รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 12
ดวงดาวหิ้วกระเป๋ากีตาร์ เดินมาตามทางเดินเท้าริมถนน โดยมีรถคิมหันต์แล่นตามขนาบข้างเธอมา คิมหันต์เปิดกระจกรถชะโงกหน้าคุยกับดวงดาว
“คุณจะเดินไปถึงไหน ขึ้นรถมาเหอะ ผมไปส่งให้เอง”
“ฉันบอกเหรอว่าจะให้คุณมาส่ง ฉันบอกว่าจะแวะมาเอาของ แล้วจะไปเอง คุณตามมาทำไม”
“ก็แค่อยากมา”
“อยากมาเจอนายธาดาใช่มั้ย คุณจงใจที่จะให้เกิดเรื่องอย่างนี้ใช่มั้ย”
ดวงดาวหยุดเดิน คิมหันต์หยุดรถ
“อาธาดาเขาย่ำแย่จนถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่พออีกเหรอ ยังไม่เลิกอีก ยังไม่หายแค้นใช่มั้ย หรือต้องรอให้เขาลงไปดิ้นตายต่อหน้าต่อตาคุณ”
“ก่อนตาย มันต้องรับโทษก่อน” คิมหันต์ว่า
“งั้นทำไมคุณไม่อยู่เฉยๆ รอให้ศาลพิพากษาล่ะ ที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้มันเดือดร้อนคนอื่นไปหมด ต้องให้บอกมั้ยว่าใครบ้าง”
คิมหันต์นิ่ง ไม่โต้ตอบ
“ทั้งมุกริน ทั้งพักตรา พวกเขาต้องช้ำใจกับพฤติกรรมของคุณขนาดไหน”
คิมหันต์ถามขึ้นว่า “แล้วคุณล่ะ”
“เล็กน้อยมากสำหรับฉัน เมื่อเทียบกับสองคนนั่น”
คิมหันต์นิ่งไปอีก
“เลิกเถอะ แยกย้ายกันไปสร้างชีวิตตัวเองให้ดีงามเถอะค่ะ คุณคิมหันต์”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่งๆ แล้วจู่ๆ ดวงดาวก็มีอาการหน้ามืด คลื่นเหียนขึ้นมา เธอก้มหน้าอาเจียน ข้างทางนั้น คิมหันต์ขยับตัวเข้าหา เพื่อช่วยเหลือ ดวงดาวสะบัดตัวออกห่างจากเขา
“ฉันช่วยตัวเองได้”
ดวงดาวโบกเรียกแท๊กซี่คันที่วิ่งผ่านมา เปิดประตูเข้าไปนั่งทันทีที่รถจอด
“แน่ใจเหรอที่เลือกแบบนี้” คิมหันต์ชะโงกหน้ามาถาม
“ฉันต้องการเวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ไม่จำเป็นอย่าติดต่อฉันอีกนะ ขอร้อง”
ดวงดาวปิดประตูรถ เธอบอกปลายทางกับโชเฟอร์ แล้วแท๊กซี่ก็เคลื่อนออกไป
ขณะที่มุกรินนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศบ้านสวน เสียงโทรศัพท์ข้างตัวเธอดังขึ้น มุกรินกดปุ่มรับ
“พี่ใหญ่...มีอะไรเหรอคะ”
ธาดาขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์หน้าเครียด
“ไอ้คิม มันเลว...มันคบกับดวงดาว”
มุกรินถึงกับชะงัก
“จริงเหรอคะ”
“มันสองคนนัดกัน...ดาวทิ้งพี่แน่นอนแล้ว มุก”
“มุกจะลองถามดวงดาวดูอีกทีนะคะ”
“ไม่จำเป็น พี่แค่โทร.มาบอกให้มุกรู้ถึงความเลวของไอ้คิม มันจงใจทำลายทุกอย่างที่พี่รัก มุกอย่าหลงเชื่อมันแม้แต่นิดเดียวนะ”
ความกังวลใจผุดขึ้นในแววตาของมุกรินเป็นริ้วๆ
“แล้วตอนนี้ พี่ใหญ่อยู่ไหนคะ”
“พี่กำลังหาทางใช้หนี้อยู่ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบ เราจะได้กลับมาอยู่เป็นครอบครัวเหมือนเดิม พี่ต้องทำให้ได้มุก”
ธาดากดวางสายไป ความเคร่งเครียดยังปรากฏให้เห็นอยู่เต็มใบหน้าเขา
มุกรินวางโทรศัพท์ลง สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยเรื่องครุ่นคิดมากมาย จขนปรารภเดินเข้ามาใกล้ๆ
“นั่งเหม่ออะไรไม่ทราบ ครีเอทีฟของพี่”
“เปล่าค่ะ”
“ดูมุกเหนื่อยๆ นะ วันนี้แค่นี้ก่อนก็ได้”
“เพิ่งจะบ่าย ให้เลิกงานแล้วเหรอคะ”
“เราเป็นเจ้าของบริษัทเอง เราจะทำกี่โมงเลิกกี่โมง เรากำหนดเองได้ กลัวอะไร ไม่มีซีอีโออย่างยายพักตรามาคอยจ้องจับผิดซักหน่อย”
“งั้นมุกเก็บของนะคะ”
“จ้ะ อ้อ นี่เงินเดือนของมุก พี่จ่ายก่อนเลย พี่ให้เท่ากับที่มุกเคยได้รับ แต่ยังไม่นับส่วนแบ่งกำไรของแต่ละโปรเจ็กท์นะ”
มุกรินเกรงใจ “พี่รภให้มุกมากไปรึเปล่าคะ”
“พี่มีพนักงานประจำคนเดียว ให้มากกว่านี้ยังได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
“เอ่อ ยังยืนยันจะไม่บอกพี่ใช่มั้ยว่ามุกพักที่ไหน”
“พร้อมจะบอกแล้วมุกจะบอกเองค่ะ”
“งั้น ทานข้าวเย็นกันก่อนกลับได้มั้ยครับ”
มุกรินยิ้มรับคำชวนนี้
โต๊ะอาหารตัวหรูที่สุดในร้านนี้ ซึ่งทนายบรรเจิดนั่งทานอาหารมื้อค่ำชั้นเลิศอยู่ที่นี่ ธาดาเพิ่งมาถึง เขาขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าบรรเจิด
“ถ้าคุณยังขอเจอผมอีกหลังจากวันนี้ ผมจะขึ้นบัญชีคุณเป็นคนน่ารำคาญสำหรับผมแล้วนะ คุณธาดา”
“ถ้าไม่จำเป็นผมไม่มาหรอก”
“ยังมีความจำเป็นอะไรของคุณที่เกี่ยวกับผมอีกเหรอ”
ธาดาหายใจลึกๆ พยายามสรรหาคำพูดที่เหมาะสม
บรรเจิดดูออก “ก่อคดีใหม่อีกรึไง”
“เปล่า ผมอยากติดต่อ เสธ.”
“เสียใจ เสธ.ขึ้นบัญชีคุณเป็นคนน่ารำคาญนานแล้วครับ”
“ผมอยากทลายบ่อน”
“ว่าไงนะ” บรรเจิดประหลาดใจ
“ผมเป็นหนี้ เสี่ยเจ้าของบ่อน...มันไล่บี้ผมมาก”
“เท่าไหร่”
“สามสิบ”
บรรเจิดส่ายหัว “ไม่เข็ดเลยนะคุณ”
“ถ้าเสธ.ช่วยส่งคนไปพังบ่อนมัน ทุกอย่างก็จะจบ...มันเป็นแค่บ่อนเล็กๆ ไม่มีอิทธิพลอะไรมากมายนัก”
“คุณรู้ได้ยังไง ไม่ทราบ”
บรรเจิดพูดตรง แรง เหมือนดุ ธาดาถึงกับนิ่งไป
“คุณพูดอย่างนี้ไม่ได้นะ ทุกคนล้วนมีแบ็คด้วยกันทั้งนั้น คนนอกอย่างคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าแบ็คใครแข็งกว่าใคร เพราะฉะนั้นคิดจะพูดอะไรจะทำอะไรดูหน้าดูหลังให้ดีซะก่อน”
ธาดาอึ้ง พูดไม่ออก
“คุณมีเท่าไหร่” บรรเจิดถาม
“อะไร เท่าไหร่”
“หน้าตักของคุณน่ะ มีดีแค่ไหน คิดจะไปเสี่ยงกับเขา วงการนักเลง เขาไม่หักกันด้วยเรื่องโง่ๆ แบบนี้หรอก ผมตอบแทนเสธ.ได้เลยว่า ท่านไม่ยุ่งด้วยเด็ดขาด”
ธาดาก้มหน้านิ่ง
“จำที่ผมพูดเรื่องกรรมได้มั้ย เมื่อทำอะไรไว้โดยไม่รู้จักยั้งคิด ถึงเวลาใช้กรรมก็ต้องค่อยๆ ใช้ไป มันเป็นกรรมของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม ไม่เกี่ยวกับเสธ กินอะไรมั้ย ผมเลี้ยงเอง มื้อสุดท้ายระหว่างคุณกับผมนะ”
ถ้อยความเหมือนพูดเรื่อยเปื่อยนั้น ฟังดูเด็ดขาดและตัดขาดสัมพันธ์ในที
เมื่อรถมุกรินแล่นเข้ามาจอดในบ้าน เธอจึงเห็นว่ามีรถคิมหันต์จอดอยู่ริมถนนหน้าประตูบ้าน
มุกรินเปิดประตูลงจากรถ เธอเดินตรงไปยังรถคันนั้น คิมหันต์ก้าวลงจากรถ
“คุณไม่มีที่ไปจริงๆ เหรอ”
“ผมบอกคุณแล้วไง”
“หรือว่าเพิ่งกลับจากส่งดวงดาว” มุกรินอดจะประชดไม่ได้
“พี่ชายคุณโทร.มาฟ้องละซี”
“ฉันรู้ว่าดวงดาวชอบคุณอยู่ไม่น้อย โดยไม่มีอะไรเกินเลยไปไกล แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
“คุณไม่เชื่อใจผม”
“เคยเชื่อ และก็ผิดหวังมาแล้ว”
“แล้วคืนนี้จะยอมให้ผมเข้าบ้านมั้ยครับ”
“เข้ามาแล้วปิดประตูให้ด้วยนะคะ”
มุกรินหันหลังเดินเข้าบ้านไป คิมหันต์ขยับตัวเพื่อจะเลื่อนรถ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น คิมหันต์กดรับสาย
“ฮัลโหล คุณปริมเหรอครับ มีอะไรรึเปล่า”
ปริมยืนพูดโทรศัพท์กลางโถงบ้านท่านนายพลอรรถ
“มีค่ะ คุณพักตรากลับมาแล้ว”
“ห๊ะ...ไหนว่าจะไปหาพ่อเขาเดือนนึงไง”
“ยังไงไม่ทราบค่ะ แต่ตอนนี้คุณควรจะมาดูเธอหน่อยนะคะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ”
ปริมอึดอัดพอควร “เอ้อ...เรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“ก็คงเจ้าอารมณ์เหมือนเดิม ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำไมต้องไปด้วย”
“เป็นคำสั่งพลโทอรรถ ท่านสั่งมาทางไลน์ค่ะ ก็แล้วแต่คุณนะคะ ฉันแค่ทำตามหน้าที่ และก็เป็นห่วงคุณพักตรามากๆ ค่ะ”
คิมหันต์ลดโทรศัพท์ลง สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
มุกรินเดินถือที่นอน หมอน ผ้าห่ม ไปวางไว้ที่โซฟา เธอชะเง้อมองไปนอกบ้าน ยังไม่เห็นรถคิมหันต์แล่นเข้ามา มุกรินจึงเดินไปชงกาแฟในครัว จังหวะนี้โทรศัพท์มือถือของเธอจึงดังขึ้น มุกรินกดรัสาย
“ฮัลโหล”
เป็นสายจากคิมหันต์ “คืนนี้ผมไม่รบกวนมุกก็แล้วกัน”
“มีที่ไปแล้วเหรอคะ”
คิมหันต์ขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์
“ผมอยากบอกคุณว่า กับดวงดาวน่ะผมแค่สนใจการใช้ชีวิตของเขา ออกจะสงสารเขาด้วยซ้ำที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอย่างธาดา และที่สำคัญเขาคอยช่วยเหลือผมให้ลงเอยกับมุกมาตลอดนะ”
“ฉันรู้ และไม่เคยสงสัยในตัวดวงดาวเลย”
“แต่คุณสงสัยผม”
“ขับรถดีๆ นะคะ ฉันจะล็อคบ้านละ”
มุกรินวางโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ
คิมหันต์ถอนหายใจ จำต้องขับรถไปพร้อมกับความเครียด
ไม่นานต่อมา รถคิมหันต์แล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านท่านนายพล ในยามราตรี
คิมหันต์ลงรถ เดินเข้าไปในโถงกลางบ้าน เห็นปริมยืนรออยู่แล้ว
“ขอบคุณนะคะที่กรุณามา”
“ผมไม่มีทางเลือกอื่นนี่ครับ”
“ดิฉันพอจะเข้าใจได้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับคุณพักตรา ซึ่งจะว่าไปก็รวมทั้งท่านนายพลอรรถด้วย”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ ถึงยังไงผมก็มาแล้ว ผมทำอะไรได้บ้างครับ”
“คุณพักตราขังตัวเองในห้องค่ะ ร้องไห้ไม่หยุด ไม่ยอมเปิดประตู ไม่ยอมบอกด้วยว่าร้องไห้ทำไม”
“แค่นี้”
“เธอถือปืนเข้าไปในห้องด้วยค่ะ แล้วตะโกนว่าอยากตาย”
พักตรานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงนอนใหญ่กลางห้องนอน ปืนกระบอกมันวาว วางสะท้อนแสงไฟอยู่ที่ปลายเตียง มีเสียงเคาะประตูห้องดังเข้ามา ตามมาด้วยเสียงปริม
“คุณพักตร์คะ คุณพักตราคะ”
“อย่ามายุ่งกับพักตร์ พักตร์อยากตาย ไม่ต้องเคาะเรียกพักตร์อีกแล้วนะคุณปริม”
เสียงคิมหันต์ดังเข้ามา “นี่ผมเองนะ พักตร์”
สีหน้าพักตราเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงสามี
คิมหันต์เคาะประตูห้องอีก
“พักตร์ เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย มีอะไรค่อยๆพูดกันก็ได้ อย่าเพิ่งทำร้ายตัวเองนะพักตร์ พักตร์ คุณได้ยินผมมั้ย พักตรา”
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น คิมหันต์มองหน้าปริม
“คุณเข้าไปคนเดียวเถอะค่ะ เผื่อจะคุยอะไรกันสะดวกกว่า ดิฉันจะรออยู่ข้างล่างนะคะ”
ปริมเดินลงบันไดไปเลย
คิมหันต์ตัดสินใจเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงเห็นว่าพักตรานั่งยิ้มอยู่บนโซฟา หล่อนปั้นหน้ายิ้มกว้างสดใสให้ผัวรัก ดูเหมือนว่าเธอจะเช็ดคราบน้ำตาออกไปไม่น้อยแล้ว คิมหันต์ค่อยๆ ฉีกยิ้มตอบ
“พักตร์”
“ดีใจจังที่ได้เห็นคิม คิมมาหาพักตร์จริงๆ ด้วย คิมมาเอง หรือนายพลอรรถบอกให้มาคะ”
“ผม...มาเอง”
พลันน้ำตาของพักตราก็ไหลออกมาอีก
“พักตร์คิดถึงคิมจังเลย คิดถึงมากๆ”
คิมหันต์ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง ปลอบโยนพักตรา
“เกิดะไรขึ้นเหรอพักตร์ ทำไมร้องไห้ขนาดนี้”
“คิมเป็นห่วงพักตร์เหรอคะ”
“ไม่ใช่เฉพาะผมหรอก ทุกคนก็ห่วงคุณทั้งนั้น คุณปริม และก็พ่อคุณ”
พักตราชักสีหน้าโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าสุดท้าย
“พ่อ”
คิมหันต์เอื้อมมือหยิบปืนกระบอกนั้น ให้ห่างจากตัวพักตรา
“เก็บปืนก่อนนะพักตร์ ทีนี้เล่าให้ผมฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น คุณบอกว่าจะไปหาพ่อเดือนนึงไม่ใช่เหรอ”
ความเคียดแค้น ผุดขึ้นในอารมณ์ของพักตราอีกครั้ง
“ใช่ พักตร์ถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครจริงใจกับพักตร์เลย มีแต่คนหลอกลวงพักตร์ทั้งนั้น พักตร์ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม”
“พ่อคุณได้ยินอย่างนี้เขาจะเสียใจนะ”
“เขาคงจะดีใจมากกว่า ที่ไม่มีพักตร์อยู่”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
พักตราระบายความผิดหวังของเธอออกมาด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมามากขึ้น
“เพราะพ่อนั่นแหละตัวดี หลอกพักตร์มาตลอด หลอกว่าไปดูงาน ไปทำงาน แต่ที่แท้ คิมรู้มั้ยว่าพักตร์ไปเห็นอะไร พักตร์ไม่คิดเลยว่าพ่อจะทำอย่างนี้ ลับหลังพักตร์ ลับหลังแม่”
เสียงอันทนรงอำนาจของพลโทอรรถดังลั่นเข้ามาในนี้
“พักตรา”
คิมหันต์และพักตราหันไปมองยังต้นเสียง เห็นพลโทอรรถก้าวเข้ามาในห้อง โดยมีคุณปริมตามมาห่างๆ
“ฟังพ่อก่อนพักตร์”
พักตราเปล่งเสียงตะโกนลั่นห้อง
“ไม่ พักตร์ไม่ฟัง ออกไป ออกไปนะพ่อ พักตร์ไม่อยากเห็นหน้าพ่ออีกแล้ว พ่อก็ไม่ต่างจากผู้ชายเลวๆ คนนึง พราะพ่อเป็นอย่างนี้ไง แม่ถึงได้ช้ำใจตาย”
“หยุดก่อนพักตร์ ให้โอกาสพ่อได้อธิบายบ้างสิ”
“พักตร์ไม่ต้องการคำอธิบาย ทุกคนฟังนะ คุณปริมฟังด้วย พ่อแอบมีเด็กผู้หญิง เขาโกหกทุกคนว่าไปทำงาน แต่พักตร์ไปเห็นกับตามาแล้ว เขานอนกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าพักตร์อีก ตั้งสองคน ผู้หญิงสองคนนอนแก้ผ้าอยู่กับพ่อบนเตียง จะให้พักตร์เข้าใจว่ายังไง เนี่ยเหรองานของพ่อ ที่ต้องไปทำถึงฝรั่งเศส”
พลโทอรรถพูดอะไรไม่ออก ปริมนิ่งอึ้งไปเลย
“แล้วรีบกลับมาทำไมล่ะคะพ่อ จะรีบกลับมาเคลียร์เหรอ นี่ถ้าพักตร์ไม่โผล่ไปเห็น พ่อก็คงอยู่กันเป็นเดือนๆ กับอีเด็กนั่นใช่มั้ย แล้วอย่างนี้พักตร์จะเชื่อใจพ่อได้ยังไง พักตร์จะเชื่อได้ยังไงว่าพ่อทำทุกอย่างเพื่อพักตร์ พ่อทำเพื่อสนองตัณหาของพ่อเองต่างหาก พ่อไม่นึกถึงแม่บ้างเลย ไม่นึกถึงคุณปริมเลย”
ปริมเดินหนีออกไปจากห้อง อรรถใจหาย
“คุณปริม”
“หนูเกลียดพ่อ หนูเกลียดพ่อแบบนี้ที่สุด”
“พักตร์จะโกรธจะเกลียดพ่อยังไงก็ได้ พ่อไม่มีสิทธิ์ห้าม เพราะอาจจะมีบางเรื่องที่พ่อทำไม่ถูก พ่อทำไม่ดี ก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องของลูก พ่อถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญที่สุด ที่พ่อต้องทำเพื่อลูกก่อนเสมอ”
“พักตร์ไม่เชื่อ”
“ตามใจ แค่พ่อเห็นว่าลูกกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย พ่อก็ดีใจแล้ว เรื่องของพ่อ เอาไว้อารมณ์ดีๆ แล้วเรามาพูดกันใหม่นะ”
“ไม่ค่ะ พักตร์จะไม่พูดกับพ่ออีกต่อไปแล้วค่ะ”
อรรถจึงค่อยๆ เดินออกไป แต่หันมาพูดกับคิมหันต์ก่อนก้าวพ้นประตูห้อง
“อยู่กับลูกสาวฉันก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
ปริมยืนซึมอยู่หน้าคฤหาสน์ ทอดสายตามองออกไปไกล พลโทอรรถก้าวเข้ามาทางด้านหลัง
“ปริม”
“ท่านไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ค่ะ ปริมเข้าใจ”
“ปริมเข้าใจว่าไง”
“ท่านอยู่สูงกว่าปริมมาก ท่านเลือกได้ว่าอะไรที่ทำให้ท่านมีความสุข ซึ่งต่างจากปริม”
“ไม่จริงหรอก”
“จริงค่ะ ที่ผ่านมาปริมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่ทำให้ท่านมีความสุข แต่เมื่อท่านมีทางเลือกอื่นๆ มากกว่าปริม...คุณค่าของปริมก็ต้องน้อยลงเป็นธรรมดา”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ”
“ปริมดีใจนะคะที่มีโอกาสได้ดูแลท่าน แต่วันนี้ปริมขอเลือกเท่าที่ปริมจะเลือกได้”
อรรถงวยงง “เลือกอะไร”
“ปริมขอไปจากตรงนี้ค่ะ ขอบคุณที่ท่านเมตตาปริมมาตลอด หมดเวลาที่ปริมจะรับใช้ท่านแล้วค่ะ”
ปริมยกมือไหว้อรรถอย่างสวยงาม แล้วเดินจากไปเลย
คิมหันต์เดินลงบันไดมาจากชั้นบน เห็นพลโทอรรถนั่งนิ่งๆ อยู่ในมุมมืด แก้วเหล้าหนึ่งใบอยู่ในมือนายพลนักรัก คิมหันต์ค่อยๆ เดินเข้าไปหา เขาขยับตัวลงนั่งข้างๆ นายพลผู้เป็นพ่อตา
“ยายพักตร์เป็นยังไงบ้าง”
“หลับแล้วครับ”
อรรถพยักหน้ารับรู้ ไม่พูดอะไร
“ผมเห็นคุณปริมถือกระเป๋า”
“เขาไปแล้ว”
“ผู้ชายเรามักจะเป็นอย่างนี้ มองข้ามของดีๆ ใกล้ตัว ไขว่คว้าหาสิ่งที่อยู่ไกลตัวสิ่งที่เป็นของจอมปลอม ไม่จีรัง สุดท้ายของดีๆ ที่อยู่กับเรา ก็ทิ้งเราไปหมด”
อรรถยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“นายคงไม่ทำอย่างนี้กับลูกสาวฉันนะ”
“ผมทำอย่างนี้กับมุกรินไปแล้วครับ”
อรรถหันไปจ้องหน้าคิมหันต์ แล้วจึงรินเหล้าส่งให้เขาหนึ่งแก้ว
“คืนนี้นายนอนที่นี่ได้มั้ย”
คิมหันต์ได้แต่นิ่งคิด ไม่มีคำตอบให้อรรถ
“ฉันไม่นึกเลยว่าวันนึงฉันต้องนั่งดื่มกับนาย ในอารมณ์แบบนี้”
คิมหันต์มองหน้าอรรถ
“ฉันเคยใช้ความยิ่งใหญ่ของฉัน บังคับ บีบคั้นนายทุกอย่าง เพื่อให้นายมาเป็นลูกเขยฉัน แต่วันนี้”
อรรถหายใจเต็มปอด ข่มอารมณ์และความรู้สึก ก่อนเอ่ยปากต่อ
“สิ่งที่ฉันจะพูดกับนายวันนี้ มันคือ การขอร้อง เป็นคำขอร้องของชายชาติทหารสูงวัยคนนึง ที่ขอให้นายอยู่กับลูกสาวฉัน อย่าทิ้งพักตรานะ ขอร้องเถอะนะ ไอ้ลูกชาย พักตราไม่มีใครแล้ว แม้แต่พ่อคนเดียวของเธอ เธอก็ไม่รู้สึกว่ามี เธอไม่มีใครจริงๆ เหมือนที่ฉันก็ไม่มีใครแล้วเหมือนกัน”
อรรถถือแก้วเหล้าลุกเดินออกไปยืนดื่มนอกห้อง คิมหันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของมุกริน
โทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมีสัญญาณโทร.เข้า มุกรินเอื้อมมือไปหยิบมากดรับสาย
“ฮัลโหล ที่นอนหมอน ผ้าห่มวางอยู่ข้างล่างแล้วค่ะ ถ้าคุณเปลี่ยนใจจะมา ฉันจะเปิดบ้านไว้ให้”
คิมหันต์ ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในเงามืดของโถงบ้านนายพลอรรถ
“ผมไปไม่ได้หรอก...แค่อยากโทรมาถามว่า คุณอยู่คนเดียวได้นะ”
“ถ้าฉันบอกว่าอยู่ไม่ได้ คิมจะทำยังไง”
ไม่มีเสียงคิมหันต์ตอบกลับมา
“ผู้ชายมักจะมีคำถามแบบนี้เสมอ คำถามที่ตัวเองเลือกคำตอบในใจไว้แล้ว”
“เรื่องราวของผมมันคงซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค”
“คุณก็แบ่งพูดวันละประโยคสิคะ ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย”
“นอนหลับฝันดีนะ แล้วผมจะหาโอกาสไปหาคุณ อย่าลืมว่า คิดถึงผมก่อนนายปรารภเสมอนะมุก”
คิมหันต์กดปุ่มวางสายทันที
มุกรินค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง เธอรู้สึกกังวลกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเธอไม่น้อย
12.2
ดึกแล้ว คิมหันต์เอนตัวลงนอนข้างๆ พักตราซึ่งหลับสนิทไปแล้ว ส่วนคิมหันต์นอนลืมตานิ่งๆ สักพักพักตราบิดตัว ขยับลุกขึ้นมาด้วยอาการคลื่นไส้ วิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ คิมหันต์ค่อยๆ ลุกตามไปดู
“เป็นยังไงบ้างพักตร์”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พักตรารีบเดินกลับมาล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม คิมหันต์ครุ่นคิดมากยิ่งขึ้น
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
เสียงอาเจียนของพักตราดังให้ทุกคนในบ้านได้ยินตั้งแต่เช้าแล้ว คิมหันต์เดินลงบันไดบ้านมา สวนกับสาวใช้
“สลิ่ม เช้านี้มีข้าวต้ม หรืออาหารอ่อนๆ มั้ย เตรียมให้คุณพักตร์ที เธอคลื่นไส้ทั้งคืน เหมือนจะไม่สบาย”
“ค่ะ” สาวใช้ชื่อพิกลรับคำ
“อ้อ มีเบอร์หมอประจำตัวคุณพักตร์มั้ย”
พลโทอรรถเดินเข้ามาหน้าตายิ้มแย้ม
“ไม่ต้องโทร.หาหมอหรอก พาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่า”
คิมหันต์แปฃลกใจ “ท่านยิ้มอะไรครับ”
“อาการแบบนี้ น่าจะมีข่าวดีสำหรับครอบครัวเรา สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้แล้วละ”
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง หมอหน้าใหม่เจ้าของไข้ เดินมาหยุดเบื้องหน้าอรรถ
“ดีใจด้วยนะคะท่าน ท่านกำลังจะได้เป็นคุณตาแล้วค่ะ”
“ฮ่ะๆๆ ผมพอใจกับสรรพนามหน้าชื่อนี้จริงๆ ฟังดูแก่ แต่มีความสุข ที่จะได้อุ้มหลานคนแรกของตระกูล ลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง”
“แข็งแรงดีค่ะ เธอถามหาท่านอยู่พอดี”
หมอขยับตัวเปิดประตูห้องตรวจให้อรรถ
เมื่ออรรถเดินเข้าไปในห้องตรวจ ก็เห็นพักตรานอนอยู่บนเตียง พยาบาลหนึ่งคนกำลังเก็บอุปกรณ์แพทย์อยู่ พักตราเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ พลโทอรรถหันไปพูดกับพยาบาลในห้อง
“ผมขออยู่ตามลำพังกับลูกสาวได้มั้ย”
“ค่ะ” พยาบาลเดินออกไปทันที
อรรถโน้มตัวลงไปให้ใกล้ลูกสาวของเขามากที่สุด
“พักตร์ ยังโกรธพ่ออยู่รึเปล่าลูก”
พักตราน้ำตาไหลออกมาอีก ไม่น้อย
“พ่อรู้ว่าพ่อทำไม่ถูก และพักตร์คงไม่ให้อภัยพ่อง่ายๆ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราควรจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา และทุ่มเทกำลังใจทั้งหมดให้กับชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เจ้าตัวน้อยๆ ที่จะมาเติมเต็มความสุขให้กับครอบครัวเรา นะลูก”
อรรถลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนอุ่น พักตราเอ่ยปากออกมาว่า
“คิมล่ะคะ คิมรู้รึยัง”
คิมหันต์นั่งนิ่ง อยู่ตรงม้านั่งริมทางเดินนั้น อรรถหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เขา
“ในที่สุด นายก็ได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นพ่อคน มันอาจจะสับสนทำอะไรไม่ถูกในช่วงแรกๆ แต่ฉันยืนยันได้เลยว่า มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ทุกคน ที่ได้สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาบนโลกใบนี้”
“ไม่น่าเชื่อ”
“นายจะบอกว่า ไม่เคยนอนกับลูกสาวฉันเหรอ จะต้องถึงขั้นตรวจ DNA มั้ย หรือต้องรอดูก่อนว่าหน้าเหมือนใคร”
คิมหันต์นิ่ง ไม่ตอบ
“อย่างนี้มันเป็นการดูถูกลูกสาวฉันมากเกินไปนะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ปฏิเสธหรอกครับว่าเป็นลูกผม แค่ไม่อยากเชื่อว่าผมจะมีวันนี้”
อรรถหัวเราะนิดๆ ตบบ่าคิมหันต์เบาๆ
“เรื่องดีๆ มักเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว นายควรจะมีความสุขกับการรอคอยทารกน้อยๆ ที่บริสุทธิ์ และเกิดขึ้นจากความรัก”
“ความรักเหรอ”
นายพลอรรถเปล่งเสียงกร้าวแบบดั้งเดิมขึ้นมาทันที
“อย่าพูดคำนี้ ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ให้ลูกสาวฉันได้ยินนะ”
เมื่อคิมหันต์เงียบ อรรถจึงลดโทนเสียงลง
“ขอร้องละ ไป ไปหาเมียนายเถอะ ให้กำลังใจเมียหน่อย ถ้าเมียนายแข็งแรง ลูกนายก็จะแข็งแรงไปด้วย”
พักตราก้าวลงจากเตียงตรวจ เมื่อเห็นคิมหันต์ก้าวเข้ามา เธอเงยหน้ามองเขา คิมหันต์ยิ้มให้เธอ พักตรายิ้มตอบ
“คิมดีใจมั้ยคะ”
คิมหันต์พยักหน้าช้าๆ
“คิมดูกังวลจังเลย ไม่มีความสุขเหรอ”
“ผมกลัวว่า ผมจะไม่ใช่พ่อที่ดีสำหรับเขา”
“พักตร์ก็กังวลเหมือนกันค่ะ แต่เราต้องช่วยกันสิคะ เราต้องทำได้ เราต้องผ่านไปได้ เชื่อสิ นอกจากว่า...”
คิมหันต์มองหน้าพักตรา
“นอกจากว่า คิมจะไม่อยากให้เขาเกิด หรือว่า คิมไม่ได้ตั้งใจ...”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย อย่าคิดมาก หมอบอกว่าช่วงนี้พักตร์ต้องดูแลสุขภาพให้ดีทั้งสุขภาพกายและใจนะ”
คิมหันต์โอบกอดพักตรา รอยยิ้มเป็นสุข ผุดขึ้นบนใบหน้าของพักตรา
“ค่ะ เพื่อลูกของเรา เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ซะทีนะคะ คิม”
ทางด้านมุกรินก้าวเข้ามาในโถงบ้าน เห็นปรารภนั่งทำงานอยู่แล้ว เขาเอ่ยปากทักมุกริน
“สวัสดีจ้า ขยันเข้าออฟฟิศอย่างนี้มีลุ้นรางวัลพนักงานดีเด่นของบริษัทนะเนี่ย”
“บริษัทมีพนักงานคนเดียว มุกคงไม่ต้องลุ้นกับใครมั้งคะ”
“ลุ้นกับพี่ไง เพราะพี่มาเช้ากว่า”
“พี่รภนอนที่นี่นี่คะ”
“พี่นอนคอนโดจ้ะ แต่พี่รีบมาเพราะอยากมาดูแลพนักงานคนเดียวของพี่ เดี๋ยวบริษัทอื่นจะมาซื้อตัวไป”
“ไม่มีหรอกค่ะพี่”
มุกรินขยับลงนั่งที่โต๊ะของเธอ เธอเปิดคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน ปรารภขยับตัวลงนั่งข้างๆ มุกริน เขาตัดสินใจพูดเรื่องสำคัญ
“พี่ขอคุยด้วยนิดนึงก่อนเริ่มงานได้มั้ย ไม่งั้นพี่ไม่เป็นอันทำงานแน่”
“มีเรื่องอะไรคะ”
“พี่ไม่สบายใจ”
“เรื่อง”
“พี่รู้สึกว่า มุกไม่ไว้วางใจพี่”
“พี่รภ”
“พี่อาจจะคิดไปเองว่าพี่กับมุกใกล้ชิดกันมากพอที่จะไม่มีความลับแก่กัน ซึ่งจริงๆ แล้วระหว่างเราอาจจะยังมีระยะห่างของความเป็นส่วนตัวอยู่ แต่พี่ไม่คิดว่าการบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบของตัวเอง เช่นตอนนี้พักอยู่ที่ไหน จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปิดบังกัน หรืออย่างน้อยถ้ามุกจะไม่บอกพี่ มุกก็น่าจะมีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าเพราะอะไร ไม่ใช่แค่บอกกว้างๆ ว่ามีเหตุผลบางอย่าง อ้ำๆ อึ้งๆ มันทำให้พี่คิดมาก”
มุกรินพูดโพล่งออกมาทันที
“มุกกลับไปอยู่กับคิมค่ะ”
ปรารภอึ้งไปสามวินาที จึงดึงสติถามไปทันทีว่า
“พี่ชายมุก รู้มั้ย”
มุกรินส่ายหน้า “พี่รภเป็นคนแรกที่รู้”
ปรารภถอนหายใจนิ่งๆ
“พี่รภคงคิดว่ามุกโลเล กลับไปกลับมา เอาแน่ไม่ได้ หลายใจ”
“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้นกับมุก”
“แต่ถ้าพี่รภจะเอาเหตุผลว่าทำไมมุกถึงกลับไปหาเขา มุกก็คงอธิบายไม่ได้ เพราะมุกก็ถามตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน”
ปรารภยังคงนั่งนิ่งๆ
“มุกพยายามตัดใจแล้ว แต่มัน”
“มุกยังรักเขาอยู่รึเปล่า”
ไม่มีคำตอบออกจากปากมุกริน
“ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องตอบพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่าพี่ยังเหมือนเดิมเสมอนะ เมื่อไหร่ที่มุกลำบาก มีปัญหา ไม่มีใคร พี่ก็จะอยู่ข้างๆ มุกเสมอ เมื่อไหร่ที่มุกมีความสุข พี่ก็จะดีใจด้วยอยู่ห่างๆ”
มุกรินมองหน้าปรารภด้วยความซาบซึ้ง ลึกๆ อดสงสารเขาไม่ได้
“พี่รภคะ”
“จริงจ้ะ แล้วยังจะทำงานกับพี่อยู่ไหมเนี่ย”
“ทำสิคะ”
“ทำก็ทำเลย มัวแต่อู้เดี๋ยวตัดเงินเดือนนะ”
มุกรินยิ้ม ขยับตัวนั่งทำงานอย่างตั้งใจ จนโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นอีก มุกรินกดรับสายนั้น
“ฮัลโหล”
คิมหันต์ยืนพูดโทรศัพท์ข้างรถของเขา ที่จอดอยู่ตรงหน้าบ้านพักตรา
“ช่วงนี้ผมยุ่งๆ อาจจะไม่มีเวลาไปหามุกเท่าไหร่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องถามนะว่า มุกอยู่ได้มั้ย”
ระหว่างนี้ ปรารภลอบมองดูมุกริน
“ถ้าคุณอยู่กับนายปรารภก็บอกเขาด้วยว่า คุณยังมีผมอยู่ และผมมาก่อนเขาเสมอ”
“แค่นี้นะคะ”
รอจนมุกรินกดวางสาย ปรารภจึงเอ่ยปากถามว่า
“คิมหันต์”
“ค่ะ”
“เขาจะแวะมารับคุณออกไปกินข้าว”
“เปล่าค่ะ เขาบอกว่ายุ่งๆ อยู่ คงไม่มีเวลาแวะไปหาที่บ้าน แต่รู้ว่ามุกอยู่ตามลำพังได้”
“ดี งั้นวันนี้ผมขอเลี้ยงมื้อเย็นได้มั้ยครับ”
พักตรานั่งทานอาหารกลางวันกลางโต๊ะอาหารเพียงลำพัง
สักครู่หนึ่งพลโทอรรถเดินหอบหนังสือกองใหญ่ก้าวเข้ามา แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างๆ พักตรา พร้อมกับเอ่ยปากพูดหน้าตาเห่อสุดๆ
“หนังสือดีๆ ที่พ่อสะสมไว้ คู่มือการเลี้ยงเด็ก ตำราตั้งชื่อที่เป็นมงคล คุณแม่มือใหม่ เลี้ยงยังไงให้ลูกฉลาด เอ้า เผื่อลูกสนใจ ลองเปิดอ่านดูก็ดีนะลูก อาจจะเก่า แต่ก็ยังใช้ได้ ว่างๆ พ่อจะดูหนังสือรุ่นใหม่ๆมาให้อีกนะ”
อรรถขยับลงนั่งหัวโต๊ะ ข้างๆ ลูกสาว พักตราเอ่ยปากขึ้นว่า
“พ่อคะ พักตร์ขออะไรอย่างได้มั้ยคะ”
“ว่าไงลูก”
“พักตร์ขอเลี้ยงลูกด้วยตัวเองค่ะ”
อรรถนิ่งงันไป นึกน้อยใจ
“พักตร์ยังโกรธพ่ออยู่”
“ค่ะ แต่พักตร์ไม่ได้รังเกียจพ่อหรอกนะคะ พักตร์แค่อยากใกล้ชิดกับลูกของพักตร์มากที่สุด และเป็นแบบของพักตร์เอง”
“แบบที่พ่อเลี้ยงพักตร์มา ไม่ดีพองั้นเหรอ” อรรถใจหายไม่น้อย
“ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่พักตร์อยากเรียนรู้ด้วยตัวเองพร้อมๆ กับการเติบโตของลูก แต่ถ้าพ่อจะคอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็จะเป็นส่วนสนับสนุนที่ดีสำหรับพักตร์ค่ะ”
อรรถยิ้มด้วยความเข้าใจ
คิมหันต์ก้าวเข้ามาในห้องนี้
“นั่งสิ กินข้าวด้วยกัน”
“วันนี้ผมขอออกไปทำธุระหน่อยนะครับ”
“ได้”
“ผมอาจจะไม่ได้กลับมานอนที่นี่”
อรรถมีสีหน้าไม่ค่อยดีขึ้นมาทันใด พักตรากลับนิ่งและเอ่ยปากเสียงใส
“เสร็จธุระแล้วค่อยแวะมาก็ได้ค่ะ พักตร์อยู่ได้ ขอให้รู้ว่าลูกของคิมอยู่ที่นี่ เขารอคิมอยู่ในนี้นะคะ” พักตราชี้ที่ท้องตัวเอง
“ครับ”
“พักตร์ดีใจนะคะ ที่วันนี้คิมอยู่ด้วยที่โรงพยาบาล”
คิมหันต์พยักหน้า
“ลูกคือโซ่ทองคล้องใจเราสองคนใช่มั้ยคะ คิม”
อีกฟาก ปรารภและมุกริน ทานอาหารค่ำด้วยกันอย่างเอร็ดแอร่มรื่นรมย์ ปรารภเอ่ยปากออกมาก่อน
“นี่ถ้านายคิมหันต์เห็นผมกินข้าวกับมุกอย่างนี้ คงโกรธ คงหึง น่าดูเลยเนอะ”
“เขาไม่มีสิทธิ์คิดอย่างนั้นกับพี่รภหรอกค่ะ”
“อืม...ประโยคนี้ตีความได้หลายทางนะ แล้วเขารู้รึเปล่าว่ามุกทำงานกับพี่”
“รู้ค่ะ”
“ห้ามมั้ย”
“มุกบอกแล้วไงว่าเขาไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของมุกกับพี่รภ”
“ประโยคนี้ฟังดูดี มีกำลังใจขึ้นมาหน่อย”
มุกรินปั้้นหน้าเป็นคำถาม
“ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่เป็นคนพิเศษสำหรับมุก”
“พี่รภฟังมุกนะ พี่รภเป็นพี่ที่พิเศษกว่าคนอื่นสำหรับมุกเสมอ”
“มันมีโอกาสพัฒนาไปได้มากกว่าความเป็นพี่มั้ย”
มุกรินยิ้มนิดๆ แต่ไม่เอ่ยปากตอบ
“เร็วไปเนอะ ที่จะพูดอะไรแบบนี้ ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเสียบรรยากาศ”
ปรารภตักอาหารเข้าปากเพียงหนึ่งคำ ก็ขยับปากพูดอีก
“พี่อดไม่ได้ครับมุก พี่ขอละลาบละล้วงถามอีกข้อเดียวนะมุก เป็นคำถามสร้างสรรค์น่ะ คือคนอย่างพี่ อายุอย่างพี่ พี่ไม่มีเวลามากนักที่จะมาสร้างเรื่องกุ๊กกิ๊ก อ้อมไปอ้อมมาได้บ่อยๆ พี่ยิงคำถามตรงๆเลยแล้วกัน”
มุกรินยิ้ม “ค่ะ”
“ถ้านายคิมหันต์เขาหย่ากับพักตราจริง...มุกจะแต่งงานกับเขามั้ย”
มุกรินหุบยิ้ม ครุ่นคิด นิ่ง
“อิ่มแล้วค่อยตอบพี่ก็ได้”
“มุกก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
ปรารภรอฟัง ใจจดจ่อ
“แต่อะไรๆ มันคงไม่กลับไปเหมือนเดิมได้ง่ายๆ หรอกค่ะพี่รภ”
“งั้นแปลว่า ตอนนี้ พี่กับเขา อยู่ในจุดเดียวกัน...พี่พูดอย่างนี้ได้มั้ย”
มุกรินมองหน้าปรารภ คิดตาม
“พี่กับเขากำลังแข่งกันทำแต้มอยู่ เหมือนกันใช่มั้ย”
“มุกไม่ใช่ถ้วยรางวัลที่ผู้ชายต้องมาแข่งกันนะคะ”
“มุกไม่ใช่สิ่งของครับ ไม่มีวัน แต่มุกเป็นสิ่งมีค่า ที่พี่ปรารถนาด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
ปรารภจ้องตามุกริน ด้วยความรู้สึกทั้งหมดของเขา
“พี่รภ...มุกเขินนะ พี่”
ทั้งสองหัวเราะ ก้มหน้าก้มตากินข้าวกันต่อ
รถคิมหันต์แล่นเข้ามาในบ้านมุกริน โดยจอดต่อท้ายรถปรารภที่จอดอยู่ก่อน คิมหันต์ก้าวลงจากรถ ปรารภเดินออกมาจากบ้านพร้อมมุกริน ทั้งหมดต่างเห็นหน้ากัน
“ผมเห็นประตูบ้านเปิดก็เลยเลี้ยวเข้ามา”
“ผมก็กำลังจะกลับครับ แต่ตอนนี้คงกลับไม่ได้แล้วหละ เพราะคุณจอดรถขวางทางออกของผม”
“ผมว่าคุณเอารถมาขวางทางเข้าของผมมากกว่า”
“ก็แล้วแต่มุมมองนะครับคุณคิมหันต์”
มุกรินเอ่ยปากออกมาในที่สุด
“คุณโทร.มาบอกมุกว่าติดธุระ จะไม่แวะมานี่คะ”
“ก็ไม่นึกว่าจะมีพ่อหม้ายแวะมาแทนที่ผมนี่” คิมหันต์แดกดัน
“ถ้าจะยืนพูดจาแดกดันกันอย่างนี้ เชิญนอกบ้านได้มั้ยคะ ฉันจะได้ล็อคบ้าน เข้านอน”
“คุณคงต้องเป็นฝ่ายถอยให้ผมละนะครับคุณคิมหันต์”
“คุณปรารภครับ คุณมีลูกชายตั้งสองคน คุณควรจะเอาเวลาไปดูแลลูกให้มากกว่าดูแลพนักงานนะครับ”
ปรารภขยับเข้าใกล้คิมหันต์
“คุณก็มีเมียแล้วนะ คุณก็ควรจะดูแลเมียให้มากกว่าแฟนเก่านะครับ”
ชายสองคนจ้องหน้ากันสักพัก คิมหันต์จึงเอ่ยขึ้นโดยหันมาหามุกริน
“ผมกลับนะมุก”
“มีที่ไปแล้วใช่มั้ยคะ”
“หาไม่ยากหรอก มุก”
คิมหันต์ขึ้นรถขับออกไปด้วยความหงุดหงิด ปรารภมองหน้ามุกริน รู้สึกได้ว่ามุกรินยังอาลัยอาวรณ์คิมหันต์อยู่
พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าไม่กี่ชั่วโมง ยังเช้าตรู่อยู่มาก
ถวิล และ ไสวถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน ทั้งคู่ต่างสะดุ้งกับภาพเบื้องหน้า
เมื่อเห็นคิมหันต์นอนหลับอยู่กลางโถงบ้านนั้นเอง
“คุณคิม มานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ถวิลร้องถาม
คิมหันต์พลิกตัวตื่น
“มาตั้งแต่เมื่อคืน”
“น่าจะโทร.มาบอกก่อนนะครับ” ไสวว่า
“ไปหาอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ แล้วถ้านายชุมสายมา ก็พาเขาไปรอที่โต๊ะอาหารเลยนะ”
ชุมสายมาถึงบ้านวิมลรัตน์ไม่นานหลังจากนั้น ทนายหนุ่มขยับตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร เบื้องหน้าคิมหันต์
“เกิดอะไรขึ้นวะ เรียกมากินข้าวแต่เช้า”
“ฉันไม่มีใครว่ะ”
“ไม่มีใคร แล้วกินข้าวไม่ลงเหรอ”
“ไม่มีใครให้คำปรึกษา”
“งั้นถูกต้องแล้วที่เรียกทนาย ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันนี่แกต้องจ่ายอื้อเลยนะ เรียกมาปรึกษาถึงบ้านอย่างนี้ อยู่เมืองนอกฉันรวยไปแล้ว แกรู้มั้ย”
“รีบกินข้าวเหอะ ฉันจะได้ปรึกษา”
“ว่ามาเลย กินไปคุยไป รีแล็กซ์ดี จะปรึกษาเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องลูก”
ชุมสายแปลกใจมากกว่าตกใจ “ไอ้คิม”
“ฉันกำลังจะเป็นพ่อ”
“ฉันไม่ใช่หมอสูตินะเว้ย”
“ฉันไม่ได้จะฝากครรภ์กับแก แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง”
“เดี๋ยวฉันถามลูกน้องที่เพิ่งมีลูกอ่อนให้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆนายต้องพยายามใกล้ชิดกับเมีย เพราะช่วงนี้คนเป็นแม่อาจมีอารมณ์แปรปรวน”
“ฉันกำลังจะเป็นพ่อของลูก ที่ฉันไม่ได้รักแม่เค้า แกเข้าใจมั้ย แล้วฉันจะทำยังไง กับ มุกล่ะ”
“เราคงต้องกินข้าวกันอีกหลายมื้อเลยว่ะ ไอ้คิม”
ถวิลเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร
“คุณคิมคะ มีแขกมาหาค่ะ”
คิมหันต์พูดเล่นๆ “อย่าบอกนะว่า พักตรา”
“ค่ะ เธอมาพร้อมกับพลโทอรรถ”
พักตราและอรรถลงรถก้าวเข้ามาหน้าประตูห้องโถงพร้อมถุงอาหารในมือ พักตราเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พักตร์เดาถูกว่าคิมต้องนอนที่บ้านนี้ ก็เลยแวะเอาอาหารเช้ามาฝาก แต่ไม่รู้ว่าคุณชุมสายนอนอยู่ด้วยกัน”
คิมหันต์และชุมสายมายืนต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านนั้น
“มันเพิ่งโทร.ตามผมมาเมื่อเช้านี้เองครับ”
“คงจะบอกข่าวดีใช่มั้ยคะ บอกเพื่อนหรือยังคะคิม”
“เพิ่งบอกเมื่อกี้นี้เองครับ”
“เห่อเหมือนกันนะเรา นัดเพื่อนฉลองกันเลยรึเปล่า” อรรถเย้า
“อ๋อ ยังครับ”
“พักตร์กำลังจะไปหาซื้อของใช้สำหรับเด็กน่ะค่ะ พักตร์ไปก่อนนะคะ เย็นๆ เจอกันที่บ้านนะ อ้อ วันนี้คิมกลับบ้านใช่มั้ยคะ”
อรรถหันไปมองหน้าคิมหันต์ รอฟังคำตอบ คิมหันต์ค่อยๆ เอ่ยปากรับคำ เสียงไม่ดังนัก
“ครับ”
“เจอกันค่ะ”
พักตราหอมคิมหันต์หนึ่งที แล้วเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ อรรถเดินเข้าไปใกล้คิมหันต์
“ช่วงนี้ ยายพักตร์ไปไหนมาไหนควรมีคนไปเป็นเพื่อน ฉันก็เลยอาสา และก็ถือโอกาสแวะมาดูด้วยว่านายอยู่กับใคร อย่าทำให้พักตราไม่สบายใจนะ เดี๋ยวจะมีผลต่อลูกของนายในท้องของยายพักตร์”
อรรถเดินตามพักตราไปขึ้นรถ แล้วรถตู้คันนี้ก็แล่นออกไป ชุมสายขยับเข้าไปใกล้คิมหันต์ เขาเอ่ยปากพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันขอตอบคำถามนายที่ค้างไว้เมื่อกี้นะ ทุกอย่างมันต้องมีจุดจบว่ะคิม แกกับมุกรักกันมานานก็จริง แต่เมื่อถึงตรงนี้ แกต้องยอมรับจุดจบ ต้องรู้จักพอ แล้วเดินหน้าไปกับชะตาชีวิตใหม่ ที่แกเป็นคนขีดมันขึ้นมาเอง”
“งั้นเหรอ”
“แกทำให้ผู้หญิงคนนึงท้อง โดยที่เขาไม่ได้ผิดอะไร แล้วแกจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยไม่ได้ ปัญหาจะไปตกที่เด็ก ซึ่งเป็นลูกของแกนะ ไอ้คิม”
“ลูกฉัน ฉันยินดีเลี้ยงดู แต่จะให้ฉันทนดูมุกรินเป็นของคนอื่น ฉันทนไม่ได้ นั่นแหละทั้งหมดที่ฉันต้องการ”
วันนี้ ธาดาตื่นตั้งแต่เช้า แต่เขายังนอนมองเพดานนิ่ง จนกระทั่งโทรศัพท์ติดต่อภายในห้องพัก แผดเสียงดัง
ตามมาด้วยเสียงพนักงานที่เคาน์เตอร์โถงด้านล่างของอพาร์ตเมนต์
“คุณธาดาคะ จากพนักงานหน้าฟร้อนท์ค่ะ”
ธาดาค่อยๆ ลุกไปหยิบโทรศัพท์แนบหู
“ว่าไง”
“มีคนมาขอพบคุณธาดาค่ะ”
“ใคร ผมไม่ได้นัดใครไว้นะ”
พนักงานสาวเกือบสวยยืนพูดโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์บริเวณโถง
“เขาไม่ได้บอกว่านัดค่ะ แต่เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องขอคุยด้วยสักครู่”
ธาดากรอกคำพูดใส่โทรศัพท์ด้วยเสียงอันดัง
“ผมไม่คุย ไม่ให้พบ คุณบอกเขาไปว่าผมไม่อยู่ หรืออยากจะบอกยังไงก็ตามใจคุณ ทำยังไงก็ได้อย่าให้ขึ้นมาห้องผมเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
ธาดาวางโทรศัพท์ลง ครุ่นคิด
พนักงานสาวคนนั้นวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ตรงไปยังโถงล็อบบี้ ที่นั่นเห็นเป็นเสี่ยอ๋านั่งสง่าอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พนักงานเอ่ยปากกับเสี่ยอย่างสุภาพ
“คุณธาดาไม่อยู่ค่ะ”
“แน่ใจ”
พนักงานแสดงความไม่แน่ใจออกมาให้เห็น
“หรือเขาสั่งให้คุณบอกผมว่า ไม่อยู่”
พนักงานเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง
“แกไม่อยู่ค่ะ”
เสี่ยอ๋าล้วงเงินปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋า บรรจงนับมัน พร้อมกับเอ่ยปากลอยๆ
“คุณคงจะเป็นพนักงานที่ดี ลูกค้าบอกว่าไม่อยู่ก็คือไม่อยู่”
พนักงานมองเงินในมือเสี่ย ใจเต้น
“ค่ะ”
“น่าเสียดาย”
พนักงานกระอึกกระอัก “เอ่อ...ค่ะ...”
“งั้นผมขอฝากของให้เขาหน่อยได้มั้ย”
พนักงานอึกอัก ตอบไม่ถูก
“หรือว่า ไม่อยู่ แปลว่า ฝากของให้ก็ไม่ได้”
พนักงานเหลือบมองเงินในมือเสี่ยอีกครั้ง อย่างลังเล
โทรศัพท์สายภายในห้องธาดา แผดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงพนักงานคนเดิม
“คุณธาดาคะ”
ธาดาเอื้อมมือยกมันขึ้นมาพูดทันที
“มีอะไรอีก”
“คนที่มาขอพบคุณ เขาฝากของไว้ให้ค่ะ”
“ของอะไร”
“ไม่ทราบค่ะ คุณธาดาคงต้องดูเอง”
“เก็บไว้ก่อน ผมยังไม่ลงไปหรอก”
“คุณธาดาไม่ต้องลงมาก็ได้ค่ะ ดิฉันส่งของไปให้ข้างบนแล้ว ถ้าคุณไม่ต้องการรับ ก็ส่งคืนมาได้เลยค่ะ”
“โอเค”
ธาดาวางโทรศัพท์ลงไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“มีของมาส่งครับ”
ธาดาขยับตัวเดินไปที่ประตู เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก เผยให้เห็นว่าบุคคลที่รออยู่นั้นคือ เสี่ยอ๋า และลูกน้องตีนและหมัดหนัก อีกสามคน
ธาดาช็อก
“กลัวผมมากเหรอ” เสี่ยอ๋าทัก
ไม่มีคำตอบออกจากปากธาดา
“ไม่ต้องกลัว ผมยังไม่ทำอะไรคุณหรอก แค่โผล่มาดู ให้คุณรู้ว่า การตามล่าตัวลูกหนี้ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม”
“ผมยังไม่มีเงิน” ธาดาบอก
“รู้”
“และผมก็ยังตามหาตัวน้องสาวไม่เจอ”
“เหรอ” เสี่ยอ๋ามองเหล่เหมือนไม่เชื่อ
“จริง”
“แต่ชีวิตคนเรามันต้องมีลิมิตกันบ้าง ผมให้เวลา 5 วัน ถ้าคุณตามหาตัวน้องสาวไม่เจอ คนของผมจะออกตามล่าเอง เห็นแล้วใช่มั้ยว่า ไม่ยาก”
เสี่ยอ๋าจ้องธาดา ตาไม่กะพริบ
“แต่ลูกน้องผมมันพวกมือหนักน่ะ ผมกลัวพัสดุจะชำรุดระหว่างการตามล่า ผมจะเสียดายแย่”
ธาดาคิดปราดเดียว ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากบอกไป
“เอาคนอื่นแทนน้องสาวผมได้มั้ย”
“ใคร มีใครสวยและน่ากินกว่ามุกรินอีกมั้ยล่ะ หรือจะส่งตัวเองมาแลก”
เสี่ยอ๋าค่อยๆ เอื้อมมือไปบีบก้นธาดา หัวเราะร่วน
“ถือว่าผมให้เกียรติคุณมากแล้วนะคุณธาดา ถึงได้มีทางเลือกให้คุณมากมายอย่างนี้”
เสี่ยอ๋าใช้มือข้างนั้นตบแก้มธาดาเบาๆ
“ห้าวันเท่านั้น เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปนะคุณธาดา”
เสี่ยอ๋าหมุนตัวเดินออกไปอย่างผ่าเผย หมู่ลูกน้องเดินตามเป็นขบวน
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
คิมหันต์เดินออกมาคุยสายตรงบริเวณระเบียงหน้าคฤหาสน์บ้านวิมลรัตน์
“แล้วมันว่ายังไง...ช็อกไปเลยเหรอ”
เสี่ยอ๋านั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถของเขายังคงจอดอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์เดิม
“อาการเหมือนคนกลัวตาย ไม่ว่าใคร โดนกดดันหนักๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ทุกราย แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันจะสบายไป เราต้องกดหัวมันเรื่อยๆ อย่างนี้ แหละ”
“ตามใจเสี่ยแล้วกัน”
เสียงเสี่ยอ๋าดังออกมาว่า “แต่คุณคิมหันต์ต้องรีบตัดสินใจนะครับว่าจะเอายังไงต่อ ครบห้าวันแล้วจะให้ทำอะไร ถ้ายื้อไปเรื่อยๆ อย่างนี้คนของผมเริ่มไม่สนุกแล้วนะครับ”
“เข้าใจ”
“ผมรู้ว่ามันมีผลกระทบกับคนที่คุณรัก แต่คุณต้องเลือกครับคุณคิมหันต์ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด”
“การชดใช้กรรม ยังเป็นความต้องการสูงสุดของผม”
“งั้นก็รีบบอกผม ว่าชดใช้แค่ไหน ถึงจะพอใจคุณ”
“ขอเวลาผมตัดสินใจอีกแป๊บนึง”
“ยังไงก็ ระวังกรรมที่จะตกกับตัวคุณเองด้วยนะ คุณคิมหันต์”
เสี่ยอ๋ากดวางสายไป
คิมหันต์วางสาย ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงขยับตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน ชุมสายนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว คิมหันต์เอ่ยขึ้นกับชุมสาย คล้ายเป็นคำสั่ง
“นัดอาจารย์ประสงค์ให้หน่อยสิ ฉันอยากรู้ว่า เมื่อไหร่ศาลจะอ่านคำพิพากษา
“อาจารย์แกไม่รู้หรอก แกไม่ใช่ผู้พิพากษา”
“ก็ลองถามแกก่อนไม่ได้เหรอ ขอร้องให้แกช่วยสืบให้หน่อยสิวะเพื่อน วันนี้เลยนะ”
มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มุกรินเดินออกมาจากห้องน้ำ กดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล พี่ใหญ่”
“มุกอยู่ที่ไหนน่ะ”
“มุกก็อยู่ที่เดิม”
ธาดาโทร.มาจากห้องพักในอพาร์ตเมนต์
“บอกพี่ได้มั้ยว่าที่ไหน”
“พี่ใหญ่เคยบอกว่าไม่อยากรู้”
“แต่ตอนนี้่พี่จำเป็นต้องรู้ พี่ต้องมั่นใจว่ามุกปลอดภัยจริงๆ”
“มุกปลอดภัยค่ะ”
มุกสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนตัดสินใจบอกเรื่องบ้าน
“มุกอยู่ที่บ้านเก่าของเรา บ้านพ่อบ้านแม่น่ะ”
“ห๊ะ...อยู่ได้ยังไง ก็ไอ้คิมมันยึดของเราไปแล้ว”
“เขาคืนให้มุกค่ะ เขายอมให้มุกมาอยู่ที่นี่ได้”
ธาดาโกรธ เสียงดังมากขึ้น
“นี่มุกไปเจอมันอีกเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบจากมุกริน
“ยังให้มันมายุ่งเกี่ยวกับเราอีกเหรอมุก”
“ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรมากกว่านี้ค่ะ เขาอยากยกบ้านให้อยู่เฉยๆ มันก็ดีกว่าให้มุกไปอยู่ที่อื่น ที่ไม่รู้จักนะพี่ใหญ่”
“แล้วมันมาอยู่กับมุกด้วยรึเปล่า”
“เปล่า”
“มีใครรู้บ้างว่ามุกอยู่ที่นี่”
“ก็มีแต่พี่รภ มุกทำงานกับเขา นอกนั้นมุกไม่ได้คบใครอีกเลยนะพี่ใหญ่ พี่ใหญ่มีอะไรรึเปล่า”
“พี่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย พี่คงต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่แล้วหละ พี่เป็นห่วงมุกนะ มุกไปไหนมาไหน สังเกตดูด้วยว่า มีใครสะกดรอยตามบ้างรึเปล่า”
น้ำเสียงมุกรินตกใจเอาการ “จะมีคนมาฉุดตัวมุกไปจริงๆ เหรอคะ”
“พี่ไม่รู้ ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน แล้วพี่จะติดต่อไปใหม่นะ”
ธาดาวางโทรศัพท์ลง หน้าตาเครียด
มุกรินวางโทรศัพท์ไป พลอยเครียดไปด้วย เสียงสัญญาณข้อความทาง line ดังขึ้น มุกรินยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นข้อความจากปรารภว่า
“วันนี้ไปพบลูกค้ากับพี่นะ ไม่เกินสิบห้านาทีถึงบ้านมุกจ้ะ...พี่รภ”
ธาดาคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าโยนลงกลางห้อง แล้วเปิดมันออก มีเสียงสัญญาณข้อความเข้าดังขึ้นที่โทรศัพท์ เขาหยิบมันขึ้นมาดู เป็นข้อความจากหมอเจ้าของไข้ว่า
“คุณธาดาครับ
คุณหมอณรงค์ขอนัดหมายวันผ่าตัดด่วน
เพราะทิ้งไว้นานไม่เป็นผลดีครับ”
พอมุกรินก้าวลงบันไดมาจากชั้นบน เห็นคิมหันต์นั่งรออยู่ที่กลางโถง เธอสะดุ้ง แปลกใจ
“คุณรับปากว่าจะโทร.มาบอกฉันก่อนทุกครั้งที่คุณจะมา”
“หมู่นี้โทรศัพท์สัญญาณไม่ค่อยดี โทรไม่ติด”
“คุณบอกว่า คุณไม่มีกุญแจบ้าน”
“ผมลืมไปว่ามีกุญแจสำรอง” เขาชูกุญแจให้ดู “คุณจะยึดไปก็ได้นะ”
คิมหันต์วางกุญแจดอกนั้นบนโต๊ะ
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่า คุณทำสำรองไว้กี่ดอก”
“ผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าผมเจออีก จะรีบเอามาคืนคุณเลย ดีมั้ย”
“ฉันเปลี่ยนแม่กุญแจ คงง่ายกว่า”
“ผมหาช่างให้ได้นะ เอามั้ย”
“อย่าลำบากเลยค่ะ”
มุกรินเดินเลยออกไปยังหน้าประตูบ้าน เห็นรถปรารภแล่นเข้ามาจอดพอดี ต่อท้ายรถคิมหันต์
“อ๋อ...มีช่างประจำตัวอย่างนี้นี่เอง”
ปรารภก้าวลงจากรถของเขา คิมหันต์เดินออกมาจากโถงบ้านตรงไปประจันหน้ากับปรารภ
“เสียใจนะ วันนี้ผมขวางทางเข้าคุณ”
“ไม่มีปัญหา เพราะผมมารับมุกออกไปทำงานด้วยกัน และวันนี้ทางออกสะดวกปลอดโปร่ง ไม่มีอุปสรรคขวางกั้น”
มุกรินเดินออกมาจากในบ้าน คิมหันต์เอ่ยปากถามมุกรินเป็นเชิงประชดประชัน
“คุณมีคนขับรถประจำตำแหน่งตั้งแต่เมื่อไหร่”
มุกรินนิ่ง ไม่ต่อปากต่อคำด้วย ปรารภจึงเอ่ยปากตอบแทนว่า
“ตั้งแต่ที่คุณแต่งงานมีครอบครัวนั่นแหละ”
คิมหันต์พลิกตัวกลับไปหาปรารภ
“ก็แปลว่าคุณรับกินของเหลือจากผมล่ะสิ คุณปรารภ ชอบแบบนี้เหรอ”
ปรารภโกรธกระชากคอเสื้อคิมหันต์อย่างแรง
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เคยเป็นอะไรกับมุกรินมาแค่ไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาลบหลู่ดูถูกมุกรินอย่างนี้”
“ผมไม่ได้ดูถูก ผมแค่พูดความจริง”
“มันเป็นความจริงของผู้ชายเลวๆ เห็นแก่ตัวอย่างคุณน่ะสิ”
“พอเถอะค่ะพี่รภ”
ปรารภจึงปล่อยมือจากคอคิมหันต์
“โอ้โฮ ยอดเยี่ยมเลย เชื่อฟังคำสั่งผู้หญิงดีมากครับ แต่ผมว่า คุณดูเหมือนเป็นทาสมากกว่าเป็นแฟนนะ อย่างนี้ถ้าอยู่กันไป คุณก็คงจะเป็นช้างเท้าหลัง เผลอๆ อาจจะเป็นหางช้าง หรือไม่ก็อะไรที่มันอยู่ใต้หาง”
ปรารภสุดทน เหวี่ยงกำปั้นกระแทกหน้าคิมหันต์อย่างแรง
“ถ้ายังไม่หุบปากเลวๆล่ะก้อ ผมไม่ยั้งมือนะ”
“ใครกันแน่ที่ยั้งมือ ถ้าผมเอาจริง คุณสู้ผมไม่ได้หรอก”
ปรารภกระชากคอคิมหันต์เข้ามาประชิดตัวอีก
“ลองดูมั้ยล่ะ ลองพูดจาไม่ดีกับมุกอีกสิ”
มุกรินส่งเสียงดังออกมา
“พอที ทั้งคู่นั่นแหละ”
“อย่าเสี่ยงกับผมดีกว่า คุณพ่อหม้าย คุณไม่ใช่พระเอกเรื่องนี้หรอก”
“แต่คุณน่ะ ผู้ร้ายชัดๆ”
ปรารภผลักคิมหันต์ออกไป แล้วจึงเดินไปเปิดประตูรถ
“ไปทำงานกันเถอะมุก”
“เชิญตามสบายนะมุก แต่ผมขออนุญาตรอคุณอยู่ที่นี่นะครับ เพราะมีเรื่องที่อยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว คุณทำงานเสร็จกลับมา เราค่อยคุยกัน”
รถธาดาแล่นเข้ามาจอดขวางหน้าประตูรั้วในจังหวะนี้ คิมหันต์หัวเราะเยาะเบาๆ
“ทางออกคุณไม่สะดวกแล้วหละครับ คุณพ่อหม้าย”
ธาดาก้าวลงจากรถ สายตาเขาจับจ้องไปที่คิมหันต์
“มุก ไหนมุกบอกว่ามันไม่ได้อยู่ด้วยไง”
คิมหันต์เปิดปากทักทายด้วยคำพูดกระแนะกระแหน
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากมุกริน เพียงแต่ว่าเช้านี้พวกเรามาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งน่าจะหมายถึงแกด้วยมั้ง แหม พอน้องสาวมีบ้านอยู่ ก็จะมาอาศัยอยู่ด้วยเลยละสิ”
“เรื่องของฉันกับน้อง คนนอกอย่างแกกลับไปได้แล้ว มาอยู่เกะกะรกหูรกตาทำไม”
“แกพูดกับคนที่เพิ่งยกบ้านให้น้องสาวแกอยู่ฟรีๆ อย่างนี้เหรอ สันดานเลวไม่เลิกจริงๆ”
มุกรินลำบากใจมาก “หยุดเถอะค่ะ หยุดทุกคนเลย กรุณาออกจากบ้านฉันไปให้หมดได้แล้ว พี่รภคะ วันนี้มุกขอลางานนะคะ”
ปรารภพยักหน้ารับรู้แต่โดยดี มุกรินหันไปหาคิมหันต์
“ส่วนคุณ ถ้าจะใช้สิทธิ์ของการเป็นเจ้าของบ้านข่มขู่ ถากถาง ฉันและพี่ชายอย่างนี้ละก้อ ฉันจะย้ายออกไป”
“ไม่จำเป็น”
คิมหันต์ก้าวขึ้นนั่งในรถของตน และถอยผ่านรถปรารภออกไปทันที
มุกรินเดินกลับเข้าไปในบ้าน
มุกรินลงนั่งบนโซฟาห้องโถง ถอนหายใจ เหนื่อยหน่าย ไม่น้อย
ธาดาเดินตามเข้ามานั่งไม่ห่างน้องสาวนัก สภาพของธาดาดูท้อแท้ ไม่แพ้กัน
“พี่ใหญ่โผล่มาแบบนี้ เหมือนมาเช็คความประพฤติมุก”
“พี่แค่อยากมาดูว่ามุกปลอดภัยจริงหรือเปล่า”
“ถามจริงๆ เถอะพี่ใหญ่ ไอ้อันตรายที่พี่ใหญ่กลัวทั้งหมดนี้ มันเกิดจากพี่ใหญ่เป็นหนี้เขาเท่านั้น จริงๆ เหรอ”
ธาดาโกหกออกไปว่า “จริง”
“แล้วมันจะจบยังไงล่ะคะพี่ใหญ่ จะต้องหนีกันไปถึงไหน”
“พี่ก็ไม่รู้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน มันก็ตามหาพี่เจอได้ทุกที่”
“ถ้างั้นจะหนีทำไม”
ธาดาถอนใจแรงขึ้น
“พี่ไม่มีทางเลือก พี่ไม่เคยจนหนทางอย่างนี้มาก่อนเลย ที่ผ่านมา พี่เคยมีพี่มลคอยแก้ปัญหาเรื่องเงินเรื่องทองให้ พี่เคยมีดวงดาวคอยเป็นกำลังใจ แต่ตอนนี้พี่ไม่มีใคร”
มุกรินอดสงสารพี่ชายทาสการพนันไม่ได้ “พี่ยังมีมุกไงคะ”
ธาดามองหน้าน้องสาวเต็มตา
“แต่พี่ก็ทำให้มุกเดือดร้อนไปด้วย เหมือนที่พี่ทำกับทุกๆคน พี่คือต้นตอของปัญหาทุกเรื่อง พี่มันชั่วช้า สันดานเลวอย่างที่ไอ้คิมมันด่าพี่จริงๆ”
มุกรินกระเถิบตัวเข้าใกล้พี่ชายของเธอ
“พี่ใหญ่เลิกหนีเถอะค่ะ อยู่กับมุกที่นี่แหละ แล้วก็ขอเจรจากับเขา”
“เจรจา”
“ถ้าเขาอยากได้เงินคืน เขาต้องยอมเจรจา เราค่อยๆหาทางผ่อนชำระเขาทีละนิดก็ได้นี่คะ”
“เสี่ยมันคงไม่ยอม”
“ก็ต้องลองดูค่ะ อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เรามี แทนที่จะหนีหัวซุกหัวซุน เปลี่ยนเป็นทำงาน หาเงินผ่อนใช้หนี้เขา ยังดูมีอนาคตกว่ากันตั้งเยอะ”
ธาดามองหน้ามุกเต็มๆตา
“อนาคตของพี่เหลืออีกไม่มากหรอกมุก”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ เราค่อยๆ ช่วยกัน เดี๋ยวก็ฟื้นเอง อยู่กับมุกที่นี่เถอะนะ อยู่ที่บ้านของเรานี่แหละ”
ธาดาสะท้อนในอก “บ้านของเรา”
“ค่ะ บ้านพ่อบ้านแม่ของเรา”
“ก็คงใช่ ถ้าไอ้คิมหันต์จะไม่โผล่หน้ามาก่อกวนเราอีก”
เสียงออดจากหน้าบ้านดังขึ้นในนี้ ธาดาลุกขึ้นไปแง้มหน้าต่างดู
“มุกอยู่ในนี้หละ พี่ออกไปดูเอง”
ธาดาเดินออกไป มุกรินเอนตัวลง ท่าทีของเธอดูผ่อนคลายมากขึ้น
ธาดาเดินกลับเข้ามา เอ่ยปากกับมุก สีหน้าเรียบเฉย
“มีคนมาขอคุยกับมุก”
มุกรินแปลกใจ “แล้วพี่ใหญ่ยอมให้เข้ามาเหรอ”
“เขาบอกว่าเขามาดี”
“ไม่มีใครบอกว่าจะมาร้ายหรอกค่ะ...เขาเป็นใครคะ”
พักตราเดินเข้าประตูมา
“ฉันเอง มุก”
สีหน้ามุกเปลี่ยนไปทันที
“ฉันสัญญาว่า ฉันมาดี จริงๆ”
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 12 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง ที่ออฟฟิศสำนักงานทนายความบูรพาของชุมสาย อัยการประสงค์เดินเข้ามาในห้องประชุม
“สวัสดีสุภาพบุรุษทุกคน ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากผมไม่ทราบ ถึงได้นัดมาด่วนอย่างนี้”
คิมหันต์และชุมสายนั่งรออยู่ในห้องประชุมนี้แล้ว
“เรื่องการอุทธรณ์”
“เรายื่นฟ้องไปเรียบร้อยแล้วนี่ครับ ก็เหลือแค่รอศาลนัดฟังคำพิพากษาเท่านั้น”
“นั่นแหละครับที่นายคิมหันต์กังวล”
“ทำไมต้องกังวล”
คิมหันต์มองหน้าชุมสาย
“แกถามเองเลยคิม อยากรู้อะไร ต้องการอะไรแกถามเลย ขอเลย อาจารย์จะได้ตอบแกตรงๆ ไม่ต้องผ่านฉัน”
“ว่ามา ไม่ต้องเกรงใจ ผมมาถึงนี่แล้ว อย่าให้เสียเวลาเปล่า”
“ผมกลัวไอ้ธาดามันจะตายก่อนศาลมีคำพิพากษา”
ประสงค์บอกว่า “นั่นก็เท่ากับมันได้ชดใช้กรรมของมันแล้ว”
คิมหันต์เสียงดังขึ้น
“ชดใช้ที่ไหนกัน มันตายแบบคนบริสุทธิ์ตาย เราจะปล่อยให้คนดีๆ อย่างพี่มลตายฟรีอย่างนี้ไม่ได้ อาจารย์ต้องเร่งศาลหน่อยสิครับ”
ประสงค์หน้าตึง ไม่พอใจขึ้นมาทันที
“มากไปแล้วนะคุณคิมหันต์ คุณถือสิทธิ์อะไรไปสั่งศาล”
“ไม่ได้สั่ง ผมขอร้อง”
“ขอร้อง คำร้องทั้งหมดมันอยู่ในสำนวนยื่นอุทธรณ์หมดแล้ว เราใช้สิทธิ์ของผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรมจากศาลครบถ้วนแล้ว ที่เหลือจากนี้ก็อยู่ที่การวินิจฉัยของศาล ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร”
“เข้าใจครับ ผมแค่ขอเร่งให้ท่านช่วยคิดเร็วขึ้นหน่อยไม่ได้เหรอ”
ประสงค์เปิดคอร์สอบรมคิมหันต์ย่อมๆ “ประเทศนี้ไม่ได้มีคดีของคุณคดีเดียวนะคุณคิมหันต์ ศาลท่านต้องพิจารณาคดีอีกมากมาย จะให้จดจ่อแต่เรื่องของคุณคนเดียวได้ยังไง ท่านดูแลความยุติธรรมของคนทั้งประเทศ ถ้าทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองแบบคุณ ศาลท่านจะทำยังไงล่ะ ผมจะบอกให้นะ ถ้าสังคมนี้บีบศาลได้ บังคับศาลได้ เราก็ไม่ต้องอยู่กันแล้ว”
คิมหันต์อึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง
“ถ้างั้น เร็วที่สุด เมื่อไหร่”
ประสงค์ยังไม่คลายความโกรธ
“ไม่มีใครรู้หรอก ห้าเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี สามปี หรือมากกว่านั้น”
“แล้วผมจะชนะคดีมั้ย”
“หมอดูที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ก็ตอบคุณไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อเราทุกคนรู้อยู่ว่าความจริงคืออะไร คุณอาก็รู้เหมือนผมไม่ใช่ เหรอครับ”
ประสงค์ฉุนขึ้นมาอีก “ผมรู้มากกว่าคุณครับ ผมรู้ว่าผมต้องเคารพคำตัดสินของศาล ซึ่งคุณไม่เคยรู้ไม่เคยยอมรับ ผมจะบอกให้นะ ที่บ้านเมืองมันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เพราะคนมันเอาตัวเองเป็นใหญ่ เชื่อแต่ตัวเอง คิดแต่ว่าตัวเองถูก ไม่ยอมรับกติกาของสังคม อะไรที่ผิดไปจากความคิดของตัวเองถือว่าผิดหมด ยอมไม่ได้ ต้องยกพวกมาข่มขู่ บีบคั้น มันถึงได้โกลาหลไม่จบไม่สิ้นอยู่จนทุกวันนี้”
ทุกคนในห้องนี้ นิ่งสนิท
“ถามอีกครั้ง ผมจะชนะคดีมั้ย”
“ไม่รู้ ผมกลับละ” ประสงค์จ้องหน้าชุมสาย “ทีหลังอย่านัดผมมาคุยเรื่องแบบนี้อีกนะ คุณชุมสาย”
ประสงค์เดินกระทืบเท้าออกไปอย่างหงุดหงิด ชุมสายมองหน้าคิมหันต์ แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“เห็นมั้ย ฉันบอกแกแล้ว ว่าใครก็ช่วยไม่ได้ แกก็ไม่เชื่อ”
“ไม่เป็นไร ฉันยังช่วยตัวเองได้อยู่”
คิมหันต์ลุกเดินเลี่ยงห่างออกมา เขากดโทร.หาเสี่ยอ๋าทันที รอสัญญาณจนเสี่ยอ๋ารับสาย
“ฮัลโหล”
“ผมเอง เสี่ยอ๋า”
“ว่าไงครับคุณคิมหันต์...ตัดสินใจได้รึยัง ว่าจะเล่นแผนไหน”
ชุมสายหันไปมองคิมหันต์ รอฟังว่าเขาจะพูดอะไร
“ฆ่ามันเลย ผมต้องการเห็นมันตายต่อหน้าผม”
สีหน้าคิมหันต์ดุดัน เต็มไปด้วยความอำมหิต ดูน่ากลัวยิ่ง
เสี่ยอ๋าอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ มีสีหน้าเครียดขึ้น เขาเอ่ยปากน้ำเสียงจริงจัง
“คุณคิมหันต์ครับ ผมไม่ใช่มือปืนรับจ้างนะครับ ผมอาจจะทำอะไรที่ล่อแหลมได้ก็จริง แต่ไม่เกินเลยไปถึงฆ่าคนตาย อันนี้ผมไม่เอา ผมว่าคุณใช้เวลาห้าวันค่อยๆคิดวิธีการใหม่เถอะครับ เอาแบบให้สมเหตุสมผลหน่อย เจ๊มลมีบุญคุณกับผมก็จริง แต่จะให้ผมฆ่าคนเพื่อเจ๊ คงไม่ไหว วิญญาณเจ๊แกก็คงไม่ชอบใจนักหรอกครับ แต่ถ้าคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง ก็ปล่อยให้ผมเป็นน้องเขยมันซักวันสองวัน ก็โอเคนะ คุ้มเหนื่อยผมแล้วละ”
เสี่ยอ๋าหัวเราะร่วน แล้วจึงกดยกเลิกการสนทนา
คิมหันต์วางโทรศัพท์ลง หน้าตาเครียดยิ่งกว่าเก่าชุมสายเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ไอ้คิม ถึงแกจะเป็นเพื่อนฉัน แต่ถ้าแกทำผิดกฎหมาย ฉันก็ไม่อาจถือหางข้างแกได้นะเพื่อน”
“รู้”
“โดยเฉพาะคดีจ้างวานฆ่า”
สีหน้าคิมหันต์ดูออกว่าอารมณ์ภายในกำลังพลุ่งพล่านเต็มที่
“เออน่า ฉันก็พูดด้วยอารมณ์ไปอย่างนั้นแหละ มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ สาสมกว่านี้ และกฎหมายที่มีก็เอาผิดไม่ได้ด้วย”
ค่ำคืนนั้น คิมหันต์เดินเข้าบ้านเงียบๆ จนมีเสียงอรรถดังขึ้นมา
“วันนี้กลับบ้านเร็วดีนี่”
คิมหันต์มองไปยังต้นเสียง เห็นอรรถนั่งดื่มเหล้าคนเดียว ที่มุมสบายๆ ตรงบาร์เหล้า
“ไม่ดึกจนเกินไป แสดงว่าเธอมีสัญชาตญาณของความเป็นพ่อแล้ว”
“ท่านก็คงเพิ่งมี”
อรรถหัวเราะเบาๆ
“ฉันมีความเป็นพ่อมากกว่าที่นายคิด และมีมานานแล้วด้วย ไม่งั้นฉันคงทำกับนายอย่างที่ผ่านมาไม่ได้หรอก”
“นั่นไม่ใช่สัญชาตญาณของความเป็นพ่อ มันคือสัญชาตญาณของเผด็จการ ของคนเหลิงอำนาจมากกว่า”
คิมหันต์จ้องตาอรรถอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนก่อน นายพลอรรถกลับดูสดชื่น เบิกบาน กว่าที่เราเคยเห็น
“เพิ่งกลับมาจากบ้านมุกริน”
คิมหันต์ชะงัก “ท่านรู้”
“ฉันรู้ทุกอย่างที่ฉันอยากรู้”
คิมหันต์รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที “พักตรารู้มั้ยครับ”
“ฉันเลือกบอกเฉพาะเรื่องที่ทำให้ยายพักตร์มีความสุข นี่ไงล่ะ สำนึกของคนเป็นพ่อ”
คิมหันต์นิ่งงันไป
“ฉันรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันมีชีวิตชีวา มีความสุข ความอบอุ่นมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก”
“หลังจากที่คุณปริมทิ้งท่านไป”
“หลังจากที่พักตราเปลี่ยนไปต่างหาก”
อรรถรินเหล้าส่งให้ลูกเขย คิมหันต์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่มั้ย ว่า ผู้ชายโสดอย่างฉัน มีความสุขกับการใช้ชีวิตอิสระ ตามใจตัวเอง หัวหกก้นขวิด เตลิดเปิดเปิงไปได้ทุกที่ แต่พันธะเดียวที่เหนี่ยวรั้งฉันไว้จนกว่าฉันจะสิ้นใจ ก็คือพักตรา และวันนี้ฉันเห็นพักตรามีความสุข มันจึงเป็นสิ่งวิเศษสุดในชีวิตฉัน ซึ่งต้องยอมรับว่ามาจากเธอ เธอเป็นส่วนสำคัญ เพราะฉะนั้น ช่วยทำตัวอย่างนี้ให้ตลอดไปนะ ไอ้ลูกชาย”
“ผมไม่รับปากท่าน”
“ลองดูหน่อยน่า ตอนนี้ขึ้นไปหาเมียเธอก่อนเถอะ ยายพักตร์มีข่าวดี รอที่จะบอกเธอ”
คิมหันต์อึ้ง “ข่าวดี”
“โคตรดีเลยละ ให้เขาบอกเธอเองดีกว่า”
สีหน้าคิมหันต์กังวลชัดแจ้ง
เมื่อคิมหันต์เดินเข้ามาในห้องนอน ก็เห็นพักตรานั่งอยู่ในท่วงท่า และเสื้อผ้าที่ดูเซ็กซี่ แชมเปญพร้อมแก้วสวยวางอยู่เบื้องหน้าเธอ คิมหันต์เอ่ยปากติติงไปว่า
“คุณกำลังตั้งท้อง คุณไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์นะ”
“พักตร์ไม่ดื่มค่ะ พักตร์เตรียมไว้ให้คิมต่างหาก”
“เตรียมให้ผม ฉลองอะไรครับ”
“ฉลองชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ระหว่างเรา พ่อ แม่ ลูก ปัญหาระหว่างเราจบสิ้นทั้งหมด ทันทีที่เขาจุติขึ้นในท้องของพักตร์ เขาคือของขวัญจากสวรรค์ ค่ะคิม”
คิมหันต์อยู่ในท่านิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบ
“คิมคงไม่รู้หรอกว่า วันนี้พักตร์ไปไหนมา”
คิมหันต์ส่ายหน้า “พ่อคุณบอกว่าคุณมีข่าวดี”
พักตราพยักหน้า ยิ้มหวาน ก่อนเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล
“พักตร์ไปหามุกรินค่ะ”
คิมหันต์ถึงกับอึ้ง
“คุณรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“พ่อรู้อะไรพักตร์ก็รู้อย่างนั้น คิมไม่ต้องตกใจนะ พักตร์ไม่ได้ไปก่อกวน หรือไปอาละวาดที่เขามาเกาะแกะกับคิม พักตร์แค่ไปเล่าเรื่องลูกของเราให้เขาฟัง”
คิมหันต์อึ้ง ชะงักงัน
“คิมรู้มั้ย มุกดีใจที่พักตร์ท้อง เขาอยากเห็นหน้าหลาน และสัญญาว่าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิม”
ในเวลาเดียวกันนี้ มุกรินนั่งซึมเศร้า นิ่งเป็นหิน น้ำตาของเธอเอ่อเต็มเบ้าตา ไม่มีอาการฟูมฟายให้เห็น
ธาดาค่อยๆ เดินเข้ามาหาน้อง
“มุก...ร้องไห้เหรอ”
มุกรินส่ายหน้า พยายามกลั้นน้ำตาไว้
“มุกไม่มีน้ำตาจะเสียให้ใครอีกแล้วค่ะ พอกันที”
“ดีแล้วหละ ที่จริงเราน่าจะเลี้ยงฉลองกันเลยด้วยซ้ำ ที่หญิงบ้า กับ ชายชั่ว มันพ้นไปจากชีวิตเราซะที”
“อย่าว่าเขาเลยค่ะพี่ใหญ่ เขากำลังจะมีครอบครัวที่เป็นสุข”
“ขอให้มันสุขจริงเถอะ พี่ก็จะเอาใจช่วยให้มันอยู่กันยืดยาวเป็นผีเน่ากับโลงผุคู่กันไปจนวันตาย”
ธาดาเปล่งเสียงหัวเราะร่วน
มุกรินนิ่ง น้ำตาของเธอไหลออกมาจนได้
“อ้าว ไหนว่าไม่ร้องไห้ไง”
“มุกแค่เสียใจ ที่ทำไมคิมไม่บอกเรื่องนี้กับมุกด้วยตัวเอง”
มุกรินหวนนึกถึงเหตุการณ์ช่วงบ่าย ที่ผ่านมา
ตอนนั้นพักตราขยับลงนั่งใกล้ๆมุกริน
“คิมเขาก็ขี้อายอย่างนี้แหละ มุกน่าจะรู้ เวลามีเรื่องอะไรสำคัญๆ เขามักจะให้คนอื่นออกหน้าแทนเสมอ”
ธาดายืนฟังอยู่ด้วยในห้องนี้
“เรื่องสำคัญของคุณคืออะไร รีบพูดให้จบๆ จะได้ออกไปจากบ้านผมซะที”
พักตราเอ่ยปากตอบอย่างสุภาพ
“กรุณาให้เกียรติฉันซักนิดได้มั้ยคะ ในฐานะที่ฉันมาด้วยเจตนาดี”
“เวลาผมไปหาคุณ คุณให้ผมยืนแค่ประตูรั้ว นี่คุณเข้ามานั่งถึงในนี้ได้ ถือว่าผมให้เกียรติคุณมากแล้วนะ มากเกินไปด้วยซ้ำ”
มุกรินตัดบท “พูดธุระของคุณเถอะค่ะ พักตรา”
พักตราหันมายิ้มให้มุกรินก่อนเอ่ยปากพูด
“ฉันมาวันนี้เพื่อจะบอกเธอว่า ฉันท้อง ท้องกับคิม ลูกของเราอยู่ในท้องฉันได้เกือบสองเดือนแล้ว”
มุกรินนิ่งอึ้ง บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ธาดากลับหัวเราะร่วน เสียงดังลั่นบ้าน
“แม่เจ้าโว้ย นี่จะมาให้เรารับขวัญเด็กในท้องคุณเหรอ...ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้ เพราะถ้าเราถือเอาโอกาสนี้ เลิกทะเลาะกัน เลิกคิดร้ายต่อกัน มันก็จะเป็นการรับขวัญเด็กที่มีค่ามากที่สุด”
“เอาเลย เอาให้สบายใจคุณเลยครับ คุณแม่ลูกอ่อน ฮ่าฮ่าฮ่า”
ธาดาเดินหัวเราะออกไปอย่างเบิกบานใจถึงขีดสุด
มุกรินยังคงนั่งซึมอยู่
“เธอไม่ดีใจกับฉันเหรอมุก”
“ดีใจสิ ดีใจด้วยนะ”
“การที่ผู้หญิงอย่างเราได้มีโอกาสเป็นแม่ มันคือความยิ่งใหญ่สูงสุดของเราแล้วนะมุก ฉันอยากแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้เธอด้วย อย่างน้อยเราก็รู้จักคบหากันมาไม่น้อย จากนี้ไปเราควรจะดีต่อกัน ลืมเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดได้มั้ย”
“ได้สิ”
“ถ้าเธอรักคิม เธอต้องรักฉัน เพราะเลือดเนื้อของคิมอยู่ในตัวฉันตอนนี้ ฉันหวังจะให้เขาลืมตาขึ้นมาดูโลกท่ามกลางความรัก ความอบอุ่นของพ่อ แม่ รวมถึงน้าอย่างเธอด้วย”
มุกรินพูดอะไรไม่ออก
พักตราพรั่งพรูความรู้สึกของตนต่อไป
“ฉันเคยคิดไม่ดีหรือทำไม่ดีกับเธออย่างไร ฉันขอโทษ และจะไม่มีวันคิดหรือทำอย่างนั้นอีก ฉันไม่อยากให้บาปกรรมไปตกอยู่กับเด็ก มุกรู้มั้ย ความเป็นแม่ทำให้ฉันรู้จักเมตตาและให้อภัยกับทุกสิ่งทุกอย่าง วันนึง ถ้าเธอได้เป็นแม่ เธอก็จะรู้สึกไม่ต่างจากฉัน”
เวลานี้น้ำตาของมุกรินไหลออกมาอย่างยั้งไม่อยู่
“เธอร้องไห้เหรอ...มุก”
มุกรินพยักหน้า พยายามกลั้นน้ำตาพูด
“ฉันดีใจกับเธอน่ะ...ดีใจจริงๆ”
พักตรายื่นมือเข้าไปเช็ดน้ำตาให้มุกรินอย่างนุ่มนวล
“จากนี้ไป คิมหันต์คงต้องอยู่ใกล้ชิดฉันมากขึ้น ที่แล้วมาเขาอาจจะมีเวลาแว่บมาหาเธอบ้าง ก็ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก แต่จากนี้ไปคงไม่มีอย่างนั้นแล้วละมุก เธอเข้าใจใช่มั้ย คนเป็นพ่อก็ต้องเอาใจใส่ลูกในท้องไม่แพ้แม่เหมือนกันนะ”
มุกรินนั่งนิ่ง เธอไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่พักตราพูด
“เธออาจจะคิดว่า ฉันพูดอย่างนี้เพราะฉันเป็นฝ่ายได้ แต่ความจริงแล้ว คนที่ได้ คือเด็กในท้องที่เป็นลูกของคิมหันต์ คนเดียวเท่านั้น เข้าใจใช่มั้ย”
มุกริน เอ่ยปากด้วยเสียงชัดเจน
“เข้าใจ กลับไปได้แล้วพักตรา”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจ เธอจะได้ในสิ่งที่เธอต้องการ เพื่อทารกตัวน้อยๆ ที่บริสุทธิ์ และไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“ขอบใจมากนะมุก”
พักตราเดินเฉิดฉายหอบความดีใจออกไปจากบ้าน
ส่วนมุกรินนั้นเล่า ทำนบน้ำตาของเธอแตก น้ำตาทะลักท่วมท้นล้นใจออกมาเป็นสาย
คิมหันต์และพักตรานอนนิ่งบนเตียงนอนใหญ่กลางห้อง พักตราหลับตาสนิท ส่วนคิมหันต์ลืมตาจ้องมองความว่างเปล่าบนเพดานห้อง สักพักคิมหันต์ค่อยๆ ลุกจากเตียง เดินไปยังโซฟามุมห้อง
มุกรินนอนนิ่งอยู่เพียงลำพังในห้องนอนของเธอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มุกรินเพียงแต่เหลือบสายตามองชื่อคนที่โทร.เข้า
คิมหันต์ ยืนถือโทรศัพท์อยู่บริเวณมุมมืดในห้องนอนพักตรา ท่าทางมีอาการกระวนกระวาย
เสียงโทรศัพท์ในห้องนอนมุกริน ดังไม่หยุด เธอตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มรับสาย ทว่ากลับถือไว้นิ่งๆ ไม่พูดอะไร
คิมหันต์เอ่ยปากพูดทันทีที่ได้ยินสัญญาณการรับสาย
“มุก...มุก ได้ยินผมมั้ยมุก”
มุกรินเอ่ยปากโดยไม่ฟังเสียงคิมหันต์
“ดีใจด้วยนะคิม”
“มุกฟังผมก่อน”
“คิมไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้ัน เรื่องของเราควรจะจบลงได้แล้ว”
“ไม่ มันจะจบแบบนี้ไม่ได้มุก”
“ได้สิคะ ลืมเรื่องระหว่างเราให้หมด หรือจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีก็ตามใจ แต่นับจากนาทีนี้ คิมควรจะสร้างความทรงจำใหม่ ให้กับชีวิตดีๆ ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก ชีวิตที่เป็นสายเลือดของคิมเอง”
คิมหันต์อึ้ง ครางออกมา “มุก”
“ขอให้แข็งแรง ทั้งแม่และลูกนะคะ แล้ววันนึงมุกจะไปเยี่ยมหลานค่ะ”
มุกรินวางโทรศัพท์ลง น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างช่วยไม่ได้
คิมหันต์วางโทรศัพท์ลง ค่อยๆ เดินกลับไปเอนตัวลงบนที่นอนเดิม พักตราลืมตาขึ้น...เธอไม่ได้หลับ
“คิม”
“พักตร์ ยังไม่หลับเหรอ”
“พรุ่งนี้พาพักตร์ไปหาหมอหน่อยนะคะ หมอนัดตรวจครรภ์แต่เช้าเลยค่ะ”
“โอเค”
คิมหันต์นอนลืมตาโพลงจ้องเพดานนิ่งดังเดิม และเดาได้ไม่ยากว่าเขาคงข่มตาหลับลงได้ยากยิ่ง
อ่านต่อตอนที่ 13