ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 4
บูรพาค่อยฟื้นๆ ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ตั้งสติแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหรู ร่างกายได้รับการทำแผลเรียบร้อย บูรพานึกทบทวน มองไปรอบกายอย่างงุนงง ก่อนจะแข็งใจประคองกายลุกขึ้นนั่ง
บูรพาเดินมาที่หน้าต่างและเลิกม่านมองออกไป สิ่งที่เห็นคืออาณาจักอันกว้างใหญ่ไพศาล โอฬารของคฤหาสน์เสี่ยเจริญ มีสมุนเดินเวรยามเพียบ บูรพาประหลาดใจว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
บูรพาเดินกุมแผลมองหาคนในบ้านออกมา จนถึงบริเวณละแวกสระว่ายน้ำ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตูมจากที่ในสระ เมื่อมองไปก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ
เจิมฉัตรในชุดว่ายน้ำอันรัดรึง ทะลึ่งตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และโผว่ายมาหยุดพักที่ขอบสระ สักครู่ก็จึงเหลือบเห็นบูรพา เจิมฉัตรส่งยิ้มให้เขาอย่างไม่ถือตัว
“ส่งเสื้อคลุมให้หน่อยสิ”
บูรพามองหาจนเห็นเสื้อคลุม จึงหยิบส่งให้เจิมฉัตรที่ขึ้นมาจากสระน้ำรับไปสวม
“เมื่อคืนได้ยินเสียงเอ็ดตะโรโวยวายกันใหญ่ คงเป็นเพราะเธอสินะ”
บูรพาไม่แน่ใจ ได้แต่สำรวจเนื้อตัวของเขาอีกครั้ง และเห็นร่องรอยการปฐมพยาบาลที่ทำไว้อย่างดี
“ที่นี่ที่ไหน”
“ถ้าบอกว่าเป็นสวรรค์ เธอจะชอบมั้ยล่ะ”
เจิมฉัตรเดินผ่านหลังบูรพา และเอ่ยถามใกล้ๆ ริมใบหู
“นางฟ้าที่นี่ใจดีนะ”
บูรพาเหลียวมามองเจิมฉัตร อึ้งไปนิดๆ ใน จริตจกร้านของเธอ เจิมฉัตรเดินไปนั่งที่เก้าอี้ จิบเครื่องดื่มสีสวยในแก้ว ปล่อยให้บูรพาเริ่มคิดเดาเอาเอง
บูรพามองไปรอบๆ “ที่นี่บ้านเสี่ยเจริญ”
เจิมฉัตรยิ้มไม่ยอมตอบ แต่บุ้ยหน้าให้เขามองไปทางหนึ่ง จนเห็นนายเสริมสมุนคนสนิทของเสี่ยเจริญเดินมาแต่ไกลลิบๆ
“ป๋าคงให้คนมาตามแล้ว รีบไปเถอะ ขืนชักช้าจะเดือดร้อนไม่รู้ด้วยนะ”
เสริมเดินมาหยุดรอ
บูรพาพยักหน้าอำลาเจิมฉัตร แล้วขยับจะปลีกตัวไป แต่เจิมฉัตรกลับเอื้อมมือมาแตะรั้งที่หลังมือของเขาเบาๆ เพียงแค่ปลายนิ้วนั้นก็หยุดผู้ชายได้ทุกคน
เจิมฉัตรกระดิกนิ้วให้บูรพาก้มลงมาหา กระซิบบอก
“พบป๋า ต้องวางตัวตามสบาย และพูดแต่คำว่า“ใช่” เท่านั้น”
“แล้วถ้า “ไม่” ล่ะ”
“ฉันยังไม่เคยเห็นใครกล้าพูดอย่างนั้น เธอจะลองดูมั้ยล่ะ”
บูรพาคิดว่าคงไม่อยากลองเท่าไหร่นัก เขาเดินไปหาเสริม ที่เดินนำไปเงียบๆ บูรพาเดินไปได้สักระยะหนึ่งก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามเสริมขึ้น
“คนตะกี้เป็นลูกสาวเสี่ยเจริญงั้นเหรอ”
เสริมชะงักกึกหันมาบอกสั้นๆ
“คุณเจิมฉัตรเป็นภรรยาของป๋า”
บูรพาอึ้งไป เหลียวหลังไปมองเจิมฉัตรอีกครั้ง เห็นเจิมฉัตรขยับมือเหมือนบ๊ายบายให้ตน
บูรพาหันกลับเดินตามเสริมไปเงียบๆ
เสี่ยเจริญ มีมังกรแดงที่แขน นอนใส่เสื้อคลุมให้คนนวดอยู่ชั้นบนเก้าอี้หรูอย่างสบายอุราอยู่ในสวนหย่อมแสนสวย จังหวะหนึ่งเสื้อคลุมเปิดออกเผยให้เห็นรอยสักมังกรแดง
ชัชชัยนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ เหลือบเห็นบูรพาที่ลงนั่งร่วมโต๊ะ แล้วก็เบือนหน้าหนีไปอย่างเซ็งๆ
บูรพานั่งลงอย่างเจียมตัวเจียมตน ใช้สายตาลอบมองเสี่ย ไล่มาจากมือที่ถือไม้เท้าจนเห็นโฉมหน้าของเสี่ยเจริญชัดๆ ถนัดตา
“ชั้นได้ข่าวจากเคี้ยงว่า อาจจะมีเด็กของมันมาทำงานกับชั้น นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันในสภาพนี้ ชั้นต้องขอโทษด้วยที่ต้อนรับแกไม่ดี”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ได้ยังไง ฉันกับเคี้ยงเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ในคุก”
เสี่ยเจริญพยักหน้าให้คนสนิท เสริมเข้ามาถกแขนเสื้อบูรพา บูรพาขัดขืนเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ยอมให้เสริมเปิดแขนเสื้อโดยดี
เสี่ยเจริญมองรอยสักอย่างมีความหมาย ใช้หัวไม้เท้ากดลากไปบนผิวเนื้อราวกับจะนับเกล็ดมังกร
“ตั้งแต่เราเริ่มตั้งแก๊งมังกรแดง ด้วยกัน ฉันโชคดีกว่ามันหน่อยที่ได้ออกมาก่อน แต่ยังไงฉันก็ยังไม่ลืมบุญคุณของพี่น้อง เอาละ...” เสี่ยยิ้มใจดี “สรุปว่าคนกันเอง ถ้าอย่างนั้นอะไรที่แล้วไปแล้ว ก็ขอให้แล้วกันไป แกว่าดีมั้ย เจ้าชัช” เสี่ยมองมายังหลานโรคจิต
ชัชชัยอึดอัดใจสักพักก็เอ่ยเถียงออกมา
“แต่เมื่อวานคนของผมเจ็บไปหลายคนนะครับป๋า”
เสี่ยเจริญตบโต๊ะปัง “คนของแกเหรอ เดี๋ยวนี้แกมีคนของแกด้วยเหรอ ไอ้พวกกะเลวกะราดพวกนั้นลองไม่มีเงิน ดูซิมันจะตามแกมั้ย ทำอะไรหัดคิดหน้าคิดหลังซะบ้าง ตอนนี้เรากำลังมีปัญหาอยู่กับแก๊งของไอ้หัวจักร แค่นี้ก็ปวดหัวพออยู่แล้ว นี่แกยังจะมาหาเรื่องกัดกับพวกเดียวกันอีกเหรอไง”
ชัชชัยทั้งเจ็บทั้งอายที่ต้องมาถูกด่าต่อหน้าบูรพา ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ อย่างจำใจ
เสี่ยเจริญหงุดหงิด เอ่ยปากฟันธง
“ฉันอยากให้แกสองคนจับมือเลิกแล้วต่อกัน ขอแค่นี้แหละ จะทำให้ได้มั้ย”
ชัชชัยมองหน้ากันกับบูรพา จำใจรับปาก
“ก็ต้องได้สิครับ ป๋าขอทั้งที”
เสี่ยเจริญหันมาทางบูรพา “แล้วแกล่ะ ได้ หรือ ไม่ได้”
แทนคำตอบ บูรพายื่นมือออกมาตรงหน้าชัชชัย อีกฝ่ายยื่มาจับมือด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถ้าเสร็จเรื่องแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ มีธุระต้องทำ” ชัชชัยยิ้มให้บูรพา “เราหายกันแล้วนะ”
บูรพาพยักหน้า แต่ดูออกว่าชัชชัยเฟกใส่
ถัดมา ชัชชัยมองออกมาจากห้องนอน เห็นเสริมกับบูรพายืนอยู่ที่รถ มีจิวคอยแนะนำอีกที ชัชชัยจดสายตามองบูรพาอย่างเหี้ยมเกรียม
เสียงหวานๆ ของ เจิมฉัตรดังขึ้น “ใครกันเหรอ”
ชัชชัยหันมา พบว่าเจิมฉัตรมายืนอยู่ข้างหลังตน ท่าทางใกล้ชิดกันของสองคนไม่น่าใช่หลานชายกับป้าสะใภ้ธรรมดา
“คนที่ป๋าพามาน่ะ”
“ก็แค่ขี้คุก” ชัชชัยบอกอย่างเคืองขุ่น
“ถ้าแค่นั้นจริงๆ ป๋าคงไม่ถึงกับจัดห้องพักให้อยู่ในบ้านนี้หรอก”
“มันเป็นเด็กของลุงเคี้ยง เพื่อนป๋า”
“มิน่า” เจิมฉัตรยิ้มพอใจ “ท่าทางเอาเรื่องเหมือนกันนี่”
ชัชชัยหมั่นไส้ “สนมันมากนักหรือไง”
“ฉันจะสนใครก็ไม่แปลกนี่”
ชัชชัยเดือดดาล คว้าตัวเจิมฉัตรเข้ามาแนบร่าง ตวาดใส่หน้า
“แปลกสิ แปลกแน่ ถ้าเธอไปสนใจมันเข้าได้โดนดีแน่”
เจิมฉัตรตบหน้าชัชชัยเข้าฉาดใหญ่ ทำเอาชัชชัยนิ่งอึ้งไป
“สุภาพกับป้าสะใภ้หน่อยสิ คุณชัชชัย”
ชัชชัยรวบตัวเจิมฉัตรเข้ามาอย่างแรง ระดมจูบอย่างดุเดือด ซุกไซร้ไปถึงซอกคอ แววตาเจิมฉัตรยิ้มเป็นประกาย มองชัชชัยเหมือนมองลูกไก่ในกำมือ
ขึ้นตอนที่ 4
อีกฟากที่ สน.ท้องที่เกิดเหตุวิวาทระหว่างปอดกับบูรพา เห็นสิบเวรนั่งเปิดบันทึกประจำวันค้นหาอยู่สักพัก จึงเงยหน้าบอกกับตะวันฉายที่เอ่ยขึ้นอีกว่า
“ขอที่อยู่และที่ทำงานของเค้าด้วย”
“คนที่ชื่อบูรพา พงศ์พิทักษ์ใช่มั้ยครับ” สิบเวรพลิกหาไปมาแล้วถาม
ตะวันฉายพยักหน้า
“เมื่อวานเค้าโดนแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายครับ แต่ดูเหมือนเจ้าทุกข์จะถอนแจ้งความไปเรียบร้อยแล้ว”
“มีที่อยู่บันทึกไว้รึเปล่า”
“มีครับ”
สิบเวรเลื่อนบันทึกไปตรงหน้าหมวดหนุ่ม
“ที่ผับของเสี่ยเจริญไงครับ”
ตะวันฉายหูผึ่ง ตกใจ “เสี่ยเจริญ ป๋าจิว น่ะเหรอ”
รถมอเตอร์ไซค์ของตะวันฉายห้อตะบึงมาตามถนนเส้นนั้นโดยเร็ว และสุดท้ายเลี้ยวมาจอดลงหน้าผับเสี่ยเจริญอย่างแเรง ตะวันฉายลงมาเหลียวมองความใหญ่โตก่อนจะมองไปยังประตูทางเข้า แล้วเดินลุยเท้าไปทันที
จ๊อดเดินหิ้วถังน้ำ มีผ้าขี้ริ้วพาดบ่า ผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี สมุนชัชชัยที่เดินสวนต่างพากันหลีกทางให้เป็นแถว จ๊อดมองตามอย่างได้ใจ ยิ่งเดินซ่ามากยิ่งขึ้น
จ๊อดหิ้วถังออกมาด้านหน้า ลงมือเช็ดถูกระจกหน้าผับอย่างอารมณ์ดี จนเห็นเงาของตะวันฉายสะท้อนอยู่บนกระจกก็ตกใจหันไป
ตะวันฉายชูบัตร “ตำรวจ”
ยินชื่อนี้ไอ้จ๊อดถึงกับผวาเฮือก ออกอาการใจหวิวคล้ายจะเป็นลม
“ผะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ เรื่องเมื่อวานผมไม่ได้เกี่ยวข้อง คือไอ้คนที่ก่อเรื่องมันอยู่ข้างในครับ มัน…”
ตะวันฉายขยับมือเตือนจ๊อดให้เลิกสติแตก รอจนจ๊อดสงบจึงถามขึ้นว่า
“ผมแค่จะมาหาคนก็เท่านั้นเองชื่อ บูรพา พงศ์พิทักษ์ รู้จักรึเปล่า”
จ๊อดมีพิรุธ “คุณตำรวจเป็นอะไรกับเค้าหรือครับ”
ตะวันฉายบอกส่งๆ ไปว่า “เพื่อน”
จ๊อดซักหาข้อมูล “อืม...รู้จักกันนานแล้วหรือครับ”
ตะวันฉายชักรำคาญ “นี่จะถามเซ้าซี้ไปทำไม ตกลงรู้จักรึเปล่า”
“ก็เพราะไม่รู้จักน่ะสิครับถึงได้ถาม ผมทำงานที่นี่มาเจ็ดปีไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้เลยนะครับ ไม่เชื่อคุณตำรวจจะลองเข้าไปดูก็ได้นะครับ แต่ยังไงก็ไม่มีคนชื่อนี้แน่ๆ”
ตะวันฉายชักปืนออกมา จ๊อดร้องจ๊าก แต่ปอดกับพวกออกมาซะก่อน
“เฮ้ย อะไรวะ”
ทุกคนอยู่ในผับแล้ว ไอ้ปอดวางมาดเข้มมองดุตะวันฉาย
“ทำอะไร คุณตำรวจ”
ตะวันฉายชะงัก เอาปืนลง แล้วยื่นรูปบูรพาให้ดู
“ผมมาหาคนๆ นี้ เคยเห็นรึเปล่า”
ปอดปัดมือออก ไม่ดู “ไม่มี ไม่รู้จักใครทั้งนั้นที่นี่มันผับ จะมาเที่ยวก็ต้องรอตอนเปิดจะมาค้นก็ต้องมีหมายค้น ถือว่าเป็นตำรวจนึกจะเอาปืนมาขู่ใครที่ไหนก็ได้รึไง รู้รึเปล่าว่าที่นี่ของใคร”
ตะวันฉายไม่สนใจฟัง ปอดยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“หัดรู้จักชื่อเสี่ยเจริญไว้บ้างนะคุณตำรวจ ไม่อย่างนั้นอายุจะสั้นเข้าสักวัน”
ตะวันฉายดูสภาพแล้วเห็นว่ามีแต่คนของปอดทั้งสิ้น จึงตัดสินใจยอมล่าถอยออกไป จ๊อดมองตามตะวันฉายไปด้วยความสงสัย
เช้าวันนี้ มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งกำลังหิ้วถุงขยะเดินมาทิ้งที่กองขยะ แต่แล้วก็ได้กลิ่นเหม็นฉุนอย่างรุนแรงของอะไรบางอย่างจึงเดินไปดู หนูวิ่งหนีออกไป ทำเอาชาวบ้านตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองว่าหนูกำลังกินอะไรอยู่
จนเมื่อพบว่าเป็นศพคนนอนหงายตายอยู่ หญิงชาวบ้านก็ตกใจร้องกรี๊ดสติแตก วิ่งเตลิดไปเลย
เสี่ยเจริญกำลังประชุมอยู่ที่ห้องประชุมส่วนออฟฟิศชั้นบนของผับ ในนั้นมีชัชชัย ปอด และบรรดาลูกสมุน อยู่กันพร้อมหน้า เสี่ยมองหลานชานแล้วถามขึ้น
“ใครเป็นคนทำ แกรึเปล่า เจ้าชัช แกรึเปล่า”
“ผมแค่ซ้อมมันเฉยๆ มันคงทนไม่ไหวเลยตายไปเอง” ชัชชัยไม่ยี่หระ
“แต่มันเป็นเด็กไอ้หัวจักร ก่อนหน้าที่มันจะตายแกไปซ้อมมัน แล้วอย่างงี้ ไอ้หัวจักรมันจะคิดกับชั้นยังไงหา”
ชัชชัยไม่สน “เราจะไปสนมันทำไม”
“สนสิวะ หรือแกอยากจะเปิดฉากเล่นกับมันหา แกดีแต่อย่างนี้แหละ ไอ้เรื่องฉิบหายวายป่วงล่ะถนัดนัก หัดคิดซะบ้างสิ ถล่มกันทีหมดเงินไปเท่าไหร่ ไหนจะต้องมารับมือกับตำรวจอีก ฉันน่ะไม่ไหวหรอก แกไหวเหรอ ไหวก็มานั่งเก้าอี้นี่แทนมั้ยล่ะ”
ชัชชัยไม่กล้าตอบโต้ ตาเหลือบมองเก้าอี้ ว่าสักวัน กรูต้องได้นั่งแน่
ตุ๊กกับโจเดินมาถึงประตูทางเข้าผับ แต่กลับถูกสมุนของชัชชัยกันไว้
“เดี๋ยว วันนี้เข้าไปไม่ได้”
ตุ๊กงง “อ้าวทำไม ไฟไหม้เหรอ”
“เสี่ยจิวประชุมอยู่ข้างใน”
โจหูผึ่ง อยากรู้ขึ้นมาทันที
ด้านเสี่ยเจริญนั่งขบคิดหาทางแก้สถานการณ์ก่อนจะบัญชาออกไปว่า
“เจ้าชัช ต่อไปนี้แกคอยมาดูแลเรื่องความปลอดภัย งานบริหารผับปล่อยให้เจิมฉัตรเค้าเป็นคนจัดการ เค้ารู้จักธุรกิจพวกนี้ดี” เสี่ยหันไปหาปอด “ไอ้ปอด”
“ครับป๋า”
“แกก็อย่าดีแต่ประจบลูกพี่ หัดคอยเป็นหูเป็นตาแทนทุกคนเสียบ้าง เป็นหัวหน้าคนอย่าทำตัวเหลวไหล อย่าทำตัวบุ่มบ่าม ไม่งั้นหมาที่ไหนมันก็ไม่เคารพ”
เสี่ยเจริญจงใจด่ากระทบหลานชาย ชัชชัยได้แต่ทนรับความรู้สึกกดดันนั้น
ที่หน้าห้องประชุมเวลานี้ โจกำลังเงี่ยหูแนบประตูฟังเหตุการณ์ข้างใน ได้ยินเสียงเสี่ยเจริญดังออกมาว่า
“ฉันจะนัดเจรจากับไอ้หัวจักรโดยเร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้พวกเราต้องระวังกันให้มาก ที่สำคัญอย่าให้คนของเราเพ่นพ่านออกไปนอกเขตโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
ลูกน้องทุกคนรับ “ครับ” พร้อมเพรียง
“แล้วอีกอย่างนึง ฉันอยากให้ทุกคนสามัคคีกันไว้ ในเวลาแบบนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปรองดองกัน”
“ครับ” ลูกน้องน้อมรับ
โจฟังสักพักก็รู้สึกผิดสังเกต หันไปชกใส่บุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังโดยทันที แต่กำปั้นนั้นถูกตะปบไว้อย่างแม่นยำ โจโดนบิดกำปั้น จับดันตัวกดกับกำแพง
“อ…อ…อ….อู๊ย…พี่ขา นั่นมือหนูนะคะ ไม่ใช่ลูกบิดหนูยอมแล้วค่ะพี่ อ..อ..อูย…จะบิดไปถึงไหนว๊อย เจ็บๆ”
เป็นบูรพาที่มองจ้องเอาเรื่อง “มายืนทำอะไรตรงนี้”
“มาเดินเล่น ได้ยินเสียงโวยวายก็หยุดฟังน่ะสิ”
บูรพาเห็นท่าทางโจไม่น่ามีพิษภัยก็ปล่อยมือและบุ้ยหน้าไล่
“ไปเล่นที่อื่น อยู่ตรงนี้เดี๋ยวคนเค้าจะเข้าใจผิด”
โจขยับนวดมือ ท่าทีอิดออด แต่แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อดูถนัดตาแล้วเห็นว่าเป็นบูรพาตามรูปที่ตะวันฉายให้ดู
“เฮ้ย พี่...พี่”
“อะไร หน้าตาฉันมันประหลาดนักหรือไง” บูรพามองฉงน
“ก็”
โจไม่ทันได้แก้ตัว ด้วยประตูห้องประชุมถูกเปิดออกก่อน เห็นเสี่ยเจริญ ชัชชัย ปอด และทุกคนเดินออกมาจากห้อง โจถือโอกาสที่บูรพาหันไป ปลีกตัวหลบไปในพริบตา บูรพามองตามโจไปอย่างงงๆ
โจมองไปยังบริเวณลานจอดวีไอพีหน้าข้างๆ ผับ เห็นบูรพาเปิดประตูรถให้เสี่ยเจริญ กับเสริม แล้วทำหน้าที่สารถีขับรถแล่นออกจากผับไป
โจมองตามรถเสี่ยไป ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอ อย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ตุ๊กโผล่มาดูด้วย พยายามมองตามว่าโจมองอะไร
“ดูอะไรวะ”
โจตกใจ “เฮ้ย โธ่ อีตุ๊ก กูใจหายโหมะเลย”
“แหม ทำเป็นขวัญอ่อน อีบ้า นี่มึงมาแอบเล็งคนขับรถของป๋าเค้าเหรอวะ โด่เอ๊ย ใฝ่ต่ำ รับไม่ได้ เกิดเป็นหงส์อย่างเรา เรื่องอะไรจะร่อนลงในฝูงกา หืออีโจ”
“เดี๋ยวกูยันเปรี้ยง” โจหมั่นไส้ตุ๊ก สักครู่ก็คิดขึ้นได้หันไปบอก “นี่ มึงน่ะเข้าไปรับยาแทนกูที กูมีราชการด่วน”
โจขยับเดินไปเฉยเลย ตุ๊กมองตามงงๆ
“เฮ้ย อะไรวะ ราชการอะไร”
โจตะโกนโดยไม่หันมาว่า “แล้วเจอกันที่เดิม”
“อะไรของมันวะ” ตุ๊กนิ่งนึก
“หรือมันอยากจะมีผัวเป็นของตัวเอง”
อ่านต่อหน้า 2
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ถัดมาไม่นานนัก สองคนอยู่ตรงมุมลับตาคนของสนามเด็กเล่นแห่งนี้ มีเด็กกำลังเล่นกันอยู่สามสี่คน และเห็นมอเตอร์ไซค์ของตะวันฉายจอดอยู่ที่นั่น
“คนที่ให้ตามน่ะ ท่าทางไม่เบาเลยนะหมวดหนูถามๆ คนในนั้นดูแล้ว”
โจกำลังนั่งคุยอยู่กับตะวันฉายที่ม้านั่งในบริเวณนั้น
“เห็นบอกว่าเมื่อคืนก่อนนะ หมอนี่คนเดียวบู๊พวกคุณชัชเป็นสิบ เลือดงี้สาดผับเลย นี่ยังมีอีกนะหมวดเค้าลือกันว่าเสี่ยจิวกะจะปั้นนายคนนี้มาเสริมทีม จะให้เป็นคนติดตามเลยละ หมวดต้องไปดูเอง เท่ห์งี้เลย โอ้โห อีกหน่อยนะ สงสัยคงต้องดังพอๆ กับพี่เสริม มือขวาเสี่ยจิวแหงๆ”
ตะวันฉายฟังโจไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องพวกเด็กที่กำลังวิ่งเล่นไล่ยิงปืนกันอยู่ในบริเวณนั้น เหมือนหดหู่ใจในชะตากรรมของตนกับน้อง
“นี่หมวด หมวดจะจับนายคนนี้เหรอ คงยากหน่อยนะท่าทางหยิ่งๆ แบบนี้ คงไม่ให้หมวดจับง่ายๆหรอก เอางี้ สิหมวด คดีอุกฉกรรจ์รึเปล่าล่ะ ถ้าใช่ก็วิสามัญไปเลย หมวดจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง” โจเริ่มสังเกตว่าตะวันฉายเหม่อ “หมวด ฟังอยู่รึเปล่า”
ตะวันฉายพยักหน้า “มีข่าวอะไรอีกมั้ย”
เห็นโจส่ายหน้า ตะวันฉายครุ่นคิด ก่อนจะล้วงเงินส่งให้เป็นค่าเหนื่อยโจ
“ขอบใจมาก”
“อุ๊ย ช่วยกันหมวด หนูไม่…” พลางมองดูเงินในมือ เห็นเป็นแบงก์ 500 “ไม่ทอนนะ”
ตะวันฉายพยักหน้าหงึกไม่ว่าอะไร ลุกเดินหนีไปขึ้นรถ โจรีบตามไป
“อ้าว หมวดจะรีบไปไหนล่ะออกมาข้างนอกทั้งทีแวะหาอะไรกินกันหน่อยดีมั้ยแถวนี้มีร้านข้าวมันไก่เจ้านึงอร๊อยอร่อยเดี๋ยวหนูเลี้ยงก็ได้ หนูมีตังค์ ตังค์หมวดน่ะแหละ”
“ช่วยจับตาดูต่อไป ไม่ว่านายคนนี้ไปทำอะไรที่ไหนให้รายงานฉัน”
ตะวันฉายสตาร์ตเครื่อง แล้วบึ่งรถจากไปโดยไม่สนใจโจอีกเลย ทำเอาโจค้อนควัก บ่นบ้า มองตามงอนๆ
“อู้หูอะไรวะ ได้แล้วชิ่งอย่างงี้เหรอ ชมซักคำก็ไม่มี อีโจไม่ใช่ดอกไม้ริมทางนะว๊อย จะได้เอาเงินฟาด”
โจจะฉีกเงินทิ้ง แต่เสียดายเอาใส่กระเป๋าเสื้อ
ท้องถนนโล่ง รถตะวันฉายแล่นตัดสายลมไปอย่างรวดเร็ว ตะวันฉายมีสีหน้าเคร่งเครียดมากเอาการ มือบิดคันเร่งจนสุด รถแล่นตัดถนนหายไปโดยเร็ว
จ่าเวศเฝ้ามองลูกชายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ขณะตะวันฉายเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ สีหน้าเขานิ่งขรึมเหมือนคนมีเรื่องมากมายในใจ หลังเช็ดตัวเสร็จตะวันฉายจับอุ้มพ่อขึ้นเตียง แต่เมื่อจะประครองลงนอนจ่าเวศก็กลับยื้อแขนลูกชายไว้แล้วเอ่ยถาม
“ท่าทางวันนี้แกดูเหนื่อยๆ นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมสบายดี”
“แกได้ข่าวเจ้าบูรพารึยัง”
ตะวันฉายอึ้งไป จ่าเวศมีสีหน้าเป็นห่วงและสงสัยครามครัน
“นี่ก็ตั้งหลายอาทิตย์แล้วนะ แกไม่ได้ข่าวมันเลยเหรอ”
ตะวันฉายนิ่งไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตาโกหก
“ผมยังไม่เจอตัวบูรพาครับ แต่ได้ยินข่าวจากเพื่อนนักโทษว่าบูรพาตอนนี้ได้งานทำแล้ว และก็สบายดีเท่านั้นเอง”
จ่าเวศสนใจ “ที่ไหนเหรอ”
“ต่างจังหวัดครับ”
“จังหวัดอะไร”
“ก็แถวๆ นครนายก”
เพราะห่วงลูกคนเล็กมาก จ่าจึงซักไม่เลิก “มันทำงานอะไรเหรอฉาย”
ตะวันฉายอึ้งไป ไม่สามารถโกหกพ่อได้อีกต่อไปแล้ว
“พ่อครับ ผม...”
จ่าเวศพอดูออก “บูรพามันทำอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม บอกพ่อมาตามตรงเถอะว่ามันทำอะไรอยู่...”
ตะวันฉายอึดอัดเต็มทน “มันอยู่กับพวกนักเลงครับพ่อ”
จ่าเวศอึ้ง นิ่งงันไป แล้วทรุดกายลงอย่างสิ้นหวัง ตะวันฉายรีบออกตัวแทนน้อง
“แต่บูรพาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับงานผิดกฎหมายนะครับพ่อ มันแค่ทำงานอยู่ในผับของพวกนั้นเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างท่าทางมันก็มีความสุขดี”
จ่าเวศสวนออกมาทันควัน
“พามันมาหาพ่อได้มั้ย”
ตะวันฉายไม่สามารถรับปาก ได้แต่นิ่ง
“แกอย่าโกหกเพื่อให้พ่อสบายใจอีกต่อไปเลยฉาย พ่อรู้จักแกสองคนดี ยังไงมันก็ยังไม่ให้อภัยแก แล้วตอนนี้มันก็คงเตลิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
“อย่าห่วงเลยครับ ยังไงผมจะไม่ยอมให้บูรพาถลำตัวไปกว่านี้แน่ เชื่อผมนะครับพ่อ”
จ่าเวศเมินมองอีกทางหนึ่ง ตะวันฉายพยายามทำให้พ่อเชื่อมั่น
วันหนึ่ง รถของเสี่ยเจริญสองคันแล่นเข้ามาในบริเวณที่ดินรกร้างผืนนี้ ฝุ่นตลบอบอวล
ในบริเวณนั้นมีรถของพวกหัวจักรจอดอยู่ก่อน จนรถของเสี่ยเจริญแล่นมาเทียบ จอดห่างกันออกไปเล็กน้อย
กระจกหน้าต่างรถของไอ้หัวจักรเลื่อนต่ำลง เผยให้เห็น หัวจักร กำลังทอดสายตาผ่านแว่นดำมองออกมานอกรถ
ไม่นานต่อมา หัวจักร และ เสี่ยเจริญ เดินมาเผชิญหน้ากัน สมุนของทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม บูรพาอยู่ในกลุ่มของเสี่ยเจริญ ซึ่งประกอบด้วยเสี่ย บูรพา ชัชชัย ปอด เสริมและสมุนอีกสามคน
เช่นเดียวกับฝ่ายหัวจักรที่ก้าวลงมาจากรถ มีมือปืนคนสนิทชื่อไอ้เลิศตามประกบใกล้ชิด
เสริมมองที่มือปืนของหัวจักร สองคนสบตากันเหมือนเสือกับสิงห์เจอกัน
หัวจักรยิ้มทักเสี่ยเจริญ ก่อนจะเหลือบตามองมาที่ชัชชัยผู้ต้องสงสัย
ชัชชัยเชิดหน้ามองตอบหัวจักรอย่างท้าทาย
บูรพามองประเมินทั้งสองฝ่ายเก็บทุกรายละเอียด จนพบว่าชัชชัยเหน็บปืนตรงซองด้านหลังในสภาพเตรียมพร้อมเรียบร้อย
“สบายดีหรือเสี่ย ได้ข่าวว่าไปพักร้อนมาทำไมรีบกลับนักล่ะ” หัวจักรยิ้มกวนๆ
“เสียใจเรื่องเด็กของแก แต่ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ” เสี่ยเจริญบอก
“หืม... ก็เป็นไปได้”
“ฉันอยากจะขอเวลาสักเดี๋ยว รับรองจะเอาตัวคนทำผิดมาลงโทษให้ได้”
“แล้วถ้าเสี่ยทำไม่ได้ล่ะ”
เสี่ยเจริญไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไง หัวจักรเหลือบมองมาที่ชัชชัยอีกครั้ง
“ให้เวลาหนึ่งอาทิตย์ ไม่อย่างนั้น เสี่ยก็ระวังเงาหัวหลานชายเอาไว้ละกัน”
ชัชชัยโกรธ ปราดออกมาชี้หน้า “มึงขู่กูเหรอ”
มือปืนคนสนิทของหัวจักร ขยับจะชักปืนขึ้นเล็งใส่ชัชชัย ในจังหวะเดียวกับที่ชัชชัยจะคว้าปืน แต่พบว่าปืนหายไปแล้ว
ทุกคนนิ่งอึ้งไปทั้งแถบ เมื่อพบว่ามือปืนของหัวจักรยืนนิ่งไม่กล้าชักปืน เพราะบัดนี้ปืนของชัชชัยได้ถูกชักมาจ่อที่หน้ามันก่อนเรียบร้อยแล้ว และคนที่ถือปืนกระบอกนั้นอยู่คือ บูรพา
สมุนทั้งหมดของหัวจักรพากันชักปืนจ่อใส่บูรพาพรึบ ทำเอาสมุนของเสี่ยเจริญพากันชักปืนออกมาบ้างเช่นกัน
เสริมมองบูรพาอย่างประหลาดใจหน่อยๆ เช่นเดียวกับเสี่ยเจริญที่หรี่ตามองบูรพาอย่างพอใจ
“เด็กใหม่รึเสี่ย” หัวจักรก็ดูจะทึ่งบูรพาไม่น้อย
“คนขับรถน่ะ”
หัวจักรลดแว่นดำลงมองหน้าบูรพาเต็มๆ ตา พลางไถ่ถาม
“เรียนขับรถมาจากไหนวะ ไอ้หนุ่ม”
บูรพายังคงจ้องมือปืนหัวจักรนิ่ง ไม่สนใจจะตอบคำถามใดๆ จนเสี่ยเจริญพยักหน้าให้ เขาจึงยอมลดปืนลง
ไม่นานนัก รถของหัวจักรแล่นไปจากลานโล่งบริเวณนั้น ส่วนพวกเสี่ยเจริญกำลังทยอยกันขึ้นรถ ขณะบูรพากำลังส่งปืนคืนชัชชัย
ชัชชัยหันมามองบูรพาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตะปบแย่งปืนของตนคืนมา
“ขอบใจ แต่คราวหลังไม่ต้องเสือก”
ชัชชัยเดินกลับไปขึ้นรถ เสี่ยเจริญได้แต่มองตามอย่างระอา
ก่อนจะหันไปพยักหน้าชื่นชมบูรพา
ที่สนามด้านหลังคฤหาสน์เสี่ยเจริญเย็นวันนั้น ปืนกระบอกหนึ่ง ยิงรัวออกไปไม่ยั้ง แหละเสี่ยเจริญเป็นคนยิง มีบูรพายืนอยู่ข้างๆ
“ปืนนี่ไอ้เคี้ยงฝากไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าคุก”
บูรพาเงยหน้ามองเสี่ยจิวที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับตน
“อยู่กับฉันต่อไป ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ แกพกติดตัวไว้เถอะ”
บูรพาเอื้อมมือไปลูบปืน ครั้นพอแตะเข้าที่ไกปืนนิดเดียว นกปืนก็สับแชะทันที บูรพาตกใจนิดๆ ยินเสียงเสี่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรับปืนจากบูรพามาโหลดกระสุนใหม่
”เคี้ยงมันชอบตะไบกระเดื่องไกให้บางๆ แตะปุ๊บ ก็ปังเลย ปืนคนใจร้อนว่างั้นเหอะ เวลาใช้ต้องมีสติหน่อยนะ”
“แต่ผมแค่เป็นคนขับรถนะครับป๋า” บูรพาพูดอย่างถ่อมตน
“ช่วงนี้สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดีที่สุด แกมาขับรถให้ฉัน ก็เหมือนขับรถบรรทุกระเบิด จะตูมเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้นแกคงเข้าใจนะ”
เสี่ยเจริญยื่นปืนให้บูรพา แต่บูรพายังดูเหมือนลังเลใจเอาการ
“ฉันรู้ว่าแกเพิ่งมาที่นี่ คงไม่อยากพัวพันกับด้านมืดของวงการไปมากกว่านี้ แต่ฉันก็อยากให้แกคิดดูให้ดี ชีวิตแกตอนนี้โจนลงหลุมมาค่อนตัวแล้ว ยังมีทางเลือกอะไรอื่นอีกงั้นหรือ”
บูรพานิ่งอึ้งในคำพูดตรงไปตรงมาของเสี่ยเจริญ
เสี่ยเจริญเอนตัวสบายๆ ท่าทีผ่อนคลาย “ไม่มีใครเลือกทางแบบที่ตัวเองชอบได้ตลอดเวลา จริงมั้ย”
บูรพาครุ่นคิด ขณะเอื้อมไปจับปืนยกขึ้นมาเล็ง แล้วยิงปังออกไป เสี่ยเจริญยิ้มอย่างพอใจ
ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ จากยามเย็น จนกลายเป็นค่ำดำมืดในที่สุด เสียงไซเรนดังกึกก้องไปตามท้องถนนเส้นหนึ่ง
บูรพาจดสายตามองไปยังธิชากับปู ที่กำลังช่วยกันดึงประตู บานพับ สตูดิโอวาดภาพให้ปิดลงมา ก่อนจะล็อคกุญแจ ทั้งสองสาวพูดคุยล่ำลากันครู่เดียว ก่อนที่ปูจะปลีกตัวออกไปก่อน ส่วนธิชาเดินมาขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้ บรรยากาศยามค่ำดูวังเวงชอบกล
ธิชากำลังสตาร์ตรถ ใจคอไม่ดีที่ค่ำวันนี้ดูเงียบผิดปกติ แล้วจู่ๆ ก็มีมือเอื้อมมาเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ ทำเอาสาวเจ้าหันไปอย่างตกใจ จนเมื่อมองชัดๆ จึงเห็นเป็นบูรพา ก้มลงมองแล้วยิ้มให้ ธิชานิ่วหน้าประหลาดใจ
“ผมมาชวนคุณไปเดินเล่น ไม่รู้ว่าคุณจะว่างรึเปล่าแต่ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
ธิชายิ้มให้แทนคำตอบ
ที่ตลาดนัดรถไฟหลังห้างเอสพละนาด บูรพากับธิชาเดินมาด้วยกันท่ามกลางแสงสีและเสียงผู้คนนักชิม นักช้อป และ นักท่องราตรี รอบด้าน บูรพานั้นยังรู้สึกอายๆ เรื่องที่เขาชกต่อยกับตะวันฉายในคราวนั้น จนไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยอย่างไร ดูเหมือนธิชาจะเข้าใจและเป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนคุยก่อน เธอชี้ไปที่ตึกหลังหนึ่ง
“ตึกนั้นแต่ก่อนเคยเป็นภัตตาคาร ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ชอบพาฉันมากินข้าวที่นั่นอยู่เรื่อย”
“เหมือนเคยเห็นตอนเด็กๆ เหมือนกัน” บูรพาบอก
“ฉันจำได้ว่าถ้าอยู่กับครอบครัวพ่อจะดื่มเยอะหน่อย แต่ก็คุยสนุก มีเรื่องให้ฉันกับแม่หัวเราะอยู่เรื่อยเลย เสร็จแล้วพ่อก็จะพาพวกเราเดินเล่นไปขึ้นรถที่มุมถนนตรงโน้นแม่ฉันชอบถามอยู่เรื่อยว่าจะเดินไปทำไม สองข้างทางก็มีแต่ร้านเดิมๆ วิวเดิมๆไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน ฉันก็ว่าอย่างนั้น”
ธิชาหยุดเดิน ยิ้มเศร้ากับภาพความทรงจำสีจางๆ
“แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปหมดเลย ฉันถึงค่อยมาเสียดายถ้าพ่อยังอยู่ก็ดี”
“ผมเสียใจด้วย”
“บางครั้งฉันก็คิดถึงพ่อเอามากๆ ถึงพ่อจะเป็นแค่พ่อค้าแต่ก็เป็นนักสู้ ท่านก็เหมือนคุณ เคยแพ้ เคยหมดอิสรภาพ เพียงแต่ท่านไม่มีโอกาสอยู่ถึงวันที่ศาลตัดสินใจว่าท่านไม่ใช่คนผิดเท่านั้น”
บูรพาถามด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณไม่มีคนอื่นอีกแล้วหรือ”
“แม่ฉันแต่งงานใหม่กับคนสิงคโปร์ ก็เลยต้องบินไปๆ มาๆ ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนักหรอก แต่ก็ส่งเงินมาให้ฉันใช้ทุกเดือน ร้านรูปที่ทำอยู่ก็อาศัยเงินทุนจากแม่นี่แหละ” หญิงสาวนิ่งนึก “พ่อเลี้ยงฉัน เค้าก็ใจดีนะ เค้าอายุเยอะแล้วล่ะ มีลูกติดตั้งห้าคนแน่ะ แต่ไม่ได้อยู่กับเค้าซักคน เค้ายังชวนฉันบ่อยๆ ให้ไปอยู่กับแม่ที่สิงคโปร์ แม่ฉันจะได้ไม่เหงา”
“ก็น่าจะลองไปนะ ทำไมคุณถึงไม่ไปล่ะ”
“ชั้นอยากอยู่เมืองไทยมากกว่าค่ะ”
ธิชาอึดอัดที่จะบอกเหตุผล เธอเหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่แผงแบกะดินจึงรีบย่อตัวลงนั่งดู
บูรพานั่งลงตาม เห็นเป็นแผงขายโคมไฟ ธิชาหยิบโคมไฟรูปไฟเขียว ไฟแดง ขึ้นมาดู
“โคมไฟอันนี้สวยดีจัง ดูสิ เหมือนของจริงเลยนะ”
บูรพาถามคนขาย “อันเท่าไหร่ครับ”
“750 ครับพี่”
บูรพาจะควักเงินจ่าย แต่ธิชาคว้ามือเขาไว้ ทำเอาบูรพาเสียววูบวาบ ด้วยไม่ได้โดนมือหญิงมานานกว่า 4 ปี ธิชาหันไปถามคนขาย ไม่ได้สนใจมือตัวเองที่จับแขนอีกฝ่ายเลย
“500 ถ้วนละกันนะคะ”
“โอ้โห ไม่ไหวมั้งครับ วันนี้ยังขายไม่ได้เลย”
“ไหวค่า เชื่อสิ ขายชิ้นแรกเอาฤกษ์เอาชัยก่อนไงคะ” ธิชาต่อราคาอย่างมือโปร
“อื้อหือ เอาๆๆ 550 ละกันนะคุณ ของอันแค่นี้อย่าต่ออีกเลย”
ธิชาหันมายิ้มให้บูรพาเหมือนภูมิใจที่ต่อราคาของได้ บูรพามองหน้าธิชา ท่ามกลางแสงเรืองรองจากโคมไฟ เขารู้สึกอบอุ่นโดยประหลาดที่ได้ใกล้ชิดเธอคนนี้
สองคนเดินมาอีกมุมหนึ่ง นั่งพักในร้านชิลล์ๆ ธิชากำลังพลิกมองโคมไฟอันนั้นอย่างเพลิดเพลินก่อนจะหันมาถามบูรพา
“เวลารถติดที่สี่แยก คุณชอบมองไฟสีอะไรมากที่สุด”
บูรพายิ้มขำ “ก็ต้องไฟเขียวน่ะสิ”
“ฉันชอบสีเหลือง ถึงมันจะมีแป๊บเดียว แต่มันก็ช่วยเตือนให้เรามีสติ ได้คิดก่อนที่จะทำอะไรลงไป”
บูรพาฟังอย่างสนใจ
ธิชาคุยอย่างสบายใจ “รู้มั้ยเวลาฉันจะคบใคร ฉันก็จะแบ่งตามสีนี่แหละคนๆ นี้ สีแดงนะ เค้าเป็นคนไม่ดี อย่าไปคบคนๆนี้สีเขียวนะ โอเคคบได้ แล้วถ้าเจอสีเหลือง ก็แปลว่าคนๆ นี้ คนดีมากๆ แล้วก็มีน้อยด้วย ต้องคบให้ได้เชียวนะ”
“แล้วคุณเคยเจอสีเหลืองของคุณรึยัง”
ธิชานิ่งนึก “คิดว่ายังนะ”
บูรพามองธิชานิ่ง “แต่ผมเจอแล้ว”
ธิชาอึ้งนิ่งงันไป ร้อนวูบวาบในอก รีบตัดบท
“ดึกแล้วล่ะ กลับกันเถอะ”
ธิชาเดินหนีไป บูรพามองตามแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง
ธิชาหันมาหาบูรพาขณะจะขึ้นรถ
“วันนี้ชั้นสนุกมาก ขอบคุณมากนะค่ะ”
“ผมก็เหมือนกัน ขอบคุณที่ออกมาเป็นเพื่อน”
“ด้วยความยินดีค่ะ โชคดีนะค่ะ แล้วเจอกัน”
ในท่าทีเอียงอายธิชาพาตัวเองเข้ารถไป
“ครับ แล้วเจอกัน อ้อ...ผมยังไม่มีเบอร์โทร.คุณเลย
ธิชาชะงัก เยื้อนยิ้ม แล้วควักนามบัตรส่งให้เขา
“นี่ค่ะ ไปนะคะ”
บูรพาพยักหน้า ธิชาบ๊ายบายให้ บูรพาบ๊ายบายตอบอย่างแมนๆ
รถธิชาแล่นออกไป บูรพามองตามอย่างสุขใจ
ปืนพก กุญแจมือ และบัตรประจำตัวนายตำรวจ วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงในห้องนอน เสียงมือถือดังขึ้น ปลุกให้ตะวันฉายตื่นขึ้นในตอนรุ่งเช้าวันนี้ ผู้หมวดเจ้าของห้องเอื้อมมือมาหยิบมือถือกดรับสาย
“ฮัลโหล เสือเหรอ อะไรนะ โอเค จะไปเดี๋ยวนี้”
ตะวันฉายวางสาย ตั้งสติอีกสักครู่ จึงลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ
ศพคนตายในสภาพก่อนตายต้องสะบักสะบอมอย่างหนัก ถูกเจ้าหน้าที่ชันสูตร ถ่ายรูปไว้เพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์คดี ในขณะที่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดข้างๆ จุดเกิดเหตุ เสือยืนจดรายงานอยู่ยิกๆ จนตะวันฉายเดินเข้ามาสมทบ
“ว่ายังไง”
“11 ม.ม. ครับ นัดแรกที่ท้ายทอย สอง สาม ที่เบ้าตา และ หัวใจ จุดตายทั้งนั้น ตายมา 2 ชั่วโมงเศษ”
ตะวันฉายขยับตัวลงนั่งทับส้นดูสภาพศพอย่างพินิจพิเคราะห์ เห็นร่องรอยการถูกซ้อชัดแจ้ง
“ก่อนตายคงโดนมาหนัก”
“แต่ชาวบ้านแถวนี้บอกว่าไม่ได้ยินเสียงปืนไม่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาท เลยไม่แน่ใจว่าโดนฆ่ามาจากที่อื่นรึเปล่า แต่ดูจากรอยเลือดแล้วน่าจะโดนยิงที่นี่” เสือรายงาน
ตะวันฉายแลเห็นป้ายชื่อพนักงานติดอยู่ที่หน้าอก
“นี่มันเด็กที่ผับเสี่ยเจริญไม่ใช่เหรอ”
“ก็สมเหตุสมผลดีนะหมวด เด็กส่งยาของไอ้หัวจักรไปขึ้นอืดที่เขตเสี่ยจิว และเด็กของเสี่ยจิวก็มาโดนยิงที่เขตไอ้หัวจักร ประกาศศึกชัดเจนดี”
ตะวันฉายเริ่มหวั่นใจ นึกถึงน้องชายขึ้นมาครามครัน
อ่านต่อหน้า 3
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ผับยังไม่เปิดทำการ แต่ลูกน้องคนสำคัญๆ ในกลุ่ม เช่น เสริม บูรพา ชัชชัย ไอ้ปอด มารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมชั้นบนพร้อมหน้า
แหละเวลานี้ทุกคนกำลังมองจ้องเสี่ยเจริญที่เดินไปเดินมาด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน
“ปากมันบอกว่าจะรอฟังผล แล้วดู ดูมันทำมันยิงเด็กเราทิ้งอย่างกับหมูกับหมา ถ้าเป็นพวกสมุนในแก๊งยังพอทำเนา แต่นี่ไอ้คนที่ตายมันก็แค่เด็กทำงานผับธรรมดา มันไปรู้ไปเกี่ยวอะไรด้วย” เสี่ยเจริญยิ่งพูดยิ่งแค้น “งานนี้คุยกับมันอีกครั้งเดียว ถ้าไม่รู้เรื่องก็ให้มันแตกหักกันไปเลย”
เสี่ยเจริญทิ้งตัวลงนั่งอย่างฉุนเฉียว วางไม้เท้ากระแทกลงบนโต๊ะ
“ตอนนี้ฉันโทร.นัดหมายวันเจรจากับทางมันเรียบร้อยแล้ว มันจำกัดให้มีคนติดตามได้แค่ฝ่ายละห้าคน คุยกันตัวต่อตัวส่วนพวกที่ตามไปให้คอยระวังหลัง” เสี่ยเน้นคำตอนท้าย “ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็ดีไป แต่ถ้าไม่ คงต้องแหลกกันไปข้างนึงแน่ๆ”
ชัชชัยเอ่ยขึ้น “นิสัยไอ้หัวจักรป๋าก็รู้ ไอ้ลิ้นสองแฉกนี่ไว้ใจได้ที่ไหนกันผมว่างี้ดีกว่าป๋า เราไปถึงก็เปิดฉากบี้มันก่อนเลยดีกว่า ลงมือก่อนได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว”
บูรพาทักท้วง “ถ้าทำอย่างนั้นเราจะนัดเจรจาทำไม เท่ากับป๋าหลอกมันออกมาฆ่าชัดๆ แล้วอีกหน่อยใครจะไว้ใจทำการค้ากับเราอีก”
เสี่ยเจริญฟังแล้วก็คิดได้ พยักหน้าอย่างพอใจ พวกสมุนคนอื่นก็ส่งเสียงสนับสนุนกันงึมงำ
“เออจริงด้วย มองการไกลว่ะ”
ชัชชัยมองเขม่นบูรพา รู้สึกเสียหน้า สุดท้ายฮึดฮัดยืนขึ้น
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาออกความเห็นวะ”
เสี่ยเจริญวาดไม้เท้าชี้หน้า “ไอ้ชัช แกนั่นแหละหัดฟังที่มันพูดซะบ้าง แกไม่เห็นหรือไงว่ามันพูดเรื่องจริงอยู่ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์พูดเหมือนแก”
เจอดอกนี้เข้าไปชัชชัยอึ้งไป ยอมนั่งลงอย่างเสียมิได้ เสี่ยเจริญหันมาถามบูรพา
“ว่าต่อไปบูรพา ฉันฟังอยู่”
“ที่ไอ้หัวจักรวางเงื่อนไขในการพบกันละเอียดขนาดนั้น เป็นไปได้ทั้งสองทางว่ามันคงตั้งใจเจรจากับเราจริงๆ หรือไม่ก็ต้องการเก็บเรา”
เสริมถามขึ้นในจังหวะนี้ “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นอย่างไหน”
บูรพาบอกว่า “วันนัด ถ้าเห็นไอ้หัวจักรมาด้วย ก็แปลว่ามันคิดจะเจรจาแต่ถ้าไม่เห็นมัน เราก็ไม่ต้องลงจากรถ โทร.ยกเลิกการนัดหมายได้เลย”
เสี่ยเจริญมองมายังเสริมเป็นเชิงหารือ เสริมพยักหน้าเห็นด้วย เสี่ยครุ่นคิด ชัชชัยหมั่นไส้บูรพาเต็มพิกัด แกล้ง ลอยหน้าลอยตา แดกดันขึ้น
“เออ ก็เข้าท่าอยู่หรอก แต่ไอ้ที่พูดๆ มาเนี่ย แต่ไอ้คนพูดน่ะมันจะทำด้วยรึเปล่าวะ หรือว่าดีแต่ส่งเสียง”
เสี่ยเจริญปราม “ไอ้ชัช”
ชัชชัยแสดงความเป็นลูกผู้ชาย รีบอาสาออกตัว
“อ๊ะๆ ผมไม่เอาเปรียบหรอกป๋า ถ้ามันกล้าไปผมก็กล้าไป ไม่มีปัญหา แฟร์ๆ อยู่แล้ว”
ทุกคนมองมาที่บูรพาเหมือนรอฟังคำตอบ บูรพามองชัชชัย แล้วมาหยุดมองเสี่ยเจริญ และตัดสินใจบอกออกไป โดยไม่มีลังเล
“ผมไป”
ชัชชัยอึ้งหันไป เสี่ยเจริญหันมาทางบูรพา เห็นสีหน้าอันมุ่งมั่นของเขาก็พอใจ
หลังการประชุมเสร็จสิ้น บูรพาเดินออกมาขึ้นรถเพื่อเตรียมสตาร์ตเครื่อง เปิดแอร์รอเสี่ยเจริญ แต่แล้วก็เริ่มผิดสังเกตหันมองไปทางหนึ่ง จนเห็นโจเดินร่าเริงกระโดดโลดเต้นเป็นสโนไวท์ตามมา ใส่หูฟังปากเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ
“หวัดดีพี่ชาย เจอกันอีกแล้วนะ”
บูรพาไม่สนใจ
“พี่ๆ จำหนูไม่ได้เหรอ หนูโจไง ที่คราวก่อนพี่บิดแขนหนู เงี้ยๆ” โจทำท่าโดนบูรพาบิดแขนวันก่อนให้ดู “จำได้รึยัง”
“ฮือ”
“พี่ หนูได้ข่าวว่าเค้าจะยิงกันเหรอ ยิงกันที่ไหนพี่ หนูไปดูด้วยได้รึเปล่า”
“จะไปดูทำไม”
“อ้าว ก็แบบ ผู้หญิงยิงเรือไง ยิงกันที่ไหน ไปยิงด้วย”
บูรพาส่ายหน้า แล้วเดินหนี โจตามดักหน้าดักหลังพัลวันเหมือนลูกหมา พูดอ้อนเป็นชุด
“โธ่พี่ อย่าเล่นตัวน่า พวกเดียวกันบอกกันหน่อยเดะ ยิงกันพี่ไหน พี่ไปด้วยรึเปล่า แล้วมีใครไปอีกบ้าง บอกหน่อยน่า นะพี่ ถ้าหนูไม่รู้ล่ะคืนนี้หนูไม่หลับต้องอกแตกตายแน่ๆ เลย”
บูรพาเดินมาถึงรถ โจยังยื้อประตูไว้อีก
“พี่ เกิดพี่ไม่บอกหนู แล้ววันนั้นหนูเกิดไปส่งยาตรงที่พวกพี่นัดกันเข้า หนูจะทำยังไง เกิดอยู่ๆ หนูโผล่ออกไปแล้วก็…” ทโมนสาวเล่นใหญ่อย่างสมบทบาท ทำท่าตกใจหันซ้ายที ขวาทีประกอบ “หา...หา…พรุนเป็นรังผึ้งเลยนะพี่ พี่จ๋า…”
บูรพาโคตรจะรำคาญ “เค้าจะเจรจากันกับแก๊งไอ้หัวจักร แค่นั้นล่ะ ไม่มียิงอะไรหรอก ทีนี้ปล่อยฉันขึ้นรถได้รึยัง”
มือโจบังเอิญไปแตะโดนเอวบูรพา และโดนด้ามปืน โจรู้ทันที แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
“ที่บอกน่ะเพราะรำคาญหรอกนะ ห้ามถามอะไรอีก เข้าใจมั้ย”
“จ๊ะๆๆๆ”
โจมองตามบูรพาอย่างอึ้งๆ ที่ได้รู้ว่าคนขับรถเสือยิ้มยาก พกปืนด้วย
ตะวันฉายกับเสือเดินขึ้นตึก ตรงมายังห้องทำงานสารวัตรเมธามาด้วยท่าทีรีบร้อน
“ตกลงมันนัดเจรจากันแล้วเหรอ”
“ก็เพื่อนสารวัตรว่าอย่างนั้นนี่”
ตะวันฉายหยุดเดิน เมื่อมองไปแต่ไกลแล้วเห็นชายชื่อ ทัศน์ กำลังยืนอ่านบอร์ดอยู่หน้าห้อง
“อะไรหรือครับหมวด”
ตะวันฉายพยักพเยิดไปทางทัศน์ “ผู้ชายคนนั้นมีปืน”
เสือหันไปเห็นด้ามปืนโผล่มาจากชายเสื้อของทัศน์ ตะวันฉายขยับจะเข้าไปถาม แต่เสือยกมือกั้นไว้
“ไม่ต้องครับหมวด งานหมูๆ แบบนี้ผมจัดการเอง”
ทัศน์กำลังอ่านบอร์ดอยู่ เสือเดินมายืนข้างหลังห่างๆ และกระแอมเสียงดังพลางถามขึ้น
“เป็นตำรวจรึเปล่าครับ”
ทัศน์หันไปมองเสือหัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้า
“เป็นทหาร”
ทัศน์ส่ายหน้าอีก
“งั้นพี่คงนายพรานแน่ๆ เลยใช่มั้ยครับ ถึงได้กล้าพกปืนมายืนก๋าหน้าห้องสารวัตรแบบนี้”
ทัศน์ยิ้มใจเย็น เหมือนมองเด็กรุ่นน้องที่พยายามเทียบรุ่นกับตน กระทั่งเสือตัดสินใจชูบัตรแสดงตัว
“ขอโทษครับผมเป็นตำรวจ ผมสงสัยว่าคุณพกพาอาวุธโดยไม่มีใบอนุญาต”
“ผมมีใบอนุญาต”
เสือแบมือให้ทัศน์ส่งใบอนุญาตมาให้ ท่าทางกวนตีนตามวิสัย
ทัศน์กวักมือให้เสือเข้ามาเอาเอง เสือยัวะ จนเลือดขึ้นหน้า
“โอ๊ะ ได้ๆๆ ชอบ แบบนี้ชอบมาก กวักมือเรียกตำรวจ ปีก่อนเหยียบไส้แตกไปสาม ม้ามแตกไปสี่”
หมู่เสือเดินกร่างเข้าไปค้นตัวทัศน์ แต่แค่เอื้อมมือไปเท่านั้น ทัศน์ก็ปัดออกโดยเร็ว เสือที่ระวังตัวอยู่ตัดสินใจชกสวน ทัศน์ฉากหลบ เล่นเอาเสือหน้าคะมำไปชนถังขยะล้มโครม
ตะวันฉายมองประเมินทัศน์ เริ่มรู้สึกว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดา และเดินเข้าไปห้าม
แต่พอตั้งหลักได้เสือก็ชักปืนออกมาด้วยความแค้น
“มึง”
ทัศน์ตะปบมือลงไปบนสันปืน นิ้วโป้งทัศน์ปลดล็อคซองปืน ดีดเอาแม็กกระสุนให้มันไหลออกมา มือของทัศน์ซึ่งยังกุมปืนอยู่ กระชากลูกเลื่อน จนเห็นลูกปืนนัดสุดท้ายในรังเพลิงเด้งออก กระสุนนั้นกระเด้งลอยคว้างในอากาศ ก่อนที่จะถูกมือทัศน์คว้าไปครอง
เสืออ้าปากค้าง มองปืนในมือที่บัดนี้ไม่มีกระสุนเหลือสักนัด
“สนุกกันพอหอมปากหอมคอก็แล้วกันนะคุณตำรวจ” ทัศน์ว่า
“ยังไม่พอโว้ย”
เสือทิ้งปืนปรี่เข้าไปจะชก แต่กลับถูกทัศน์จับบิดแขนแล้ววาดเท้ากดเขาไว้กับพื้น
“คุณ พอได้แล้ว”
มือของตะวันฉายตบหมับเข้าที่บ่าของทัศน์ ซึ่งทัศน์กระทุ้งศอกกลับ แล้วถือโอกาสจับแขนตะวันฉายทุ่มไปกับพื้นตรงหน้า ไม่เท่านั้นทัศน์ยังได้ฉกเอาปืนจากซองปืนของตะวันฉาย และเล็งไปที่เจ้าของ
ร่างตะวันฉายที่ถูกทุ่มไปนอนหงายนั้นก็เล็งปืนสวนขึ้นมา ปืนสองกระบอกสวนทางขึ้นลงเล็งฝ่ายตรงข้ามในวินาทีเดียวกัน
ทัศน์อึ้งไป ก่อนจะวาดสายตาก้มลงเปิดชายเสื้อมอง และชะงักเมื่อพบว่าตอนที่ตนฉกปืนตะวันฉายไป ตะวันฉายก็ฉกปืนของตนไปแล้วเช่นกัน
ตะวันฉายนอนถือปืนเล็งมาที่ทัศน์อยู่อย่างจริงจัง
ทัศน์พรายยิ้ม
“รู้สึกเราจะใช้ปืนยี่ห้อเดียวกันนะ แต่คนละรุ่น”
ระหว่างนี้ประตูห้องทำงานสารวัตรเมธาเปิดออก เจ้าของห้องถือแฟ้มเอกสารขณะเปิดประตูออกมาดูสีหน้างงๆ
“นี่พวกคุณทำอะไรกัน”
ตะวันฉายยืนขึ้นมองทัศน์ ต่างฝ่ายต่างคืนปืนให้กัน
“คุณทัศน์ เป็นเลขาฯ ของท่านรองบารมี รองหัวหน้าพรรคเทิดธรรม ที่สนับสนุนงบประมาณของหน่วยเราในการปราบปรามยาเสพย์ติด” เมธาหันมาแนะนำกับทางฝ่ายทัศน์ “นี่ผู้หมวดตะวันฉาย เป็นคนรับผิดชอบคดีไอ้หัวจักร กับเสี่ยเจริญ ต้องขอโทษแทนเด็กของผมด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับสารวัตร” ทัศน์ยอมจับมือกับตะวันฉาย “ยินดีที่ได้รู้จัก”
ตะวันฉายจับมือเงียบๆ ท่าทางยังไม่ไว้ใจทัศน์นัก เมธาส่งเอกสารให้ทัศน์
“นี่ครับเอกสารทั้งหมด”
ทัศน์พยักหน้าขอบคุณ แล้วปลีกตัวออกไป
ก่อนไป ยังทิ้งสายตามามองตะวันฉายอย่างพอใจที่ได้เจอ คู่ปรับ ที่สมดุลกัน
“สายรายงานข่าวมาว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังนัดเจรจากันมะรืนนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ายังไม่ทราบเวลาและสถานที่ที่แน่นอน”
สารวัตรเมธาเอ่ยขึ้น
ตะวันฉายฟังอย่างสนใจ เมธาส่งรายงานอีกชิ้นหนึ่งให้
“ทางภูธรส่งรายงานนี่มาให้ผมเมื่อเช้า คิดว่าคุณควรจะได้อ่าน”
ตะวันฉายรับมาอ่านดู เห็นรูปบรรดามือปืนหน้าเหี้ยม จากซุ้มปืนต่างๆ เต็มไปหมด
“ไอ้หัวจักรกำลังระดมคนขนานใหญ่ ส่วนใหญ่คัดเอามือเฉียบๆ ทั้งนั้น ถ้าเป็นไปตามนี้ล่ะก็ ในการเจรจาที่กำลังจะมาถึงเนี่ยไอ้หัวจักรคงไม่ได้กะจะเจรจากับเสี่ยจิวแน่”
เสือชะเง้อดูรายงาน “อู้หู จะฆ่าล้างโคตรกันหรือไงวะ”
“คุณไปสืบดูให้แน่ว่ามันนัดกันที่ไหน แล้วก็รีบรายงานผมด่วนที่สุด” เมธากำชับตะวันฉาย คุณต้องระวังตัวนะผู้หมวด งานนี้ท่าทางจะเบรคไม่อยู่เสียแล้ว ผมว่าไอ้เสียเจริญกับพวกคงชะตาขาดกันหมดแน่”
ตะวันฉายพยักหน้า ในใจคิดเป็นห่วงบูรพา
ที่ห้องโถงคฤหาสน์บ้านนายบารมี แลเห็นทัศน์กำลังเดินเข้าไปในนั้น หยุดยืนในท่วงท่าสงบนิ่ง และเอ่ยขึ้นเหมือนรายงานอย่างเยือกเย็น
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทางตำรวจเชื่อว่าสมุนของเสี่ยเจริญกับไอ้หัวจักรที่ตาย เป็นเพราะการแก้แค้นกันระหว่างสองแก๊ง”
เบื้องหน้าคือบารมี ที่กำลังจิบไวน์รสเลิศ ให้อาหารแมงป่องในตู้ ก่อนจะเหลียวมาหาแขกผู้มาเยือนในราตรีนี้
“แน่ใจนะว่าสาวมาไม่ถึงเรา”
“แน่นอนครับท่าน คนของเราลงมือพิถีพิถันกับทุกศพเสมอ”
บารมีมองหน้าทัศน์แล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างพอใจ รินไวน์ส่งให้ทัศน์อีกแก้ว
“อีกนานแค่ไหนฉันถึงจะได้ฟังข่าวดี”
“คิดว่าเป็นมะรืนนี้แน่นอนครับ พวกเสี่ยเจริญกับไอ้หัวจักรมันนัดเจอกันมะรืนนี้”
“มันจะเล่นกันแน่หรือ”
“ไม่สำคัญหรอกครับ ต่อให้มันไม่ เราก็ลงมือเอง ถึงตอนนั้นใครจะตาย ตำรวจก็ต้องเชื่อว่าเป็นฝีมือพวกมันอยู่ดี” ทัศน์ยิ้มย่อง “เสร็จงานนี้ ผมว่าคงไม่มีใครกล้าเปิดตลาดยาแข่งกับท่านอีกนาน”
บารมีหัวเราะอย่างสะใจ ชนแก้วไวน์กับทัศน์
“ดีๆ แต่รีบๆหน่อยล่ะ อย่าให้ถึงฤดูเลือกตั้ง เพราะถึงตอนนั้นฉันคงไม่มีเวลาไปงานศพของพวกมันหรอกนะ”
บารมีหัวเราะพลางชนแก้วกับเลขาคู่ใจ
ทัศน์จิบไวน์ด้วยสีหน้าเยือกเย็น แววตาเชื่อมั่นตัวเองสูง
อ่านต่อหน้า 4
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 4 (ต่อ)
อีกฟาก โจรับแบงก์ร้อยมาพลิกดู กลับหัวกลับท้ายพินิจพิเคราะห์ราวกับพิสูจน์ดูแบงก์ปลอม
“หมวด ทำไมแค่นี้อ่ะหมวด”
โจกับตะวันฉายนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งในสนามเด็กเล่นที่นัดประจำ ตะวันฉายนั่งกินขนมไปด้วยแก้หิว
“ก็เล่นไม่รู้อะไรซักอย่าง ไปที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ใครไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่มีนัดเจรจากัน ข่าวแบบนี้ไม่เตะตกม้านั่งก็บุญเท่าไหร่แล้ว คุณหนู”
“แต่ ร้อยเดียวอ่ะ”
“ฮือ”
“โห เสียเที่ยวอ่ะ”
โจบ่น แล้วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็เริ่มต่อรอง มือล้วงขนมตะวันฉายมากินด้วย
“เอางี้หมวด ขอเพิ่มอีกร้อยนึง เดี๋ยวมีข่าวแถม”
“ขอฟังก่อนได้มั้ย แล้วค่อยดูว่ามันน่าจ่ายมั้ย”
”เขี้ยวชิบเป๋ง” โจบ่นอุบอิบไม่ออกเสียงก่อนจะยอมเผยข่าวออกมา
“ถ้าให้ทาย...หนูทายว่านายบูรพาอะไรของหมวดน่ะ ต้องตามเสี่ยเจริญไปเจรจาด้วยแน่”
ตะวันฉายใจหล่นวูบ อึ้งไปหน่อยๆ “รู้ได้ยังไง”
“เมื่อวานหนูเจอเค้าพกปืน”
โจเล่าให้ฟังขณะที่เดินวนเป็นลูกหมารอบบูรพา และมือตะครุบไปโดนด้ามปืนเข้า
ตะวันฉายฟังแล้วนิ่งอึ้ง ยิ่งเครียดเมื่อยินเสียงโจพยากรณ์สำทับว่า
“ปกติพี่แกไม้จิ้มฟันยังไม่พกติดตัวเลย ลงว่าเหน็บปืนเอวตุงแบบเนี้ย หนูว่าชัวร์”
ทางด้านธิชาปิดไฟในสตูดิโอแล้ว และกำลังจะแยกกลับบ้านกับปู สักครู่ทั้งคู่ก็ต้องเหลียวมองไปทางเสียงกระพรวนที่หน้าประตูลั่นกรุ๊งกริ๊ง บอกให้รู้ว่ามีคนเข้ามา และสองสาวเห็นตะวันฉายยืนหล่ออยู่ที่หน้าประตู
ธิชาฉงน “คุณ คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ผมถามที่ สน.ท้องที่” ตะวันฉายมองจ้องหน้าธิชา “ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
ธิชาแปลกใจในท่าทีอันเคร่งเครียดของผู้มาเยือน
เวลาผ่านไปอีกหน่อย ตะวันฉายนั่งคุยอยู่กับธิชาที่มุมรับแขกสตูฯ ส่วนปูแยกกลับไปแล้ว
“บูรพาติดต่อมาหาคุณบ้างรึเปล่า”
“ฉันเคยบอกคุณแล้ว ฉันกับบูรพาไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน เราเพิ่งมารู้จักเค้าตอนที่เค้าช่วยฉันไว้”
“แต่ในบันทึกของท้องที่ บอกว่าคุณกำลังทักทายอยู่กับเค้าแล้วค่อยเกิดเรื่องขึ้น” ตะวันฉายมองคาดคั้น “ทำไมคุณต้องโกหกผมด้วย”
ธิชาอึกอัก ตอบเลี่ยงๆ ไป
“ก็...ก็เค้าไม่ชอบหน้าคุณ”
“คุณก็เลยต้องไม่ชอบหน้าผมด้วยงั้นเหรอ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง คุณอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้ไม่งั้นทำไมน้องชายแท้ๆ ของคุณถึงได้ต้องเกลียดคุณขนาดนั้น” จิตรกรสาวว่า
ตะวันฉายโพล่งออกมาทันที “ผมเป็นคนทำให้เค้าติดคุก”
ธิชาอึ้งไป
“ที่เค้าเดินทางผิดอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะผม” ตะวันฉายบอกด้วยท่าทีจริงจังมาก “คุณธิชา ถือว่าผมขอร้องในฐานะพี่คนนึง ที่ผมอยากจะเจอกับเค้า ก็เพราะผมอยากจะเตือนว่า เค้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าคุณไม่ยอมร่วมมือกับผม”
ธิชามองตะวันฉายอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด เหมือนยังลังเลอยู่เล็กน้อย
“คุณนัดเค้าให้ผมหน่อยได้มั้ย”
เวลาผ่านไปอีกหน่อย ธิชายืนมองผ่านกระจกร้าน เห็นตะวันฉายควบรถมอเตอร์ไซค์แล่นออกไปจากหน้าร้าน เธอมองตามเขา ก่อนจะก้มมองโทรศัพท์มือถือด้วยความกังวลใจ
วันต่อมา บูรพาแต่งตัวเรียบร้อยจะออกไปหาธิชาตามนัด แต่แล้วเมื่อเปิดประตูห้องออกมาก็เจอเจิมฉัตรเดินสวนผ่านมาพอดี บูรพาพยายามเลี่ยง เจิมฉัตรรู้สึกผิดสังเกต
“จะออกไปไหนเหรอ ใส่น้ำหอมซะฟุ้ง”
บูรพาฝืนยิ้ม วางตัวสุภาพกับเมียเจ้านาย “ผมมีนัดครับ”
“ข้างนอกเค้าป่วนกันขนาดนั้น ไม่กลัวถูกหางเลขเข้าหรือไง”
“ผมไปใกล้ๆ แค่นี้ คงไม่มีปัญหาอะไร”
“นัดใครไว้เหรอ ท่าทางสำคัญ คงไม่ใช่พวกไอ้หัวจักร” เจิมฉัตรมองจ้อง
บูรพาฉุนกึก “คุณ ที่ผมจะออกไป ผมขออนุญาตป๋าเรียบร้อยแล้วผมไปอย่างเปิดเผย ไม่ได้หลบซ่อนๆ”
“ฉันก็หยอกเล่นไปอย่างนั้นเอง ไม่เห็นต้องซีเรียสอะไรนี่” เจิมฉัตรยิ้มหวาน “ไหนๆ ก็ไปใกล้ๆ แวะไปส่งฉันก่อนได้มั้ย ฉันก็มีนัดด่วนเหมือนกัน”
บูรพาประหลาดใจว่าเจิมฉัตรจะมาไม้ไหนอีก
ไม่นานต่อมา บูรพาเปิดประตูพาเจิมฉัตรเข้ามาส่งในร้านเสริมสวยหรูหรา เสร็จแล้วก็ทำท่าจะกลับออกไปเลย
“เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้บอกให้เธอไปได้ซะหน่อย พาฉันมาทิ้งไว้แบบนี้ แล้วฉันจะกลับยังไง”
“คุณครับ ผมมีนัดตอนบ่ายสาม แต่นี่มันบ่ายสองครึ่งเข้าไปแล้ว วันนี้ผมลางานแล้วนะครับ”
เจิมฉัตรยั่วยิ้ม “ใจร้อนอีกแล้ว ฉันทำธุระไม่นานหรอกน่า ยังไงก็เสร็จก่อนเวลานัดของเธอแน่”
เจิมฉัตรเดินไป บูรพามองตามอย่างใช้ความอดทน
นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว และเจิมฉัตรยังนั่งอบผม ทำเล็บอยู่อย่างสบายใจ ในขณะที่บูรพานั่งกระวนกระวายรอที่โซฟา สักครู่ช่างก็ทำเล็บเสร็จ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
บูรพาโล่งอก เจิมฉัตรแอบเห็นทางกระจกแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะหันไปบอกกับช่าง
“โทษทีนะคะ ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าสามีไม่ชอบสีนี้ ขอเปลี่ยนเป็นสีเดิมดีกว่านะคะ”
ช่างอึ้ง “สักครู่นะคะ”
ช่างปลีกตัวออกไป บูรพาขยับเข้ามานั่งใกล้เจิมฉัตร และพูดเบาๆ อย่างรักษามารยาท ทั้งๆ ที่จริงๆ อยากตะโกนใส่หน้า
“เรามีปัญหาอะไรกันงั้นเหรอ”
เจิมฉัตรส่ายหน้า บ้องแบ๊ว ทั้งคู่ยังคงพูดกันเบาๆ ต่อ
“แล้วคุณมาแกล้งผมทำไม”
“เวลาฉันอยากรู้จักใคร ฉันจะบีบจนเห็นธาตุแท้ของเค้าทะลักออกมาตรงหน้า” เจิมฉัตรมองจ้องบูรพา “ของเธอจวนรึยังล่ะ”
บูรพาฉุนมากขึ้น “ใกล้แล้ว คุณรู้มั้ยผมติดคุกข้อหาอะไร ผมฆ่าคนตายนะ”
เจิมฉัตรยกมือขึ้นมาแปะอก “อุ๊ย กลัวจัง” แล้วเหยียดยิ้มสมเพช “น้อยๆ หน่อยเถอะพระเอก ฉันเป็นเมียป๋านะ คนตายน่ะเห็นทุกเดือน ไม่ได้ผลหรอก”
บูรพาสุดทนแล้ว “งั้นวันนี้คุณจะเอาอะไรกันแน่ ผมไม่มีเวลาแล้วนะ”
“ก็บอกแล้วว่าฉันแค่อยากรู้จักเธอมากขึ้น”
เจิมฉัตรเหลือบตาต่ำลง บูรพาจึงพบว่าเขาเผลอบีบข้อมือเธออยู่ด้วยความโกรธ
เจิมฉัตรดูข้อมือพลางว่า “ถ้าเกิดมันเป็นรอยช้ำ ฉันจะตอบป๋าว่ายังไงดีนะ”
บูรพาล้วงกุญแจรถมาส่งให้เจ้าหล่อน
“ไว้คิดตอนคุณขับรถกลับไปเองก็แล้วกัน”
บูรพาเดินหนีไปเลยดื้อๆ เจิมฉัตรมองตามยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะช่างเพิ่งหาสีทาเล็บได้ เดินกลับเข้ามาจะทำเล็บให้ใหม่ แต่นางกลับบอกว่า
“ไม่ต้องค่ะ ฉันเอาสีนี้แหละ”
บูรพาเพิ่งลงมาจากมอเตอร์ไซด์รับจ้าง กระวีกระวาดวิ่งขึ้นสะพานลอยไป พลางดูนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ เขาวิ่งสวนกับเด็กขายดอกไม้ที่เร่ขายตามร้านเหล้าตอนค่ำ บูรพาหยุดกึก ถอนกลับมาที่เด็กคนนั้น
“น้อง ดอกละเท่าไหร่”
เด็กขายดอกไม้บอก “50 บาทค่ะ”
บูรพาควักเงินจำนวนหนึ่งส่งให้เด็ก แล้วรวบดอกกุหลาบมาจนหมด หอบวิ่งไปอย่างมีความสุข
บูรพาวิ่งมาถึงหน้าร้านอาหารข้างๆ สตูดิโอของนิชา สายตาเหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ แต่มองเห็นเลขทะเบียนไม่ถนัด แหละรถคันนั้นดูคล้ายรถของตะวันฉาย
บูรพาไม่มีเวลาสนใจ เปิดประตูร้านเข้าไปด้านใน
บูรพาผลักประตูเข้ามา สอดตามองหาแล้วยิ้มออกมาเมื่อเห็นธิชานั่งรอเขาอยู่ แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นแผ่นหลังของชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ ชายคนนั้นหันมาปรากฏว่าเป็นตะวันฉาย
ดอกกุหลาบในมือบูรพาร่วงลงพื้น
ตะวันฉายเมื่อเห็นบูรพาก็ยืนขึ้น ขณะที่ธิชารีบปลีกตัวมาหาบูรพาเหมือนไม่อยากให้มีเรื่องกัน
“บูรพาคะ”
บูรพาถามตะวันฉายเสียงขุ่น “แกมาทำอะไรที่นี่”
“พี่จะมาเตือนแกเกี่ยวกับนัดหมายเจรจาวันพรุ่งนี้ พี่ไม่อยากให้แกไปที่นั่น”
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกไม่เกี่ยว”
“ตำรวจรู้เรื่องวันพรุ่งนี้แล้วนะบูรพา ถ้าการต่อรองมันสำเร็จก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดมีเรื่องกันล่ะก็ ตำรวจไม่ปล่อยไว้แน่”
บูรพาไม่สน “ฉันไม่แคร์”
“แต่อย่างน้อยแกก็น่าจะแคร์ใจพ่อบ้าง หรือไม่ก็แคร์นามสกุล พงศ์พิทักษ์ ที่ติดตัวแกอยู่ซักหน่อยก็ยังดี”
บูรพายอกย้อน “มันสำคัญตรงไหนเหรอ ก็ในเมื่อมีพงศ์พิทักษ์เป็นขี้คุกไปหนนึงแล้ว จะมีพงศ์พิทักษ์เป็นศพ หรือติดคุกอีกหนนึง มันจะเป็นอะไรไป”
“มันต่างกัน เพราะครั้งแรกมันเป็นความผิดของพี่ แต่ครั้งนี้ แกเป็นคนเลือกเอง”
“เข้าใจปัดภาระดีนี่ ก็ได้ ฉันเลือกเอง แกอย่าเข้ามายุ่งก็แล้วกัน”
บูรพาเหลือบมามองหน้าธิชาเป็นเชิงต่อว่า ธิชารู้สึกละอายใจที่หลอกบูรพา
ในบรรยากาศแสนอึมครึมและอึดอัดนั้น สุดท้ายบูรพาขยับจะเดินหนีไป ตะวันฉายปราดเข้ามาขวาง
“แกรู้รึเปล่าว่าไอ้หัวจักรตอนนี้มันระดมมือปืนมาแทบหมดทุกซุ้ม ถ้าพรุ่งนี้แกขืนยังไปตามนัดล่ะก็แกไม่มีทางกลับออกมาแน่”
บูรพาชะงัก นิ่งอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะตัดใจเดินเบียดผ่านตะวันฉายไป
“บูรพา”
บูรพาไม่สนใจเหลียวหลังมาแล ตะวันฉายได้แต่มองตามไปอย่างผิดหวัง ธิชามองตะวันฉายอย่างเห็นใจ ก่อนจะตัดสินใจตามบูรพาไป
บูรพาเดินหนีมา โดยมีธิชากระหืดกระหอบวิ่งไล่หลังตามมา
“บูรพาคะ”
บูรพาหยุด หันไปมองธิชาแล้วเดินหนีไปเหมือนยังเคืองๆ อยู่
“ฉันขอโทษ ฉันแค่อยากให้คุณสองคนคืนดีกัน” ธิชาบอกออกไป
บูรพายังเดินหนี ธิชาเดินไล่ตามไม่ลดละ
“ฉันว่าที่พี่ชายคุณพูดก็มีเหตุผลนะคะ คุณไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีอีก โดยเฉพาะเรื่องวันพรุ่งนี้”
บูรพาหยุดเดินหันมา “ธิชา ผมขอร้อง อย่าพูดถึงเค้าอีกได้มั้ย”
“แต่ฉันพูดเพราะฉันเป็นห่วงคุณนะ” บูรพามองอึ้งๆ ธิชาพูดต่อว่า “ก็…อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกัน”
บูรพาใจอ่อนยวบ นิ่งคิดอยู่สักครู่จึงบอกขึ้นว่า
“ธิชา ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะเป็นตัวของตัวเอง บางอย่างผมไม่มีสิทธิ์จะตัดสินใจอะไรได้ทั้งนั้น ผมบอกคุณได้แค่ว่า ผมไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ผมก็ไม่มีทางยอมกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกเด็ดขาด”
ธิชาผิดหวังที่ห้ามเขาไม่สำเร็จ บูรพาเองก็ปวดร้าวไม่น้อย
“วันนี้ผมมาสาย ผมขอโทษนะ แล้วผมจะโทร.หา”
ธิชามองหน้าบูรพานิ่ง จนเขาเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ไม่มีใครอยากเป็นสีแดงหรอก จริงมั้ย”
ธิชามองตามบูรพา ที่เดินข้ามถนนจากไปเงียบๆ ตรงหน้าเป็นสี่แยกไฟแดง บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบเหงา
บูรพาข้ามถนนไปก่อนจะเหลียวมามองธิชาอีกครั้ง และพบว่าเธอมองตามเขามาด้วยความเป็นห่วง
สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีเหลือง มาเป็นสีเขียว รถตรงสี่แยกเคลื่อนตัวออกไปจนธิชาไม่อาจมองเห็นบูรพาอีกแล้ว
ธิชายืนนิ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ตรงหน้าสัญญาณไฟนั้น
อ่านต่อตอนที่ 5