xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 7

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 7

ฉบับ ตรงกับที่ออกอากาศทางทีวีมากที่สุดในสามโลก!!!

ตะวันฉายเล็งปืนใส่ประตูด้วยสีหน้าแน่วนิ่งอยู่ในห้องน้ำ กระทั่งเห็นลูกบิดประตูขยับกึกกักแต่เปิดไม่ได้ เพราะติดล็อคอยู่ อีกฟากประตู บูรพาเล็งปืนไปที่ประตูห้องน้ำ โดยอีกมือขยับบิดลูกบิด

ชัชชัยชะโงกหน้ามองมาและถามอย่างหงุดหงิด “มีอะไรหรือไง”
“ประตูห้องน้ำล็อค” บูรพาว่า
ส่วนห้องน้ำ ตะวันฉายได้ยินเสียงบูรพาก็หูผึ่ง ใจหล่นวูบ รีบลดปืนลง พึมพำออกมา
“บูรพา”
ฝ่ายชัชชัยบ่นบ้าเอากับบูรพา
“โธ่ปอดแหกไปได้น่า พนักงานโรงแรมเขาเผลอล็อคไว้ล่ะมั้ง”
บูรพาลดปืนลง คล้ายจะเลิกสนใจ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจถีบประตูห้องน้ำเข้าไปสุดแรงเกิด จนประตูเปิดออก พร้อมๆ กับที่บูรพาพุ่งทะยานเข้าไปในห้องน้ำนั้น แต่กลับพบว่าห้องน้ำว่างเปล่า ท่ามกลางความตกตะลึงของชัชชัย
บูรพาหันไปทางอ่างอาบน้ำที่มีผ้าม่านปิดอยู่ ค่อยๆ ยกปืนเล็งขณะสืบเท้าใกล้เข้าไปและกระชากม่านออก หากแต่ไม่พบเจอใครอยู่ดี
สีหน้าบูรพารู้สึกงุนงงเล็กน้อย จังหวะนี้เอง หากเขาแหงนมองขึ้นไปที่เพดานจะเห็นขาของตะวันฉายที่ค่อยๆ หดหายขึ้นไปบนเพดานห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ
ในระหว่างที่บูรพากำลังงุนงงอยู่ เจอชัชชัยส่งเสียงแหลมเข้ามา “เจอรึเปล่า”
“ไม่”
ตะวันฉายลุ้นเหงื่อแตกอยู่บนเพดาน เห็นบูรพาทำท่าเหมือนกำลังล่าถอยออกไป
โครงฝ้าเพดานหย่อนตัวตามน้ำหนักของผู้หมวด ได้ยินเสียงเหล็กยึดตัวหรือ ตะวันฉายใจหายวาบ บูรพาชะงักเหลือบมองด้วยหางตา อยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงเดินออกไป ตะวันฉายผ่อนลมหายฟู่ อย่างโล่งอก

บูรพาเดินออกมานั่งกับชัชชัยที่โซฟาข้างเตียง ชัชชัยบ่นบ้าไม่เลิก
“นั่นไง เว่อร์จนได้เรื่อง ค่าประตูจ่ายเองนะโว้ย”
บูรพายังอยู่ในอาการครุ่นคิดติดใจ เหลียวมองไปทางห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มกวาดมองหาอะไรบางอย่างรอบตัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีคนบุกรุกเข้ามา แต่หมอนั่นเป็นใคร และเข้ามาทำอะไร บูรพามองหาคำตอบจากทุกซอกมุมในห้อง
พอดีได้ยินเสียงคนผลักประตูห้องเข้ามา เมื่อหันมองไปจึงเห็นพวกยากูซ่าแก๊งคิมูระทั้งสามคนมาถึง ชัชชัยกับบูรพารีบยืนขึ้นต้อนรับ

ชัชชัยโค้ง “คุณคิมูระ ผมชัชชัยเป็นหลานชายของเสี่ยเจริญครับ ส่วนนี่เป็นคนสนิทของลุงผมชื่อบูรพา”
ยากูซ่า 2 แปลให้คิมูระฟัง คิมูระจับมือกับชัชชัย
เสือเพิ่งขนกระเป๋าตามมา พอเห็นชัชชัยกับบูรพา ก็ตกใจรีบฉากหลบหน้าประตูรออยู่นอกห้อง ก้มหน้าก้มตาท่าทีนอบน้อมบอก
“เสร็จธุระแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ชัชชัยเรียกไว้ “เฮ้ยเดี๋ยว”
เสือยืนนิ่งก้มหน้า กลัวชัชชัย และโดยเฉพาะบูรพาที่เคยมีเรื่องกันมาแล้วเห็น
“ตะกี้เพื่อนกู มันหน้ามืดถีบประตูห้องน้ำพังไปบานนึง ช่วยออกบิลให้มันด้วยสิ”
“อ๋อ...ครับๆๆ”
เสือโล่งอก รีบปลีกตัวออกไปจากตรงนั้นโดยไว ยากูซ่า2 ปิดประตูห้องลง

ส่วนในห้องตำรวจทีมตะวันฉาย ประตูห้องถูกเคาะตามด้วยเสียงเรียกเบาๆ
“เปิดหน่อย นี่ผมเอง
ยักษ์เปิดประตูรับเสือ และพามาสมทบกับบุญส่งและผู้จัดการโรงแรมที่กำลังมองภาพเหตุการณ์ผ่านทางจอมอนิเตอร์อย่างลุ้นระทึก
ยักษ์เอ่ยขึ้น “เกิดเรื่องใหญ่แล้วหมู่ ผู้หมวดยังติดอยู่ในห้องน้ำ”
เสือตาเหลือก “อะไรนะ ไปติดอยู่ในนั้นได้ยังไง”
“พอดีลืมเปิดสวิทช์กล้อง ผู้หมวดแกเลยเข้าไปเปิดน่ะหมู่”
เสือกังวล “ไม่ได้การ พวกเราบุกเข้าไปช่วยกันดีกว่า”
“เฮ้ยไม่ได้ หมวดเค้าวิทยุสั่งเมื่อกี้ ให้เรารอดูเหตุการณ์ไปก่อน” บุญส่งบอก
เสือได้ยินแล้วก็ขัดใจ ทำได้เพียงฮึดฮัดนึกเป็นห่วงลูกพี่ครามครัน

ส่วนในห้องยากูซ่า คิมูระพูดภาษาญี่ปุ่นเกริ่นถึงที่มาของการเจรจาครั้งนี้ ชัชชัยตั้งใจฟังอย่างเอาอกเอาใจผ่านทางล่าม มีเพียงบูรพาที่ยังไม่วางใจเหลียวมองไปที่ห้องน้ำอีกครั้งหนึ่งเหมือนยังไม่หายสงสัย ก่อนจะกวาดตามองสแกนไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง
ยากูซ่า 2 แปลที่คิมูระพูด “คุณคิมูระบอกว่ามีความยินดีมากที่เราสองกลุ่มจะได้ร่วมงานกัน แต่คุณคิมูระสงสัยอยู่ว่า ทางคุณเจริญจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน”
สายตาบูรพาไปหยุดมองที่จุดหนึ่ง ตรงช่องระบายอากาศในห้อง บูรพานิ่วหน้า เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างหนักหน่วง

ชัชชัยส่งเสียงตอบไปประกอบท่าทีเวอร์ๆ ของมัน “ชัวร์แน่นอน ป๋า เอ๊ย คุณเจริญตั้งใจกับเรื่องนี้มากขอเพียงแค่คุณคิมูระยอมสนับสนุน ทางเราก็ยินดีที่จะทำงานรับใช้อย่างเต็มที่”
ยากูซ่า 2 แปลให้คิมูระฟัง

แต่แล้วทุกคนในวงสนทนาก็ต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆ บูรพาก็ลุกเดินจากโซฟาไปยืนมองช่องระบายอากาศ

ภาพจากห้องตำรวจ ทีมตะวันฉายเห็นว่าบูรพากำลังจ้องมองเขม็งเข้ามาที่กล้องซึ่งต่อพ่วงมายังจอมอนิเตอร์ ทำเอาทุกคนที่เฝ้าจับตาอยู่หนาวยะเยือก

“มันเห็นรึเปล่าวะ” จ่าบุญส่งไม่แน่ใจ
“เป็นไปไม่ได้หรอกจ่า กล้องอันนิดเดียวมันจะเห็นได้ยังไง” ยักษ์ว่า
“ก็ดูมันจ้องสิ ตาเขม็งออกอย่างนั้น” บุญส่งว่า
ส่วนเหตุการณ์ภายในห้องยากูซ่า ชัชชัยมองบูรพา แล้วหันมาฝืนยิ้มอิหลักอิเหลื่อให้พวกยากูซ่าอย่างเสียหน้า
“ไอ้บูรพา นี่มึงจะฉีกหน้ากูหรือไงวะ” ชัชชัยบ่นและด่าเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มออกตัวกับยากูซ่า2 “ไม่มีอะไรครับ เพื่อนผมมันขี้ระแวงแบบนี้เองน่ะครับ”
บูรพาหันมามองยากูซ่า2
“บอกขอโทษคุณคิมูระด้วย การเจรจาจบลงแล้ว”
ชัชชัยไม่พอใจ “เฮ้ย”
ยากูซ่า2 แปลกใจ “นี่อะไรของแก คิดจะตุกติกหรือไง”
พลาง ยากูซ่า 2 หันไปส่งภาษาญี่ปุ่นแจ้งกับคิมูระ แล้วหันกลับมองหน้าบูรพาและไม่ออกอาการฉุนเฉียวเหมือนลูกสมุน
ชัชชัยโวยกับบูรพา “แกเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกวะบูรพา นี่แกกำลังจะทำให้งานมันล่มอยู่นะ”
บูรพามองไปทางคิมูระ แล้วชี้หนักๆ ที่หางตา จนคิมูระนึกเอะใจ เหลือบมองไปตามที่บูรพาบอก และพยักหน้าเข้าใจทันที
ชัชชัยไม่เก็ต “มีอะไรกันงั้นเหรอครับ”
คิมูระใส่เป็นภาษาญี่ปุ่น
ยากูซ่า 2 แปล “คุณคิมูระว่าวันนี้เดินทางมาเหนื่อยมากอยากจะพักผ่อน ขอเลื่อนนัดเจรจาเป็นคราวหน้า”
คิมูระหันมาโค้งให้บูรพา แล้วลุกนำลูกสมุนเดินออกไป
“คุณชัช ไปส่งคุณคิมูระ” บูรพาบอก
ชัชชัยโมโหอยู่ที่การเจรจาถูกเลื่อน “ไม่ แกบอกมาก่อนว่ามันเรื่องอะไร”
บูรพาสุดเซ็ง เค้ารู้กันไปถึงญี่ปุ่นแล้ว มีไอ้เวรนี่ไม่รู้อยู่คนเดียว บูรพาสมเพชเลยกระซิบบอกเบาๆ
“มีตำรวจ”
ชัชชัยอึ้งไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ส่วนในห้องตำรวจทีมตะวันฉาย สายตาทุกคู่จ้องที่จอมอนิเตอร์ ภาพที่เห็นคือคือชัชชัยกำลังรับรองพวกยากูซ่าพากันออกไปข้างนอกห้อง ก่อนจะหันมามองบูรพาที่ยืนอยู่คนเดียว
“ไอ้บ้าเอ๊ย มันจะทำอะไรของมัน” เสือของขึ้นตามประสา
ยักษ์เซ็ง “เฮ้ย อุตส่าห์เตรียมดักมันเป็นอาทิตย์ มันเล่นกันแบบนี้เลยหรือวะ”
จ่าบุญส่งที่อาวุโสงานที่สุด ดูออกทันทีว่าโจรไหวตัว เขาตัดสินใจคว้าวิทยุมารายงาน
“หมวดครับ พวกมันรู้ตัวแล้ว”
ตะวันฉายรับฟังสถานการณ์ผ่านทางหูฟัง จากเพดานห้องน้ำในห้องยากูซ่า ด้วยสีหน้าสลด
“ตอนนี้พวกญี่ปุ่นกับชัชชัยถอนตัวออกไปหมดแล้ว เหลือแต่นายบูรพายังอยู่ในห้อง”
ตะวันฉายคิดสักพัก
“สั่งยกเลิกแผนการ แล้วก็ห้ามใครเข้ามาในห้องจนกว่าผมจะออกไปแล้วเท่านั้น”
ทุกคนในห้องตำรวจได้ยินคำสั่งนั้นต่างก็ไม่เห็นด้วยนักเสือรีบแย่งวิทยุจากบุญส่งมาพูด
“หมวดครับ แต่ว่า…”
ตะวันฉายสั่งเสียงเข้ม “ทำตามที่ผมสั่ง”
สัญญาณเงียบหายไป เสือได้แต่ยืนอึ้ง
หมู่เสือบอกกับจ่าบุญส่งเซ็งๆ “ผู้หมวดปิดวิทยุ”
ระหว่างนี้ยักษ์มองจ้องไปที่จอมอนิเตอร์แล้วต้องตกใจ
“ดูนั่น”
ภาพบนจอ เห็นบูรพาปรี่มาที่ช่องระบายอากาศแล้วกระชากแผงอลูมิเนียมออก ก่อนจะดึงทึ้งกล้องที่ซ่อนอยู่ออกไป ภาพดับวูบลง การสื่อสารต่างๆ จากในห้องถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
กล้องนั้นถูกปาทิ้งลงพื้น บูรพามองกล้องก่อนจะเหลือบหางตาไปที่ห้องน้ำ
“จะออกมาได้รึยัง”
ห้องน้ำตกอยู่ในความเงียบ สักครู่จึงเห็นตะวันฉายเดินออกมา และเจอบูรพายิ้มบางๆ อย่างเย้ยหยัน
“ไม่น่าเชื่อ สงสัยเราคงมีสัมผัสที่หกถึงกันแหงๆ ก็ดีนะ ฉันว่ามันช่วยให้เกมของเราสนุกขึ้น แกว่ามั้ย”
ตะวันฉายใจหาย “บูรพา”
บูรพาชักปืนออกมาและกระแทกตะวันฉายอัดเข้ากับผนังห้อง แล้วเอาปืนจ่อ
ตะวันฉายตกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่น้องชายถึงกับเอาปืนจ่อหน้าตน
บูรพามีสีหน้าเหี้ยมเกรียม แต่ฉาบแววแห่งความไม่มั่นใจนัก
“ถ้าแกคิดว่ามันจะทำให้แกดีขึ้น เอาเลยบูรพา ถ้าการตายของฉันมันชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง
คืนให้แกได้”
“อย่าท้า ตอนนี้ฉันเป็นคนของเสี่ยเจริญ ฉันมีเงินมีทนาย ฉันหาข้ออ้างได้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันข้อที่จะยิงแกอย่างถูกกฎหมาย”
“ฉันรู้”
บูรพาง้างนกปืนโคลท์.45 ขึ้น สีหน้าถมึงทึงเหมือนจะยิงตะวันฉายจริงๆ ตะวันฉายเชิดหน้าสู้ปืนของบูรพาอย่างไม่กลัวเกรง
แม้บูรพาจะได้พยายามรวบรวมความโหดเหี้ยมมาไว้ในหัวใจเพื่อที่จะเหนี่ยวไก แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จึงเยาะเย้ยกลบ
“ไม่จำเป็น น้ำหน้าอย่างแก ไม่มีวันตามฉันทัน”
“ฉันไม่ได้ต้องการจะแข่งขันอะไรกับแก ฉันแค่ต้องการหยุดแก ไม่ให้ก่อกรรมทำเข็ญไปมากกว่านี้”
“หยุดฉันเหรอ ได้สิ” บูรพาเน้นคำ “จับฉันให้ได้ไง แค่แกจับฉันยัดใส่ตาราง แกมีปัญญารึเปล่าล่ะ”
ตะวันฉายถูกกดดันหนัก บูรพาเอื้อมอีกมือมาตะปบคอ
“กูถามว่ามึงมีปัญญารึเปล่า”
ตะวันฉายอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะรวบสติพูดออกมาจากใจอย่างชัดเจน
“คุณบูรพา” เขาสูดหายใจเต็มปอด “ผม...ผมเป็นตำรวจมาห้าปีแล้ว…ไม่เคยมีคนร้ายคนไหนมาท้าทายเกียรติของผมต่อหน้าถึงขนาดนี้” ยิ่งพูดเขายิ่งปวดร้าว “ก็ได้ ถ้าสิ่งที่คุณพูด มันจะทำให้คุณหยุดผลาญชีวิตตัวเอง ถ้ามันจะทำให้พ่อไม่ต้องคอยทนทุกข์กับการเป็นห่วงคุณอีกต่อไป”
ตะวันฉายกัดฟันเน้นคำออกไป “ตกลงคุณบูรพา ผมรับปาก อีกไม่นาน ผมจะจับคุณด้วยมือของผมเอง”
วินาทีนั้น บูรพารู้สึกหนาววาบขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่ชายเอาจริง แต่ก็ทำเป็นไม่แยแส เขาผละออกจากตะวันฉาย แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากกระบอกปืน ก่อนจะทิ้งลงถังขยะ คล้ายรังเกียจพี่ชายเต็มประดา จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง

ตะวันฉายมองตามน้องชายอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

บูรพาเดินออกจากห้อง เจอทั้งบุญส่ง เสือ และยักษ์ ที่ดักรออยู่ ทุกคนเล็งปืนจ่อสกัดบูรพาไว้ทันที บูรพาตกอยู่ในสภาพจนมุม แต่เจ้าตัวเหมือนจะไม่สนใจ มองทุกคนอย่างชิงชัง โดยเฉพาะเสือกับยักษ์ที่เป็นอริเก่า เสียงตะวันฉายดังขึ้น
“ปล่อยเค้าไป”
ตะวันฉายเดินออกมาสมทบ และมองมาที่น้องชาย บูรพาเชิดหน้าท้าทาย
บุญส่งงง “ผู้หมวด”
“จับเค้าตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร”
ตะวันฉายมองมายังเสือเป็นการเฉพาะ เสือกัดฟันเครียดจัด ก่อนจะตัดสินใจลดปืนลงช่วยลูกพี่
“จริงด้วยจ่า อย่างมากก็แค่ข้อหาพกอาวุธปล่อยมันไปก่อนเหอะ”
“ได้ไงล่ะหมู่”
“เออน่า ผู้หมวดสั่งก็เชื่อสิวะ”
เจอไม้นี้ยักษ์ได้แต่เงียบ บุญส่งเองก็จำต้องลดปืนลง บูรพาลดปืนลง หันมาที่ตะวันฉาย
“อย่าลืมที่รับปากไว้ล่ะคุณตำรวจ จับผมให้ได้ ไม่งั้นก็ ฆ่าผมซะ”
ตะวันฉายไม่ตอบเฝ้ามองดูบูรพาเดินจากไป
ผู้จัดการโรงแรม ลอบมองการทำงานของทีมตำรวจของตะวันฉายอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

วันต่อมา เมื่อมองผ่านประตูห้องทำงานสารวัตรเมธาเข้าไป จะเห็นตะวันฉายยืนตรงอยู่ในห้องเหมือนกำลังรับการอบรมครั้งสำคัญ และได้ยินเสียงเมธาโหวกเหวกอยู่ข้างใน ขณะเดินมาปิดประตู
“ทางผู้ใหญ่จวกผมเละเรื่องคดีเสี่ยเจริญ หนังสือพิมพ์หาข่าวมาลงได้ทุกอาทิตย์ แต่ทางตำรวจกลับตามเรื่องอะไรไม่ได้สักอย่าง”
ตะวันฉายนิ่งอึ้ง ที่โดนตำหนิ
“รู้มั้ยวันนี้ท่านผู้กำกับการให้ผมมาบอกคุณว่ายังไง หัดซื้อหนังสือพิมพ์อ่านซะบ้าง เผื่อจะได้เบาะแสอะไรเร็วขึ้น”
ตะวันฉายซึม เมธามองอย่างขัดใจ
“ผู้หมวด ผมว่าทางที่ดีที่สุดคุณถอนตัวออกไปเองดีกว่า อย่ารอให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาขอตัวเองต้องพังไปกว่านี้เลย”
ตะวันฉายโพล่งขึ้น “ไม่ได้นะครับ ผมไม่มีวันถอนตัวจากคดีนี้เด็ดขาด”
เมธาประหลาดใจท่าทีเอาจริง ดุดันของตะวันฉาย
“คือ ผมหมายถึงว่าตอนนี้ผมกับลูกทีมตามสืบหาเบาะแสมาได้มากพอสมควรแล้ว เรากำลังคิดว่าจะเริ่มลงมือจับกุมคนร้ายกันในเร็วๆ นี้”
เมธาเงียบไม่พูดอะไร ตะวันฉายลุ้นรอว่าเมธาจะเชื่อหรือไม่
“ภายในสิ้นเดือนนี้ ถ้าทีมของคุณยังไม่มีผลคืบหน้าล่ะก็ คุณโดนสอยร่วงแน่”
ตะวันฉายรับคำโดยการนิ่ง

วันเดียวกันนี้ เสี่ยเจริญมีสีหน้าเคลือบแคลงท่ามกลางเสียงเป่าหูของชัชชัย เรื่องการเจรจาที่ถูกเลื่อนออกไป
“จะว่าไปก็ไม่มีใครได้เจอตำรวจนั่นหรอกนะป๋า นอกจากคุณบูรพาของป๋าเห็นอยู่คนเดียว”
บูรพาถูกเสี่ยเจริญมองอย่างใช้ความคิด โดยมีชัชชัยยุยงต่อ
“ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า ถ้ามีตำรวจอยู่บนห้องจริง ไอ้บูรพามันมัวทำอะไรอยู่กับตำรวจตั้งนานสองนาน แล้วทำไมตำรวจถึงไม่จับมันไปสอบปากคำ”
“แกสงสัยบูรพาว่าเป็นสายตำรวจ”
ชัชชัยรีบแก้ต่าง “อ๊ะๆ ผมไม่ได้อคตินะป๋า แต่คนสนิทของป๋าพฤติกรรมมันฟ้อง”
“แกมีคำอธิบายเรื่องนี้รึเปล่าบูรพา”
เสี่ยหันมามมอง บูรพานิ่งอึ้งไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“รู้ใช่มั้ยว่าปกติพวกเราทำยังไงกับสายตำรวจ”
“ลุงเคี้ยงเคยเล่าให้ฟัง”
“ผมว่าเราถอดคุณบูรพาออกจากงานนี้เหอะป๋า ทิ้งไว้เดี๋ยวจะสายเกินแก้นะ” ชัชชัยว่า
“ลูกน้องของฉันทุกคน มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ตัวเอง บูรพาก็เหมือนกัน ถ้ายังไม่มีหลักฐานมาชี้ชัดมากกว่านี้ มันก็มีสิทธิ์ทำงานนี้ต่อ”
ชัชชัยฉุนกึก “แล้วถ้าเกิดงานล่มขึ้นมาล่ะป๋า ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ”
เสี่ยเจริญแอ่นอกรับแทน “ฉันเอง ถ้าจับได้ว่าไอ้บูรพาเป็นสายตำรวจ หรือถ้าพบว่ามัน
เป็นต้นเหตุให้งานนี้ล้มเหลว ฉันจะเป็นคนจัดการมันกับมือ แกอยากจะคัดค้านอะไรอีกมั้ย”
ชัชชัยได้ฟังก็ไม่พอใจอยู่ลึกๆ แต่รีบเมินหน้าหนีเสียเหมือนไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
เสี่ยเจริญมองจ้องบูรพาด้วยแววตาคมกริบ สายตาคู่นั้นทำเอาบูรพาเสียวสันหลังวูบตระหนักชัดว่าชีวิตแขวนของเขาอยู่บนเส้นด้ายแล้ว

สองสาวอยู่ในห้องพักบนแฟลตย่านท่าเตียน หน้าตาของโจเครียดมาก เหมือนมีเรื่อง คอขาดบาดตาย
“ตุ๊ก มึงอย่าโกหกกูนะ”
ตุ๊กเองก็หน้าตาเครียดพอกัน ทั้งคู่กำลังประจันหน้ากันอยู่
“กูสวยมั้ย”
ที่แท้วันนี้โจแต่งหน้าทำผม นุ่งกระโปรง สวมรองเท้าส้นตึก เป็นเหตุผลที่ทำเอาตุ๊กเครียด นิ่งอึ้งไป สักพักก็กลั้นหัวเราะไม่ไหวน้ำลายกระเด็นพรืด
“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย ตายก็ตายเหอะวะมึง ฆ่ากูเลยอีโจ แต่กูทนไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ”
โจโมโหค้อนตาคว่ำ “ผีเข้าเหรออีตุ๊ก ทำไม กูใส่กระโปรงมันตลกนักหรือไงวะ”
ตุ๊กหัวเราะไม่หยุด “ฮ่าๆๆ ไม่ตลก แต่มึงอย่าไปเดินผ่านหน้าคาเฟ่นะ ไม่งั้นมึงได้งานใหม่แน่ อีโจ เชิญยิ้ม ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย นี่มึงนัดกับสัมภเวสีที่ไหนวะ จะทำบุญตามไปให้”
โจกระฟัดกระเฟียด ตุ๊กเปิดหน้าต่างออกไปหัวเราะแบบห้ามไม่อยู่
ตุ๊กหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “โอ๊ย ฮ่าๆๆ ใครก็ได้ช่วยกูที หยุดหัวเราะไม่ได้”

ที่สนามเด็กเล่นเวลานั้นว่างวาย มีเด็กเล่นอยู่หรอมแหรม โจมายืนรอตะวันฉายอยู่สักพักแล้ว จนเริ่มออกอาการกระวนกระวาย เด็กเปรตสองคนวิ่งเล่นแถวนั้นตะโกนล้อ โจไม่ได้ใส่ใจ สักครู่มอเตอร์ไซค์ของตะวันฉายก็ขับแล่นเข้ามาในนั้น
โจยิ้มกว้างปากแทบฉีก รีบกระวีกระวาดไปที่รถ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าคนขับที่ถอดหมวกกันน็อคออกคือหมู่เสือ ซึ่งมีท่าทีอ่อนเพลีย และง่วงจัด
“ผู้หมวดล่ะ” โจถามเสียงขุ่น
เสือมองสภาพโจแล้วอึ้งๆ “อ่า คืองี้จ้ะน้องโจจ๋า ผู้หมวดติดราชการด่วนก็เลยให้พี่มาเป็นตัวแทน”
โจโกรธเอยน้องใจเอย จนเบะหน้าแบะปากเหมือนเด็กจะร้องไห้ ก่อนจะเริ่มต่อว่าชุดใหญ่
“ราชกงราชการอะไรอีกล่ะ เบี้ยวนี่หว่า อะไรวะตำรวจเบี้ยวประชาชนแบบนี้ใช้ได้เหรอ โหย ทำได้ไงวะ อุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหาข่าวให้ แค่เลี้ยงข้าวมื้อเดียวยังเบี้ยวกันได้ลงคอ...”
เสือฟังโจบ่นบ้าตัดพ้อโดยไม่เว้นช่องไฟ จนตาปรือ ชักง่วง หาวออกมาดังๆ
“คุณหนูโจขา เห็นใจกันบ้างเถิด ไม่สงสารผู้หมวดก็สงสารตัวกระผมด้วยก็แล้วกัน ตั้งแต่เมื่อคืนมาจนถึงเช้านี้ยังไม่ได้นอนเลย”

โจสงสัยว่ามัวทำอะไร ทำไมไม่ได้หลับได้นอน

อ่านต่อหน้า 2

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 7 (ต่อ)

เสือเล่าว่า หลังจากงานที่โรงแรมล้มเหลว ผู้หมวดตะวันฉายก็ขับรถมาจอดซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ คอยลอบจับตาความเคลื่อนไหวในบ้านเสี่ยเจริญ โดยในรถคันดังกล่าว มีตะวันฉายนั่งอยู่กับยักษ์ อาการคล้ายรอกันมาทั้งคืน จนยักษ์ออกอาการหาวออกมาแบบสุดกลั้น
ยักษ์นึกขึ้นได้ “ขอโทษครับ”
“กลับไปพักผ่อนเถอะยักษ์ สายมากแล้ว คุณยังไม่ได้นอนเลย”
“ไม่เป็นครับหมวด เดี๋ยวจ่าส่งก็มาผลัดเวรแล้ว” ยักษ์นึกอีกทีก็เกิดอาการลังเล “ถ้าผมไป ก็ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนผู้หมวดน่ะสิครับ มันไม่ถูกนะครับ”
ตะวันฉายยิ้ม “ไปเถอะ ผมอยู่คนเดียวได้”
“หมวดแน่ใจเหรอครับ” ยักษ์ลังเลอยู่อย่างนั้น “แต่ผมว่ามันไม่…”
ตะวันฉายแทรกขึ้น “นับถึงสาม ถ้าคุณไม่ไป ผมจะให้อยู่เฝ้าแทนจ่าส่ง หนึ่ง…สอง…”
ยักษ์ลงรถทันที “ขอบคุณครับผู้หมวด ผมไปแล้วครับ”
ตะวันฉายมองตามขำๆ ก่อน จะหันมาจับตาดูบ้านเสี่ยเจริญต่อ

จนเวลาผ่านไปอีกสักระยะ ประตูบ้านของเสี่ยเจริญเปิดออก เผยให้เห็นว่าบูรพาขับรถแล่นออกมา และเลี้ยวหายไปอย่างรวดเร็ว
ตะวันฉายกำลังเหม่ออยู่ ครั้นพอได้ยินเสียงรถก็สะดุ้ง รีบขับรถตามไป

ตะวันฉายขับรถตามบูรพามาตามท้องถนน ท่ามกลางความร้อนระอุยามเที่ยง บูรพานั้นไม่รู้ว่าพี่ชายขับรถตามมาทางข้างหลัง จนโทรศัพท์มือถือของตะวันฉายดังขึ้น ตะวันฉายรับสาย ได้ยินเสียงจ่าบุญส่งที่โทรมาจากหน้าบ้านเสี่ยเจริญดังออกมาว่า
“ฮัลโหลผู้หมวดครับนี่ผมเอง จ่าส่ง ผมมาถึงจุดนัดแล้วแต่ไม่เจอผู้หมวด”
“ตอนนี้ผมกำลังตามเป้าหมายอยู่”
“ผู้หมวดอยู่ที่ไหนครับ ผมจะตามไปสมทบ”
“แล้วผมจะโทรบอกอีกที”
ตะวันฉายวางสายและขับรถตามบูรพาไป สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยว่าน้องชายจะไปไหน

ผ่านไปอีกสักระยะ ตะวันฉายอยู่ในร้านไวน์แห่งหนึ่ง เฝ้ารอและดูนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะ สักพักก็เห็นบูรพาเดินออกมา ในมือถือห่อกระดาษออกมาด้วย บูรพาขึ้นรถและขับออกไป
ตะวันฉายรีบออกรถตามไปทันที

ตะวันฉายขับรถสะกดรอยบูรพาจากบ่ายคล้อยเป็นเย็นย่ำ

ขณะที่ธิชายืนวาดรูปอยู่ที่ท่าน้ำ แต่แล้วก็วางมือเดินไปตามสะพานเพื่อรอใครบางคน บูรพาขับรถมาจอดและเดินตามสะพานมาที่ท่า ทั้งสองเดินเข้าหากัน บูรพาอวดไวน์ในมือ
“เห็นคุณบอกว่ารูปของผมใกล้เสร็จแล้ว ผมเลยกะเอามาฉลอง”
“ไม่ใช่วันนี้ซักหน่อย”
“ช่วงนี้งานผมยุ่ง ถือโอกาสนี้ขอฉลองล่วงหน้าก็แล้วกัน”
ทั้งคู่เดินมาเจอกัน ธิชาเอื้อมมือจะรับไวน์มาแต่บูรพายื้อไว้
“ขอผมดูรูปก่อนสิ”
ธิชาอมยิ้ม เอามือปิดตาบูรพาแล้วประคองเขาลงมาที่ท่าเรือ
บูรพายิ้มสุขใจ “นี่คุณจะหลอกผลักผมตกน้ำรึเปล่า”
“ไม่หรอกน่า จะถึงอยู่แล้ว”
ธิชาประคองบูรพามาจนถึงหน้ารูป แล้วค่อยลดมือลงให้บูรพาเห็นรูปซึ่งเป็นเรือลำหนึ่งแล่นฝ่าคลื่นไปยังดวงตะวันยามอรุณรุ่ง
บูรพามองรูปเหมือนต้องมนต์สะกด ไม่ใช่ความงาม แต่กินใจกับความหมายลึกล้ำในภาพ
“อยากจะวิจารณ์รูปของฉันอีกรึเปล่า”
บูรพาส่ายหน้า “มันกำลังจะแล่นไปที่ไหน”
“ตะวันออก”
บูรพาเหลียวแลมองวิวรอบตัว พลางชี้มือไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินแล้วยิ้มล้อ ธิชาเขินถูกจับได้ถึงที่มาของรูป

“มันก็ต้องมีสมมติบ้างสิ แล้วคุณชอบรึเปล่าล่ะ”

บูรพาเอื้อมมือมาแตะที่ขอบๆ ของรูป ก่อนจะยิ้มออกมา
“แต่ก่อนผมไม่เข้าใจว่ารูปของคุณ ทำไมถึงได้มีความหมายกับผมมากมายนัก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว”
บูรพาหันไปบอกกับธิชา
“ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามธิชา แต่คุณวาดหัวใจของผมออกมาให้ตัวผมได้เห็นอยู่เสมอ”
ธิชายิ้มให้บูรพาอย่างอ่อนโยน ในขณะที่บูรพาเอื้อมมือมาลูบเรือนผมของเธออย่างทะนุถนอม
ภาพสวยซึ่งนั้นอยู่ในสายตาตะวันฉายที่เฝ้ามองบูรพากับธิชามาตั้งแต่ต้น
เวลาผ่านไป ตะวันฉายเห็นคนทั้งสองพูดคุย หัวเราะหัวใคร่ และดื่มไวน์ขวดนั้นด้วยกันอย่างมีความสุข
ธิชามองมาที่รูปแล้วถามว่า “คุณบอกว่ารูปนี้ตรงกับใจคุณงั้นเหรอ”
“จำได้มั้ยตอนที่ผมยังไม่พ้นโทษ ที่เราเจอกันครั้งแรก คุณวาดรูปบ้าน
“อันนั้นฉันพอเดาได้ คุณอยากกลับบ้าน แต่รูปเรือนี่ล่ะ”
“คุณลองทายสิ”
“ฮืม คุณอยากเดินทาง อยากไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ ใช่มั้ย”
“เกือบถูก...” บูรพามองรูป “ผมอยากเป็นอิสระ อยาก...ถอนตัว”
ธิชาตื่นเต้นลึกๆ ในใจ “คุณพูดจริงๆ เหรอ”
“คงอีกไม่นานธิชา ถ้าผมเห็นแสงสว่างเหมือนอย่างที่เรือลำนี้เห็น”
ธิชารู้สึกมีความสุข บูรพารั้งเธอมาเข้าในอ้อมแขนของเขา
ตะวันฉายไม่อยากรบกวนความสุขของคนทั้งคู่ จึงค่อยๆ เร้นกายหายไปในเงามืดยามค่ำคืน

ธิชาเพิ่งขับรถเข้ามาจอดที่สตูดิโอ แต่เมื่อลงรถเดินเข้าตึกเธอก็เห็นตะวันฉายยืนดักรออยู่
“ผู้หมวด เข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ”
“วันนี้เค้าพูดอะไรกับคุณบ้าง”
ธิชามองอย่างประหลาดใจเล็กน้อย สักครู่ก็นึกออก
“คุณอยู่ที่นั่น”
ตะวันฉายล้วงสมุดโน้ตกับปากกามาเตรียมจด ท่าทางบอกชัดว่าปฏิบัติหน้าที่อยู่
“คุณตอบคำถามของผมมาก่อน บูรพาพูดอะไรกับคุณบ้าง เช่นมีวันไหนที่เค้าบอกว่าจะมีธุระยุ่งบ้างรึเปล่า หรือว่าเค้าพูดเรื่องธุรกิจการค้าอะไรของเค้าบ้างมั้ย”
ธิชานึกได้ “คุณกำลังจะจับเค้างั้นเหรอ”
ตะวันฉายไม่ยอมตอบไม่กล้าแม้แต่จะสู้สายตาเธอ ธิชาไม่พอใจ
“ไหนคุณเคยบอกว่าจะช่วยเค้าไง ผู้หมวด” เห็นเขาเอาแต่หลบสายตาก็ยิ่งโกรธ “ตะวันฉาย อย่าหลบตาฉัน”
ตะวันฉายหันมา และได้เห็นแววตาอันแข็งกร้าวบนสีหน้าธิชา
“เค้ายังมีโอกาสไม่ใช่เหรอคะ”
“โอกาสเดียวของเค้าคือมีชีวิตอยู่ต่อไป และผมก็เป็นคนเดียวที่จะให้โอกาสนั้นแก่เค้าได้”
“ด้วยการจับเค้าส่งเข้าห้องขังอีกงั้นใช่มั้ย บอกฉันได้มั้ยว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนใจ”
“นี่เป็นคำสั่งของทางเบื้องบน บูรพาล้ำเส้นมามากพอแล้ว”
ธิชาไม่พอใจ “แค่นั้นน่ะเหรอคะ ที่ทำให้คุณเลิกหวังในตัวบูรพา”
“ถึงผมไม่ทำคนอื่นก็ต้องทำอยู่ดี ทำไมคุณไม่มองมุมกลับกันดูบ้างล่ะ สิ่งที่ผมทำอยู่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วก็ได้”
ธิชาเครียดจัด “ก็แล้วแต่ว่าคุณชี้แจงกับฉันในฐานะอะไรค่ะผู้หมวด ฐานะของนายตำรวจหรือว่าพี่ชาย”
ตะวันฉายอึ้ง ธิชาเดินจะเข้าสตูดิโอไป แต่ยังหันมาบอกทิ้งท้าย
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าโอกาสของบูรพาจะหมดลงแล้ว คุณต่างหากที่หมดศรัทธาในความดีของเขา”

ตะวันฉายปวดร้าวในใจ

อีกฟาก โจในชุดเดิมนั่งอยู่ในร้านเหล้า ฟังเรื่องตะวันฉายจบ เวลานี้นั่งดกเบียร์ มีเสือนั่งหัวฟุบคาโต๊ะแขนห้อยตกไปข้างตัวเหมือนศพ ส่วนโจเมาหน้าแดงปั้ด
“เมาแล้วเหรอ”
“ไม่ได้เมา แต่ง่วง เข้าใจคำว่าง่วงนอนมั้ย” เสือพนมมือแต้ “คุณพี่โจขา กลับเถอะค่ะ ไว้โอกาสหน้าค่อยมาหัวราน้ำต่อก็แล้วกันนะคะ ได้โปรดเถิดง่วงจะตายอยู่แล้ว”
โจนั่งใช้ความคิด หน้าตาแดงก่ำ สักพักก็ลุกขึ้น
“ไปไหนอีกล่ะ”
โจผะอืดผะอม “จะไปคายของเก่า หมู่บอกจะกลับไม่ใช่เหรอหรืออยากให้ฉันไปคายบนรถหมู่”
เสือพยักหน้า ผายมือเชิญ โจเดินเดินโงนเงนหายไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงโวยวายแว่วมา เสือมองไปอย่างตกใจ
“เฮ้ย ไอ้ทุเรศเอ๊ย ทำแบบนี้ได้ไงกันวะ”
เสือผลุนผลันมาดูที่หน้าทางเข้าห้องน้ำ เห็นจิ๊กโก๋ 1 กับ จิ๊กโก๋ 2 กำลังกระชากคอเสื้อโจอยู่
จิ๊กโก๋ 1 เดือดดาลมาก “ลองดีกับกูใช่มั้ย อยากตายหรือมึง”
โจเมาแปร๋ ไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น “ใคร ใครอยากตาย พวกพี่อยากตายเหรอก็ดีนะพี่ ไปเกิดใหม่กันซะ หน้าตาจะได้ไม่อุบาทว์ เหมือนชาตินี้”
จิ๊กโก๋ 2 ยัวะ “วอนซะแล้ว”
เสือดึงโจออกมา “เดี๋ยวครับพี่ใจเย็นๆ มีอะไรก็พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ”
จิ๊กโก๋ 2 “จะพูดดีทำบ้าอะไรอีกเล่า อีเด็กนี่มันอ้วกรดรองเท้าเพื่อนกู มึงไม่เห็นเหรอ”
“น้องเค้าเมามากน่ะครับพี่ เค้าคงไม่ได้ตั้งใจ พวกพี่เป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาเด็กผู้หญิงเลยนะครับพี่ ผมขอร้อง”
จิ๊กโก๋ทั้งสองท่าทางลังเลนิดหนึ่ง แล้วจิ๊กโก๋ 2 ก็บอกว่า
“บอกให้เพื่อนมึงขอโทษกูก่อน”
เสือยิ้มรับก่อนจะหันไปประคองบอกโจดุๆ
“โจ ฟังฉันนะ นี่มันดึกมากแล้ว ไม่เหมาะแก่การมีเรื่องใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับตำรวจอย่างฉัน ดังนั้นเธอต้อง ไปขอโทษเค้าซะ ทำได้มั้ย”
โจพยักหน้ารับ หันมายิ้มให้จิ๊กโก๋ทั้งสอง และเอ่ยออกมาว่า
“ไปตายซะไป ไอ้เบื๊อก”
จิ๊กโก๋ตะลึงเหลียวมองมาที่เสือ วินาทีเสืออึ้งรู้ชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนาทีต่อไป
ข้าวของลังกระดาษ ขวดเบียร์กระเด็นออกมาจากปากทางเข้าห้องน้ำก่อนจะเห็นเสือใส่ตีนหมาลากคอโจวิ่งหนีออก โดยมีจิ๊กโก๋ทั้งสองถือขวดถือไม้ตามไล่บี้มาติดๆ

เสือลากโจที่เมาไม่รู้เรื่องมาจับยัดเข้าไปในรถ แล้วรีบโดดผลุงขึ้นสตาร์ทรถอย่างรีบเร่ง ปากก็บ่นระงม
“บอกแล้วให้รีบกลับรีบกลับไม่ยอมเชื่อ เป็นไงล่ะทีนี้สมใจอยากล่ะสิ คืนไหนไม่มีเรื่องนอนไม่หลับหรือไงวะ หือ”
เสือหันมาและพบว่าโจหลับสนิทไปเสียแล้ว
“เฮ้ย หลับจริงๆหรือวะ ตื่น โจ ตื่นก่อน นี่บ้านอยู่ที่ไหน บอกมาก่อนสิ โจ…นังโจ….ไอ้โจ”
โจพลิกหัวกรนออกมาครืดๆ อย่างมีความสุข เสือทำอะไรไม่ถูกได้ยินเสียงโวยวายของจิ๊กโก๋ไล่เข้ามา
“อยู่ไหนวะ” / “ทางโน้นๆ”

เสือตัดสินใจรีบออกรถแล่นจากไป

อ่านต่อหน้า 3

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 7 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา ร่างโจถูกทิ้งให้นอนแผละบนเตียงนอนห้องพักเสือ เจ้าของห้องยืนหอบแฮ่กๆ

สภาพห้องชายโสดของเสือรกยิ่งกว่ารังหนู ข้าวของตกแต่งในห้องส่วนใหญ่เน้นหนักไปตามนิสัยรักความรุนแรงของผู้เป็นเจ้าของห้อง
เสือกำลังถอดรองเท้าถุงเท้าให้ พอได้กลิ่นถุงเท้าก็ผงะ ต้องยกแขนอุดจมูก
“อื้อหือ ผู้หญิงเหรอวะเนี่ย”
เสือเอาถุงเท้ารองเท้าโจโยนทิ้งเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เสือเอาผ้ามาห่มให้โจ แล้วหันไปบิดผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้ แต่เช็ดแรงยังกะขัดโต๊ะขัดส้วมกระนั้น ปากก็บ่นไม่หยุด
“เวรกรรมอะไรของตูวะเนี่ย ไม่ได้หลับไม่ได้นอนแถมยังต้องดูแลคนเมาอีก ถ้าสวยหน่อยจะไม่ว่าเล๊ยนี่อาไร๊ มอมอย่างกับลูกหมา ทำตัวซกมกแบบนี้ล่ะสิ ถึงรอดมือไอ้พวกบ้ากามข้างนอกมาได้”
เสือเช็ดหน้าให้โจเสร็จก็ดึงหมวกที่สวมติดหัวออก แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าโจตากลมโต ผมยาวระต้นคอ หน้าตาหมดจดก็ดูโอเคเหมือนกัน
เสือสลัดความคิดวาบหวามทิ้ง ลุกขึ้นจะหยิบผ้าขนหนูไปทิ้งลงตะกร้า แต่แล้วก็เห็นโจทำปากขมุบขมิบ หน้าตาเครียดเหมือนฝันร้าย เสือสงสัยหน่อยๆ เลยลดหูลงฟังว่าโจเพ้ออะไรออกมา
“แม่ ไปไหน โจอยากกลับบ้าน แม่ พาโจกลับบ้านนะ พ่อ โจไม่ขโมยเงินใครอีกแล้ว พ่ออย่าทิ้งโจกับแม่นะ”
โจน้ำตาซึม ขดตัวงอเป็นกุ้ง เสืออึ้งไป ขยับห่มผ้าให้และเอื้อมมือลูบผมของโจอย่างสงสาร
“หิว…หิวข้าว….แม่จ๋า…”

เช้าวันต่อมา ขบวนรถไฟลอยฟ้าแล่นผ่านไป เหนือรถของบูรพาที่จอดอยู่ริมถนนแห่งหนึ่ง โดยมียากูซ่า 1 สมุนของคิมูระยืนอารักขาคอยสังเกตการณ์อยู่นอกรถ ส่วนภายในรถคันนั้น บูรพากำลังเจรจากับคิมูระโดยผ่านทางยากูซ่า 2 ที่คอยเป็นล่ามให้
บูรพายื่นไปจับกับมือคิมูระ และพบว่าคิมูระได้ยัดพับกระดาษเล็กๆ ใส่มือตนมา
ยากูซ่า 2 บอก “วันเวลากับสถานที่นัดจดไว้ในนั้น มีแค่คุณกับคุณคิมูระและก็คุณเจริญเท่านั้นที่รู้ คุณจะต้องไม่บอกใครจนกว่าจะถึงวันนัดหมาย และที่สำคัญ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
บูรพานึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ ขณะหันมาพยักหน้าให้คิมูระ

รถของนายบารมีแล่นมาจอด เห็นนายบารมีในเสื้อโปโลท่าทางเพิ่งกลับมาจากสนามกอล์ฟลงมาจากรถ และหันไปดึงไม้กอล์ฟจากถุงกอล์ฟเดินดุ่ยๆเข้าบ้านอย่างอัดอั้นตันใจ

ที่ห้องรับแขก ทัศน์นั่งจิบไวน์และฟังรายงานจากยุทธและกฤชอยู่ แต่แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เมื่อมองไปก็เห็นบารมีเดินมาหน้าตาเครียด จึงถอยฉากออกไปห่างๆ
บารมีเดินมาหยุดมองทัศน์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะเงื้อไม้ขึ้นฟาดขวดเหล้า เหยือกโซดา และโถน้ำแข็งกระจากไปต่อหน้าต่อตา
ทัศน์ยังนิ่งเฉย จิบไวน์ต่อ
“รู้มั้ยว่าฉันได้ข่าวมาว่ายังไง ไอ้พวกลูกค้าของเรามันเล่นรวมหัวกันไปอยู่กับไอ้เสี่ยเจริญหมดแล้ว” บารมีเอาไม้กอลฟ์ชี้หน้า “เพราะแกคนเดียว ไอ้ทัศน์ ฉันบอกแล้วให้เก็บมันแต่แรก แกก็อ้างว่าจะยืมมือไอ้หัวจักร ยืมมือตำรวจจัดการมัน แล้วไหนล่ะ ผลงานของแก ไหนวะ ไหน”
ทัศน์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะยืนขึ้นหันมามองนาย ทำเอาบารมีเริ่มหวั่นๆ ว่ากูด่ามันเกินไปรึเปล่าวะ
“ถ้าไม่ห่วงเรื่องภาพพจน์ของท่านที่จะลงเลือกตั้งเดือนหน้า ป่านนี้ผมคงทำอย่างที่ท่านว่าไปแล้วใช่ ตอนนี้ไอ้หัวจักรตายไปแล้ว ทางตำรวจก็ยังไล่เบี้ยไอ้เสี่ยเจริญไม่ทันซะที แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหมดหนทางแค่นี้”
“หึ พูดมันง่าย ตอนนี้มันใหญ่คับฟ้า ใครยังจะไปกล้าต่อกรกับมันอีกล่ะ...”
ทัศน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้บารมีอดสงสัยตามไม่ได้
“นอกจาก...พวกของมันเอง”
บารมีนึกตาม

“เออ เป็นไปได้”

สองคนเลือกใช้คอนโดของเจิมฉัตรเป็นรังรักสวรรค์สวาทดังเดิม ชัชชัยนอนกอดก่ายกับเจิมฉัตรอยู่บนเตียงท่าทางเสร็จกามกิจกันมาสักพักแล้ว ชัชชัยมีท่าทีกังวล นอนก่ายหน้าผาก

เจิมฉัตรดูออกแต่ไม่พูดว่าอะไร สักครู่ก็ลุกไปแต่งตัว จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชัชชัยมองไปอย่างรำคาญ
ชัชชัยใส่เสื้อและกางเกงเรียบร้อยแล้ว กำลังแง้มประตูออกมาดู
“ใครวะ”
ชัชชัยตะลึงไปเมื่อถูกจ่อกบาลด้วยปืน
เจิมฉัตรแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ชัช ฉันว่าวันนี้เรารีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวป๋าจะสงสัย”
เงียบไม่มีเสียงตอบ เจิมฉัตรแปลกใจหันไปจึงพบว่าชัชชัยยืนทื่อโดยมียุทธเอาปืนจ่ออยู่ พลางค้นตัวชัชชัย ส่วนทัศน์กำลังนั่งเอกเขนกอยู่ที่ชุดรับแขก
ทัศน์ทักเจิมฉัตรอย่างกวนประสาท “รูมเซอร์วิสจ้ะ”
เจิมฉัตรไม่ทันได้อ้าปากร้องโวยวาย กฤชที่หลบอยู่ก็เอาปืนกระทุ้งดันเธอไปหาทัศน์ ทัศน์ตบที่นั่งข้างตัว เพื่อให้เจิมฉัตรนั่งลง ก่อนจะโอบบ่าหน้าตาเฉย
ยุทธค้นเจอปืนของชัชชัย ก็โยนส่งให้ ทัศน์รับไปถอดประกอบตามสันดาน เลยกลายเป็นโอบเจิมฉัตรเข้ามาในอ้อมแขนหรือซบบ่า
“วันนี้ท่านรองบารมี ท่านใช้ผมมายื่นข้อเสนอพิเศษสุดสำหรับคุณ”
ทัศน์ประกอบปืนเสร็จ แต่พอก้มลงดูก็เบ้หน้า
“บอกแฟนคุณหัดทำความสะอาดปืนซะบ้างนะ”
เจิมฉัตรไม่ตอบ
“มึงมีอะไรจะว่าก็ว่ามา ไม่ต้องโยกโย้”
“ท่านรองบารมีอยากจะหนุนคุณให้ขึ้นแทนเสี่ยเจริญ”
ชัชชัยและเจิมฉัตรตะลึง ทัศน์ยิ้มให้เจิมฉัตร
“ในที่นี้รวมทั้งป้าสะใภ้สุดสวยของคุณด้วย ขอเพียงแค่คุณให้ความร่วมมือกับท่านรองในการโค่นเสี่ยเจริญเท่านั้น”
“จะให้กูทำอะไร”
“เรารู้ว่าเร็วๆ นี้ลุงของคุณกับมิสเตอร์คิมูระ กำลังจะส่งมอบสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยากัน คุณพอจะบอกเราได้มั้ยว่าเป็นที่ไหนและเมื่อไหร่”
“กูไม่รู้” ชัชชัยบอก
ทัศน์ยกปืนของชัชชัยจ่อที่เจิมฉัตร ทำเอาเจิมฉัตรตกใจ
“ชัช”
ชัชชัยเหล่มองปากกระบอกปืนอย่างเหี้ยมเกรียม
“รู้หรือไม่รู้”
เจิมฉัตรหัวใจเต้นโครมครามมองชัชชัยลุ้น ๆ
“ไม่รู้”
ทัศน์เหล่มองเจิมฉัตรจนหล่อนใจเสีย แต่แล้วในที่สุดทัศน์ก็ลดปืนลง
“ก็ได้ เราเองก็ไม่ชอบบังคับใครอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ขอให้บอกเราทันที เราจะรอ”

ถัดมา เจิมฉัตรเดินนำออกยังทางเดินหน้าห้อง สักครู่ชัชชัยจึงปิดประตูตามออกมา ชัชชัยเห็นท่าทางเจิมฉัตรเหมือนครุ่นคิดอะไรหนักใจอยู่
“อย่าบอกนะว่าเธอสนใจข้อเสนอของไอ้พวกนั้น”
“เธอไม่สนงั้นเหรอ”
“ไม่ ป๋าเป็นลุงฉันนะ ถ้าฉันทรยศป๋า แล้วฉันจะไปสู้หน้าใครได้อีก ช่วยนายบารมีโค่นป๋าน่ะเหรอ” เขาเหลียวมามองเจิมฉัตร “ถามจริงๆเหอะ เธออยู่กินกับป๋ามาตั้งหกเจ็ดปี ไม่นึกผูกพันกันบ้างเลยหรือไง”
เจิมฉัตรได้ยินแล้วนึกขำ
“เธออยากจะพูดเรื่องความรักใช่มั้ย ก็ได้ ฉันไม่เคยรักป๋า สำหรับป๋า ฉันมันก็แค่อีตัวเกรดเอที่เค้าซื้อมาบำรุงบำเรอหัวใจเท่านั้นเอง” เจิมฉัตรเน้นคำตอนท้ายว่า “เหมือนทาส”
ชัชชัยหันไปมองเจิมฉัตรเหมือนนึกสงสารขึ้นมา เจิมฉัตรได้โอกาสยุส่ง
“ชัช นายทัศน์อะไรนั่นไม่ได้บอกให้เธอฆ่าป๋าซะหน่อย แค่อยากให้เธอช่วยเค้าล้มป๋าเท่านั้นเอง ป๋าน่ะยืนหยัดในวงการมานานเกินไปแล้ว มันถึงเวลาของคนหนุ่มอย่างเธอแล้วต่างหาก”
ชัชชัยลังเล “แต่เธอไม่ได้ยินที่มันพูดหรือไง มันอยากรู้เรื่องแผนการรับมอบสารเคมีของป๋า แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนนั่นเลย”
“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

ชัชชัยมองเจิมฉัตรว่าจะจัดการอย่างไร

ตกกลางคืน ประตูห้องทำงานเสี่ยเจริญเปิดแง้มอยู่ เห็นแสงไฟลอดออกมา เจิมฉัตรอยู่ในนั้น กำลังรื้อค้นเอกสารบนโต๊ะทำงาน และในลิ้นชัก จนไปเจอสมุดคิวของเสี่ยเจริญ

เจิมฉัตรไล่ไปตามวันที่ต่างๆที่มีหมายกำหนดการเรียงราย จนมาสะดุดตายังวันที่ 15 ซึ่งมีเพียงเครื่องหมายดอกจันกาไว้ดอกหนึ่งเท่านั้น
เจิมฉัตรเริ่มครุ่นคิดว่าจะเป็นวันนั้นหรือไม่
เสียงเสี่ยดังเข้ามา “เจิมฉัตร เธอทำอะไรอยู่น่ะ”
เจิมฉัตรตกใจ รีบปรับท่าที “อ๋อ เจิม..เจิมกำลังจัดโต๊ะให้ป๋าน่ะค่ะ ป๋ายังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“เพิ่งเข้าห้องไปตะกี้ แต่เห็นเธออยู่ในห้องเลยออกมาดู”
“บังเอิญจังเลยค่ะ เจิมก็ว่าจะมาหาป๋าเหมือนกัน”
“หาฉัน…อย่างเธอรู้จักสนใจไอ้สามีแก่ๆ คนนี้เหมือนกันเหรอ”
เจิมฉัตรออเซาะ “โธ่ป๋าขา ทำไมถึงพูดแบบนั้น ยังไงเจิมก็เมียป๋านะคะ”
เสี่ยเจริญยิ้มเอ็นดู “ฉันล้อเล่นหรอกน่า อย่าคิดอะไรมากเลยไป เราไปเข้านอนกันดีกว่า”
เจิมฉัตรทำเป็นนึกขึ้นได้ หันไปถามเสี่ยเจริญ
“เอ่อ...ป๋าคะ หมู่นี้เจิมใจสั่นๆ หวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้ วันที่ 15 นี้ เจิมเลยว่าจะไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลซะหน่อย ป๋าไปเป็นเพื่อนเจิมได้มั้ยคะ”
“วันที่ 15 เอ…เลื่อนเป็นวันอื่นไม่ได้เหรอ”
เจิมฉัตรออเซาะ “แหม ป๋า วันที่ 15 ป๋ามีธุระอะไรด่วนหรือคะ ถึงไปเป็นเพื่อนเจิมไม่ได้ หรือว่าเดี๋ยวนี้ป๋าเห็นว่าเจิมไม่มีความหมายแล้ว”
“เปล่า แต่วันนั้นน่ะเอ่อ” เสี่ยบ่ายเบี่ยง “ไม่มีอะไรหรอก ถ้าไงก็ขอเลื่อนเป็นวันอื่นก็แล้วกันนะ ฉันสัญญา ยุ่งยังไงก็จะไปด้วย”
เจิมฉัตรทำหน้ากระเง้ากระงอดพอน่ารัก ลอบยิ้มลำพองใจ เพราะเชื่อวันที่ 15 จะต้องเป็นวันพิเศษแน่นอน

ณผับหรูแห่งหนึ่ง
ชัชชัยนั่งดื่มรออยู่ตรงบาร์เหล้า รับรู้การมาถึงของทัศน์ที่เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“เรื่องเวลาและสถานที่รับสินค้าที่คุณต้องการ ผมสืบมาได้บางส่วนแล้ว คิดว่าคงล้วงลูกที่เหลือมาได้เร็วๆ นี้”
“แปลว่าคุณยอมรับเงื่อนไขของเราแล้วใช่มั้ย”
“แต่ผมก็มีเงื่อนไขของตัวเองเหมือนกัน ข้อแรกผมต้องการพบกับท่านรองบารมี ผมอยากได้ยินท่านรับปากด้วยตัวเองว่าจะหนุนผมขึ้นแทนป๋า”
“ไม่มีปัญหา”
“ข้อสอง ผมขอพิสูจน์ตัวเองให้ท่านรองประทับใจซักเล็กน้อยเพื่อเป็นเครื่องการันตีความจริงใจของผม”
“คุณมีแผนอะไรงั้นเหรอ”
“ผมจะปล้นสารเคมีของป๋าด้วยตัวเอง”

ทัศน์ยิ้มอย่างประหลาดใจที่ได้ของแถมตั้งแต่แรกเริ่มสำหรับงานนี้

อ่านต่อหน้า 4

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 7 (ต่อ)

วันถัดมาไอ้ปอดกำลังใช้ไม้บรรทัดนับยาส่งให้โจอยู่ที่ห้องชั้นบนของผับ โจรับยามาแล้วส่งเงินให้ไอ้ปอด

“ตกลงมีของแค่นี้เหรอ”
ไอ้ปอดนับเงิน “เออแค่นี้ ทำไมวะมึงขายดีนักหรือไง”
“เปล่าก็แค่ถามดู ไหนเค้าลือว่าป๋าปั๊มยาเองแล้วไงทำไมของมันถึงยังร่อยหรออยู่ล่ะ”
ไอ้ปอดไม่สนนับเงินลูกเดียว โจล้วงลูกต่อ
“นี่พี่ปอด ตกลงป๋าเค้าจะเริ่มปั๊มยาเมื่อไหร่บอกกันบ้างสิจะได้รอซื้อของถูกซะทีเดียว ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลา”
ไอ้ปอดชะงักมือ “มึงรู้ตัวมั้ยอีโจพักหลังๆ มานี่ มึงซอกแซกน่าดูเลยรู้มั้ย”
“แหม…ก็คนมันมีปากก็ถามไปเรื่อยแหละน่า คิดมาก”
ไอ้ปอดยังมองโจอย่างจับผิด จนโจเริ่มอึดอัด พอดีชัชชัยผลักประตูเข้ามา
“ไอ้ปอด มึงมานี่เดี๋ยว”
ไอ้ปอดแปลกใจท่าทีซีเรียสของลูกพี่หน่อยๆ “ครับ”
ไอ้ปอดตามชัชชัยออกไป โจชะเง้อมองตาม

โจย่องมาที่ประตูหนีไฟด้านหลังผับ และเงี่ยหูแอบฟังชัชชัยกับไอ้ปอดคุยกันได้ยินเสียง
ทั้งสองคุยกันไปแล้วสักครู่
“หา…ถึงขนาดนั้นเลยหรือครับ”
ชัชชัยหงุดหงิดที่เห็นไอ้ปอดมีท่าทางวิตกมาก
“มึงจะกลัวอะไรไอ้ปอด พวกมันก็แค่สองคนเหมือนเราแล้วกูก็ไม่ได้ให้มึงลงมือเองซะหน่อย กูต่างหากที่จะเป็นคนจัดการพวกมันเอง”
ชัชชัยกำลังอธิบายแผนการกับไอ้ปอด
“วันที่ 15 นี้ กูว่ามันคงต้องจองคิวมึงหรือไม่ก็ไอ้จ๊อดเพื่อนมัน เป็นคนขับรถพามันไปที่จุดนัด พอมันเริ่มส่งของกัน มึงก็คอยห่างเข้าไว้ กูจะให้คนเข้าบุกปล้นมันตอนนั้น”
โจฟังอยู่ถึงกับหูผึ่ง ลูบปากลูบคางเหมือนเจอของหวานเข้า
“ถ้าไอ้บูรพามันขัดขืนล่ะครับ” เสียงปอดถาม
“ก็เป่ามันทิ้งซะสิวะ”
โจค่อยๆ ล่าถอยห่างประตูออกมา เตรียมจะชิ่งหนี แต่แล้วเท้าก็ดันไปเตะเอาไม้ถูพื้นเข้าให้ โจตกใจ หันไปเห็นประตูเปิดออก ชัชชัยกระชากคอเสื้อโจออกมา
“มึงมาทำอะไรตรงนี้”
“น...น…หนูมารับยา จะมาบอกพี่ปอดว่าจะกลับแล้ว”
“แล้วมึงได้ยินอะไรบ้าง”
“หนูไม่ได้ หนูไม่ได้ยินอะไรเลย”
ชัชชัยปัดหมวกโจออก แล้วกระชากผมโจเข้ามา
“มึงอย่ามาไขสืออีโจ มึงมาแอบฟังกูพูดกับไอ้ปอดใช่มั้ย”
“โอ๊ย เปล่าๆ ไม่ได้ฟัง หนูไม่ได้แอบฟัง เจ็บๆๆๆ โอ๊ย ตะกี้พี่ปอดยังไม่ได้ทอนตังค์ หนูก็จะมาทวงแค่นั้นเอง”
“คุณชัชครับ ใจเย็นๆ ก่อนก็ได้ครับ”
ชัชชัยผลักไอ้ปอดออกไป แล้วชักปืนมาจ่อใต้คางโจ
“มึงพูดมาดีๆ อีโจ มึงได้ยินอะไรบ้าง ตอบกูมา”
โจตกใจจนพูดไม่ออก ชัชชัยง้างนกขึ้นไกปืน
“หนึ่ง…สอง…”
โจตกใจละล่ำละลัก “น..หนู..หนู…หนูไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินจริงๆ ฮือๆๆๆ โฮๆๆๆ อย่ายิงหนูเลย โฮๆๆๆ หนูจะมาเอาเงินทอนแค่นั้นเอง หนูไม่รู้อะไรทั้งนั้น อย่ายิงหนูเลย”
โจบีบน้ำตาจัดเต็ม ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนชัชชัยรำคาญ
“มึงแน่ใจนะ”
“หนูพูดความจริง เอาหนูไปสาบานวัดไหนก็ได้ หนูไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ก็ได้กูจะเชื่อมึง” ชัชชัยปล่อยโจ “อย่าให้มีครั้งสอง ไม่งั้นมึงหัวแบะแน่”
โจไหว้ชัชชัยปลกๆ และลนลานเก็บหมวกแล้วเปิดประตูเดินหนีไป ชัชชัยมองตามเหมือนยังระแวงไม่เลิก

ถัดมาไม่นาน ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้ๆ ผับของเสี่ยเจริญ โจเปิดประตูตู้ออกแล้วผลุบเข้ามาในตู้นั้น ล้วงหาเศษเหรียญเป็นพัลวัน ท่าทางยังลนลานตื่นกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่หาย

เธอชะงักมองมือตัวเอง พบว่ามือข้างที่กำลังจะหยอดเหรียญ สั่นกึกๆๆๆ ด้วยความกลัวโจรวบสติแข็งใจหยอดเหรียญ และกดหมายเลขไปที่เบอร์โต๊ะตะวันฉายที่กองปราบ
“ฮัลโหล นี่โจพูดนะ...หมู่เสือเหรอ ผู้หมวดอยู่รึเปล่า ใช่ มีข่าวด่วนจะบอก งั้นเหรอ...ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปหาผู้หมวดเอง...อย่าเพิ่งถามเซ้าซี้ได้มั้ย แค่นี้นะ”
โจวางหูโทรศัพท์ แต่แล้วก็มีมือเอื้อมมาจับบ่า โจสะดุ้งสุดตัว หันไปจึงพบว่าเป็นตุ๊ก
“ตุ๊ก”
“ตะกี้ได้ยินเด็กในร้านมันบอกว่าคุณชัชเค้าโวยวายอะไรกับมึงงั้นเหรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นวะ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
ตุ๊กสงสัยอาการมีพิรุธนั้น “แล้วนี่มึงโทร.หาใคร”
“เพื่อน”
“เพื่อนที่ไหน กูรู้จักหรือเปล่า”
โจไม่มีใจจะตอบโต้ ขยับจะเดินหนี ตุ๊กรีบคว้าแขนไว้
“โจ”
โจสะบัดแขนเต็มแรง “โธ่เว้ย บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิวะ”
ตุ๊กมองจ้องจับผิด “อีโจ มึงขายข่าวให้ตำรวจใช่มั้ย ที่คุณชัชเค้าโวย คนข้างในเค้าได้ยินกันนะ”
“มึงอย่ามาหาเหาใส่หัวกูนะตุ๊ก กูฉุนแล้วนะมึง”
“กูห่วงมึงหรอกกูถึงพูด มึงรู้รึเปล่าคนของป๋าถ้าถูกจับได้ว่าเป็นสายให้ตำรวจ จะมีสภาพเป็นยังไง”
โจใจหายนึกหวาด
“กูเพื่อนมึงนะโจ ถ้ามึงไม่ไว้ใจกูแล้วมึงจะไว้ใจใครได้อีก มึงนึกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจมันจะคุ้มกะลาหัวมึงได้งั้นเหรอ”
“ตุ๊ก ขืนมึงว่ากูเป็นสายตำรวจอีกคำ กูตบฟันร่วงจริงๆ ด้วย ทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย มึงจะใส่ความกูเหรอ”
ตุ๊กอึ้งที่โจกล้าขู่ตน โจเองก็เสียใจหน่อยๆ แต่จำต้องเล่นละคร
“ชีวิตของมึงเองนะเพื่อน”

ตุ๊กเดินจากไป โจมองตามไป นึกเสียใจที่ทำแบบนั้นกับเพื่อน

ที่ผับแห่งหนึ่ง มีพวกคนออฟฟิศมานั่งดื่มกินกันพอประมาณ ตะวันฉายนั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงเค้าน์เตอร์บาร์เหล้า ท่าทางเหนื่อยล้ากับปัญหาเรื่องงานและปัญหาชีวิตระหว่างเขากับน้องชาย

ภาพเหตุการณ์ตอนตะวันฉายมีปากเสียงกับธิชาที่หน้าสตูดิโอเรื่องบูรพา ผุดซ้อนขึ้นมา
“นี่เป็นคำสั่งของทางเบื้องบน บูรพาล้ำเส้นมามากพอแล้ว”
“แค่นั้นน่ะเหรอคะ ที่ทำให้คุณเลิกหวังในตัวบูรพา”
“ถึงผมไม่ทำคนอื่นก็ต้องทำอยู่ดี ทำไมคุณไม่มองมุมกลับกันดู บ้างล่ะ สิ่งที่ผมทำอยู่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วก็ได้”
ธิชาเครียด “ก็แล้วแต่ว่าคุณชี้แจงกับฉันในฐานะอะไรค่ะผู้หมวด ฐานะของนายตำรวจหรือว่าพี่ชาย”
ตะวันฉายอึ้ง ธิชาเดินจะเข้าประตูตึกไป แต่ยังหันมาบอกทิ้งท้าย
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าโอกาสของบูรพาจะหมดลงแล้ว คุณต่างหากที่หมดศรัทธาในความดีของเขา”
ขณะที่ตะวันฉายดื่มเบียร์อยู่ด้วยความลังเล สับสนในใจนั้น โจเดินซึมผลักประตูเข้ามามองหาตะวันฉาย ครั้นพอเห็นก็สูดหายใจลึก ปรับสีหน้าท่าทีให้แช่มชื่น ไม่อยากให้ผู้หมวดเห็นว่าเธอเป็นทุกข์ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ยิ้มทัก
“หมวด”
ตะวันฉายหันมาเห็นโจก็ยิ้มมุมปากทักทาย แต่ไม่พูดอะไร บาร์เทนเดอร์เข้ามาถามโจ
“รับอะไรดีครับ”
“โค้กแก้วนึงค่ะ”
บาร์เทนเดอร์เดินไปตรงเค้าน์เตอร์ วางบิลออเดอร์ แล้วเอาโค้กมาเสิร์ฟมาให้ โจหันมาบอกกับตะวันฉาย
“หนูโทร.หาหมวดที่กองปราบ หมู่เสือเค้าบอกว่าหมวดออกเวรแล้วก็หลบมุมมาพักที่นี่” โจมองสีหน้าอมทุกข์ของตะวันฉายที่ดื่มเบียร์อยู่ แล้วดูออก “หมวดกลุ้มเรื่องงานเหรอ”
ตะวันฉายไม่ตอบ ทำท่าทางรำคาญโจเล็กๆ แต่ยังรักษามารยาทไม่แสดงออก
“หนูมีข่าวมาขายให้หมวดด้วยนะ”
ตะวันฉายหันมา โจยิ้มกว้างที่ในที่สุดผู้หมวดก็สนใจตน ตั้งใจพรีเซ้นต์งานอย่างเต็มที่ แถมทำเสียงและท่าทางชวนตื่นเต้นประกอบด้วย
“หนูได้ยินมาว่า...แต่นแตนแต๊น...พวกป๋าจะรับมอบสารเคมีจากลูกค้าวันที่ 15 นี้”
“แล้วเวลากับสถานที่ล่ะ”
โจจ๋อยสนิท “หนูไม่รู้ ได้ยินมาแค่นี้แหละ” พอเห็นตะวันฉายเซ็ง ก็รีบพูดเอาใจ “แต่ข่าวนี้ยังไงก็ชัวร์นะหมวด หนูได้ยินไอ้คุณชัชมันเป็นคนพูดเองกับปากเลยด้วย หมวดต้องเชื่อหนูนะ”
ตะวันฉายสวนออกมา “โจ ก่อนที่จะเอาข่าวนี่มาบอกฉัน เธอเคยคิดมั้ยว่าตำรวจจะเอาไปขยายผลอะไรได้”
โจอึ้ง
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ที่เธอหาข่าวมาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนรักสนุก แต่เรื่องงานกับเรื่องเล่นบางครั้งเธอก็น่าจะแยกกันให้ออก ไม่ใช่เอะอะก็นัดฉันนัดหมู่เสือออกมาฟังข่าวเป็นเรื่องบ้างไม่เป็นเรื่องบ้างแบบนี้”
โจอึ้ง หน้าสลดลง น้อยใจเหลือเกิน
ตะวันฉายหยิบเงิน “เอาล่ะ ยังไงฉันก็ถือว่าเธอทำงานก็แล้วกันเอาเงินนี่ไปก็แล้วกันนะ”
ความน้อยใจถูกแปรเป็นความโกรธ “หมวด...หมวดนึกว่าหนูอยากได้เงินของหมวดนักเหรอรู้รึเปล่าว่าหนูกว่าจะได้ข่าวไอ้ครึ่งๆ กลางๆ ที่หมวดว่ามาเนี่ยหนูต้องเจอกับอะไรบ้าง ไอ้ชัชมันเอาปืนจ่อหัวหนู ถ้าหนูโกหกช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เงินนี่หมู่ต้องจ่ายเป็นแบงค์กงเต็กแล้ว”
โจปัดเงินของตะวันฉายทิ้ง เห็นคนมองกันทั้งร้าน ตะวันฉายถึงกับอึ้งไป
“คิดว่าหนูสนุกนักหรือไง ไอ้การมาหาข่าวบ้าบอคอแตกให้หมวดนี่มันทำให้หนูรวยนักเหรอ หนูขายยาหนูล้วงกระเป๋าวันนึงหนูได้เป็นพันไอ้แค่เศษเงินร้อยสองร้อยของหมวดน่ะ หนูไม่แคร์หรอกได้ยินมั้ย”
“โจ ฉัน...”
“ไม่ต้องพูด หนูทำงานให้หมวดด้วยใจ แต่หมวดไม่เคยเห็นค่าอะไรเลย ทำไมหมวด เพราะอีโจคนนี้มันเป็นเด็กข้างถนนใช่มั้ย หมวดรู้ไว้เลยนะ ที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุผลแค่ข้อเดียวคือหมวดเคยช่วยชีวิตหนูเอาไว้ ไอ้ชีวิตข้างถนนที่หมวดตีราคา เท่าหมาตัวนึง หมวดเคยจำได้มั้ย”
โจผลุนผลันออกไปจากร้าน ตะวันฉายพยายามรั้งไว้แต่ไม่สำเร็จ
“โจ”
เสือเปิดประตูร้านสวนเข้ามาพอดี
“อ้าว โจ มีอะไร”
โจผลักเสือออก “หลีกไป”

เสือมองตามอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมามองที่ตะวันฉายที่ยังยืนตะลึงอยู่

โจเดินคอตกมาตามระเบียงแฟลต ท่าทางหงอยๆ รู้สึกหมดค่าเหมือนหมาตัวหนึ่งอย่างที่ว่าไว้ แต่แล้วเมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เจอกับตุ๊กที่กำลังจัดกับข้าวกับปลาตั้งวงรออยู่

ตุ๊กหันมามองโจแว่บเดียว แล้วจัดโน่นจัดนี่ต่อไม่ยอมพูดอะไร โจนั่งคงเงียบๆ คิดว่าตุ๊กคงจะต้องยังโกรธตนแน่ แต่ปรากฎว่าตุ๊กไปคดข้าวใส่จานมาให้
“กินข้าวซะสิ กูซื้อเป็ดพะโล้มาเผื่อมึงด้วย มึงชอบไม่ใช่เหรอ”
โจมองตุ๊กที่ยิ้มให้อย่างมีน้ำใจ ก่อนจะนั่งลงทานข้าว โจยกช้อนตักข้าวแต่ทานไม่ลง โผไปกอดตุ๊กแน่น
“อีตุ๊ก กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงมึงอย่าโกรธกูนะ กูมันปากไม่ดีเอง”
ตุ๊กกินไปพูดไป “กูรู้ ไม่งั้นกูจะเป็นเพื่อนมึงได้ไง กินเหอะ กูหิว”
ตุ๊กกินข้าวต่ออย่างคนปลงตก ส่วนโจยังกอดคอเพื่อนแน่นไม่ยอมปล่อย

ที่ออฟฟิศในกองปราบอีกวันหนึ่ง ตะวันฉายยังไม่กลับบ้าน กำลังนั่งมองโทรศัพท์รอข่าวจากโจอย่างใจจดจ่อ จนเสือที่อยู่เป็นเพื่อนต้องเอ่ยปลอบ
“อย่าคิดมากเลยครับ โจมันคงงอนไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวสักพักก็คงหายโกรธ ว่าแต่ หมวดไปดุโจมันเหรอครับ ถึงได้ร้องห่มร้องไห้ไปแบบนั้น”
“โจมาขายข่าวเรื่องวันรับสินค้าพวกเสี่ยเจริญ แต่ไม่มีข้อมูลอย่างอื่นเลย ผมก็เลยพลั้งปากว่าไป”
เสืออึ้ง “หมวดว่าหมวดรู้วันนัดของพวกเสี่ยเจริญแล้วเหรอครับ”
ตะวันฉายชักสนใจ “มีอะไรงั้นเหรอ”
“ปกติของร้อนแบบนี้ มันจะไม่เก็บใกล้ตัวไว้นานหรอกครับหมวด ได้มาก็ต้องรีบส่งต่อให้คนอื่น ส่วนใหญ่ไม่เกินวันด้วยซ้ำ”
ตะวันฉายคิดตาม “แปลว่าสารเคมีจะต้องมาถึงเมืองไทยก่อนหน้าวันนัด แค่วันหรือสองวัน”
เสือพยักหน้า “ให้เดาสถานที่นัดพบของพวกมันคงยากอยู่ครับ แต่ถ้าให้เดาว่าสินค้าจะมาทางไหน ผมว่าเราพอมีหวัง”
ตะวันฉายชักสน ลุ้นตามข้อมูลนั้น

ที่ห้องเย็นเก็บสิ้นค้า ในท่าเรือคืนนี้
หีบสินค้าหมายเลขที่มีตำหนิเป็นกากบาทสีแดงที่มุมขวาสามหีบ ถูกยกลงมาโดยชายขี้ยา พบว่าภายใต้สินค้าเนื้อปลาทะเลจากญี่ปุ่นที่อยู่ในหีบ ยังมีถังโลหะขนาดเท่ากระติกน้ำแข็งใบเล็กแช่อยู่ ในถังโลหะนั้นมีสารเคมีสีสว่างเรืองซ่อนอยู่ภายใน
คนขนยา หาวหวอดๆ ตามประสาขี้ยา ขณะเปิดกระเป๋าเดินทางของมัน และบรรจุถังโลหะเหล่านั้นลงในช่องฟองน้ำที่บุไว้ได้ขนาดอย่างพอดิบพอดี
คนขนยายิ้มกริ่ม ขยับจะเดินออกจากห้อง แต่สิ่งที่มันเห็นเบื้องหน้าก็คือ ยักษ์ และเสือ ถือปืนดักรออยู่ เสือผิวปากวี้ดวี้ว อย่างหวานหมู

อีกฟากหนึ่ง ที่โรงปูนร้างแห่งนั้น บูรพาเดินมาที่บริเวณจุดนัดพบกับคิมูระ ท่ามกลางความมืดตามลำพัง
“คุณคิมูระ ผมมารับของ”
ไม่มีเสียงตอบ และ เงียบผิดปกติจนบูรพาเริ่มกลัว เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในความมืดนั้น
“คุณคิมูระ”
จู่ๆ ธิชาก็เข็นรถเข็นพาจ่าเวศออกมาจากความมืดนั้น หากมองชัดๆ จะพบว่าจ่าเวศน้ำตากลบตาแล้ว
“แก...ทำให้พ่อผิดหวังบูรพา”
“พ่อ! ธิชา!”
ธิชาเข็นรถพาจ่าเวศรุกไล่ด่าทออย่างรุนแรง บูรพาถอยหลังกรูด
“คุณงามความดีที่พ่อสั่งสมมา ต้องพังลงเพราะแกวิญญาณของแม่ไม่มีวันสงบสุข เพราะความชั่วที่แกก่อไว้ครอบครัวของเราฉิบหายลงเพราะอะไร แกลืมไปแล้วเหรอเพราะไอ้ยานรกพวกนี้ บูรพา แกไม่อายตัวเองบ้างหรือไง”
กระทั่งธิชาผู้ที่เชื่อมั่นในตัวบูรพามาตลอด ก็ยังถอดใจ
“ฉันหมดหวังในตัวคุณแล้วบูรพา ฉันไม่น่าเสียเวลามาคบกับไอ้ขี้คุกอย่างคุณเลย”
บูรพาตกใจพูดไม่ออก ขยับจะหนีปัญหาแต่ก็เจอตะวันฉายในเครื่องแบบตำรวจเอาปืนจ่อตน
“บูรพา แกถูกจับแล้ว”

บูรพาขยับจะชักปืน แต่ตะวันฉายเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยงออกไปทันควัน

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น