลงเก่า
“มาถึงถ้ำเสือแล้ว อยากมากก็ดับพร้อมกัน” เสี่ยบอกบูรพาและเสริม “ให้พวกเราคอยระวังไว้แล้วก็…” เสี่ยเหล่มองหลานชาย ก่อนจะสั่งลูกน้องคนสนิทอีกว่า “ไม่ต้องบอกไอ้ชัช ไอ้บ้านั่นมันเส้นตื้น ขืนมันรู้มันคลั่งแน่”
บูรพาและเสริมพยักหน้ารับคำสั่ง “ครับป๋า”
ทั้งสองฝ่ายเดินมาตั้งแถวประจันหน้ากัน พวกสมุนรออยู่ห่างๆ ปล่อยให้เสี่ยเจริญกับไอ้หัวจักรเดินเข้ามาตกลงกันตามลำพัง
เสี่ยเจริญเดินเข้าหาไอ้หัวจักรที่เดินมาหาเช่นกัน
“เอ็งพาคนมาแค่นี้หรือไอ้หัวจักร คงไม่ได้ซุ่มคนไว้อีกหรอกนะ”
“อยู่แล้ว ข้ามันออกจะสัตย์ซื่อถือคุณธรรม ใครเค้าจะไปหมกเม็ดเหมือนเอ็งกันล่ะ”
“ใครกันแน่หมกเม็ดไอ้หัวจักร เอ็งถามใจตัวเองดีๆ ใครกันแน่”
บรรยากาศเขม็งเกลียว ตึงเครียดสุดๆ
อ่านต่อหน้า 2
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 5 (ต่อ)
มองฝ่าเปลวแดดออกไป ในสายตาบูรพายามนี้ เขาเห็นเสี่ยเจริญกับไอ้หัวจักรทุ่มเถียงกันวุ่นวาย
บูรพากวาดมองสังเกตสมุนไอ้หัวจักร เห็นทุกคนอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม ครั้นพอมองไปที่ชัชชัยก็เห็นชัชชัยหงุดหงิดคันมือคันไม้ รอเวลายิงกบาลคนลูกเดียว
บูรพามองชัชชัยอย่างหวั่นใจ เหมือนกำลังมองระเบิดเวลากระนั้น
“คุยอะไรกันนักหนาวะ เป่าหัวพุ่งไปเลยก็จบเรื่องแล้ว ซี้ด คันไม้คันมือโว๊ย”
จากสายเป็นบ่ายคล้อย อีกด้านหนึ่ง หลังคว้าน้ำเหลวจากโรงสีร้าง ตะวันฉายขับรถมอเตอร์ไซค์ แล่นมาจอดยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง มีบุญส่งซ้อนท้ายมาด้วย ตะวันฉายรับวิทยุมาจากจ่า
“สามยอดเรียกป่าตอง สามยอดเรียกป่าตอง เปลี่ยน”
เสืออยู่บนรถที่ยักษ์กำลังขับแล่นมาตามถนน
“ป่าตองได้ยินแล้วเปลี่ยน” เสือคุยวอ
“ขณะนี้สามยอดมาถึง จุดต้องสงสัยจุดที่ 4 ไม่พบเป้าหมาย ทางป่าตองเป็นยังไงบ้าง เปลี่ยน”
“ขณะนี้ป่าตองอยู่จุดที่ 3 ไม่พบเป้าหมายเหมือนกัน เปลี่ยน”
ตะวันฉายท้อใจนิดๆ ก่อนจะสั่งการต่อ
“หาจุดอื่นๆต่อไป เลิกการติดต่อ”
ตะวันฉายส่งวิทยุคืนให้บุญส่ง
“เอายังไงดีครับผู้หมวด นี่จะเย็นอยู่แล้ว”
“ติดต่อขอกำลังเพิ่ม จะยังวันนี้ต้องหาพวกมันให้เจอ”
จ่าบุญส่งพยักหน้ารับ ยกวิทยุเรียกกำลังเสริม ส่วนตะวันฉายกวาดตามองไปรอบอย่างผิดหวัง พึมพำออกมาเบาๆ เป็นห่วงน้องชายจับจิต
“บูรพา”
ทางด้านบูรพาสีหน้าตึงเครียดมากขึ้น เมื่อมองไปเห็นเสี่ยเจริญกับหัวจักรโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
เสี่ยเจริญกับไอ้หัวจักรโต้เถียงกันท่าทางดูออกว่าการเจรจาเริ่มเดือดพล่าน
“ถ้าเอ็งไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำ แล้วใครทำ” ไอ้หัวจักรพูดแทบเป็นตะคอก
“อาจจะเป็นเด็กของเรามีเรื่องกันเอง แต่ข้ารับรองว่าข้าไม่ได้เป็นคนบงการเรื่องนี้ ไม่งั้นข้าจะรับปากทำไมว่าจะสืบหาตัวฆาตกร”
“เด็กลื้อมัน บ่โต่บ่โส่ย อั้วบอกไม่ได้ฆ่าก็ไม่ได้ฆ่าดิวะ ลื้ออาจจะมั่วนิ่มถ่วงเวลาก็ได้ใครจะไปรู้”
“นั่นน่ะเหรอคือเหตุผลที่เอ็งผิดคำพูด ไอ้หัวจักร”
“เฮ้ย พูดดีๆ ข้าขี้โม้ แต่ไม่เคยผิดคำพูดโว๊ย เด็กเอ็ง ข้าบอกว่าไม่ได้ฆ่า ก็ไม่ได้ฆ่าสิวะ”
ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ระหว่างนี้ชัชชัยเห็นภาพเสี่ยเจริญกับหัวจักรท่าทางเย็นลง เหมือนอธิบายอะไรกันอยู่มากกว่าโต้เถียง
ชัชชัยรอจนเหงื่อแตก ท่าทางหงุดหงิด รำคาญสุดขีด จนใกล้คลั่ง บูรพามองชัชชัยอยู่อย่างลุ้นๆ ก่อนจะหันไปมองรอบๆ เพื่อคอยสังเกตการณ์ต่อ แต่แล้วสายตาก็เหลือบเห็นเงาคนที่ซุ่มอยู่เคลื่อนอยู่ไหวๆ เหมือนจะย้ายจุดซุ่ม
ชัชชัยเริ่มเห็นพวกสมุนหัวจักรที่มาจากทุกทิศทุกทาง บูรพาตกใจจะคว้ามือห้าม
ไม่ทันแล้วชัชชัยคำราม “ไอ้หมาลอบกัด”
บูรพาตะโกนก้อง “อย่า”
ชัชชัยยิงเปรี้ยงออกไปโดยไม่ฟังเสียง ร่างสมุนของไอ้หัวจักรถูกสอยร่วงออกมาจากที่ซ่อนไวเท่าความคิด เสริม ควักลูกระเบิดออกมาปาไปที่กลุ่มแรก
ทั้งไอ้หัวจักรและเสี่ยเจริญมองหน้ากันอย่างตื่นตะลึง ไอ้หัวจักรขยับจะชักปืน เสี่ยเจริญจะร้องห้ามว่า
“อย่า...เข้าใจผิดกัน”
บูรพาเห็นเหตุการณ์มือกำแน่นอยู่ใกล้ด้ามปืน พาชีวิตเข้าสู่วินาทีสุดท้ายแห่งความลังเลสับสน ว่าจะฆ่าคนหรือไม่ฆ่า
ไอ้หัวจักรไม่ฟังเสียง ยกปืนขึ้นเล็งจ่อ บูรพาตัดสินใจช่วยผู้มีพระคุณ เล็งปืนกระหน่ำยิงไปทางลูกน้องหัวจักรร่วงไป และ ยิงไอ้หัวจักรร่วงตามลงไป ตายคาที่
ชัชชัยยิงลูกน้องหัวจักรตายไปหลายคนแล้วหมุนตัวเปลี่ยนแม็ก แล้วมารื่นเริงกับการยิงกบาลคนต่อ มาดของมันอย่างเท่ห์
เสริมกระโจนไปหยิบปืนจากในรถมาให้บูรพายิงคุ้มกันเสี่ยวเจริญต่อ แล้วนำตัวเสี่ยเจริญมาขึ้นรถ
ปอดกับฉัตร แยกกันยิงสู้ศัตรูคนละฝั่ง ชัชชัยกราดยิงลูกน้องอีกฝั่งจนร่วงเกือบหมด
เสริมกันตัวเสี่ยเจริญพามาขึ้นรถ จะขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับแล้วขับออกไป แต่ชัชชัยมาดึงตัวเสริมออกแล้วขึ้นไปขับเอง
ทางด้านตะวันฉายกำลังบึ่งรถไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่นัดหมาย สักครู่บุญส่งก็ได้ยินเสียงวิทยุจากเสือ
“ป่าตองเรียกสามยอด ป่าตองเรียกสามยอดเปลี่ยน”
“สามยอดทราบแล้ว เปลี่ยน” บุญส่งกดคุยวอ
“ขณะนี้มีรายงานจากทางท้องที่ ว่าได้ยินเสียงปืนแถวโรงงานร้างใกล้จุดต้องสงสัยที่หก เข้าใจว่าเป้าหมายปะทะแล้วเปลี่ยน”
ตะวันฉายได้ยิน หน้าเสียไปเลย
“หมวดครับ”
“บอกเสือ ไปเจอกันที่นั่น”
บุญส่งพูดวอออกไป “ป่าตองๆ ไปเจอที่นั่นด่วน”
ตะวันฉายบิดคันเร่ง รถแล่นบึ่งไปอย่างรวดเร็ว
ชัชชัยขึ้นรถขับออกไป ในขณะที่เสริมเผลอก็เจอพวกหัวจักรเข้ามารุมฟันยับต่อหน้าต่อตาเสี่ยเจริญในขณะที่รถกำลังแล่นออกไป เสริมเงยหน้าเห็นเลือดไหลโกรกลงมาจากไหล่
“ป๋า…”
พูดได้เท่านั้น เสริมก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น ถูกพวกสมุนไอ้หัวจักรอีกสามสี่คนกำลังละเลงฟันชนิดไม่เลี้ยงเลือดนองพื้น
“ไอ้เสริม”
เสี่ยเจริญครางออกมาด้วยความอดสู ที่เห็นมือขวาขาดใจตายต่อหน้าอย่างทารุณ
บูรพาหันมาเห็นเสริมนอนจมกองเลือด เลยกระหน่ำยิงใส่คนที่ฆ่าเสริมแบบไม่ยั้ง
ทั้งปอด ฉัตร และบูรพา ช่วยกันกระหน่ำยิงใส่ลูกน้องไอ้หัวจักรต่อ
เวลาผ่านไป ศพลูกน้องหัวจักรนอนตายเกลื่อน และยินเสียงไซเรนรถตำรวจใกล้เข้ามา บูรพา ฉัตร และ ปอด ยืนอยู่ด้วยความเหนื่อยล้า จนเห็นรถตำรวจแล่นมาถึง
ตะวันฉาย เสือ บุญส่ง และ ยักษ์ เดินลงจากรถมา
“หยุดนะนี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ตะวันฉายตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเห็นศพเกลื่อนเลือดอาบนองไปทั่วบริเวณ และยิ่งเมื่อเห็นหลังน้องชายไวๆ
“บูรพา”
ฉัตรไม่สนใจฟัง ยิงปืนกราดใส่พวกตะวันฉาย แล้วพากันวิ่งหนีกันไปคนละทาง
ตะวันฉายเห็นบูรพาวิ่งหนี จึงวิ่งตามน้องไป ส่วนเสือ บุญส่ง ยักษ์ และตำรวจคนอื่นๆ กระจายกันตรวจดูสถานที่เกิดเหตุ
อีกมุมหนึ่งริมน้ำ ตะวันฉายวิ่งตามหาบูรพาอย่างร้อนใจอยู่บริเวณนั้น ฉัตรที่ซุ่มหลบอยู่โผล่พรวดออกมาจากทางด้านหลัง
“ตามหาน้องชายอยู่เหรอครับคุณตำรวจ”
ตะวันฉายหันกลับมา ฉัตรยิงใส่ตะวันฉายก่อน แต่โดนเสื้อเกราะ ร่างตะวันฉายผงะ เซไปมาจนยิงสวนไร้ทิศทาง แล้วก็หมดแรงตอบโต้ ฉัตรเดินลำพองตรงเข้ามาหา หวังจะปลิดชีพตะวันฉายกับมือ
“ไปอยู่กับคุณแม่เถอะนะครับคุณตำรวจ”
ฉัตรกำลังจะเหนี่ยวไก บูรพาที่หลบอยู่มุมหนึ่ง วิ่งออกมาขวางรับกระสุนแทนพี่ชาย
ตะวันฉายเห็นน้องชายถูกยิงคาตาเข้าที่สีข้าง โชคดีที่กระสุนของฉัตรหมดพอดี ตอนมันจะยิงซ้ำ
“บูรพา...ไอ้ฉัตรมึง”
ตะวันฉายคำรามด้วยความโกรธถึงขีดสุด ลุกขึ้นกระหน่ำยิงใส่ฉัตรแบบไม่ยั้งมือ จนฉัตรล้มลงไปนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เดาได้ไม่ยากว่าตายห่าไปแล้วเป็นแน่
พวกเสือขับรถมาถึงพอดี และลงรถวิ่งมาหาตะวันฉาย
บูรพาใช้จังหวะนี้ วิ่งหนีไป ยักษ์ กับ บุญส่ง ตรวจสถานที่ เสือตรงมาหาตะวันฉาย และปลดปืนออกจากมือผู้หมวด
ตะวันฉายรู้สึกตัวจากความโกรธ หันไปหาน้อง แต่ไม่เจอแล้ว ได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเสียใจ
เวลาผ่านไป จากบ่ายคล้อยเป็นเย็น รถของเสี่ยเจริญจอดชิดหลบอยู่หลังพุ่มไม้ริมถนน บูรพาซึ่งตามมาสมทบ กำลังฉีกผ้ามาพันขาเสี่ยเจริญที่ถูกยิง เห็นทั้งคู่แวะจอดรถทำแผลอยู่นอกรถ
เสี่ยเจริญเอาแต่นั่งเหม่อลอยอนาถใจ ไม่นึกว่าจะพาลูกน้องมาตายเกือบหมด
ส่วนชัชชัยนั่งอยู่ในรถ หน้าตาสั่นระริก ทั้งโกรธ ทั้งกลัว สักครู่ก็ได้ยินเสียงแกร็กๆ จึงก้มลงมองมือตัวเอง พบว่ามือชัชชัยถือปืนที่กระสุนหมดแล้ว แต่นิ้วยังเหนี่ยวไกอยู่ แชะๆ ชัชชัยเห็นแล้วอดหัวเราะขำตัวเองไม่ได้
“หึๆ หึๆๆๆ ต้องอย่างสิวะไอ้ชัช ต้องอย่างนี้”
เสี่ยเจริญมองไปยังชัชชัยอย่างโกรธขึ้ง บูรพามองตาม ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปหาชัชชัย แล้วชกตูมเข้าเต็มหน้า
ชัชชัยเหลียวขวับมามองตาขวาง “ไอ้ระยำ มึงชกกูทำไม”
“สำหรับพี่เสริม นี่ยังน้อยไป”
บูรพาชี้หน้าชัชชัยอย่างเอาจริง เป็นเชิงขู่ ถ้ามึงหือ กูฆ่าแน่
ชัชชัยเหลียวไปหาเสี่ยเจริญเหมือนขอความช่วยเหลือ แต่กลับเห็นเสี่ยเจริญส่ายหน้าให้ตนอย่างสมเพช บูรพาผละไปประคองเสี่ยกลับขึ้นรถ
ชัชชัยมองบูรพาอย่างอาฆาตพยาบาท แต่บูรพาไม่สนใจออกรถแล่นไปจากที่นั้นทันที ทิ้งหลานชายโรคจิตเสี่ยเจริญไว้โดยไม่แยแส
ปืนของเคี้ยงที่เสี่ยให้บูรพามา และเขาได้ใช้มันฆ่าคนวันนี้ วางอยู่บนเตียง สายตาบูรพาจดจ้องมองปืนนั้นอย่างเซื่องซึม เสี่ยเจริญเดินผ่านมา เห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่ จึงเดินเข้ามา ถามขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง”
“ป๋าล่ะครับ”
“โชคยังดี ตอนแรกนึกว่าแกจะตายก่อนฉันซะอีก ที่ไหนได้ ดวงแข็งพอกัน”
“เรื่องนี้ป๋าจะเอายังไงต่อ”
“คงเก็บตัวสักพัก ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่ฉันยังไม่ตาย รับรองไอ้หัวจักรต้องนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนแน่ๆ รอจังหวะดีๆ แล้วค่อยทวงบัญชีกับมัน”
เสี่ยเจริญถอนใจอย่างกังวลก่อนจะเอ่ยปรึกษาขึ้น
“บูรพา ตอนนี้เคี้ยงก็ยังไม่พ้นโทษ ไอ้เสริมก็มาตายมาอีกคน ฉันแทบจะเรียกได้ว่าเหลือตัวคนเดียว” เสี่ยเน้นคำพูดประโยคท้าย “ฉันต้องการความช่วยเหลือ”
“ผมก็ไม่ได้ทิ้งป๋าไปไหน”
“ฉันไม่ได้หมายถึงว่าจะให้แกทำหน้าที่เดิมแต่ฉันหมายถึง จะให้แกมาแทนเคี้ยงกับเสริม”
บูรพาอึ้งนิ่งงันไป
“เอาเถอะ ยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ แกตัดสินใจเลือกดูให้ดีก็แล้วกัน มันเป็นทางของแกเอง”
เสี่ยเจริญออกไปนานแล้ว แต่บูรพายังนอนไม่หลับด้วยความกลัดกลุ้มในข้อเสนอที่เสี่ยยื่นมาให้ สักครู่เขาก็พลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะปวดแปลบขึ้นมาเมื่อทับเอาบาดแผลที่สีข้าง
บูรพาชันกายขึ้นนั่งแล้วเลิกเสื้อดูบาดแผล มองจ้องแผลนั้นแล้วสะท้อนใจที่เฉียดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
บูรพาเอนตัวพิงหัวเตียง ผินหน้าทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างอ่อนล้า เริ่มคิดถึงใครบางคน
อ่านต่อหน้า 3
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันนี้ รถที่เสือเป็นคนขับแล่นมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านเสี่ยเจริญ ตะวันฉาย เสือ บุญส่ง และยักษ์ก้าวลงจากรถ
ไม่นานนัก ทั้งสี่พากันมาอยู่ในห้องโถงรับแขกคฤหาสน์เสี่ยเจริญพร้อมกัน
ในนั้น ชัชชัยนั่งแคะขี้หูรออยู่ที่โต๊ะรับแขก ขณะตะวันฉาย เสือ บุญส่ง และยักษ์ กำลังรอพบเสี่ยเจริญ จนสักครู่หนึ่ง เจิมฉัตร จึงเดินนวยนาดลงบันไดมาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ
“ป๋าให้มาบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอเลื่อนการให้ปากคำต่อไปอีกสองสามวัน” พลางส่งเอกสารให้ “นี่ใบรับรองแพทย์”
“ขอผมขึ้นไปเยี่ยมป๋าของคุณหน่อยได้มั้ย”
ชัชชัยยืนขึ้นขวาง “ไม่ได้โว๊ย”
เสือ บุญส่ง และ ยักษ์ ต่างยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ถ้าคุณอยากจะสอบปากคำจริงๆ ละก็ ป๋าแนะนำให้คุณคุยกับคนสนิทของป๋า เค้าอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย”
ตะวันฉายใจหายวับ “ใคร”
“คุณบูรพา” เจิมฉัตรบอก
ตะวันฉายนิ่งเหมือนกลายเป็นหินไปแล้ว เขาได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดมาช้าๆ บุญส่ง เสือ ยักษ์ พากันเงยหน้ามอง โดยเฉพาะเสือนั้นตกตะลึง จำได้ชัดเจนว่าเขาคือ บูรพา น้องชายผู้หมวด
ตะวันฉายไม่กล้ามอง ราวกับว่ากำลังใช้จิตภาวนาอยู่ ขออย่าให้เป็นน้องชายของตนเลย จนเสียงคุ้นหู ทว่าเย็นชาดังขึ้น
“สวัสดีคุณตำรวจ”
ตะวันฉายเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ และนิ่งงันไป หากมีใครสังเกตจะเห็นหยาดน้ำตาคลอในแววตาของผู้หมวดตงฉินยามนี้
ตะวันฉายเค้นคำทักทายตอบกลับไปว่า
“คุณ สะดวก จะให้ปากคำเรารึเปล่าครับ” คำตอนท้ายเขาเน้นเสียง “คุณบูรพา”
บูรพาแต่งตัวในชุดสูทไม่เนี้ยบแต่ดูดี และหล่อโคตรๆ เขายืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนที่พักบันได เหนือทุกคนในที่นั้น
“ด้วยความยินดีครับ”
มีวี่แววเย้ยหยันระคนสะใจอยู่เต็มที่ ในคำตอบรับ ใต้รอยยิ้มอันเยือกเย็นนั้น
ห้องโถงรับแขกภายในคฤหาสน์เสี่ยเจริญ ถูกใช้เป็นสถานที่สอบปากคำ เหตุการณ์อันตึงเครียดผ่านเวลาไปสักครู่หนึ่งแล้ว
ตะวันฉายนั่งสอบปากคำบูรพาอยู่ตรงโซฟาหรู ในขณะที่คนอื่นๆ ทั้งโจร และ ตำรวจ ต่างหลบมุมรอดูอยู่ห่างๆ เสือคอยชะเง้อมองตะวันฉายกับบูรพาอย่างกระวนกระวาย เป็นห่วงและกังวลว่าผู้หมวดตรงฉินจะจัดการอย่างไรกับน้องชาย
บูรพา และ ตะวันฉาย เผชิญหน้ากันในฐานะคนแปลกหน้า เพราะอยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น มีเพียงคนเดียวที่รู้ฐานะพี่น้องคู่นี้คือ หมู่เสือ ส่วน ฉัตร ตายห่าตกไปตามกรรมมันแล้ว เมื่อวานนี้
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับไอ้หัวจักร ทางเราบอกได้คำเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” บูรพาบอก มาดนิ่ง
“จะบอกว่า คุณไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยใช่ไม๊”
“ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
ตะวันฉายสอบปากคำไป โดยพยายามเก็บความรู้สึกที่มีต่อน้อง เขาหยิบสมุดพกออกมาจดการให้ปากคำของบูรพา
“แต่เราพบศพคนของเสี่ยเจริญที่นั่น”
“ป๋าเป็นคนกว้างขวาง ชุบเลี้ยงพวกเหลือขอไว้ตั้งมาก แต่พวกนั้นจะทำอะไรแล้ว มาเหมาว่าเป็นฝีมือของป๋าก็คงไม่ได้หรอก”
ตะวันฉายก้มหน้าก้มตาจด “งั้นถ้า มีพยานเห็นว่าคุณกับเสี่ยเจริญอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย คุณจะว่ายังไง”
“ผมไม่ถือ คนเราจำผิดกันได้”
ตะวันฉายไม่อาจทนความยโสของน้องได้อีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ แล้วเอ่ยเตือนในฐานะพี่ชายเบาๆ
“แกแน่ใจเหรอบูรพา ต้องการทำลายตัวเองแบบนี้”
บูรพายิ้มอย่างใจเย็น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้น
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไรผู้หมวด แต่นี่มันเป็นธุรกิจ เป็นการสร้างโอกาส ไม่ใช่การทำลาย” เขาเยื้อนยิ้มอีกขณะประชดออกไป “คุณคงจะทำลายโอกาสของคนอื่นจนเคยตัวสินะ ถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนั้น ว่างๆ ก็ลองตัดสินตัวเองซะบ้างสิถ้าทุกอย่างที่คุณคิดมันถูกต้อง ทำไมเราถึงได้มานั่งเผชิญหน้ากันแบบนี้”
ตะวันฉายอึ้งไป ในขณะที่บูรพาพรายยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม
ตะวันฉายนำลูกทีมกลับมาขึ้นรถหน้าคฤหาสน์ เสือรอจนปลอดคนจึงเข้ามาดักหน้าผู้หมวดถาม
“ผู้หมวด นั่นเค้าไม่ใช่เหรอครับ” เสือเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเบาเสียงลงอีก “น้องผู้หมวด”
“ใช่”
“เพราะงี้ใช่มั้ยครับ วันที่เสี่ยเจริญนัดเจอกับไอ้หัวจักร ผู้หมวดถึงได้ร้อนใจนัก”
ตะวันฉายนิ่งอึ้ง ไม่มีคำตอบให้ เสือเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เป็นแบบนี้แล้วเราจะทำงานกันได้ยังไงล่ะครับ ถ้าน้องของหมวดยังขวางเราอยู่แบบนี้...”
ตะวันฉายแทรกขึ้นทันควัน “ก็ทำตามหน้าที่ไง เสือ และผมก็รู้ว่าคุณกังวลอะไรอยู่ อย่าห่วงเลย
ถ้ามีหลักฐานว่าเค้าทำผิดกฎหมายเมื่อไหร่ล่ะก็ ผมจะจับเค้าทันที คุณและตำรวจทุกคนมีสิทธิ์จับเค้า
ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงผม”
แม้สีหน้าท่าทางตะวันฉายเอาจริงเอาจังมาก แต่เสือก็ยังไม่มั่นใจนัก
เช้าวันต่อมา มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น บูรพาเดินมาเปิดประตู แปลกใจที่พบว่าเป็นเจิมฉัตรกำลังถือซองอยู่
“มีคนส่งการ์ดนี่มาให้เธอที่ผับเมื่อคืน”
บูรพาหันรับไปซองมาเปิดดู พบว่าเป็นบัตรเชิญเข้าร่วมงานนิทรรศการภาพเขียนงานหนึ่ง และมีโน้ตสั้นๆ ของธิชากำกับมาว่า “ไม่เห็นคุณส่งข่าวมาบ้าง งานของคุณคงยุ่ง แต่ถ้ามีเวลาก็แวะไปดูภาพของฉันบ้างนะ ธิชา”
บูรพาเผลอยิ้มออกมา
จนได้ยินเสียงเจิมฉัตรเอ่ยขึ้นว่า “ธิชา”
บูรพาแปลกใจนิดๆ ที่เจิมฉัตรรู้ชื่อธิชา
“ไม่ได้เปิดออกอ่านหรอกนะ แต่เห็นจ่าหน้าซองว่างั้น คนสำคัญของเธอล่ะสิท่า”
บูรพาไม่ตอบขยับตัวปิดประตูลง พลางบอก
“ขอบคุณที่เอามาให้”
ที่หอศิลป์ ตอนค่ำ ก่อนวันงานแสดงนิทรรศการภาพเขียนของธิชาและเพื่อนๆ ศิลปิน เห็นบรรดาจิตรกรทั้งหลายต่างช่วยกันตกแต่งสถานที่ด้วยตัวเอง แม้แต่ธิชาเองก็ต้องลงมือทำฉากด้วยเช่นกัน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ ครั้นพอธิชาหันไปมอง พบว่าเป็นบูรพาก็ดีใจมากกว่าแปลกใจที่เห็นเขาแต่งเนื้อแต่งตัวดูดี ผิดหูผิดตากว่าแต่ก่อน
“นึกว่าคุณจะมาวันเปิดงานเสียอีก”
“มาวันนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ ผมจะได้ช่วยคุณได้ด้วย”
“อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวเสื้อคุณจะเปื้อนซะเปล่าๆ”
บูรพายิ้มถอดเสื้อสูทตัวนอกออก และพับแขนเก็บเนคไทด์อย่างรวดเร็ว ธิชานึกปลื้มในท่าทีของเขา
“ว่ามาเลยครับเจ้านาย จะให้ผมเริ่มตรงไหนก่อนดีครับ”
ธิชายิ้มพอใจที่บูรพายังเป็นบูรพาคนเดิม
เวลาผ่านไป บูรพากำลังช่วยงานธิชาอย่างขะมักเขม้น ทั้งสองทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเพื่อนๆ จิตรกรของธิชาซึ่งอยู่บริเวณนั้นเริ่มสังเกตเห็น จึงชี้ชวนกันมองมา และเริ่มแซวกัน
เพื่อน 1 เปิดประเด็นคนแรก “โอ้โห มีช่างส่วนตัวมาช่วยงานด้วยแฮะ”
ตามด้วยเพื่อน 2 “ใครน่ะธิชา แนะนำให้รู้จักบ้างสิ”
ธิชามองบูรพาแล้วไม่รู้จะแนะนำเช่นไร จึงตอบตัดบทไปเขินๆ ว่า
“เพื่อน”
บูรพายิ้มหล่อมาดสุภาพแนะนำตัว “ผมชื่อบูรพา ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เพื่อนสาวแก่ และรุ่นพี่ที่คณะของธิชาเป่าปากกันวี้ดวี้วเหมือนอ้อยเข้าปากช้าง แซวกันระงม
“พวกเรามาดูหน้าแฟนธิชากันหน่อยเร็ว” / “แหมๆๆ ซุ่มเงียบเชียวนะหล่อน” / “มีแฟนแล้วไม่ยอมบอก”
ทำเอาบูรพามองหน้ากันกับธิชาเขินๆ
บูรพาทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ธิชาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ทุกคนชอบบูรพาเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้
ผ่านไปอีกสักระยะ บูรพานั่งพักเหนื่อยอยู่กับธิชาตรงมุมหนึ่งของหอศิลป์ มีพวกรุ่นพี่ที่เดินผ่านไปส่งน้ำให้ดื่ม
“ขอบคุณครับ”
“พวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆ ฉัน เค้าชมคุณกันใหญ่เลยรู้มั้ย บอกว่าเห็นคุณแต่งตัวมาซะหรู ไม่ยักรู้ว่าจะลุยงานขนาดนี้”
“พวกคุณก็ใช่ย่อยนี่นา ทำงานกันทั้งวันไม่มีบ่นกันเลย”
บูรพามองไปยังทุกคนที่เร่งทำงานกันอย่างขันแข็ง
“พวกศิลปินไส้แห้งอย่างพวกเราไม่กล้ามีปากมีเสียงกับใครหรอกค่ะ แค่มีงานให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็พอใจแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ดูๆ ไปพวกรุ่นพี่คุณก็ท่าทางมีฝีมือนี่นา”
ธิชาพยักหน้า “พวกเราส่วนใหญ่ทุกคนมีใจรักด้านนี้จริงๆแต่ต่อให้ใจรักให้มีฝีมือแค่ไหน แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้างมันก็เท่านั้น อย่าหวังจะได้มีผลงานโชว์ในแกลเลอรีดังๆ กับเค้าเลย”
“คุณแคร์ชื่อเสียงด้วยเหรอ”
“ถ้ามันหมายถึงการเป็นยอมรับของใครๆ ฉันก็แคร์นะ”
บูรพานึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธิชา
“งั้นถ้าเกิดมีอะไรที่คุณชอบ แต่คนอื่น หรือคนส่วนใหญ่เค้าไม่ยอมรับล่ะขึ้นมา คุณจะทำยังไง”
“ก็แล้วแต่ว่า ทำไมเค้าถึงไม่ยอมรับมันล่ะ”
“อาจจะ เพราะเค้าคิดว่ามันเป็นของไม่ดี หรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
ธิชานิ่งคิดสักครู่ “คุณคงไม่ชอบคำตอบของฉันแน่ๆ เลย”
บูรพาออกอาการลุ้นว่าคำตอบของธิชาจะเป็นอย่างไร
“ลงว่าถ้าฉันชอบอะไรแล้ว ฉันไม่เคยเปลี่ยนใจง่ายๆ ต่อให้ใครบอกว่าไม่ดี แต่ถ้าฉันยังเห็นข้อดีของมันอยู่ จะกี่ล้านคนมาพูดก็ไม่มีความหมายหรอก”
บูรพาได้ยินคำตอบนั้นแล้วก็อุ่นใจ
เวลาผ่านไปอีกคนอื่นๆ ทยอยกันกลับเกือบหมด เหลือแต่บูรพาที่กำลังช่วยธิชาแขวนภาพเข้ากับผนังอีกมุมหนึ่งของหอศิลป์
โดยธิชาคอยไล่แปะสติ๊กเกอร์ชื่อรูป รายละเอียด และชื่อเจ้าของผลงาน บูรพามองความละเอียดอ่อนของภาพธิชาอย่างชื่นชม
“คุณน่าจะวาดรูปตัวเองไว้สักรูป ผมจะได้ซื้อเก็บไว้”
“เดี๋ยวก็นอนฝันร้ายหรอกค่ะ”
“ผมซื้อจริงๆ นะครับ ผมอยากได้”
ธิชาแอบยิ้มเขิน ก่อนจะพูดออกตัวไปเลี่ยงๆ
“เอางี้ดีกว่า คุณให้ฉันวาดรูปคุณก่อน แล้วฉันค่อยจ่ายค่าตัวเป็นรูปฉันบ้าง”
บูรพาหันไปทางรูปแนวอีโรติก ชี้ให้ธิชาดู
“ผมต้องถอดเสื้อแบบหมอนี่ ด้วยรึเปล่า”
ธิชาหัวเราะขำ “ก็เอาสิ คุณถอดเองก็วาดเองละกันนะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
บูรพายิ้มจนเกือบจะหัวเราะ ธิชายิ้มตาม
“วันนี้คุณดูอารมณ์ดีจัง”
“คุณไม่ชอบเหรอ”
ธิชาบอกอย่างจริงใจ “ชอบสิ ฉันชอบเวลาเห็นคุณยิ้มมันมีชีวิตชีวาดีออก”
บูรพาหยุดมือ หันมามองหน้าธิชา คนทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันเพียงก้าว แหละในความเงียบสองคนมองสบตากันและกันอย่างลึกซึ้ง
บูรพาเอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมของธิชาที่ปรกลุ่ยลงมาปิดหน้าผากขึ้นให้ ธิชาออกอาการเขินหน่อยๆ
“ถ้าไม่ได้เจอคุณ ผมคงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่”
ธิชาเขินจนพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย
“ผมมาหาคุณบ่อยๆ ได้มั้ย จะได้มาคุยกันอีก”
ธิชาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ก็ตามใจคุณสิ แต่วันเปิดงานคุณต้องมาให้ได้ก็แล้วกัน”
บูรพายิ้มยืนยัน ธิชายิ้มชื่นมีความสุข
อีกวันหนึ่ง ในขณะที่โจกับตุ๊กกำลังส่งมอบยากันอยู่ที่บริเวณสระว่ายน้ำคอนโด อันเป็นรังโจรของสองสาวคนดังแห่งท่าเตียน พอเสร็จรับเงินเรียบร้อยจะเดินไป ก็เจอเสือดักรออยู่ก่อนแล้ว ตุ๊กกับโจเงยหน้ามอง เสือยืนยิ้มทักทายกวนๆ ไปให้สองอีแสบ
“หวัดดีจ้ะตุ๊กกับโจ เราสงสัยว่าเธอสองคนมียาเสพติดในครอบครอง ขอค้นตัวจ้ะ”
ตุ๊กได้สติก่อน ฉุดมือโจหันหลังจะเผ่นหนี แต่ก็ดันเจอตะวันฉายยืนดักอยู่เรียบร้อย โจเห็นหมวดตะวันฉายก็ทำเป็นหัวเสีย
“อะไรวะ ค้นอะไรกันทุกเดือนเนี่ยคุณตำรวจ เมื่อเดือนที่แล้วก็วิ่งไล่จับกันไปทีนึงแล้วนะ”
“อย่าพูดมากน่า เทของในกระเป๋าออกมาให้ค้นซะดีๆ” ตะวันฉายจ้องหน้าโจ
“ไม่ให้ค้นโว้ย มีอะไรรึเปล่า”
ตุ๊กตาเหลือก ตกใจที่เพื่อนกล้าหือกับตำรวจแหกปากดังลั่น
“อีโจ”
“หมู่ ดูทางนี้ไว้ เดี๋ยวผมขอค้นตัวเด็กนี่เป็นกรณีพิเศษ” ตะวันฉายสั่งการเสือ
“ครับ”
ตะวันฉายลากตัวโจไปทางห้องน้ำของสระ โจโวยลั่น
“ปล่อยสิวะ ปล่อย โอ๊ย แน่จริงปล่อยก่อนสิวะ”
ตุ๊กพลอยตกใจ “เฮ้ยๆ จะพาเพื่อนฉันไปไหน จะทำอะไรเพื่อนฉัน อย่านะ”
ตุ๊กขยับทำท่าจะตามไปด้วยความเป็นห่วง ถูกเสือยืนขวาง
“อยากโดนค้นเป็นกรณีพิเศษอีกคนเหรอไง”
ตุ๊กยกแขนโอบป้องเนื้อตัว ด้วยความหวงแหนประหนึ่งว่ามันเป็นนางงามกระนั้น
อ่านต่อหน้า 4
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตะวันฉายคุมตัวโจเข้าไปทางห้องน้ำสระว่ายน้ำคอนโด โจยังอินจัด ทำเป็นดิ้นรนขัดขืน ปากก็ร้องโวยวายดังลั่น อาการคล้ายนางเอกหนังไทยกะลังโดนพระเอกฉุดเข้ากระท่อมกลางป่าไปทำเมียกระนั้น
“อย่านะ จะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันนะไอ้คนบ้าปล่อยนะปล่อย ปล่อย ฉันไม่ไปกับแก
ตะวันฉายส่ายหัวเอือมๆ “ไม่มีใครแล้ว”
โจลืมตา “อ้าวเหรอ แหม..กำลังมันส์”
ตะวันฉายปล่อยโจ ต่างคนต่างหามุมสบายคุยกัน
“หมวดทำอะไรอ่ะ คิดถึงหนูก็บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเซ็ตฉากขนาดนี้เลย”
“ยังจะมาพูดอีก เธอนั่นแหละหายไปไหนเป็นอาทิตย์ ทำไมไม่ส่งข่าว”
“โธ่หมวด ปากท้องต้องมาก่อนสิ ช่วงนี้วุ่นวายจะตายไป” ทโมนสาวดักคอ “ว่าแต่หมวดเหอะ ด่วนจี๋ขนาดนี้ คงต้องเรื่องนายบูรพานั่นอีกแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เปล่า แต่อยากให้เธอช่วยสืบเรื่องกิจการของเสี่ยเจริญให้ทีฉันอยากรู้ว่าหลังการตายของไอ้หัวจักร ธุรกิจของเสี่ยเจริญจะคืบหน้าไปยังไงบ้าง จะขยายอำนาจไปทางไหน หรือคิดจะทำการอะไรต่อไป”
โจฟังแล้วเสียหลังวาบ “อู้ย ไม่ไหวมั้งหมวด สืบข่าววงในน่ะคอขาดบาดตายเชียวนะ”
เสือเพิ่งปลีกตัวจากตุ๊กเดินเข้ามาสมทบ
“แต่งานนี้สำคัญมากนะโจ”
“รู้ แต่มันเกินตัวเข้าใจมั้ย จะให้หนูบุกรังราชสีห์ ได้โดนตะปบเละก็เท่านั้น”
ตะวันฉายคิดสักครู่ แล้วจับบ่าโจให้ฟังตน “เอางี้ละกัน ฉันจะเพิ่มเงินค่าข่าวให้เธออีกเท่านึงเลยดีมั้ย หรือว่าเธออยากมีเงื่อนไขอะไรพิเศษก็บอกมา ถ้าฉันจัดการให้ได้ก็จะจัดการให้”
“อู้หู เอางั้นเลยเหรอหมวด” โจคิดปราดเดียว “ชัวร์รึเปล่า เงื่อนไขเรียกได้กี่ข้อล่ะ”
“อย่าให้มันหลายข้อนักละกัน และต้องเป็นอะไรที่ฉันทำให้ได้นะ”
“โอเค๊ แหม หนูไม่ขอดาวบนฟ้าหรอกน่า” โจลดเสียงพูดเบาลง “เอาแค่บนบ่าก็พอ”
ตะวันฉายได้ยินไม่ถนัด “อะไรนะ”
“เปล๊า” โจยิ้มเฉไฉไปทางอื่น “เอางี้ละกัน ถ้าหนูหาข่าวเรื่องนี้ได้สำเร็จนะหนูไม่ขออะไรมากหรอก แค่ผู้หมวดเลี้ยงอาหารค่ำหนูซักมื้อก็แล้วกัน เอาที่หรูๆ นะ ต้องมีวงดนตรีด้วย แล้วก็ต้องมีไฟกระพริบปิ๊บๆด้วยนะ ได้ป่ะ”
ตะวันฉายงง “แค่นั้นน่ะเหรอ”
โจพยักหน้ายืนยัน ทำเอาตะวันฉายงุนงงกับเงื่อนไขประหลาดของโจไม่หาย
เสือรอตะวันฉายอยู่บนรถอย่างใช้ความคิด สักครู่ก็เห็นตะวันฉายกลับมาขึ้นรถ
“โอเค เรียบร้อย เราไปกันได้แล้ว”
เสือยังไม่ยอมออกรถ ท่าทางอึดอัดใจไม่น้อย
“มีอะไรอีกงั้นเหรอ”
“หมวดครับ ให้โจไปสืบข่าวพวกนี้ ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือครับ”
“มันจำเป็นไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ทำแบบนี้ เราก็คงไม่มีทางรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมัน”
เสือมองนิ่ง ดูออกว่าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
“มันเป็นงานนะเสือ เรากำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่”
“ครับผมทราบ และผมก็ทราบด้วยว่าหมวดกำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความลำบากใจ” เสือบ่นออกไปด้วยความอึดอัด “ หมวดรู้ตัวรึเปล่า ตอนนี้ผู้ใหญ่กำลังเพ่งเล็งเราอยู่ เพราะงานเราไปไม่ถึงไหน”
“งานทุกอย่างต้องการความชัดเจนเสือ ต้องการคุณภาพต้องการเวลาเตรียมงาน มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราซี้ซั้วเริ่มต้นแผนงาน โดยปราศจากข้อมูลที่เพียงพอ ถึงเวลาที่มีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบแทนเราได้เหรอ”
“หมวดแน่ใจนะครับ ว่าที่หมวดหาข่าวจ้าละหวั่นอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะห่วงน้อง” เสือถาม
ตะวันฉายเครียดไปถนัดตา
“ผมขอโทษครับหมวด ผมแค่กังวลแทนหมวดเท่านั้นเอง” เสือใช้ความคิดประเดี๋ยวประด๋าว “เอางี้ดีมั้ย ผมมีวิธีกันน้องหมวดออกมาจากคดีนี้”
ตะวันฉายสนใจฟัง
“เรายัดข้อหาเล็กๆ ให้เค้า แบบว่ามียาเสพติดในครอบครอง หรืออาวุธปืน หรืออะไรก็ได้ ที่มันเป็นคดีเบาๆ หาเรื่องให้เค้าติดคุกสักเดือนสองเดือน กว่าเค้าจะพ้นโทษออกมา เราก็คงจัดการกับเสี่ยเจริญได้แล้ว”
“เสือ นี่มันไม่ถูกนะ” ตะวันฉายทักท้วง เสียงขุ่น
“ผมไม่รู้ว่าอะไรถูกหรอกหมวด แต่ผมเป็นลูกน้องหมวด ผมทนเห็นหมวดตกอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้หรอก ผมกำลังช่วยหมวดอยู่นะครับ”
“คุณกับผม ใครเป็นคนคุมคดีนี้กันแน่”
เสือถึงกับอึ้งไปเลย
“อย่าพูดเรื่องนี้กับผมอีก เข้าใจมั้ย”
“ครับผม”
ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป สักพักเสือก็เข้าเกียร์ออกรถแล่นไปจากที่นั่น ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ
บ่ายวันนั้น ขณะที่ยักษ์กำลังวิดพื้นออกกำลังกายระหว่างพักอยู่ในกองปราบ เสือก็เดินเข้ามาหา
“ยักษ์มีไรให้ช่วยหน่อยว่ะ”
ยักษ์มองฉงน “อะไรวะ”
เสือบอก “จับโจร”
ด้านบูรพากำลังเขียนการ์ดติดช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับธิชา ด้วยข้อความต่างๆ แต่ไม่ถูกใจสักที แก้แล้วแก้อีกไปเรื่อยๆ จนพอถูกใจก็ยื่นให้คนขายติดช่อดอกไม้ให้
บูรพาถือช่อดอกไม้ เดินมาตามถนนริมแม่น้ำ ตรงไปยังหอศิลป์ แต่แล้วก็เริ่มเอะใจ ค่อยๆ แกล้งแวะดูสินค้าอะไรแถวนั้นและแอบเหลือบมองไป เห็นเสือกับยักษ์กำลังซุ่มจับตาตนอยู่ พอมองไปตรงๆ ทั้งสองก็ทำเป็นยืนเลือกซื้อหนังสือพิมพ์ นิตยสารอื่นอีก และแกล้งทำเป็นไม่เห็น
บูรพาเริ่มเห็นท่าไม่ดี เขาตัดสินใจหันหลังเดินหนีไปอีกทางแทน แต่ยักษ์กับเสือก็เดินไล่จี้ตามหลังเขามาติดๆ
ยิ่งบูรพาเร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น เสือกับยักษ์ก็ยิ่งไล่หลังมาเร็วขึ้น
บูรพารู้ตัวว่าถูกจับตาแน่นอนแล้ว ก็เริ่มครุ่นคิดหาทางสลัดให้หลุด
ฝ่ายยักษ์หันมาถามเสืออย่างไม่แน่ใจ ขณะเดินตามบูรพา
“หมู่ครับ หมวดไม่ได้มีคำสั่งให้เราทำแบบนี้นะครับ”
“เอาเหอะน่า ผมรับผิดชอบเอง ขอให้จับมันให้ได้เป็นพอ เชื่อเถอะ เรากำลังช่วยผู้หมวดอยู่นะ”
ขณะเดียวกัน มองผ่านกระจกร้านออกไป เห็นตะวันฉายขี่มอเตอร์ไซค์มาจอด ก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน พอตะวันฉายผลักประตูเข้าร้านมา ก็มองหาธิชาเป็นอย่างแรก จนกระทั่งได้ยินเสียงของปูกระแอม
“หาธิชาอยู่หรือคะ ผู้หมวด”
“ครับ เอ่อไม่ทราบว่าอยู่รึเปล่าครับ”
“ไปธุระที่หอศิลป์น่ะค่ะ วันนี้มีเปิดงานแสดงภาพเขียนที่นั่น” ปูนึกขึ้นได้ “ผู้หมวดลองไปเซอร์ไพรส์ดูสิคะ”
ตะวันฉายยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ปูก็รีบหยิบสูจิบัตรงานส่งมาให้ตรงหน้า ตะวันฉายรับมาด้วยท่าทีลังเลใจ
บูรพาเดินเลี้ยวจากริมถนนเข้ามาในตรอกแคบๆ โดยคล้อยหลังไปไม่เท่าไหร่ เสือกับยักษ์ก็ตามจี้ไล่หลังเข้ามา บูรพาหมดความอดทนหันมาเผชิญหน้า
“พวกแก ตามฉันมาทำไม”
“เปล่าซะหน่อย บังเอิญมันไปทางเดียวกันต่างหาก ว่าแต่แกเถอะจะรีบธุระที่ไหน ท่าทางร้อนรนเหลือเกินนะ” เสือกวนใส่ “ชวนให้รู้สึกว่ามีพิรุธ”
“ฉันจะไปหาเพื่อน”
เสือกวน จงใจยั่วโทสะ “หรา... เพื่อนแกอยู่แก๊งไหนล่ะ”
“ตกลง แกจะไปทางไหน” บูรพาถาม
เสือแกล้งชี้ส่งเดชเข้าไปในตรอก บูรพาตัดสินใจเดินย้อนกลับออกไปที่ปากตรอกอีกครั้ง พบว่าเสือพยักหน้าให้ยักษ์เดินตามจี้ไปเช่นเคย จนบูรพาสุดทน
บูรพาเปิดฉากสู้กับเสือและยักษ์ จนสองคนหมอบหมดแล้วหนีต่อ เสือกะยักษ์พยายามตามต่อ
บูรพาวิ่งหนีเสือมา แต่แล้วก็เห็นยักษ์วิ่งโผล่มาดักด้านหน้า บูรพาหันรีหันขวางมองไปด้านหลังก็เห็นเสือหยุดวิ่งเดินส่ายอาดๆ เข้าหาเขา แถมระหว่างนี้ยังมีจ่าบุญส่งวิ่งมาดักอีกทางด้วย แต่สุดท้ายบูรพาก็หาทางหนีต่อจนได้
อีกด้านหนึ่ง ธิชาเดินแนะนำแขกทุกท่าน และอธิบายงานชิ้นต่างๆ ให้ฟัง หลังเปิดงานได้สักครู่ ปูซึ่งตามมาที่หอศิลป์ เดินตรงมาหา
“ธิชา มีคนมาหาแน่ะ รออยู่ที่ทางเข้า”
ธิชายิ้มอย่างดีใจ รีบขอตัวกับคนที่มาดูภาพ
“เชิญชมไปก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวสักครู่”
ธิชาเดินไปตามทางเดินเล็กๆ จนพบชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังถือช่อดอกไม้รอเธออยู่ มองปราดเดียวเธอนึกว่าเป็นบูรพาแน่ จึงแกล้งตีบ่าให้เค้าตกใจเล่น
“นี่”
ปรากฏว่าคนที่หันมากลับเป็นตะวันฉาย
“ผมไปหาคุณที่ร้าน เห็นเพื่อนคุณเค้าบอกว่าคุณมาออกงานที่นี่ ผมเลยแวะมาให้กำลังใจ ขอให้ขายภาพได้เยอะๆ นะครับ”
ธิชาพยายามยิ้มกลบซ่อนความผิดหวัง “ขอบคุณค่ะ”
ทางด้านบูรพาวิ่งหนีต่อจนมาถึงตึกร้าง แต่คราวนี้พวกเสือวิ่งตามมาทัน เสือจับบูรพากดลงพื้นแล้วเอาปืนจ่อ
“นึกว่าหนีพ้นเหรอมึง ง่ายไปหน่อยล่ะมั้ง”
“จะเอายังไงกันแน่” บูรพาถาม
“ก็ไม่เอาไง เราสงสัยว่าคุณมีของผิดกฎหมาย ขออนุญาตค้นตัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เสือแย่งช่อดอกไม้มาจากบูรพาแล้วโยนไปทางยักษ์
บูรพาโกรธ “นี่คุณ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้นะ”
“สิทธิ์ ไอ้เลวอย่างมึง ยังมีหน้ามาอ้างเรื่องสิทธิ์อีกเหรอวะ พี่ชายแท้ๆ มึงยังตะบันหน้าเค้าได้ มึงอยากรู้เรื่องสิทธิ์ของคนเลว ใช่มั้ย ได้...” เสือหันไปบอกยักษ์ “ยักษ์ ค้นตัวมัน”
ยักษ์ขยับจะเข้ามาค้นตัวบูรพา
“ถ้าวันนี้เจอของผิดกฏหมายในตัวมึงแม้แต่ชิ้นเดียว มึงโดนส่งกลับเข้าตารางแน่”
ยักษ์เดินส่ายอาดๆ เข้าหาบูรพา
“อย่าลีลานะมึง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ยักษ์สะดุดเท้าและสายตาเข้ากับช่อดอกไม้ที่พื้น
“อย่ายุ่งกับดอกไม้นั่น”
ยักษ์มองหน้ากันกับเสือ ยิ่งชวนให้สงสัย ยักษ์ตัดสินใจลงมือรื้อช่อดอกไม้จนกระจุยกระจายไม่เป็นชิ้นดี บูรพามองช่อดอกไม้และมองไปที่เสือด้วยความแค้น เสือทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ บูรพาเริ่มครุ่นคิดแผนการพาตัวเองไปจากที่นี่
ยักษ์หันมาบอกเสือ “ไม่เจออะไรครับหมู่”
“ค้นตัวมันด้วย”
บูรพาอาศัยจังหวะที่เสือเผลอและย่ามใจ ผลักเสือออก แล้วเดินปรี่เข้าไปหายักษ์ด้วยความโกรธแค้น แย่งเอาปืนคืนจากบุญส่งมาขู่
“กูว่าแล้วใช่มั้ยว่าอย่ายุ่งกับของๆ กู”
ยักษ์มองช่อดอกไม้ที่เละเทะอยู่ที่พื้น
“เลิกตามกูได้แล้ว”
บูรพาเอาปืนจ่อทุกคนแล้วรีบวิ่งต่อ แต่เสือไม่สนใจวิ่งตามต่อไป
ที่ตึกร้างละแวกนั้น บูรพาหลบอยู่ใต้บันไดตึกนั้น ขณะที่เสือ ยักษ์ และบุญส่ง ตามเข้ามา และกำลังจะเจอตัวบูรพารอมร่อ แต่ดันมียามเข้ามาพอดี
“พี่เข้ามาทำอะไรกันในนี้”
“เข้ามาหาคนร้ายน่ะ” เสือบอก
“โอ๊ย ไม่มีหรอกครับ ห้องเนี้ย เค้าห้ามคนนอกเข้า มีแต่ผมที่เข้ารบกวนพี่ๆ เชิญออกด้วยนะครับผมจะล็อกห้องแล้วดึกแล้ว”
ตำรวจทั้ง 3 จำใจเดินออก และยามก็ล็อกประตูทางเข้าทันที
รอจนทุกอย่างเงียบลง บูรพาจึงเดินออกมาจากใต้บันได เจอแชลงตรงมุมห้อง รีบเอามางัดประตู แล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่หอศิลป์ ขณะที่ฟ้าร้องครืนครัน ฝนเริ่มตั้งเค้า
บอกให้รู้ว่า อีกไม่นานนี้ฝนกำลังจะตก
ด้านนอกหอศิลป์ฝนตั้งเค้ามาสักระยะหนึ่งแล้ว ธิชาเดินนำตะวันฉายเที่ยวชมภาพวาดผลงานของเธอ ท่าทางธิชาไม่ค่อยมีกระจิตกระใจต้อนรับตะวันฉายเท่าไหร่นัก ตะวันเห็นรูปในนิทรรศการ เป็นรูปวาดบูรพา ในนั้นยังมีไฟเขียวไฟแดง ให้คนดูตีความ
“ฉันวานให้น้องคุณมาเป็นแบบให้น่ะค่ะ”
ตะวันฉายเดินดูงานต่ออย่างสนใจและชื่นชม
“สวยดีนะครับ นี่คุณวาดเองทั้งหมดเลยเหรอ”
“ค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาพเก่าซะมากกว่า หลังๆ มานี่ฉันทำแค่งานผ้า”
“สงสัยคงขาดแรงบันดาลใจน่ะครับ คุณน่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปวาดนอกเมืองดูบ้างนะครับเผื่อจะคิดอะไรออก”
ตะวันฉายเห็นอาการเหลียวหน้าเหลียวหลังของธิชาก็แปลกใจ จึงเอ่ยถาม
“คุณรอใครอยู่รึเปล่าครับ”
ธิชาได้สติ “เอ่อ…เปล่าค่ะ เปล่า”
ตะวันฉายนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน
บูรพาวิ่งมาจนเห็นหอศิลป์อยู่ตรงหน้าลิบๆ เขายิ้มอย่างยินดี เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ฝนคงเริ่มตกอีกไม่ช้าไม่นานนี้
ส่วนภายในหอศิลป์ ธิชารอคอยการมาของบูรพาอย่างกระวนกระวายใจ ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ ก็ยิ่งใจเสีย
ตะวันฉายทนเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของธิชาไม่ได้ ในที่สุดก็ขอตัว
“รบกวนเวลาคุณมามากแล้ว เดี๋ยวต้องขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
“ทำไมรีบกลับล่ะคะ”
ตะวันฉายฝืนยิ้ม “พรุ่งนี้มีงานต้องทำแต่เช้าน่ะครับ”
“แต่ดูเหมือนข้างนอกฝนกำลังตกอยู่นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมารถแท็กซี่”
“งั้นฉันออกไปส่ง”
ตะวันฉายพยักหน้าขอบคุณ
ธิชากางร่มออกมาส่งตะวันฉายหน้าหอศิลป์ ทั้งสองชะเง้อรอเรียกแท็กซี่อยู่ด้วยกัน
“คุณเข้าไปก่อนก็ได้ครับ ฝนตกหนักแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันยืนเป็นเพื่อนดีกว่า”
ตะวันฉายและธิชายืนเบียดกันในพื้นที่ร่มคันเดียว แต่แล้วธิชาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นบูรพายืนตากฝน
มองมายังเธอและตะวันฉายอยู่ด้วยแววตาเสียใจสุดซึ้ง
“บูรพา”
บูรพาแค่นยิ้มอยู่ท่ามกลางสายฝน แล้วหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง
“หึ ไม่น่าเชื่อ ตอนแรกฉันหลงนึกว่าแกจะโง่เหมือนแต่ก่อนซะอีก ที่ไหนได้ ฉลาดไม่เบานี่”
“บูรพาคะ พี่ชายคุณเค้าแค่บังเอิญแวะมาเยี่ยมฉัน”
“บังเอิญเหรอ ไม่หรอกมั้ง ผมว่านี่เป็นเจตนาของเค้ามากกว่า ใช่มั้ยผู้หมวด”
ตะวันฉายเดินปรี่เข้าไปหา “บูรพา ฉันไม่รู้ว่าแกพูดเรื่องอะไร แต่แกกำลังเข้าใจผิด”
บูรพาชกตะวันฉายเข้าตูม จนตะวันฉายหงายเงิบไป
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยมึงถึงให้ลูกน้องตามบี้กู ไอ้ระยำ”
“บูรพาฟังก่อน”
“บูรพาคุณจะทำอะไรอีก พอเถอะค่ะ”
ธิชาจะเข้าห้าม บูรพาดันเธอหลบออกไป แล้วตรงเข้าหาตะวันฉายท่าทีคุกคามเต็มที่
“มึงให้คนของมึงไปดักเล่นกู จะเอากูเข้าคุกอีกรอบงั้นเหรอ ฝันไปเหอะ ชีวิตนี้กูไม่มีวันกลับเข้าไปอยู่ในนรกนั่นอีกแล้ว”
“แกกำลังเข้าใจผิดบูรพา ฉันไม่รู้เรื่อง”
บูรพากระชากคอเสื้อตะวันฉายมาพูดใส่หน้า
“เลิกหลอกคนอื่นซะที ยอมรับความจริงมาดีกว่าแกเกลียดฉัน เพราะฉันเป็นฝันร้ายของแกใช่มั้ยยิ่งฉันเลวมากขึ้นไปเท่าไหร่ ชื่อเสียงแกก็ยิ่งย่อยยับลงไปเท่านั้น แกถึงอยากจะกำจัดฉัน”
“บูรพา พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น พี่อยากจะช่วยแก”
“ซึ้งใจวิธีช่วยของมึงจริงๆ ไอ้ฉาย”
บูรพาลากคอตะวันฉายขึ้นมาซ้อม ตะวันฉายพยายามเพียงปัดป้องแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรน้อง
“บูรพา พอเถอะค่ะ บูรพา”
บูรพาลืมตัวผลักธิชาออก แล้วหันมากระหน่ำหมัดชกตะวันฉายตูมๆ ตามข้อหา
“นี่สำหรับเมื่อสี่ปีก่อน แล้วนี่สำหรับวันนี้ แล้วนี่สำหรับโอกาสต่อๆ ไปที่กูไม่รู้ว่ามึงจะจองล้างกูไปอีกถึงเมื่อไหร่”
บูรพาเงื้อหมัดจะชกอีก ธิชาเหลืออด เธอตัดสินใจผลักบูรพาออกไปสุดแรงแล้วตบหน้าเขาฉาดใหญ่
“บูรพา”
บูรพามองธิชาอย่างงุนงงเสียใจมากกว่าโกรธ ยิ่งเมื่อเห็นเธอกำลังประคองตะวันฉายที่โดนซ้อมจนคิ้วแตกขึ้นมา
“คุณจะทำร้ายเค้าไปทำไม เค้าทำอะไรผิดกับคุณมากมายนักเหรอ เค้าเป็นพี่คุณนะ คุณรู้มั้ยที่ผ่านมาเค้าพยายามจะช่วยเหลือคุณ แต่คุณไม่เคยใยดีสิ่งที่เค้าทำเลย”
บูรพายิ่งแค้น “นี่แม้แต่คุณก็เชื่อมันงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าไอ้ลูกไม้ตื้นๆ ของมันซื้อใจคุณได้สำเร็จ”
“ใช่ ฉันเชื่อเค้า แล้วฉันก็ไม่เชื่อคุณ”
บูรพาอึ้ง นิ่งงันไป ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ตะวันฉายโดนซ้อมหน้าตาแหกยับ เจ็บจนไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดตอบโต้
บูรพามองตะวันฉายที ธิชาที แล้วตัดสินใจเดินหุนหันหนีไปจากที่นั่น ธิชาได้สติมองตามด้วยความตกใจ เหลียวกับมามองที่ตะวันฉายเป็นเชิงถาม
ตะวันฉายบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “ผมไม่เป็นไร คุณรีบไปอธิบายกับเค้า”
ธิชาผละตามบูรพาไป ขณะที่ตะวันฉายคืบตัวเข้าหาที่หลบฝนอย่างยากเย็น
ธิชาวิ่งกระหืดกระหอบฝ่าสายฝนออกมาตามทางละแวกหอศิลป์ สอดตามองหาบูรพา จนเห็นเขากำลังเดินหนีไปลิบๆ
“บูรพา”
บูรพาชะงัก หันมามองหน้ากับธิชานิ่งๆ ธิชามองตอบอย่างผิดหวัง
“คุณเคยบอกว่าคุณไม่มีโอกาส ไม่ทางเลือกที่จะเป็นคนดี แต่ความจริงคุณไม่เคยพยายามที่จะเป็นเลย สิ่งเดียวที่คุณทำ ก็คือทำร้ายทุกคนที่รักคุณ ทุกคนที่กำลังจะฉุดดึงคุณ ให้พ้นจากเส้นทางที่คุณเดินอยู่”
บูรพาโกรธจนพาล “เมื่อไหร่คุณจะตาสว่างซะที ธิชา คุณกำลังติดกับของเค้าอยู่คุณไม่รู้ตัวหรือไง”
“ไม่มีใครหลอกใครทั้งนั้นบูรพา นอกจากคุณที่กำลังหลอกตัวเอง พยายามจะหาข้ออ้างที่จะเกลียดเค้า เพราะคุณยอมรับความจริงไม่ได้ว่าแท้ที่จริง คุณนั่นแหละที่ทำให้ชีวิตของตัวเองต้องเป็นแบบนี้”
บูรพายิ่งฟังยิ่งคับแค้นใจ “เทียบกับเค้า ผมมันเลวไม่มีที่ติเลยใช่มั้ย ขณะที่นายตะวันฉายเค้าเป็นเหมือนพระเจ้าในสายตาของคุณ ไอ้นายบูรพาคนนี้ก็เป็นได้แค่ลูกหมาตัวนึง ที่คุณเลี้ยงไว้ด้วยความสมเพช”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น”
“แต่ที่คุณทำมันเป็นอย่างนั้น คุณทำตัวเป็นศาสดาที่คอยเผยแพร่คำสอนของเค้ามาให้ผม ธิชา เลิกแนะนำผมเสียที ผมไม่มีวันเป็นเหมือนเค้า แล้วถ้าคุณต้องการจะมองหาอะไรที่
มันดีขนาดนั้นให้ได้จริงๆ ล่ะก็...” บูรพาพยักพเยิดไปยังจุดที่ตะวันฉายอยู่ “เค้าคงอยู่ใกล้ๆ คุณแล้วล่ะ”
บูรพาเดินจากไปเลย ธิชาได้แต่มองตาม ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ
ตะวันฉายยืนหลบฝนรออยู่ จนกระทั่งเห็นธิชาเดินคอตกกลับมาคนเดียว
“เค้าไปแล้ว”
ตะวันฉายซึมลงไปถนัดตา เมื่อพบว่าตนได้ก่อบาปขึ้นในใจน้องชายอีกครั้งแล้ว โดยไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 6