xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 11

นิยายละครโทรทัศน์ “ตะวันตัดบูรพา” ฉบับที่ตรงกับที่ออกอากาศทางช่องวัน มากที่สุดในสามโลก

ท้ายรถเสี่ยเจริญซึ่งจอดอยู่มุมลับตาหน้าคฤหาสน์เปิดออกอยู่แล้ว ก่อนจะเห็นว่าชัชชัยอุ้มร่างของเสี่ยเจริญมายัดใส่ท้ายรถอย่างทุลักทุเล เสี่ยเจริญนอนหายใจพะงาบๆ อาการปางตาย ได้แต่มองจ้องหลานชายตาละห้อย ขอร้องเสียงเบาหวิว

“ไอ้ชัช…อย่า…”
ชัชชัยเหมือนจะประสาทกินเต็มแก่ รีบปิดท้ายรถลงเต็มแรง

ชัชชัยแขวนเสื้อสำรองไว้ในรถ ก่อนจะขึ้นไปนั่งแล้วลนลานคว้ามือถือออกมาโทร.หา ไอ้ปอด
“ฮัลโหล มึงอยู่ที่ไหน โอเค รีบเอารถมึงออกไปรอกูที่ปากทาง ไม่ต้องบอกอะไรใครทั้งนั้น” ชัชชัยฉุนขาด “บอกให้มาก็มาสิโว้ย”

ทางฝ่ายเจิมฉัตรมองจากหน้าต่างห้องนอนเสี่ยเจริญ เห็นชัชชัยขับรถเสี่ยแล่นออกไป เจิมฉัตรรีบผละออกจากหน้าต่าง และเริ่มลงมือทำลายหลักฐานทันควัน
เจิมฉัตรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเลือดออกจากพื้นพรมในห้องนอน เสร็จแล้วเอาผ้าไปฉีกเป็นริ้วๆโยนทิ้งลงในชักโครกแล้วกดชักโครกทันที ก่อนจะก้มลงมองสภาพชุดนอนของตน และสองมือที่เปื้อนคราบเลือดเสี่ยเจริญอยู่เต็ม
ถัดมา เจิมฉัตรยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำกำลังอาบน้ำทั้งชุดนอนพยายามถูสองมือที่เปื้อนเลือดให้มากที่สุด สายตาเจิมฉัตรมองคราบเลือดไหลลงท่อระบายน้ำไปอย่างตะลึงตะไล พลางทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ ด้วยความตื่นกลัวในบาปของตน

ปอดยืนรอชัชชัยอยู่ที่ข้างรถตรงปากทางซอยบ้านเสี่ยอย่างกระวนกระวาย สักครู่ก็เห็นชัชชัยขับรถของเสี่ยเจริญแล่นมาจอดเทียบ ปอดรีบผลุบขึ้นไปนั่งในรถ
“นี่รถป๋านี่ครับเฮีย”
ชัชชัยนิ่งไม่ยอมออกรถ ไอ้ปอดสังเกตเห็นรอยเลือดที่เปื้อนเสื้อลูกพี่มัน
“เฮียชัช เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับป๋าหรือครับ”
ชัชชัยชักปืนออกมาจ่ออกไอ้ปอด เล่นเอาอีกฝ่ายตะลึงตาค้าง
“ไอ้ปอด มึงโตมากับกูใช่มั้ย”
“เฮียชัช” ปอดงงมาก
ชัชชัยคาดคั้น “ใช่มั้ย”
“ครับ ใช่ครับ”
“ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่ากูทำระยำอะไรเอาไว้ มึงก็เข้าข้างกูทุกครั้งกูบอกซ้ายมึงไปซ้าย บอกขวามึงก็ไปกว่า ถูกมั้ย”
ปอดเริ่มอึ้งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เราเหมือนพี่น้องกัน เวลานี้กูกำลังเดือดร้อนที่สุดในชีวิต มีแต่มึงเท่านั้นที่ช่วยกูได้ มึงจะช่วยกูใช่มั้ยไอ้ปอด”
ปอดพยักหน้า “เกิดอะไรขึ้นหรือครับเฮีย”
ชัชชัยน้ำตาซึม “กูยิงป๋า กูยิงป๋า”
ไอ้ปอดตะลึง

ขณะที่บูรพาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกใหญ่บ้านเสี่ยเจริญ เขาเริ่มสังเกตเห็นว่าวันนี้บ้านทั้งหลังดูเงียบผิดปกติ บูรพาลงจากรถลมพัดมาวูบใหญ่ต้องใบหน้าของเขา ใบไม้ร่วงพรูลงมา บูรพานึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด

เจิมฉัตรอาบน้ำสวมชุดใหม่เรียบร้อย กำลังบรรจงทาลิปสติกด้วยมืออันสั่นเทา สักครู่จึงมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เจิมฉัตรออกอาการสะดุ้งผวา
“ใคร”
“นี่ผมบูรพา ป๋าอยู่ในนั้นรึเปล่า”

เจิมฉัตรดึงสติตัวเองลุกไปเปิดประตู และฝืนยิ้มหวานให้บูรพา
“ลุงเคี้ยงโทร.มาบอกว่าจู่ๆ ป๋าก็ผลุนผลันออกมาจากไนต์คลับ แถมยังปิดมือถืออีกด้วย” บูรพาสอดตามองไปทั่วห้อง “นี่ ป๋ายังไม่กลับมาอีกงั้นเหรอ”
เจิมฉัตรส่ายหน้า บูรพารู้สึกแปลกใจครามครัน

เคี้ยงอยู่ที่ไนต์คลับกำลังคุยสายกับบูรพาที่โทร.มาจากห้องนอนในบ้านเสี่ยเจริญ
“เจิมฉัตรเค้าบอกว่าไม่ได้โทร.กลับมาเลยงั้นเหรอแล้วชัชชัยล่ะ…ไปเที่ยว ให้มันได้ยังงี้สิวะ” เคี้ยงคิดหนัก “บูรพา ข้าว่ามันต้องเกิดเรื่องแน่แล้ว เอ็งให้เจิมฉัตรรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน แล้วออกมานี่เดี๋ยวนี้เลยเราจะออกตามหานายใหญ่ของพวกเอ็งกัน”
เคี้ยงวางสายแล้วหันไปบอกจ๊อดที่ยืนหน้าตื่นอยู่
“ระดมพวกเราไปที่ห้องประชุมไอ้จ๊อด เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

รถจอดอยู่บริเวณท่าน้ำเปลี่ยวชานเมือง เห็นชัชชัยกับปอดยืนทื่ออยู่ท้ายรถไม่มีใครกล้าเปิดฝากระโปรง สุดท้ายชัชชัยพยักหน้าให้ไอ้ปอด ส่วนตัวเองเมินหน้าหนี ปอดตัดสินใจเปิดท้ายรถ
ออกช้าๆ เผยให้เห็นภาพอันน่าเอน็จอนาถใจ เพราะเสี่ยเจริญยังไม่ตาย แต่หน้าตาซีดเซียวใกล้ขั้นตรีทูตเต็มแก่
ปอดสะเทือนใจ “ป๋าครับ”
เสี่ยเจริญแววตาเลื่อนลอย ไม่มีแรงตอบรับ ปอดหันไปบอกชัชชัย
“คุณชัช ยกเลิกแผนนี้เถอะ ส่งป๋าไปหาหมอถ้าเกิดอะไรขึ้นผมรับผิดแทนคุณชัชเอง ถ้าใครถาม ผมจะบอกว่าผมเป็นคนยิงป๋า”
“ไม่ทันแล้วไอ้ปอด มันสายไปแล้ว”
ไอ้ปอดร้องไห้ “แต่ป๋ายังไม่ตายนะครับ เราจะฆ่าป๋าทั้งเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ คุณชัช”
น้ำตาไอ้ปอดทำเอาชัชชัยลังเลสับสน ปอดทรุดลงเกาะขา
“เฮีย ผมกราบ...ผมกราบล่ะครับ เฮียชัชปล่อยป๋าไปเถอะ ป๋าเลี้ยงผม เลี้ยงคุณมากับมือ เราจะเนรคุณป๋าได้ยังไง” ชัชชัยเมินหน้าหนี ไอ้ปอดตื้อ “เฮียชัช ถึงคนอื่นจะมองผมกับคุณชั่วชาติยังไง แต่เราก็ยังมีหัวใจอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ยังมีอารมณ์มีความรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ยังมีศักดิ์ศรีความเป็นนักเลงของเรา แต่ถ้าเราฆ่าป๋าคืนนี้ เราจะไม่มีอะไรเหลืออีกเลย เพราะเมื่อเราฆ่าได้กระทั่งผู้มีพระคุณ ก็เท่ากับว่าเราเลวยิ่งกว่าสัตว์ ชีวิตของเราจะมีค่าแค่หมาตัวนึง คุณชัช”
ชัชชัยหมดความอดทนผลักปอดกระเด็นไป ส่วนตัวเองก็ร้องไห้ออกมา สักครู่ก็ชักปืนจะตรงไปที่ท้ายรถ ไอ้ปอดผวาเข้ายึดแขนไว้อีก
“คุณชัช นั่นป๋านะคุณชัช พ่อคนที่สองของคุณกับผมพ่อของเรานะคุณชัช !
ชัชชัยร้องไห้กอดกันไอ้ปอด ก่อนจะดันไอ้ปอดออก และส่ายหน้าปฏิเสธ ไอ้ปอดได้แต่ทรุดลงนั่งกับพื้นหมดแรง
ชัชชัยเดินกลับไปที่รถ และบอกกับเสี่ยเจริญทั้งน้ำตา
“ป๋า…ป๋าเลี้ยงผมมา ให้เกียรติ ให้ความรักผมเหมือนลูก แต่ผมไม่เคยเรียกป๋าว่าพ่อมาก่อนเลย” ชัชชัยยิ้มทั้งน้ำตาเรียก “พ่อ” ออกมา
ชัชชัยน้ำตาไหลพรากขณะเปล่งเสียงออกมา
“ผมรักพ่อ”
ชัชชัยเหนี่ยวไกยิงหูดับตับไหม้
ไอ้ปอดตะโกนก้อง “ป๋า”
ชัชชัยแผดร้อง เดินโซเซไปยิงกระสุนที่เหลือขึ้นฟ้า ขณะที่ไอ้ปอดคลานไปเกาะศพเสี่ยเจริญ ร้องห่มร้องไห้ น้ำมูกปนน้ำตา
“ป๋าครับป๋า ป๋า ยกโทษให้ผมด้วย ป๋า”

ฝ่ายบูรพาขับรถมาตามทางสายหนึ่งพร้อมกับเคี้ยงที่นั่งข้างๆ สองคนคอยสอดส่ายสายตามองหา เคี้ยงเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี สักครู่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เคี้ยงกดรับสาย
“ฮัลโหล ใช่ผมเอง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนใช่ เกิดเรื่องใหญ่ ป๋าของคุณหายตัวไปได้เกือบสี่ชั่วโมงแล้วไม่ๆ ผมยังไม่ได้แจ้งตำรวจ ตกลง งั้นเราแยกกันหา”
“คุณชัชโทร.มาเหรอครับลุง”
“อืม มัวแต่เมากับไอ้ปอด ถึงได้มารู้ข่าวเอาป่านนี้” เคี้ยงถอนใจ “นี่จะตีสามแล้วเหรอ”
“ลุง ผมว่าขับรถหาอย่างนี้คงไม่ได้เรื่องแน่”
“แล้วเอ็งจะให้ทำยังไง แจ้งตำรวจเหรอ”
“ถ้าเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่ หรือเรียกข้อต่อรองอะไร ป่านนี้มันก็น่าจะโทร.มาติดต่อเราได้แล้ว”
เคี้ยงใจหล่นวูบ “ข้าก็ว่าอย่างนั้น ถ้าถึงตอนเช้ายังไม่ได้เบาะแสก็แปลว่าไอ้เจริญมันคง”
บูรพาพยักหน้าให้ เคี้ยงทำใจ

ตรงท่าน้ำเปลี่ยว นาฬิกาตรงคอนโซลรถบอกเวลา ตีห้ากว่า
ชัชชัยกับปอดช่วยกันอุ้มร่างเสี่ยเจริญหย่อนลงใส่ถังน้ำมันใบเขื่อง จากนั้นไอ้ปอดหันไปผสมปูน
ชัชชัยเปิดรถของเสี่ยเจริญและหยิบมือถือและของใช้ส่วนตัวในรถ เช่นพระเครื่อง ไปจนหมดจนกระทั่งมาเจอเอาซองเอกสารที่เก็บอยู่ในลิ้นชักหน้ารถ ชัชชัยเปิดดูรูปของตนกับเจิมฉัตรในซองแล้วก็ต้องตะลึง
มันเป็นเหตุการณ์ในร้านอาหาร ตอนที่ทัศน์ยุให้เขาฆ่าเสี่ยเจริญ ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่เสี่ยเจริญผลุนผลันมาจะฆ่าชัชชัย
ชัชชัยกระจ่างแจ้ง เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเสี่ยเจริญถึงได้บุกมาอาละวาดกับตน
“ไอ้ทัศน์ ไอ้ระยำ”
เวลาผ่านไปอีกหน่อย ชัชชัยทิ้งของใช้ส่วนตัวทุกอย่างของป๋าลงในถังน้ำมัน ก่อนที่ไอ้ปอดจะเทปูนกรอกทับลงไป
ชัชชัยกับไอ้ปอดช่วยกันกลิ้งถังน้ำมันจนร่วงลงไปในน้ำเสียงดังตูม!

จากนั้นชัชชัยคุยนัดแนะซักซ้อมกับไอ้ปอด
“ถ้าใครถาม มึงก็บอกว่าคืนนี้ไปขับรถดื่มเหล้ากับกู ส่วนรถของป๋ามึงขับไปซ่อนที่โกดังด้านหลังก่อน ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ ค่อยเอาไปทำลายทีหลัง”
“ทำไมไม่ทำลายซะคืนนี้ล่ะครับเฮีย”
“ทำยังไงวะ ขับลงน้ำเหรอ มึงแหกตาดูซะบ้างสิ รถเบนซ์คันเบ้อเร่อเบ้อร่า เกิดน้ำลดหลังคาผุดขึ้นมามึงจะว่ายังไง”
“แต่ถ้าซ่อนไว้แถวโกดังนี่ พวกไอ้เคี้ยงมันต้องเจอแน่ๆ เลยครับ”
“เจอก็เจอไปสิวะ อย่าเสือกมาเจอตอนเราอยู่กับรถก็แล้วกัน” ชัชชัยปลอบ “มึงใจเย็นๆ ไอ้ปอด รอไว้วันสองวันให้มันเลิกตามหาตัวป๋า มึงก็ค่อยมาเอารถนี่ไปแยกชิ้นส่วนทิ้ง แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว”
ไอ้ปอดพยักหน้า แต่ท่าทางมันยังไม่หายกังวลเท่าไหร่นัก

เมืองหลวงเข้าสู้ยามเช้าของวันใหม่
บารมี อ่านหนังสือพิมพ์หัวเขียวอยู่ในห้องทานข้าวที่คฤหาสน์ เห็นพาดหัวข่าวการหายตัวไปของเสี่ยเจริญ ถูกสันนิษฐานว่าโดนอุ้มฆ่า ก่อนจะลดหนังสือพิมพ์ลง เผยให้เห็นทัศน์ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงข้าม
“เยี่ยม หมดจด 100 % ไม่มีไอ้เสี่ยเจริญไปสักคน ก็เท่ากับหมดเสี้ยนหนามสำคัญ ได้เวลาอยู่ดีกินดีกันสักที”
บารมีลงมือทานอาหารเช้า แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นทัศน์ยังนั่งนิ่ง
ทัศน์ส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่ 100 %”
“มีปัญหาอะไรเหลืออยู่อีกหรือไง”
“เรายังไม่รู้ว่าใครจะขึ้นนั่งเก้าอี้แทนเสี่ยเจริญ”
“ก็ไหนแกเคยบอกว่าจะหนุนชัชชัยหลานของมันขึ้นแทนไงล่ะ”
“แต่ก่อนใช่ แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว ขนาดเสี่ยเจริญเป็นลุงแท้ๆของมัน มันยังเป่าทิ้งได้ คนประเภทนี้เห็นทีจะเลี้ยงลำบาก”
บารมีแดกไม่ลง เลยอิ่ม “งั้นก็แปลว่าเราอาจต้องเจอปัญหาใหม่กันอีกล่ะสิ”
ทัศน์ดูเครียดเอาการ “ปัญหาหนักซะด้วย ไอ้หมอนี่ไม่มีสมอง ถนัดประสานงาลูกเดียว ขืนมันเกิดมาอาละวาดกับเราตอนที่ท่านลงหาเสียงอยู่ล่ะก็ วอดวายกันยกใหญ่แน่”
บารมีคิดสักครู่ “ระดมมือเจ๋งๆ มาเสริมทัพเอาไว้ล่วงหน้าสักคน ถ้าเกิดอะไรขึ้นแกจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปยุ่งด้วยตัวเอง”
“ตอนนี้ผมเล็งเอาไว้คนนึงแล้ว”
บารมีสนใจว่าเป็นใคร

อีกฟาก สิบเวร 1 คนเก่า กับตำรวจท้องที่ 1 ประจำด่านอีกคน กำลังนั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยกันบนสน.
“ไอ้พวกนรกนี่มันเห็นบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรือไงวะ ฆ่ากันได้ฆ่ากันดีทุกวัน”
“ช่างมันเหอะ สมน้ำหน้ามัน ปล่อยให้มันซัดกันเองนั่นแหละดีแล้ว ไม่เปลืองแรงมือกฎหมายอย่างเรา”
ตะวันฉายเดินเข้าเต็นท์มาดื่มน้ำ ได้ยินเข้าพอดี
“ข่าวอะไรเหรอ”
สิบเวรส่งหนังสือพิมพ์ให้ “ผู้หมวดเห็นรึยังครับ เมื่อคืนนี้เสี่ยเจริญหัวหน้าแก๊งค้ายาถูกเก็บ”
“ยังไม่เจอศพครับ แต่สันนิษฐานเอาว่าคงม่องเท่งไปแล้วนี่ยังไม่รู้เลยครับว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าแทน” ตำรวจ 1 บอก
ตะวันฉายรับหนังสือพิพม์มาดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด วางคืนแล้วเดินออกไปหน้าโรงพัก
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น เมื่อเหลียวมองไปจึงเห็นทัศน์ที่นั่งอยู่ในรถ กำลังโบกมือตะเบ๊ะทักทายมาที่

ทัศน์ลงจากรถ เดินกลับมาบนสน.พร้อมตะวันฉาย ผู้กองเดินออกมาจากห้องพอดี
“อ้าวคุณทัศน์มาไงครับ ท่านรองมาแถวนี้หรอครับ” ผู้กองทักอย่างมักคุ้น
“พอดีผมมีธุระกับผู้หมวดตะวันเค้าน่ะครับ”
“พอดีผมกำลังจะไปราชการข้างนอก เชิญ ใช้ห้องผมได้เลยครับ”
ระหว่างนี้เด็กสาวลูกเจ้าของร้านกาแฟในโรงอาหารสน. กำลังไล่จดรายการกาแฟกับตำรวจคนอื่นๆ ทัศน์หันไปเรียก

“หนู ขอกาแฟ 2 แก้วจ้ะ เอาไปส่งให้ในห้องผู้กองนะ”

อ่านต่อหน้า 2




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 11 (ต่อ)

ทัศน์นั่งคุยอยู่กับตะวันฉายอยู่ในห้องผู้กอง

“ผมเพิ่งได้ข่าวจากเพื่อนว่าคุณถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ประหลาดใจนิดหน่อย เลยกะจะแวะมาดูให้เห็นกับตา ไม่ยักรู้ว่าเป็นเรื่องจริง”
“จะสนใจเรื่องของผมไปทำไม ก็แค่ตำรวจธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
“เมื่อก่อนผมก็เลยเป็นตำรวจเหมือนกับคุณ ผู้หมวด”
ตะวันฉายประหลาดใจไม่น้อย ทัศน์เปิดกระเป๋าให้ดูรูปตนในชุดตำรวจที่ถ่ายกับลูกและเมีย
“ภรรยากับลูกคุณน่ารักดี”
“คงงั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นปุ๋ยไปแล้วทั้งคู่”
ตะวันฉายอึ้ง ทัศน์ยิ้มพลางยักไหล่
“รู้มั้ย นี่อาจเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ผมถูกชะตากับคุณ คุณมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมนึกถึงตัวเองในอดีต อาทิตย์นึงเจ็ดวัน ตะบี้ตะบันไล่จับคนร้ายไม่หยุดพัก แต่ผลสุดท้ายพองานผิดพลาด ก็โดนผู้ใหญ่ด่าเช็ด”
“เป็นเรื่องธรรมดาของระบบงาน ที่ไหนๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้”
“ใช่ เรื่องธรรมดา แค่ถูกเพื่อนร่วมงานโยนขี้ว่ารับเงินผู้ต้องหา แค่ถูกสั่งย้าย แค่กลับมาบ้านและพบว่า เมียกับลูกสาวกำลังถูกพรรคพวกของผู้ต้องหาเป็นโขยง รุมข่มขืนอยู่ด้วยกัน” ทัศน์ยิ้มเหี้ยมออกมาแว่บหนึ่ง “ลูกสาวผมเพิ่ง 12 เองนะ
ตะวันฉายรับฟังอย่างสยดสยอง ทัศน์ค่อยๆ ลดอุณหภูมิเหี้ยมโหดบนสีหน้าลง
เด็กสาวคนขยันเอากาแฟมาเสิร์ฟให้พอดี
“กาแฟได้แล้วค่ะ”
ทัศน์ยื่นแบงค์ 500 ให้ “ไม่ต้องทอนนะจ๊ะ”
เด็กสาวไหว้ แล้วเดินออกไปตะวันฉายเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกสาวของทัศน์ ทัศน์ยิ้ม
ทัศน์หัวเราะในลำคอ “ผมประทับใจอาชีพตำรวจก็ตรงนี้แหละ กลับเข้าบ้านแต่ละวัน ไม่เคยรู้ว่าจะเปิดประตูไปเจออะไรบ้างเมียมีชู้ หรือลูกเปิดปาร์ตี้ยาอีอยู่ในบ้าน หรือมีคนร้ายถือปืนนั่งรอเราอยู่”
“ผมเสียใจด้วย แต่ทำไมคุณถึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง”
“ก็บอกแล้วไงว่าคุณทำให้ผมคิดถึงตัวเองในอดีตหมายถึง ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยคุณได้ล่ะก็ ผมจะยินดีมากเลยทีเดียว” ทัศน์กระเถิบไปพูดใกล้ๆ “ผู้หมวด ท่านรองบารมีนิยมคนมีฝีมืออย่างคุณ แค่คุณยอมมาร่วมงานกับเรา ผมรับรองว่าชีวิตของคุณจะไม่มีวันต้องเจอกับบทเรียนราคาแพงอย่างผม ไม่ต้องผจญกับปัญหาอย่างที่เจออยู่ทุกวันนี้ แค่คุณรับปาก”
ตะวันฉายนิ่งอึ้งไป ทัศน์รอลุ้นคำตอบ ตะวันฉายจิบกาแฟครุ่นคิดลังเล ก่อนจะเงยหน้าตอบ
“จริงของคุณ เราสองคนมีอะไรคล้ายๆ กัน ผมเชื่อว่าคุณเองก็คงจะมีฝันร้ายที่ทำให้คุณต้องนอนผวาบ่อยๆ เหมือนกันกับผม ต้องเจ็บปวดกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอดีตของตัวเอง
ทัศน์รับฟัง และยิ้มรับอย่างขมขื่น
“เราทั้งสองคนต่างก็อยากจะไปให้พ้นจากฝันร้ายที่ว่า” ตะวันฉายส่ายหน้า “แต่วิธีของคุณไม่ใช่ทางเลือกของผม”
ทัศน์นิ่วหน้า
“ผมยังมีความหวัง และผมก็เชื่อว่าทุกการกระทำของผมยังมีความหมายต่อคนอื่นๆ อีกด้วย”
“ใคร ประชาชนงั้นเหรอ หรือว่าพวกตำรวจรุ่นน้อง”
ตะวันฉายเน้นคำ “ทุกคนที่ผมรัก คุณทัศน์ ผมอดทนสู้กับความอยุติธรรมนอกกฎหมายทุกประเภทมาเกือบห้าปีเต็ม ก็เพราะผมมีความหวังว่าผมจะเอาชนะมัน ไม่ใช่เพื่อยอมแพ้
ทัศน์ไม่ตอบหากแต่ขยับปากยิ้มมุมปากออกมา
มันน่าจะเป็นรอยยิ้มแห่งความเจ็บแค้นที่ถูกปฏิเสธ

ทัศน์มองตะวันฉายผ่านทางกระจกมองข้าง จนเห็นตะวันฉายเดินกลับไปที่ด่านตรวจ

ทัศน์มองผ่านเงาสะท้อนของกระจกอย่างไม่พอใจ กฤชที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับหันมาถาม
“ไม่ได้ผลหรือครับคุณทัศน์”
“ดูเหมือนผู้หมวดของเราจะไม่ชอบคำชวนแบบละมุนละม่อม คงอยากได้อะไรที่กระแทกกระทั้นกว่านั้น” ทัศน์ยิ้มชั่วออกมา “ได้ เราจัดให้ได้อยู่แล้ว มีความหวังมากนักใช่มั้ย”

ทางด้านเคี้ยงนั่งเหม่อลอยประเมินเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเสี่ยเจริญอยู่ตามลำพังในสวนหย่อมบ้านเสี่ย ห่างออกไปมีสมุนสองสามคนคอยอารักขา เคี้ยงคิดไปได้สักครู่ก็กระแอมกระไอออกมา
มีเสียงคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง เคี้ยงหันมาพบว่าเป็นเจิมฉัตรที่ถือเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“ดื่มอะไรร้อนๆ ซะหน่อยสิ ลุงเคี้ยง”
“ขอบใจ” เคี้ยงมอง แต่ไม่ดื่ม “พวกที่ออกไปตามหาเสี่ยเจริญกลับกันมาหมดรึยัง”
“คอตกกลับมากันหมดแล้ว”
“ไม่มีวี่แววเลยงั้นเหรอ”
เจิมฉัตรพยักหน้า เคี้ยงคิดหนัก แล้วก็ไอขึ้นมาอีก รีบเปิดตลับยาออกมาทาน แล้วดื่นน้ำตามทันที จากอาการคล้ายเกิดจากปอด ไม่ใช่ระคายคอ
“ท่าทางดูเหมือนลุงจะไม่ค่อยสบายนะ”
“ก็แพ้อากาศตามประสาคนขี้คุก”
“ก็ดี จะให้เด็กเอาลูกกรงไปติดห้องนอนก็แล้วกันนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
เคี้ยงรู้ตัวว่าโดนกัด ก็หันมามองสาวสวยตรงหน้า
“มีอารมณ์ขันดีนี่ เคยได้ยินไอ้เจริญมันบอกเหมือนกันว่ามีเมียเด็ก แต่ไม่คิดว่าจะสวยพริ้งขนาดนี้ ตอนแรกยังนึกว่ามันไปเช่าอีผู้หญิงชั้นต่ำที่ไหนมาซะอีก”
เจิมฉัตรไม่สนคำเหน็บของเคี้ยง ถือว่าเจ๊ากัน
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับป๋าจริงๆ คุณชัชชัยก็คงได้เป็นหัวหน้าคุณชัชชัยเป็นคนหนุ่ม ไม่ชอบอะไรคร่ำครึล้าสมัย ถึงเวลานั้นอะไรที่มันเก่าๆ ไร้ค่าขวางหูขวางตาก็คงต้องโดนกวาดล้างกันยกใหญ่”
“ชัชชัยให้เธอมาขู่ฉันงั้นเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆ ไหนๆ ก็เพิ่งรู้จักกัน เลยอยากเตือนเอาไว้ อายุปูนนี้แล้วหัดเอาใจลูกหลานไว้ไม่เสียหายหรอก อย่ากร่างให้มากนัก”
เคี้ยงไม่พอใจจะหันมา ก่อนจะพูดอะไรออกไป ก็ดันไอออกมาเสียก่อน
เจิมฉัตรถือโอกาสไอล้อเลียน ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินจากไป กว่าเคี้ยงจะหยุดไอเจิมฉัตรก็เดินไปถึงไหนต่อไหน
เคี้ยงหายใจหอบ มองตามเจิมฉัตรไป และเริ่มครุ่นคิดถึงคำพูดของเมียเพื่อนรัก

ทุกคนถูกเรียกมาหารือกัน ภายในห้องรับแขกบ้านเสี่ยเจริญ
เคี้ยงมองจ้องบูรพา จนกระทั่งบูรพารู้สึกตัวหันมามองตอบ เคี้ยงก็หลบสายตาไปอย่างมีความในใจ
ชัชชัย เจิมฉัตร จ๊อด ไอ้ปอด เคี้ยง บูรพา และสมุนระดับหัวหน้าอีก 2 คน พร้อมหน้ากันอยู่ในห้องรับแขกนั้นแล้ว
“ตอนนี้เกือบจะ 48 ชั่วโมงอยู่แล้ว จนป่านนี้เรายังไม่ได้เบาะแสใดๆ ที่ยืนยันว่าไอ้เริญ ป๋าของพวกคุณยังมีชีวิตอยู่ เราทุกคนรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร”
เคี้ยงเอ่ยกับทุกคน
“ในที่นี้คนที่น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้มากที่สุดก็มีแค่” เขาชี้ที่ตัวเอง “ฉัน ซึ่งเป็นคนบุกเบิกสร้างฐานอำนาจมาด้วยกันกับเสี่ยเจริญ พอออกจากคุกปุ๊บ เสี่ยเจริญก็หายตัวไปปั๊บ แถมฉันยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นหน้ามัน”
เคี้ยงหันมาที่ชัชชัย
“แล้วก็คุณ คุณชัช ขณะที่ทุกคนตามหาตัวป๋าของคุณกันจ้าละหวั่น คุณซึ่งเป็นหลานแท้ๆกลับขาดการติดต่อไป แถมยังโผล่มาสายที่สุด”
ชัชชัยฉุนนิดๆ “ก็บอกแล้วไงว่าเมาอยู่กับไอ้ปอด”
“ทุกคนก็คงมีข้ออ้างของตัวเองกันทั้งนั้น” เคี้ยงว่า
“แล้วจะให้พิสูจน์ยังไง โอน้อยออกเหรอ” ชัชชัยโมโห กวนตีนออกไป
“อย่าเพิ่งร้อนใจไปคุณชัช เพราะเรายังมีผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ที่ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงอยู่อีกคนนึง”
ทุกคนสนใจฟัง และคาดไม่ถึง เคี้ยงเหลียวกลับมาที่บูรพา
“แก บูรพา แกถูกเสี่ยเจริญเพ่งเล็งว่าเป็นสายตำรวจ ก่อนถึงกำหนดที่จะเคลียร์เรื่องนี้ไม่กี่วัน เสี่ยเจริญก็มาหายตัวไป แถมตอนเกิดเรื่องแกก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านและก็ไนต์คลับ แกจะแก้ตัวว่ายังไง”
ทุกคนคาดไม่ถึง แม้แต่บูรพาเองก็ไม่คาดคิด
“ลุงเคี้ยง”
“ฉันกับชัชชัยยังไงก็มีพยานรู้เห็นที่ยืนยันได้ แล้วแกล่ะ แกอยู่กับใครตอนนั้น” เคี้ยงซักไซ้
“ลุงเคี้ยง ผมว่า…” จ๊อดพยายามช่วย
เคี้ยงตวาด “เอ็งหุบปากไอ้จ๊อด ข้าต้องการคำตอบจากมัน”
บูรพาอึ้งไปครู่หนึ่ง “ทำไมลุงไม่พูดเรื่องเบาะแสที่ผมเล่าให้ลุงฟังก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่ลุงรู้อยู่แก่ใจว่าใครเป็นคนทำ ทำไมจู่ๆมาเอ่ยพาดพิงผม”
เคี้ยงนิ่งไม่ยอมตอบ
บูรพาโกรธ “เพราะคนที่จะเป็นหัวหน้าแทนป๋า คือคุณชัชสินะ ในขณะที่ผมก็เป็นได้แค่แพะรับบาปตัวนึง”
“ตอนอยู่ในคุก ข้าเคยสอนเอ็งไปแล้วไม่ใช่เหรอบูรพา เวลาไหนที่ควรทวนน้ำ เวลาไหนที่ควรตามน้ำบูรพา เวลาของเอ็งที่เสี่ยเจริญกำหนดไว้ เหลือแค่สองวันเท่านั้น มะรืนนี้เอ็งต้องให้คำตอบกับทุกคนในที่ประชุมให้ได้ ไม่งั้น…”
บูรพามองเคี้ยงอย่างผิดหวัง
“ไม่มีทาง อย่าลืมสิว่า ผมยังมีหลักฐานสำคัญอยู่ในมือ” เขามองหน้าชัชชัย “อยากมากพรุ่งนี้ก็พังด้วยกันทั้งคู่”
ชัชชัยเสียวสันหลังวูบ อึ้งไปเลย ส่วนบูรพาเดินหุนหันออกไป ขณะที่จ๊อดมองเคี้ยงอย่างไม่พอใจเช่นกันที่โยนขี้ให้เพื่อน

ถัดมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น บูรพาเดินมามองช่องตาแมว แล้วเปิดประตูให้จ๊อดเดินเข้ามา
จ๊อดโมโหกรุ่นๆ โพล่งขึ้นโดยไม่ดูในห้องให้ดี
“ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ ตะกี้ตอนที่ประชุมข้างี้โกรธจนเลือดแทบขึ้นหน้า นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นลุงเคี้ยง ข้าโดดเตะหัวกลิ้งไปแล้วไม่อยากพูดหยาบ แต่มันทุเรศว่ะ แทนที่จะเข้าข้างคนสถาบันเดียวกัน หน็อยดันไปเข้าข้างไอ้ชัชชัย ข้า…”
จ๊อดชะงักกึก เมื่อเห็นบูรพาชี้ให้มันดูข้างหลัง เคี้ยงกำลังนั่งยิ้มอยู่อย่างใจเย็น
“ถึงขนาดจะกระโดดเตะกันเลยหรือวะจ๊อด”
จ๊อดเหวอไปเลย “ลุงเคี้ยง เป็นไปได้ยังไง ไอ้บูรพานี่เอ็งกับลุงเคี้ยงเล่นอะไรกันอยู่วะ”
“เราสองคนสงสัยชัชชัย คืนนั้นคนของเราที่อารักขาบริเวณบ้านไม่มีใครเห็นว่าชัชชัยออกไปข้างนอกตอนไหนรถคันเดียวที่แล่นเข้า และออกในช่วงเวลานั้น ก็มีแค่รถของป๋าเท่านั้น”
จ๊อดคิดตาม “แปลว่าชัชชัยออกไปกับป๋าคืนนั้นงั้นสิ”
“หรือไม่ก็ศพของป๋า” บูรพาบอกเสริม
“แล้วไอ้ชัชมันจะฆ่าป๋าทำไม” จ๊อดคิดไม่ออก
“เรื่องนั้นเราไม่รู้ แต่ที่เราทำได้ก็คือหลอกให้ชัชชัยเผยไต๋ออกมา” เคี้ยงว่า
“แหม ก็ไม่เห็นต้องสร้างสถานการณ์ซะขนาดนี้ก็ได้” จ๊อดบ่น
“เอ็งนึกว่าจู่ๆ ข้ากับไอ้บูรพาเดินกอดคอกันไปบอกมันว่ามีหลักฐานเอาผิดมันได้ แล้วมันจะเชื่อเหรอวะไอ้จ๊อด จะลักไก่มันต้องมีลีลาหลอกล่อโว๊ย”
จ๊อดคิดแล้วอดทึ่งไม่ได้
“แหม แต่หลอกคนกันเองนี่ก็เหลือเกินนะ”
เคี้ยงกับบูรพายิ้มขัน เคี้ยงหัวเราะเบาๆ และไออีกนิดหน่อย
“ที่เหลือก็รอแผนขั้นต่อไป คนอย่างไอ้ชัชมันทนสงสัยอะไรได้ไม่นานหรอก”

ส่วนที่ห้องนอนเสี่ยเจริญ เจิมฉัตรครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ในขณะที่ชัชชัยนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด
“หรือว่ารูปถ่ายในซองนั่นจะเป็นฝีมือของมัน ตอนแรกนึกว่าโดนไอ้ทัศน์ดัดหลังแล้วซะอีก เอ๊ะ หรือว่าไอ้บูรพามันจะรวมหัวกันกับไอ้ทัศน์ เป็นไปไม่ได้ ก็ไอ้ทัศน์มันตามเล่นงานไอ้บูรพาอยู่นี่หว่า”
“ชัชชัยฉันว่าเธอสงบสติลงสักครู่ดีมั้ย ขืนเดินพล่านทั้งคืนแบบนี้ ฉันต้องรากแตกแน่ๆ”
“เธอไม่ได้ยินที่มันพูดหรือไง มันบอกว่ามันมีหลักฐานจะเล่นงานเรา”
“แล้วไง หลักฐานอะไรล่ะ เกิดมันบอกว่าความจริงมันเป็นญาติกับเธอ เธอก็เชื่องั้นเหรอ”
“แต่นี่มันกล้าประกาศต่อหน้าเรานะ ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้มันเป็นฝ่ายที่จะต้องขึ้นเขียงแท้ๆ” ชัชชัยคิดแล้วคิดอีก “เจิมฉัตร เธอบอกว่ามันเป็นคนแรกที่กลับมาที่นี่ มันอาจจะพบพิรุธอะไรที่เรามองข้ามไปก็ได้ แบบ รอยเลือด หรือว่ารูกระสุน”
เจิมฉัตรรำคาญ “เธอเลิกประสาทเสียได้มั้ยชัชชัย ไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น ถึงมีก็ไม่ใช่หลักฐานที่จะมาเอาผิดอะไรเราได้ บางทีบูรพาอาจจะวางฟอร์มขู่ไปอย่างนั้นเอง”
ชัชชัยนั่งลงและนวดเฟ้นขมับอย่างอ่อนเพลียกับความเครียด เจิมฉัตรนึกเห็นใจ
“เอาล่ะๆ ชัชชัย ฉันจะสืบเรื่องนี้เอง เธอวางใจเถอะแต่หลักฐานนั่นจะมีหรือไม่มีเธอต้องเชื่อผลการสืบของฉันห้ามฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรอีกตกลงมั้ย”

ชัชชัยพยักหน้ายอมรับ เจิมฉัตรนึกว่าจะสืบเรื่องนี้ได้อย่างไร

อ่านต่อหน้า 3




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 11 (ต่อ)

ขณะที่ธิชาเก็บข้าวของเข้าร้านจนเสร็จ หยุดรอปู เตรียมล็อคประตูร้านเพื่อขึ้นนอน สายตาธิชาก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนยืนอยู่ในมุมมืด
“นั่นใครน่ะ”
เงานั้นเดินออกมาในแสงสว่างหน้าสตูดิโอ เผยให้เห็นว่าเป็นบูรพาที่ซุ่มรออยู่ ปูหันมาเห็นบูรพาเข้าก็ตีหน้าเซ็ง
บูรพากับธิชาออกมานั่งคุยกันอยู่ในรถธิชา
“คุณเข้าไปหาฉันในร้านก็ได้ ไม่เห็นต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้เลย”
“ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี ผมกลัวจะพาเรื่องมาให้คุณอีก” บูรพาถอนหายใจอย่างหนักอก “คุณได้ยินข่าวเรื่องเจ้านายผมแล้วใช่มั้ย”
ธิชาพยักหน้า “ร้ายแรงมากรึเปล่าคะ”
บูรพาพยักหน้ารับ “พอสมควร ผมมีภาระต้องสะสางอีกนิดหน่อย เรื่องที่ผมรับปากกับคุณไว้ก็เลยยังทำไม่ได้ตอนนี้”
ธิชาฝืนยิ้มให้ “ไม่เป็นค่ะ ฉันเข้าใจ”
บูรพามองธิชาด้วยความเห็นใจ ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้
“ธิชา เชื่อใจผมนะ ไม่ว่ายังไงเสร็จงานนี้ผมต้องถอนตัวแน่นอน”
“อีกนานแค่ไหนกันคะ”
“ผมยังบอกไม่ได้จนกว่าจะถึงวันมะรืนนี้”
ธิชาคิดอยู่พักเดียวจึงบอก “ค่ะ ฉันเชื่อใจคุณ ฉันจะรอ”
บูรพายิ้มออก เขารั้งร่างธิชามากอดไว้อย่างอุ่นใจ
ปูที่ยืนตบยุงรอ ออกอาการเซ็ง แต่ก็อดอุ่นใจไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนมีความสุข

อีกวันหนึ่ง โจเดินหิ้วถุงขนมเดินกระเปิ๊บกระป๊าบเข้ามาใน เขตสน.ท้องที่ อย่างอารมณ์ดี พอดีสวนกับพลตำรวจรายหนึ่ง
“พี่ๆ ผู้หมวดตะวันฉายอยู่รึเปล่า”
“อยู่ที่ด่านตรวจ”
“ขอบใจ”
โจจะเดินไป แต่ตำรวจคนนั้นนึกอะไรขึ้นได้รีบรั้งไว้
“เดี๋ยวๆๆน้อง จำได้แล้วน้องใช่มั้ยที่มาหาผู้หมวดเค้าบ่อยๆ” โจยิ้มยืด พยักหน้าภูมิใจ “หมวดเค้าสั่งไว้ว่าถ้าน้องมาอีกให้รอเค้าที่นี่ ห้ามไปที่ด่านเด็ดขาด”
“ทำไมอ่ะ”
“เกะกะ รอตรงนี้ เดี๋ยวไปตามมาให้”
โจหน้างอไปหาที่นั่ง
“โห จำไว้เลยนะหมวด เล่นสั่งลูกน้องไว้แบบนี้เลยเหรอไม่ไว้น่ากันบ้างเลย”
โจบ่นบ้าอยู่ลำพัง โดยไม่ทันสังเกตว่ารถของทัศน์จอดซุ่มอยู่หน้าสน.นั่นเอง
กระจกหน้าต่างรถลดลงเผยให้เห็นทัศน์มองมาที่โจ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทร.ออก
“สารวัตรครับ ผมรู้สึกว่าจะมีเด็กของเสี่ยเจริญมาป้วนเปี้ยนแถวสน.สารวัตรนะครับ ลองมาตรวจสอบให้ทีนะครับ”

เวลาผ่านไป ตะวันฉายเดินมาหาโจ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นโจกำลังโดนล้อมกรอบโดยผู้กองกับตำรวจท้องที่อีกสองนาย
โจโวยลั่น “เฮ้ย บอกไม่ได้ขายก็ไม่ได้ขายสิวะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
“ไม่ขายก็เสพ ไป ขึ้นไปคุยบนโรงพัก” ผู้กองสั่งลูกน้อง
ตะวันฉายรีบเข้ามาดูเหตุการณ์ ดึงมือตำรวจที่ยื้อยุดโจออก
“ผู้กอง นี่เรื่องอะไรกันครับ”
“มีคนโทร.เข้ามาร้องเรียน บอกว่าเพื่อนคุณคนนี้เป็นเด็กส่งยาของเสี่ยเจริญ” ผู้กองชูซองยามห้ดู “แล้วนี่เราค้นเจอในย่ามของเด็กคนนี้”
โจยัวะ “แค่สามเม็ดเนี่ยนะจะลากขึ้นโรงพัก”
“สามเม็ดหรือสามกิโล ถ้ามีพกติดตัวมันก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น”
ตะวันฉายพยายามอธิบาย “ผู้กองครับ ผมว่าจะเข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว ความจริงโจเป็นสายข่าวของตำรวจกองปราบนะครับ”
ผู้กองย้อนแย้ง “ทำไมเป็นสายตำรวจแล้วค้ายาได้งั้นเหรอ อย่างงี้ฆ่าคนตายก็ไม่ผิดกฎหมายใช่มั้ย”
ตะวันฉายตกใจและไม่พอใจ “ผู้กองครับ”
“ผู้หมวด ผมทำตามหน้าที่ ถ้าเด็กนี่เป็นสายของตำรวจกองปราบ ก็เรียกตำรวจกองปราบมาจัดการ ไม่ใช่หน้าที่คุณ”
ตะวันฉายอึ้ง มองหน้ากันกับโจที่หน้าเริ่มถอดสี ตะวันฉายหยิบโทรศัพท์โทรหาเสือ
“เสือมีเรื่องให้ช่วยน่ะ”

ตะวันฉายยืนรออยู่ตรงทางเดินในสน. สักครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นเสือเดินหิ้วแฟ้มเอกสารออกมาจากห้องผู้กองจอมกร่าง
“เคลียร์ได้มั้ย”
“เย็นๆ คงเสร็จเรื่องครับ หรือไม่ โจก็คงต้องนอนมุ้งสายบัวสักคืน แต่ยังไงก็คงไม่ต้องส่งถึงโรงถึงศาลแน่” เสือมองลูกพี่เก่าหน้าเครียด “หมวด ผมว่าไอ้ผู้กองนั่นมันเขม่นหมวดอยู่นะ ไอ้โจมันเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว อย่างวันนี้ถ้าหมวดเผลอไปช่วยโจมากกว่านี้ มันหาเรื่องงัดหมวดออกจากราชการได้ง่ายๆ นะ”
“เค้าเข้าใจผิดน่ะ ก็อย่างว่า ไม่มีใครอยากได้แกะดำไว้ในคอกหรอก”
เสือฉุนขาด “แกะดำ อย่างหมวดเป็นแกะดำ ทั้งสำนักงานก็ไม่มีแกะขาวแล้วหมวด ให้ตายเหอะ นี่หมวดจะทนไปถึงเมื่อไหร่กันแล้วทนไปเพื่ออะไรหมวด”
ตะวันฉายปราม “เสือ”
“หมวดทำดีมาตั้งกี่สิบกี่ร้อยครั้ง แค่ผิดพลาดหนเดียวทำไมต้องมารับกรรมขนาดนี้ด้วย ถ้าผมเป็นหมวดผมลาออกไปตั้งนานแล้ว”
ตะวันฉายอึ้งไป หน้าสลดชัดแจ้ง เสือเห็นแล้วก็รู้สึกผิดที่พูดไปแบบนั้น
ตะวันฉายซึ่งกำลังหดหู่ รู้สึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด จึงเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือทัศน์ที่โผล่หน้ามองออกมาจากในรถ ที่จอดอยู่หน้าโรงพัก
ทัศน์ยิ้มหยัน ตะเบ๊ะทักทายตะวันฉาย ก่อนจะพยักหน้าให้กฤชออกรถไปจากที่นั่น
ตะวันฉายมองตามทัศน์ไป และอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกันกับทัศน์หรือไม่

โจมองงงๆ เมื่อเห็นตะวันฉายกับเสือที่เกาะลูกกรงอยู่ท่าทางซีเรียส
“ยังจำได้มั้ยตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เธอบอกว่ามีผู้ชาย ท่าทางแต่งตัวดีคนนึง ไปข่มขู่เธอกับตุ๊กที่ห้อง”
“อู้ย ตั้งนานแล้วหมวด เพิ่งมาตื่นเต้นอะไรตอนนี้”
“เธอจำหน้าเค้าได้รึเปล่า”
“ก็พอจำได้”
ตะวันฉายพยักหน้าให้เสือ เสือเปิดสมุดรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจให้ดูภาพทัศน์สมัยยังหนุ่มแต่งเครื่องแบบนักเรียนนายร้อย
“โจ ดูให้ดีนะ ใช่คนนี้มั้ย”
โจยื่นหน้ามาดู แล้วชะงักหน้าเสียไป
“มันเป็นตำรวจเหรอ”
ตะวันฉายรู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว คนอย่างมันไม่มีทางเป็นตำรวจได้อีกแล้ว”

ค่ำนั้น ตะวันฉายขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้าน สีหน้ายังคงครุ่นคิดอยู่ จนพอลงจากรถจะไขกุญแจเข้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าประตูรั้วไม่ได้ล็อค
ตะวันฉายเงยหน้ามองเข้าไปในบ้านอย่างใจไม่สู้ดี นึกถึงเรื่องที่ทัศน์เคยพูด

เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน ตะวันฉายแอบแตะอยู่ที่ด้ามปืนอย่างระแวดระวัง แหละต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นจ่าเวศนั่งคอตกอยู่ที่เก้าอี้รถเข็น ตะวันฉายปราดเข้าไปดูเรียกเบาๆ
“พ่อ”
เมื่อดูชัดๆ จึงพบว่า จ่าเวศนั่งหลับกรนครอกๆ มีหนังสือวางอยู่ที่ตัก ตะวันฉายค่อยโล่งใจ ได้ยินเสียงก๊องแก๊งในครัวจึงเหลียวมองไปอย่างแปลกใจ
ตะวันฉายเดินไปดูในครัว พบว่าธิชากำลังทำกับข้าวอยู่
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
ตะวันฉายอึ้งไปเมื่อพบว่าเป็นธิชา

จ่าเวศตื่นแล้ว นั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าอย่างเขินๆ
“หลับกี่ชั่วโมงนะ”
“แค่ครึ่งชั่วโมงเองค่ะ”
“เสียภาพพจน์หมดเลยพ่อ ปล่อยให้แขกทำกับข้าว ส่วนตัวเองนอนหลับ”
“ฮึ่ย ไม่ได้หลับ แกน่ะเล่นกลับซะดึก พ่อน่ะรอกินข้าวจนเป็นลมไปสิไม่ว่า”
ตะวันฉายขำ “เกินไปพ่อ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
จ่าเวศหันไปฟ้องธิชา
“เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรของมัน แต่งเครื่องแบบออกจากบ้านแต่เช้ากว่าจะเลิกงานก็ดึก ถามทีไรก็บอกว่ามีประชุมกับผู้ใหญ่ประชุมอะไรกันทุกวี่ทุกวัน”
ธิชามองตะวันฉายเห็นอีกฝ่ายตีสีหน้ายิ้มอิหลักอิเหลื่อเต็มที
“บอกตรงๆ เหอะวะไอ้ฉาย นี่แกเลียนแบบตอนเด็กๆ รึเปล่า ไอ้ที่ฟอร์มแต่งชุดนักเรียนบังหน้าแล้วแอบพาน้องมันไปหนีเที่ยวน่ะหือ”
“พ่อก็พูดเล่น”
“ทานข้าวกันดีกว่าค่ะคุณลุง เดี๋ยวกับจะชืดซะหมด”
ธิชาว่าแล้วตักกับข้าวให้จ่าเวศเพื่อเบี่ยงประเด็น ตะวันฉายทั้งโล่งใจ ทั้งละอายใจ

ตะวันฉายเดินออกมาเหม่อใช้ความคิดอยู่ที่ชานเรือนตามลำพัง สักครู่ธิชาก็ตามออกมา
“บูรพาให้คุณมาเยี่ยมพ่องั้นเหรอ”
ธิชาพยักหน้าถามเขากลับ “ยังกลุ้มเรื่องงานอยู่อีกเหรอคะ”
ตะวันฉายพยักหน้าทำใจ “ธิชา ถ้าจู่ๆ ผมเลิกเป็นตำรวจ แล้วไปเข้าพวกกับบูรพา คุณว่าเค้าจะดีใจมั้ย”
“อย่านะคะ ฉันว่าเค้าคงไม่คิดอย่างนั้นแน่ๆ ถ้าคุณทำแบบนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าสิ่งที่เค้าทำเป็นเรื่องถูกต้อง เค้าก็ต้องยิ่งเตลิดไปกันใหญ่”
ตะวันฉายยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้ว
“ทำไมคุณถึงถามแบบนี้ล่ะคะ”
“เปล่า ผมแค่อยากให้แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกเท่านั้นเอง”
ธิชานิ่งคิด “ผู้หมวดคะ ความจริงนี่มันอาจจะเร็วไปสักหน่อย แต่ฉันเชื่อว่าเร็วๆ นี้บูรพาคงจะมีข่าวดีให้ผู้หมวดแน่นอนค่ะ”
ตะวันฉายสนใจฟัง
“เค้ารับปากกับฉันแล้วว่า เค้าจะถอนตัว”
ตะวันฉายยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ “เหมือนคราวก่อนงั้นเหรอ”
“คราวนี้เค้าเอาจริงนะคะ เค้าเป็นคนพูดกับฉันเองด้วย ไม่ใช่ว่าฉันเออออห่อหมกเองเหมือนหนก่อน”
“ผมแค่ไม่กล้าคาดหวังอะไรล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง” ตะวันฉายมองธิชาอย่างซาบซึ้ง “แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณมาก ธิชา ผมเป็นหนี้คุณมากเหลือเกิน”
ธิชายิ้ม “เชื่อฉันนะคะผู้หมวด อดทนต่อไปเพื่อบูรพาถ้าคุณไม่ท้อถอยเสียก่อน ฉันคิดว่าความหวังของคุณจะต้องเป็นจริงในสักวันนึงแน่นอนค่ะ”
ตะวันฉายพยักหน้าอย่างอุ่นใจ และมีหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ด้านบูรพานอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง ขณะที่ประตูห้องเขาค่อยๆ แง้มออก เห็นเป็นเท้าของเจิมฉัตรย่องเข้ามาในห้อง
บูรพาลืมตาขึ้น และคว้าปืนออกมาใต้หมอน ก่อนจะวาดส่องไป และพบว่าเป็นเจิมฉัตร ทว่าเจิมฉัตรมองปืนอย่างไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่นัก
“คุณเข้ามาทำอะไร”
“เจรจา”
“เรื่องอะไร”
“อย่าทำไก๋หน่อยเลยน่า คุณก็รู้ว่าฉันมาเพราะเรื่องหลักฐานนั่น”
“คุณสนใจด้วยเหรอ”
“ความลับของชัชชัย ว่าที่นายใหญ่คนใหม่ที่นายกุมมันเอาไว้ ทำไมฉันจะไม่อยากรู้”
บูรพามองอย่างเป็นต่อ “แต่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าทำไมต้องบอกคุณ”
“หลักฐานนั่นเกี่ยวกับการตายของป๋ารึเปล่า”
บูรพาเงียบ เจิมฉัตรดันปากกระบอกปืนออก และทอดตัวลงนั่งคลอเคลีย ใช้มารยาหลอกล่อ
“ถ้ามันโค่นชัชชัยได้ คุณว่าใครจะได้เป็นนายใหญ่คนต่อไป ตาแก่หมดน้ำยาอย่างลุงเคี้ยงน่ะเหรอ หึ ไม่มีทาง เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ทั้งทีก็ต้องเลือกคนที่หนุ่มแน่นซะหน่อยสิ ถึงฉันจะไม่มีบทบาทอะไรในกลุ่มมากมาย แต่ยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียป๋า ถ้าป๋าตายไปจริงๆ มรดกของป๋าฉันก็ต้องมีเอี่ยวบ้างไม่มากก็น้อย เธอไม่สนงั้นเหรอบูรพา”
บูรพามองเจิมฉัตรก่อนจะหัวเราะออกมา
“เธอขำอะไร”
“อยากได้หลักฐานนั่นมากงั้นเหรอ ก็ได้”
บูรพากระดิกนิ้วเรียกเจิมฉัตรมาแล้วกระซิบบอก เจิมฉัตรฟังแล้วหน้าถอดสี

ภายในห้องนอนเสี่ยเจริญเวลาต่อมา ชัชชัยมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ในนั้น
“ว่าไงนะ มันไม่มีหลักฐานอยู่ในมือ”
“แต่มันมั่นใจว่าหลักฐานต้องอยู่ในรถของป๋า ถ้าเจอรถก็ต้องเจอหลักฐาน มันบอกว่ากำลังให้คนตามสืบหารถคันนั้นอยู่ คงได้เบาะแสเร็วๆ นี้”
“บอกรึเปล่าว่ามันเป็นหลักฐานเกี่ยวกับอะไร”
เจิมฉัตรส่ายหน้า ชัชชัยครุ่นคิด
“ช่างเหอะ ยังไงมันไม่มีทางเจอรถคันนั้นอยู่แล้ว”

ไม่นานต่อมา ที่บริเวณใต้ทางด่วน ท่ามกลางแสงไฟฉาย ผ้าคลุมรถถูกกระตุกเปิดออก เผยให้เห็นรถเสี่ยเจริญที่ซ่อนอยู่
ชัชชัยกับไอ้ปอดส่องไฟฉายช่วยรื้อค้นทุกซอกทุกมุมของรถ ไม่เว้นแม้แต่ใต้พรม หรือซอกกันชน
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบหลักฐานอะไรที่ว่า
“เจอรึเปล่าไอ้ปอด”
“ไม่เจอครับ คุณชัชรู้รึเปล่าครับว่าหลักฐานที่ว่ามันเป็นอะไร เป็นเทป เป็นกระดาษ หรือว่า…”
“กูไม่รู้” ชัชชัยโพล่งขึ้น ขบคิดด้วยสีหน้าเครียด “แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็น่าจะเจอตั้งนานแล้วหรือว่ามันยกเมฆกูวะ”
“ลองถอดกันชนออกมาดูดีมั้ยครับ เผื่อจะซุกอยู่ในนั้น”
“ไม่ต้อง กูคิดออกแล้ว เอารถนี่ไปทำลายซะคืนนี้เลยก็สิ้นเรื่อง ลองมันบรรลัยไปทั้งคัน ไอ้บูรพามันจะหาหลักฐานที่ไหนพบ”
ปอดพยักหน้าเห็นด้วย ชัชชัยหันกับปอดลงจากรถ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นพวกบูรพาอันมีเคี้ยง บูรพา จ๊อด ตั้ม บังดี และสมุนอีกหลายคนยืนออรอกันอยู่เป็นแผงพระอันดับ ทุกคนมองจ้องมาที่ชัชชัยด้วยแววตาอาฆาตแค้น
“ไอ้บูรพา” ชัชชัยคำราม
“แปลกใจมากมั้ยคุณชัช คงไม่คิดว่าจะเห็นเราอยู่พร้อมหน้ากันสินะ” เคี้ยงจ้องตาชัชชัย
จ๊อดชี้หน้าด่าเป็นคนแรก “ไอ้ชัช มึงฆ่าป๋า”

ถัดมาสมุนจำนวนหนึ่งตรงมาเคาะประตูห้องนอนเสี่ยเจริญเรียกเจิมฉัตร
“คุณเจิมฉัตร คุณเจิมฉัตรครับ”
เจิมฉัตรส่งเสียงออกมาว่า “มีธุระอะไร”
“ลุงเคี้ยงให้เชิญคุณเจิมฉัตร ที่ผับกับพวกเราด้วยครับ”
เจิมฉัตรเปิดประตูออกมา และพบกับความน่าประหลาดใจนั้นเมื่อสมุนมากันถึง 3 คน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“ตามมาเถอะครับ แล้วคุณจะรู้เอง” สมุน 1 บอก

เจิมฉัตรเหมือนถูกคุมตัวเดินลงบันไดมา แม้จะไม่มีการพันธนาการฉุดกระชากลากถู แต่หล่อนกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเลวร้ายรอบตัว ทั้งจากสีหน้าถมึงทึงของสมุนแต่ละคนที่มองมา เจิมฉัตรถูกนำตัวมาถึงที่รถจนได้
“เชิญครับคุณเจิมฉัตร”
เจิมฉัตรหยุด พลางเหลียวไปมองตัวคฤหาสน์เหมือนกลัวว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ก่อนจะยอมขึ้นรถไป

ผับปิดทำการตามเวลา เจิมฉัตรถูกควบคุมตัวเข้าไปยังด้านในของผับ ภาพที่หล่อนได้เห็นก็คือชัชชัยกับไอ้ที่ปอดที่ถูกคุมตัวอยู่ โดยไม่มีการพันธนาการใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีเคี้ยง บูรพา และจ๊อดกระจายตัวกันออกไปตามที่ทางใครมัน
ชัชชัยสบตากับเจิมฉัตร อีกฝ่ายรีบวางอำนาจใส่เคี้ยงทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกคุณถือดียังไงมาจับคุณชัชไว้แบบนี้”
เคี้ยงไม่ให้ราคา อีกแล้ว “หมดเวลาตีหน้าซื่อแล้วเจิมฉัตร เธอกับคุณชัชจนแต้มแล้ว”
บูรพาเสริม “อย่าบอกนะว่า เธอไม่รู้เห็นกับคุณชัชเรื่องการตายของป๋า”
เจิมฉัตรหน้าเสีย ตระหนักว่าความลับแตกแล้ว
“ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“ถ้าคุณไม่ใช่พวกของคุณชัช แล้วทำไมคุณถึงมาสืบข่าวจากผมให้เค้า”
เจิมฉัตรมองไปที่ชัชชัย คิดปราดเดียว ก็หันไปเล่นละคร
“ฉัน…ฉันถูกเค้าบังคับ”
ชัชชัยตกใจ “เจิมฉัตร”
“พอกันทีชัชชัย ฉันไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเธอต่อไปอีกแล้ว”
เคี้ยงกับบูรพามองหน้ากันอย่างลังเล เจิมฉัตรรีบโผมาเกาะแขนบูรพา
“บูรพาเธอต้องเชื่อฉัน ตอนที่ชัชชัยฆ่าป๋าฉันเห็นเหตุการณ์กับตาเค้าขู่ให้ฉันหุบปาก ไม่งั้นเค้าว่าจะฆ่าฉันทิ้ง”
ชัชชัยโกรธสุดขีด “อีนางแพศยา อีสถุล มึงนั่นแหละที่ฆ่าป๋า มึงนั่นแหละที่หลอกใช้กู”
เจิมฉัตรเล่นละครต่ออย่างสมบทบาท “คุณชัช ถึงฉันจะเป็นเมียป๋าแต่ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง คุณมาปรักปรำฉันเพื่อเอาตัวรอด คุณไม่อายแก่ใจบ้างหรือไง”
ชัชชัยถึงกับอึ้งไปขนานใหญ่ ระหว่างที่สายตาทุกคู่จ้องอยู่ที่ชัชชัยกะเจิมฉัตรนี้ไอ้ปอดเริ่มมองหาลู่ทาง มันจ้องไปที่ปืนของสมุนซึ่งยืนคุมมันกับชัชชัยอยู่ รอโอกาสเหมาะๆ
เจิมฉัตรหันมาบอกเคี้ยง
“ลุงเคี้ยง ถ้าลุงไม่เชื่อฉัน ลุงพิสูจน์ศพป๋าดูก็ได้ กระสุนในร่างป๋าเป็นกระสุนของปืนคุณชัช ไอ้เนรคุณนั่น มันฆ่าป๋า”
พวกสมุนลังเลกันหมด ชัชชัยมองเจิมฉัตรด้วยความปวดร้าวและผิดหวัง
“แน่มากเจิมฉัตร ใจเด็ดมาก ถ้าไม่เห็นกับตาฉันคงไม่กล้าคิดว่าจะมีวันนี้ ฆ่าได้ทั้งผัวหลวงผัวน้อย”
เจิมฉัตรแหวใส่ “เลิกใส่ความฉันซะทีคุณชัช ต่อให้วันนี้ฉันต้องตายฉันก็ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของคุณอีก”
เคี้ยงมองสถานการณ์แล้ว ตัดสินใจลองหยั่งเชิง
“เธอพิสูจน์ได้รึเปล่าว่า เธอไม่เกี่ยวข้องกับแผนของมัน”
เจิมฉัตรอึ้งไปสักพัก ก่อนจะบอกกับเคี้ยงอย่างดุดัน
“ฉันจะแก้แค้นให้ป๋า”
ก่อนที่ทุกคนจะตั้งหลักได้ทัน เจิมฉัตรก็ฉกปืนจากสมุนคนหนึ่ง เดินเข้ามาเล็งปืนใส่ชัชชัย ปอดที่รอโอกาสอยู่แล้ว ตัดสินใจโผเข้าแย่งปืนจากสมุนใกล้ตัว แล้วยิงสวนกับเจิมฉัตรลั่นไก ทั้งที่ปืนยังแย่งมาได้ไม่สำเร็จ เจิมฉัตรตกใจลั่นไกปืนมั่วไปหมด ยิงเอาทั้งสมุนและไอ้ปอด
“ไอ้ปอด” ชัชชัยตกใจ
ปอดกระชากปืนในมือเจิมฉัตรมา แล้วกระชากตัวเจิมฉัตรมาเอาปืนขู่ไว้
“พวกมึงอย่าเข้ามา ไม่งั้นอีนางนี่หัวกระจุยแน่”
สมุนตัดสินใจไม่ถูกพากันมองมาที่เคี้ยงพลางร้องถาม
“ลุงเคี้ยง”
“ปล่อยมันออกไป”

เคี้ยงบอกเสียงดัง

อ่านต่อหน้า 4




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 11 (ต่อ)

บรรดาสมุนพากันถอยร่น เปิดทางให้ปอดคุมตัวเจิมฉัตรล่าถอยออกมา ชัชชัยรีบกระโจนไปสตาร์ตรถ เปิดประตูรอ
“ไอ้ปอด ขึ้นมาเร็ว”
ปอดรอจนได้จังหวะ ก็ผลักเจิมฉัตรเข้าใส่บรรดาลูกสมุนเสี่ยเจริญ พลางยิงสกัดใส่จนทุกคนหมอบหลบกันจ้าละหวั่น ก่อนที่ตัวมันจะโผขึ้นรถ ชัชชัยขับแล่นทะยานจากไปโดยไว
เคี้ยงตามออกมาดู แล้วสั่งการ
“สั่งพวกเรากระจายกำลังกันออกล่าตัวพวกมัน คืนนี้ไม่ว่ายังไงต้องลากตัวไอ้หลานทรพีกลับมาให้ได้”
บูรพาพยักหน้ากับจ๊อด นำลูกสมุนออกไป ขณะที่เคี้ยงหันมามองเจิมฉัตร ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม และไม่เชื่อถือคำพูดเมื่อครู่ เจิมฉัตรหลบสายวูบ

ชัชชัยขับรถมาแล้วจู่รถดันดับกลางตรอกเปลี่ยวแห่งนี้
“น้ำมันมาหมดอะไรตอนนี้วะ ไอ้ปอดเดี๋ยวกูพามึงไปโรงบาล”
“คืนนี้มันคงตามล่าเราทั้งคืน” ปอดบอก
ชัชชัยลงมาประครองปอดพาเดินหาที่ให้พัก แต่ปอดก็ทรุดลงหน้ารถ
“เฮียหนีไป ทิ้งผมไว้ที่นี่เถอะครับ อย่าให้ผมเป็นตัวถ่วงเฮียเลย”
“มึงจะบ้าเหรอไอ้ปอด แค่ช่วยอีนางกาลีนั่นฆ่าป๋ากูก็เลวบรรลัยแล้ว ขืนกูทิ้งมึง กูก็เป็นหมากันพอดี” ชัชชัยเริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง “ทำไมเหงื่อมึงออกเยอะนักวะ ออกเยอะกว่าเลือดอีก”
“กระสุนฝังในคุณชัช ผมสงสัยจะไม่ไหวแล้ว”
ไอ้ปอดทำท่าจะทรุดลงไปแผ่หลา
“เฮ้ย ทำใจดีๆ ไว้ ไอ้ปอดๆ”
“เฮียชัช เฮียต้องเชื่อผม หนีไปซะ เฮียตัวคนเดียวไปไหนมาไหนสะดวกกว่า เชื่อผมนะครับ”
“มึงอย่าเพิ่งพูดเลย รอเดี๋ยวนะกูจะไปซื้อยามาทำแผลให้”
ไอ้ปอดดึงมือชัชชัยเอาไว้ แล้วส่ายหน้า
“อย่าไปไหนเลยครับ มันไม่จำเป็นแล้ว” ปอดยิ้ม “ตั้งแต่เล็กจนโต คุณชอบเอาเปรียบผมอยู่เรื่อยเอาเปรียบอีกสักหน ผมก็ไม่ถือคุณหรอก”
ชัชชัยอึ้ง “กูลากมึงมาเดือดร้อนอีกแล้วไอ้ปอด ทุกทีสิวะ มึงต้องคอยรับอารมณ์กูยังไม่พอ เสือกต้องมารับความซวย เพราะกูอีก” ชัชชัยนึกทบทวน “มึงไม่เคยโกรธกูเลย กูก็ไม่เคยแคร์มึงเลยเหมือนกัน” ตอนนี้ชัชชัยเสียใจสุดซึ้ง “แต่คราวนี้ กูพามึงมาตาย”
“อย่าคิดมากเลยครับ เฮียชัชจำได้มั้ย ที่เราเล่นด้วยกัน แล้วผมทำเฮียหัวแตก ผมสัญญาว่า ผมจะเป็นลูกน้องเฮียไปจนวันตาย วันนี้ผมทำตามที่พูดแล้วนะครับ ผมทำสำเร็จแล้ว”
พอนึกถึงเรื่องนี้ชัชชัยก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา แต่แล้วก็เริ่มผิดสังเกตที่ทุกอย่างเงียบงันไปดื้อๆ จึงค่อยๆ หันไปดู
เมื่อพบว่าไอ้ปอดหมดลมเสียแล้ว ชัชชัยถึงกับช็อค พูดไม่ออก ตกอยู่ในอาการตะลึงตะไล รีบลุกขึ้นห่างไปจากศพ ทำท่าจะรีบหนีไป แต่แล้วก็เกิดลังเล หันมาดูศพ ตัดสินใจถอดเสื้อตัวนอกห่มร่างไอ้ปอดก่อนจะร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
“มึงคือเพื่อนคนเดียวของกูไอ้ปอด”
ชัชชัยเดินจากปอดไปด้วยความเศร้า ชีวิตนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว

เช้าวันนี้บรรยากาศสดชื่น สดใส
ธิชาออกมารดน้ำต้นไม้ ดอกไม้ ที่ปลูกลงกระถางตรงหน้าสตูดิโอ สักครู่ปูที่อยู่ในสตูดิโอก็มาเคาะกระจกชี้ให้ดูอะไรด้วยสีหน้าเซ็งๆ ธิชาหันไปดูก็ยิ้มกว้างออกมา เมื่อเห็นบูรพาเดินตรงมาหา สีหน้าท่าทางผ่องใสกว่าทุกวัน เขายื่นช่อดอกไม้ช่อสวยให้เธอ
“เนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ”
“คุณลองทายดูสิ”
ธิชาคิดปราดเดียวก็ร้องออกมาอย่างดีใจ “มันจบแล้วใช่มั้ย คุณเป็นอิสระแล้วใช่มั้ย”
บูรพายิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้า ธิชาโผกอดคนรักเต็มแรง ด้วยความดีใจ

บ่ายคล้อยวันนั้น รถบูรพากำลังแล่นไปตามถนนสายหนึ่ง บรรยากาศตลอดสองข้างทางร่มรื่นด้วยแมกไม้เขียวขจี ดูออกว่าเป็นถนนมุ่งหน้าออกไปยังต่างจังหวัด
ทั้งบูรพาและธิชาพูดคุย ป้อนอาหารกันมาตลอดทาง
ธิชาดูป้ายบอกทาง เห็นว่าเริ่มห่างจากกรุงเทพฯ ออกมามากทุกทีๆ
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ”
บูรพายิ้มให้ “เดี๋ยวก็รู้น่า”

พระอาทิตย์ใกล้จะลาฟ้าตกสู่ผืนดินในอีกไม่นานนี้ บรรยากาศยามเย็นวันนี้ สวยงามกว่าที่เคยสวย บูรพาจอดรถซุกตรงที่ลับตาข้างทาง หิ้วถุงเสบียงอาหารด้วยมือข้างหนึ่งลงจากรถมา แล้วจูงมือพาธิชาเดินผ่านป่าไผ่ลัดเลาะเข้าไปด้านใน
บูรพาพาธิชาเดินผ่านแนวป่าไผ่ไปสักครู่หนึ่ง ก็หยุด ปล่อยให้ธิชามองภาพเบื้องหน้าอย่างตะลึงตะไล
เบื้องหน้าสองคนคือบ้านหลังเล็กๆ สวยงาม ตั้งอยู่ในดงป่าไผ่ ที่ดูโปร่งโล่งสบาย ถัดไปเป็นลำธารน้ำใส ยิ่งเพิ่มบรรยากาศให้บ้านหลังนี้น่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น
“คุณชอบมันรึเปล่า”
ธิชาตะลึงอยู่อย่างนั้น “คุณถามแบบนี้ได้ยังไง นี่มันบ้านในฝันของผู้หญิงเชียวนะ”
“เชิญครับ” บูรพายิ้มพร้อมกับผายมือ

ถัดมาไม่นาน บูรพากับธิชาเดินอยู่บนระเบียงบ้าน
“ทำไมคุณถึงรู้จักที่นี่”
“ลุงเคี้ยงเป็นคนแนะนำ บ้านหลังนี้ ลุงเคี้ยงกับป๋ามีไว้รับรองสมาชิกของกลุ่ม เวลามีภัย”
“เซฟเฮ้าส์อย่างนั้นเหรอ” ธิชากวาดตามองโดยรอบ “สวยขนาดนี้เชียว”
“ความจริงมันเคยเป็นบ้านเก่าของลุงเคี้ยง แกถึงได้กำชับให้คนคอยดูแลเป็นอย่างดี” บูรพายิ้มให้คนรัก “ครั้งแรกที่ผมเห็นที่นี่ผมอยากให้มันเป็นบ้านจริงๆ มากกว่าจะเป็นที่หลบภัย”
ธิชารู้สึกพอใจที่บูรพาคิดอย่างนั้นเหมือนเธอ
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
บูรพาสบตาธิชา สองคนยิ้มชื่นให้กันอย่างมีความสุข

เมื่อบ้านกลางไร่หลังนี้ ถูกความมืดยามค่ำคืนปกคลุมคืน บรรยากาศยิ่งโรแมนซ์
ธิชานั่งดื่มด่ำ แหงนมองดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไม่รู้เบื่อ จนบูรพาเดินมาหาห่มเสื้อคลุมให้ ก่อนจะนั่งลงคงเคียงข้าง
“สวยนะคะ สวยกว่าในเมืองตั้งเยอะ”
“นั่นสิ นึกไม่ถึงเลย ชีวิตผมยังจะมีโอกาสได้มีเวลาแบบนี้กับคุณ”
ธิชาหันมามองบูรพา
“เมื่อไม่กี่วันมานี่คุณเกือบจะต้องสูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ลมหายใจของตัวเอง กับคนที่ตัวเองรัก” ธิชาถอนใจบางเบา “มันจะไม่เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นอีกแล้ว ถูกมั้ยคะ”
บูรพายิ้มรั้งตัวธิชามากอดอย่างทะนุถนอม
“คุณคงไม่โกรธนะ ถ้าผมจะบอกว่าผมยังไม่ได้วางแผนอนาคตระยะยาวเลยสักแผน”
“คุณมีแผนสำหรับเร็วๆ นี้แล้วงั้นเหรอ”
บูรพาไปเที่ยวกับคุณ อยู่ใกล้ๆกับคุณ แล้วก็ทำทุกอย่างตามที่คุณต้องการ ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมจะชดเชยเวลาที่สูญเสียไปทั้งหมดให้
ธิชานึกบางอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก “บูรพาคะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณเรื่องนึง แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธ”
“ว่ามาสิ”
“จวนจะถึงวันเกิดพ่อคุณอยู่แล้ว คุณไปร่วมงานวันเกิดของท่านหน่อยจะได้มั้ย”
บูรพาคิดนิดเดียว แล้วก็ยอมพยักหน้าออกมา
“แล้วคุณช่วยคืนดีกับพี่ชายคุณสักวันนึงนะคะ”
บูรพาอึ้ง ใบหน้าเครียดลงชัดแจ้ง ธิชารีบกอดเขาไว้แน่น
“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะไม่โกรธแค่แกล้งทำก็ได้นี่คะ พ่อคุณจะได้มีความสุข”
“เอาล่ะๆ ผมเข้าใจแล้ว ปล่อยผมเถอะ เดี๋ยวกระดูกผมหักพอดี”
“รับปากฉันนะคะ”
บูรพานิ่งคิดไปนาน ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง ธิชาซบบ่าบูรพาอย่างโล่งใจ

อีกฟากหนึ่ง ท่ามกลางความมืดสลัว ได้ยินเสียงประตูลูกกรงเปิดออก
มีเสียงร้อยเวรร้องขึ้นตามมา “โจ ท่าเตียน ออกมาได้แล้ว”
ตะวันฉายกับเสือพาโจเดินออกจากห้องขัง บนสน.ท้องที่
“หมวด บอกคนรับผิดชอบปรับปรุงสถานที่หน่อยนะนอนหนึ่งคืนเหมือนหมื่นปี แอร์ก็ไม่มี ยุงก็เยอะ หมอนซักใบผ้าห่มซักผืนก็ไม่แถมให้ ขนมนมเนยก็ไม่รู้จักเอามาเลี้ยงผู้ต้องหา ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็อดได้รางวัลโรงพักดีเด่นหรอก”
เสือหมั่นไส้ “น้อยๆ หน่อยคุณหนูโจ คุกนะ ไม่เนิร์สเซอรี่ จะเรียกร้องอะไรกันนักกันหนา”
“ปล่อยให้บ่นไปเถอะเสือ งานนี้ยังไงโจเค้าก็เดือดร้อนเพราะฉัน” ตะวันฉายว่า
“อ้านั่น ต้องอย่างนั้น เห็นมั้ยคนจะเป็นผู้หมวดได้เค้าต้องคิดอย่างนี้ ผู้หมู่หัดดูเอาไว้เป็นตัวอย่างซะด้วย...อุ๊ย”
โจเดินชนกับผู้กองที่เพิ่งเดินพ้นทางแยกออกมาอย่างจัง
“ผู้กอง” ตะวันฉายตกใจ
ผู้กองมองโจเหยียดๆ ก่อนจะมองมาที่ตะวันฉายสั่งเสียงเข้ม
“ผู้หมวด คืนนี้จ่าชูชัยลาหยุด คุณต้องอยู่เวรแทนเค้า”
ตะวันฉายอึ้ง “คืนนี้เลยหรือครับ”
“ใช่จนถึงเช้า อ้อ แล้วที่ของคุณอยู่ที่ด่านโน่น ไม่ใช่บน สน. ไม่จำเป็นอย่าขึ้นมาเพ่นพ่านบนนี้”
ตะวันฉายอายเสือกับโจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน ผู้กองปลีกตัวจะเดินไป แต่แล้วเสือก็ดันฟิวส์ขาดเสียก่อนเอ่ยขึ้น
“ทำไมผู้กอง หมวดเค้าก็เป็นตำรวจเหมือนกันทำไมจะขึ้นมาบนสน.ไม่ได้”
ตะวันฉายปราม “เสือ”
ตะวันฉายพยายามดึงรั้งตัวห้ามเสือ แต่เสือไม่สนใจหน้าอินทร์ หน้าพรหมอีกแล้ว
“คุณเป็นใคร ยศอะไรถึงกล้ามาขึ้นเสียงกับผม”
“ยศอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น คนอย่างผมผิดถูกว่าตามเรื่อง” เสือโต้
“อ้อ คุณกำลังบอกว่าผมทำไม่ถูกงั้นเหรอ”
“ใช่ ผู้กองกำลังใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ คุณกำลังพยายามบีบให้ผู้หมวดลาออก ผมรู้นะ”
“ผมว่าคุณทบทวนตัวเองดูซะหน่อยดีกว่า ทุกวันนี้ก็เพราะมีคนอย่างคุณที่คอยปกป้องไอ้ตำรวจเลวๆ พรรณนี้ มันถึงได้ลอยหน้าลอยตาสวมเครื่องแบบอยู่ได้ ทั้งที่มันสมควรจะออกไปจากราชการตั้งนานแล้ว”
“ผู้หมวดไม่ได้ทำอะไรผิด” เสือเถียง
“คุณไม่ต้องมาช่วยปกปิดให้เค้าหรอกน่า เรื่องที่เค้าช่วยเหลือผู้ต้องหา ผมรู้หมดแล้ว” ผู้กองเสียงดังใส่
ตำรวจในโรงพักมองหน้ากันเลิกลัก ตะวันฉายหน้าชา

ผู้กองเดินหุนหันเข้ามานั่งที่โต๊ะในห้องทำงาน ตะวันฉายเดินตามเข้ามาอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่ได้อนุญาตให้คุณเข้ามาในห้อง” ผู้กองพูดโดยไม่มองหน้า
“ใครเป็นคนบอกคุณเรื่องนี้”
“ไม่สำคัญ เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน”
ตะวันฉายคิดสักครู่หนึ่ง “คนที่ชื่อทัศน์ใช่มั้ย”
ผู้กองไม่ตอบ แต่ท่าบ่งชัดว่าเป็นเช่นนั้น
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยคุณถึงได้จงเกลียดจงชังผมนัก”
“คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องอื่น ระวังเรื่องคนของคุณเอาไว้เถอะ ผมจะร้องเรียนไปที่กองปราบ เรื่องพฤติกรรมของเค้า”
“ผู้กอง คุณกำลังตกเป็นเครื่องมือของคนร้ายอยู่นะหมู่เสือไม่เกี่ยวอะไรด้วยทั้งนั้น”
ผู้กองยัวะ หันไปหยิบโล่รางวัลมาวางโครมบนโต๊ะ ชี้ให้ตะวันฉายดู
“ที่นี่สน.ดีเด่น ของผม มันดีอยู่จนกระทั่งมีไอ้แกะดำอย่างคุณเข้ามา แถมตอนนี้คุณยังพาคนของคุณมาแสดงท่าทีก้าวร้าวบนสน.นี้อีก มายืนตะคอกใส่หน้าผม แต่คุณจะมาบอกผมว่าเค้าไม่เกี่ยวงั้นเหรอ”
“แต่เค้าทำเพื่อปกป้องเกียรติของผม ที่เคยเป็นหัวหน้าเค้า”
“ผมไม่สน ผมจะร้องเรียนเรื่องเค้า แล้วคุณหัดมองเงาตัวเองซะบ้างไอ้ตำรวจนอกแถวอย่างคุณมันยังมีเกียรติอะไรเหลืออยู่อีก”
ตะวันฉายหมดความอดทน
“ถ้าผู้กองกล้าแตะเค้า ผู้กองได้เห็นแน่ว่าอะไรคือเกียรติยศที่เหลืออยู่ของผม อยากกระแทกบ่ากันก็เอาเลย แล้วคอยดูว่าดาวใครจะร่วงดังกว่า”
ผู้กองโกรธ “คุณกำลังขู่ผม”
“ที่ผ่านมาผมยอม เพราะถือว่าคุณเข้าใจผิด แต่ทุกอย่างมีมันขีดสุดของมันผู้กอง”
ตะวันฉายผลักประตูกลับออกไป ทิ้งให้ผู้กองยืนคิดอย่างลังเลเมื่อเจอคนจริง

โจกับเสือนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยกัน โจนั้นกินอย่างอร่อย แต่เสือทานไม่ลง หน้าเครียดเอาการ
“ซวยจริงๆ นึกว่าจะออกหน้าแทนผู้หมวด ดันต้องให้ผู้หมวดมารับหน้าแทนซะอีก…โจ เดี๋ยวซื้อก๋วยเตี๋ยวไปเยี่ยมผู้หมวดดีมั้ย”
โจยังกินเส้นเต็มปาก “ไปให้มีเรื่องอีกหรือไง ไอ้ฉันก็อยากไปเยี่ยมใจจะขาดยังไม่กล้าเลย รอไปที่บ้านผู้หมวดดีกว่าน่า จะได้ไม่ขวางหูขวางตาใครด้วย”
เสือทำใจสักพักก็ตัดบท
“อิ่มรึยัง อิ่มแล้วจะไปได้ไปส่งที่หน้าแฟลต”
“ไปส่งทำไมที่แฟลต อีตุ๊กมันให้เข้าแฟลตที่ไหนเล่า วันก่อนนะแทบจะลงไปกราบตีน มันยังไม่ยอมให้เข้าห้องเลย ไม่รู้มันจะงอนอะไรกันนักกันหนา หาว่าเป็นพวกนอกคอกบ้างล่ะ เป็นสายตำรวจบ้างล่ะ ประสาท”
“อ้าว แล้วจะไปนอนที่ไหน”
“ไม่รู้ ก็ร่อนไปตามบ้านเพื่อนนี่แหละ เวียนไปเวียนมาจนไม่มีเพื่อนจะคบอยู่แล้ว คืนนี้ยังไม่รู้จะไปขอใครนอนเล๊ย”
โจชะงัก นึกขึ้นได้มองมาที่เสือ อีกฝ่ายสะดุ้งทำหน้าอึดอัดสักพัก ก็โพล่งออกมา
“เฮ้ย อีกแล้วเหรอ”
โจพยักหน้ายิ้มๆ เสือตีหน้าละเหี่ย ก่อนที่สองคนจะแหงนมองฟ้าพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครันเบาๆ

ฝนตกลงมาสักครู่แล้ว ตะวันฉายและลูกทีมอยู่ในชุดกันฝนกำลังปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง อยู่ที่ด่านตรวจ
ตะวันฉายตรวจรถแท็กซี่คันหนึ่ง ผู้โดยสารหญิงยื่นถุงมาให้ ข้างในมีพวกน้ำดื่ม และเครื่องดื่มชูกำลัง
“สู้ๆ นะคะคุณตำรวจ”
ตะวันฉายพยักหน้ากับโชเฟอร์และตะเบ๊ะให้
“ขอบคุณครับ”
ตะวันยิ้มมองส่งตามรถแท็กซี่คันนั้นไป ก่อนจะเห็นรถอีกคันที่จอดอยู่กระพริบไฟเหมือนเรียก ตะวันฉายเห็นทัศน์นั่งอยู่ในรถก็หน้าเครียด
“สบายดีหรือผู้หมวด”
ตะวันฉายเดินไปหา “คุณมาที่นี่ทำไม”
“ก็ตั้งใจไว้ว่าจะมาเยี่ยมคุณวันเว้นวันน่ะ เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจยอมรับคำชวนของผม”
“ผมไม่มีทางร่วมงานกับคุณ คุณทัศน์ และผมขอเตือน อย่ายุ่งกับชีวิตของผม หรือแตะต้องคนของผมอีก”
“ทำไม คุณจะเขียนใบสั่งผมงั้นเหรอ”
“ความอดทนของคนเรามีจำกัดคุณทัศน์ โดยเฉพาะการอดทนกับไอ้วายร้ายอย่างคุณ”
“ผมเข้าใจ อาชีพแบบนี้ต้องใช้ความอดทนสูงมากกับไอ้พวกวายร้ายที่คุณว่า โดยเฉพาะไอ้วายร้ายที่เป็นน้องแท้ๆ ของคุณเอง”
ตะวันฉายมองซ้ายขวา แล้วยื่นมือไปตะปบคอเสื้อทัศน์ ท่ามกลางเสียงของลมฝนฟ้าคะนองไม่หยุดหย่อน ทัศน์ยิ้มสมใจ เหมือนรู้ดีว่ายิ่งตะวันฉายหมดความอดทนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉิบหายมากขึ้นเท่านั้น ทว่าตะวันฉายรู้สึกตัวจึงค่อยๆ คลายมือออก
“เก็บกดไปทำไมผู้หมวด ระเบิดมันออกมาสิ คุณจะอดทนทำดีไปเพื่ออะไรชีวิตของคุณ มันมีความหวังอะไรเหลืออยู่อีกหรือไง”
“ผมไม่เชื่อว่าคนเราพลาดแค่ครั้งเดียว แล้วจะต้องตกต่ำไปตลอดชีวิต”
“คุณพูดถึงตัวคุณหรือว่าน้องชายคุณกันล่ะ”
“น้องผมเป็นคนดี สักวันเค้าจะต้องกลับตัวได้สำเร็จ”
ทัศน์ยิ้มล้อ ตะวันฉายมองอย่างระงับอารมณ์ก่อนจะเดินจากไป
“ไม่มีวันนั้นหรอกผู้หมวด ไม่มีทางมีวันนั้น”

เวลาผ่านไปอีก ตะวันฉายยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง สักครู่ก็เหม่อมองสายฝนบนฟ้า เหมือนเชื่อมั่นเต็มที่ว่าท้องฟ้าอันสดใสจะมาถึงในไม่ช้านี้

ฝนยังคงตกอยู่ โดยที่อีกฟากหนึ่ง ภายในห้องทำงานเสี่ยเจริญ เคี้ยงและเจิมฉัตรกำลังฟังทนายอ่านพินัยกรรม และอธิบายให้ฟัง เห็นว่าทั้งสองฝ่ายแอบลอบมองกันและกันอย่างดูเชิง
“ตามพินัยกรรมนี่ เดิมทีคุณเจริญตั้งใจจะแบ่งมรดกออกเป็นสามส่วน ส่วนหลักเป็นของคุณชัช รองลงมาเป็นของคุณเจิมฉัตร และส่วนสุดท้ายก็มอบให้จัดตั้งเป็นกองทุนสำหรับเป็นสวัสดิการให้สมัครพรรคพวกของท่าน”
เจิมฉัตรแทรกขึ้น “แต่ตอนนี้ชัชชัยไม่มีสิทธิ์ได้มรดกนั่นแล้ว มรดกส่วนหลักที่คุณว่าจะตกเป็นของใคร”
“ก็ต้องตกเป็นของคนที่เหมาะสมที่จะเป็นนายใหญ่แทนท่านน่ะสิครับ ท่านระบุไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนแล้วว่าในกรณีที่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็จะมอบหมายให้คุณเคี้ยงเป็นคนดูแลผลประโยชน์แทนท่าน”
เจิมฉัตรโวยลั่น “ลุงเคี้ยงนะเหรอ ป๋าทำแบบนี้ได้ยังไง”
“แต่ฉันเป็นคนตั้งมังกรแดงมากับไอ้จิว”
เจิมฉัตรมองอย่างประหลาดใจ สักครู่เคี้ยงก็ไอโขลกๆ ออกมาอีก เจิมฉัตรลอบมองด้วยสีหน้าสงสัย

เคี้ยงเดินออกมาจากห้องและหลบมุมหาที่ไอโขลกๆ จนตัวงอ เมื่อหยุดไอก็ถึงกับหอบแฮ่กๆ ยกมือกุมปอด ครั้นพอเหลือบมองดูผ้าเช็ดหน้าในมือเคี้ยงก็ต้องชะงัก แสงจากฟ้าแลบสว่างจ้าตรงหน้า เผยให้เห็นว่าผ้าทั้งผืนแดงฉานไปด้วยเลือด

เคี้ยงตระหนักชัดแล้วว่า วาระสุดท้ายของตนได้คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะจิต

อ่านต่อตอนที่ 12



กำลังโหลดความคิดเห็น